แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 5 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!



ป๋ากิ้ง : เรากำลังเข้าสู่ Mode ของปีใหม่ 2554 “ป๋าแพ้ท คิดว่า ตลาดหุ้นเรามันจะยังไงต่อ”

ภาววิทย์ : ในมุมมองของผมจะค่อนข้าง Bullish มากๆ เพราะผมจะติดตามตัวเลขเศรษฐกิจและผลประกอบการของกิจการต่างๆ รวมทั้งข่าวสาร ไม่ว่าจะเป็นการก้าวต่อไปของกิจการ …สิ่งที่ผมเห็นตอนนี้ก็คือ ธุรกิจส่วนใหญ่มีผลกำไรที่ดีขึ้น ประกอบกับ มุมมองในเชิงบวกของเจ้าของกิจการส่งผลให้ นับจากนี้ไป เราจะเข้าสู่ Mode ของ Growth อีกครั้งนึงของการ “ทุ่มลงทุน” …ถ้าใครติดตามข่าวสาร จะเห็นได้ว่า ช่วงนี้จะมีข่าว เดี๋ยวกิจการนั้นลงทุนอย่างนั้นอย่างนี้ --“นี่แหละคือภาพที่ผม กำลังพูดถึง …”

สาเหตุหลักๆประการหนึ่งมันมาจากเรื่องของ ค่าเงิน รวมทั้งสภาพคล่อง (เงิน) ในระบบที่มีค่อนข้างมาก ในระบบธนาคารพาณิชย์ไทย (พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ธนาคารมีเงินล้นเหลือ และพร้อมที่จะปล่อยกู้ แต่ประเด็นอยู่ที่ว่า ธนาคารก็ยังกล้าๆกลัว ดังนั้น จับตาประเด็นนี้ให้ดี คือว่า กิจการที่พื้นฐานดี จะได้เปรียบในเรื่องของเงินทุน …และนี่จะส่งเสริมภาพของเสือติดปีก ของกิจการขนาดใหญ่ที่ต้องการขยายกิจการ “อย่างมีผมเขียนบทความก่อนหน้านี้ว่า ปีหน้า น่าจะเป็นปีทองของการ M&A คือ การควบรวมกิจการ รวมทั้ง การเข้ามา IPO ของบริษัทคุณภาพอีกมากมาย”)

คุณลองคิดดูนะกิจการอย่าง IVL มีมูลค่าเป็นหลายแสนล้าน ทำไมถึงเข้ามา IPO ในปี 2010 ทั้งๆที่ก่อนหน้านี้เขาไม่เคยสนใจระดมทุนมาก่อน …ถูกต้อง!! ก็เพราะนี่มันเป็นโอกาสที่หาไม่ได้มาเกือบยี่สิบปีแล้ว และนี่เป็น Case ต้นแบบ หรือ จะพูดได้ว่า IVL ได้ “เรียกแขก” ดังนั้น ต่อจากนี้กิจการดีๆจะทยอยกันเข้ามาระดมทุน IPO กันอย่างหนาแน่น อย่างแน่นอน ---“แต่ประเด็นนี้ผม ขอเตือนนิดนึงว่า กิจการที่ IPO ส่วนใหญ่ หุ้นไม่ถูกนะ แถมมันง่ายต่อการปั่นราคา …คนที่เล่นจึงควรทำความเข้าใจความเสี่ยงในเรื่องนี้ให้ชัดเจน”

ป๋ากึ้ง : ว่าแล้ว!! ถามเลยว่า ป๋าแพ้ท Bullish ในอุตสาหกรรมอะไรบ้าง ในปี 2554

ภาววิทย์ : ผมยังคงย้ำคำเดิมนะ ว่าผม Bullish พลังงานมากที่สุด ประการแรก มันยังไม่ได้ขึ้นทะลุ High เดิม เหมือนอย่าง Industry อื่นๆ ประกอบกับปีหน้าในเรื่องของ M&A ผมมองว่า พลังงานจะได้ประโยชน์สูงสุดจากการควบรวม …และอีกจุดที่น่าสนใจ ก็คือ การรวมตัวของ AEC (ASEAN Economic Community) จะส่งผลให้กิจการที่แข็งแกร่งในบ้านเรา ยิ่งได้ประโยชน์ จากการใช้จุดแข็งของตัวเอง แล้วขยายไปลงทุนในประเทศเพื่อนบ้าน

อุตสาหกรรมถัดมา ผมมองว่า Telecom ตอนนี้ถ้าดูให้ดี “มันห่วยแตกถึงขีดสุด” …และนี่คือจุดที่นโยบายต่างๆ ในเรื่องของ Telecom มันไม่มีอะไรชัดเจน “จุดนึงคือ ผมจะเชื่ออยู่อย่างนึงว่า การลงทุนในจังหวะที่ดีที่สุด ก็คือ การลงทุนในธุรกิจที่ม่ันคง ในเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง” ..และนี่เป็นสาเหตุที่ผม Bullish ต่อ Telecom ในปีหน้า

อุตสาหกรรมอาหาร อะไรที่เกี่ยวกับของจริง “กินได้ จับต้องได้ ..มันกำลังจะมาอย่างแน่นอน” เผอิญผมศึกษา ในเรื่องของ Commodity ด้วยทำให้ผมเห็นภาพ Bullish ของอุตสาหกรรมนี้ค่อนข้างจะชัดเจน คุณดูราคาน้ำตาล , ราคายาง , ราคาน้ำมันดิบ ,ราคาพืชผลต่างๆ … “มันขึ้นยังกับผีเข้า” …CPF และ TUF ส่งสัญญาณให้เรารู้เลยว่า อะไรจะเกิดขึ้นกับ Sector นี้ … “ผมแนะเลย ให้ไปซื้อตัวที่แข็งแกร่งปันผลดี แต่ราคายังไม่ขึ้น ..เลือกเอาเองนะ”

อุตสาหกรรมประกัน “นอนมา” ยิ่งอะไรที่ต้นทุน ได้เปรียบคู่แข่ง ผมไม่อยากระบุตัว เดี๋ยวจะหาว่าผมชี้นำตลาด แต่ลองไปศึกษาให้ดีกับ เพราะโลกผันผวนสุดโต่ง คนก็จะทำประกันเพิ่มขึ้น …. “ให้มองหาประกัน ที่ผูกขาดกับธนาคาร ฮ่า ฮ่า บอกใบ้จนได้ ..ไปดูเอาเองละกันครับ”

ส่วนเงินนิ่งๆยาวๆ ผมแนะนำ Laggard Play คือ เลือกหุ้นพื้นฐานแข็ง แต่เข้าสู่ Mode ขาลงยังไม่ฟื้น ..แต่สังเกตุให้ดี ขาลงของ Cycle แต่กิจการยังสามารถปันผลได้ “นี่มัน Bargain สุดโต่ง …” ประเด็นคือ คุณสามารถซื้อหุ้นถูก แต่เงินคุณต้องนิ่งพอที่จะถือมันยาวไปจน Cycle ขาขึ้นได้ .. “ถูกแล้ว เดินเรือ อีกห้าปี มันส์แน่ สำหรับกลุ่มนี้ (ข่าวล่าสุด โดนโจรสลัดยึดเรืออีก สุดยอดแห่งความตกต่ำแล้ว..อิ อิ “น่าสนใจมาก!!”)”

นอกจากนี้ ผมว่า ต้องมองเป็นรายตัวแล้ว … ก็เอาเป็นว่า เลือกหุ้นให้ถูกตัว รวยแน่นอน

ป๋ากิ้ง : โอ !! เยื่ยมๆ ฟังดูน่าสนใจ แต่มันจะอืดไปไหมสำหรับหุ้นที่ ป๋าแพ้ทชอบ

ภาววิทย์ : “อันนี้ผมตอบแทนใครไม่ได้..คุณต้องหาจุดที่เหมาะสมสำหรับตัวเอง” …ผมชอบหุ้นที่ค่อนข้าง Laggard คือ วิ่งช้า “ผมไม่ชอบหุ้นร้อน” ..คือพูดอย่างนี้หลายคนจะบอกว่า โอ๊ย!! เซ็ง แต่ประเด็น ถ้าคุณเพิ่ม Return ให้สูงมาก คุณก็เพิ่ม Risk ตามด้วย ..มันคู่กัน Risk & Return

อย่างผม ผมจะมองหาแต่ Real Deal นั่นคือ จุดที่ผมสามารถลงทุนได้อย่างปลอดภัยในความเสี่ยงที่ผมรับได้ ..ตรงนี้จะต่างจากคนที่ ลงทุนแล้วรีบเอากำไรเยอะๆเร็วๆ เพราะพวกนั้น ถ้าจะว่าพูดกันจริง ไอ้หุ้นที่วิ่งอาทิตย์นึงเท่าตัวน่ะ เวลาลงมันก็ลงแรงไม่แพ้กัน ดังนั้น บางคนบอกว่า ผมกำไรที 8 เท่า “ผมจะถามว่า ไอ้ที่กำไร 8 เท่านี่ เงินที่คุณลงในการลงทุนนั้นๆ เป็นเงินกี่เปอร์เซ็นต์ของเงินทั้งหมดที่คุณสามารถลงทุนได้” …มันไม่ยากหรอกครับ ที่คุณสามารถกระโดดเข้าไปในหุ้นร้อนแล้ว ทำกำไรที 5 เท่าในเวลารวดเร็ว แต่คำถามคือ “คุณกล้าโยนเงินเก็บทั้งชีวิตของคุณลงไปในการซื้อหุ้นนั้นๆหรือเปล่า” ..ถ้าคำตอบคือ “ไม่” --นั่นก็แสดงว่า มันไม่ใช่ Real Deal เลย “มันเป็นแค่การพนันเท่านั้น!!”

คำถามที่จะต้องตอบให้ได้คือ เป้าหมายของคุณคือ “เอามันส์” หรือ “เอาความมั่งคั่ง” เพราะ สองทางนี้ มันเดินแตกต่างกันอย่างสิ้นเชิง

“การลงทุนมันไม่ใช่ คุณกำไรอย่างสุดโต่งตลอดสิบปี เพียงเพื่อจะมาเสียทั้งหมด ภายในหนึ่งอาทิตย์ หรือ หนึ่งเดือน” …ความสำเร็จของการลงทุน คือ จะต้องอยู่กับมัน และ อยู่อย่างยั่งยืนต่างหาก จึงจะเป็นการลงทุนเพื่อความมั่งคั่งอย่างยั่งยืนนั่นเอง

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 4 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!


ป๋ากิ้ง : ป๋าแพ้ท บอกว่าได้ประเด็นดีๆ จากการคุยกับ ดร.กอบศักดิ์ (พี่กอบ) ..ไหนเล่าได้ไหม ว่าป๋าแพ้ท ได้อะไร

ภาววิทย์ : โอเค !! จะเข้าใจเศรษฐกิจ คุณต้องเข้าใจภาพรวมก่อน …ผมจะยกตัวเลขเศรษฐกิจล่าสุดมาวิเคราะห์ให้ฟัง “จริงๆ ผมจะบอกว่า ตัวเลขเศรษฐกิจพวกนี้มีประโยชน์มากๆ แต่คนส่วนใหญ่มองมันเป็นตัวเลข และเมื่อมันเป็นตัวเลข มันก็ดูไม่รู้เรื่อง …สิ่งที่คุณต้องทำอย่างแรก เมื่อคุณได้ตัวเลขเศรษฐกิจ คือ คุณต้องเปลี่ยนเป็นภาพ เป็นเรื่องราว อย่างถ้าหนังสือพิมพ์ บอกปีนี้ “การส่งออกแตะ 1.77 แสนล้านดอลลาห์” (หมายความว่าอะไร ใช่!! มันไม่รู้เรื่องเลย) เพราะประการแรกคุณไม่ได้ เอาตัวเลขมาเปลี่ยนเป็นเรื่องราว มันจึงไม่น่าสนใจ “แต่สำหรับผม มันเป็นประโยชน์มาก” ..มาดูกัน

อย่างแรกจะเห็นภาพคุณต้องรู้ภาพรวมใหญ่ และหน่วยในการคำนวณ ต้องเป็นหน่วยเดียวกัน ..อย่างผมชอบเปลี่ยนหน่วยทุกอย่างออกมาเป็น billion dollar เพราะมันง่ายต่อการเปรียบเทียบแล้วเห็นภาพ เพราะ ผมชอบอ่านนิตยสาร Fortune หรือ Forbes เวลามันเปรียบเทียบขนาดของบริษัทต่างๆ นโยบายของ Obama ตัวเลขการค้าของโลก ความรวยของ Bill Gates เรื่องราวทุกอย่าง จะมีหน่วยเป็น US Dollar ดังนั้น อย่างแรกเปลี่ยน หน่วยการรับรู้ให้เป็นหน่วยเดียวกัน

ประเทศไทยมี GDP $246 billion (ในขณะที่ Warren Buffet รวยประมาณ $50 billion) ตัวเลขการส่งของเราล่าสุด ณ เดือน November 2010 คือ 177,977 ล้านบาท เอามาเปลี่ยนเป็นหน่วยดอลลาห์ ก็เท่ากับ $177 billion เงินฝากรวมทั้งประเทศไทยรวมกัน $ 220 billion ตลาดหุ้นประเทศไทยทั้ง SET รวมกัน $280 billion
มาดูตัวเลขล่าสุดการส่งออกของเรา (ดูที่ภาพ)

คุณก็เห็นแล้ว ว่า ASEAN-10 กับการรวมตัวของ AEC จะส่งผลให้เอเชีย เติบโตแบบพึ่งตัวเอง
ที่ชอบยกตัวอย่างกัน เช่น การค้ากับอเมริกา ที่บอกๆกันว่า เยอะๆ จริงๆ คิดเป็นแค่ 10% ของการส่งออกเราเท่านั้นเอง อย่างจีนก็เพิ่มบทบาทการค้ากับเรามากๆ ดังนั้น นี่แหละภาพที่ผมอยากจะบอกว่า คุณต้อง แปลข้อมูลเป็นภาพ จากนั้นคุณถึงจะแปลเป็นความหมายให้เข้าใจได้ง่ายนั่นเอง

จากที่คุยกับพี่กอบ นี่ผมเข้าใจภาพเลยว่า ที่คนส่วนใหญ่มองว่า เรากำลังจะแย่ เพราะยุโรป เพราะอเมริกา แต่แท้จริงแล้ว เราเริ่มพึ่งพากันเองในเอเชียมากขึ้น ..ประเทศที่น่ากลัวจะ Bubble ก็คือ ประเทศที่ไม่เคยเกิดวิกฤต อย่างบ้านเรามีวิกฤต ตลอดเวลา หมายคนมองว่ามันแย่ แต่พี่กอบกลับมองว่า มันดี เพราะ เงินร้อนก็จะเข้าตลาดเราน้อยลง โอกาสที่เราจะ Bubble ก็น้อยลง …ประเทศที่น่ากลัวกลับเป็นจีน กับ อินเดีย แค่ถ้าถามว่า ใครกระทบเรามากกว่า “แน่นอน คุณดูตัวเลข ก็จีน เพราะเราค้าขายกับเขามากกว่า” ..แต่ อย่างปัจจุบัน จีนเป็น “เผด็จการทุนนิยม” ซึ่งในช่วงเศรษฐกิจความผันผวนสุดโต่งอย่างในปัจจุบัน การมีการเมืองที่มั่นคง มันได้เปรียบอย่างมาก ..ดูสิงคโปร์เป็นตัวอย่าง

ประเทศที่อาจจะ Bubble ก่อนจีน น่าจะเป็นอินเดียด้วยซ้ำ เพราะอินเดียโตด้วย Private Sector คือ เอกชนนำ ตรงนี้จริงๆควบคุมยาก (เพราะมันไม่ใช่ Control Market เหมือนจีน) …ดังนั้น วิกฤตคราวหน้าจับตาอินเดีย น่าจะเกิดก่อนจีน
ทุกวิกฤต ที่ไม่เกี่ยวกับเรามันเป็นโอกาสให้เราเข้าซื้อหุ้นทั้งนั้น เพราะอย่าง Subprime เป็นตัวอย่าง มันแย่แป๊บเดียว จากนั้นมันก็กลับไปเร็ว !!

“มองวิกฤตให้เป็น โอกาสในการช้อนซื้อหุ้นถูก …สบาย!!”

วันเสาร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 3 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!


ป๋ากิ้ง : ปีนี้ข่าวจากหนังสือพิมพ์ กรุงเทพธุรกิจ บอกว่าปี 2553 มูลค่าการ Take Over กิจการแตะ 8.3 หมื่นล้าน ..อย่างนี้ป๋าแพ้ท คิดอย่างไร

ภาววิทย์ : ประเด็นขอเกริ่นนิดนึง ช่วงนี้ธนาคารกรุงเทพทำเป็นเก็บตัวเงียบ ทำชิว..ล่าสุดไปคว้า มือเศรษฐกิจระดับเทพ ดร.กอบศักดิ ์ภูตระกูล (พี่กอบ) นัก Economist ชื่อดังจาก แบงค์ชาติ ผู้มีประสบการณ์ โชคโชน ในตลาดทุน โดยเขาไปทำวิจัยในตลาดหลักทรัพย์อยู่ช่วงหนึ่ง พร้อมกับจัดรายการ Monkey Channel “ผมเชื่อว่าหลายคน คุ้นหน้าคุ้นตาพี่กอบดี”

…โชคดีตกเป็นของภาววิทย์ ฮ่า ฮ่า ที่ได้เข้าไปศึกษา Project ใหม่ของธนาคารกรุงเทพ ในการ Explore โอกาสของการที่บริษัทไทยจะได้ประโยชน์ จากการรวมตัวของ AEC (ASEAN Economic Community) “คือ จุดเด่นของธนาคารกรุงเทพ คือ สาขาต่างประเทศ เพราะธนาคารกรุงเทพ ถ้าเทียบแล้วใน ASEAN เรามีเครือข่ายสาขาครอบคลุม รวมทั้งล่าสุด เราได้รับอนุญาตจากจีน ให้เปลี่ยนสถานะจาก ธนาคารนอก ให้เป็นธนาคารท้องถิ่น ( จุดนี้ธนาคารต่างๆ ทั่วโลกอยากได้แต่ทำไม่ได้ ทั้งนี้ต้องขอบคุณ ท่าน ประสงค์ อุทัยแสงชัย ท่านรอง ของธนาคารกรุงเทพ ที่พาเราไปจนได้เป็นธนาคารท้องถิ่น …นี่แหละ Value แฝง ที่สามารถเปลี่ยนเป็น ทอง ฮ่า ฮ่า)

กลับมาที่พี่กอบ แกเข้ามาเป็น “ผู้ช่วยผู้จัดการใหญ่ EVP ..ใหญ่โคตรว่างั้น!!” ..ผมก็ถือโอกาสนี้ ฮ่า ฮ่า ตีซี้ หาข้อมูลทำวิจัยของผมต่อ …สรุป จากการงมโข่ง วิจัยข้อมูลแบบของผม ก็ได้รับการ ช่วยเหลือในเรื่องมุมมอง โดยพี่กอบ (เกริ่นซะยาวเลย เดี๋ยวจะ มาว่า การวิเคราะห์ของผม เป็นศิษย์ไม่มีครู …ฮ่า ฮ่า ไม่ใช่ “มีครูครับ!!”)

สิ่งที่ผมกับพี่กอบคุยกัน มันค่อนข้างจะ Agree ในมุมที่ว่า “เศรษฐกิจในภาพใหญ่มันจะไปอีกเยอะ” …ผมเองไม่ใช่คิดอย่างเดียวนะ ผม Bet กับการ Boom ในครั้งนี้ด้วย …ถ้าใครเคยอ่านหนังสือผม แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ไม่ว่าจะเป็น เล่ม 1 หรือ 2 จะรู้เลยว่า ผมนี่หลักๆ ลงทุนแบบ Value Investor คือ ถือยาว … “อันที่จริงแล้ว สารภาพเลยว่า ผมเป็นคนใจร้อน แต่ไอ้ที่สามารถทนถือยาวได้ เพราะ ภาพเศรษฐกิจที่เรามองไป มันชัดเจน คือ มัน Bullish สุดขีดว่างั้นเถอะ”

มุมที่พี่กอบ เสริมมา คือ พี่กอบมองว่า การรวม AEC (ASEAN Economic Community) มันมีนัยยะต่อการเติบโตแบบก้าวกระโดดไปอีกขั้นของเอเชียอย่างแน่นอน “ว่าแล้วพี่กอบแก ก็หยิบ แผนพัฒนาเศรษฐกิจแห่งชาติฉบับที่ 11 ออกมาวางบนโต๊ะ แล้วบอกว่า ..แพ้ท แกเอาไปอ่าน !!”

