แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การไปต่อไม่ได้ มันอยู่ที่คิดเองนั่นแหละ

‘เคยเป็นไหม …ไปต่อไม่ได้ ?’ …คือ มันมาถึงจุดที่เราก็ไม่ได้ลำบาก ไม่ได้มีความทุกข์อะไร …เฮ้ย!! แต่ทำไมมันไม่มีความสุขวะ ?

 ผมว่า สิ่งที่ทำให้เราไปต่อไม่ได้ คือ ‘ความสำเร็จในอดีต’ 


อย่างผม ช่วงที่ดังที่สุด เป็นช่วงที่ มองย้อนไปแล้วโคตรไม่ได้เรื่อง ..’ความรู้น้อย ประสบการณ์ก็ไม่มี แถมโคตรกร่าง’ - แต่นั่นแหละ ทำให้เราเคยดังที่สุดไง …555


วันนี้มันเข้าใจแล้ว เรากลับไปกร่างแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราก็เลยต้องเปลี่ยน Version 


…จริงๆ วันนี้ผมว่า เราต้องทิ้งตัวตนและความสำเร็จในอดีต แล้ววิ่งไปหาโจทย์ใหม่ที่อยากจะทำ


แต่สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ ‘อย่าพยายามพิสูจน์ตัวเองอีก เพราะ เราพิสูจน์ไปแล้ว พอแล้ว’ …ถ้าจะพยายามพิสูจน์อีกเราก็จะทุกข์อีก เพราะ มันเป็นโจทย์ที่ผิด (เป็นกับดักของคนดัง และ คนสำเร็จแทบทุกคน)


‘โจทย์ใหม่’ คือ 


1. อะไรที่เราทำน้อย และได้ผลลัพธ์เยอะ …เราก็ควรทำต่อไป เพราะ จุดนี้คือ Productivity ของเรา


2. ออกกำลังกายเป็น Routine เป็นงานประจำ


3. หาทางให้รางวัลคนที่เรารักมากขึ้น ..คนแก่ขึ้น จะมีความสุขเมื่อคนรอบตัวมีความสุข โคตรเข้าใจเลย


4. ลองสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำในอดีต 


สรุป ทำ 2 อย่างที่เรา ‘อยากทำ’ และ ทำ 2 อย่างที่เรา ‘ไม่อยากทำ’ …ข้อ 2 กับ 4 นี่โคตรไม่อยากทำ …แต่ต้องทำ เพื่อ Balance ชีวิต ไม่ให้สบายเกินไปจนเข้าไปเขตจิตตก และ โรคซึมเศร้า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คุยกับ นักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 2

 คุยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 2 


พี่สนใจในมุมนักลงทุน อะไรเป็นโอกาสบ้าง ในธุรกิจใหม่ ?


‘สิ่งที่เปลี่ยนโลก ทุกวันนี้ มันมี 3 อย่าง คือ หนึ่ง Technology ใหม่ / สอง ‘Consumer Behavioral เปลี่ยน’ / สาม ‘Regulator กฏหมายเปลี่ยน กฏหมายเปลี่ยน’ ..โอกาสอยู่ในสามเรื่องนี้’ 


แปลว่า บริษัทที่น่าสนใจ ลงทุนแล้ว รวยเยอะๆ ต้องมองที่สามจุดหลักๆ นี้ ?


‘ใช่ครับ ..แต่ทั้ง 3 เรื่องนี้ ยากโคตร …Technology เปลี่ยน เช่น Apple , Consumer เปลี่ยน เช่น อุตสาหกรรมเพลง , รถไฟฟ้า …กฏหมายเปลี่ยนเช่น    คริปโต อะไรพวกนั้น’ 


เหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในยุคนี้ มันต้อง Cross Platform คือ การที่ต้องเปลี่ยนแปลงหลายๆ ส่วนร่วมกัน …คนที่ได้เปรียบ คือ คนที่สามารถ มองกว้าง เอา ‘เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน


‘คนเก่งเฉพาะทาง ก็ยังได้อยู่พี่ …ในทุกๆ ส่วน ก็ยังต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่ดี เพียงแต่ มันไม่มีอาชีพที่ยั่งยืน ทำได้ตลอดชีวิตแบบในอดีต’ 


ถ้าจะสอนคนรุ่นใหม่ จะแนะนำเขาเรียนอะไรดีล่ะ ?


‘เรียนอะไรก็ได้พี่ ไม่สำคัญ ..แต่ต้องรู้วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ …พูดง่ายๆ คือ สามารถเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกตลอดเวลา เพราะ โลกทุกวันนี้เกิด Technology ใหม่ , Platform ใหม่ตลอดเวลา …ต้องเรียนรู้ แล้วปรับตัว ตลอดเวลา


แล้วอะไรคือ ความมั่นคงของคนในยุคนี้ล่ะ ?


‘ไม่มีครับ’ …ในโลกมันก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา …ผมว่า พี่ น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าผม …แล้วอะไรล่ะ ที่ไม่เปลี่ยนตามกาลเวลา ?


‘สินทรัพย์’ น่าจะเปลี่ยนแปลงน้อยสุดละ …อย่างในอดีต ก็คือ ที่ดิน ..คนรวยเลยปล่อยทุกอย่าง แต่ขอยึดไว้อย่างเดียวคือ ‘ที่ดิน’ Landlord นั่นเอง …พอมายุคนี้ ก็ปล่อยทุกอย่าง ยกเว้น ยึดความเป็นเจ้าของ ก็คือ ถือหุ้นใหญ่ใน Platform …น่าจะเป็นแบบนั้น 


หน้าที่นักลงทุน คือ มองให้ออกว่าอะไรคือ Platform ใหม่ แล้วเข้าไปซื้อหุ้นลงทุน นั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คุยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 1

 คุยกับนักธุรกิจร้อยล้านรุ่นใหม่ …หวัดดีน้อง !!


…เล่าให้พี่ฟังหน่อยว่า ธุรกิจรุ่นใหม่มันต่างกับรุ่นเก่าอย่างพี่ยังไง ?


‘จริงๆ มันไม่ได้ต่างกันครับ’ …สินค้าอะไรมันก็เหมือนเดิม แต่ที่แตกต่างคือ ‘ผู้เล่น และ วิธีการเล่น’ 


ยังไงวะ ?


‘ยกตัวอย่าง ธุรกิจเพลง …คนก็ยังฟังเพลงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เครื่องฟังเพลง …ฟังที่ไหนก็ได้ , เคยเสียเงินเยอะเพื่อซื้อเพลง เดี๋ยวนี้ฟรี และก็ไม่ต้องซื้อเพลง ใช้เช่าแทน จ่ายเป็นรายเดือน , ค่ายเพลงแต่ก่อนสำคัญสุด ผูกขาด เดี๋ยวนี้ Platform (ตัวกลาง)เช่น Spotify สำคัญกว่า’ 


สรุปคือ มันไม่เหมือนเดิมเลย …ถามหน่อย พอเปลี่ยนแล้วใครได้ประโยชน์ ?


‘ผู้ฟัง = จ่ายถูกลง ทางเลือกมากขึ้น / ค่ายเพลง ได้เงินน้อยลง / นักดนตรี เกิดง่ายขึ้น แต่จะดังยากขึ้น / เส้นแบ่งระหว่าง ผู้ผลิต กับ ผู้ฟัง มันไม่ชัดละ …คนฟังสามารถเปลี่ยนมาเป็นคนผลิตก็ได้ เรียกว่า โอกาสมันเปิดมากขึ้นนั่นเอง / คนได้ประโยชน์สุดก็คือ ตัวกลางใหม่ (Platform)’


พี่สนใจ อุตสาหกรรมการเงิน ช่วยวิเคราะห์หน่อย ?


