แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 27 เมษายน พ.ศ. 2564

อยากได้หุ้นที่ทั้งโต และ ปันผลดี มีไหม


 ‘มีนักลงทุนรายใหญ่ท่านนึง พูดกับผมว่า ..บางช่วง การลงทุน มันไม่สามารถ จะได้ทั้ง เงินปันผล และ การเติบโตในเวลาเดียวกัน ...ถ้าถึงจังหวะนั้นแล้ว เราต้องเลือก !!’

...ผมกลับไป คิดหนักเลย จริงเหรอ ?

โดยปกตินักลงทุนทุกคน ย่อมอยากได้ สิ่งที่ดีที่สุด ...พูดง่ายๆ เราอยากได้ ทั้งหุ้นที่เติบโตและก็ปันผลดีในเวลาเดียวกัน 

บางช่วงตลาดก็มีหุ้นแบบนั้น ก็คือ สบาย ...ได้ทั้งหมด

แต่พอมาดูตลาดหุ้น ในปัจจุบัน มันคืออะไร ?

1. ที่ขึ้นเยอะสุดวันนี้คือ คริปโต ซึ่ง พื้นฐานคลุมเครือ ...ไม่มีใครรู้เลยว่า เหรียญไหนจะมีอนาคตจริง เอาตรงๆ ทุกคนที่ซื้อ กลัว และ กล้า ...คือ เสียวทุกคน ไม่มีใครชัวร์ แต่มันขึ้นมากสุด 

(จบไม่สวย แต่ใครจะรู้ว่า กว่าจะจบ มันก็สร้างเศรษฐีอีกเยอะแยะ ที่ไม่ใช่เรา)

2. ที่ขึ้นรองลงมา คือ หุ้นเล็ก ที่พื้นฐานคลุมเครือ ...อันนี้อาจจะเสี่ยงน้อยกว่าแบบแรก เพราะ มันอยู่ในตลาดหุ้นที่ถูกกฎหมายแล้ว ...แต่ความเสี่ยง ก็คือ เจ้ามือ ...เพราะหุ้นแบบนี้ ต้องมีรายใหญ่คุมเกม ...อันนี้ก็ขึ้นแหลก แต่ก็เสียวอยู่ดี 

(เราไม่ซื้อ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะไม่ซื้อและ ไม่รวยจากมันเช่นกัน)

3. ขึ้นน้อย คือ หุ้นใหญ่พื้นฐานดี ...ถึงน้อย ก็ยังขึ้นเป็นเด้งอยู่ดี ขึ้นจนราคาเกินพื้นฐาน ...พูดง่ายๆ หุ้นดีแต่แพง ...พวกนี้คนคุมเชิง น่าจะเป็น กองทุน เพราะ เงินเยอะ และ มีเครื่องมือ Leverage ต่างๆ ช่วย เช่น Block Trade , Margin อะไรก็ว่าไป 

(อันนี้เรามองว่า ไม่เสี่ยง บางครั้ง รายใหญ่ก็ทุบ จนรายย่อยพอร์ตระเบิด แล้วสุดท้ายก็ลากขึ้น ..เจ๊ง แบบไม่ทันตั้งตัว ก็มากมาย)

4. ขึ้นน้อยมาก อันนี้คือ หุ้นที่รายย่อยส่วนใหญ่เล่น เพราะ คิดว่ามันชัวร์ ...พื้นฐานก็ดี ปันผลก็ใช้ได้ 

(เล่นหุ้นมาตั้งนาน คนอื่นรวยหมดแล้ว แต่ทำไมเราไม่เห็นจะรวยเหมือนคนอื่น)

....

ผมก็มานั่งคิดว่า ‘แล้วจริงๆ เราต้องเลือกด้วยหรือ ว่าเราต้องลงทุนแบบเดียว ?’

...เราคละได้ไหม ...พูดง่ายๆ เงิน 100 บาท ของเรา กระจายไปหลายๆ กลุ่ม เอาทุกแบบ มีหมด ‘เสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก เสี่ยงโคตรๆ’ ..กระจายหมด ได้ไหม ?

‘นักลงทุนรายใหญ่ท่านนั้น ก็บอกว่า ก็ได้ ...แต่สุดท้ายถ้ากระจายมากไป ...ผลตอบแทนมันก็จะกระจายจนแทบไม่ได้อะไร ...เอาตรงๆ ถ้าจะกระจายเยอะแบบนั้น ไปซื้อกองทุนรวมแทน ไม่ง่ายกว่าเหรอ ? ...เพราะ มันสามารถซื้อด้วยเงินน้อยได้ และ ก็สามารถเลือก Theme ที่ตรงกับที่เราอยากลงทุน’ 

เออ!! ..ก็น่าคิด

สรุปแล้ว ‘การลงทุน’ มันเป็น ศิลปะ ในการบริหารเงินของเรานั่นแหละ 

ใช่!! มันไม่มีจุดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ...มันมีแค่ จุดที่ดีที่สุด ที่เราเลือกต่างหาก 

ว่าแล้ว ผมก็เปิดพอร์ตของตัวขึ้นมาดู ...เฮ้ย!! หุ้นที่ผมเลือกมันเป็นแนวนี้หมดเลยอ่ะ !!

‘ใช่ไง !! ...พอร์ตเรา มันบอกนิสัยของเราได้ บอกอนาคตของเราได้’

โอเค ได้พี่ ผมเข้าใจแล้ว ...สงสัยผมต้องเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาหน่อย แต่หลักๆ พอร์ตส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหม ? (พี่เขาไม่ตอบ ประมาณว่า มรึงโตแล้ว คิดเองดิ)

...ประเด็นที่ยกเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพื่อจะบอกว่า ‘บางครั้งเราเพิ่มความเสี่ยง ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ...แต่พอร์ตโดยรวมก็แทบไม่ได้เสี่ยงขึ้นมากมาย’

ก็เลยเข้าใจว่า ...สุดท้าย วิธีคิดของเรานั่นแหละ กำหนดผมตอบแทน ที่เราได้

ลองทำความเข้าใจพอร์ตของเราเองดู ...บางทีความเสี่ยงที่เรามอง มันอาจจะปิดกั้นโอกาส ...การทำความเข้าใจความเสี่ยงตรงนั้น เราอาจปรับพอร์ตเล็กน้อย ...แต่กลับให้ผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยที่จริงๆ เราอาจไม่ได้เสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย

...เรื่องนี้มันทำให้ผมเข้าใจ เศรษฐีมากขึ้น ว่า ‘บางครั้งเรามองว่า เศรษฐีคนนั้น โคตรเสี่ยงเลย ..แต่แท้จริงแล้ว ตัวเศรษฐีคนนั้นอาจจะไม่ได้เสี่ยงเลย ...แค่เราไม่เข้าใจวิธีคิดและการบริหารเงินของเขา ก็เท่านั้นเอง’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 26 เมษายน พ.ศ. 2564

ออกแบบพอร์ตยังไง ให้แม้พลาดก็กลับมาเล่นได้ต่อ


 ‘ถ้าอยากชนะในเกมหุ้น คุณต้องออกแบบให้ไม่ว่าจะพลาดกี่ครั้งก็ต้องกลับมาเล่นต่อได้’ 

เดี๋ยวนะ !! ...ครั้งแรกที่ฟัง ผมนึกถึง ‘นี่มันแปลว่า คุณต้องรวยไม่จำกัดน่ะซิ ถึงจะสามารถเจ๊งหุ้น หรือพลาดกี่ครั้งก็ได้ ใช่ไหม ?’

...ผิด !! 

ยกตัวอย่าง ...สมมุติคุณมี 100 ล้าน แล้วคุณซื้อหุ้นตัวเดียว ...ซื้อตัวเดียวเลย ทั้งหมดของเงินที่มี ...ในกรณีที่ทุกอย่างมันดีแบบที่คิด คุณจะรวยเร็วมาก ...เพราะ คุณกล้าได้ กล้าเสีย 

แต่ถ้าคุณผิด ...หุ้นตัวนี้ดันเจ๊ง ...เงินทั้งหมด 100 ล้าน คุณจะหายไปเลย !!

นี่คือ ตัวอย่างของ การออกแบบวิธีการลงทุนที่ พลาดไม่ได้ ...วิธีนี้ไม่ว่าคุณจะมีเงินมากแค่ไหน หากพลาด คุณจบเลย ไม่สามารถกลับมาเล่นได้ต่อ 

มาดูอีกตัวอย่างนึง ...สมมุติคุณมีเงิน ล้านเดียว ...พอร์ตคุณเล็กกว่าตัวอย่างแรก 100 เท่า ...แต่คุณซื้อหุ้น 10 ตัว แทนที่จะซื้อตัวเดียว 

แปลว่า เงิน 1 ล้าน คุณซื้อหุ้น 10 ตัว ตัวละ 1 แสนบาท เท่าๆ กัน ...แค่นี้ก็จะไม่เจ๊งแบบตัวอย่างแรกแล้ว 

แต่!! 

...แต่ถ้าคุณมีความรู้เพิ่มขึ้น ...คุณอ่านพื้นฐานได้ อ่านงบการเงินเป็น ...คุณก็จะลดความเสี่ยงลงไปอีก

...และ ถ้าคุณสามารถอ่านกราฟได้ ‘ดูรอบหุ้นเป็น’ ...รอซื้อหุ้นต้นรอบ (ไม่ซื้อปลายรอบ) เหมือนคนส่วนใหญ่ ...ความเสี่ยงก็ยิ่งลดลงไปอีก โอกาสเลือกหุ้นชนะยิ่งมากขึ้นไปอีก

ใช่แล้ว!! ตัวอย่างที่ 2 นี่แหละ ที่ผมว่า มันคือ ‘การออกแบบการลงทุน ที่แม้ว่าจะพลาด ก็ยังสามารถกลับมาเล่นใหม่ได้ต่อ’ 

...หุ้น 10 ตัว ...แต่ละตัวคือ 10% ซึ่งถ้าทุกตัว ได้ซื้อต้นรอบ หรือ กลางรอบ (ไม่ซื้อปลายรอบ) ..เวลาพลาด สมมุติหุ้นตัวนั้นเจ๊ง เราอาจเสีย 1 เด้ง แต่ถ้าชนะ เราควรได้หลายเด้ง (ออกแบบอย่างนี้ เวลาชนะ ได้มากกว่า ก็ Make Sense ละ) ...การออกแบบพอร์ตแบบนี้ สมมุติ 10 ตัว เราชนะแค่ 3 ตัว ก็ชนะแล้ว ...อาจจะมี 3 ตัวเสมอตัว อีก 4 ตัว พลาด ก็ยังชนะอยู่ ...เพราะ จริงๆ มันชนะ ตั้งแต่การออกแบบพอร์ตแล้ว

...ใช่!! ถ้าเราอยากชนะ ต้องออกแบบให้มันมีโอกาสชนะ ตั้งแต่เริ่มเล่นนั่นเองครับ 

ลองสำรวจพอร์ตเราเอง ว่าเป็นแบบไหน ...ก็จะพอรู้แล้วว่า เล่นหุ้นต่อไป จะรวยขึ้นไหมนั้นเอง 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2564

จุดที่เสี่ยงในตลาดหุ้น บางทีคือจุดที่ไม่เสี่ยง


 ‘บางครั้งการลงทุนในจุดที่เสี่ยง อาจเสี่ยงน้อยกว่าจุดที่ไม่เสี่ยงที่คนส่วนใหญ่เลือกยืนเหมือนๆ กัน’ 

นี่เป็น Logic ที่ผมไม่เข้าใจเลยสมัยที่เริ่มลงทุนใหม่ ๆ

ถ้าให้ตีความก็คือ ‘ในบางครั้ง จุดที่ไม่เสี่ยงในการลงทุน จะกลายเป็นจุดที่เสี่ยง เมื่อคนส่วนใหญ่ตัดสินใจเหมือนๆ กัน ...หรือ จุดที่คนส่วนใหญ่ คิดว่าเสี่ยง กลับเป็นจุดที่ไม่เสี่ยงเลย ในบางจังหวะ’ 