“คุณอยากรู้ไหมล่ะว่า แผนพัฒนาเศรษฐกิจและสังคมแห่งชาติ ฉบับที่ 11 ด้านเศรษฐกิจ เขาพูดว่าอะไร !!” (ไม่อยากรู้ !!.. อ้าว ซะงั้น) โดยภาพมัน เป็นอะไรที่ผมพอจะสรุปในภาพรวม ก็คล้ายๆกับที่ผมนำเสนอในหนังสือ แกะรอยหยักแหละว่า ตอนนี้ใครๆก็มองว่า “เงินมันล้นระบบ มันกงเต็ก” แต่ประเด็นคือ มันยังได้เงินเฟ้อ เพราะมันยังไม่ได้ถึงมือประชาชน ..แต่ไอ้การที่รัฐบาลพยายาม เร่งประชานิยม (แจกเงินๆ) มันหนีไม่พ้นเงินจะต้องถึงมือ ประชาชนอยู่ดี และเมื่อวันนั้นมาถึง “ก็สยองกันล่ะ” ….ทุกวันนี้ราคาทอง และ Commodity มันวิ่งหนี เงินเฟ้อ หลายคนก็โดดเข้าไปเล่นทอง ตามๆกันไป มันก็ดีอยู่หรอก แต่ประเด็นคือ มนุษย์เราไม่เคยจำ ว่าอะไรที่มันร้อนแรง ไม่เคยมีอะไรเลยที่รอดพ้น จากเลือดสาดในตอนจบ (ถูกต้อง มันรวมถึงทอง และหุ้น และที่ดิน และทุกอย่าง ..ประเด็นคือ อะไรที่คนส่วนใหญ่ชอบ “ให้คุณอยู่ให้ห่าง”)

ผู้ใหญ่ชอบสอนให้เดินตามผู้ใหญ่หมาไม่กัด แต่ผมสังเกตุนะ เวลาหมามันกัด มันดันไม่กัดผู้ใหญ่ “มันกัดเราซะงั้น” (ก็ทำไงได้ ผู้ใหญ่เขาอยู่วงใน มีอะไรเขารู้ก่อน มีอะไรเขาหนีทัน แต่เราดันหนีไม่ทัน สรุปใครซวย!! ฮ่า ฮ่า ขำ) ดังนั้น “ยุคนี้ผมเชียร์เลย คนรุ่นใหม่ คุณต้องคิดต่างและทำต่าง ยิ่งทำต่างจากคนส่วนใหญ่ ผมว่ายิ่งปลอดภัย ..อย่างการลงทุนนี่ ตราบใดที่คนส่วนใหญ่ ยังเล่นสั้น ซื้อๆขายๆ ผมก็จะถือยาว …. “แต่วันใดที่ทุกคนในตลาดมีความเชื่อม่ัน และอยากจะถือหุ้นยาวๆ ..วันนั้นแหละ ผมจะขนเงินทั้งหมดออกนอกตลาด เอาไปฝากธนาคาร” …คิดง่ายๆ แค่นี้ว่า ราคา ของทุกสิ่งทุกอย่างขึ้นอยู่กับ Demand & Supply คุณเข้าใจ “ชาตินี้ไม่มีจน ..ไม่ว่าตลาดจะผันผวนเท่าใดก็รวย”

นอกเรื่องซะยาว ..สรุปเลยว่า การ Take Over ของกิจการต่างๆ มันแสดงว่า ตลาดของเรามี Potential อย่าง จีน ที่เข้ามาซื้อ ACL หรือ อย่าง มาเล เข้ามาซื้อ CIMBT “คุณว่าเขาโง่ จะขนเงินมาทิ้งเหรอ …ไม่มีหรอก นั่นแสดงว่า เขาเห็นโอกาส ของการรวมตัวของ AEC ดังนั้น ถ้าเขามาใช้เราเป็นฐาน มันก็ทำให้เขาได้ประโยชน์จากโอกาสของเอเชียที่กำลังจะเกิดขึ้นในปี 2015 “ใครตกรถ การลงทุนรอบนี้ ชาติหน้าก็ไม่รวย คุณจำ Asian Miracle ครั้งที่แล้วได้ไหม ..นุ่น!! เกือบ 20 ปีก่อน จนบัดนี้ ประเทศยังไม่ไปไหนเลย …รอบนี้เอเชียราคาจะ Miracle ของจริง และแรงกว่ารอบแรก …ขอย้ำนะว่าว่ารอบนี้ “ของจริง” คุณรอดูละกันว่า … “ผมคิดจริง และผมก็เอาเงินทั้งหมด ของทั้งครอบครัวผม ลงทุนจริง” ดังนั้น ผมไม่ใช่ นักวิเคราะห์ แนวน้ำไหลไฟดับ พูดมั่วๆเผื่อถูก ก็ดัง ..นั้นไม่ใช่ผม “อย่างผมมันต้องกล้า คุณกล้าพูด คุณก็ต้องกล้าทำ”

ป๋ากิ้ง : โอโห!! ฟังแล้วอยากลงทุนตามเลย ป๋าแพ้ท ลงทุนอะไรบ้าง บอกได้ไหม

ภาววิทย์ : โถ!! ไม่ต้องบอกหรอก ไปอ่าน Blog ผม หรือ จะซื้อหนังสือ แกะรอยหยักสมอง ทั้งภาค 1 และภาค 2 ผมก็บอกไม่มีกั๊กอยู่แล้ว ….เอ้า!! เรามารวยด้วยกัน

แต่คุณรู้ไหม เคล็ดลับความรวยที่แท้จริงอย่างสุดโต่งที่ผมเพิ่งจะเข้าใจ มันคืออะไรรู้ไหม “ใช่!! มันคือ คนที่จะรวยได้คุณต้องกล้าที่จะรวย …ไอ้ลงทุนแบบหุ้นขึ้น 5 บาท แล้ววิ่งขาย คุณคิดว่ากี่ชาติ ถึงจะรวยอย่าง Warren Buffett “ไม่มีทาง” ประเด็นมันคือ Timing คือ คุณต้องเข้าใจ Cycle ใหญ่ และถ้าคุณเล่นได้ตรงรอบของ Cycle ใหญ่ ..ผมบอกได้เลย คุณจะรวยแบบ โคตรๆ ๆ (ขอกระซิบนิดนึงนะ ..ปี 2010 มันเพิ่งเร่ิมต้นของ Cycle รอบใหญ่ “ถ้าใครไม่เชื่อพรุ่งนี้คุณมาพนันกับผม คุณไปตลาดหุ้นเลยนะ แล้วคุณลองเปิด short สวนทางผม … “มันส์แน่!!””

และอีกเคล็ดลับสุดยอดเลย คุณรู้ไหมอะไร “ฮึม!! ใช่ถูกต้อง ..ไอ้เงินที่สามารถจะทำกำไรได้สูงสุด คือ เงินที่เป็นเงินนอนเท่านั้น และยิ่งจะดีกว่านั้น ถ้านั้นเป็นเป็นเงินที่คุณสามารถตัดมันไปจากชีวิตคุณได้”
ดังนั้น ยิ่งคุณสามารถ ปล่อยวางได้ ..คุณยิ่งได้ นั่นเอง!! (มันคือสัจธรรมของโลก ที่ผมเชื่อว่า Warren Buffett เข้าใจเป็นอย่างดี)

วันพฤหัสบดีที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2553

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 2 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!



ป๋ากิ้ง : “แล้วป๋าแพ้ท มองยังไง กับการเอา Internet มาเสริมธุรกิจแบบดั้งเดิมล่ะ”

ภาววิทย์ : ผมมองเรื่องของ การ Attention Fragment นั่นคือ “คนสมัยใหม่จะเป็น โรค การสนใจในเรื่องต่างๆต่ำ เพราะ ทุกอย่างมันพยายามดึงความสนใจจากเรา ..ผมว่าถ้า สมองของคนเราพูดได้ มันคงอยากบอกเราว่า Leave me Alone !!” ทุกวันนี้ไม่ว่าเราจะทำอะไร จะเดินไปไหน ก็มีแต่สื่อ สื่อ ตั้งแต่ป้ายประกาศ ขึ้นลิฟท์ก็มีโฆษณา จะกินข้าว บนโต๊ะอาหารก็มีโฆษณา จะเดินไปไหน ก็จะมีคนเอาใบปลิวมายัดใส่มือ (ถึงแม้คุณจะถือของ มันก็จะเอามายัดใส่มือคุณอยู่ดี) นั่งรถไฟฟ้าก็มีแต่โฆษณา ไป Supermarket บนชั้นวางยังมีโฆษณาเลย “มันจะบ้าไปแล้ว!! นี่แหละ มันบ้าจริงๆ”

แน่นอน!! โฆษณาทั้งหมด บ้าๆบอๆ มันเป็นเงินที่บริษัทต่างๆ เททิ้งลงไปในส้วม (เห็นภาพเลย) … “99% ของคนที่ได้รับโฆษณาแบบเหวี่ยงๆ ห่วยๆ แบบนี้ ไม่อยากจะสนใจเสียด้วยซ้ำ ..ดังนั้น เงินทั้งหมด คุณทุ่มไปเพื่อทิ้ง..ว่างั้น!!” และนี่เองที่ Internet และ Social Network จะเข้ามาช่วยบริษัทต่างๆ ให้มีการติดต่อกับลูกค้าได้ดีขึ้น

ป๋ากิ้ง : “มันทำได้จริง ด้วยหรือ ไอ้ติดต่อโดยตรง”

ภาววิทย์ : “ทำได้แต่มันมีข้อแม้!!” …คุณดู Obama ตอนหาเสียง ใช้ Social Media อย่าง Facebook เป็นสื่อหลักในการ Run Campaign และ Raise Fund “คุณคิดดูซิ ต้นทุนต่ำกว่าสื่ออื่นๆขนาดไหน..ผมบอกได้เลย นี่แหละอนาคตของการสื่อสารที่มีประสิทธิภาพที่สุด”

“แต่มันไม่ง่าย!!” …ทำไมไม่ง่ายล่ะ …คุณลองคิดดูนะ การที่คนเราจะยอมเสียเวลาอันมีค่าที่มีอยู่น้อยนิด เข้าไปสนใจอะไร หรือ ไปติดตามอะไร สิ่งนั้นๆ มันต้องมีประโยชน์ และเป็นเรื่องที่เขาสนใจ จริงไหม!! -- และนี่เองที่มาของการนำ Facebook Fan Pages เข้ามาใช้ติดต่อกับลูกค้าที่สนใจสินค้าเราโดยตรง

ยกตัวอย่าง Starbucks ตอนนี้รู้สึกจะเป็น Facebook อันดับต้นๆของเมืองไทยเลยมั้ง คิดดู Starbucks สามารถประหยัดโฆษณาของเขาขนาดไหน สมมุติปีหนึ่งเขาประหยัดค่าโฆษณาไป 100 ล้าน ถ้าเขาฉลาดหน่อย เขาก็เอาเงินนั้น มาเป็น Promotion แจกอะไรก็ได้ให้ลูกค้า จุดนี้จะทำให้ลูกค้าที่มี Royalty ต่อบริษัท ยิ่งรักบริษัทเพิ่มขึ้นอีก ผมเห็นอย่าง Pizza hut หรือ KFC ที่นั่งพิมพ์ใบปลิว แล้วเดินแจก ผมมองว่าไร้สาระ เพราะ คนส่วนใหญ่ ขยำทิ้งทั้งนั้น และนั่นคือทรัพยากรกระดาษที่เราทำลายสิ่งแวดล้อมในทางอ้อม “ห่วยแตก!!”

….ดังนั้น อนาคตของการติดต่อสื่อสารกับลูกค้า ผมมองว่า Social Network น่าสนใจมาก อย่างตอนนี้ ธนาคารอย่าง KBANK , SCB หรือ อย่าง Citibank ให้ความสนใจทำการตลาดตรงนี้อย่างจริงจัง (เห็นไหมล่ะครับ ..ภาพที่เห็นก็คือ เอาเงินเป็นหมื่นล้านๆ ที่ปกติ บริษัทต่างเทเงินทิ้งลงชักโครก เปลี่ยนมาเป็น ของขวัญ และ ก็คืนกำไรให้กับลูกค้าที่ Royalty กับบริษัท ผ่านทาง Facebook Fan Pages “นี่แหละ win-win ของแท้”

ป๋ากิ้ง : โอ้โห!! น่าสนใจมากเลย สิ่งที่ ภาววิทย์พูดนี่ ถ้าทำได้จริง มัน win-win เลยนะเนี่ย Facebook มันก็รวยเพราะคนใช้เยอะ บริษัทก็ประหยัดต้นทุนการโฆษณา ที่ปกติใช้ไม่ค่อยเป็นประโยชน์ แถมลูกค้าก็ได้ Benefit จากที่ปกติไม่เคยได้ ..ไปๆมาๆ มันสร้างวัฏจักรที่เป็นมิตรต่อสิ่งแวดล้อมในทางอ้อมต่อธรรมชาติ โดยเฉพาะ ใบปลิว … ดังนั้น กระดาษแทนที่จะเอาไปพิมพ์ในปลิว ซื้อ 1 แถม 1 เอาไปพิมพ์ “หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน เพิ่มขึ้นจะดีไหมเนี่ย”

ภาววิทย์ : ใช่ๆ ๆ พี่ มันดีเลยแหละ เพราะหนังสือ ผมมันกระตุ้นต่อมความคิดในเรื่องการลงทุน และการใช้ชีวิต ให้มันเกิดประโยชน์สูงสุด ( อิ อิ โฆษณาแฝง แหะ ๆ ๆ)

ป๋ากิ้ง : “ไหนๆก็โฆษณา แล้ว มาคุยกันลึกๆเลยดีกว่า ว่าไอ้หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน นี่ป๋าแพ้ท มุ่งหวังอะไร”

ภาววิทย์ : “ก่อนอื่น ไม่ใช่ เงินแน่นอน เพราะ ที่เล่าๆมาจะเห็นเลยว่า นักเขียน แทบไม่ได้อะไร แถมมีความเสี่ยงเรื่องต้นทุน รวมทั้งระยะเวลาในการชำระเงินที่ดึงยึดออกไปอีก ..คือประมาณว่า ใครคิดจะมารวยจากการ เขียนหนังสือ ขายในประเทศไทย ที่ราคาเฉลี่ยของหนังสือ ถูกเกือบที่สุดของโลก แถมไม่ค่อยมีคนอ่าน ..ผมว่าคุณปิดประตูความคิดหาเงินออกไปเลย” …ประเด็นที่ผม หวังก็คือ การกระตุ้นให้ การคิด “คิดต่าง” มันเกิดขึ้นกับเยาวชนไทย …ผมว่า ส่วนนี้ประเทศเราล้าหลังประเทศพัฒนามากๆ บ้านเราถูกสอนให้ท่องจำ เรียนสูงๆ จากนั้นพอจบมาก็เซ็ง ไม่อ่านหนังสืออีก ..ซึ่งต่างกับสังคมที่พัฒนาแล้ว ไม่ว่าจะเป็น อเมริกา หรือ ญี่ปุ่น หรือ สิงคโปร์ พวกนี้เขาเรียนจนตาย “คือ มันสนุกที่ได้เรียนรู้ นั่นเอง”

ผมว่าปัญหาหลักของสังคมไทย คือ “เมื่อคนอ่านหนังสือน้อย คนเขียนก็ย่อมน้อย” ในที่สุด หนังสือดีๆ มันก็แทบจะไม่มี สรุปอุตสาหกรรมของการเรียนรู้ในเมืองไทย มันแทบไม่มี หรือ จะว่าไปอุตสาหกรรมหนังสือเราจะไปแนว สำรวจบ้านผี แอบดูชีวิตดารา หรือ น้ำเน่า ตบกับไปกันมามากกว่า ซึ่งตรงนี้มันเป็นความบ้าของผมส่วนตัว ที่อยากจะสร้างให้หนังสือแนวธุรกิจและการลงทุน ที่แทบไม่มีใครอ่าน ..ทำให้มันสนุก แล้วก็ทำให้เยาวชนของเราอ่านหนังสือมากขึ้น

“และวันนี้ มันก็เป็นก้าวแรก ที่ผมค่อนข้างภูมิใจ คือ ล่าสุด หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ก็แทรกเบียดหนังสือนิยายต่างๆ โผล่ขึ้นมาเป็น Bestseller ของร้าน SE-ED ได้”

…มันชี้ให้เห็นเลยว่า จริงๆ ไม่ใช่คนไทยไม่อยากอ่านหนังสือ ที่เกี่ยวกับการพัฒนาความคิด เพียงแต่หนังสือ แนวนี้มันยังมีน้อยต่างหาก … “ดังนั้น วันนี้ S2M เราต้องสูดลมเต็มปอด …ว่าเรามาถูกทางแล้ว”

“ภาววิทย์” คุยกับ “ป๋ากิ้ง” ตอนที่ 1 รู้ทันเศรษฐกิจ New Economy ก็รวย!!

ป๋ากิ้ง : ไงล่ะ “ป๋าแพ้ท” ยิ้มเลย หนังสือแกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 2 ติด Best Seller ของ SE-ED ขายแบบ เบียดหนังสือนิยายวัยรุ่นขึ้นมาเป็นอันดับหนึ่งหนังสือขายดีของประเทศ ตั้งแต่อาทิตย์ แรกที่วางขาย … “รู้สึกยังไงบ้าง”

ภาววิทย์ : เอ๋อ!! รู้สึกเยี่ยม แต่รู้สึกอยากซื้อหุ้น SE-ED ทันที ..การขายหนังสือผ่านช่องทางหลักอย่าง SE-ED นี่มันทำให้ผมรู้เลยว่า นักเขียนเมืองไทยไส้แห้งขนาดไหน “ดีนะที่ผมมีงานประจำ เฮอะ ๆ ๆ (หัวเราะแห้งๆ..ด้วยหน้าซีดๆ)” …ผมไม่แปลกใจเลยว่า ทำไม ดร.นิเวศน์ แกไม่ลังเลในการเข้าซื้อหุ้นของกิจการ ร้านหนังสืออย่าง SE-ED และ ร้านอื่นๆ ในเวลาที่หุ้นราคาตกลงมา “เดี๋ยวคราวหน้าหุ้น SE-ED หรือ สำนักพิมพ์อื่นๆที่มีหน้าร้าน ผมจะเข้าช้อนทันทีที่ทุกคนขาย หุ หุ” --- ทำไมน่ะหรือ ..ก็เพราะมันโคตรจะสบายเลย ใช่ไหม “ป๋ากิ้ง”

ป๋ากิ้ง : (หน้าซีด) เอ๋อใช่ๆ!! (เงินลงทุน ป๋ากิ้งทั้งนั้น) .. วงการหนังสือบ้านเราเหนื่อย เพราะอย่างแรก คนอ่านหนังสือน้อย แถมราคาขายก็ถูกมาก ..อย่างจะพิมพ์หนังสือซักเล่ม และวางขายที่ร้านดังๆอย่าง SE-ED เขาหักไปเลย 40% “บวก บวก” จากราคาปก ..นี่ยังไม่รวมค่าพิมพ์และค่าใช้จ่ายอื่นๆของสำนักพิมพ์นะ ..อย่าง S2M จริงๆ เราเป็น ศูนย์รวมนักลงทุน Online ..แต่เราก็อยากขยายช่องทางการเผยแพร่ความรู้ ก็เลยตัดสินใจ ลงทุนทำ pocket book แหละ!!

ภาววิทย์ : “ความไส้แห้ง จึงบังเกิดขึ้น!!”

ป๋ากิ้ง : (หน้าซีดเพิ่ม) …เอ๋อใช่!! “แต่!!” ก็สู้ว่ะ … เราพิมพ์หนังสือ แกะรอยหยักภาค 1 ขายเฉพาะใน web ของ stock2morrow.com ของเราเอง ก็ยอดขายแค่หลักพันเท่านั้น ..จุดนี้มันทำให้เราเรียนรู้ว่า จริงๆตลาด e-commerce หรือ การซื้อขายผ่าน internet และ การชำระเงินแบบ Online มันเป็นสิ่งที่คนไทยส่วนใหญ่ ไม่ค่อยจะชอบทำ ..และนี่ก็เป็นข้อจำกัดมาตลอดของวงการธุรกิจ Online ของเมืองไทย … “ผมเกริ่นให้ฟังนิดนึงว่า อย่าง stock2morrow.com เป็น Website เพียงไม่กี่แห่งที่ explore ในการเก็บค่าสมาชิก (ช่วงแรกๆ ก็เพื่อ support ค่าใช้จ่ายที่ค่อนข้างเยอะ เพราะเรามีการหาข่าว และข้อมูลที่เป็นประโยชน์ให้แก่เพื่อนสมาชิก จุดนี้แน่นอน มันต้องมีค่าใช้จ่ายทีมงาน ในการหาข้อมูล รวมทั้ง Admin ต่างๆ)”

ภาววิทย์ : แต่เว็บคู่แข่ง ในด้านการลงทุนอื่นๆ เขาไม่เก็บค่าสมาชิกนะ แล้วจุดนี้ป๋ากึ้งช่วย แถลงไขหน่อย!!