‘ผมว่า ก็ไม่ต่างจากธุรกิจเพลงนะ’ ..คือ เกิดตัวกลางใหม่ ที่ต้องทำให้บริการต่างๆ 1.ถูกลง 2.เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ….อย่างในจีน มันเกิดตัวกลางทางการเงินใหม่แล้ว อย่าง Alipay , Wechatpay มันมาเป็นทางเลือกของลูกค้า แต่อย่างเมืองไทยต่างกัน …ธนาคารยังเป็นตัวกลางตรงนี้อยู่ (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ถ้าใครทำได้ ถูกกว่า และ ดีกว่า)


แต่อย่างธุรกิจการเงินของไทย คู่แข่งคือ ธุรกิจการเงินทางเลือก Non-bank ที่เติบโต (วันนี้เริ่มถึงจุดอิ่มตัว เพราะ หนี้ของคนถึงคอหอยละ) …คู่แข่งที่น่ากลัวของ Bank ไทย ก็คือ Non-bank ที่ใช้ Technology เข้ามาใช้อย่างจริงจัง


ยักษ์ ชน ยักษ์ …แล้ว นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ตัวไม่ใหญ่ จะหาโอกาสยังไง ?


‘เราสร้าง Platform ไม่ได้ เพราะมันผ่านยุคสร้าง Platform ไปแล้ว …วันนี้มันมาถึงยุคของคนที่เอา Platform มาหาประโยชน์ …อย่างพวก Youtuber , TikToker ก็คือ คนที่รู้จักหาประโยชน์จาก Platform …ซึ่งวางอยู่บนหลักการ ใครไวใครได้ ..ยิ่งดังก็ยิ่งได้มากที่สุด เหมือนเดิม’ 


สรุปให้เห็นภาพหน่อย ?


‘คนรุ่นใหม่ทำธุรกิจ มี 2 อย่าง คือ 1. สร้าง Platform ก็คือ ต้องหาทุนแล้วพยายามสร้าง’เกมใหม่’ แล้วลุ้นว่าจะมีคนมาใช้ …ในอดีต ก็คือ พวก Landlord เจ้าของตลาด เจ้าของห้าง เจ้าของร้าน 

2. หากินบน Platform คือ คนที่หาโอกาสจาก Platform ใหม่ๆ …พวกนี้ไม่ต้องลงทุนก่อน เข้าไปหาเงินได้เลย แต่ต้องเร็ว พอถึงจุดนึงต้องเลิกไปหาที่ใหม่ไปเรื่อยๆ …ในอดีตก็คือ SME สมัยก่อนนั่นแหละ …ไม่ได้สร้าง Ecosystem แต่เข้าไปหาช่องว่างจาก Platform อีกทีนึง’


เริ่มเข้าใจละ …วันนี้หลายๆ อุตสาหกรรมมันมาถึง จุดเปลี่ยนของ Platform เช่น ธุรกิจหนัง , ธุรกิจเพลง , ธุรกิจสื่อ …พอธุรกิจไหนเปลี่ยนก็จะเกิด ‘มหาเศรษฐี’ จาก Platform ใหม่ …ส่วนคนที่เข้าไปใช้ Platform แรกๆ ก็มีโอกาสเป็น เศรษฐี !! ว่างั้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 2

 คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 2 


ผม : ‘มีอะไรที่พี่อยากแนะนำผมไหม ?’ 


พี่โจ : ‘คนเราจะรวยจากสิ่งที่ไม่คาดคิด และ เจ๊งหนักจากสิ่งที่เรามองข้าม’ …ดังนั้น ให้ถามว่า หนึ่ง ‘อะไรคือสิ่งที่เราไม่คาดคิด’ และ สอง ‘อะไรคือสิ่งที่เรามองข้าม’ 


ผม : สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือ ‘หุ้นดีๆ ที่ผมอยากซื้อ มันจะลงมาถูก จนเหลือเชื่อ !!’ …และ สิ่งที่ผมมองข้ามก็คือ ‘ผมโคตรคันเลย สงสัยจะซื้อหุ้นจัดหนักวันนี้เลย …แต่พอตลาดหุ้นมันลงหนักจริง จนถึงจุดที่ต้องซื้อ ปรากฏว่า ผมดันไม่มีเงินสดเหลือ เพราะ ดันซื้อไปเต็มปอดแล้ว’ …ใช่ไหมครับพี่ ?


พี่โจ : ‘โคตรเป๊ะมรึง !!’ …งั้นจะแก้ไขยังไงล่ะ ?


ผม : งั้นผมจะนั่งทับมือ …รอให้หุ้นที่ผมอยากซื้อมันลงมาจนถึงจุดที่โคตรถูก โคตรใช่ …จุดนั้น ผมก็จัดหนัก ซื้อเต็มๆ แค่นี้ก็รวยโคตรๆ แล้วใช่ไหมพี่ ?


พี่โจ : ‘ถูกต้อง!!’ …เมื่อเข้าใจแล้ว ที่เหลือคือการลงมือปฏิบัติจริงล้วนๆ 


ผม : โคตรมีประโยชน์เลยพี่ …แต่เอาตรงๆ นะ รอบนี้ ผมขอนั่งดู เพื่อศึกษา แล้วรอรอบหน้า ผมค่อยจัดเต็ม จัดจริง ดีไหมครับ ?


พี่โจ : สรุปคือ กรูแนะนำอย่างจริงใจแล้ว แต่คุณจะรอ รอจนไม่ได้ปฎิบัติจริง …เอาตรงๆ นะ ถ้าคิดแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการผลัดวันประกันพรุ่ง ..หวังว่าพรุ่งนี้ ค่อยทำ …นี่แหละ วิธีคิดของคนส่วนใหญ่ …เมื่อถึงวันที่คุณกล้า มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ บอกเลย !!


…ถ้ารอจนถึงวันที่เราพร้อม มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ 


เข้าใจไหม ? 


คนที่เขารวย เขาสำเร็จ ก็เพราะ เขากล้าลุยในวันที่เขาไม่พร้อมนั่นแหละ เคล็ดลับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เมื่อผมได้คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 1

 


เมื่อผมได้คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 1 


หลายคนอาจนึกภาพไม่ออกว่า ‘มหาเศรษฐี’ ยุคนี้เขาหน้าตาเป็นยังไง 


..ลองนึกภาพคนธรรมดา (โคตรธรรมดา) แต่แค่เขามีเวลาและมีความอิสระในชีวิตแบบเหลือเชื่อ แค่นั้นแหละ …ผมขอใช้ชื่อสมมุติของมหาเศรษฐีท่านนี้ว่า ‘พี่โจ’ ละกัน


ผมเปิดคำถามเลย ‘ทำไมพี่ถึงรวยล่ะครับ ?’ ..เอาตรงๆ ผมอยากจะรู้ว่า ถ้าที่บ้านผมไม่ได้รวยอยู่แล้ว ผมจะรวยด้วยตัวเองได้ไหม ?


พี่โจ : ‘จะให้ตอบหล่อๆ หรือตอบจริงๆ’ …เอาว่า ยุคนี้ Selfmade ง่ายขึ้นเยอะ …คนรวยจะมีมากขึ้นเยอะ แต่คนที่รวยแล้วรักษาความรวยเอาไว้ได้ตลอด มันก็ยังจะน้อยเหมือนเดิม 


ผม : ‘แปลว่า อะไรครับพี่ ?’ 


พี่โจ : ‘ก็แปลว่า วันนี้โอกาสในการรวยมันเปิดกว้างขึ้น ..แต่คนรุ่นใหม่ใช้เงินโคตรเก่ง และกล้าเสี่ยงมากขึ้น …ก็จะมีคนรวยหน้าใหม่เยอะ แต่ส่วนใหญ่จะรักษาความรวยเอาไว้ไม่ได้’ 


ผม : ‘ทำไมล่ะครับ ?’ 


พี่โจ : ‘วิธีคิดไง’ …การจะรวยมันต้องเสี่ยงให้สุด …แต่วิธีคิดของการรักษาสิ่งที่หามาได้ ต้องลดความเสี่ยงลง ..มันสวนทางกันไง 


ผม : ‘น่าสนใจ !! …แล้วทำไมพี่ไม่จนลง แถมรวยขึ้นอีกล่ะครับ ?’ 


พี่โจ : ‘พี่ยังอยู่ในโหมดของการสร้างอยู่มั้ง !!’ …เอาตรงๆ ชีวิตพี่ เสี่ยงมาตลอด …วันนี้ก็เสี่ยงเหมือนเดิม แต่แค่พอร์ตพี่ใหญ่ขึ้น …ดังนั้นที่บอกว่า เสี่ยงเหมือนเดิม แต่พอพอร์ตใหญ่ขึ้นมันก็กระจายไปลงทุนหลากหลายขึ้น แต่ทุกจุดก็เสี่ยงหมดแหละ (เพราะ เอาตรงๆ อะไรที่ไม่มีความเสี่ยง มันย่อมไม่มีผลตอบแทน) 


ผม : ‘พี่กำลังจะบอกผมว่า ..คนรวยคือคนที่กล้าเสี่ยง’ ..พอเขารวยแล้ว เขาไม่ได้หยุดเสี่ยง เขาแค่ตัวใหญ่ขึ้น ก็เลยรับบาดแผล และ ความเจ็บปวดได้มากขึ้น …แต่เสี่ยง ชิบหาย เหมือนเดิม ?