ใช่!! ยิ่งตีความยิ่ง งง เพิ่ม ฮ่า ฮ่า 

เอาเป็นว่า 

1. ‘ในโลกการลงทุน อย่าทำเหมือนคนส่วนใหญ่’ ...ถ้าคนส่วนใหญ่เลือกขึ้น ให้คุณเลือกลง ...ถ้าคนส่วนใหญ่ ไปซ้าย ให้คุณไปขวา

2. ‘อย่าพยายามหาเหตุผลให้ตัวเองรู้สึกดี’ ...เพราะ ความรู้สึกดี ไม่ได้ทำให้พอร์ตเราดีขึ้น ...เอาเวลามาหาทางแก้ไข ความผิดพลาดจะดีกว่า

3. ‘ในเวลาที่ตลาด มีแต่คนกำไร มีแต่ข่าวดี ให้รู้เถอะว่า นั่นใกล้จุดหายนะเต็มที่แล้ว’ ...ใช่!! มันไม่มีการลงทุนอะไรหรอกที่คนส่วนใหญ่จะสามารถได้กำไร รวยทั้งตลาด ยกเว้นเวลาใกล้ๆ ดอยเท่านั้น 

4. ‘ในเวลาที่คนรอบข้างคุณส่วนใหญ่ ขาดทุน ให้รู้เลยว่า โอกาสดีๆ ในการเริ่มซื้อมันอยู่ตรงนั้นแหละ’ ...โอกาสอยู่ตรงหน้าเลย แค่คุณจะเห็นหรือไม่ เท่านั้นแหละ 

5. ‘ถ้าเราไม่เห็นโอกาสดีในเวลาเกิดวิกฤต ให้รู้เลยว่า เราแค่มีความรู้ในเรื่องนั้นไม่เพียงพอ’ ...ถ้าเรามีความรู้เพียงพอ ทุกครั้งที่เกิดวิกฤต เราจะเห็นโอกาสในการทำกำไรเสมอ

6. ‘คนที่มีทั้งความรู้ และ ก็มีความอดทน แต่ยังไม่รวย ก็เพราะ เขาเหลือแค่ความกล้าเท่านั้น’ ...ความรู้ สำคัญเพื่อเริ่ม ...ความอดทน ทำให้เรายังทนทำจนเจอโอกาส ..แต่ความกล้านี่แหละ มันเป็นตัวตัดสินว่า เราจะคว้าโอกาสครั้งนี้ได้หรือไม่ 

7. ‘เมื่อใดก็ตามที่เราคิดว่า เราเก่งในตลาดหุ้น ให้รู้เลยว่า หายนะมันกำลังจะเข้ามาหาเราแล้ว’ ...อย่าเหลิงล่ะ เพราะ มันคือความประมาท และ มันมักนำสิ่งแย่ๆ เข้ามาในชีวิตเรา

...เอาตรงๆ ตลาดหุ้น มันฝึกให้เรา ทดสอบตัวเอง ว่า เราสามารถ ‘คิดต่าง’ และ ‘ทำตรงข้าม’ กับคนส่วนใหญ่ได้หรือไม่ ...ใช่!! ใครทำได้ การลงทุนจะดีขึ้นแบบก้าวกระโดดเลยทีเดียวครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

มูลค่าของ Bitcoin อยู่ที่ไหน ?


มูลค่าของ Bitcoin อยู่ที่ไหน ?

วันนี้โลกเราแบ่งเป็น 2 ฝ่าย คือ หนึ่ง เชื่อมั่น สอง ไม่เห็นด้วยเลย

เอาง่ายๆ คนรุ่นเก่า จะบอกว่า มันของปลอม แต่คนรุ่นใหม่ เชื่อมั่นกันสุดๆ มาดูกัน 

1. ‘ยุคนี้ชื่อเสียง มีมูลค่า’ ...ต้องยอมรับว่า Bitcoin ถ้าเทียบเหมือนดาราสักคน ก็ถือเป็น ดาราดังระดับโลก แน่นอน มีมูลค่าอยู่แล้ว 

2. ‘เทคโนโลยีมีมูลค่า’ ...เทคโนโลยีที่อยู่เบื้องหลัง Bitcoin คือ Blockchain อันนี้ ถือว่า สร้างขึ้นจากอัจฉริยะแน่นอน เพราะ มันสั่นสะเทือนวงการเงินทั้งโลก ...เอาง่ายๆ แม้มันจะไม่ได้ล้มล้าง ตัวกลาง แต่มันก็สะเทือนวงการ 

3. ‘การเปลี่ยนมือ มีมูลค่า’ ...ทุกอย่างที่มีการเปลี่ยนมือ มันสร้างมูลค่าแล้ว ...ยกตัวอย่าง การค้าของโลก ยิ่งสินค้าและบริการ เปลี่ยนมือถี่แค่ไหน มูลค่า และ ความมั่งคั่งก็ยิ่งเพิ่มขึ้นเท่านั้น

4. ‘จำนวนจำกัด และมีคนต้องการ มีมูลค่า’ ...อะไรที่มีจำกัด และ มีคนต้องการ มันเรียกว่า สินทรัพย์ ก็คือ มันมูลค่าเรียบร้อย

5. ‘การเคลื่อนมวลชน มีมูลค่า’ ...คนต้องขุด ต้องดูแลระบบ มันมีการมีส่วนร่วมของคนจำนวนมหาศาล เบื้องหลัง อันนี้ก็มีมูลค่า

มาดู ‘การด้อยค่าบ้าง’ ...ใช่ !! เราดูจุดที่เพิ่มราคาแล้ว ...ก็ควรมามอง จุดด้อยค่า มีอะไรบ้าง ?

1. ‘เครมใหญ่ เป็นดาบสองคม’ ...จุดแข็งในการล้มล้างระบบการเงินที่มีตัวกลาง มันเป็นทั้งข้อดี แต่มันก็เป็นข้อเสีย เพราะ มันท้าทายคนที่มีอำนาจ 

ถ้าต่อย กับ ยักษ์ ก็ต้องมีเจ็บตัว พอสมควร ถึงหนักอยู่นะ

2. ‘เทคโนโลยียังไม่สุกงอมเต็มที่’ ...อันนี้มันทำให้นึกถึง Dot com boom ปี 2000 ที่มัน Boom ด้วย Bubble ...ช่วงนั้นบริษัทแค่จดชื่อ .com ก็มีมูลค่าแล้ว พูดง่ายๆ .com ในช่วงนั้น มีแต่ของปลอม ....แต่วันนี้ .com ของจริงเรียบร้อย 

ตลาด คริปโต วันนี้ทำให้ย้อนนึกถึง ช่วง .com bubble ปี 2000 

3. ‘คนยังใช้ผิดวัตถุประสงค์’ ...อย่าง Dot Com ในปี 2000 คนใช้เพื่อเก็งกำไร เก็งอนาคต แต่เรายังไม่เห็น ธุรกิจมันเปลี่ยนโลก เปลี่ยนชีวิตคนจริงๆ ...จนถึงวันนี้ Google , Amazon , Netflix , Apple ...เปลี่ยนชีวิตคนทั้งโลกจริงๆ 

วันนี้คนยังใช้ คริปโต เพื่อ การเก็งกำไร เก็งอนาคต ก็แปลว่า ตอนนี้ราคายังอยู่ใน Bubble นั่นเอง

ก็ประมาณนี้ ...สุดท้าย คริปโต ผมว่า เกิดแน่นอน ...แต่ถึงวันนั้น มันจะไม่ใช่การถือแล้วรวย เก็งกำไรอะไรกันแบบนี้ 

มันจะเป็น สกุลเงินนึง ที่ใช้ในการซื้อขายแลกเปลี่ยนสินค้า ได้สะดวกสบาย ค่าธรรมเนียมถูก เชื่อถือได้ 

...วันนี้ ก็มันส์ กันไปก่อนครับ ...555

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 



 

ซื้อหุ้นให้กำไรเยอะ เวลาซื้อต้องซื้อยาก เวลาขายต้องขายง่าย


 ‘หุ้นที่ซื้อแล้วน่าจะกำไรเยอะ คือ เวลาซื้อ ต้องซื้อยาก ...เวลาขาย ต้องขายง่าย’ 

มีรุ่นพี่คนนึง ที่รวยจากหุ้นเยอะมากๆ เขาสอนผมแบบนี้ 

ตอนนั้นฟังครั้งแรก ถึงกับ งง ?!? (พูดอะไรวะ ??)

เอาไปนอนคิดอีก 2 คืน กว่าจะเข้าใจ ...อ๋อ!! มันแบบนี้เอง

1. ‘ซื้อยาก แปลว่า Volume มันไม่มี’ ...ไอ้ Volume ไม่มี ไม่ได้แปลว่า ซื้อไม่ได้ ...แค่มันต้อง ค่อยๆ ซื้อ หรือ  ต้องยอมซื้อ Bid แพงขึ้น นั่นเอง

2. ‘ไม่มี Volume ก็คือ ไม่มีคนขาย’ ...ถ้าหุ้นลงมาเยอะ การตีความก็คือ รายย่อยขายหมดแล้ว ...ช่วงที่รายย่อยแห่ขายใหม่ๆ Volume จะเยอะ เพราะ แย่งกันขาย ..จากนั้น ราคาหุ้นจะลงลึกขึ้นเรื่อยๆ 

ราคาไม่ได้เป็นตัวบอกว่า หุ้นจะลงแค่ไหน ...ใช่!! Volume ต่างหาก ที่จะบอกเราว่า หุ้นตัวนี้ลงสุดรอบแล้วหรือยัง 

3. ‘หุ้นลงแรง บวก Volume เยอะ อันนี้น่ากลัวสุด’ ...ถ้ามีข่าวดีด้วย แล้ว Volume หนา ราคาลงแรง ...นี้คือ จุดเริ่มของนรกนั่นเอง ...อารมณ์ติดดอยคือแบบนี้แหละ 

อารมณ์แบบนี้ รายย่อย จะซื้อเพิ่ม !! (น่ากลัวมาก เตือนมือใหม่ไว้เลย)

4. ‘หุ้นลงแรง แต่ Volume ไม่มี’ ...อันนี้เริ่มดูดีขึ้น ...คือ แปลว่า รายใหญ่ขายหมดแล้ว ...คนที่ขายตอนนี้มีแต่รายย่อยแล้ว 

5. ‘หุ้นขึ้น แต่ไม่มี Volume’ ...อันนี้แปลว่า หุ้นเบาละ ...หลังจากนี้ราคาเด้งแรงได้ทุกเมื่อ ...ใครเจอแบบนี้ ระวังรวย !!

6. ‘การซื้อหุ้นตอนที่ไม่มี Volume แล้วราคาลงมาเกิน 50% แล้ว’ ...อันนี้น่าจะเป็นการซื้อเพื่อดักรอบต่อไป 

7. ‘ข้อควรระวัง คือ การเพิ่มทุน’ ...การซื้อต้นรอบ มักจะกำไรง่ายๆ แต่ต้องระวัง การเพิ่มทุน ...ถ้าเอาพื้นฐานดีหน่อย ก็จะลดปัญหาตรงนี้ลงไป 

8. ‘เวลาขาย ทำไมต้องขายง่าย’ ...ขายง่าย แปลว่า Volume เยอะ มีแต่ข่าวดี รายย่อยอยากซื้อ ...ถ้าเราซื้อตอนที่รายย่อยไม่อยากซื้อ แล้วไปขายตอนที่รายย่อยอยากซื้อ ...โหห!! แค่นี้ก็ หลายเด้งละครับ 

ก็นี่แหละคร่าวๆ ‘อยากกำไรเยอะๆ ต้องซื้อหุ้นตอนที่ซื้อยาก แล้วขาย ตอนที่ขายง่าย’ ..ประมาณนี้ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


10 จุดจับผิด วิธีคิดเล่นหุ้นที่น่าเป็นห่วง


  10 จุด จับผิด ‘เบา หนัก ปั่นยาก ปั่นง่าย ข้างล่าง หรือ ข้างบน’ 

‘เราควรซื้อหุ้นที่ปั่นง่าย หรือ หุ้นที่ปั่นยาก’

เฮ้ย!! ก็ซื้อหุ้นที่ปั่นไม่ได้ดิ ...เดี๋ยวนะ ในโลกนี้มีอะไรบ้างอ่ะ ที่ปั่นไม่ได้ ??