ป๋ากิ้ง : จุดนี้เป็นทั้งข้อดี และข้อด้อย คือ แน่นอน การเก็บค่าสมาชิก ประมาณ 1,000 บาทต่อปี มันไม่ใช่เงินที่มากมาย หากเทียบกับข้อมูลข่าวสารที่ได้ แต่ประเด็นมันอยู่ที่ Community “ผมเห็นหลายๆ Website พยายามสร้างให้เกิด Community แต่มันไม่เกิด เพราะโลก Online มันมีข้อจำกัดคือ คนที่เข้ามาร้อยทั้งร้อย ต้องการของฟรี นี่เป็นประเด็นหลักเลยที่ การทำธุรกิจ Online มันเกิดแทบไม่ได้ เพราะการทำ content หรือ เนื้อหา มันต้องมีโครงสร้างของค่าใช้จ่าย แต่พอมาในเรื่องของการนำเสมอ เรากลับหารายได้ เพียงค่าโฆษณาเท่านั้น ซึ่งตลาดตรงนี้ในเมืองไทยแทบจะไม่มีใครโฆษณา Online ด้วยซ้ำ …แต่ประเด็นที่อยากจะชี้ให้ดู คือ การที่ S2M เก็บค่าสมาชิก แน่นอนมันทำให้เราเติบโตช้า แต่ข้อดีคือ มันทำให้ Community เกิดได้จริงๆ เพราะเงินเพียง 1,000 บาท คุณเชื่อไหม มันแบ่งแยกระหว่าง “ความจริงจัง” กับ “เล่นๆ” ได้อย่างดี และตรงนี้สำคัญมาก

ใน Web Online ส่วนใหญ่ ความสำคัญมันอยู่ที่ข้อมูล เพราะการลงทุนความสามารถมันไม่ได้เฉือนกันมาก ดังนั้น Competitive edge ที่แท้จริง มันอยู่ที่ “ข้อมูล” …อย่างผมเคยใช้บริการของฟรี มักจะเจอ Noise ค่อนข้างมาก (อะไรคือ Noise ..มันก็คือ เสียงรบกวน อย่างแรก เมื่อ Business Model มันไม่สามารถอยู่ได้ด้วยตัวเอง ระบบการหาประโยชน์ การลวงล่อ มันก็เกิดขึ้นมากจาก Web ฟรี เช่น หลอกไปฟันในกลุ่มย่อย , หลอกปั่นหุ้นแล้วทุบ อะไรประมาณนั้น …นอกจากนี้ การที่มัน “เล่นๆ” มันก็มีการเข้ามา Post บ้าๆบอๆ ลองของ ท้าทาย เอามันส์ เช่น เข้ามาแสดงความป่วน ทั้งที่ตัวเองไม่ได้ลงทุนจริง อะไรมากมาย ..คือจะบอกว่าเมื่อมัน Open มากเกินไปและมันฟรี คุณ Control Content ไม่ได้เลย ----- และนี่เป็นเหตุผลที่ ทำไม การเก็บค่าสมาชิก มันอาจทำให้ชุมชนโตช้า แต่มันก็มีข้อดีมากมายจริงไหม!!

ภาววิทย์ : “โอ้โห ตอบยาวมากพี่ ผมเกือบหลับแน่ะ…หุ หุ ล้อเล่น!! มันทำให้ภาพจริงๆครับ ว่าอุตสาหกรรมของโลก Online จะพัฒนาไปอย่างไร”

ป๋ากิ้ง : “เห็นอะไรเหรอ ป๋าแพ้ท ไหนอธิบายซิ (จะลองภูมิความรู้หน่วย ว่าชัวร์ หรือ มั่วนิ่ม)”

ภาววิทย์ : โอเค!! เอาจากประสบการณ์ตรงอันน้อยนิดของผมเลยนะ …ผมมองการ Convergence ในโลก Online อย่างมีนัยยะ และการเติบโตของตลาด Internet ในประเทศไทย กำลังจะเริ่มเป็นตลาดที่ทำเงินอย่างจริงจัง หรือ Serious money (อย่างตลาด อเมริกา , ญี่ปุ่น , จีน เอาง่ายๆว่า ประเทศพัฒนาแล้ว อุตสาหกรรม Internet มันเป็น Serious money ทั้งนั้น แต่บ้านเรากำลังพัฒนาไปในจุดนั้น “และนี่คือความน่าสนใจ”)

ตอนนี้ถ้าใครสังเกตุ อุตสาหกรรม Internet จะเห็นได้ว่ามันเปลี่ยนแปลงเร็วมาก และ Star คนล่าสุด ก็หนุ่มมาร์ค ผู้ก่อตั้ง Facebook ที่สมาชิกก็เลย 500 ล้านคนทั่วโลก ขนาดที่ว่า Time Magazine ยกย่องให้หนุ่มอายุ 26 ปี คนนี้เป็น Person of the year ของปีนี้ … “ความน่าสนใจคือ อายุของหนุ่มมาร์คนี่เพิ่ง 26 ปีเอง” …ช่วงต้นปี Forbes จัดอันดับ เศรษฐีญี่ปุ่น ก็มีเด็กหนุ่มที่อายุน้อยกว่า 30 ปี ติดอันดับถึงสองคน -- และนี่แหละความน่าสนใจของอุตสาหกรรม Internet ….มันคือ อุตสาหกรรมของ The Winner take all คือ ใครได้ที่หนึ่งคนนั้น กินรวบทั้งตลาด โดยไม่สนว่าคุณจะอายุน้อยเพียงใด “เท่ห์ว่ะ!!”

จุดนี้ เร่ิมจากตั้งแต่ Google แล้ว บริษัท Google กินส่วนแบ่งตลาดของโฆษณา Online ไว้เกือบทั้งหมด ในขณะที่ ที่สองอย่าง Yahoo ทำรายได้กระจิ๊ดริด จนปีนี้เร่ิมเข้าสู่ โหมด “ใกล้เจ๊ง เอาแต่ลดคนงาน” …ตอนนี้ Facebook กำตลาดของ Social Network ไว้เกือบทั้งหมด ขนาดที่ว่า บริษัทย่อยๆที่ทำ Game บน Social Network (ไอ้เกมปลูกผัก Farmville ที่เราชอบปลูกกันนั่นแหละ เจ้าของ Game ทั้งหมดนี้ ของ Zynga เป็นบริษัท เกมน้องใหม่ซิงๆ ที่ตอนนี้นักวิเคราะห์ ประเมินมูลค่าของ Zynga ว่ามีมูลค่า $5 billion “ใหญ่พอๆกับ EA (Electronic Arts) เจ้าของเกมมากมายทางด้านกีฬาที่เล่นกันทั่วโลกนั่นแหละ” ..คุณสังเกตุไหมว่า Zynga อยู่ดีๆ ก็โผล่มาจากไหนไม่รู้ ขึ้นมามีมูลค่า เทียบเท่ากับ ยักษ์ใหญ่ในอุตสาหกรรมอย่าง EA) …และสังเกตุไหมว่า Zynga ที่มีมูลค่า $5 billion เป็นเพียงส่วนหนึ่งของอุตสาหกรรม Social Network ที่วาง Platform อยู่บน Facebook และอยู่ภายใต้ อุตสาหกรรม Internet

ก่อนหน้านี้ถ้าใครจำได้ เรามีทั้ง Hi5 จากนั้นก็มา Myspace แต่ในที่สุด Facebook ก็มาเป็นจ้าวตลาดของ Social Network …แต่สิ่งที่ผมอยากจะบอกก็คือ ในที่สุดแล้ว Facebook ก็เป็นเพียงหนึ่งในผู้เล่นของอุตสาหกรรม Internet ซึ่งท้ายสุดก็จะมาแข่งกับ Google และก็มาแข่งกับ Microsoft

“The Winner take all” ฟังดูโหดร้าย แต่มันคือ ความจริงที่เราต้องยอมรับ …กลับมาที่เมืองไทย สาเหตุหลักๆที่อุตสาหกรรมนี้ยังไม่เกิด ก็เพราะมันยังไม่มีโครงสร้างของรายได้ที่ชัดเจน อย่าง Stock2morrow เข้ามา explore ในการเก็บค่าสมาชิก Online รวมทั้งการขายหนังสือ Online ก็เจออุปสรรคเดียวกัน ..ถ้าจะพูดโดยรวม อุตสาหกรรม Internet ของไทย พึ่งพิง อุตสาหกรรมโฆษณา แถมเป็นส่วนเล็กๆของงบโฆษณาที่บริษัทต่างๆ ไม่ให้ความสำคัญด้วยซ้ำ

“ถูกต้อง !!” การที่อุตสาหกรรมนี้จะก้าวขึ้นมามีความสำคัญก็ต่อเมื่อ ระบบการจ่ายเงิน บน Online มันเป็นที่ยอมรับอย่างแพร่หลายในเมืองไทยเสียก่อน มันถึงจะเป็นไปได้ ..ผมคุยกับ ดร.กอบศักดิ์ นักเศรษฐศาสตร์ ชื่อดัง ที่ทำทั้ง Blog และ Social Media ก็ยอมรับกับผมเลยว่า อุตสาหกรรม Internet ในเมืองไทยวันนี้ มันเพิ่งเริ่มเท่านั้น เพราะมันยังไม่เป็น Serious Money ตราบจนมีการจ่ายเงินจริงนั้นแหละ

แต่สิ่งที่ทำได้ในปัจจุบัน อย่างที่ stock2morrow ทำ มันเป็นการเดินมาในทางที่มีโอกาส เพราะการเข้ามาจับจองเนื้อที่บน Online ได้ก่อน มันเท่ากับว่า คุณได้ที่การค้าทำเลทองของเมือง แม้ตอนนี้ราคาที่ดินทำเลทองยังไม่ได้มีมูลค่ามหาศาลในปัจจุบัน

..แต่แน่นอน ทำเลทองอันนี้มันต้อง Pay Off ในอนาคตอย่างแน่นอน หากคุณเดินถูกทาง !!

วันพุธที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เกร็ดความรู้เล็กๆ เรื่องของเพื่อนบ้าน


“น่าสนใจ ..ยังไง” …ประเทศที่เราทำศึกมาตั้งแต่ บุเรงนอง (ฮึม!!) พม่านั่นเอง เป็นหนึ่ง ASEAN-10 ที่น่าสนใจ เพราะมีทรัพยากรธรรมชาติค่อนข้างเยอะ แถมจีนยังมองเป็นหนึ่งในจุดยุทธศาสตร์ อีกหนึ่งทางในการออกสู่ทะเลของจีน ..พม่ามีประชากรใกล้กับไทย 58 ล้านคน แต่ GDP ต่อหัวเขาน้อยกว่าเรา 10 เท่า … “เขาบริโภคน้อยกว่าเรา”

ขนาดเศรษฐกิจของพม่าเล็กกระจิ๋วเดียว คือ GDP ประมาณ $28 billion ในขณะที่เมืองไทย $263 billion ..ข่าวล่ามาแรง !! ว่า ผู้นำทหารพม่าจะซื้อทีมฟุตบอล ในขณะที่ อองซานซูจี ยังคงถูกกันออกจากเลือกตั้ง !!

.. “ที่จริงแล้ว ในสมัยบุเรงนอง พม่าเจริญกว่าเราตั้งเยอะ แต่ปัจจุบันกลับล้าหลังเราค่อนข้างมาก” อย่างไรก็ตาม พม่าเป็นอีกหนึ่งประเทศที่ไทยสนใจไปลงทุน อย่างกลุ่ม PTT ก็ไปได้สัมปทานแหล่งน้ำมันที่ใหญ่มากในพม่า หรืออย่าง อิตาเลียนไทย ก็ได้ไปลุยโครงการท่าเรือน้ำลึก

…สิ่งที่น่าสนใจในพม่าคือ “พม่าสามารถเติบโตได้อีกเยอะมาก เพียงแต่โดนกีดกันทางการค้ามากมาย เนื่องด้วยการต่อสู้ ระหว่าง อองซานซูจี กับ รัฐบาลเผด็จการทหาร ทำให้จุดนี้พม่าถูก Band ออกจากระบบเศรษฐกิจเป็นเวลานานมากๆ ..นอกจากนี้สิ่งที่น่าสนใจในพม่า ก็คือ ทรัพยากรธรรมชาติ ในเกือบทุกๆด้าน (ทอง!! โกยจากไทยไปเยอะ ตอนเผาเมืองอยุธยา …ว่าไปนั้น!!)

Key Success Factor ของพม่า ผมมองว่าอยู่ที่การเมือง ถ้าเขาสามารถขจัดปัญหาเหล่านี้ไปได้ หรือ จะดีสุดๆ ถ้าพม่าสามารถ เปลี่ยนเป็นประชาธิไตย เพราะนั้นหมายถึง เงินลงทุนจากทั่วโลกจะทะลักเข้าสู่พม่าอย่างแน่นอน “แต่มันเป็นเรื่องที่ยาก!!”

“ลาว” มีประชากรแค่ 6.3 ล้านคน ประเทศเขาเศรษฐกิจเล็กมาก มี GDP แค่ $5.5 billion แต่สิ่งที่น่าสนใจของลาวคือ เขาก็มีทรัพยากรธรรมชาติเยอะ ..บ้านเราก็ได้ประโยชน์ ในเรื่องของโรงไฟฟ้า จากลาวค่อนข้างมาก จับตาดูกลุ่ม Glow ให้ดี!!

“กัมพูชา(เขมร)” ..ฮ่า สมเด็จ ฮุนเซน ..ดังมาก!! นึกว่าเขาเป็นราชาที่นั้น แต่ไม่ใช่ เขาเป็น “สมเด็จ” ใครเห็นก็ งง ไม่รู้ใครตั้งให้ ..อันที่จริงประเทศกัมพูชา มีกษัตริย์ แต่โดนลดบทบาทให้อยู่เงียบๆ ….ประชากรของเขมรมี 14 ล้านคน ขนาด GDP ก็เล็กๆ คือ $ 11 billion …ประเด็นคือ ประเทศผูกขาดโดยฮุนเซน เลยเหนื่อยหน่อย “ดิวยาก!!”

“เวียดนาม” เดิมทีก่อนหน้านี้ เวียดนาม วางตัวเอง แข่งกับไทย ต้องการเบียดไทย ให้ตกขอบ ประชากรมี 87 ล้านคน (มากกว่าไทย) ขนาด GDP $92.4 billion ..จริงๆ เวียดนามเป็นประเทศที่น่ากลัวในเชิงเศรษฐกิจ เพราะคนเขาค่อนข้างขยัน แต่ไปๆมาๆ ตอนนี้สะดุด ขาตัวเองในเรื่องของ “ค่าเงิน”

ปัญหาในปัจจุบันคือ “เงินเฟ้อ” เวียดนามเนื่องจากเศรษฐกิจขยายตัวมาก ทำให้เกิดปัญหาเงินเฟ้อเข้าขั้นรุนแรง สิ่งที่เกิดขึ้นคือ เมื่อเงินเฟ้อ คนก็ยิ่งไม่อยากถือ “สกุลเงินดอง” (เงินของเวียดนาม) ..คนส่วนใหญ่เลย เอาไปแลกเป็นเงินดอลลาห์มาเก็บแทน หรือ ไม่ก็ซื้อทอง …ยิ่งคนไม่ต้องการ “เงินดอง” เงินก็ยิ่งลดค่า “ยิ่งเฟ้อ หนักเข้าไปอีก” …ตรงนี้กำลังเป็นประเด็นที่สะกัดดาวรุ่งของเวียดนาม “ก็คงต้องจับตาดูการแก้ปัญหาจากรัฐบาล…ดูต่อไป”

“มาเล” มีประชากร 28 ล้านคน GDP $191 billion แต่ GDP ต่อหัวเขาสูงกว่าไทย ..ก็เพราะคนเขาน้อย , แถมมีน้ำมัน และการเมืองค่อนข้างนิ่งเลย พัฒนาได้เร็ว แต่ต้องยอมรับว่าผู้นำคนก่อน มหาเธร์ เขาเก่ง และวางรางฐานอุตสาหกรรมและการพัฒนาไว้ได้ดี เช่น เมืองไฮเทค ..นับเป็นคู่แข่งที่น่ากลัวของไทย

“อินโด” มีประชากรมากที่สุดใน ASEAN คือมี 231 ล้านคน ..และ GDP สูงถึง $ 539 billion โอกาสของอินโดก็คือ การเป็นประเทศที่ เป็นศูนย์กลางของชาวมูสลิม ซึ่งตรงนี้สามารถดึงดูดการลงทุนจาก มูสลิมด้วยกัน

“บรูไน” เล็กสุดในกลุ่ม มีประชากร 388,190 คน GDP $11 billion (แต่ GDP ต่อหัวสูงที่สุดอันดับ 2 ใน ASEAN รองจากสิงคโปร์)

“สิงคโปร์” ประชากร 4.6 ล้านคน ขี่คอกันอยู่ ..หุ หุ การศึกษาดีรายได้สูง แต่ประเทศมีความกดดันสูง GDP $177 billion

“ฟิลิปปินส์” ประชากร 92 ล้านคน GDP $160 billion ส่วนไทยเรา ประชากร 66 ล้านคน GDP $263 billion

ประเด็นคือ การรวมตัวกันของ AEC ย่อมให้ประโยชน์แก่ผู้ที่เห็นโอกาส …ผมค่อนข้าง Bullish สำหรับบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ที่เป็น Big Player ในอุตสาหกรรมต่างๆ เพราะการร่วมตัวครั้งนี้ ผมมองว่า มันจะเป็น “อีกก้าวกระโดด ของเอเชียเลยทีเดียว”

…สังเกตได้จาก SCC และ PTT เป็นตัวอย่าง เขาออกไปขยายในกลุ่มประเทศเพื่อนบ้านนานแล้ว ...บ้านเราแม้ไม่มีน้ำมัน หรือ ถ่านหินเป็นของตัวเอง แต่บริษัทต่างๆ ก็ไปทำสัมปทานในประเทศเพื่อนบ้าน อย่างบ้านปูก็เข้าไป Take "เหมือง" ทั้งในอินโด ออสเตรเลีย และจีน ... มาดู PTT ผมว่าเขาไม่ยอมน้อยหน้าแน่ ..การนำ PTTEP เข้าไปซื้อ แหล่งน้ำมันในแคนาดา และการจะขยายโรงกลั่นไปในอเมริกา หลายคนอาจมองว่า "จับฉ่าย" ..แต่ทำไงได้ ค่าเงินมันดันแข็งแบบช่วยไม่ได้ (บริษัทไหนฉลาดและแข็งแกร่ง ยุคนี้เขาลงทุนต่างประเทศทั้งนั้น) ..ดังนั้น โรงกลั่นของ PTT Group น่าจับตามอง!! ... ในส่วนธุรกิจอาหาร CPF กับ TUF ก็ไปค่อนข้างแรง จากการใช้ประโยชน์ในเรื่องของค่าเงินบาทแข็ง ไป Take over แล้วโตอย่างก้าวกระโดด ...ฝากดูกุ้งเล็ก cfresh ซิว่า กำลังจะทำอะไรรึเปล่า..หุ หุ ..."เมืองไทยเราได้เปรียบ เพราะเรามีเทคโนโลยี ในการผลิต ส่วนเพื่อนบ้านก็มีแรงงาน มันเป็นอะไรที่ลงตัว!!"

..ดังนั้น สำหรับนักลงทุนผมว่า เดี๋ยวนี้ซื้อหุ้น ไม่ใช่มองสั้นๆแล้ว ต้องมองออกไปว่า ถ้าการรวมตัวสำเร็จในปี 2015 ตามที่ ASEAN ตกลงกันไว้ ---- บริษัทที่เจ๋งๆ ในด้านต่างๆ จะสามารถขยายกิจการไปในเพื่อนบ้านอย่างรวดเร็ว และนี่จะเป็นบันทึกหน้าใหม่ของเศรษฐกิจเอเชีย !!