พี่โจ : ใช่!! มันคือ หัวใจของระบบทุนนิยม …ไอ้ที่คนรวย รวยขึ้นตลอด เพราะ คนรวยมันรับความเสี่ยงได้มากกว่า …และจุดที่เสี่ยงเหล่านั้น มันคือ จุดเดียวที่กำไรเยอะ ผลตอบแทนโตก้าวกระโดด


ผม : ‘งั้นแปลว่า พี่โจ ไม่เชื่อในการทำงานหนัก ขยัน ประหยัด อดทน’ 


พี่โจ : เชื่อซิ!! …ตอนเริ่มต้นทำงาน ทุกคนที่สำเร็จเขาก็เริ่มจากทำงานหนัก ขยัน ประหยัด อดทนทุกคนแหละ …จนเขาได้เงินก้อนแรก ที่เอามาเสี่ยง …บางคนเอาเงินก้อนนั้น เสี่ยง แล้วพลาด แล้วล้มเลิกก็เยอะ …แต่มันก็จะมีแบบพี่นะ ที่เสี่ยงแล้วพลาด แต่กรูไม่เลิก …กรูไปเก็บเงินใหม่ เอามาเสี่ยงใหม่ …ครั้งที่สองกรูก็พลาด หมดเลย …แต่กรูก็ไม่เลิก ….ครั้งที่สาม สี่ ห้า ก็ได้ๆ โดนๆ …ทำแม่งสิบกว่าปี จนเจอ Big Shot …นั้นแหละ จุดรวยเปลี่ยนหลัก ‘เติมศูนย์เข้าไปหลังพอร์ต X10’ นั่นแหละ ที่ชีวิตเปลี่ยนเลย


ผม : ‘รวยแล้วเลิกเสี่ยง ?’ 


พี่โจ : ‘เสี่ยงเหมือนเดิม หนักขึ้น แต่เราเรียนรู้มากขึ้น ว่าอะไรควรเสี่ยง อะไรไม่ควรเสี่ยง’ 


ผม : ‘แปลว่า ประสบการณ์จะทำให้เราลงทุนได้เก่งขึ้น ?’ 


พี่โจ : เอาตรงๆ นะ ‘แม่งไม่ใช่ว่ะ !!’ …ในโลกการลงทุนมันไม่มีสูตรสำเร็จว่ะ …การทำเหมือนเดิม ครั้งนึงรวย อีกครั้งนึงอาจจะพังก็ได้ 


ผม : อ้าว!! แล้วอะไรที่จะมาการันตี ว่าถ้าเรารวยแล้วจะไม่กลับไปซวย


พี่โจ : ‘หลักความน่าจะเป็น บวกกับ อีโก้ ไง’ ..ถ้าวันไหนอีโก้เราเยอะ เตรียมเจอความซวย …ตลาดหุ้นมันสอนความถ่อม ถ้าเราคิดว่าเราเก่งเราจะซวย แต่ถ้าเราใช้หลักความน่าจะเป็น โชคมันจะเข้าข้างเรา …เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นที่จะเจ๊ง 10 ตัว ด้วยความน่าจะเป็นในตลาดหุ้น เราจะมีโอกาสรวยมากกว่าเจ๊ง ….เพราะ เอาเข้าจริง หุ้นที่เจ๊งจริงๆ มันมีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ …สมมุติเลือกมา 10 ตัว มันเจ๊งจริงๆ เลย 3 ตัว …ไอ้ 7 ตัวที่เหลือ มันจะทำให้เรารวย


ก็คือจริงๆ เราไม่รู้หรอกว่า ตัวไหนมันจะดีสุดๆ ดีกลางๆ หรือ ไม่ดี …ถ้าเราคิดว่าเราเก่ง เราก็จะทุ่มหนักไปที่ตัวใดตัวนึง ซึ่งเอาตรงๆ ส่วนมาก หุ้นตัวที่เราทุ่มหนัก มักจะซวย …นั่นแหละ เข้าใจยัง ว่า คนที่เข้าใจหลักความน่าจะเป็น และไม่อีโก้ มักจะรวยกว่าเสมอ !!


ผม : ‘เจสสสส เข้!!’ …เข้าใจยากชิบหายเลยพี่ 


พี่โจ : ก็ถ้ามันเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้ …คนส่วนใหญ่ก็คงรวยเป็นมหาเศรษฐีไปหมดแล้วดิ !!


ผม : ‘จริง!!’ …ว่าแต่พี่โจ มีเงินให้ผมยืมไหม ผมจะไปลองวิธีที่พี่บอกวันนี้เลย 




การสนทนาจบลงตรงนั้น …555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อควรรู้ อ่าน Volume ยังไง ในหุ้นเล็ก

 6 ข้อ ควรรู้อ่าน Volume ยังไงในหุ้นเล็ก


หลายคนกลัวว่า หุ้นเล็ก Volume น้อย ซื้อแล้วกลัวขายไม่ได้ …ส่วนนึงก็ใช่ …แต่ความมี Volume น้อยมันก็มีข้อดี


1. ‘หุ้นเล็กควรซื้อเวลา Volume น้อย’ …บางครั้งหุ้นถูก เราไม่รู้จะซื้อตรงไหน …เอาตรงๆ ก็ซื้อตอนที่แรงขายหมด Volume น้อย ก็แปลเป็นนัยๆ ว่า คนขายเขาขายไปจะหมดแล้ว 


2. ‘หุ้นเล็กควรขายเวลา Volume เยอะ’ …ส่วนใหญ่ตอนที่ Volume เข้าหุ้นเล็ก มันย่อมขึ้นแรงเป็นธรรมดา …ถ้าคิดจะขาย ก็ต้องขาย หรือ แบ่งขายตอนนั้น ถึงจะขายได้ และได้กำไรดี


3. ‘Volume มาเป็นช่วงๆ ในโซนถูก’ …ก็แปลว่า มีรายใหญ่เริ่มมาเก็บของ ทยอยเก็บ เพราะหุ้นเล็กเก็บทีเดียวไม่ได้ เพราะหุ้นมันไม่ได้เยอะแบบหุ้นใหญ่


4. ‘Volume มาเป็นช่วงๆ ในโซนแพง’ …ก็แปลว่า รายใหญ่ขาย ก็ขายทดสอบตลาดว่า ถ้าฉันออก ตลาดจะรับไหวไหม ..ถ้าไม่ไหว ก็ลากต่อ …ง่ายๆ ตรงๆ แบบนั้นแหละ 


5. ‘ข่าวดีสูงสุด ไม่มีข่าวร้ายเลย Volume เยอะมหาศาล คือ จุดออกของ’ …ถ้าไม่ออก ก็ได้นะ แต่คงติดอีกนาน จะติดแบบกำไรหรือติดแบบรวยตัวเลข นั่นก็อีกเรื่อง …แต่ถ้าจุดนี้ไม่ออก ได้ถือยาวแน่นอน


6. ‘อะไรก็ตามที่ Volume มหาศาล แปลว่า มันไม่ใช่จุดที่จะทำให้เรารวย’ …Volume คือ มหาชน หรือ คนส่วนใหญ่ …อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่สนใจ เข้ามาเล่น ก็แปลได้เลยว่า มันจะไปต่ออีกไม่ไกล หรือ มันใกล้ดอยแล้วล่ะ 


‘มหาชน ..Volume …ข่าวดี …ของต้องมี …ใครๆ ก็ชอบ ..ใครๆ ก็เชียร์’ = ทั้งหมดนี้คือ ‘ดอย!!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

9 ข้อ คนรุ่นใหม่ไม่ได้เรื่องแบบที่คนรุ่นก่อนคิด จริงเหรอ ?

 ‘ทำไมคนรุ่นเก่า ถึงคิดว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้เรื่อง ?’ 