เอาตรงๆ ทุกอย่างที่ มีจำนวนจำกัด ...มีคนต้องต้องการซื้อ ...เข้าองค์ประกอบ 2 อย่างนี้ ปั่นได้หมดแหละ ตั้งแต่ หุ้น ทอง คริปโต รถ นาฬิกา ..เดี๋ยวนี้ยิ่งโหด ขนาดเหรียญอย่าง DOGECOIN มีจำนวนไม่จำกัด ...ขอให้มีคนต้องการ ปั่นราคาได้แล้ว ง่ายๆ !!

คำถามที่ผมมานั่งคิด กลับมาที่ตลาดหุ้น ก็คือ 

‘ฉันควรมีหุ้นที่ปั่นยาก หรือ ปั่นได้ง่าย’ มาดูกัน

1. ‘ถ้าเราต้องการกำไรหลายๆ เด้ง ต้องอยู่ในหุ้นที่ปั่นง่าย’ ...ใช่!! บางจังหวะ การยืนอย่างมีชั้นเชิงในจุดที่เสี่ยง กลับ ปลอดภัยกว่า ที่ไม่เสี่ยงแต่คนส่วนใหญ่แย่งกันยืน 

2. ‘Market Cap. เล็ก ปั่นง่าย’ ...ส่วนใหญ่เจ้ามือ ก็มักจะเริ่มลากราคาจาก Market Cap. เล็กๆ ...แล้วไปเทขายตอนคนสนใจเยอะๆ Market Cap. ใหญ่ ...’เก็บเล็กไปปล่อยใหญ่ ว่างั้นเถอะ’ 

...มีรุ่นพี่คนนึง ที่รวยมากจากหุ้น สอนผมว่า ‘หุ้นที่เราจะกำไรมหาศาล เวลาซื้อต้องซื้อยาก ส่วนเวลาขาย ต้องขายง่าย’ (เอาไปนอนคิด 2 คืน กว่าจะตีความ อ๋อ!! เข้าใจแล้ว เว้ยเฮ้ย!!)

3. ‘ถ้าเราเล่นเกมที่เสี่ยง ต้องใช้เงินน้อย’ ...ถ้าคุณชอบซื้อหุ้นตัวเดียว จัดหนักเอาชัวร์ๆ ก็ไม่ควรซื้อหุ้นที่ปั่นง่าย ...เพราะ ไม่ว่าขึ้นแรง หรือ ลงแรง คุณก็ทนไม่ได้ทั้งขึ้นและลงอยู่ดี 

4. ‘หุ้นที่มีรายย่อย ติดอยู่เยอะ ปั่นยาก’ ...สังเกตง่ายๆ ว่า หุ้นปั่นที่คนติดเยอะ พอรอบใหม่มา ตัวนี้จะไม่มา ...ก็เพราะ รายย่อย ยังติดอยู่ ...ถ้าหุ้นตัวนี้จะขึ้นรอบใหม่ รายย่อย ที่ติดต้องขายหมดแล้ว ถึงจะมีรอบใหม่ 

5. ‘อะไรที่อยู่ในมือรายใหญ่ไม่กี่คน มาแน่ๆ’ ...มันจะจบเมื่อ Whale เหล่านี้ ทะเลาะกันเอง ...จบ !! 

6. ‘เจ้าตัวจริง เสียงจริง คือ พื้นฐานธุรกิจ’ ...ถ้าราคายังต่ำกว่า มูลค่าในอนาคต ราคาจะพุ่งเท่าไหร่ก็ได้ ...มันจะจบ เมื่อเจ้าของ และ รายใหญ่เห็นว่า ราคามันเกินอนาคตไปไกลมากแล้ว ....ขาย!! รายย่อย คุณได้บริษัทไปเลย ...เอาไปเลย !!

7. ‘ยุคนี้ อย่าจัดเต็ม เพราะ นั่นคือทางสู่การหมดตัว’ ...ทุกวันนี้เงินใหญ่ควรกระจายการลงทุน ..ส่วนเงินเล็ก ยิ่งต้องกระจาย เพราะ คุณเสียไม่ได้ และ ไม่ควรเสียด้วย ...ยกตัวอย่าง กองทุน ที่เขาสร้างขึ้นมา เพื่อให้เงินเล็ก สามารถกระจายการลงทุนนั่นเอง ...ดังนั้น ถ้าเลือกหุ้นเอง ก็ต้องกระจายการลงทุนดีๆ 

8. ‘ถ้าให้เลือก ซื้อหุ้นที่เรามั่นใจตัวเดียว กับ ซื้อหุ้นที่ปั่นง่าย 10 ตัว’ ...ผมว่า อย่างหลัง เสี่ยงน้อยกว่า โอกาสมากกว่า โดยเฉพาะช่วงนี้ที่เงินล้นระบบด้วย

9. ‘มันก็อยู่ที่ว่า เราได้ซื้อตรงไหน’ ...ถ้าเราได้ซื้อข้างล่าง ยังไงก็ดีกว่าซื้อข้างบน ...คนส่วนใหญ่ซื้อข้างบนแล้วพยายามหาเหตุผลว่า มันดี เพื่ออะไร ? ...’เพื่อให้เราติดดอยแล้วสบายใจหรือ?!?’

10. ‘ซื้อของที่คนอื่นมองว่าไม่ดี แล้วพยายามหาให้เจอว่า อนาคตมันจะดี อันนี้มีโอกาสกำไรเยอะกว่า’ ...ทุกคนว่าดี ผมไม่ซื้อ เสียเวลา !! 

...แต่ถ้าทุกคนว่าไม่ดี ผมจะทำการบ้านอย่างหนักเพื่อหาว่า มันมีโอกาสดีไหม ?

ถ้ามี ..ซื้อเลย !! ...ซื้อถูก ซื้อต้นรอบ ...มีสัก 10 ตัว ...ยังไงก็สบายกว่า ...สบายๆ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อสังเกต ของตลาดหุ้นยุคโควิด


 8 ข้อสังเกต ความยากของตลาดหุ้นยุคโควิด

‘เล่นหุ้นให้กำไร ต้องเป็นคนช่างสังเกต !!’ 

ทฤษฎีก็เรื่องนึง ...แต่ ชีวิตจริง ตลาดหุ้นจริง มันมากกว่านั้น !!

..สมัยที่ผมเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ ก็พยายามศึกษาให้เยอะ ..อ่านหนังสือมันทุกเล่มเกี่ยวกับหุ้น ..แต่พอเล่นจริง ก็โดนอยู่ดี (โดนดิ นักรบ ย่อมมีบาดแผล)

เฮ้ย!! ก็อ่านมาแล้ว เรียนแล้ว ทำไมโดน !! 

ก็เลยอยาก สรุป ข้อสังเกตเบื้องต้น มาฝากเพื่อนๆ นักลงทุนกันครับ 

1. ‘หุ้น SuperStock ในแต่ละรอบ ไม่เคยเป็นหุ้นตัวเดิม และ ก็ไม่ใช่กลุ่มอุตสาหกรรมเดิม’ ...ผมก็มานั่งคิดว่า รอบต่อไป กลุ่มอุตสาหกรรมไหนล่ะ ที่เราควรซื้อไว้ก่อน

2. ‘หุ้นที่คนชอบ ใครก็เชียร์ มีแต่ข่าวดี มันมักจะเป็นปลายๆ รอบ ของหุ้นตัวนั้น’ ...ปลายๆ รอบ ก็คือ ซื้อแล้วก็มักขึ้นต่อทันที ไปอีกสักพัก แต่สุดท้ายเราก็มักจะติดดอย ขาดทุน ทุกทีเลย 

3. ‘หุ้นที่มันลงมาเยอะๆ เงียบๆ ไม่มีใครสนใจ มันมักจะมาแรงอย่างน่าประหลาดใจ’ ...อันนี้ผมสังเกตมาหลายรอบแล้ว ...หุ้นที่กำลังจะมาแรง มันจะมาจากความเงียบสงบ ไม่มีข่าว ..แทบไม่มี Volume ด้วยซ้ำ ...เอาง่ายๆ อยากซื้อ ยังแทบไม่มีคนขายเลย (เดาง่ายๆ เพราะ รายย่อยที่จะขาย เขาขายไปหมดแล้ว ...หุ้นแบบนี้ คือ รายใหญ่กับเจ้าของ ทยอยเก็บแบบเงียบ เพื่อรอการลากครั้งใหญ่นั่นเอง)

4. ‘อย่าพยายามหาเหตุผล ว่า ธุรกิจอะไรจะมา เพราะ คุณจะเดาผิด’ ...ใครจะคิดว่า รอบนี้ ยางจะมา ...แล้วเรือก็มา ...อ้าว!! เฮ้ย เหล็กมา ....ใช่!! ไอ้ที่คุณเก็งว่าจะมา มันไม่มาครับ ....ผมนั่งคิดหลายรอบแล้ว ว่า เราจะแก้ยังไงให้คราวหน้า ไม่ต้องมาคาดการณ์ แต่ผมต้องได้ซื้อหุ้นที่มา ...ลองคิดดีๆ มันก็มีอยู่หลายวิธีที่ทำได้ ‘คิด ๆๆ’ 

5. ‘ถ้าทุกครั้งหุ้นที่เราซื้อเยอะมันมักจะขึ้นน้อย แล้วหุ้นที่เราซื้อน้อยมันขึ้นเยอะ’ ...ทำไมไม่ซื้อให้มันเท่ากันเลย แค่นี้ก็ทำให้กำไรเพิ่มขึ้นโดยแทบจะไม่ต้องเลือกหุ้นเก่งขึ้นเลย 

6. ‘ตลาดขาลง คนส่วนใหญ่ก็มักจะติดดอย ...พอตลาดขาขึ้น คนส่วนใหญ่ก็มักจะขายหมู ตกรถ ทนรวยไม่ได้’ ..ถ้าถามว่า วันนี้คนส่วนใหญ่ เขาติดดอย หรือ ขายหมู เราก็จะพอรู้แล้วว่า ตลาดหุ้นต่อจากนี้จะเป็นขาอะไร ?

7. ‘ทฤษฎีที่เอาใช้ในหุ้นแต่ละรอบ มันไม่เหมือนเดิม’ ...ผมว่า การตีมูลค่าวันนี้ มันต้องตีแบบ Start up ...ต้องมองเลยว่า ใน 5 ปี ข้างหน้า คุณคิดว่า ธุรกิจนี้จะมียอดขาย และ กำไรอยู่ที่เท่าไหร่ ...แล้วก็ลุยกันเลย ...สุดท้าย ทุกอย่าง จบใน 3 ปี ...พูดง่ายๆ ซัดกันเลย วัดกันเลย เอามูลค่าอนาคตมาซัดกันวันนี้เลย

8. ‘เมื่อความ Surprise มันเกิดทุกวัน ก็ออกแบบการลงทุนให้รวยจากการ Surprise ไปเลย’ ...ลองคิดซิครับ จะซื้อหุ้นอะไร ที่ทำให้เรารวย จากความ Surprise ...?!?

