วันอังคารที่ 23 มีนาคม พ.ศ. 2553
World Billionaires วัดความรวยกันที่ไหน
ผมหยิบ Forbes เล่มใหม่ เกี่ยวกับ World Billionaires อ่านก็รู้สึกว่าที่ Editor พูดว่าเดี๋ยวนี้ คนรวยวัดกันที่ US DOLLAR คือ อย่างในปัจจุบัน US DOLLAR อ่อน เศรษฐีในเอเชียก็ติด Chart มากหน่อย เพราะค่าเงินเอเชียแข็งกว่า DOLLAR เลยทำให้เราดูรวยขึ้น
--อย่างตอนต้มยำกุ้ง เงินบาท ลดค่าไปครึ่งนึง เลยทำให้เศรษฐีไทยตกกระป๋องไปเลย เพราะจริงๆนับตั้งแตปี 1997 เป็นต้นมา ค่าเงินเราก็ยังถูกกว่าสมัยก่อนมาก อย่างแต่ก่อนเปลี่ยนค่าเงินผมจำได้ว่า 1 ดอลล่าห์ เท่ากับ 25 บาท -- ตลกไหมว่าตอนนี้พอเงินบาทแตะ 32 บาทต่อ 1 US ออกมาร้องกันบอกเงินบาทแข็ง (ยิ่งแข็งยิ่งทำให้คนไทยรวยขึ้น จริงไหม --ผู้ส่งออกบอกไม่จริง ผมว่าการที่ค่าเงินเราอ่อนมานาน ทำให้ผู้ส่งออกเคยตัว เลยไม่ต้องเร่งพัฒนาประสิทธิภาพการผลิต เอาแต่ใช้ค่าเงินพยุงให้ขายของได้ มิน่าบ้านเราเจริญช้า)
ถ้าอยากบีบให้ เราพัฒนาผมว่า ให้เงินบาทแข็งถึงจะดี จริงไหม ฮิ ฮิ... ตอนนี้เวียดนามมาอีแบบเดียวกับเรา พอแข็งไม่ไหวรีบลดค่าเงินดอง ของส่งออกจะได้ขายได้ (ตัดราคากันเข้าไป นี่หนาคนเอเชีย) จีนก็ไม่ยอมปล่อยค่าเงิน -- ถ้าผมเป็นจีนนะ ผมจะปล่อยให้ค่าเงินสูงขึ้น เป็นการบีบให้เกิดการพัฒนาอุตสาหกรรม แต่ปล่อยให้ค่าเงินหยวนค่อยๆขึ้นช้าๆ พัฒนาไปกับการตั้งกองทุนแบบ RMF/LTF อย่างบ้านเรา แต่ให้ไปลงทุนต่างประเทศให้หมด คือ พอค่าเงินหยวนแพง ก็ซื้อหุ้นต่างประเทศ หรือ Asset ได้ถูก แล้วค่อยๆเร่งให้การลงทุนต่างประเทศเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ผมว่าเน้นลงมันกลับไปในอเมริกานี่แหละ อยากมาบีบให้ขึ้นค่าเงินดีนัก ก็ซื้อสินทรัพย์ของอเมริกาไปเลย ดีกว่าซื้อพวก Treasury Bill เป็นไหนๆ
กลับมาที่บ้านเรา ผมว่าในอนาคตเงินบาทควรแข็งขึ้นเรื่อยๆ และก็เน้นให้กองทุนเราไปเล่นในต่างประเทศมากขึ้นโดยให้ Incentive ทางภาษี อย่างนี้ถึงจะทำให้คนไทยรวยขึ้น เมื่อเราเป็น Inter มากขึ้น เราก็จะดูดีในสายตาต่างประเทศ ทีนี้เขาก็จะขนเงินกลับมาลงทุนบ้านเราเพิ่ม ---ตรงนี้ส่งผลดีต่อตลาดหุ้น ทำให้หุ้นเราขึ้นไปในราคาที่ควรจะเป็น(ตอนนี้ SET ถูกเกินไป มีที่ไหน Dividend สูงอย่างบ้านเรา แสดงว่าจริงๆไส้ในบริษัทของเรามันดีกว่าที่ต่างชาติคาด ) ตอนนี้ผมว่าเขาเริ่มจะรู้แล้ว ตลาดเลยเริ่มวิ่ง -- เพราะถ้าเทียบเพื่อนบ้านเราควรอยู่ที่ 1000 จุดไปแล้ว (ไม่ใช่อยู่แค่นี้)
สรุปไปมาก็คือ ตลาดเราต้องไปอีกมาก จึงจะสะท้อนความมั่งคั่งที่แท้จริงของคนไทย (อีกไม่นาน ต่างชาติต้องเข้าใจ) แล้วเรา(คนถือหุ้น)ก็จะรวยขึ้น (เราในที่นี้คือ คนที่มีหุ้นอยู่ในครอบครอง ส่วนคนที่ถือเงินสดไว้ ก็รอกินแต่แห้วละกันครับ ฮิ ฮิ)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ? "บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป...
-
"ใครว่าเป็นนักธุรกิจยาก ..หากเทียบนักกีฬา เกมธุรกิจเล่นง่ายกว่าเยอะ -- เล่นแล้วรวยอีก!!" ..คิดดูนะ ถ้าเราเล่นกีฬาอะไรก็ต...
-
‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ? 1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ 2. ’ไทยม...
-
6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ ควรต้องรู้ ขึ้นชื่อว่า ‘นักลงทุนคุณค่า’ ก็แปลว่า เราต้องข้ามผ่าน ’ราคา’(Price) แล้วพุ่งไปที่แก่นของมันคือ ‘มูลค่า’ (...
-
7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น 1. ’หมกมุ่นอยู่ในจุดที่คนอื่นบอกไม่มีอนาคตแล้ว‘ …ตลาดหุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว ไปตลาดอื่นเถอะ 2. ’ซื้อหุ้น...
-
'ขายของอย่างไรในยุคขายยาก' คนที่จะขายสินค้าและบริการได้เก่งในยุคนี้แบบ Steve Jobs คือ สามารถสร้างสินค้าและบริการที่ 'โดน' มา...
-
วันนี้ไปเจอหนังสือเล่มนึง ที่ผมว่า เขียนได้ In-trend มากๆ ..มันเป็นแนวคิดสำหรับ คนรุ่นใหม่ที่อยาก Self-made "คนรุ่นใหม่ที่สร้างตัวด้วยต...
-
วันนี้มีโอกาสได้คุยกับ คุณ สุระ ผู้ก่อตั้ง Com7 เจ้าของ ร้านในเครือ Banana IT ..เดี๋ยวนะ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการมาเชียร์หุ้น แต่จะมาเล่ามุ...
-
ตลาดหุ้น จะแบ่งออกเป็น ตลาด Bull & Bear Market Bull Market ก็คือช่วงที่นักลงทุน มองว่าเศรษฐกิจดี และ โอกาสที่หุ้นจะขึ้นมีเยอะ ทำให้ทุ...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...