…พ่อแม่มักจะห่วงว่าลูกจะไม่เอาไหน …หัวหน้ามักส่ายหัวแล้วบอกว่าเด็กรุ่นนี้ไม่ได้เรื่อง …เอาตรงๆ นะ มันก็เป็นแบบนี้กับคนทุกรุ่นอยู่แล้วรึเปล่า ?


…สมัยพ่อแม่เราเด็กๆ …รุ่นปู่ย่าก็จะมองว่า รุ่นพ่อแม่นี่ไม่ได้เรื่อง คิดอะไรไม่เข้าท่า ทำอะไรเสี่ยง ไม่คิดหน้าคิดหลัง …แต่โลกก็พัฒนาขึ้น …วันนี้รุ่นพ่อแม่ มีลูก ก็มาแบบเดียวกัน …ไอ้เด็กรุ่นนี้ ไม่อดทน ไม่สู้ อยากหาทางลัด ทางเร็ว ..พังๆ พังแน่ๆ 


‘เอาตรงๆ นะ ถ้าดูจากประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของมนุษย์โลก …บอกได้เลยว่า โลกก็หมุนต่อไป พัฒนาขึ้น ความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น ดีกว่ารุ่นเราแน่นอน …ตลกไหม?’ 


ถ้าพูดถึงการลงทุน แทบจะฟันธงได้เลยว่า


1. ดัชนีตลาดหุ้นจะไปไกลกว่านี้อีกเยอะ ..เอาอย่างบ้านเรา SET index มันก็จะไปเรื่อยๆ …ไปไกลจนเราไม่คิดว่ามันจะไปถึง …เหมือนเราย้อมถาม ตอนเปิดตลาดหุ้นใหม่ๆ ว่า ตลาด 100 จุด วันนี้จะมาถึงพันจุดได้ 


2. ราคาที่ดิน …ในอนาคตราคาที่ดิน ก็จะไปต่อ (แต่ไม่ใช่ทุกประเทศนะ) ต้องเป็นประเทศที่ใครๆ ก็อยากมาเที่ยว อยากมาอยู่ แบบไทยถึงจะราคาขึ้นไปเรื่อยๆ 


3. ราคาทอง …ในอนาคตจะแพงกว่านี้ …เอาง่ายๆ ทองมันจำกัด และ มีค่า …มองย้อนไปพันปี มันก็มีแต่ขึ้น (เพียงแต่มันขึ้นช้ากว่า ที่ดิน และ หุ้น ก็เท่านั่นเอง)


4. คนรุ่นใหม่จะรวยกว่าคนรุ่นก่อน และรวยเร็วกว่า …ความแตกต่างมันจะกว้างขึ้นระหว่างคนรวยจะโคตรรวย รวยเร็ว แต่คนส่วนใหญ่จะเหมือนเดิม …เพราะวิธีการลงทุนมันไม่เหมือนกัน (ไว้ผมจะเขียนบทความ ขยายประเด็นเรื่องนี้อย่างละเอียด มันคิดต่างกันจนน่าตกใจ เหมือนอยู่คนละโลก)


5. โลกหมุนมา Localization…ใช่!! หมุนกลับ จากที่เราคิดว่า โลกมันจะโลกาภิวัฒน์ Globalization …มันจะสวนทาง เพราะ ทุกวันนี้เศรษฐกิจและการเมืองมันหมุนกลับแบบที่เราเห็น …แต่ไทยจะได้ประโยชน์ครับ


6. ‘ธุรกิจจะหมุนเข้าหาคนตัวเล็ก’ …สมัยก่อนธุรกิจใหญ่ ผูกขาด ได้เปรียบ กินรวบทุกอย่าง …แต่ต่อไปมันจะหมุนตรงข้าม โลกจะขับเคลื่อนด้วยธุรกิจเล็ก จำนวนมหาศาล และ เกิดผู้นำรุ่นใหม่ ผู้ขับเคลื่อน …ถ้าให้ผมเลือกลงทุนระยะยาว ผมเลือกตัวเล็ก (ความมั่นคงมันก็เรื่องนึง แต่ผมแคร์ผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดเปลี่ยนชีวิตมากกว่า) …ธุรกิจคนตัวเล็ก เริ่มตั้งแต่ สินค้าที่แตกต่าง …ถ้านึกภาพไม่ออก ลองเดินเข้าไปกินร้านอาหารดัง ที่คนรุ่นใหม่เป็นเจ้าของ เทียบกับ ร้านดังที่คนรุ่นเก่าเป็นเจ้าของ …สินค้าก็ต่าง บริการก็ต่าง พนักงานนี่คนละรุ่นเลย การโปรโมทก็ใช้คนละวิธี …สรุป มันคนละ Mindset ในการทำธุรกิจ !!


7. ‘ธุรกิจ Luxury จะดีมากๆ เลย’ …ทั้งสินค้าและบริการ เพราะ คนส่วนใหญ่จะวิ่งเข้าหา Luxury …แต่ ความหรูหราที่แท้จริงในอนาคต คือ ‘คนที่มีเวลา และมีอิสระ’ (คนรุ่นใหม่จะใช้ของแพงมากขึ้น การสร้างความ Unique เป็นเรื่องที่สำคัญมาก …ต่อไปคนที่ใช้ของแพง คือทุกคน มันคือ Mass Luxury)


8. ‘คนรุ่นใหม่ เขาจะคิดไม่เหมือนเรา’ …เอาตรงๆ เขาคิดตรงข้ามเราเลยมากกว่า …มันไม่ได้แปลว่า เขาแย่ แค่เราไม่เข้าใจเขา …เช่น คนรุ่นเก่าอาจจะรวยด้วยที่ดิน ธุรกิจเน้นผูกขาด เส้นสาย…คนรุ่นต่อมาอาจจะรวยด้วยหุ้น ธุรกิจเน้นการหาช่องว่าง แล้วดันเข้าไปโตในตลาดหุ้น …คนรุ่นใหม่อาจจะรวยด้วยคริปโต ธุรกิจแบบที่ผมและคุณยังไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถอะ เราควรเปิดใจเรียนรู้ (แต่ให้เขาทำต่อไปเถอะ)


9. ‘บ้านคนรุ่นใหม่จะหรูขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่ที่แน่ๆ เล็กลงเรื่อยๆ’ ….ผมว่าทุกวันนี้ บ้านเรา มีเครื่องอำนวยความสะดวก สบายกว่า ฮ่องเต้ในอดีตเสียอีก แต่มันเล็ก เพราะ ที่ดินมันแพงขึ้นเรื่อยๆ ไง …555


สรุป ‘ไม่ต้องไปห่วงคนรุ่นใหม่หรอก’ ..ผมว่า ผมต้องเปิดใจเรียนรู้วิธีคิด วิธีทำธุรกิจ และ วิธีลงทุนในโลกยุคใหม่ให้ทัน …ใช่!! เราห่วงตัวเอง ให้ยอมเปิดใจ น่าจะดีกว่านะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 สิ่ง ที่ผมเปลี่ยนความคิด เมื่ออายุมากขึ้น

 6 สิ่ง ที่ผมเปลี่ยนไป เมื่ออายุมากขึ้น


1. ‘เคยคิดว่า ทุ่มทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ มาสู่ ถ้าเดินถูกทางแล้ว ค่อยๆ เดินก็ได้ ไม่ต้องรีบ’ …การปั้นพอร์ตถ้าเรารีบเกินไป มันจะเจอกับความเจ็บปวดเยอะ …ดังนั้น ถ้ารู้ว่ามาถูกทางจะพยายามลดความคาดหวังลง เพื่อลดความกดดัน


2. ‘ทำเงินแต่ไม่ใช้เก็บเพื่อเป้าหมายระยะยาวอย่างเดียว มาสู่ ใช้บ้างถ้ามันไม่ได้ทำให้เราพัง’ …แต่ก่อนผมคิดทุกเม็ดเวลาจะจ่ายเงิน …วันนี้ผมให้รางวัลตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น คือ ถ้าใช้เงินแล้วไม่เดือดร้อน แล้วมันให้ความสุข ผมก็ยอมจ่าย …เงินไม่ใช่พระเจ้า เงินคือผู้รับใช้ที่ดีมาก หากเราใช้เป็น !!