ยากอีกแล้ว !! ...ยาก ยาก 

เอาเถอะ ลองคิดกันดู ... ผมเชื่อว่า บางคนน่าจะคิดออกและทำได้ ...ก็ลุ้นกันไปครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 24 เมษายน พ.ศ. 2564

8 ข้อ หาจุดเติบโตจากหุ้นที่เราสนใจ


 8 ข้อ หาจุดเติบโตจากหุ้นที่เราสนใจ

‘Growth คือ ทุกอย่างของตลาดหุ้น แต่เราจะหามันเจอได้อย่างไร’ 

ขยายความก่อนว่า Growth คือ ทุกอย่างของตลาดหุ้น ..หมายความว่าอะไร ?

คิดง่ายๆ คนที่รวยหุ้น คือ คนที่ซื้อหุ้นที่ Growth สูงๆ แล้วถือยาวๆ ...ก็มีโอกาสรวยได้หลายๆ เด้ง 

นอกจากนี้ Growth ยังเป็นตัวกำหนด ‘อัตราเร่ง หรือ ตัวคูณความมั่งคั่ง ซึ่งก็คือ ค่า P/E นั่นเอง’ ...ใช่!! ยิ่ง Growth สูง P/E ก็ยิ่งสูง ...P/E ยิ่งสูง เจ้าของ ก็ยิ่งรวย 

มาดูกันว่า แล้วเราจะหา Growth ได้อย่างไร 

1. ‘อยู่ในธรรมชาติ ของธุรกิจที่โตเร็ว’ ...ธุรกิจมีทั้งโตช้า และ โตเร็ว ...เลือกโตเร็ว เช่น ธุรกิจหนี้ โตเร็ว เพราะ ยุคนี้คนชอบเป็นหนี้ , ของที่ใช้แล้วหมดไป ย่อมโตเร็วกว่า 

2. ‘ขายสินค้า’ ...ขายสินค้า โตง่าย แต่กำไรน้อย ..ส่วน ขายบริการ โตยาก แต่กำไรเยอะ ...ผู้ชนะ คือ ธุรกิจที่ชนะข้อจำกัดของตัวเอง 

3. ‘ใช้คนน้อยกว่า’ ...ลด คน เพิ่ม Automation ...กำไรเยอะขึ้น ปัญหาลดลง

4. ‘มี Fix cost ที่ต่ำกว่า’ ...เดิมธุรกิจต้อง จ่ายเงินลงทุนก่อน แล้วได้เงินทีหลัง ...นั่นแหละ ใคร จ่ายเงินน้อย แต่ขยายได้ ... หรือ แล้วได้เงินก่อนจ่าย ยิ่งดี

5. ‘ธุรกิจรู้จักใช้เครื่องมือทางการเงิน’ ...ควบรวม , ออกหุ้นกู้ , ขายสินทรัพย์เข้ากองทุน , ...เอาว่า ถ้าผู้บริหารรู้จักใช้เครื่องมือทางการเงิน ธุรกิจยิ่งโต

6. ‘ธุรกิจชัดเจน’ ...ยุคนี้ใครทำธุรกิจชัดเจน ย่อมเติบโตง่ายกว่า

7. ‘เจ้าของ อยู่ฝั่งเดียวกับนักลงทุน’ ...ถ้าเจ้าของอยู่ฝั่งเดียวกับนักลงทุน เขาจะมีเป้าหมายทุกอย่างเพื่อให้หุ้นขึ้น

8. ‘คู่แข่งอ่อนแอ หรือ ไม่มีคู่แข่ง’ ...ยิ่งคู่แข่งอ่อนแอ ยิ่งขยายง่าย กำไรดี

ลองดูว่า หุ้นที่เราซื้อ เข้าข่ายหุ้น โตไว ใช่หรือไม่ ?

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564

เราจะรู้ได้ไง ว่าเรารับความเสี่ยงได้แค่ไหนจริงๆ


 ‘เราจะรู้ได้อย่างไรว่า เรารับความเสี่ยงได้แค่ไหน?’ 

...ทนรวยเป็นไหม ? ...ทนรวย !!

ครับ ..ทุกคนคิดว่า ตัวเอง สามารถรับความเสี่ยงได้เยอะ ...แต่เอาจริง รับได้น้อยกว่านั้นมาก 

มาดูกันดีกว่า ว่า คำถามง่ายๆ เหล่านี้จะช่วยให้เราเข้าใจความเสี่ยงที่รับได้ มากขึ้นไหม 

1. ‘เงินก้อนนี้ เป็นสัดส่วนมากหรือ น้อยเทียบกับเงินทั้งหมดที่เรามี’ ...ไม่มีใครรับได้หรอกหากเป็นสัดส่วนที่เยอะ ...ใช่!! บางคนซื้อหุ้น 1 บาท แล้วถือไปถึง 10 บาท หรือ 20 บาท ก็เพราะ เงินนั้นไม่ใช่สัดส่วนที่เยอะของเขา 

นี่เป็นการอธิบายง่ายๆ ว่า ‘คนรวย’ จึงได้เปรียบ ...ที่ทนรวยได้เยอะกว่า เพราะ มันคือ เงินส่วนน้อยของเขา

2. ‘ถ้าเงินก้อนนี้ ศูนย์ไป จะกระทบกับชีวิตเรามากน้อยแค่ไหน’ ...ถ้ามันกระทบมาก เราทนรวยไม่ได้หรอก แค่ขึ้น 10% เราก็คงขายแล้ว ...ไม่สามารถทนให้มันขึ้นได้ เป็น 10 เด้ง หรอก

โอเค !! ...เมื่อเข้าใจแล้ว เราต้องกลับมาออกแบบ พอร์ตการลงทุนของเราใหม่ 

พอร์ตที่ ‘ทนรวย’ ได้มาก ต้องแบบนี้

1. ‘เริ่มซื้อหุ้น ด้วยปริมาณ เท่าๆ กัน’ ...การซื้อหุ้นทุกตัวเท่ากัน ช่วยลดความ Bias ...เพราะ เรามีแนวโน้มที่จะ หุ้นที่ขึ้นเยอะเราดันซื้อน้อย แต่หุ้นที่ซื้อน้อย มันขึ้นเยอะ ...การซื้อเท่ากัน แก้ปัญหาตรงนี้ด้วย

2. ‘เพิ่มความเสี่ยง โดยการแบ่งพอร์ตให้มีหุ้นทั้ง 3 แบบ คือหุ้นเสี่ยงมาก , เสี่ยงกลาง และ เสี่ยงน้อย’ ...เดิมทีเราจะ ชอบซื้อหุ้นที่เราชอบ เช่น คนไม่เสี่ยงก็จะซื้อหุ้นไม่กี่ตัวที่เสี่ยงน้อย ผลก็คือ พอร์ตไม่เสี่ยง แต่มันก็ไม่ค่อยโต ...ส่วนคนชอบเสี่ยง ก็มักซื้อหุ้นไม่กี่ตัวที่เสี่ยงเยอะ พวกนี้ ถ้าไม่รวย ก็เจ๊งไปเลย จริงไหม 

ทางแก้ ก็คือ เราไม่เอา Bias ของตัวเรา มาเลือกหุ้น 

เราเลือกหุ้นมาเลย 10 ตัว 

...3 ตัว เสี่ยงมาก / อีก 3 ตัว เสี่ยงกลาง และ อีก 4 ตัว เอาหุ้นใหญ่ หุ้นปันผล ที่ไม่เสี่ยง 

การทำแบบนี้ จะทำให้ผลตอบแทนโดยรวมของพอร์ตเราดีขึ้นครับ

3. ‘ปรับพอร์ตบ้าง หากตัวไหนไปไกลมากๆ ก็ขายออกบ้าง ...เอามาซื้อตัวอื่นเพิ่ม’ ...ตรงนี้ยากสุด มันเป็น ศิลปะของการบริหารพอร์ต 

ซึ่งการปรับพอร์ต อาจรวมถึง การขายหุ้นบางตัวที่ขึ้นมากเกินไป แล้วไปซื้อ ตราสารหนี้เพื่อลดความเสี่ยง

การปรับพอร์ตที่ดี จะช่วยให้เรามีเงินสด สำหรับซื้อหุ้น ในเวลาที่ตลาดปรับฐาน 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หุ้นปั่นมีจริงหรือเปล่า เขาทำกันยังไง


 ‘หุ้นปั่น มีจริงหรือเปล่า’ 

ไม่ต้องถาม เพราะ มันมีจริง ...แต่ไอ้ที่น่าสนใจกว่า คือ เขาทำกันยังไงล่ะ ?

อย่าว่าแต่หุ้นเลย เดี๋ยวนี้ปั่น Coin มันส์กว่า ง่ายกว่า เม่าเยอะกว่า ...ก็เลยมีคนรวยเร็วจัดๆ เลย ในโลกการเงินยุคใหม่นี้

เอ้า!! มาดู เบื้องหลังกันว่า มันคืออะไร 

1. ‘ต้องเริ่มจากของที่มีจำนวนจำกัด’ ...อันนี้ Common Sense ....อะไรที่ มีจำนวนไม่จำกัด ไม่ต้องไปปั่นเลย ทำไม่ได้ ...ขั้นแรก ต้องเลือกของที่มีจำนวนจำกัด ...อะไรก็ได้ ถ้ามีจำนวนจำกัด ปั่นได้หมด

2. ‘ดูซิว่า มีคนคุมบ่อนไหม’ ...ถ้าตลาดหุ้นก็ยากหน่อย แต่ก็ทำกันได้ มีหน่วยงานกำกับ ก็ต้องอาศัยฝีมือของเจ้า ภายใต้กฎเกณฑ์ที่ทำได้ ...แต่ถ้าไม่ได้อยู่ภายใต้หน่วยงานกำกับ คุณจะปั่นราคาพุ่งไปดวงจันทร์ก็ทำได้ หากมีคนยอมซื้อในราคาที่สูงขึ้นต่อไป 

(ไม่ต้องห่วงว่าจะไม่มี ‘เม่า’ ...ทุกอย่างที่เก็งกำไรได้ มีเม่าทุกตลาด ...ใช่ครับ!! โลกการลงทุน ไม่เคยขาด ‘เม่า’)

3. ‘คุม พื้นฐานของสิ่งนั้นให้ได้’ ...อย่างหุ้นก็คือ ‘งบการเงิน และ ผลประกอบการ’ ...ถ้าเป็น Commodity ก็คุมยาก เพราะ มันเกิดจาก Demand และ Supply ...ถ้าเป็น Crypto ก็ยากเหมือนกัน มันเป็นการเล่นกับความคาดหวังของผู้ที่เข้ามาเล่น แต่สุดท้ายก็คือ Demand และ Supply ของคนซื้อและคนขาย 

4. ‘คุมปริมาณการซื้อและขายให้ได้’ ...อันนี้คือ หน้าตักของเจ้ามือ ...พูดง่ายๆ เจ้ามือ จะเป็นใครก็ได้ ที่มีปริมาณการซื้อขายเยอะที่สุด จนสามารถควบคุมราคาและการขึ้นลงได้ 

เราอาจจะเคยได้ยินว่า บางครั้งเจ้าของไม่ใช่เจ้ามือ ...อันนี้ก็จริง เพราะ เจ้าของบริษัท เขาถือหุ้นมากที่สุดก็จริง แต่เขาไม่ได้ซื้อขายตลอดเวลาในจำนวนสูงที่สุด ....คนที่ซื้อขาย ณ ช่วงเวลาหนึ่งๆ มากที่สุด คนนั้นก็คือ เจ้ามือในเวลานั้น นั่นเอง 

...แต่เอาตรงๆ นะ ถ้าอยู่ดีๆ มีใครมาไล่ราคาหุ้นของคุณ ขึ้นไป โดยที่เจ้าของไม่รู้เรื่อง ...คนลาก มักจบไม่สวย เพราะ เจ้าของอาจจะเทขายใส่ ไอ้คนไล่ราคาก็ติดหุ้น รับไปคนเดียว

ยกเว้น !! ...ยกเว้นว่า หุ้นนั้น มันดีมากๆ ...ดีจนเจ้าของก็ไม่อยากเสียหุ้นไป เพราะ บริษัทอาจจะกำลังอยู่ในช่วงที่ขยายตัว ....ถ้าเข้ากรณีแบบนี้ มีแต่คนซื้อ ไม่มีใครอยากขาย ...หุ้นมันก็พุ่งได้มหาศาล

แต่!! ...ทว่า

5. ‘งานเลี้ยงย่อมมีวันเลิกลา’ ...จะรู้ได้ไง ว่า ฉันไม่ได้เป็นคนรับหุ้นในราคาที่สูงที่สุด ‘ดอย!!’