“นับเป็นโอกาส การลงทุนที่น่าสนใจสำหรับทุกคนเลยทีเดียวครับ”

“AEC” ตัวที่จะทำให้คุณรวย !! (ด้วยที่ดิน)



AEC ย่อมาจาก ( ASEAN Economic Community ) ..ประเด็นที่น่าสนใจคือ เมื่อ ASEAN รวมตัวกันได้ ก็จะทำให้เกิด Win-Win นั่นก็คือ ภาพรวมเศรษฐกิจในประเทศสมาชิกมีการขยายตัวขึ้น หัวใจของการรวมตัวก็เพื่อที่สร้าง Single Market และก็ Single Production Base

ภาพรวมของ กลุ่ม AEC คือ มีประชากรรวมกัน 601 ล้านคน ( คิดเป็น 8.8% ของประชากรทั้งโลก ซึ่งถ้าสามารถรวมตัวกันได้จริง ตามเป้าหมายที่วางไว้คือปี 2015 จะทำให้กลุ่ม AEC มีขนาดของเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับที่ 9 ของโลกที่ขนาด $1,800 billion ) …เทียบกับเศรษฐกิจโลกคือ $57,937 billion ซึ่งประกอบไปด้วยอเมริกา $14,256 billion , EU $12,517 billion ,ญี่ปุ่น $5,068 billion , จีน $4,910 billion เป็นต้น

หากคุณเป็นผู้ประกอบการ สิ่งที่น่าสนใจ คือ การเข้าไปใช้ประโยชน์ ในเรื่องการหาแรงงานที่ราคาถูก และ สามารถผลิตใกล้แหล่งวัตถุดิบ

มีวัตถุประสงค์ของการรวมตัวของ AEC จะประกอบไปด้วย 5 ด้านคือ 1. Free flow of goods 2. Free flow of Investment 3. Free flow of capital 4. Free flow of skilled labour และ 5.Free flow of services

ลองดูซิครับ ใครได้ประโยชน์ (ถูกต้อง!! ..คนได้ประโยชน์ คือ คนที่สามารถเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น)
วันก่อนระหว่างผมขับรถในเมือง ก็ผ่านไปเห็นที่ดินผืนงามๆ มากมายในกรุงเทพ ผมก็คิดว่า “โห!! เจ้าของที่ ทำเลดีๆอย่างนี้ใจกลางเมือง คงรวยสุด ..แล้วใครเป็นเจ้าของ!!” ..จากนั้นผมก็ลองนึกๆว่า ถ้าเราสามารถซื้อที่ีดินเหล่านี้ได้ในราคาถูก คงจะรวยน่าดู ..แต่ปัญหาก็คือ ราคาที่ดินมันมีแต่ขึ้น ดังนั้น ที่ดินผืนงามๆในกรุงเทพ คงไม่มีทางกลับไปราคาถูกอีก

“ผมจำเรื่องเล่าในครอบครัวผม ที่คุณพ่อเล่าว่า สมัยคุณปู่ (คุณ ทวิช กลิ่นประทุม) ตอนหนุ่มๆ ท่านมีเงินเยอะ แต่สมัยนั้น ที่ดินในกรุงเทพถูกมากๆ ตึกสูงๆ อะไรในกรุงเทพก็ยังแทบจะไม่มี …พ่อผมพูดให้ฟังว่า ยุคนั้น ไม่มีใครคิดหรอกว่า กรุงเทพจะแออัดและเจริญถึงขนาดนี้ ..ก็สรุปได้ว่า “คนสมัยก่อนคาดไม่ถึงว่า เมืองจะเติบโต และมีคนมาอยู่มาก ที่ดินก็ราคาพุ่งสูง …ดังนั้น ในยุคนั้นก็แทบไม่มีใครสนใจลงทุนในที่ดินเลย” ..ใกล้ตัวเลย ก็ปู่ผมนี่แหละ ขนาดมีเงินเยอะแยะ แต่ไอ้ที่ดินที่ตั้งบริษัทของครอบครัว ยังไปเช่าการท่าเรือเลย ..ไม่ยอมซื้อว่างั้น!! ….เดี๋ยวนี้กลับกลายเป็นว่า คนที่มีเงินส่วนใหญ่ในกรุงเทพ มักรวยมาจากที่ดินทั้งนั้น ไอ้ที่ทำงานได้เงินเป็นแสนๆ แล้วจะรวยเป็นร้อยๆล้าน “อันนั้นมันฝันเปียก”

ดังนั้น “ฟันธง” คนที่รวยมากๆ ถ้าไม่ได้สร้างกิจการของตัวเอง ก็รวยจากที่ดิน …อย่างผมรู้จักเพื่อนคนนึง บ้านมันทำโรงสีอยู่ชานเมือง ก็แถวรามอินทรา ย้อนไปแค่ 10 ปี แถวนั้นไกลโคตร!! เดินทางไปยาก ..มาดูเดี๋ยวนี้ทางด่วนตัด ถนนตัดผ่าน วงแหวนตัดผ่าน สรุป โรงสีเผอิญ มีชาวบ้านเอาที่มาวางบ้าง มาขายให้บ้าง เลยเป็นเจ้าของที่ดินมากมายแถวรามอินทรา … “เดี๋ยวนี้ไม่ต้องสงสัย เพื่อนผมคนนี้ รวยแค่ไหน!!” …ผมมานั่นนึกๆ แหม!! ทำไมบ้านผมไม่ทำโรงสี หรือ เลี้ยงวัวแถวชานเมืองจะได้รวยที่ดินสุดๆบ้าง..อิ อิ

“แม้คุณจะเปลี่ยนอดีตไม่ได้ ..แต่คุณสามารถเปลี่ยนอนาคตได้” ..ถูกต้อง สิ่งที่ผมกำลังคิดคือ ในเมื่อเรารู้ว่า การรวมตัวของ AEC จะทำให้เมืองสำคัญๆ ของประเทศต่างๆ อย่าง พม่า, ลาว , เขมร ,เวียดนาม (CLMV)

…ใช่ๆ แทนที่จะเอาเงินมาพันล้านซื้อที่กลางกรุงเทพ แล้วเก็งอย่างเพ้อฝันว่าที่แปลงนั้นจะกลายเป็นหมื่นล้าน มันคงจะเป็นไปได้ยาก …แต่ถ้ามองอีกมุมนึง ถ้าเรามีเงินทุนพอสมควร อาจจะรวมตัวไป ไปหาธุรกิจที่เกี่ยวเนื่องกับที่ดิน และเก็งซื้อที่ดินทำเลดีๆในประเทศ เพื่อนบ้าน ที่ยังเจริญน้อยกว่าเรา ..ผมว่าเป็นความคิดที่ไม่เลวนะ

“คุณไม่รู้หรอกว่า รัฐบาลลาว จะสร้างรถไฟฟ้าตรงไหน” แต่ที่ดินในจุดสำคัญๆ ไม่ได้ราคาบ้าเลือดเหมือนที่ดินในกรุงเทพแน่ ….ผมเคยเล่าเรื่องของธุรกิจเศษเหล็กที่ คนจีนชอบซื้อที่ติดแม่น้ำเจ้าพระยา แล้วขนเอาเศษเหล็กมากอง …เดี๋ยวนี้ที่เหล่านี้ ถูกกว้านซื้อโดย บริษัทพัฒนาอสังหาริมทรัพย์ ในราคาหลายร้อย หลายพันล้าน … “มันจะดีกว่าไหม หากเราเอาสิ่งที่เห็นไปใช้เป็นแนวทางการเก็งกำไรในที่ดิน ในประเทศเพื่อนบ้านบ้าง”

เดี๋ยวนี้ RMF / LTF เอาเงินเกษียณเราไปลงในหุ้น บางทีก็ดี บางที่ก็ไม่ดี ไปลงในบอนด์เกาหลี ไปซื้อพันธบัตรอเมริกา ..โคตรจะห่วยเลย !! “เอางี้ ถ้าเป็นไปได้ ผมจะหาโอกาสตั้ง Private Fund แล้วระดมทุนจากนักลงทุนที่อยากมีทางเลือกในการลงทุนที่ดีขึ้น จากนั้นก็เอาเงินก้อนนี้ไปทำธุรกิจ ที่เกี่ยวเนื่องกับที่ดินอย่างที่ผมพูดมา ผมว่านี่แหละ กำไรจริง!!”

“ธุรกิจที่เกี่ยวกับที่ดิน มันเป็นอะไรที่เทพมากๆ หากคุณรู้ว่าอนาคตราคาที่ดินจะพุ่ง ..เพราะการทำธุรกิจมันเป็นการทำเงินระหว่างรอ แต่เป้าหมายที่แท้จริง คือ การถือครองที่ดิน เป็นเวลาที่นานพอจะให้ที่ดินนั้นๆ เพิ่มมูลค่าอย่างมหาศาลต่างหาก …ในญี่ปุ่นบางคนเก็งกำไรในที่ดิน แต่ระหว่างที่รอ ก็ทำเงินไปพรางๆโดยการทำที่จอดรถ ทำเป็นสนามไดรฟ์กอล์ฟ”

---- จะรวยจริง ต้องมองต่าง (แล้วอดทนสักหน่อย!!) …แล้วลูกหลานจะยกย่องคุณ ฮ่า ฮ่า!!

การรวมตัวของกลุ่มการค้า ASEAN เราได้อะไร !!

( Pie Chart เปรียบเทียบขนาดเศรษฐกิจของไทยเรา กับเพื่อนบ้านในกลุ่ม ASEAN-10)

(เดี๋ยวก่อน !!) ASEAN-10 มันสำคัญอย่างไร ..แน่นอนสำคัญมาก หากใครดูข่าว ตั้งแต่วันที่ 1 ม.ค. 2553 “ข้อตกลงเขตการค้าเสรีอาเซียน AFTA (ASEAN Free Trade Area) ..ได้เริ่มมีผลบังคับใช้อย่างเป็นทางการ ทำให้ภาษีนำเข้าของประเทศสมาชิกต้องลดลงเหลือ 0% -- หลายคนคงสงสัยแล้วไงล่ะ!!

(ปั๊ดโถ่เอ๋ย) คุณเห็นกลุ่ม CPF ไหม ธุรกิจเขากำไรโตที 4 เท่า มูลค่ากิจการ จาก 4 หมื่นกว่าล้าน กระโดดมาเป็น 175,966 ล้านบาทในปัจจุบัน (นี่แหละคนที่เห็นโอกาส และหาโอกาส จากสิ่งที่เห็น ..ในขณะที่คนส่วนใหญ่ยัง เดินไปเดินมาแล้ว งง ว่า “มีอะไรเปลี่ยนแปลงหรือ!!”)

ช่วงนี้ผมได้ถูก Assign จากธนาคารกรุงเทพ ให้มาศึกษา ผลกระทบของการ รวมตัวทางเศรษฐกิจของ ASEAN ซึ่งยิ่งผมศึกษา “มันยิ่งน่าสนใจ” …สิ่งที่ผมพบในเบื้องต้นเลย คือ คนส่วนใหญ่ไม่รู้เรื่องเลยว่า การเปิดการค้าเสรีมันจะกระทบต่อธุรกิจเขาอย่างไร บางกิจการเจ๊งไปเลย บางกิจการอยู่ดีๆก็ขายดีขึ้น มี order Lot ใหญ่มหาศาล … “คนโชคดีจากผลกระทบก็รีบไปซื้อหัวหมูแล้วไปไหว้เจ้า ..ไปขอบคุณเทพเจ้า --- ส่วนไอ้กิจการที่ซวย ก็รีบไปสะเดาะเคราะห์” ..หารู้ไม่ว่า ไอ้ที่มันกระทบเขาอย่างจัง มันไม่ใช่เทพเจ้า แต่มันเป็นการตกลงทางการค้าระหว่างประเทศ ที่ไม่มีใครให้ความสำคัญนั่นเอง !!

“ยิ่งคนส่วนใหญ่ไม่สนใจ นี่แหละ โอกาสที่เราสามารถหาประโยชน์และทำกำไรจากมัน …ดู CPF “แม่เจ้า!!” เขาโตอย่างก้าวกระโดด จากการเปิดเสรีทางการค้า ..กลุ่มธุรกิจใหญ่ๆ ในตลาดหลักทรัพย์ กระโดดเข้าไปลงทุนในเพื่อนบ้าน ..ITD อิตาเลียนไทย กระโดดเข้าไปจับ โครงการ Mega Project ท่าเรือน้ำลึกทวาย ในพม่า “จากนั้นก็ออกข่าว ตู่ม!! หุ้น ITD วิ่งเป็นเจ้าเข้า..ทั้งที่โครงการยังไม่ได้เริ่มสร้างเลย (แน่จริงๆ สามารถหาประโยชน์ ก่อนสร้างโครงการ ..ถ้าเริ่มได้สร้างจริง ก็ยิ่งได้เข้าไปอีก ..จากนั้น อีกสารตะประโยชน์”) ..เห็นไหมล่ะครับ ไม่แปลกเลยที่บางคน …บางกิจการ รวยสุดๆ .. “ก็เพราะเขารู้จัก มองโอกาส หาจังหวะสร้างกำไรและผลประโยชน์ ในขณะที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ”

“ความสนุก” มันอยู่ที่ ธนาคารกรุงเทพ เผอิญมีลูกค้าอยู่ในทุกธุรกิจ ทุก Sector …เมื่อเราเห็นโอกาสการรวมตัวทางเศรษฐกิจ ก็ทำให้เขาเร่ิมเห็น “ทอง…ใช่!! โอกาสทอง ในการช่วยให้ลูกค้าธนาคารรวย ..เมื่อลูกค้ารวยธนาคารก็ได้ประโยชน์ จริงไหมครับ”

เกริ่นมาซะยาว เพียงจะบอกให้รู้ว่า ASEAN-10 กำลังจะ รวมกันเป็นประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน ในปี 2558 (2015) ภายใต้ชื่อ “EU” (ล้อเล่น !! EU นั่นมันรวมกันเพื่อเจ๊ง แต่ ASEAN นี่รวมกันเพื่อรุ่ง นี่แหละความแจ๋ว) เราจะรวมตัวกันภายใต้ชื่อ AEC (ASEAN Economic Community)

นี่แหละประเด็นที่ผมอยากจะพูด การรวมตัวของ AEC มันต่างกับ EU แน่นอน เพราะเราเห็นข้อเสียของ EU มาแล้ว เราก็เลยจะไม่เดินไปตามนั้น ดังนั้น แน่นอน ในเร่ืองของ “ค่าเงิน เราจะไม่ทำ Single Currency เพราะมันคือระเบิดเวลา”

มาดูภาพคร่าวๆว่า ASEAN-10 มีประเทศอยู่ 10 ประเทศ (ดังรูป) ประกอบไปด้วย ( Indonesia (GDP $540 billion), Thailand (GDP $263 billion) ), Malaysia (GDP $192 billion) ), Singapore (GDP $177 billion) ), Philipines (GDP $161 billion) ), Vietnam (GDP $93 billion) ), Myanmar (GDP $28 billion), Brunei Darussalam (GDP $11 billion) ), Cambodia (GDP $11 billion) ), Laos PDR (GDP $6 billion) )

(ประเทศไทยเราไม่ใช่ย่อย เรามีขนาดเศรษฐกิจใหญ่เป็นอันดับสองรองจากอินโด ดังนั้น แน่นอน!! การรวมตัวในครั้งนี้ ต้องมีคนไทยรวยขึ้นติดอันดับโลกเพิ่มอีกเยอะ !!)

วันศุกร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มองทะลุภาพลวงของข่าว..แล้วการลงทุนจะนิ่งขึ้น


หากใครเกาะติดข่าวสารเหมือนกับผมจะรู้เลยว่า ครึ่งปีหลังมานี่ มันคือ "สงครามข่าวสาร" ซึ่งถ้ามองให้ดีมันก็เป็นเสมือนดาบสองคม คือ ถ้าเราใช้มันผิดๆ มันก็บาดมือนั่นเอง (บางคนปาดคอตายเลย..หุ หุ หุ)

ผมอยากให้ข้อสังเกตุนิดนึงว่า "ข่าวที่ออกมา มันมีผลต่อบริษัทก็จริง แต่ประเด็นที่สำคัญกว่าคือ ..แล้วมันมีผลจริงๆเมื่อไหร่" ..ยกตัวอย่างการควบรวมบริษัท แน่นอน ตลาดดีใจ หุ้นพุ่งทันที ..ถ้าดูในแง่ของบัญชี ก็สมเหตุสมผล เพราะ การควบรวมกิจการ ก็จะมี asset เพิ่มขึ้น ดังนั้นในแง่ของ Book Value ย่อมเพิ่มขึ้น พร้อมๆกับหนี้สิน ที่ใช้ในการควบรวม ก็ย่อมสูงตาม ..จุดนี้ถ้ามองในแง่ของนักวิเคราะห์ก็จะพูดว่า บริษัทใช้เงินทุนน้อย แต่แปรเปลี่ยนเป็นผลประกอบการที่ดีขึ้น

แต่ในอีกมุมนึง ที่เขาไม่ค่อยพูดถึง ก็คือ ความเสี่ยงก็เพิ่มขึ้นตาม!!

"การขยายกิจการโดยใช้หนี้ ผู้ถือหุ้นยิ้ม" เพราะไม่ Dilute ในส่วนของเจ้าของ ซึ่งวิธีนี้บริษัท "ไอ้กัน" ชอบมาก อย่าง Private Equity ต่างๆ ที่เข้าไปควบรวมกิจการก็ใช้ Debt Instrument (หรือการสร้างหนี้ทั้งนั้น) ผลก็คือ มันดูดี แถม ROE (Return on Equity) ก็เพิ่มขึ้น

..."การขยายกิจการโดย การเพิ่มทุน" อันนี้ผู้ถือหุ้นไม่ชอบ เพราะมันทำให้สัดส่วนการเป็นเจ้าของลดลง แต่ความเสี่ยงก็น้อยกว่าแบบใช้หนี้

ประเด็นอย่าง IVL เป็นประเด็น Classic ที่สามารถยกขึ้นมาดูได้อีกทีว่า การรวมกิจการทำให้ Book Value เพิ่ม และส่งผลให้ P/BV ลดลง ซึ่งในมุมของนักลงทุนที่วิเคราะห์พื้นฐาน ..มันหมายความว่า ราคาหุ้นสามารถขึ้นได้ต่อ โดยที่หุ้นไม่ได้ดูแพงเลย ในสายตาของนัก Fundamental

...ดังนั้น การที่หุ้น IVL ที่เข้า IPO ในราคา 10 บาทต้นปี สามารถขึ้นมาเป็นราคา 60 บาทในปลายปี โดยที่หุ้นไม่ได้แพงขึ้น ---วิธีการที่ทำได้มีไม่กี่วิธี และหนึ่งในวิธีที่นิยมทำกัน ก็คือ การทำ M&A ควบรวมกิจการนั่นเอง!!

ประเด็นถัดมาคือ ในเชิงมูลค่ากิจการไม่ได้ดูแพงขึ้น แต่ความท้าทายมันอยู่ที่ว่า เมื่อรวมกิจการแล้ว มันจะส่งผลให้รายได้ดีขึ้นหรือไม่ ...เพราะท้ายที่สุดแล้ว เป้าหมายของการเติบโต ก็คือ รายได้ และกำไร ดังนั้น มันไม่ได้มีความหมายเลย หากกิจการใหญ่ขึ้นโดยการเอา Asset มารวมๆกองๆกัน แต่ไม่สร้างรายได้

...จุดชี้ขาดจึงอยู่ที่กำไร และ เงินปันผลนั่นเอง

ในอเมริกาที่ผมเคยยก Case ของ Microsoft มันต่างกับประเทศไทย ตรงที่ว่า กิจการของเขามีโอกาสในการเติบโตระดับโลก ในขณะที่หุ้นของไทยสามารถโตอย่างมาก ก็ระดับภูมิภาค ...ซึ่งจุดนี้ Scope ต่างกันพอสมควร ...จุดนี้ทำให้ Microsoft สามารถเติบโตโดยไม่ปันผลก็ได้ เพราะทุกบาททุกสตางค์ที่ใส่เข้าไปในธุรกิจ มันก่อให้เกิดมูลค่าที่มากกว่าบริษัทเอามาจ่ายปันผล ด้วยเหตุนี้มันจึงสมเหตุสมผลมากที่ Microsoft ไม่ต้องจ่ายปันผล แต่ผู้ถือหุ้นก็รับได้

สิ่งที่ผมอยากจะถามคือ คุณยอมรับการไม่จ่ายปันผลกับบริษัทในประเทศไทยแค่ไหน ..."ส่วนตัวผมรับไม่ได้" เพราะตลาดบ้านเราไม่มีความโปร่งใส ดังนั้นกิจการที่จ่ายปันผล มันจึงดีกว่าบริษัทที่ ไซฟ่อนเอาเงินออกไปถลุงใช้เองในกลุ่มเจ้าของกิจการ

กรณีศึกษาที่สอง ผมอยากจะยกหุ้น ADVANC ที่ผู้มีอำนาจ ใช้ข่าวในการหาประโยชน์อย่างมาก ..ยกตัวอย่างข้อพิพาทในเรื่องของการแบ่งเปอร์เซ็นต์รายได้ ตรงนี้มันเป็นข้อพิพาททางกฏหมายที่ต้องใช้การพิจารณาเป็นระยะยาว ..แต่พอข่าวออก หุ้นตกทันที "สังเกตุไหมครับว่า ปัญหาระยะยาว แต่หุ้นตกทันที ..นี่แหละโอกาสในการเก็งกำไร"

...สมมุติปีหน้ามีข่าว 3G ของ TOT ให้ทุกค่ายได้รับประโยชน์ คราวนี้รายได้กระฉูด ..ดังนั้นปีหน้าหุ้นอาจพุ่งขึ้นไปอย่างแรงทั้ง 3 เจ้า โดยที่ข้อกฏหมายยังอยู่ในกระบวนการศาลก็ได้ --- "ดังนั้น ข่าวที่คุณได้รับ ต้องมาดูว่า แล้วมันมีผลเมื่อไหร่ และอย่างไร ..ถ้าคุณเห็นช่องว่าง มันก็คือ โอกาสในการทำกำไร"

คุณจำกรณีของ THCOM ได้ไหม ..ตอนนั้นบอกรัฐบาลจะยึดดาวเทียมคืน พอประกาศออกไปหุ้น THCOM ตกไปครึ่งนึงลงไป 3 บาทกว่าๆ (ระหว่างที่หุ้นตก ก็มีคนเข้ามาช้อนหุ้นในราคาถูก "ทำไมมันกล้าซื้อ!!")

..จากนั้นไม่นาน ก็บอกว่ารัฐบาลไปคุยกับสิงคโปร์แล้วเขาไม่ยอมขาย งั้นตกลงไม่ซื้อ... ณ ปัจจุบันราคาก็พุ่งขึ้นมา 6 บาทกว่าๆ กำไรเกิน 50% ในเวลาสั้นๆ กับข่าวสั้นๆ มั่วๆ !!"..."ง่ายๆอย่างนี้อ่ะนะ ..ถ้าเป็นอเมริกา เขาจับนักการเมืองคนนั้นไปขึ้นศาลแล้ว ฐานปั่นหุ้น".."เมืองจีนเขาเอาไปยิงเป้า ..ฮ่า ฮ่า".."แต่เมืองไทยยกย่อง เป็นเทพๆ เก่งเทพ ..งง จริงๆ"

เอาเป็นว่า ฝากตัวอย่าง เหล่านี้ให้ดูเป็นแนวทาง ว่าอย่าไปตื่นเต้น เจอข่าวอะไรก็อ่านและมองให้ทะลุ

.."เราสามารถทำกำไรจากความกลัวของตลาดเสมอ!!"....

จับกระแส หุ้นพุ่งกระฉูดปี 2554 (ฤดูการ M&A)


ถ้าปี 2553 เป็นปี ของหุ้นเล็ก (หุ้นปลาซิว ปลาสร้อย ที่วิ่งกันเริงร่า กับน้ำฝนอัน ฉ่ำชุ่มของ The Begining of Asian Miracle 2... "คำถามในใจของนักลงทุน คือ แล้วต่อไป จะอะไรต่อล่ะ!!")