3. ‘ทำงานไม่สนใจร่างกาย มาสู่ ให้ความสำคัญกับสุขภาพ’ …จากที่เคยไม่สนใจการออกกำลังกาย มาสู่ การออกกำลังกายเป็นกิจวัตร …เอาตรงๆ วันนี้มีวินัยกับการออกกำลังกาย เหมือนทำงานประจำเลยแหละ


4. ‘พยายามเจอคนให้มากที่สุด มาสู่ ขอเจอคนคุณภาพไม่กี่คนก็พอ’ …การรู้จักคนเยอะๆ มันก็ดี แต่ถ้าเราอยากจะไปสู่อีก Level ผมเชื่อว่า คือ การเลือกที่จะเจอคนให้น้อยลง …ผมพบว่า การปฏิเสธ ทำให้เรามีอิสระและมีความสุขมากขึ้น


5. ‘อยากมีชื่อเสียง มาสู่ ลดชื่อเสียงลงเอาให้พอหาเงินได้ แค่นั้นพอแล้ว’ …คนมีชื่อเสียงหาเงินง่าย แต่มันมาซึ่งความเหนื่อยและการที่ไม่สามารถเป็นตัวเอง …ถ้าเลือกได้ อยากจะ Low Profile High Profit …ชิวกว่า สบายใจกว่าเยอะ


6. ‘อยากชนะ ในทุกสิ่งที่ทำ มาสู่ ประคองตัวให้ไม่แพ้ ยังไงก็ชนะแล้ว’ …วันนี้ไม่อยากแข่งกับใครเลย …ขอแข่งกับตัวเอง เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ยอมผิดซ้ำ …แค่นั้นก็จะค่อยๆ เติบโต แบบสบายๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตพ่อผม คือ การเกษียณเร็ว


 ‘หนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของพ่อผม ก็คือ การเกษียณเร็ว’ 


พ่อผมเลือกเกษียณ ตั้งแต่อายุ 40 กว่าๆ จนวันนี้ก็อายุ 70 กว่าปีแล้ว …เกษียณมา 30 ปี ต้องเรียกว่า เป็นมืออาชีพในการเกษียณได้เลย …555


เอาตรงๆ ผมโชคดีมากที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างโดยตรงจากพ่อ 


ที่สำคัญมากคือ ‘พ่อสอนว่า ชีวิตเรา …เราต้องเป็นคนกำหนดเอง’ …พูดเหมือนง่าย แต่จริงๆ การที่เราจะถึงจุดที่ กำหนดชีวิตเอง มันต้องเกิดจากการ วางแผนและอดทนทำเป็นเวลานับสิบๆ ปี 


เรื่องแรกที่ต้องวางแผน คือ ‘เรื่องเงิน’ …คร่าวๆ ดังนี้


1. ‘เพิ่มงานที่ใช่ ลดงานที่ไม่ใช่’ …งานที่ใช่ คือ งานที่เราออกแรงน้อยแต่รายได้เยอะ …งานที่ไม่ใช่ คือ งานที่ออกแรงกินเวลาเยอะ แต่รายได้น้อย 


2. ‘เริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่ทำงาน และทำเงินแทนเรา’ …อันนี้คนละเรื่องกับการเทรดเก็งกำไรนะ …อันนี้คือพอร์ตระยะยาวที่ทยอยซื้ออย่างเดียว ไม่ขาย เพราะเป้าหมายไม่ใช่ต้องการกำไร แต่ต้องการ Wealth และเป็นตัวแทนที่ทำงานแทนเราในที่สุด


3. ‘หากิจวัตรหลังเกษียณ’ …หลายคนจะคิดว่า พอเกษียณจะนั่งๆ นอนๆ ดูทีวี กิน เที่ยว แต่คนที่พูดแบบนั้น แปลว่า ไม่เข้าใจเรื่องเกษียณเลย …การเกษียณคือ การหา กิจวัตรใหม่ …ซึ่งเดิม กิจวัตรหลักๆ เราก็คือ งานประจำนั่นแหละ …กิจวัตรใหม่ คือ ‘แกนของชีวิต’ เช่น ถ้าเราจะเอาสุขภาพนำ …แกนใหม่ของชีวิต อาจจะเป็นการออกกำลังกาย ที่ต้องทำเป็นหน้าที่ ทำทุกวัน มันคือ ระเบียบวินัยครั้งใหม่ที่ต้องมี …ส่วนเรื่องอื่นๆ จะเป็นองค์ประกอบ


4. ‘งานหลังเกษียณ’ …อ้าว!! เกษียณแล้วต้องทำงานด้วยเหรอ …ใช่!! แต่งานนี้ คือ เรากำหนดเอง ไม่มีหัวหน้ามาสั่ง เราอยากทำงานนี้จริงๆ .. ไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำ …เอาตรงๆ หลายคน ทำงานหลังเกษียณ ได้ดีกว่า งานก่อนเกษียณมาก …เพราะ มันคืองานที่ชอบ ทำได้ดี บางทีรายได้ดีกว่าเยอะมากๆ และ เรากำหนดทุกอย่างเอง


….


แต่ก่อนผมเคย จินตนาการว่า หลังเกษียณ คือ นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ปล่อยวาง ปลง เตรียมตัวตาย …แต่ไม่ใช่เลยครับ 


เกษียณที่พ่อผมสอน คือ ‘การมีชีวิตใหม่ที่เรากำหนดและเลือกทางเดินเอง …ยังคง Active , สนุก , สุขภาพดี และ ทำงานที่เลือกและกำหนดเอง !!


…แจ๋ว !! …ผมหวังว่า วันนึง ผมจะพัฒนาไปให้ถึงจุดนั้น …จุดที่ชีวิตเลือกได้และกำหนดได้เอง แต่ยังคงเป็นคนมีวินัย มุ่งมั่น และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 เคล็ดลับ ไม่ต้องเดาตลาดถูก แต่ขอพอร์ตค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ

 6 เคล็ดลับ ไม่ต้องเดาตลาดถูก แต่ขอพอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆ 


อ้าว!! นึกว่า พอร์ตโต ต้องเดาตลาดเก่ง …ไม่ใช่!! ..เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้


1. ‘การบริหารหน้าตักให้มีทั้งเงินสด และหุ้นตลอดเวลา’ …เอาตรงๆ ถ้าเราเอนเอียงไปทางไหน ตลาดมักไปอีกทาง เช่น ถ้าเราถอดใจ ล้างพอร์ตถือเงินสด เดาได้เลยเดี๋ยวตลาดจะขึ้น …หรือ วันไหนเรามั่นใจ ถือหุ้นเต็มปอด เดี๋ยวมีปรับฐานลึกสุดใจ 


2. ‘ให้โน้มไปตรงข้ามกับความรู้สึกเรา’ …ใช่!! เราต้องมีทั้งเงินสด และหุ้น แต่การให้น้ำหนักว่า หุ้นเยอะ หรือ เงินสดเยอะ ให้ดูที่ความรู้สึกเรา ….แล้วโน้มไปตรงข้าม ..เช่น รู้สึกแย่ ให้โน้มมาทางถือหุ้นเยอะ เงินสดน้อยหน่อย


3. ‘ทำการบ้าน Stock Wish List เตรียมซื้อเวลา มันลงทีเผลอ’ …โถ่!! อย่าใจร้อน …หุ้นตัวไหนอยากซื้อก็จดไว้ เดี๋ยวถ้าใจเย็นพอ มันจะมีการทิ้งตัวมารับเรา …ถึงเวลานั้น ช่วยกล้าซื้อด้วยนะ (ปัญหาคือ พอมันลงมารับเราจริง เรากลับไม่กล้าซื้อ)


4. ‘หลีกเลี่ยงหุ้นมหาชน ในตลาดบ้าบอแบบนี้’ …หุ้นมหาชน คือ หุ้นที่คนส่วนใหญ่สนใจ …ใครๆ ก็มี …ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ใครๆ ก็รวยนะคิดดีๆ 


5. ‘วิ่งไปหาจุดที่เสี่ยง แต่กระจายความเสี่ยงแบบเป็นพอร์ต’ …จุดที่ไม่เสี่ยง วันนี้น่ากลัว อะไรดูชัวร์ ไม่เสี่ยง ตรงนั้นยิ่งน่ากลัว …ให้ไปหาจุดที่เสี่ยง แต่ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง


6. ‘เชื่อมั่นในประเทศไทย’ ..พูดแบบนี้ขัดความรู้สึกโคตรๆ ใช่ไหมล่ะ ? …ลองหาข้อมูลดีๆ เราจะรู้ว่า ประเทศไทยในเวลานี้จริงๆ ไม่ได้แย่แบบที่คนส่วนใหญ่คิด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ทำไมคนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ ทั้งที่ความจริงมันตรงข้าม

 ‘ทำไมคนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ …แต่ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ’ 


1. ‘เพราะเราคิดว่า เราฉลาดกว่าคนอื่น ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่’ …เอาตรงๆ ในโลกนี้ไม่มีใครโง่ …ดังนั้น ใครก็ตามที่เริ่มต้นด้วยคิดว่าคนอื่นโง่ มักจะซวย เพราะ นั่นคือความประมาท ที่นำหายนะมาตลอด (คนเก่งไม่ได้แพ้เพราะเขาโง่ แต่เขาแพ้เพราะความประมาท)


2. ‘เพราะเราคิดว่า เราคิดต่าง แต่จริงๆ เราก็แค่คิดเหมือนคนอื่นๆ …ไม่ต่างเลย’ …ทุก Gen มักคิดเหมือนๆ กัน แต่เราชอบเอา Gen เราไปเทียบกับ Gen อื่น ซึ่งแน่นอนมันไม่เหมือนกัน …คนที่สำเร็จไม่ใช่คนที่คิดแตกต่างจาก Gen อื่น เพราะ มันคือเรื่องปกติ (เราจะคิดไม่เหมือนรุ่นพ่อแม่) …แต่คนที่แตกต่าง คือ คนที่คิดแตกต่างจากคนรุ่นเดียวกัน แตกต่างจากคน Gen เดียวกัน (คิดไม่เหมือนเพื่อนเรา) …นั่นแหละ คนคิดต่างจริงๆ


3. ‘เพราะเราอยากจะให้คนอื่นเห็นว่า เราสำเร็จและรวยกว่าที่เป็นจริง’ ..ซึ่งจริงๆ มันเหนื่อย และ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แถมมันเป็นตัวถ่วงไม่ให้เราไปสู่เป้าหมายจริงๆ ของเรา


4. ‘คนที่ขาดวินัย และ ความอดทน ไม่มีทางประสบความสำเร็จ’ …ใครๆ ก็อยากสบาย อยากรวย โดยไม่อยากทำงานหนัก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย …ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเป็นคนมีวินัยและความอดทนเกินกว่าระดับปกติ …ทุกคนจริงๆ บอกเลย!!


5. ‘โอกาสซ่อนอยู่ในความเจ็บปวด และความกลัวเสมอ’ …ถ้าเราพยายามหนีความเจ็บปวด และ ความกลัว เราก็จะไม่เจอโอกาสที่พาเราไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกัน 


แค่ 5 ข้อนี้ ก็พอจะบอกเรา เบาๆ แล้วว่า …เราต้องก้าวไปอีกขั้น เราถึงจะสามารถไปสู่ความสำเร็จจริงๆ ตามที่เราหวังไว้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ความพลาดของนักเล่นหุ้น ที่คุณต้องผ่านให้ได้

 6 ความพลาดของนักเล่นหุ้น ที่คุณต้องผ่านให้ได้


ขึ้นชื่อว่า ‘เล่นหุ้น’ มันก็เหมือน ‘นักรบ’ ต้องมีบาดแผล ถึงจะเก๋า 


1. ‘หุ้นที่ซื้อน้อย มันขึ้นเยอะ’ …เกิดจากเห็นหุ้นต้นรอบ ไม่กล้าซื้อ เลยลองซื้อเล่นๆ …สุดท้ายมันก็ขึ้นเยอะ ‘ถ้ากล้ากว่านี้ ก็รวยแล้ว’ 


2. ‘หุ้นที่ซื้อเยอะ มันไม่ขึ้น’ …เกิดจากเราไปซื้อหุ้นปลายรอบ มีแต่ข่าวดี ใครๆ ก็เชียร์ เราก็เลยมั่นใจซื้อแบบจัดเต็ม สุดท้ายมันไม่ไปต่อ แถมมันจะลงด้วย ซวยล่ะซิ


3. ‘ซื้อหุ้น inside แล้วเจ็บหนัก’ …จุดอ่อนจากความไว้ใจ คิดว่า ครั้งนี้รวยแน่ ไปซื้อ ‘หุ้นห่วย’ หวังว่า ได้ inside …แบบนี้เวลาโดนที่เจ็บหนัก แถมออกไม่ได้ด้วย 


4. ‘ซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก แต่มันไม่ขึ้น ลงอีก’ …อันนี้เล่นตามมวลชนคนล่าพื้นฐาน แต่เผอิญเราดันไปคิดคล้ายๆ คนอีกจำนวนมากที่แห่เข้าไปซื้อด้วยเหตุผลเดียวกัน ‘ของดี ราคาถูก มันต้องดีซิ’ ..แต่บางครั้งมันไม่ดีไง ก็ซวยไป


5. ‘เวลาจัดเต็ม มั่นใจมาก มักซวยทุกที’ …ถ้าจัดเต็มแล้วชนะ มันก็เป็นตำนาน แต่เอาตรงๆ นะ …ของจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น มันมีบททดสอบ และ บางครั้งมันทดสอบ จนเราเสียศรัทธาในตัวเองไปเลยก็มี


6. ‘พอเราจะถอดใจ กำไรครั้งใหญ่ มันดึงเรากลับมา’ …บางทีเราผิดจนไม่ไหว จะเลิกเล่นอยู่แล้ว …ความโชคดีมันก็เข้ามาแบบไม่ได้ตั้งตัว …นี่แหละเสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่สุดจะทานทน


ใครเจอมาครบ แล้วยังอยู่ในตลาดหุ้น ก็แปลว่า ‘คุณคือนักรบ ที่มีบาดแผล แต่ยังไม่ตาย’ …ฮ่า ฮ่า (ตลกพร้อมน้ำตา)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

การเดินทาง ทำให้เรารวยและสำเร็จ จริงไหม

 การเดินทาง ทำให้เรารวยและสำเร็จ จริงไหม ?


จริงๆ การเดินทาง ไม่ได้จะทำให้เราเก่ง รวย หรือ สำเร็จ แต่ ‘ประสบการณ์’ และ การตีความ ต่างหากที่จะทำให้เราแตกต่างและประสบความสำเร็จ


ผมเป็นคนนึงที่โชคดี ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ไปต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆ …แต่การตีความและตกผลึก มันใช้เวลา เพื่อผมจะเข้าใจว่า 


1. ‘การเดินทาง มันสร้าง ความกล้า ซึ่งเป็น คุณลักษณะของคนที่จะกล้าคว้าโอกาส’ …การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ มันสบาย แต่การที่เราต้องไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ มันทำให้เราอึดอัด และ ฝึกฝนการปรับตัวให้กับเรา 


2. ‘ได้เห็นตัวอย่างดีๆ ที่เราเก็บเกี่ยวเอามาปรับใช้’ …ถ้าให้เราคิดเองมันยาก แต่การที่เราเห็นตัวอย่าง ทั้งดี และไม่ดี มันทำให้เราต่อยอดง่ายกว่า …คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มันเริ่มจากการเห็นเยอะๆ ก่อน


3. ‘การเจอคนที่แตกต่างจากเรา ก็ทำให้เรา Open Mind’ ..การได้เจอกับคนที่คิดตรงข้ามกับเรา มันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วทุกคนไม่ได้คิดเหมือนเรา …Mindset ของแต่ละคน ถูกหล่อหลอมจาก ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน …ถ้าเราอยากจะอ่านคนให้ออก ต้องตีความจาก Background ของเขา ไม่ใช่ตีความจากสิ่งที่เขาแสดงออกมา (เพราะมันตรงข้ามกัน) 


4. ‘การเจอและจัดการกับปัญหา ที่ไม่คาดคิดเป็นส่วนนึงของการเดินทาง’ …การทำธุรกิจกับการเดินทาง มีส่วนคล้ายตรงที่ ต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเยอะมาก


5. ‘การเดินทาง ต้องสมดุลย์กับการตกผลึกประสบการณ์’ …อย่ามัวแต่เดินทางไปเรื่อยๆ เพราะ สุดท้ายมันจะนำไปสู่การหนีอะไรบางอย่างที่ไร้จุดหมาย ..ใช่!! บางครั้งต้องหยุด และ กลับมาตกผลึก เพื่อให้การเดินทางนั้นๆ จะได้เปลี่ยนเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 จุดอ่อน ของการคิดแบบคนส่วนน้อย