จากข้อ 4 บางครั้งหุ้นมันพุ่งไปเรื่อยๆ ไม่มีใครอยากขาย ...แต่สุดท้าย มันราคามันก็จะขึ้นไปจนมีคนอยากขายในที่สุด 

เช่น หุ้นจาก 1 บาท ขึ้นไป 5 บาท ...เจ้าของอาจจะ ยังไม่อยากขาย ราคามันก็ไปต่อ ...พอไปถึง 10 บาท เจ้าของอาจจะเริ่มอยากขายบางส่วน

คราวนี้ Volume การขายก็จะเพิ่ม ราคาหุ้นก็จะเริ่มผันผวนหนักขึ้น ....จากตอนแรก ขึ้นอย่างเดียว ...พอมาถึงจุดนึง มันเริ่มผันผวนหนัก ก็แปลว่า เจ้า หรือ รายใหญ่ เริ่มเทขายออกมาแล้ว

..ส่วนใหญ่ ไม่จบแค่นั้น มันเด็กๆ ไป ...ยังมีเม่า น้อยไป !!

จาก 10 บาท มันขึ้นต่อ ถึง 50 บาท ...เม่า ก็จะมาเยอะขึ้น ...เพราะ เม่า น้อย อาจจะเคยซื้อตอน 3 บาท ไปขาย 5 บาท (อ่อนชิหาย) ...คราวนี้ขอแก้มือ ก็มารับที่ 20 บาท ..ตอนนี้ถือไป 50 บาท ยังไม่ขาย 

‘ย่ามใจ !! คิดว่า รอบนี้ คงจะรวยเปลี่ยนชีวิตจริงๆ’ ...ว่าแล้ว เม่าน้อย ก็ซื้อที่ 50 บาทเพิ่ม ‘ซื้อเพิ่ม!!’

เจ้าลากไปต่อ ถึง 60 บาท ....เม่านัอย ก็ยังไม่ขาย ตัดสินใจกู้เงินก้อนใหญ่ ซื้อบ้านใหม่ให้แม่ ...กู้เงินซื้อ รถ Supercar คันงาม ...แต่แล้ว !!

แต่แล้ว ราคาหุ้นก็ร่วง จาก 60 บาท มาเหลือ 30 บาท 

เม่าน้อย กลับไปหาพ่อแม่ แล้วขอเงินเก็บทั้งชีวิตของทั้งครอบครัว มาซื้อที่ 30 บาท ....หวังว่า การถัวเฉลี่ยครั้งนี้ จะรวยกันทั้ง ครอบครัวเม่าน้อย!!

...และแล้ว ราคาหุ้นก็ลงต่อ จนเหลือ 5 บาท (บ้านมรึงซิ 5 บาท เป็นไปไม่ได้หรอก) ....เม่าน้อย ตัดสินใจ ‘ขายไต’ ขายหมด ทุกอย่าง ซื้อหุ้นที่ 5 บาท ...จากนั้น หุ้นก็ลงต่อ 4 บาท ...ไป 3 บาท ...ไป 2 บาท ....และ 0 บาท หุ้นออกจากตลาด SP ไปเลย !!! (ซวย!!) 

ครับ !! ...เงินเก็บตัวเอง ก็หมด ...บ้านรถ ก็ผ่อนต่อไม่ได้ ...เงินเก็บพ่อแม่ที่แก่ชรา ก็สูญสิ้น ...ไต ก็ขายไปแล้ว 

นี่คือ โลกความจริงครับ !!  ...โลกจริงๆ มันไม่ได้สวยหรู แบบที่เราคิดหรอก ...เวลามันโหด มันโหดจริงๆ ...ยิ่งดิ้น ยิ่งถลำลึก 

‘เราอาจจะเจ๊ง’ แต่ทุกครั้งมีคนอีกด้าน ที่รวยมหาศาลเสมอ ซึ่งมันไม่ใช่เรา ?!?

คำถาม คือ ครั้งต่อไป เราจะอยู่ในฝั่งที่รวยได้อย่างไร ?

‘ผมเองเคยเจ๊ง มหาศาล ...พอเราผ่านจุดนั้น เราก็จะปรับวิธีคิด วิธีลงทุนของเราใหม่ ให้มันเหมาะกับตัวเรามากที่สุด’ 

...นั่นแหละ การลงทุนจริงๆ ใบแบบของเรา !!

เอาใจช่วยทุกคนให้สามารถปรับตัว และ หาทางของตัวเองเจอ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คนรุ่นใหม่ ทำไมมองเราล้าสมัย


 ‘ทำไมคนรุ่นใหม่ ถึงมองคนรุ่นเก่าล้าสมัย’ 

...Gen Y มอง Gen X ล้าสมัย

...วันนี้ Gen Z มอง Gen Y เอ้าท์ สุดๆ 

...ผมเป็น Gen X ที่เข้ามาเล่นหุ้น หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ณ ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นโดนทดสอบว่าจะผ่านได้ หรือ ล่มสลาย โดยวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของโลก ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ 

(เอาตรงๆ มันก็ผ่านได้ทุกครั้งแหละ โลกมันไม่จบหรอก มันก็หมุนต่อไป เพียงแต่รอบใหม่ถ้าเรากลัว มันก็แค่ไม่มีเราก็เท่านั้นเอง  ...ใครเข้าใจตรงนี้ พอวิกฤตมาก็รวยเละทุกครั้งไป)

ปี 2008 หุ้นพังทั้งโลก ...คุณแทบจะสามารถซื้อหุ้นทุกตัวได้ต่ำกว่า Book Value เพราะเวลานั้นไม่มีคนกล้าซื้อ มีแต่คนขายกระหน่ำ 

รุ่นผม คนที่กล้าลุยในช่วงปี 2008 ...แล้วยังถืออยู่ วันนี้กลายเป็น ‘นักลงทุนรายใหญ่’ กันทั้งนั้น 

แต่คนที่ยังไม่รวย รอบนั้น ก็มาเจอโอกาสปี 2020 อีกครั้ง ‘วิกฤตโควิด’ ...เศรษฐกิจชะงักทั้งโลก ...ใครได้ซื้อตอนต้นปี 2020 แล้ว วันนี้ยังถืออยู่ ...พอร์ตคุณโตขึ้นอย่างขี้หมูขี้หมาต้องมี 100% ขึ้นอ่ะ 

...วันนี้บ้านเราบอก ‘นี่โควิด รอบ 3’ ...เอาตรงๆ ตลาดก็ปรับฐานนะ แต่มันไม่ได้ลงแบบวิกฤต 

‘วิกฤต คืออะไร ?’ 

มันคือ จังหวะที่ทุกคนสูญเสียความมั่นใจ และ กลัวสุดขีด ...คนจะขายของที่มี เพื่อเอา เงินสด มาถือ ...หุ้น อสังหา ราคาจะลงเละ ...หุ้นเกือบทุกตัว ราคาต่ำกว่า Book Value 

...

‘แล้วตอนนี้ล่ะ ไม่ใช่วิกฤต แล้วมันคืออะไร ?’

ตอนนี้ก็คือ การขึ้นรอบใหม่ ..ซึ่งมันก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ สร้างเศรษฐีรอบใหม่ ไม่ต่างจากทุกรอบที่ผ่านมา ...ระหว่างทางขึ้น ก็จะมีการปรับฐานบ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

...’ที่เล่ามา มันเกี่ยวกับ ความล้าสมัย อะไรตรงไหนล่ะ ?’

โอเค!! ..คน Gen X อย่างผม ก็จะ เน้นหนักในหุ้น เพราะ เราเชื่อในของจริง ‘พื้นฐาน’  ...เราเชื่อว่า หุ้นต้องมีธุรกิจทำรายได้จริง มีปันผลจ่ายจริง ...แต่ปัญหาของความเชื่อนี้ ‘เราจะลงทุน ในของจริงเท่านั้น ซึ่ง ขึ้นน้อยไง !!’ 

- เดี๋ยวนี้ คนรวยที่สุดในโลก อยู่ฝั่ง ‘ความฝัน’ แทบทั้งหมด ...ยกตัวอย่าง โตโยต้า ขายรถจริงๆ เยอะที่สุดในโลก แต่มูลค่าหุ้นกระจอกมาก เพราะ นักลงทุนไม่ยอมซื้อแพง เอา P/E ต่ำๆ ไป 

แต่ Tesla ขายรถจริงๆ ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ ‘ความฝัน’ ที่ขาย คือ เขาจะเอาชนะ รถน้ำมันทั้งโลก ...คุณเชื่อไหมล่ะว่า เขาคือ Apple แห่งวงการรถยนต์ ...นักลงทุนเชื่อครับ เอา P/E สูงสุดๆ ไปเลย ...เขาเอา P/E ราคาหุ้น และ เหรียญหมาของเขา วิ่งไปแตะดาวอังคาร 

- Crypto , DEFI และ Reddit ..ถ้าจะให้ตีความ ก็คือ พลังของนักลงทุนรายย่อย ที่มองว่า หุ้นเอ้าท์ มันต้อง Crypto แล้วพลังของการรวมตัวของรายย่อย มันสามารถปั่นอะไรก็ได้ ...ไม่ต้องมีพื้นฐานอะไรเลยก็ได้ ...ให้ราคาขึ้นทะลุฟ้าไปเลย

- ผมมานั่งคิดว่า ‘ทำธุรกิจ ทำทั้งชีวิตอาจจะรวย หรือ พ่อสร้าง ลูกรวย (ขอบเขต ความรวย ประมาณ 1 เด้ง) 

...เอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น อันนี้โคตรรวยในรุ่นเรา (ขอบเขต รวย ประมาณ 10 เด้ง) 

....ขายฝันให้นักลงทุน อันนี้รวยเร็วสุด ณ ตอนนี้ (ขอบเขต รวย 100 เด้ง) ...อนาคต ผมว่า ต้องมีอะไรเร็วกว่านี้ เพียงแค่เรายังไม่รู้ 

‘เดี๋ยว!! ผมไม่ได้จะมา สรุปว่า แบบไหนดี หรือแบบไหนไม่ดี’ ...แต่ผมแค่มานั่งคิดว่า คนแต่ละรุ่นมีกรอบความคิดที่ไม่เหมือนกัน

ซึ่งกรอบความคิดนี่แหละ คือ ‘กรอบในการสร้างโอกาสในชีวิตของแต่ละคน’ ทำให้ เราแต่ละคนมีข้อจำกัดในการรวยที่ไม่เท่ากัน

‘กล้ารวยไหม ? / ทนรวยเป็นหรือเปล่า ?’