ผมอยากยกตัวอย่างของอเมริกา ในช่วง Bull Market เนื่องจาก "เงิน" ในตลาดหาได้ง่าย ประกอบกับวิธีการเติบโตที่เร็วที่สุดก็ตือ "ซื้อมันเลย!!" ...คุณปฏิเสธไม่ได้หรอกว่า บริษัท ที่โตเร็วๆในยุค dot com ล้วนแต่โตมาจากวิธีการ M&A คือการซื้อและควบรวมกิจการ

ไม่ว่าจะเป็น Microsoft ที่ป๋า Bill Gates ซื้อทุกอย่าง ซื้อทุกคนที่จะมาเป็นคู่แข่ง ยิ่งซื้อบริษัทก็ยิ่งใหญ่ อย่างก้าวกระโดด ..หรืออย่าง Oracle บริษัท Software อันดับต้นๆของโลก ที่ใช้การซื้อแล้วรวม M&A เป็นกลยุทธ์หลักในการโตอย่างก้าวกระโดด ...จุดเด่นก็คือ วิธี M&A จะทำได้ก็ต่อเมื่อ ตลาดมีเงินสะพัด เงินทุนหาง่าย (พูดง่ายๆคือ วิธีนี้จะทำได้เมื่อตลาดมัน Bullish เท่านั้น) ซึ่งจุดเด่นก็คือ จะทำให้กิจการโตเร็วอย่างก้าวกระโดด --จะเห็นได้ว่าธุรกิจในยุคก่อนๆใช้เวลาเป็นร้อยๆปี ในการก้าวขึ้นมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ แต่อย่าง Microsoft หรือ Oracle ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี ก็ก้าวขึ้นมาเป็น Global Player และ Keyword แห่งการเติบโตอย่างก้าวกระโดดก็คือ M&A (Merger & Acquisition)นั่นเอง!!

เกริ่นซะยาวให้เห็นภาพระดับโลก คราวนี้กลับมาที่บ้านเราบ้าง ..บริษัทที่โตโดย M&A แบบเทพในยุคก่อน ก็หนีไม่พ้น SCC และ PTT ..ผมจะยกเรื่องของ PTT มาให้ดู คือ ย้อนไปไม่ถึง 10 ปีก่อน บริษัท PTT ยังเป็นรัฐวิสาหกิจ สุดเชย มูลค่ารวมของ PTT ในเวลานั้นไม่กี่หมื่นล้าน ..หลังจากที่ PTT เข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ..บริษัทแห่งนี้ใช้ประโยชน์จากเงินทุนที่ล้นเหลือ เข้าควบรวมกิจการต่างๆทั้งหมด เกี่ยวกับพลังงาน ตั้งแต่ โรงกลั่น ยันไม้จิ้มฝัน ( อิ อิ ..ใส่น้ำจิ้มหน่อย แต่ไม่จิ้มฟันเขาไม่ได้ทำ ทำแต่พลังงาน)

--- ด้วยวิชา M&A ขั้นเทพ จากนั้นไม่ถึง 10 ปี PTT เป็นบริษัทผูกขาดพลังงานของประเทศไทย มีมูลค่าตลาด ณ ปัจจุบัน 9 แสนล้านบาท (แม่เจ้า!! จากบริษัท หมื่นล้านเชยๆ ใช้เวลาไม่ถึง 10 ปี ก้าวมาผูกขาดพลังงานไทย มูลค่ารวม 9 แสนล้าน !!-- เตะบริษัท น้ำมันข้ามชาติ ที่แต่ก่อนเดินกร่าง ให้กระเด็นหายไป ..ล่าสุดมีข่าวว่า PTT จะควบรวม ESSO "นี่แหละ ความเท่ห์") ...ทั้งหมดนี้มันเป็นไปไม่ได้เลย ถ้า PTT จะสร้างทุกอย่างจากศูนย์ จริงไหมครับ!!

วันนี้หลังจากที่ผู้ประกอบการรายอื่นๆ ยังงมโข่ง กับการระดมทุนแบบโง่ๆในสมัยโบราณของตลาดหุ้นไทย คือ รวมก้อนขี้ แล้วโยนเข้ามาระดมทุน เสร็จแล้วก็ขายทิ้งเหลือไว้แต่บริษัทเน่าๆในตลาด ..ส่วนตัวเจ้าของก็โกยส่วนต่างอันน้อยนิด เอาไปเสวยสุขแบบโง่ๆ (นั่นแหละภาพของตลาดทุนเมืองไทยในสมัยก่อน) ...."แต่บัดนี้ ภาพเหล่านั้นมันกำลังจะเปลื่ยนไป..อย่างสิ้นเชิง!!"

ผมจะลองยก กรณีศึกษาของ IVL ที่เข้ามาระดมทุนเพียงปีแรก ก็ใช้วิธีเดินตาม PTT คือ หลังจากได้เงินทุน ก็ใช้เงินทุนนั้นเข้า M&A ซื้อกิจการที่สร้างความแข็งแกร่งให้ตัวเองเข้าไปอีก ..ในเวลาเพียงปีเดียว จากการเข้าควบรวม บริษัทโต 6 เท่า จากที่ IPO ต้นปี 2553 เพียง 10 บาท ปัจจุบันราคาหุ้น 60 บาท ..โดยมีพื้นฐานรองรับ คือ มูลค่า Asset ที่ไปควบรวมมา ก็เข้ามเพิ่มในส่วนของ Book Value ....ส่ิงที่ผมจะชี้คือ เดี๋ยวนี้ผู้ประกอบการไทย ฉลาดขึ้นแล้ว เพราะเขาใช้โอกาส ในการสร้างโอกาส เพิ่มขึ้นไปอีก และนี่แหละคือแนวทางการเติบโตของธุรกิจในปี 2554

คำถามคือ แล้วธุรกิจอะไรล่ะ ที่เราควรลงทุน เพื่อได้รับอานิสงค์จาก โอกาสในครั้งนี้!!

ใช่!! แม่นแล้ว PTT นี่แหละเป็นธุรกิจนึงที่จะชี้ให้เรามอง (เทพ ยังไง ก็ยังเป็นเทพ ...เอ๋อ!! บางคนชอบเล่นหุ้นมาร ไอ้พวกปั่นไม่มีพื้นฐาน พอปั่นเสร็จแล้วตบลง นี่มันหมดยุคแล้ว...เชยโคตร!!) ...ปีนี้ PTT ซุ่มทำเงียบ หลังจากมอง ธุรกิจเกี่ยวเนื่องสายปิโตรปลายน้ำ เดินเกมกันอย่างคึกคัก

ธุรกิจสายปิโตร เกี่ยวเนื่องกับน้ำมัน แบ่งได้เป็น ต้นน้ำ กลางน้ำ และก็ปลายน้ำ (ไอ้ตอนนี้ที่แรงสุด ที่เดินเกมกันอย่างครึกครื้น ก็เริ่มจากกลางน้ำ ที่ IVL สร้างปรากฏการณ์ การโตแบบก้าวกระโดดมาตั้งแต่ต้นปี ...ตอนนี้ปลายปี 2553 ตามมาด้วย "ปลายน้ำ" กลุ่ม PTL , AJ และอื่นๆ อีกมากมายที่ สนุกสนานกัน) ...ผมถามหน่อยถ้าให้คุณเก็งกำไร "กลางน้ำไปแล้ว ปลายน้ำไปแล้ว" คุณจะเก็งอะไรต่อไปล่ะ!!

เฮอะ ๆ ๆ "ต้นน้ำไง" ...ปีหน้า พลังงานครึกครื้น เศรษฐกิจไทยคึกคัก ..."ขอให้รวยกันถ้วนหน้าครับ"

ปี 2554 ปีแห่ง M&A และการเติบโตของตลาดหุ้นอย่างก้าวกระโดด เลือกให้ถูกตัว รับรองรวยแน่ ...!!

วันพุธที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2553

หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 2 ..ออกแล้วครับ!!

ในที่สุด!! ก็พิมพ์เสร็จ ...วันที่ 16 ธันวาคม 2553 หนังสือจะส่งไปที่โกดัง SE-ED ...จากนั้น ตอนบ่ายหนังสือเล่มนี้ก็จะกระจายไปตาม SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศครับ...!!

"ขอบคุณเพื่อนๆ ที่ให้ความสนใจนะครับ..และขอโทษที่ทำให้ต้องรอกันนาน สำหรับเล่มสอง" ...แต่ต้องขอ บอกว่า เล่มนี้ พิมพ์มาทันกับเหตุการณ์ เพราะจากนี้ไป --- เรากำลังเดินทางเข้าสู่ Asian Miracle 2 อย่างแท้จริง !!

ใครพร้อม ....ก็จะได้รับความรวยกันอย่างถ้วนหน้าแน่นอน !!


" รับ Asian Miracle 2

....แกะต่อมาจากมหากาพย์ภาคแรก แต่ไม่ต้องกลัวว่าท่านจะแกะไม่รู้เรื่อง
ถ้าไม่ได้อ่านภาคแรก เพราะมันแกะแล้วจบเป็นตอนๆ ไม่ใช่ละครยาวยืด “การันตี!!”
(จากผลของการออกหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffett ในภาคแรก)

มันเป็นเสมือนใบเบิกทางที่ทำ ให้ผม(นาย ภาววิทย์)เข้าสู่วงในของชุมชน S2M (stock2morrow)…
โลกแห่งชุมชนของนักเล่นหุ้นที่แท้จริง!!...

วางแผง พร้อมกันทั่วประเทศ ที่
SE-ED 16 ธันวาคม 2553 "

...ป๋ากิ้ง S2M





เอา List หุ้นในตลาดมาให้ดูครับ หุ้นถูกๆ ปันผลดี ยังมีอีกมาก!! (ณ ธันวา 2553)

ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต่อปี อย่างต่อเนื่อง นั่นหมายถึงความจริงใจที่ดีต่อผู้ถือหุ้น (ผลตอบแทนระดับนี้ คุณชนะเงินฝากและ พันธบัตร (ที่แย่งกันซื้อ) อย่างถล่มทลาย ...แถมยังมีโอกาสได้ Capital Gain อีกด้วย เพราะถ้าตลาด Boom เป็น Asian Miracle 2 เกิดจึงดังคาด นั่นก็คือ "ยังไงหุ้นทุกตัว ก็ต้องขึ้นอยู่ดี ..เรามีหุ้นดีอยู่แล้ว ก็มีแต่นั่งยิ้มครับ"

ลองนึกถึงหุ้น CPF ซิครับ อยู่ 3 บาท มา 20 ปี ใครจะคิดว่าปีนี้ มันจะขึ้นไป 8 เท่า "ไม่มีใครรู้หรอกครับ!! เพียงแต่ถ้าคุณถือก่อนมันขึ้น 8 เท่า มันดีกว่ามาไล่ซื้อตามตอนนี้รึเปล่า..อันนี้น่าคิด!!" (ดังนั้น ก็เจียดเงินเหลือๆ โยนไว้ในหุ้นพื้นฐานดี ยังไงก็สบาย แถมมีโอกาสได้ แจ๊คพ๊อต ถ้าหุ้นตัวนั้นๆ วิ่งอย่าง CPF จริงไหมล่ะครับ)

วันนี้ผมเอา Link ใน Facebook ของผมมาให้ดูกัน (ผมได้เอาหุ้นในตลาดมา List เรียง P/BV ตั้งแต่แพงไปถูก คือ P/BV สูงๆ ไล่ไปจน P/BV ต่ำๆ ...ความหมายของ P/BV คือ ถ้าต่ำกว่า 1 นั่นหมายความว่า "คุณสามารถซื้อหุ้นได้ต่ำกว่า เจ้าของลงทุนเสียอีก ..ถูกโคตร!! ยิ่งถ้ากิจการให้ปันผลอย่างสม่ำเสมอ ยิ่งสุดยอดเข้าไปอีก เพราะ เรียกว่า "สองเด้ง" ..ได้ซื้อหุ้นดี ในราคาที่ถูกสุดๆ)

คลิ๊กที่ Link นี้ได้ครับ http://www.facebook.com/photo.php?fbid=465446566315&set=a.465446421315.253285.327341826315#!/album.php?aid=253285&id=327341826315

นอกจากนี้ ในหน้านั้นยังมี List ของ P/E ต่ำๆ ..ความหมายของ P/E คือ ถ้าสมมุติ P/E = 5 ก็แปลความหมายได้ว่า "เงินที่คุณเอามาซื้อหุ้นลงทุนก้อนนั้น จะคืนทุนใน 5 ปี เทียบกับรายได้ที่กิจการทำได้" (แต่ตรงนี้ต้องระวังนิดนึงนะครับว่า ..บางกิจการทำเงิน กำไรสูง แต่กลับไม่เคยปันผล ..อันนี้ก็ถือว่าไม่ดี เพราะตลาดเมืองไทย เราจะหวังน้ำบ่อหน้า คงยาก เพราะตลาดมันไม่ได้จะมี Super Stock อย่างอเมริกา ที่บริษัทสามารถเอาเงินที่ไม่จ่ายปันผล ไปสร้างการเติบโตของกิจการมากกว่า ..."จุดนั้นผู้ถือหุ้นจะได้ประโชยน์ ในการเติบโตที่ก้าวกระโดด และได้ Capital Gain หรือมูลค่าเพิ่มจากราคาหุ้นที่พุ่งแรง!!

แต่สำหรับเมืองไทย .."เห็นเวลาบริษัทที่ไม่จ่ายปันผล แต่กลับเอาเงินไปถลุง ใช้ปรนเปอผู้บริหารต่างๆ นานา หรือ เอาไม่เล่นแร่แปรธาตุ .."คือ ผู้ถือหุ้นเสียประโยชน์เต็มๆ ..ดังนั้น ประเทศด้อยพัฒนาในเรื่องความโปร่งใส ต้องคำนึงถึงความจริงใจ ต่อผู้ถือหุ้น นั่นก็คือ ดูการจ่ายปันผลนั่นเอง!!"

"หุ้นที่คนซื้อขายเยอะๆ ร้อนๆ ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ค่อนข้างแพง ...ใครจะเล่นรอบมันก็โอเค เพราะคุณซื้อแพง ไปขายแพงกว่า" ..แต่ใครที่จะเก็บยาวๆ ไปเลือกหุ้นถูกๆ ดีกว่า "ลองเลือกหุ้น เปิดใจกว้างๆครับ (อย่าเอาอารมณ์ในอดีตมาตัดสินว่า ตัวนั้น ตัวนี้ ไม่เคยขึ้นมาเป็นสิบๆปี มันต้องไม่ดีแน่ๆ !! ....การคิดแบบนี้ มันอาจจะทำให้คุณพลาดอย่างแรง-- ให้ใช้ความจริง และข้อมูลจริงๆ ในการตัดสินใจครับ!!)"

ยกตัวอย่างปีที่แล้ว ผมก็เลือกหุ้น พื้นฐานดีๆ อย่างกลุ่มพลังงาน ซื้อไว้ตอนถูกๆ ตอนนี้ราคามันยังไม่ได้สะท้อนความเป็นจริง ผมก็ยังถือต่อ ก็เลยได้อานิสงค์ กำไร ...อิ อิ

...แต่เวลานี้ตลาดขึ้นมาค่อนข้างมาก ดังนั้น มองแต่อุตสาหกรรม คงหาหุ้นถูกๆยาก ดังนั้น "คุณต้องทำการบ้านเพิ่ม คือ ดูลึกรายตัว ...เอาตารางที่ผม post ไว้ไปต่อยอดต่อ .."ใครเจออะไรเด็ด ก็มาคุยกันใน Facebook แบ่งปันกันได้!!"

เอ้า!! ลองศึกษากันดูนะครับ (จะรวยต้องทำการบ้าน)..ปีหน้าสนุกแน่ !!

วันศุกร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2553

รู้จริง ..คือคุณไม่รู้อะไรเลย!!


"เดินทาง ขึ้นเขาเหลียงซาน เพื่อไปฝึกวิชากับ ท่านซุนเซา ..จากนั้นก็ท่องยุทธภพ!! เพื่อประลองยุทธ์สู่ความเป็นหนึ่งในปัฐพี.." (ฟังดูหนังจีนมากเลย ..พี่คร๊าบ!!) ..ใช่แล้วนี่เป็นเรื่องราวของ ดาบวงพระจันทร์ ที่ดื่มเลือดของผู้ท้าทาย ตามคำกลอนที่กล่าว่า

"อันความรู้วิทยาเหมือนอาวุธ ประเสริฐสุดซ่อนใส่เสียในฝัก
สงวนคมสมนึกใครฮึกฮัก จึงค่อนชักเชือดฝันให้บรรลัย"
(เท่ห์มาก เอามาจากอาจารย์ภาษาไทยที่สอนผม ตั้งแต่เด็กๆ ยังจำได้จนทุกวันนี้!! )

วันก่อนได้คุยกับน้องก็เลยเอามาเล่าให้ฟัง ..เล่าก่อน "น้องผมเป็นผู้หญิงตัวเล็กๆ แต่เก่งมาก ตอนนี้เรียนจบดอกเตอร์แล้วในสาขาของ Finance และก็เป็นอาจารย์สอนอยู่ที่ University of Bristol (ประเทศอังกฤษ) ..พูดแล้วเหมือนตลก น้องผมบอกว่า ยิ่งเรียน มันยิ่งรู้สึกว่าเราโง่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะยิ่งเรียน เราก็รู้ว่า จริงๆสิ่งที่เรารู้มันเป็นเพียงส่วนเล็กๆของโลก และจักรวาล ซึ่งมันกว้างใหญ่อย่างไร้ขอบเขต!!

ผมเชื่อว่า ณ จุดนึง ทุกคนที่ใฝ่เรียน ใฝ่รู้จะมาเจอคำถามที่ว่า "จริงๆเราควรเรียนอะไร รู้อะไร เพราะมันมากมายเสียเหลือเกิน" ...แท้จริงแล้วความรู้ต่างๆมัน ปรับปรุงเปลี่ยนแปลงอยู่ตลอดเวลาตามยุคตามสมัย ..ปัญหาของคนไทยคือ พอก้าวออกจากโรงเรียน ก็หยุดการเรียนรู้ (ไม่แปลกที่ประเทศไทย ถูกจัดอันดับต้นๆ ของประเทศที่มีหนังสือใหม่มากที่สุด "ขำขำ..ใหม่เพราะไม่ได้อ่านนะ ..มันเลยใหม่ตลอด!!..หุ หุ") ..เอาเป็นว่าคนไทยอ่านหนังสือกันน้อยมาก ไม่รู้จะโทษค่ายละคร หรืออะไรก็ตามที

"ความรู้ที่แท้จริง มันไม่ได้จบเพียงตำรา" ผมเชื่อว่าการได้พบปะ กับคนใหม่ๆ และเจอสิ่งใหม่ๆ มันก็เป็นความรู้อีกทางที่น่าสนใจ..ดังนั้น คนที่ฉลาดจะมองทุกสิ่งเป็นอาจารย์ แล้วเมื่อทุกอย่างเป็นอาจารย์ ทุกสิ่งเป็นบทเรียน -- ไม่ว่าเราจะทำอะไร เราก็จะฉลาดขึ้น ...จะวกกลับมาเรื่องของการลงทุน หลายๆคนเพิ่งเข้าตลาดแล้วถามผมว่า จะเริ่มอย่างไร --"จริงๆ คำตอบมันก็ง่ายมาก ก็เริ่มจากศึกษานั่นแหละ"

การศึกษาถ้าจะให้แบ่ง มันก็อาจจะแบ่งได้หลายอย่าง ...งั้นแบ่งเป็นการศึกษาที่ "เอาไปประกอบอาชีพ" กับการศึกษาที่ "สร้างความมั่งคั้ง" ละกัน .."อ้าว !! ไฉนเป็นงั้นล่ะ เรื่องอะไรมาแบ่ง ความรู้ในวิชาชีพ กับ ความรู้สู่ความมั่งคั่งออกจากกันล่ะ --มันไม่ใช่ความรู้เดียวกันหรือ!!"

ถูกต้อง!! หลายคนคิดว่า ทุกคนต้องเรียนสูงๆเพื่อให้ได้ความรู้มาประกอบอาชีพ แต่จริงๆแล้ว มันคนละเรื่อง ..การเรียนสูงๆ มันเป็นการเรียนเพื่อให้ได้ "กระดาษ" นั่นก็คือ ปริญญาบัตรที่สังคมยอมรับ ..อันนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้ หากคุณจะเข้ามาทำงานในระบบของสังคม --แต่ข้อยกเว้นก็มีสำหรับ พวกที่ประกอบอาชีพในระบบของตัวเอง ก็เช่น Bill Gates , Steve Jobs (แต่ !! อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า ความรู้เพื่อการประกอบอาชีพเป็นเรื่องที่ไม่จำเป็น ..ผิดถนัด!! เพราะมันจำเป็นอย่างมาก มันเป็นพื้นฐานที่ปัญญาชนในปัจจุบันจะต้องมีเป็นเบื้องต้น)

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เมื่อคุณได้ปริญญาบัตรมาแล้ว หลายๆคน หยุดที่ตรงนั้น ...จึงไม่แปลกที่ คนที่เรียนยิ่งสูงมักเป็น อุปสรรคของการก้าวผ่าน เรื่องความรู้ คือ ความไม่รู้ "มันยิ่งหนา ..และปิดกั้นเขาออกจากโลกของความมั่งคั่ง"

น้องผมเกี่ยวอะไร !! ผมยกตัวอย่างขึ้นมาถึง ความถ่อมตัว สำหรับคนที่มีความรู้ระดับดอกเตอร์อย่างน้องผม ที่กลับมองว่า ตัวเองไม่รู้อะไรเลย ..ผมว่ามันเป็นความคิดที่สุดยอดมาก และมันก็ได้เปิดประตูของคนเหล่านี้สู่ "ความรู้แห่งความมั่งคั่งนั่นเอง"

ครับ!! สูตรสำเร็จ หรือ ทางลัด แห่งการเรียนรู้ ผมว่ามัน ไม่มี ...เพราะอย่างแรก ไม่มีใครสามารถเรียนรู้จากประสบการณ์ของคนอื่นได้ (เพราะอะไรน่ะหรือ) ..ก็เพราะเมื่อมันไม่ได้เกิดกับตัวเรา ..มันไม่เจ็บ "เมื่อไม่เจ็บ มันก็เลยไม่จำ" ..ดังนั้น ทุกเรื่อง รวมทั้งการลงทุนก็เช่นกัน ไม่ว่าคุณจะเรียนมากน้อยเท่าใด แต่หากคุณไม่ลงมือปฏิบัติ คุณก็ไม่มีทางที่จะเข้าใจมันอย่างถ่องแท้ ...หลายคนชอบพูดถึงการไปปฏิบัติธรรม ซึ่งเป็น เรื่องดีอ่ะนะ แต่ที่ดีกว่านั้น คือ คุณเข้าใจมันจริงๆหรือเปล่า ว่าปฏิบัตินั่นน่ะ ปฏิบัติอะไร (ก็ปฎิบัติธรรมไง!! เอ่อ จำเริญ!!)