 5 จุดอ่อนของการคิดแบบคนส่วนน้อย 


การคิดแบบคนส่วนน้อย หรือ ทฤษฎีผลประโยชน์ …โดยมากได้ตังค์ เพราะ คนส่วนน้อย คือ คนที่สำเร็จและร่ำรวย …แต่บางครั้ง ก็มีจุดที่ต้องระวัง 


1. ‘เราไม่ได้รู้จริงๆ ว่าคนส่วนใหญ่ หรือ คนส่วนน้อยคิดยังไง’ …มันไม่ได้มีอะไรที่มาวัดแบบชัดเจนว่า ในเวลานี้คนส่วนใหญ่คิดแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า …จนบางครั้งเราตีความไปเอง 


2. ‘ไม่ใช่ทุกอย่างที่คนส่วนน้อยจะได้ประโยชน์’ …มันมีเรื่องของการตายหมู่ คือ เละทุกคน …ใช่!! บางครั้งมันคือเหวจริงๆ ไม่ว่าใครโดดลงไปก็เละทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น …อย่างการลงทุนก็คือเราไม่สามารถ Bet หมดหน้าตัก แม้ว่าเราจะแน่ใจแค่ไหนก็ตาม 


3. ‘วิกฤตใหญ่ ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น’ …ถ้าจะเลือก ปัจจัยชี้วัดที่ดีที่สุดของการหาโอกาส ก็คือ วิกฤตครั้งใหญ่ เพราะ มันคือการ Set Zero เริ่มต้นกันใหม่ที่ชัดเจน มีผู้แพ้ ชนะ มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน 


4. ‘วิกฤตย่อย ต้องค่อยๆ เก็บแต้ม’ …คนที่ชนะบ่อยๆ จะกลายเป็นคนประมาท แล้วพยายามหาโอกาสครั้งใหญ่ ตลอดเวลา …แต่เราต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า การจัดเต็มทุกครั้งในทุกวิกฤตเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก


5. ‘ไม่ว่าพลาดขนาดไหน ก็ห้ามตาย’ …ตราบใดที่เรายังไม่ตาย เราก็สามารถพลิกกลับมาชนะได้ …นี่คือ หลักสำคัญที่ผมใช้เป็นแกนหลักในการลงทุนเลยก็ว่าได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 ข้อ พ่อสอนลูกหาเงินในที่สูง

 6 ข้อ พ่อสอนลูกหาเงินในที่สูง


บางเรื่องเราอาจต้องใช้เวลานานในการตกผลึก …ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการหาเงินในที่สูง !!


‘พ่อให้ผมไปหาเงินในทิเบต เหรอครับ?’ …ไอ้นี่ มันวอนและ !!


1. ‘การหาเงินในที่สูง คือ การถอยไปมองในมุมที่กว้างยาวขึ้น’ …การคิดวิธีหาเงินในหนึ่งวัน ต่างกับวิธีหาเงินในหนึ่งปี …และก็ต่างจากการหาเงินในสิบปี 


2. ‘การหาเงินในระยะยาว คือ การสร้างระบบที่มาหาเงินแทนเรา’ …การหาเงินในระยะสั้น ใช้ตัวเราและเวลาเรา แต่การหาเงินในระยะยาว คือ การคิดหาตัวแทนและสิ่งที่จะมาหาเงินแทนตัวเรา


3. ‘การยอมเสียน้อยๆ ตอนแรก ก็เพื่อจะได้เยอะตอนหลัง’ …ถ้าหวังจะได้เงินเร็วๆ โดยที่ไม่ยอมเสียอะไรเลย จะพาตัวเองไปสู่จุดที่จริงๆ แล้ว เสี่ยงที่สุด


4. ‘คนที่อยู่ในเกม กับคนสร้างเกม คิดแตกต่างกันตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว’ …เราต้องเริ่มจากการเข้าไปเล่นในเกม แต่อย่าลืมว่า เราต้องพยายามเข้าใจเกมนั้นๆ เพื่อวันนึงเราจะได้มีโอกาสเป็นผู้สร้างและกำหนดเกมในวันข้างหน้า


5. ‘ถ้าอยากรู้ว่าเกมในที่สูงเขาทำกันยังไง ก็ต้องเข้าไปศึกษา เรียนรู้’ …เกมในที่สูง เริ่มจาก ฐานทุน connection และ เวลา …ถ้าอยากได้ลูกเสือ ก็ต้องพร้อมที่จะเข้าถ้ำเสือ


6. ‘ที่สูง คือ จุดที่คู่แข่งน้อย’ …ถ้าสิ่งที่เราทำเต็มไปด้วยคู่แข่ง แปลว่า ต้องไปหาจุดที่สูงกว่านั้น 


ถูกต้อง!! ก็มันยาก(มากๆ)ไง …มันก็เลยเป็นเกม หาเงินในที่สูง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อ ที่พ่อสอนผมเรื่องเงิน

 8 ข้อ ที่พ่อสอนผมเรื่องเงิน 


1. ‘อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน’ …คนที่ไม่พูดเรื่องเงิน ส่วนใหญ่แคร์เรื่องเงินมากที่สุด ดังนั้น พูดเรื่องเงินก่อนเลยจะได้ไม่มีปัญหา หรือ จะได้แก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดก่อนเลย …ใช่ ‘ปัญหาเรื่องเงินไง!!’


2. ‘ถ้าใครมายืมเงินเรา ก็แปลว่าเขาตั้งใจจะเลิกคบเราตั้งแต่วันที่ยืม’ …เวลาเราให้ใครยืมเงิน วันนั้นก็แปลว่าเราได้เสียเพื่อนคนนั้นไปเรียบร้อย …เพราะถ้าเขาไม่คืน เราก็จะมีปัญหา …ส่วนถ้าเราไปทวงคืน เขาก็จะมีปัญหากับเราเช่นกัน …อีกทางเลือก ก็คือ ‘ตัดใจให้ไปเลย เฉพาะเงินที่เราไม่ต้องการเอาคืนเท่านั้น’ 


3. ‘ทำสิ่งที่เราเก่งก่อน จนสุดท้ายให้เหลือทำเฉพาะสิ่งที่เราเก่ง’ …คนทุกคนในโลกมีความเก่ง แต่แค่ไม่ได้พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองเก่ง …จนสุดท้ายลืมไปว่า เราเก่งอะไร 


4. ‘การคิดหาเงินแบบคนมีเงิน ง่ายกว่าเริ่มหาเงินจากไม่มีอะไรเลย’ …ให้คิดแบบคนมีเงิน ตั้งแต่วันที่เรายังไม่มีเงิน …ใช่!! ให้รีบหาความรู้ ในการที่จะหาเงินแบบคนมีเงิน


5. ‘เงินคือ อำนาจต่อรอง แม้จะไม่ได้จ่ายเงินสักบาทเลยก็ตาม’ …การเก็บออมสร้างฐานทุนจึงเป็นขั้นแรกที่พึงกระทำ ในการเริ่มต้นชีวิตเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่ง


6. ‘ให้ใช้เงินแก้ปัญหาที่เงินแก้ได้เท่านั้น อย่าใช้เงินแก้ปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้’ …คนที่ฝึกฝนเรื่องนี้จะรู้ว่า เงินแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้ดีเลยทีเดียว


7. ‘ถ้าเราให้เงิน เราจะอยู่เหนือผู้รับทันที’ …ยกเว้นให้ยืม เพราะ เราจะตกอยู่สถานะไร้การควบคุมทันทีเช่นกัน 


8. ‘อย่าค้ำประกันให้ใคร’ …ถ้าเราไม่พร้อมที่จะใช้หนี้ทั้งหมดแทนเขา ก็อย่าค้ำประกันให้ใคร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

12 ข้อ เราจะหาเงินเยอะๆไปทำไม …ถ้าไม่ได้ใช้ ?

12 ข้อ ‘เราจะหาเงินเยอะๆ ไปทำไม’ …ถ้าไม่ได้ใช้ ?