...ถ้ากรอบคือ ของจริง ก็รวยได้แค่ของที่จับต้องได้ 

ถ้ากรอบ คือ ‘จะจับต้องได้ หรือไม่ได้ไม่สน’ ก็ต้องขายฝันได้ ...ความฝัน หรือ ความหวังแพงที่สุด และกำไรสูงสุด แต่มันต้องไม่ใช่การหลอกลวง ...ซี่งเอาตรงๆ ตลาดหุ้นในช่วงที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ มันก็คือ ‘ขายฝัน’ ขายความเป็นเจ้าของ ‘ซื้อหุ้นเท่ากับคุณเป็นเจ้าของบริษัท’ ซึ่งมันจับต้องไม่ได้เลยสำหรับคนสมัยก่อน

ถ้าพ่อแม่คุณคือ Baby Boomer แล้วคุณมาเล่นหุ้น ...คุณจะโดนด่าเละ เขาคิดว่า คุณทำอะไรไร้สาระ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้าพ่อแม่คุณเป็น Gen X แล้ววันนี้ คุณมาเล่น Crypto เขาก็จะมองว่า ...Bitcoin จะมาแทนทองคำ และ Coin อีกมากมาย จะมา Disrupt ระบบธนาคารและ การชำระเงินทั้งโลก ...เขาจะมองว่า ขายฝันน่า !!

เอาตรงนะ ...ทั้งหมดมันก็เรื่องเดียวกัน เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ 

ผมทำงานในตลาดหุ้น ก็เห็นเลยว่า 

ข้อจำกัด คือ ใครจะเอาหุ้นเข้าตลาด มีข้อจำกัดมีกฏต่างๆ มากมาย 

แต่ Crypto หรือ Coin ไม่มี ...ใครอยากออก ก็ออกได้เลย 

ก็แน่นอน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ..’ข้อดีคือโอกาสมันเพิ่ม ..ข้อเสียคือขยะมันเยอะ’

..ในฝั่งคนเล่น ....คนเล่นหุ้น เงินน้อยเสียเปรียบ เพราะ รายใหญ่เขามีเครื่องมือ Leverage ที่รายย่อยใช้ไม่ได้ เช่น Block Trade หรืออะไรต่างๆ นานา

แต่ Crypto เงินน้อยก็เริ่มได้ ...จะอัด Leverage ก็ทำได้เลย ...รวมตัวกันใน Social แบบอเมริกาใน Reddit ก็ปั่นหุ้น ปั่น Coin อะไรก็ว่าไป ...‘ประมาณว่า เม่า แปลงร่างเป็นเจ้าได้ เว้ยเฮ้ย!!’ 

ถ้าให้ผมเดานะ ...ตลาดหุ้นมันก็อยู่ของมันไป ...แต่คนรุ่นใหม่จะไป Crypto มากกว่า เพราะ ข้อกำหนดมันน้อยกว่า กฏหมายมันยังไปไม่ถึง ...แต่ ‘รอบตลาดของ Crypto มันจะถี่กว่า’ ...ขึ้นรุนแรง ลงเละ จะมีให้เห็นเยอะกว่าหุ้น

ในมุมมองผม ถ้าให้มองความเสี่ยงและโอกาส 

- ถ้าซื้อหุ้นพื้นฐาน หุ้นใหญ่ เราสามารถใช้เงิน ทั้งหมด 100% ซื้อได้เลย เพราะไม่ทีทางเจ๊ง แต่โอกาสแต่ละรอบมันอาจจะแค่ 1-2 เด้ง

- ถ้าซื้อหุ้นเล็ก เราอาจใช้เงินได้ไม่เกิน 50% เพราะ เสี่ยงกว่า ...แต่โอกาสการขึ้นแต่ละรอบ ก็ 5-10 เด้ง

- ถ้า Crypto เราอาจใช้เงินแค่ 10% เพราะ มันอาจเหลือศูนย์ได้เลย ...แต่ไอ้ 10% นี้ ถ้ามันขึ้นมันอาจขึ้น 10-50 เด้ง เลยก็ได้ 

....โถ่พี่แพ้ท มองแบบคนแก่ ...ถ้าพี่บอกโอกาสมัน 10-50 เด้ง ผมอายุน้อย เงินก็น้อย ผมก็ใส่มันไปทั้งหมดที่ผมมีนี่แหละ 

ใช่!! ‘ถ้ารวย น้องรวยเร็วกว่าพี่แน่นอน ...แต่ถ้าเจ๊ง พี่ไม่เจ๊งด้วยไง’ ...555 

มันก็คือ เรื่องเดียวกัน บนรูปแบบที่แตกต่างไป ....สุดท้ายนักลงทุนที่ดี คือ การกำหนดความเสี่ยงของตัวเองให้ชัดเจน ว่าแย่สุด ฉันจะเป็นอย่างไร ...เมื่อกำหนดเรียบร้อย ก็ถึงเวลา ลุยครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 16 เมษายน พ.ศ. 2564

มา Update "รอบใหญ่" ตลาดหุ้นไทยปี 2021 อยู่ตรงไหนแล้ว


 

"มา Update รอบของตลาดหุ้นไทยให้ดูกัน"

SET วันนี้ อยู่ใน "รอบที่ 5" ...ขาขึ้นรอบใหญ่ครั้งนี้ เริ่มต้นที่ มีนา 2020 ...หลายคนถามว่า การขึ้นรอบใหญ่ของตลาด โดยปกติ จะกินเวลากี่ปี "มันจะขึ้นกี่ปี จะได้ซื้อหุ้นให้ถูกต้อง ว่างั้นเถอะ!!"

ถ้าดูตามสถิติล้วนๆ เลย ...ขาขึ้นรอบใหญ่ ของหุ้นไทย ...ก็จะขึ้นอย่างน้อย 5 ปีขึ้นไป จากนั้น จะเริ่มปรับฐานอะไรก็ว่าไป

..ความยากของตลาดหุ้นคือ

1. "เราต้องรู้ว่า รอบใหญ่ตอนนี้คืออะไร" ...ก็ดูตามกราฟ รอบใหญ่ ของหุ้นไทยน่าจะอยู่ในขาขึ้นในรอบ 5 ปีนี้ (เริ่มมาปีนึงละ ...ที่เหลือก็ต้องลุ้นกันต่อ)

2. "เราต้องรู้ว่า แต่ละรอบ หุ้นแนวไหน จะขึ้นแรงสุด" ...หุ้นปันผล / หุ้น Growth / หุ้น Deep Value / หุ้น... ...เลือกกลุ่มถูก โอกาสชนะก็มีสูง

3. "เราคุมความเสี่ยงในการลงทุนอย่างไร ในหุ้นที่เราเลือกลงทุน" ...ผมว่าอันนี้สำคัญพอๆ กับ การเลือกหุ้นเลย ...เพราะ ถ้าเราเลือกหุ้นที่เสี่ยง การวางเงินก็ต้องไม่เสี่ยง คือ มันต้องตรงข้ามกัน ....หรือถ้าเราเลือกหุ้นที่ไม่เสี่ยง การเพิ่ม Leverage และ ใช้เครื่องมือทางการเงินอื่นๆ มาเพิ่มผลตอบแทน ก็ทำได้ โดยแทบไม่ได้เพิ่มความเสี่ยงของพอร์ตมากนัก

4. "ทนรวยได้ไหม" ...เอาตรงๆ ไม่ว่าจะเลือกแนวทางการลงทุนในแบบไหน ...การที่เราจะสามารถถือให้หุ้นขึ้นกำไรได้เยอะๆ ก็ขึ้นกับความสามารถในการ ทนรวย (ซึ่งมันก็คือ "ความเข้าใจ" ในการถือหุ้น ...ถ้าเราไม่เข้าใจ พอหุ้นแกว่ง ผันผวน นิดหน่อย เราก็คงจะขายทิ้งไปแล้ว ...ทนรวยไม่เป็นนั่นเอง)

5. "สุดท้ายเมื่อ รอบนี้ ผ่านไป เราได้เรียนรู้อะไรจากมัน" ...ผมว่า คนที่ลงทุนระยะยาว แล้วทนความผันผวนได้ ส่วนใหญ่รวยทุกคน จะมากน้อยนั่นแหละที่ต่างกัน แต่รวยขึ้นก็คือ คุณชนะแล้ว .....แต่ที่ผมว่า สำคัญมากในการเป็นนักลงทุน ก็คือ เมื่อเวลาผ่านไป เราได้เรียนรู้อะไรบ้าง ....ตลาดหุ้น มันสอนอะไรเรา อันนี้แหละ สำคัญที่สุด !!

"แล้วผมเรียนรู้อะไร จากรอบปี 2008 รอบที่แล้ว ซึ่งมาใช้ให้เป็นประโยชน์ในรอบนี้ 2020 บ้าง ?"

1. 'ผมได้เรียนรู้ว่า หุ้นที่ขึ้นเยอะๆ มักเป็นหุ้นที่ผมไม่ได้ซื้อ' ...ก็ไม่แปลก เพราะ ผมเลือกหุ้นเอาพื้นฐานดี ปันผลสูง หุ้นใหญ่ ...ก็เมื่อผมเลือกความมั่นคง ...การเติบโตก็ต้องน้อยเป็นธรรมดา

2. 'ได้เรียนรู้ว่า ในพอร์ตของเราเอง หุ้นที่เราซื้อเยอะ ดันขึ้นน้อย ...แต่หุ้นที่เราซื้อน้อย ดันขึ้นเยอะ' ...ผมได้เรียนรู้ว่า พอเรามีหลักการเยอะๆ สุดท้ายไอ้หลักการเหล่านี้ มันกลายเป็นจำกัด ให้เราไม่เติบโตเท่าที่ควร ...ไม่ได้บอกว่า ต้องไร้หลักการ ...แค่ลดหลักการลง โอกาสมันก็เพิ่มขึ้นแบบก้าวกระโดดแล้ว

3. 'หุ้นที่คิดว่าแพง พอขาย มันไปต่ออีกมหาศาลเลย' ...อันนี้ได้รู้เลยว่า เราทุกคนต้องเคยขายหมู ...ต่อไป เวลาขาย ก็จะต้องเหลือปลายนวมเอาไว้บ้าง ลดความเสียดาย

4. 'หุ้นจะพื้นฐานดีแค่ไหนก็ตาม เวลาขาลง มันลงเละเหมือนกัน' ...ช้อนแล้ว ช้อนอีก ..ยิ่งซื้อ ยิ่งได้ซื้อถูกลงเรื่อยๆ ...สุดท้ายเราได้หุ้นดีที่ลงหนัก มีเต็มพอร์ตเลย ....พอรอบใหม่มา ...ตัวนี้ไม่มา ...เพราะ หุ้นมันหนัก ...ผมได้เรียนรู้ว่า หุ้นพื้นฐานดีหรือไม่ดี ไม่สำคัญเท่า เราซื้อถูก รอบ คือ ซื้อในรอบขาขึ้นใช่หรือไม่

5. 'อยากรู้ว่า หุ้นลงต่ำสุดหรือยัง ไม่ได้ดูจากพื้นฐาน แต่ดูจาก แรงซื้อของรายใหญ่' ...หุ้นทุกตัวมีรายใหญ่ครับ ...ในขาลงมันจะลงไปเรื่อยๆ เพราะ รายย่อยขาย แต่รายใหญ่ไม่รับ ราคามันก็ไหลลงเรื่อยๆ ...หุ้นจะเปลี่ยนจากขาลงมาเป็นขาขึ้น ก็เมื่อ รายใหญ่เริ่มทยอยเก็บ ....ดูกราฟก็รู้แล้ว มันหยุดลง แล้วกราฟเริ่มเปลี่ยนจากขาลงเป็นขาขึ้น จากนั้น Volume การซื้อมันค่อยๆ เก็บคืน หุ้นมันก็เริ่มไหลขึ้น ...ง่ายๆ แค่นั้นแหละ ...สุดท้ายพื้นฐานมันก็จะดีตาม เหมือนมหัศจรรย์ !!! ...แต่ไม่ใช่อะไรมหัศจรรย์หรอก ก็แค่รายใหญ่ เขารู้ก่อนเรา ...หน้าที่เราก็คือ สังเกตว่า เขาทำอะไร จบแล้ว