ธรรมะ คือ ธรรมชาติ แก่นของศาสนาคือ สอนให้เราเข้าใจธรรมชาติ ซึ่งเรื่องราวต่างๆที่เกิดขึ้น ยิ่งเราเบียดเบียน และออกจากธรรมชาติมากเท่าใด ชีวิตก็วุ่นวายมากขึ้นเท่านั้น..กิเลส มันคือ ความอยาก และมันเป็นตัวให้กำเนิดความวุ่นวายที่เกิดขึ้นในโลก

การลงทุนในปัจจุบันนี้ หลายคนพยายามหาแก่น "หาสุดยอดวิชาการลงทุนนั่นแหละ" แต่ผมอยากจะบอกว่า แก่นจริงๆของการลงทุน รวมทั้งการสร้างความมั่งคั่ง มันไม่ใช่การที่คุณ วิ่งไปแย่งมา ไปโกยมา ...ถึงได้มาจริง มันก็ฉาบฉวย และท้ายสุดก็ไม่สามารถรักษาความมั่งคั่งนั้นๆ ให้ยั่งยืนได้

เมื่อผมศึกษาการลงทุนลึกขึ้นเรื่อยๆ มันย้อนกลับ มาที่ Greed & Fear ที่เป็นตัวก่อให้เกิด Bubble และ Bust ตลอดระยะเวลาของประวัติศาสตร์การเงินของโลก ...ส่วนราคาที่เราพยายาม แก่งแย่งให้ได้ขายที่สูง และซื้อที่ต่ำที่สุดนั้น กำหนดโดย Demand & Supply ดังนั้น ไม่ว่าวิชาคุณจะสุดยอด จะเป็น VI จะเป็น Trend Follower จะเป็น System Trade จะเป็น Swing Trade หรือ Exotic Trading มันก็คือคำสวยหรูที่พยายามจะนิยามอะไรบางอย่าง ซึ่งท้ายสุดมันหนีไม่พ้นสี่ตัวที่ผมว่ามา ซึ่งก็คือ "Greed/Fear/Demand/Supply"

ดังนั้น การลงทุนเพื่อความมั่งคั่ง หรือ ความรู้สู่ความมั่งคั้ง มันจึงไม่ใช่การเข้าใจหลักวิชาการที่สวยหรู ..แต่มันเป็นการเข้าใจมนุษย์ต่างหากที่สำคัญที่สุด ... ไม่ว่าคุณจะมีความรู้เรื่องการลงทุนระดับเทพเพียงใด หากคุณไม่เข้าใจตัวเอง .."ยังไงก็เจ๊งอยู่ดี" ดังนั้นก้าวแรกที่สำคัญที่สุดสู่การลงทุน คือ ศึกษานิสัยของตัวเอง

คำถามคือ "แล้วผมจะรู้ได้ยังไง ว่านิสัยของผมเป็นอย่างไร" ...ง่ายๆครับ คนเราจะรู้สันดานที่แท้จริงของตัวเอง ต้องผ่านวิกฤต ..จึงมีคำพูดที่ว่า "วิกฤตสร้างคน" ..จริงๆแล้ว วิกฤตมันสอนให้เรารู้จักตัวเองต่างหาก และนี่คือแก่น ของการลงทุน และการสร้างความมั่งคั่งทั้งหมดของชีวิต

ย้อนกลับมาที่ตัวผมเป็นตัวอย่าง ..หลังจากที่ผมพยายามศึกษาตัวเอง สิ่งที่ผมพบก็คือ ผมไม่ได้วิเศษ วิโส หรือ มีอะไรที่เหนือกว่าคนอื่นเลย (ถ้าแจ๋วจริง ป่านนี้ร้านอาหารของผม คงต้องขาย Franchise แข่งกับ Starbucks ไปแล้ว...แต่ไม่ใช่!!) ...มันย้อนกลับมา ทำให้ผมพยายามหาวิธีที่ดีที่สุด สำหรับการลงทุนที่คนธรรมดา สามารถทำได้คืออะไร!!

จุดอ่อนของมนุษย์คือ พยายามเอาชนะธรรมชาติ ..ซึ่งมันพิสูจน์ทุกยุคทุกสมัยแล้วว่า "มันทำไม่ได้ ..เมื่อไม่ได้ ทำไมเราไม่เอาธรรมชาติ (หรือธรรมมะ) มาทำความเข้าใจตัวเอง แล้วใช้มันเป็นเครื่องสร้างความมั่งคั่งล่ะ!!"

หลักการลงทุนที่ไม่ขัดธรรมชาติ ก็คือ มองธรรมชาติให้ออก ในเรื่องการลงทุน ก็คือ มอง Trend ใหญ่ให้ออก (คุณเดินไม่ถึงเชียงใหม่หรอก หากคุณหันหน้าลงใต้ แล้ววิ่งไปอีกทาง) ..หา!! Trend Follower น่ะซิ ..นั่นก็ส่วนนึง..ประเด็นคือ ยิ่งคุณมองว่าตัวเอง ธรรมดาแค่ไหน คุณยิ่งต้องมองภาพให้ใหญ่ขึ้น เพราะเมื่อภาพใหญ่ขึ้น ใช้เวลามากขึ้น ..เส้นระดับความผันผวนของการลงทุน มันก็จะผันผวนน้อยลงเรื่อยๆ จนเกือบเป็นเส้นตรงที่ตั้งขึ้น

(ถามว่าทำไมกราฟการลงทุนมัน ตั้งขึ้น ไม่ตั้งลงล่ะ ก็เพราะโลกเรา ตั้งอยู่บนเงินเฟ้อ หรือ Inflation ...เงินมันเป็นสิ่งที่ขาดแคลนในวิชาเศรษฐศาสตร์ก็จริง แต่การเพิ่มของเงินมันไม่ใช่ ..โลกเรามีประชากรเพิ่มขึ้น น่าจะถึง 10,000 ล้านคน ในอีกไม่ถึง 20 ปี ..ทรัพยากรของโลกใช้แล้วหมดไป แต่สิ่งที่ไม่มีวันหมด แถมเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ก็คือเงิน "เดี๋ยวนี้เงินมันไม่ต้องใช้กระดาษพิมพ์ด้วยซ้ำ มันเป็นตัวเลขที่อยู่ในคอมพิวเตอร์"...ทีนี้คุณพอจะเห็นภาพหรือยังว่า ทำไมเงินต้องเพิ่มตามจำนวนประชากร และทำไมมันจะต้องลดมูลค่าเงินเดิม และสร้างเงินเฟ้อ หรือ Inflation !!)

หลักการลงทุนง่ายๆ
1. ให้ระลึกเสมอว่า คุณไม่ได้ วิเศษกว่ามนุษย์คนอื่นๆ ดังนั้น "คุณไม่มีทางจะเข้าซื้อหุ้นได้ในราคาที่ต่ำที่สุด และขายก่อนคนอื่นในราคาที่สูงที่สุด ในทุกๆรอบ ทุกๆ Cycle ..เหมือนอย่างที่เกือบทุกๆคนคิดว่า เขาทำได้เก่งกว่าคนอื่น" (ผิดหลักธรรมชาติ)

2. รู้จริง คือ ไม่รู้อะไรเลย เมื่อคุณไม่รู้คุณจะศึกษา ไปเรื่อยๆ ไม่มีวันจบ ..คุณจะไม่กลายเป็น คนที่ Obsolete (คนที่ความรู้หมดอายุ !!) หรือ ตู้หนังสือเก่าๆที่ใช้การไม่ได้ ในโลกที่เปลี่ยนแปลง ..ความกระหายในความรู้จะสร้างความมั่งคั่งทางปัญญาให้กับคุณ "Key Word คือ คุณไม่รู้อะไรเลย!!"

3. หลักการหรือ วิธีการลงทุนที่ดีที่สุด จะต้องเป็นวิธีที่เข้าใจง่ายที่สุด ..ยิ่งซับซ้อน ยิ่งมั่ว ยิ่งต้มตุ๋น !! ไม่แปลกที่เขามักให้ Derivatives ทางการเงินมาต้มตุ๋น ที่จริงมันเป็น financial instrument ที่ดีมาก เพียงแต่ไม่มีใครแปลมันออกมาเพื่อถ่ายทอดเป็นภาษามนุษย์ (ไม่งั้นโลกเราจะ ตั้งอยู่บนความเสี่ยง ที่ลดลง ..แต่ไม่!! (เพราะไม่เข้าใจ!! มันจึงทวีความเสี่ยงที่มากขึ้น)

4. ไม่มีวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด สำหรับทุกๆคนในโลก ..."มีแต่วิธีที่ดีที่สุด สำหรับคุณ!! ..ดังนั้น คุณต้องเป็นคนเลือกวิธีการลงทุนที่ดีที่สุด สำหรับตัวคุณเอง" ...โดยเริ่มจาก คุณต้องเข้าใจตัวเองเสียก่อน!!

5. คุณเป็นเพียงกลไกเล็กๆของธรรมชาติ ...ทุกครั้งที่เราพยายามฝืนธรรมชาติ เราจะเจ็บปวดที่สุด และนี่เป็นสาเหตุของความทุกข์ ที่แม้แต่คนที่รวยที่สุดในโลก หรือคนจน ..ก็ไม่มีใครสามารถหนีมันพ้น!!

" (หยุดอยากจึงเยือกเย็น) ...เงินก้อนที่คุณสามารถ ตัดออกจากชีวิตของคุณได้ เงินนั้นแหละ เหมาะที่สุด ที่จะสามารถเอามาลงทุน และสร้างความมั่งคั่งที่มากที่สุดให้แก่คุณได้ !!"

"รู้จริง ..คือ คุณไม่รู้อะไรเลย" ...เรียนรู้สู้ต่อไปครับ...

วันพุธที่ 8 ธันวาคม พ.ศ. 2553

มองทิศทางเศรษฐกิจปี 2554 อย่างไร !!

“รัฐอัดฉีด 5 พันล้าน อุ้ม 3 กลุ่มแรงงาน” “ตรึงอัตราก๊าซหุ้งต้ม” “กดราคาน้ำมันดีเซล (ซึ่งเป็นน้ำมันที่กระทบโดยตรงกับต้นทุนพ่อค้าแม่ค้า และผู้ประกอบการ)” “ให้ไปรษณีย์เป็นธนาคารสำหรับรายย่อย ไม่เกิน 15,000 บาท” “เงินทุนไหลเข้าจากฝรั่งหัวดำ และแดง หนีแบงค์กงเต๊ก!!” …เอ๋อ!! ข่าวหลังไม่ได้มาจากหนังสือพิมพ์ มันเป็นความจริงที่แฝงอยู่ในข่าว…ว่างั้น!!

สรุป ทั้งปั๊มเงิน ..โปรยเงิน …แบกรับต้นทุนให้พ่อค้า .. “คุณพยายามทำอะไรอยู่” …นั่งหลับตาก็เห็นแต่เงินเฟ้อ ประเด็นมันอยู่ที่ว่า เงินเฟ้อแล้วทำอย่างไร คุณถึงจะไม่จนลง ตามมูลค่าของเงินที่ลดลงในอัตราเร่ง --“พูดอีก ก็ถูกอีก ..ใช่แล้วครับ!! ลงทุนไง”

ปีหน้านักวิเคราะห์คาดการณ์ว่าจะมี บริษัทต่างๆระดมออกตราสารหนี้ กว่า 300,000 ล้านบาท “คุณว่าประชาชนโง่หรือ!!” ..ถูกต้องไม่มีใครโง่ ดังนั้น ถ้าออกตราสารหนี้มาแล้วให้ดอกเบี้ยต่ำ มันก็ไม่มีใครอยากซื้อ

…บริษัทยิ่งห่วย ก็ยิ่งต้องให้ดอกเบี้ยสูง (ปีหน้าเลือกกันให้มันส์!! )

…ดังนั้น ปีหน้าคุณเลือกเอาเลยจะเอาดอกเบี้ยอันไหน .. “อันไหนให้ต่ำๆ ไม่ต้องไปซื้อมัน ปล่อยให้ขายไม่ได้ …ถ้าขายไม่ได้ คุณรู้ไหม กฏหมายเมืองไทย บังคับให้ใครซื้อ … คนออกไง “คิดหนักๆ !!” ดูว่าแบงค์อะไรออกให้ ..อย่างธนาคารกรุงเทพ อย่างสุด Conservative “จัดไป” (เชียร์ธนาคารตัวเองหน่อย เดี๋ยวจะหาว่าผม ไม่ใส่ใจนายจ้าง!! เอิ๊ก ๆ ๆ)

ผมให้ข้อสังเกตุนิดนึงนะครับ ว่าเวลาดอกเบี้ยขาขึ้น ..คนออกเขาอยากจะออกตราสารหนี้ยาวๆ “วันก่อนอ่านหนังสือพิมพ์ PTT จะออก ตราหนี้ 100 ปี …สงสัยพี่ ปอ กลัวเงินเฟ้อ เข้าขั้นหนัก!!”

มองยังไงเศรษฐกิจปีหน้า ก็ไม่พ้นเรื่อง

1.แจกเงิน … แต่แจกอย่างมีเทคนิค จะให้ขึ้น ฮอ แล้วโปรยเงินลงมามันจะดูอนาจไปหน่อย “ก็เลยกระตุ้นเศรษฐกิจแบบใช้หลักการนั่นแหละ”
2.เงินเฟ้อ … ใครๆก็หนี แบงค์กงเต๊ก ..ยุโรปก็เข้าขั้น ICU ..ที่ดูดีก็เอเชียนี่แหละ เงินมันก็ไหลเข้า ไหลเข้า ..ยังไง Asset ก็ต้อง Bubble ..อานิสงค์ของ Bubble หุ้นก็ขึ้น ดอกเบี้ยก็ขึ้น ทองก็ขึ้น น้ำมันก็ขึ้น …น้ำมันขึ้น ต้นทุนการค้าก็ขึ้น “คุณว่ารัฐบาลห้ามเงินเฟ้อได้หรือ !!”

สัญญาณแบบนี้ ขอบอกว่า “อันตราย” ยิ่งเห็นข่าวต่างๆ นโยบายต่างๆออกมา ..มันยิ่ง Confirm สิ่งที่ผมมองได้ชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ

ใครมีเงิน ก็แบ่งลงทุนยาวๆกันบ้างเน้อ… ฝรั่งปกติปลายปีต้องทิ้งหุ้น เพื่อไปพักผ่อนหาลุงซานต้า แต่มีปีนี้ ไหง..มันซื้อ!! -- “รึมันจะกลัวอะไร ..ที่เราไม่กลัวหรือเปล่า…อย่าชะล่าใจ อย่ามองว่าช่วงนี้ทำเงินง่ายแล้วจะ ประมาทนะครับ” (หุ้นเล่นยาวบ้าง เล่นสั้นบ้าง เอาให้เหมาะสม ..เศรษฐกิจผันผวนรุนแรงแบบนี้ อะไรก็พลิกล็อคได้ .. “ผมว่าพลิกล็อคเสมอซะมากกว่า !!”)

ผมว่าเวลาแบบนี้ Asset Allocation สำคัญที่สุดครับ …ส่วนจะแบ่งเงินมาเล่นแบบฮาๆ บ้าง นั่นก็เป็นวิสัยที่พอจะทำได้!!

ปล. หุ้นตกช่วงนี้มันคือการปรับฐาน สร้างความแกร่งเพื่อขึ้นต่อ ..หาหุ้นดีๆโกยเข้า Port ถือยาว “ยิ้มครับ!!”

หุ้นตอน Sub prime เราผ่านมาฉลุย ช่วงนั้นจะเรียกว่า "ตลาดสับขาหลอก ให้ปล่อยหมูกันบาน ..แต่ใครเห็นโอกาส ช่วงที่ผ่านมาก็รวยเละ ..ตอนนี้มาถึงจุดที่จะ Break Trend เดิม "ถ้าผ่านได้ก็ยิงยาวไปเลย" ...ภาพใหญ่มัน Bullish มาก สบายครับ หุ้นพื้นฐานดีๆ ใครปล่อยหมูมา เราช้อน!!

วันอังคารที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เกินความมั่งคั่ง ก็คือ ไม่มั่งคั่ง (แล้วไงล่ะ) !!


ผมเอาเรื่องนี้มาแชร์สักนิดนึง คือว่า ตอนนี้กิจการร้านอาหารในต่างประเทศของผม (ร้านอาหารไทยในประเทศออสเตรเลีย) เริ่มดีวันดีคืน ..หลังจากผ่านมรสุมและ ซบเซามานานมาก (ตามการค่อยๆพัฒนา "ที่แท้จริง" ของเศรษฐกิจโลก) .. ปัญหามันเกิดจากจุดเริ่มต้น ที่ผมเป็นมนุษย์คนนึงที่ยึดเอา การวิเคราะห์โดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง "ซึ่งจุดนี้ ขอบอกว่า มันไม่ได้แปลกประหลาดอะไร เพราะผมใช้วิธีคิดเหมือนที่เขาสอนๆมาในโรงเรียนนั่นแหละ" ...แล้วมันคืออะไร !!

สิ่งที่สอนๆกันมาตั้งแต่ เด็กจนโต คือ ให้มองโดยใช้เหตุผลเป็นที่ตั้ง เช่น เวลาเปิดธุรกิจก็ต้องมองว่า มันมีโอกาสแค่ไหน ตลาดรวมดีไหม จะการตลาดหรือความแตกต่างจากคู่แข่ง (จุดขาย) ของคุณคืออะไร ... สรุปด้วยเหตุผล ก็ไม่แปลกที่ผมจะขยายกิจการ เปิดร้านอาหารสาขาเพิ่ม ในช่วงที่เศรษฐกิจมันกำลังดี --ซึ่งในโลกแห่งความเป็นจริง มันเป็นอะไรที่ห่วยที่สุด!! ...มันผิด Cycle เพราะการขยายเมื่อดี เท่ากับคุณต้องโต เมื่อเศรษฐกิจแย่ (ไหงเป็นงั้น!!)

หลังจากผมเกือบถอดใจในธุรกิจร้านอาหาร เนื่องจากขยายไปถึง 5 สาขา แต่โดนมรสุมจนต้อง ค่อยๆตัดแขน ตัดขาเพื่อความอยู่รอด ..จนมาเหลือหนึ่งร้านในปัจจุบัน .. ประเด็นคือ เมื่อมนุษย์อย่างผมเริ่มท้อ ร้านมันกลับดีขึ้นมา .. พูดยังไงก็เหมือนพระเจ้ากลั่นแกล้ง แต่มันคือความจริง!! (อยากดี ไม่ดี .. เฉยๆ กลับดี)

สภาพเหล่านี้มันได้สั่งสม ให้ผมมองโลกในมุมที่ต่างไป ..ต้องยอมรับว่า จากวิกฤตที่ผ่านมา ทำให้ผมมองโลกในมุมที่ลบมากๆ เพราะผมเจอแต่มรสุมทั้งธุรกิจ และชีวิต ..เมื่อความเลวร้ายมันกระหน่ำเข้ามามากๆ จนที่สุดแล้ว มันก็ไม่เห็นมีอะไรที่คุณจะต้องกลัวอีกต่อไป --"และนี่คือ จุดที่ทำให้ Mindset ของผม ...มันเริ่มมองต่างจากคนอื่นๆ" (การมีชีวิตที่ราบเรียบ ผมว่ามันก็โอเคนะ คุณไม่ต้องมาเจอความทุกข์ บ้าๆบอๆ แต่ปัญหาคือ ภูมิต้านทานของชีวิต เวลาเจอวิกฤต ตรงนี้มันเป็นประเด็นที่น่าศึกษา)

ทุกวันนี้ผมเอาความรู้สึกเป็นที่ตั้ง จากนั้นผมก็จะรู้ว่า เหตุผลของการกระทำของมนุษย์ ที่ทำสิ่งนั้นๆ เพราะอะไร จากนั้นก็พยายามคิดตรงข้าม และทำตรงข้าม (คนอื่นซื้อทอง ผมรีบขายทอง / คนอื่นกลัวความเสี่ยง ผมยิ่งเริ่มเสี่ยง / คนส่วนใหญ่ทำอะไร ผมพยายามหลีกหนี) ... จุดนี้มันใช้ได้ดีกับโลกของการเงินอย่างดีเยี่ยม ยิ่งผมศึกษา ประวัติของเศรษฐกิจโลก รวมทั้งตลาดหุ้น ประกอบกับการ Back test ในด้าน Technical ของกราฟราคาหุ้นย้อนหลังมากมาย สิ่งที่มันเด่นชัดออกมาคือ "คนบ้าเท่านั้น ที่สำเร็จในโลกของการเงิน" (ผมพูดแบบนี้หลายคน อาจมองว่า ผมตลก (แต่ไม่ใช่!!) "ผมพูดจริงๆ")...มนุษย์เราไม่ได้ถูกสร้างให้มองอะไร ได้เกินตัวเองมากมาย และนั่นก็คือ คนส่วนใหญ่ใช้อารมณ์ในการตัดสินใจครั้งสำคัญๆของชีวิต --- ไม่ใด้ใช้ความจริง!!