1. ‘เงินสามารถซื้อความสะดวกสบาย’ …เงินสามารถซื้อความสะดวกสบายในชีวิต รวมทั้งแก้ปัญหาแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เงินสามารถแก้ได้ 


2. ‘เงินใช้ซื้อเวลาเราคืน’ …แต่จริงๆ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำเช่นนั้น …ส่วนใหญ่ทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ได้เงินที่มากขึ้นไปอีก (คนหาเก่ง มักลืมใช้ …แต่คนใช้เก่ง มักลืมหาเช่นกัน …ตลกร้าย!!)


3. ‘เงินเป็นหลักฐานของ ความเก่งและความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำ’ …ถ้าเราทำอะไรได้ดีกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน นั้นแหละคือ จุดเริ่มต้นของการมีเงิน


4. ‘เงิน คือ ความมั่นคงและความอิสระ แม้เราไม่ได้ใช้ก็ตามที’ …คนมีเงินล้านแต่แทบไม่ได้ใช้ จริงๆ ก็ดูเหมือนคนไม่มีเงิน เพราะไม่ได้ใช้ แต่ความมั่นคงในจิตใจมันต่างกันมาก …ต่างกันตรงที่เรารู้ว่า ’ถ้าจะใช้เมื่อไหร่ เราก็มีเงินให้ใช้’ นั่นแหละสำคัญกว่า


5. ‘เงิน เท่ากับ ความเกรงใจ’ โดยเฉพาะในสังคมที่เงินเป็นใหญ่อย่างในประเทศไทย …พอเริ่มมีเงินเขาเรียก ‘คุณ’ …พอมีเงินเยอะขึ้นเขาเรียก ‘ท่าน’ …พอเยอะจัดๆ เขาเรียก ‘คุณท่าน’ 


6. ‘เงิน คือ วินัยและความสม่ำเสมอ’ …เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่คนหาเงินเก่งต้องมีทุกคน ก็คือ วินัย และ ความสม่ำเสมอ


7. ‘หาเงินเก่งไม่ได้บอกถึงวุฒิภาวะ แต่การรักษาเงินที่หามาได้ เป็นตัวบอกวุฒิภาวะ’ ได้เป็นอย่างดี …ใช่!! ใครๆ ก็หาเงินได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรักษาเงินที่หามาได้ และ ทำให้มันเพิ่มพูน


8. ‘เงิน คือ ภาระ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบ’ …ถ้าปราศจาก การเข้าใจและการบริหาร ‘ภาระ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบ’ ก็ไม่สามารถรักษาเงินไว้ได้ ไม่ว่าเงินจะเยอะแค่ไหนก็ตาม


9. ‘เงิน ทำหน้าที่ บริหารและจัดการทรัพยากรทั้งหมด ในโลกใบนี้’ …ไม่น่าแปลกที่ไม่ว่า เงินจะถูกสร้างขึ้นมามากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยพอกับความต้องการของคนเลย


10. ‘เงินสามารถแก้ปัญหา ที่เงินแก้ได้เท่านั้น’ …อย่าใช้เงินแก้ปัญหาในสิ่งที่เงินแก้ไม่ได้ เพราะ มันจะยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น เช่น เงินซื้อคนรักได้ แต่ซื้อความรักไม่ได้  , เงินซื้อเวลาคนอื่นได้ แต่ซื้อคนไม่ได้ 


11. ‘เงินส่งต่อได้ แต่ความสามารถในการสร้างเงิน ส่งต่อไม่ได้’ …พ่อแม่ให้มรดกลูกได้ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าลูกจะสามารถดูแลจัดการเงินนั้นได้


12. ‘เงินที่มากกว่าความสามารถในการบริหาร จะสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์’ …ตลกร้าย คือ เราควรเรียนรู้วิธีจัดการเงินก่อนที่จะมีเงิน ถึงจะมีเงิน …แต่คนส่วนใหญ่รอให้มีเงินก่อนที่จะเรียนรู้วิธีจัดการเงิน ทำให้สุดท้ายไม่เคยมีเงินสักที

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ต้องดูให้รู้ว่าการลงทุนของเราไม่ใช่การพนัน

 6 ข้อ ต้องดูให้รู้ว่าการลงทุนของเราไม่ใช่การพนัน


บางครั้งการลงทุน กับ การพนัน ก็ใกล้กัน จนเราหลงทางได้ …ต้องระวัง !!


1. ‘สินทรัพย์อ้างอิง’ …การลงทุนต้องดูสินทรัพย์อ้างอิง ว่า มีมูลค่า คู่ควรกับ ราคาที่เราจ่ายหรือไม่


2. ‘สินทรัพย์อ้างอิง สร้างรายได้ และกำไร อย่างต่อเนื่องได้หรือไม่’ …ถ้าไม่ใช่ มันอาจจะเป็นแค่ ของสะสม แต่ไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อการลงทุน


3. ‘กลุ่มคนที่สนใจลงทุน’ …ถ้าในหุ้น ก็คือ คนที่ถือหุ้น มีจำนวนเท่าไหร่ ใครถือ สัดส่วนเป็นยังไง …เราวิเคราะห์ลักษณะของผู้ซื้อหุ้นนั้นๆ 


4. ‘ความยั่งยืนของสินทรัพย์ที่เราเข้าลงทุน’ …ในส่วนของหุ้น เราก็ต้องวิเคราะห์ว่าธุรกิจหลัก มีความยั่งยืน และ มีโอกาสเติบโตไปอีกแค่ไหน (ในตลาดหุ้นเขาให้ค่าการเติบโตมากที่สุด เรื่องอื่นๆ ก็รองลงมา)


5. ‘สภาพคล่องของสิ่งที่เราลงทุน’ …อย่างเช่นที่ดิน เป็นสินทรัพย์ที่ดี แต่สภาพคล่องต่ำมาก …หรือ หุ้นบางตัว ก็มีสภาพคล่องต่ำมาก …เพื่อให้เราเตรียมการบริหารสภาพคล่องให้ดี ไม่ขาดมือ


6. ‘ค่าบำรุงรักษาในการครอบครองสินทรัพย์’ …ถ้าสูงก็ต้องคิดให้เยอะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อสังเกต ว่าถึงจุดที่ควรเริ่มซื้อหุ้นได้แล้ว

 6 ข้อสังเกต ว่าตอนนี้ถึงจุดที่ควรเริ่มซื้อหุ้น


เคยไหมครับ ? …อยากซื้อ แต่รอ รอ …รอตั้งแต่หุ้นราคาลง ลงไปเรื่อยๆ …รอจนสุดท้ายราคาขึ้น ขึ้นไป…ไปไกล แล้วก็ยังไม่ได้ซื้อ !!


มาดูกันดีกว่า ว่า จุดที่ควรเริ่มทยอยซื้อหุ้นมันมีข้อสังเกตอะไรบ้าง ?


1. ‘ภาพใหญ่อยู่ในวิกฤต’ ..ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยข่าวร้าย แทบจะหาข่าวดีไม่ได้เลย


2. ‘หุ้นที่เราสนใจอยู่ในช่วงปรับฐาน’ …ดูไง? …เอาตรงๆ แค่เปิดกราฟก็เห็นแล้วว่า เวลานี้มันปรับฐานอยู่ หรือ มันกำลังพาเราไปดอย …555


3. ‘หุ้นอยู่ในจุดที่มีโอกาสกลับตัว’ ..ซึ่งมี 3 ระดับ คือ 30% / 50% และ 70% (มันไม่ได้เป๊ะๆ แต่นี่คือ ค่าเฉลี่ย …การลง 30-50% คือ ปรับฐาน …ส่วนการลงเฉลี่ย 70% คือ จบรอบใหญ่)


4. ‘งบไม่ดี แต่หนี้ไม่เยอะ’ …ถ้าหุ้นลง งบแย่ หนี้เยอะ เอาตรงๆ นะ หนีเถอะครับ 


5. ‘ธุรกิจยังไม่โดน Disrupt’ …ช่วงหุ้นลงมักอยู่ในช่วงธุรกิจขาดทุน เราต้องมองให้ออกว่า มันไม่ใช่แย่เพราะโดน Disrupt 


6. ‘เริ่มซื้อคือทยอยซื้อ’ …อย่าซื้อแบบกลัวไม่ได้ซื้อ …ค่อยๆ ซื้อ …ให้เวลาการลงเพื่อความสุกงอม หอมหวานของหุ้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