6. 'หุ้นหนัก เบา มีผลต่อการเด้ง ของราคาหุ้น' ...อยากได้หุ้นหลายเด้ง ก็ต้องเลือกหุ้นเบา ....ความเบา มันเกี่ยวกับ Market Cap , จำนวนรายย่อยที่ติดหุ้น แล้วยังไม่ขาย (ทำให้หุ้นหนัก แล้วไม่ขึ้น แม้ว่าพื้นฐานจะดีก็ตาม) , ความช้ำ (ยิ่งหุ้นนี้เคยทำให้คนเสียหายติดดอยมาเยอะๆ มันก็ยิ่งช้ำ) , อัตราการเติบโตของ Net Profit ยิ่ง Growth เยอะ หุ้นยิ่งเบา เพราะ ไม่มีใครอยากขาย มีแต่คนอยากซื้อเพิ่ม

ก็ประมาณนี้ ...ผมก็เอาหลักการนี้ มาปรับวิธีการลงทุนของผม เพื่อให้รับกับโอกาสการลงทุนในปี 2021 นี้

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 15 เมษายน พ.ศ. 2564

7 ความเข้าใจ สุดยอดกับไม่เอาไหน ใกล้กันนิดเดียว


7 ความเข้าใจ ‘สุดยอด กับ ไม่เอาไหน ใกล้กันนิดเดียว’

..เราทำงานหนัก หัวหน้าเราก็ทำงานหนัก ..ส่วนมากผู้บริหารทำงานหนักกว่าและรับผิดชอบสูงกว่า ...แต่ ‘เจ้าของ’ นี่ดิ ที่น่าศึกษา 

คนที่มีเวลาว่างมากสุด สามารถไปตีกอล์ฟตอนที่เราทำงาน แถมได้เงินมากที่สุด ...รวยสุด ว่างสุด นั่นแหละ ‘เจ้าของ’ 

เรามาดูกันซิว่า พวกที่ทำงานก็น้อย เงินก็เยอะ ...มันต่างกับเรา มันวิเศษตรงไหนฟระ !!! 

(ไอ้ Lucky Sperm!!!)

เดี๋ยวๆ ...อย่า เพิ่งใส่อารมณ์ โลกนี้มันไม่เคยแฟร์อยู่แล้ว ...หน้าที่เรา คือ หาให้เจอว่า ตรงไหนล่ะ ที่เราควรเข้าไปอยู่ ...’เออ!! จะได้สบายไง!!’ 

1. ‘เข้าใจบทบาทในโลกการทำงาน 3 ระดับ’ ..ว่ามี หนึ่ง ลูกจ้าง (งานหนักเงินน้อย) สอง ผู้บริหาร (งานหนัก เงินมาก เหนื่อยชิหาย) กับ สาม เจ้าของ (งานเบา เงินหนัก สบายเว้ย) 

2. ‘ถามตัวเองซิว่า วันนี้เราจะพาตัวเองไปเป็น เจ้าของ เริ่มที่ไหน’ ...หลายคนอาจจะบอกว่า เริ่มจากการไปเปิดธุรกิจของตัวเอง ...เออ!! ยากไปไหมอ่ะ ? ...เอาง่ายสุดเลยนะ เริ่มจากไปซื้อหุ้น เป็นเจ้าของ ลองเล็กๆ ก่อน แล้วค่อยๆ ศึกษา พัฒนาดีกว่าไหม 

3. ‘ตั้งโจทย์ว่า ปีนี้ ฉันจะทำงานเบาลง โดยได้งานเท่าเดิม ได้อย่างไร’ ...เหมือนจะคิดแบบคนขี้เกียจ แต่สิ่งนี้เรียกว่า Productivity ...ถ้าเราไม่ได้ทำผลงานเพิ่ม ทุกปีเราควรคิดวิธีให้เรา ออกแรงลด ใส่เวลาน้อยลงได้ไหม ?

4. ‘เอาเวลาที่เพิ่มขึ้น จากการทำงานเบาลง ไปหาวิธีสร้างรายได้เพิ่ม’ ...อันนี้คือ ที่เขาสอนๆ กัน เอาเวลาว่าง หรือ งานอดิเรก ไปเพิ่มโอกาสในการสร้างรายได้ ...แต่ต้องเข้าใจว่า รายได้มันมีทั้ง Active กับ Passive ...เอาตรงๆ ถ้าเรามีงานประจำอยู่แล้ว งานเสริมให้เรา Focus ไปที่การสร้าง Passive น่าจะดีกว่านะ ...คนเราไม่ใช่ Superman จะทำทุกอย่าง หนักๆ ได้ตลอด จริงไหม 

5. ‘ลองไปคุยกับไอ้คนที่คิดแบบเรา อย่านั่งคิดคนเดียว’ ...ไปคอแลปกัน ...เดี๋ยวนี้ ธุรกิจ หรือ Brand ต่างๆ เขาก็ไป คอแลป กัน ...คนเดียวมัน หัวเดียวกระเทียมลีบ หาเพื่อนที่คิดแบบเรา (มาถึงจุดนี้ คุณน่าจะเริ่มเปลี่ยนกลุ่มเพื่อนละ เพราะ กลุ่มเดิม น่าจะคุยกันไม่ค่อยรู้เรื่อง)

6. ‘วัดผลครับ’ ...ทำอะไรมา ก็ต้องวัดผล ว่าตกลงที่ทำมา มันดีขึ้น โอกาสเพิ่ม รายได้เพิ่ม หรือ เหนื่อยเปล่า หนี้เพิ่ม ซวยเพิ่ม ....วัดผล ก็เพื่อจะได้รู้ตัวเอง เพื่อปรับปรุงแก้ไข 

7. ‘งานเบาลง เงินมากขึ้น เวลาเพิ่มขึ้น ใช่หรือไม่ ?’ ...ถ้าใช่ ก็นั่นแหละ มาถูกทางละ ...เราจะเริ่มเข้าใจแล้วว่า ไอ้คนที่สบาย มันเหนื่อยมาก่อน จนมันรู้ช่อง ...แล้วมันก็ผ่านไปได้ 

‘เจ้าของ’ ..สบาย ...เงินเยอะ ...คุณก็เป็นได้ ถ้าตั้งใจเดินไปในเส้นทางนั้นครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


 

ความมั่นคงทางการเงิน อยู่ที่การสร้างเครือข่ายของการสร้างรายได้



 ‘ความมั่นคงทางการเงิน อยู่ที่การสร้างเครือข่ายของการสร้างรายได้’ 

ตั้งแต่เด็ก เรามักถูกสอนว่า ‘เรียนเก่งๆ จะได้เงินเดือนสูงๆ แล้วชีวิตจะร่ำรวยมั่นคง’ ...แต่ชีวิตจริงมันตรงข้าม ...พอเราเงินเดือนสูงขึ้น เราก็ซื้อของแพงขึ้น กินแพงขึ้น อยู่แพงขึ้น ...ใช่!! ยิ่งเงินเดือนสูง ยิ่งสามารถสร้างหนี้ได้มากขึ้น

หนี้รถก็หลายล้านละ ...หนี้บ้านหลายสิบล้าน ...หนี้บัตรเครดิตไม่ต้องพูดถึง เยอะชิหาย !! 

ผิดครับ !! จะว่า ถูกสอนมาผิด หรือ เราเข้าใจผิด มันก็ซวยแบบที่เป็นนี่แหละ 

มาดู การสร้างความมั่นคงทางการเงิน ที่ถูกต้องคืออะไร ?

1. ‘รายได้ ไม่สำคัญ เท่าเหลือเงินลงทุนต่อเดือนเท่าไหร่’ ...ลองคำนวณ เงินเริ่มต้นดู ว่าจริงๆ เรามี กระสุน เริ่มต้นจริงๆ เดือนละกี่บาท

2. ‘เราลงทุน หรือ แค่เสี่ยงดวงไปวันๆ’ ...คนส่วนใหญ่คิดว่า การซื้อหวยคือ ลงทุนให้วันนึงจะรวย , เล่นหุ้นปั่น แล้วคิดว่า หุ้นตัวนี้จะพาเรารวย , ซื้อคริปโต แล้วคิดว่ามันจะเปลี่ยนชีวิต ....ส่วนใหญ่ไม่ใช่เลย ....ที่ถูกต้องคือ ต้องดูว่า สิ่งที่เราลงทุน มันเหมาะกับการลงทุนจริงๆ หรือไม่ ?

3. ‘เสี่ยงดวง คือ รางวัลใหญ่ ใช้เงินน้อย โอกาสชนะต่ำ’ ...นี่คือ นิยามของเสี่ยงดวง

4. ‘ลงทุน คือ รางวัลพอได้ ใช้ความสม่ำเสมอ และ โอกาสชนะสูง’ ...นี่คือ นิยามของการลงทุน

5. ‘ต้องตอบโจทย์ทุกครั้งที่ลงทุน ว่า นี่คือ โอกาสในการสร้างรายได้ แบบสม่ำเสมอใช่หรือไม่’ ...ยกตัวอย่าง ถ้าผมจะลงทุนซื้อหุ้นสักตัว ต้องถามว่า ผมต้องทำงานหนักเพื่อหุ้น (หมั่นซื้อขาย เฝ้าดูตลอด เครียด) หรือ หุ้นต้องทำงานหนักให้ผม (อยู่เฉยๆ ถือๆ ไปก็ได้เงิน)

6. ‘ผมจะหาการลงทุนแบบข้อ 5 เพิ่มขึ้นได้ยังไง’ ...การหาโอกาสรวยจริงๆ คือ การหาโอกาสลงทุนที่ การลงทุนทำงาน หาเงินแทนเรา เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

7. ‘ไม่สร้างหนี้ ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ หรือ ไม่สร้างหนี้เลย’ ....ยุคนี้มีวิธีหาเงินทุนมากมาย ที่เจ้าของไม่ต้องจ่ายเอง ...ไปดูซิ ว่าเขาทำกันยังไง ? ‘OPM’ , ‘Crowdfunding’ , ‘IPO’ , ‘Angle’ , ‘VC’ ...เยอะแยะ 

แต่เช็คก่อนว่า นั่นไม่ใช่แชร์ลูกโซ่นะ (การันตีผลตอบแทนสูง จ่ายสม่ำเสมอ ได้เพิ่มเมื่อหา Downline ...นี่มันแชร์ลูกโซ่ 100%)

8. ‘สร้างเครือข่ายการสร้างรายได้ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด’ ...ถ้ามันดีจะหยุดทำไม ...ไม่มีคำว่า เกษียณ สำหรับการลงทุน ....เช่น ถ้าเราหาหุ้นเก่ง เราก็หาไปเรื่อยๆ ซื้อให้พอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆ ...ไม่เห็นต้องเลิก ...ถึงไม่ขายเราก็ได้ปันผล เงินมันก็โตไปเรื่อยๆ

ก็หลักๆ 8 ข้อนี้แหละ ...สามารถสร้างความมั่นคงทางการเงิน โดยที่เราเริ่มได้เลย ไม่ต้องรอให้รวย เพราะ มันเริ่มจากเงินน้อยได้เลย

สะสมไปเรื่อยๆ ...สร้างไปเรื่อยๆ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



จะรู้ได้ไงว่า หุ้นจะขึ้นครั้งใหญ่ หรือ จะลงครั้งใหญ่


‘จะรู้ได้อย่างไร ว่า สิ่งที่เราลงทุน มันกำลังจะขึ้นครั้งใหญ่ หรือ มันกำลังจะลงครั้งใหญ่’ 

...เดี๋ยวนะ มันยากขนาดนั้นเลยหรือ ที่จะไม่รู้ว่า สิ่งที่เราลงทุน มันจะขึ้นครั้งใหญ่ หรือ ลงครั้งใหญ่ 

เอาตรงๆ นะ ...ก่อนที่อะไรจะลงครั้งใหญ่ เชื่อไหมว่า มีคนเพิ่งทุ่มซื้อหมดตัว เพราะ คิดว่า มันจะขึ้นครั้งใหญ่ ...ผลลัพธ์น่ะเหรอ ? ....’หมดตัวซิครับ ถามได้!!’ 