การที่เราทำอะไรตามความรู้สึกของเรา เช่น ความกลัว ความโลภ มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ก็ทำเช่นกัน ..แต่ในอีกด้านนึง หากคุณลองมองความจริงในโลกของ การเงินและการลงทุน ..ทุกอย่างตั้งอยู่บนหลักของ Demand & Supply อย่างเดียวเลย (ที่หลายๆคนเข้าใจว่า ราคาสินทรัพย์ขึ้นกับมูลค่าที่แท้จริง ..ในความเป็นจริงมันไม่ใช่ ทุกสิ่งทุกอย่างที่มีมูลค่า มันเกิดจากการตัดสินใจซื้อของคน 2 ฝ่าย คือ ผู้ซื้อ และ ผู้ขาย ..ถ้ารวมกันหลายๆคน ก็เกิดเป็นตลาดขึ้น ดังนั้น แก่นของมันก็คือ ความรู้สึกของ 2 ด้าน).. ความรวยของคุณ ไม่ได้มาจากคุณมีเงินเท่าไหร่ แต่มันมาจากการเปรียบเทียบกับคนรอบข้างต่างหาก "มันจะไม่มีความหมายเลย หากคุณรวยร้อยล้าน ในขณะที่คนส่วนใหญ่รวยพันล้าน เพราะนั่นหมายถึง คุณก็จนอยู่ดี"

ราคาของสิ่งต่างๆในโลก จึงขึ้นอยู่กับความ พอใจเป็นหลัก ซึ่งบางครั้งความพอใจ มันก็อาจมากเท่ากับมูลค่าที่แท้จริงของกิจการโดยบังเอิญ ... "การที่เรามองว่ามันควรจะเป็น จึงเป็นความหวังที่ค่อนข้างเลื่อนลอย ..ยิ่งถ้าเราผูกความหวังนั้นกับสิ่งที่มีค่าที่สุด นั่นคือ ..เงินเก็บทั้งชีวิตของคุณ เอามาผูกกับความหวังที่เลื่อนลอย ..ผลลัพธ์จึงออกมาตรงข้ามกับที่เราคิดเสมอ" (สถิติชี้ให้เห็นว่า คนกว่า 80% ขาดทุนจากตลาดหุ้น ..ทั้งที่ในภาวะปัจจุบัน เรามองไปทางไหน ก็กำไรกันทั้งนั้น --"อะไรคือสิ่งที่เรา มองไม่เห็น!!")

ในความเป็นจริง หากคุณคิดดีๆ สิ่งที่เราคิดว่าไม่เสี่ยง มันคือสิ่งที่เสี่ยงที่สุดต่างหาก .... ผมเห็นหลายๆคน พยายามแสวงหาความมั่งคั่ง โดยที่ไม่รู้เลยว่า ความมั่งคั่ง หรือสิ่งที่เขาแสวงหามันคืออะไร

คนที่ร่ำรวย ระดับโลกส่วนใหญ่ ไม่ใช่คนที่เดินทางเพื่อแสวงหาความร่ำรวยแต่อย่างใด ..หากมองจริงๆแล้ว คนที่รวยระดับโลก หรือมีชื่อเสียงระดับโลก ก็คือ คนที่เดินตามความฝันของเขาอย่างมุ่งมั่น ยกตัวอย่าง Warren Buffett เขารวยเพราะเขาสามารถ ตัดเงินทั้งก้อนของเขาออกจากตัวเขา!! ... ในมุมมอง Buffett เขาไม่ได้คิดอย่างนักลงทุนทั่วไป ที่จะมุ่งทำกำไรเพียงน้อยนิด ในเวลาสั้นๆ ..สิ่งที่ Buffett มองคือ เขาสามารถเอาเงินก้อนเกือบทั้งหมดในชีวิตของเขา ทุ่มลงไปในกิจการที่เขาอยากเป็นเจ้าของต่างหาก ..เขาไม่เคยสนใจเลยว่าเงินนั้น จะต้องทำกำไรเร็วๆ แล้วจะได้ดึงเงินออกมาใช้ (เพราะเงินที่เขาลงทุน มันเป็นเงินที่เขา ไม่เคยดึงเอาออกมาใช้เลยตลอดชีวิตการลงทุน 40 กว่าปีของเขา ... "ถ้ามองลึกๆ คือ Buffett ได้ตัดเงินก้อนนั้นออกจากชีวิตของเขาไปตั้งนานแล้ว" ....Buffett รวยมาก เพราะเขาได้ตัดเงินก้อนนั้น ออกจากชีวิตของเขาไปนานมากแล้ว!!

อย่างนักกีฬาที่รวยระดับโลก ไม่ว่าจะเป็น Greg norman , Micheal Jordan หรือ Tiger Woods พวกเขาล้วนแต่วิ่งตามความฝันของตัวเอง .. พวกเขาเพิ่งจะมาดูแลเรื่องเงินก็หลังจากที่เขารวยมหาศาลกันแล้ว ..ดังนั้น การสร้างความมั่งคั่ง จึงไม่ใช่การ Focus ไปที่ความมั่งคั่ง แต่มันเป็นการ Focus ไปที่ความฝันและสิ่งที่คุณรักที่จะทำให้มันเยี่ยมยอดนั่นเอง!!

อย่าง Oprah หญิงเหล็กนักจัด Talk show ที่รวยที่สุดในโลก ..ผมก็เชื่อว่า เขาเริ่มต้นจากการอยากที่จะทำในสิ่งที่เขารัก ซึ่งก็คือ รายการ Talk show ของเธอให้ดีที่สุด ( แน่นอน Oprah คงไม่ได้นั่งจัดรายการ Talk show ในช่วงแรกของชีวิตแล้วหวังว่าจะรวยเป็นเศรษฐีของโลก เพราะถ้าย้อนไปวันที่ Oprah จัดรายการ Talk Show ครั้งแรก มันเป็นช่วงเวลาที่ไม่มีใครดู ทางทีวีถึงหาอะไรมาเพื่อคั้นรายการ และเธอก็จัดรายการในช่วงเวลาที่ไม่มีใครดูเป็นเวลานาน อย่างอดทน จนในที่สุด"ก็มีคนดู เพราะรายการของเธอมัน แจ๋วจริงๆ" ..และในที่สุดก็มีคนดูรายการของเธอทั่วโลก).... จุดสำคัญที่สองคือ "ความอดทน...ซึ่งน้อยคนจะมี" (คนส่วนใหญ่ถอดใจไปก่อนที่กิจการของตัวเองจะรุ่ง อันนี้รวมถึงผมเองด้วย ..ซึ่งผิด!!)

"การที่เราจะเป็นอะไร มันไม่ใช่ตัวเราเป็นผู้กำหนด ..ถ้าคิดดีๆ ทุกสิ่งมันเกิดจากการที่สังคมเป็นคนกำหนดต่างหาก" คุณไม่สามารถดังได้หรือรวยสุดๆ โดยที่คุณกระโดดมาที่ถนน แล้วตะโกนว่า วันนี้ทั้งประเทศต้องซื้อสินค้าของฉัน และฉันจะต้องรวย..(บ้า!!) หากทำเช่นนั้น ก็อาจไปจบที่ห้องขัง เพื่อสงบสติ!!"

ผมอ่านนักปรัชญาของจีนมากมาย สิ่งที่ทุกท่าน ต่างให้คำจำกัดความของความยิ่งใหญ่ หรือชัยชนะที่เหมือนกัน ..นั่นก็คือ "การทำในสิ่งที่ตัวเองรัก และทำมันให้ดีที่สุด ...คุณจะชนะ เมื่อคุณไม่คิดที่จะเอาชนะ!!"

คงไม่แปลกหรอกครับ ที่ทำไมโลกนี้ เต็มไปด้วยคนจน ทั้งที่ทุกคนในโลกอยากรวย แถมสิ่งที่แปลกกว่านั้นคือ คนแต่ละคน ไม่ได้มีความสามารถที่แตกต่างกันอย่างสุดโต่ง เหมือนอย่างรายได้และความรวยที่ต่างกันสุดขั้ว!! ... การทำอะไรก็ตาม ต้องอาศัยเวลาและความอดทน สิ่งที่กั้นความสำเร็จของคนส่วนใหญ่ก็คือ การที่เราแคร์คำวิจารณ์ของคนรอบข้างมากเกินไป (อย่าเข้าใจผิดว่า ความสำเร็จคือการทำความชั่ว "ไม่ใช่เลย")... ความสำเร็จมันเกิดจากความมุ่งมั่น ที่ทำในสิ่งที่ตัวเองรัก ให้เกิดผลงาน และประโยชน์แก่ผู้อื่น..ยิ่งสิ่งนั้นมันก่อให้เกิดประโยชน์ต่อส่วนรวมมากเท่าไหร่ มันยิ่งนำความมั่งคั่งมาสู่คนๆนั่นอย่างที่เขาไม่เคยคาดคิด

... Google ทำให้คุณเข้าถึงข้อมูลอย่างที่คุณไม่เคยคิดมาก่อน ... Facebook ทำให้เพื่อนที่ไม่เจอกันมานาน กลับมาเจอกันอีก ...

คนที่ทำให้ทั่วโลกตื่นจากความง่วง "Red Bull" (คุณแทบไม่เคยเห็น คุณ เฉลียว เปิดเผยตัวต่อ สาธารณชนเลย) ...ผู้สร้างอาณาจักรค้าปลีกที่เปลี่ยนอเมริกาและทั่วโลก คือ Sam walton (ผู้ที่ขับรถปิกอัพเก่าๆ และแทบไม่เคยสนใจทรัพย์สินที่เขามีเลย) ...Warren Buffet ผู้ทำเงินเป็นล้านๆ เหรียญ ต่อวินาที แต่แทบจะไม่เคยใช้อะไรที่ฟุ่มเฟือยเลย --- "มันประหลาดมาก ที่คนที่รวยสุดโต่ง มักเป็นคนที่ แทบไม่ได้สนใจในความมั่งคั้งของเขาแม้แต่น้อย ..."

รถหรู Ferrari , กระเป๋า LV หรือ คฤหาศน์ พันล้าน มันเป็นสิ่งที่ดึงไม่ให้คุณก้าวสู่เป้าหมายรึเปล่า!! -- Born Free , so Be Free !!

วันจันทร์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2553

การลาก Trend line ..ลากไปหาอะไร !!


การลาก Trend line จะช่วยให้เรามองหาจุดแนวต้านและแนวรับได้ดีขึ้น..จริงแล้วหลายคนพยายามหาสุดยอด "ผมว่ามันไม่มีหรอก" .. Technical มันอยู่ที่ประสบการณ์ ยิ่งเราทำการบ้านเยอะ ฝึกมองหา Trend และลองลาก Trend line หาแนวรับแนวต้าน ...ยิ่งฝึกก็ยิ่งเก่ง ..มันก็แค่นั้นเอง !!

เอ้า!! มาดู IRPC กัน


จากรูปคือ กราฟ IRPC เรามาย้อนอดีตดูกัน จากการลาก Trend line เพื่อหาจุดต่ำสุดของราคา อย่างในภาพคือช่วง 2008 มันเป็นช่วงที่ตลาด bearish มากๆ ..ซึ่งถ้าไม่ bearish ขนาดนี้เราอาจลาก Trend line เพียงเส้นเดียวก็พอ ซึ่งถ้ากราฟสามารถ Break Trend line ของเราได้ มันก็เป็นสัญญาณ ที่บ่งบอกว่า เราอาจพิจารณา "ตามไปดูได้..หุ หุ หุ" (ซึ่งถ้ามันไม่ผ่าน ก็แสดงว่ามันยังคงอยู่ในขาลง ...ไม่ต้องไปยุ่ง)

อย่างในกรณีตลาด Crash อย่างปี 2008 ต้องลาก Trend line ถึง 3 ครั้ง (ซึ่งโดยปกติ การลาก Trend line ไม่น่าจะเกิน 3 ครั้ง .. ) ..อย่างจุดที่ 5 พอมัน Break Trend line เราก็สามารถพิจารณา ซื้อตามได้ ..แต่ทั้งนี้ ต้องอาศัยปัจจัย Technical อื่นๆเข้ามาประกอบด้วย เพื่อให้ภาพมีความชัดเจนมากขึ้น

โอเค... ใครสู้ๆ หน่อยก็ฝึกลากกันครับ "ถ้าลากแล้วมันไม่เจอแนวรับ แนวต้านอะไรเลย แสดงว่า ลากผิด!!" ..เพราะถ้าลากเส้นได้ดี Trend line มันก็จะเป็นเส้นที่สำคัญมากๆ เพราะมันมักจะเป็นจุดที่ราคาวิ่งขึ้นมาชน หรือตกลงมาชน เสมอๆ --- เสริมนิดนึงคือ มันไม่จำเป็นต้องเป็นแนวนอนนะ มันอาจจะเป็นแนวเฉียงๆก็ได้ "ลองลากดู แล้วคุณจะเริ่มเห็นสิ่งที่ผมพูด"

ใครอยากคุยกับเซียน ให้ Post กราฟมาให้ "ป๋าหยง" ดูได้ ฝาก Post มาใน Facebook ของ Monkey Trade ที่นี่ http://www.facebook.com/?ref=home#!/pages/Monkey-Trader/108774412508965 ก็ได้ครับ.. "เดี๋ยวผม จะเข็นป๋าหยงมาช่วย ไขความกระจ่าง !!"

..."เอ้า!! ฝึกๆลุยๆครับ"

เจาะสมอง Value Investor


ตอนนี้แนวทางที่พิสูจน์ตัวเอง ได้สวยในระยะยาวก็เห็นจะเป็นแนว Value Investor (จริงๆแนวอื่นก็สวย แต่เผอิญนักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก คือ Warren Buffett เขาเป็นแนว VI “มันก็เลยทำให้ VI ดูดี”)

หลักการสำคัญของ Value Investor สามารถสกัดออกมาเป็น แนวคิดดังนี้

1. เลือกหุ้นที่มันเซ็ง คือ “เข้าใจง่าย” มีประวัติความเป็นมาอันยาวนาน และทำธุรกิจน่าเบื่อ ที่เรามองว่า กิจการที่ว่านี้ จะอยู่ต่อไปอีกนาน อย่างบ้านเรา ก็อย่าง PTT (ผูกขาดพลังงานของประเทศ ไม่ว่า น้ำมันจะหมดไปหรือไม่ PTT ก็จะยังคงผูกขาดพลังงานของประเทศต่อไป), ADVANC (ไม่ว่า จะมี 3 - 4 - 5 หรือ 98 G คนก็ยังต้องใช้ “มือถือ” เพราะมันคือ ปัจจัยที่ 5 ของชีวิต และ ADVANC เป็นเจ้าตลาด “มันจะอยู่กับเราไปอีกนาน”)

2. เมื่อเจอบริษัทที่อยากซื้อ VI จะจดไว้ “แต่ไม่ซื้อ” เพราะจะรอ ..รอ ...รอ …รอ จนหุ้นมันตกต่ำกว่าความเป็นจริง (ซึ่งในความเป็นจริง ถ้าคุณเข้าใจว่า ตลาดมี Bubble และก็มี Crash ..คุณจะเข้าใจว่า สิ่งที่ Value Investor รอคอยมัน Make Sense) …ดังนั้น VI จะไม่มองตลาดโดยรวม แต่จะมองเฉพาะราคาหุ้นรายตัวที่ตัวเองหมายปองเท่านั้น

3. Value Investor ต้องเป็นนักจินตนาการ ..เพราะก่อนที่จะซื้อหุ้น VI ต้องมองภาพให้ขาดว่า กิจการที่ตัวเองจะลงทุนซื้อ จะมีอนาคตอย่างไร

4. “ต้องเป็นมนุษย์ ที่มีความเชื่อมั่น ในสิ่งที่ตัวเองเชื่อ ..แบบมั่นใจสุดโต่ง!!” …สมมุติว่า VI ซื้อหุ้นตัวนึงที่มองแล้วว่า “ถูกมาก” แต่ราคาหุ้นมันกลับลงต่อไปอีก …ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ คงขายทิ้ง Cut Loss แต่ VI “ไม่ทำเช่นนั้น” … VI จะหาทางซื้อเพิ่ม (อย่างน้อยๆก็ไม่ขายน่ะ ..นี่คือ “มั่นใจสุดโต่ง”)…คุณทำได้ไหมล่ะ!!

5. “หุ้นขึ้นก็ไม่ยอมขาย”..จะขายก็ต่อเมื่อหุ้นมันแพงเกินความเป็นจริงไปมากๆ …ดังนั้น VI จะรอซื้อ ในราคาหุ้นถูกสุดๆ และก็ไปขายที่ราคาแพงสุดๆ (ฟังดูง่าย แต่มีมนุษย์ ไม่กี่คนบนโลกนี้ ที่สามารถทำได้)

(เล่นแนวไหนแล้วมันสบายใจสุด ผมว่าคุณยึดแนวนั้นดีกว่า ...การลงทุนมันเป็นอะไรที่ยาวนาน คุณต้องอยู่กับมัน --- การลงทุนที่เหมาะกับเราคือ ทำแล้วกินได้นอนหลับ นั่นแหละดีที่สุด !!)

เจาะสมอง แนว Technical



แนวทางของ Technical เป็นแนวทางที่คนรุ่นใหม่ (Gen Y) ให้ความสนใจ ..เพราะโดยหลักแล้ว Technical เป็นศาสตร์แห่งสถิติ นั่นก็คือ ศึกษาแนวโน้มและราคาในอดีต เพื่อให้เราเข้าใจ การขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัว

“มีเซียน Technical เคยบอกผมว่า …คนที่ใช้ Technical ในการทำนายอนาคต “มั่ว” ..เพราะ Technical คือ การดูแนวโน้มและเล่นตาม Trend เราถึงเรียก นัก Technical ว่า “Trend Follower หรือ นักตาม Trend นั่นเอง”

หัวใจของวิธีการนี้ คือ “การซื้อแพง แต่ขายที่แพงกว่า และที่สำคัญที่สุดคือ คุณต้อง Cut Loss เป็น และทำอยู่เป็นประจำ”..พูดถึง จุดนี้ คุณเห็นความขัดแย้งอย่าง “หน้ามือ กับหลังมือ ของแนว VI และ Technical แล้วใช่ไหมครับ” (นี่แหละครับ ผมจึงย้ำเสมอว่า “ถ้าเลือกวิธีไหน ต้องเล่นวิธีนั้นให้จบ ..ถ้าเปลี่ยนวิธีระหว่างที่กำลังเล่น “เจ๊งอย่างเดียว”)

การเล่นแนว Technical ในแบบฉบับ “ไม่มั่ว” ก็คือ การซื้อหุ้นเมื่อมีสัญญาณการขึ้นของ Trend ..พวกนักลงทุนในสาย Technical จะทำการศึกษา พฤติกรรมการขึ้นลงของราคา โดยใช้เครื่องมือต่างๆ ทางเทคนิค เช่น การใช้ Trend Line , RSI , Elliot wave , Fibonacci และอื่นๆอีกมากมาย

….เมื่อนัก Technical ซื้อตาม Trend แล้วจะไปขายเมื่อสัญญาณต่างๆชี้ให้เห็นว่า Trend เปลี่ยน ดังนั้น การเล่นแบบ Technical จึงไม่ใช่การซื้อถูกที่สุด แล้วไปขายแพงที่สุด “แต่เป็นการซื้อที่ราคาแพง แล้ว Let Profit Run ให้สุด Trend จากนั้นค่อยไปขาย เมื่อราคาเปลี่ยนเป็นขาลงมาแล้ว”

--- “ใช่!! นี่เป็นวิธีการเล่นแบบ กินตรงกลาง นั่นเอง”

จุดเด่นของสำนัก Technical คือ การเข้ามาช่วยในการ ตัดสินใจเข้าหรือออกได้อย่างแม่นยำขึ้น …ถ้ามองให้ดีแล้ว คนที่เล่นแบบ Value Investor จะต้องเป็นคนที่มีจินตนาการสูง แต่คนเล่น Technical แทบไม่ต้องอาศัยจินตนาการ เพียงแต่ต้องอาศัย ความชำนาญและประสบการณ์ ในการวิเคราะห์ Trend ของราคา

อีกจุดเด่นของ Technical Analysis จะสามารถนำมาเป็นเครื่องมือประกอบการตัดสินใจ ในการเล่น Futures หรือ Options เครื่องมือประกันความเสี่ยงที่กำลังร้อนแรงในขณะนี้ ..ใครที่สนใจศึกษา Technical ก็สามารถศึกษาเพิ่มเติมต่อไปใน Blog เช่น http://monkeytrade.blogspot.com (ก็เข้าไปเยี่ยมเยียนกันได้ใน Blog …ฮึม!! น่าสนใจมาก)

นับ Wave ยังไง ...คุณสงสัยไหม !! (มั่วรึเปล่า)



นับ Wave เป็นเรื่องที่ทำให้หลายๆคนปวดหัว จนไม่สนใจศึกษา ...แต่จริงๆแล้ว หากคุณเข้าใจ Elliot Wave มันเป็นประโยชน์อย่างมาก ...เล่าถึงที่มากันก่อน คือ ไอ้เจ้า Elliot Wave มันพัฒนามาจาก Dow Theory ซึ่งก็คือการมองการขึ้นลงของราคาหุ้นแบบคลื่น (เอาธรรมชาติมาดูนั่นแหละ เมื่อคลื่นมันขึ้นสูง เดี๋ยวมันก็ต้องลง พอลงมันก็ไม่ใช่ลงทันที มันต้องอาศัยแรงกระเพื่อม ดังนั้น พอขาลงมันก็จะค่อยๆลง เป็นคลื่นเช่นกัน... หรือ ลงเป็นรอบๆที่เล็กลงเรื่อยๆ)

ผมเคยเขียนบทความของ Elliot Wave ใน Blog ของ Monkey Trade มาครั้งนึงแล้ว "ผมแซวทฤษฎีนี้มัน เอามาจาก หลักการของขงจื้อ บวกกับ Inflation หรือเปล่า ...อะไรที่มันขึ้นแรง เวลาลงมันก็แรง แต่ท้ายสุดมันก็ไม่ได้จะลงมาแตะ 0 เหมือนเดิม เพราะโลกเราเต็มไปด้วย Inflation (หรือเงินเฟ้อนั่นเอง)

"รู้แค่นี้ก็ ทำเงินได้แล้ว" ...ทำไงล่ะ !! คุณก็อย่าไปตื่นตูม ทั้งขาขึ้นและขาลง ..หุ้นไม่ใช่จรวดท่องไว้เลย!! ดังนั้นเวลาขึ้นมันก็ขึ้นเป็นรอบๆ แบบคลื่น ..อย่างนักลงทุนพื้นฐาน เขาก็แค่รอเก็บตอนต่ำ ของแต่ละคลื่นไล่ขึ้นไป ...ส่วนพวก Technical ก็กินเป็นรอบๆตามลูกคลื่น ซื้อตอนต้น ขายตอนมันชนรอบด้านบน (นี่แหละหลักการดูรอบของผมเลย ..ผมลาก Trend ของรอบ จากนั้นก็ดูว่า ไอ้ Trend ตัวนี้มันใช่ไหม (ถ้าใช่!! ผมก็รอให้มันชนขอบล่าง ก็โดดเข้าได้ ..ถ้าจะเล่นรอบเร็วๆ พอมันจะแตะขอบบนของ Trend ผมก็ขายทิ้งก่อน ..และถ้ามัน Break Trend เดิมได้จริง ก็ซื้อตาม ไปเล่นรอบใหม่ )

"ฟังดูง่ายนะ ..แต่ไม่ง่าย (คุณต้องไปฝึกดู ฝึกหา Trend ..ฝึกลาก Trendline ให้แม่น ไม่งั้นเวลา Trade จริงเดี๋ยวมึน!!)

อันนี้ผมยกตัวอย่างของ Elliot Wave มาให้ดูกัน คือ จริงๆแล้ว การนับ Wave คนส่วนใหญ่ใช้ผิดอย่างแรง .."ชอบมาดูว่า เฮ้ย!! แม่นไหมๆ ๆ" ..ถ้าจะเอาแม่นไปคุยกับหมอดูจะแม่นกว่า ...เพราะจริงๆ Elliot Wave เขาใช้ประโยชน์จากการดูประกอบการตัดสินใจ ..มันดึงคุณให้หลุดออกมาจากความวุ่นวายของตลาด --"เหมือนคุณยืนอยู่ไกลๆแล้วมองดูคลื่นนั่นแหละ ..ไอ้คนที่ว่ายๆน้ำอยู่ มันไม่รู้หรอกว่าตอนนี้ น้ำขึ้น หรือลง (เลยมั่ว) แต่การที่คุณถอยออกมามอง แล้วดู Wave คุณจะเข้าใจภาพใหญ่ของตลาด

ใน Elliot wave มันก็แบ่งย่อย ๆคือ รอบเล็ก รอบกลาง รอบใหญ่ ...มันอยู่ที่ว่าคุณจะดูภาพเล็กหรือใหญ่แค่ไหน (ไอ้รอบเล็กก็มั่วหน่อย เพราะตลาดมันแกว่งมาก ..แต่รอบใหญ่ถ้าดู มันก็ชัดหน่อย "ก็แค่นั้นเอง")

(มาดูรายละเอียดของ Elliot wave ...ในภาพ ดูเส้นบน นั่นคือรอบใหญ่ ) รอบใหญ่สุดแบ่งออกเป็น Wave 1 ,Wave 2 ,Wave 3 ,Wave 4, Wave 5 ,Wave a ,Wave b และ Wave c (รวมทั้งหมด 8 Wave)

Wave 1 คือ ตลาดเริ่มขึ้น ..ช่วงนี้ภาพรวมเศรษฐกิจยังแย่อยู่ ใครๆก็มองว่า มันแย่ ดังนั้น เมื่อตลาดขึ้นมาถึงจุดนึง ก็จะมีคนขายทำกำไรค่อนข้างมาก ดังนั้นจึงเกิดเป็น การปรับฐานย่อลงมากลายเป็น Wave 2

Wave 2 คือ เนื่องจากตลาดมันขึ้นมาทั้งๆที่เศรษฐกิจยังไม่ดี ดังนั้นเวลาตลาดปรับฐานก็จะมีคนขายหุ้นค่อนข้างมาก ทำให้ Wave 2 จะปรับฐานค่อนข้างแรง (ถ้าใครรู้จักเครื่องมือ Fibonaccci การปรับฐานครั้งนี้ มีโอกาสที่จะปรับลงมาชน 61.8% "เรียกได้ว่าทิ้งกำไรใน Wave 1 เกือบหมด!!)

Wave 3 หลังจากปรับฐานไปเรียบร้อย ประกอบกับเศรษฐกิจเริ่มฟื้นตัวขึ้น ผนวกกับการเทขายหุ้นใน Wave 2 มันทำให้ตลาดดู "ถูกมาก" ..ในที่สุดคนที่ตั้งสติได้ ก็จะกลับมาช้อนซื้อหุ้นถูกๆ ..."และ Wave 3 นี้เอง จะเป็น Wave ที่ขึ้นแรงที่สุด เพราะขึ้นพร้อมกับพื้นฐานบริษัท และเศรษฐกิจที่ดีขึ้น" (สำนัก Technical จะ มองหา Wave 3 ในการเข้าทำกำไรเสมอ).."ตามทฤษฎีของ Elliot Wave จะบอกว่า Wave 3 เป็น Wave ที่ยาวที่สุด และทำกำไรได้มากที่สุด ..(เพราะมันคือ การขึ้นของจริง)

Wave 4 คือ ตลาดขึ้นมาค่อนข้างมาก ทำให้คนหลายๆคน เร่ิมมีความไม่มั่นใจว่าตลาดจะไปได้ต่อ ก็เริ่มมีคนจำนวนหนึ่งขายหุ้นทิ้งออกมา ..แต่ในขณะเดียวกัน ก็จะมีอีกกลุ่มยังเชื่อมั่นว่าตลาดจะไปต่อจึงซื้อเพิ่ม ...ดังนั้นใน Wave 4 จะเป็นการปรับฐานของตลาด ที่ออกมาในรูปของ Side Way ที่พวก Technical เขาเรียกว่า Whip saw นั่นแหละ (ช่วงนี้คนที่ Trade ในตลาดจะโดน เพราะมันผันผวนแบบมั่วๆ)

Wave 5 คือ การขึ้นเฮือกสุดท้ายของตลาด จุดนี้การขึ้นมันเกินพื้นฐานแล้ว ซึ่งเราเรียกว่า การขึ้นแบบ Bubble ..ใน Wave นี้มีความเสี่ยงตรงที่ เวลามันเปลี่ยน Trend เข้าขาลงเมื่อไหร่ จะดูยากมาก เพราะกว่าจะรู้มันก็ร่วงเยอะแล้ว (คือ Wave 5 มันจะตามด้วย Wave a ลงอย่างแรง ..."ตรงจุดนี้ เราจะเห็น Head and Shoulder Pattern ..แต่กว่าจะเห็น ทั้งตลาดก็เลือดสาดไปเยอะแล้ว!!")

Wave a คือ ตลาด Crash คือ ทุกคนหนีตาย ราคาหุ้นจะร่วงอย่างแรง ..พวกรายย่อยมักโดน ตรงนี้เสมอ จากนั้นเมื่อโดนเข้าไป ตลาดก็จะเข้าสู่ Wave b เนื่องจากมีหลายๆคนยังเชื่อว่าตลาดจะไปต่อ ก็รีบช้อนซื้อ "จุดนี้รายย่อยชอบ ..และเข้ามาช้อน จนเกิดอาการช้อนหักนั่นเอง!!"

Wave b คือ หลังจากที่ตลาด Crash "ก็จะมีเซียนช้อนหัก มาช้อนในจังหวะนี้" พอช้อนเสร็จ ตลาดก็จะเด้งขึ้น แต่เด้งไม่ถึง Wave 5 จากนั้น พวกรายใหญ่เขาก็ทิ้งอีกรอบอย่างแรง ....นี่คือช่วงที่รายย่อย "เซียนช้อนหัก เข้ามารับ มีด ...พูดง่ายๆ ทั้งช้อนหักทั้งรับมีด (ไม่ตายก็เลี้ยงไม่โต)" ณ ตลาดจุดนี้ รายย่อยมักปลอบตัวเองว่า "ไม่เป็นไร ๆ เราจะเปลี่ยนแนวการเล่นเป็น Value Investor ..ถือหุ้นไปจนตายว่างั้น!!"

Wave c คือช่วงที่ตลาด Crash อย่างแรง เหมือนอย่างปี 1997 ตอนต้มยำกุ้งนั้นแหละ "Wave c จะมี รายย่อย ที่ช้อนหัก แล้วก็มารับมีด จากนั้น ก็ทลายกฏเหล็ก นั่นก็คือ เปลี่ยนม้ากลางศึก เปลี่ยนวิธีเล่น กะเข้าเก็งกำไรแต่ดันรับมีดจนเละ ทำใจขายไม่ได้ ...ท้ายสุดรายย่อยก็ปิดตำนาน Wave โดยการไปฆ่าตัวตาย!!" ...แต่คนที่ยังไม่ฆ่าตัวตาย ตลาดก็จะลงต่อไปเรื่อยๆ จนรายย่อยทนเป็น VI ไม่ไหว ..ทำให้รายย่อยถ้าไม่ฆ่าตัวตาย ก็ไปปล่อยหมูที่ตลาดต่ำที่สุด

และวันใดที่รายย่อย เทขายของออกหมด วันนั้นแหละที่ตลาดจะเริ่มขึ้น Wave 1 ใหม่

นี่แหละครับ อนิจจัง เลย !! ...การเล่นหุ้นจึงต้องเข้าใจ Cycle แล้วมองให้ออกว่าคุณเล่นอยู่ตรงไหนของ Wave จะได้ไม่เจ็บตัวนะครับ ....การเล่นหุ้นอย่าไปโทษใครเลย เพราะไม่มีใครบังคับให้เราซื้อหรือขาย ณ จุดใดๆ ดังนั้น ทุกอย่างเราทำเองทั้งสิ้น ...ศึกษาเยอะๆครับ ทำความเข้าใจ "ตัวเอง" แล้วคุณจะเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น!!

วันอาทิตย์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2553

เอาเรื่อง Chart Pattern มาคุยกัน !!

Chart Pattern ผมว่าเป็นเรื่องที่นัก Technical มือใหม่ ปวดหัวกันน่าดูเพราะ มันเยอะ จำยาก "ชวนมึนโฮ !!" ..คำถามคือจำยังไงให้ง่าย "ผมบอกเลยก็จะให้มันง่ายๆ ใช้หลักความเข้าใจ ..ถ้าเช้าใจ มันก็ไม่ยาก ที่จะจำได้เอง (กวนไหมนี่!!)"

มาดู Head and Shoulder

(มันมีทั้งสองด้านอ่ะนะครับ ไอ้หัวไหล่อย่างที่เห็นมันคือ "ไหล่หัวแบบในภาพ" คือมันจะลงไปหาตัว มันจึงลง ..แต่ถ้ามันกลับอีกด้าน มันก็คือจะขึ้นนั่นเอง)

หากเราพยายามทำความเข้าใจ Trend คุณจะเห็นได้เลยว่า "ราคามันพยายามขึ้น แต่มันเริ่มมีแรงขาย รุนแรงขึ้นเรื่อยๆ เริ่มจากพอขึ้นมาปั๊บ โดนแรงขายรุนแรง หุ้นก็ตกมาทำไหล่ซ้ายแรก ..จากนั้นฝั่งซื้อก็ยัง Bullish "ซื้อต่อเข้าไปอีก ..ไอ้ฝั่งขายก็ขายสวนรุนแรง แต่เนื่องจากแรงขายมันรุนแรงกว่าน่ะครับ ราคามันจึงลงมาปิด ต่ำลงมา ทำส่วนหัว" ...จากนั้นไอ้ฝั่งซื้อก็ไม่ลดละ ลุยต่อซื้ออัดมันเข้าไปอีก ...ด้านคนขายก็เทขายทิ้งมาอีก

โอเค!! ภาพที่เห็น คุณเข้าใจเหมือนผมไหม "คือ ไอ้คนซื้อมันบ้า แถมมั่นใจสุดโต่ง ... ส่วนด้านคนขายมันก็อยากขายจริงๆ แต่ภาพรวมที่ราคามันไปต่อไม่ได้ เพราะ "แรงขายมันมากกว่าแรงซื้อนั่นเอง" (และนี่แหละจุด Peak ของตลาด) .. เพราะลองนึกซิครับ

ถ้าคนขายมันน้อยกว่าคนซื้อ ราคามันก็ยังไปต่อได้
แต่นี่คนขายมันเริ่มมากกว่า มันเลยทำ Chart Pattern เป็น Head and Shoulder นั่นเอง

จุดที่หลายคนสงสัยว่า ในช่วงตลาด Side Way มันก็สามารถทำ Pattern ที่คล้าย Head and Shoulder ใช่ไหมล่ะ !!" ..แล้วจะแยกความแตกต่างกันอย่างไร

วิธีการดู คุณต้องอาศัย Indicator อื่นประกอบด้วย เช่น ถ้ามันทำไหล่ขวาแรงๆ (ลงแรงๆ) ตัว RSI หรือ Momentum ก็จะลงแรงด้วยเช่นกัน ..ประเด็นมันอยู่ที่ความเสี่ยงที่คุณเสี่ยงได้ ..บางคนวางจุด Cut Loss ไว้ค่อนข้างไกล มันก็ช่วย Scan เวลาเกิด Side Way โดยไม่ต้อง "โดนหลอกให้ขายหมู"บ่อยๆ .... แต่ปัญหาคือ ถ้ามันไม่ใช่ Side way แต่มันเป็น Head and Shoulder ก็อาจโดน แผลลึกหน่อย (แต่ยังไงผมว่า มันก็ High Risk High Return อ่ะนะ โลกนี้.. เรื่องธรรมดา) ..อย่างน้อยถ้าคุณเข้าใจ Pattern "Head and Shoulder ยังไงคุณก็จะไม่โดนลึก อย่างที่หลายๆคนโดน เพราะคุณจะรู้จุด Cut loss "

มาดูเรื่อง Triangle Pattern ซึ่งค่อนข้างจะใช้ได้เป็นประโยชน์มากๆ (วิธีการดูคือ คุณต้องฝึกมองและลากเส้น Trendline ให้เป็น ---- เพราะสามเหลี่ยม มันคือการที่ราคาพยายามทดสอบแนวต้าน หรือแนวรับ หลายๆครั้ง

(แนวต้านคือ ราคามันพยายามจะขึ้นแต่มีแรงขาย มันเลยขึ้นไม่ได้ แต่ถ้าขึ้นได้ เขาก็เรียกว่ามันทะลุแนวต้าน !! "ราคาหุ้นมันก็จะขึ้นต่อไป"
--- อีกด้านคือแนวรับ นั่นคือ ราคามันจะลง แต่ดันมีแรงซื้อเข้ามารับ ราคามันเลยไม่ลง แต่ถ้ามันลงได้ ก็คือ ทะลุแนวรับ !! "ราคาหุ้นมันก็จะลงต่อไป")


-- ..ถ้าคุณเห็นคุณก็ลากเส้นเลย ..จากนั้นก็ต้องมาดูว่า ถ้ามันเป็นแนวรับ (คือราคาลง) แล้วกราฟมันลงต่ำลงเรื่อยๆหรือเปล่า ..ถ้าใช่คุณก็ลากเส้นตามกราฟ คุณก็จะได้สามเหลี่ยม ทั้งหัวขึ้นและหัวลง ตามรูป...

(นี่คือ The Ascending Triangle )... "หมายความว่าไง!!" คือคุณลองนึกถึง ราคามันวิ่งมาชนแนวต้าน แต่มีคนขาย ..จากนั้นมันก็วิ่งมาชน ก็มีคนขายอีก ..แต่กลายเป็นว่า จุด Low มันยกสูงขึ้นเรื่อยๆ ---นี่แสดงให้เห็นเลยว่า ฝั่งคนซื้อมันยังมีพลังมากกว่า จำนวนมากกว่า ราคามันถึงได้ ยกตัวขึ้นเรื่อยๆ เพื่อทดสอบแนวต้าน "ก็แบบสามเหลี่ยมในรูปนี่แหละ ...ดังนั้นเมื่อคนซื้อมีแรงมากกว่า คนขาย ราคามันก็ต้องไปต่อ ก็คือ Bullish ขาขึ้นนั่นเอง"


(นี่คือ The Descending Triangle) ..มันตรงข้ามกับข้างบน ความหมายมันก็เลยตรงข้าม !!
การที่กราฟทำ Descending Triangle มันก็คือ ฝั่งขายมันแรงกว่า ราคามันจึงตกลงมาชนแนวรับ ..เมื่อมันทดสอบแนวรับ หลายๆครั้ง... คุณก็สามารถลาก Trendline เป็นสามเหลี่ยมดังภาพได้ ...จากภาพที่เห็นคือ ราคามันพยายามลง แต่จุด High มันก็ค่อยๆลดลงเรื่อยๆ อันนี้มันแสดงให้เห็นว่า ฝั่งขายมันมีพลังมากกว่า เพราะราคามันกดลงเรื่อยๆ ..ดังนั้น มันก็คือ จะลงนั่นเอง!!



(นี่คือ The Symmetrical Triangle ..ทิศทางมัน งง ไม่รู้จะไปไหน)
อันนี้มีประโยชน์ คือ ให้เรารอดูว่า มันจะ break ไปทางไหน --"ถ้า Break ไปทางไหนขึ้นหรือลง มันก็คือส่งสัญญาณตามนั้น" (ดูแล้วเหมือนเตรียมยิ่ง ..พอพุ่งไปไหนก็ตามไปดู ...หุ หุ หุ)

อ้าว!! มาดูเรื่อง Wedge Pattern กันหน่อย..

(อันนี้คือ Falling Wedge)จริงๆมันก็คือ สามเหลี่ยมรูปแบบหนึ่งนั่นแหละ ... อย่าง Falling Wedge มันก็คือ ราคามันต่ำลง แต่กลายเป็นว่า ส่วนต่างของราคาระหว่างวันมันแคบลงเรื่อยๆ พูดง่ายคือ "ราคามันลง แต่ Volume มันไม่มี ...หลอกให้ขายหมูว่างั้น "ถ้ารายย่อยเห็นอย่างนี้ อาจนึกว่าราคาจะลง ก็สรุปปล่อยหมูตัวเบ้อเลึ้ม" ..เพราะการที่ราคาลงแต่ กราฟมันบีบตัว คือมันขัดแย้ง แสดงว่า จริงๆมันจะขึ้นไปต่อ!!

(อันนี้คือ Rising Wedge ..ความหมายตรงข้ามกับด้านบน) ..นั่นก็คือ ราคามันสูงขึ้นเรื่อยๆ แต่ส่วนต่างของราคามันแคบลงเรื่อยๆ ..พูดง่ายๆว่า คนส่วนใหญ่เขาไม่ได้เห็นด้วยกับราคาที่ขึ้น การซื้อขายมันจึงน้อยลง "นี่เป็นสัญญาณอ่อนแรงของการขึ้น ก็สรุปว่ามันจะลงนั่นแหละ"

ทั้งหมดที่ยกมาเป็นเพียงส่วนหนึ่งของ Chart Pattern ซึ่งผมมองว่า มันเป็นสิ่งที่น่าสนใจ เพราะการนำ Pattern ต่างๆเหล่านี้มาแปลความหมายเป็นพฤติกรรมของคน "ภาพเหล่านี้ สามารถแปลเป็นคำพูดและอารมณ์ของตลาดได้เป็นอย่างดี" ผมถึงบอกว่าการเล่นหุ้นมันเป็น Art "ไม่ใช่สักแต่ลากเส้น ...คุณต้องเข้าใจด้วยว่า Pattern ที่เห็นมันคือ ตลาดเขาเล่นอะไรกันอยู่"

(นี่แหละครับ ยิ่งคุณเข้าใจมันดีๆ มันก็คือ ลายแทงสมบัติดีๆนี่เอง...สู้ สู้ ลุย ๆ ๆ)

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