แต่ความแปลก คือ ‘คนเราทำไม สามารถตัดสินใจผิดพลาดแบบรุนแรงขนาดนั้นล่ะ ?’ ...มาดูกัน

1. ‘ก่อนการขึ้นครั้งใหญ่ มันต้องผ่านการลงครั้งใหญ่มาก่อน’ ...ไปดูสถิติก็จะเห็นเลยว่า มันมักจะมีการลงครั้งใหญ่ ก่อนขึ้นครั้งใหญ่ 

2. ‘ก่อนการขึ้นครั้งใหญ่ เป็นจุดที่รายย่อย ตัดสินใจ Cut Loss’ ...แปลว่า การขึ้นครั้งใหญ่ จะไม่ค่อยมีรายย่อย เพราะ รายย่อยได้ตัดสินใจ Cut Loss ขายไปเรียบร้อยแล้ว 

3. ‘จุดเริ่มต้นของการขึ้นครั้งใหญ่ คือ จุดที่มีข่าวร้ายสูงสุด’ ...ใช่!! ข่าวร้ายสูงสุด คือ จุดต่ำที่สุดของราคานั่นเอง

4. ‘ก่อนการลงครั้งใหญ่ มันต้องผ่านการขึ้นครั้งใหญ่มาก่อน’

5. ‘ก่อนการขึ้นครั้งใหญ่ เป็นจุดที่รายย่อย ตัดสินใจ ขายบ้าน ขายรถ เพื่อจัดเต็ม!!’ 

6. ‘จุดเริ่มต้นของการลงครั้งใหญ่ เป็นจุดที่มีข่าวดีมากๆ และ มวลชนมั่นใจสุดๆ’ 

จะเห็นได้ว่า ‘ก่อนขึ้น’ และ ‘ก่อนลง’ มันต่างกันสุดๆ ...มันตรงข้ามกันเลยก็ว่าได้ 

คราวนี้ คุณลองกลับมาสำรวจ พอร์ตหุ้น อสังหา ทอง คลิปโต ที่คุณลงทุน ...ลองพิจารณาดีๆ ซิครับว่า ‘ไอ้ที่เราลงทุนอยู่ มันกำลังจะขึ้นครั้งใหญ่ หรือ ลงครั้งใหญ่’ 

‘เฮ้ย!! งง ดิ’ 

ทั้งที่มันแตกต่าง ตรงข้าม แต่เราก็ยัง งง อยู่ดี ...ภาวะนี้เรียก ‘กรรมมันบังตา!!’ ...เฮ้ย!! ไม่ใช่กรรม ...มันคือ Ego บังตา ผสม กับความโลภ ...ผสมความ Bias อีกเล็กน้อย 

มันก็สามารถบิดเบือน ความจริงได้หมด ...นี่คือ เสน่ห์ของการลงทุน 

‘บางครั้งเราอาจจะคิดผิดสุดๆ แบบที่เรายังมั่นใจว่าเราคิดถูก’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






 

หุ้นและคริปโต ขึ้นแรงขนาดนี้ แล้วเราต้องกลัวอะไร


 

‘ตลาดหุ้น และ คริปโต ขึ้นแบบนี้ แล้วเราจะกลัวอะไร !!!’

...เจ๊งมาเยอะแล้วครับ คนที่พูดแบบนี้ 

คุณรู้ไหมว่า หุ้นบางตัวขึ้นเป็น สิบๆ เด้ง ยังมีคนเจ๊งได้เลย

ไม่ต้องอะไรหรอก หุ้นบางตัวขึ้น 100 เด้ง ก็ยังมีคนเจ๊งเลย ...หรือ คริปโต ขึ้นเป็นร้อยๆ เท่า ...เฮ้ย !! มีคนเจ๊งครับ

‘สงสัยไหมว่า เจ๊งได้ไง’ ...มาดูกัน 

1. ‘Over Leverage’ ...กู้มาเล่น ...มี 10 บาท เก๊ง 100 บาท ...คิดง่ายๆ ไอ้ที่เราซื้อ แค่ราคาย่อมา 10% เราก็หมดต้วแล้ว ...ถามหน่อยว่า หุ้น หรือ คริปโต ที่ซื้อมีโอกาสมากน้อยแค่ไหนที่สามารถราคาย่อลง 10% ...ตอบว่า ‘ทุกวัน มีโอกาสขึ้นลงเกิน 10% เป็นเรื่องปกติ’ ....แปลว่า คนที่ Over Leverage มีโอกาสเจ๊งทุกวัน

 (เออ!! ถ้าเราเปิดประตูความเสี่ยงเจ๊งไว้ทุกวัน ...แล้วมันจะไม่เจ๊งหรือ ?!?)

2. ‘Over Confident’ ...คือ ‘มั่นใจเกินไป’ ...ไม่ดีตรงไหนล่ะ ความมั่นใจ ? ...ถ้าทำงาน มันดีครับ มีความมั่นใจ แต่ถ้าการลงทุน มันไม่เหมือนกัน ...การลงทุนมันเหมือนคุณเต้นระบำกับความเสี่ยง ...เผลอเมื่อไหร่ หนักครับ ...โดนหนักแน่นอน

 ....เช่น ครั้งนี้ลงไม่หนักหรอก เดี๋ยวก็ขึ้น ...เชื่อผม หนักครับ คุณจะโดนหนักกว่าที่คิดเสมอ หากคุณคิดแบบนี้ 

...กราฟทรงแบบนี้ ลงไม่จริงหรอก ..เจ้าตบหลอก พอรายย่อยขาย เดี๋ยวเขาก็เอาขึ้น ...ไม่ใช่ครับ !! เจ้าตบมรึงนั่นแหละ ตบจริงๆ แล้วเขาก็ไม่เอาขึ้นด้วย ..ลาก่อนเม่าน้อย !!

3. ‘จัดหนัก’ ...เคยไหม เราเชื่อว่า หุ้นนี้ มาแน่ (เจ้าของบอกผมเองกับปากเลย) ..ไอ้เรา ก็ จัดเต็ม มีเงินเท่าไหร่ ก็มาลงหุ้นตัวนี้แหละ ...หมายมั่นว่า นี่คือ ‘การเสี่ยงครั้งสุดท้ายของชีวิต เดี๋ยวรวยแน่’ ....ฟันธง !! ซวยแน่นอน ...เมื่อใดที่คุณตัดสินใจ ‘จัดหนัก’ เราก็จะโดนหนักที่สุดในชีวิต 

(ไม่เชื่อใช่ไหม ? ....ลองจัดหนักดูซิครับ แล้วเราจะได้เรียนรู้สัจธรรมอันสูงสุดของตลาดหุ้น คือ อะไรที่ซื้อเยอะ ซวยครับ ...อะไรซื้อน้อย มันพุ่งขึ้นบ้าคลั่ง ...อะไรของมรึง !!) 

แค่ 3 ข้อ ที่ว่ามานี้ ก็หนักแล้วครับ ....หลายคนอาจจะสงสัยว่า ไอ้เรื่องแบบนี้ มันจะเกิดกับทุกคนเลยหรือ 

‘โดนทุกคน อย่างเท่าเทียม จริงๆ’ ...ไม่!! คุณไม่ใช่คนแรกที่โดน ...และ คุณก็ไม่ใช่คนสุดท้ายที่จะโดน สบายใจได้ 

เมื่อเราโดนแล้ว เราจะเจ็บเจียนตาย 

...ใครผ่านได้ เดี๋ยวก็ดีครับ ‘รวยๆ ...รวย ...จัดไป’ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2564

2 เป้าหมาย ที่ยากที่สุดในชีวิต


 

2 เป้าหมาย ที่ยากที่สุดในชีวิต 

หลายคนพูดว่า ‘ชีวิตก็คือการตั้งเป้าหมาย’ ...พอเราไปถึงเป้า เราก็ต้องเริ่มหาเป้าหมายใหม่ 

ก็ใช่นะ !! ...แต่เอาจริงๆ เรามาดูเป้าหมายหลักของคนทั้งโลกใบนี้ ว่ามันคืออะไร ?

1. ‘ผมอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ต้องลำบากอีก’ ...ถ้าคุณไม่ได้เกิดมารวย นี่คือ เป้าหมายที่สำคัญที่สุดในชีวิตเลยแหละ ...เอาตรงๆ ทุกคนล้วนอยากให้พ่อแม่สบาย ไม่ลำบาก ซึ่งโคตรยากเลย ...ยุคนี้แค่ตัวเราเองยังไม่รอดเลย ...ใครก็ตามที่สามารถไปถึงเป้าหมายนี้ได้ โคตรฟิน ...คุณคือ Top 10% ของโลกใบนี้เรียบร้อย 

โอเค!! เป้าต่อไป มาดูกัน 

2. ‘อยากให้พ่อแม่ภูมิใจ ในตัวเรา’ ...อันนี้ยากหนักเลย ...โดยเฉพาะลูกคนรวยที่มีพร้อมทุกอย่าง ...พ่อแม่จะมองลูก กากมากๆ มรึงมันไม่เอาไหน ...หายใจทิ้งๆไป อย่าสร้างปัญหาให้พ่อแม่ ก็จะดีมากแล้ว ...โคตรเจ็บ!! ....ปัญหานี้ ยากกว่า ข้อแรก เพราะ ข้อแรก มันแก้แค่เรื่องเงิน แต่อันนี้มันไม่ใช่เรื่องเงิน มันเป็นเรื่องของจิตใจ 

ก็ลองสำรวจดูว่า เรากำลังตอบโจทย์เป้าหมายใด ...ก็เอาใจช่วยให้สำเร็จกันทุกคนครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


4 สิ่ง ต้องบริหาร สู่ชีวิตสำเร็จ พุ่ง ปรี๊ด


 

4 สิ่ง ที่ต้องบริหารสู่ความสำเร็จในชีวิต พุ่ง !! ปรี๊ด !! 

มีอะไรบ้าง ‘ความขยัน / ความอดทน / ความฉลาด และ ความเสี่ยง’ 

ทั้ง 4 อย่างนี้แหละ ที่ทำให้แต่ละคนสำเร็จไม่เท่ากัน ...มาดูกันเลยครับ

1. ‘ความขยัน’ ...ผมว่า อันนี้ทุกคนทำได้ถ้าจะทำ ...ใครเริ่มต้นไม่ขยัน มันจบตั้งแต่วันแรกแล้ว ไม่ต้องคิดอะไรต่อ ...ถ้าจะเริ่มเดินทางสู่ความสำเร็จ เราต้องเริ่มจากขยันครับ 

2. ‘ความอดทน’ ...ขยันวันเดียวมันคงไม่สำเร็จ ต้องขยันต่อเนื่อง อันนี้เรียกว่า ความอดทน ...เราอาจจะเคยได้ยินคำพูดที่ว่า ‘อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน’ ...ถูกครึ่งเดียวยุคนี้ เพราะ ความอดทนพาเรามาได้แค่ครึ่งทางในโลกยุคปัจจุบัน

3. ‘ความฉลาด’ ...ต้องพูดให้ชัดว่า ฉลาดในยุคนี้ คือ ‘รู้ว่า เราเก่งอะไร จากนั้น ใส่พลังในสิ่งที่เราเก่ง ...ผลลัพธ์ก็คือ เราจะทำงานน้อยลง แต่ได้ผลลัพธ์ที่มากขึ้น’ ...ตรงนี้สำคัญมากในโลกที่เต็มไปด้วยคนเก่ง ...เอาตรงๆ นะ คุณเก่ง แต่คนอื่นๆ เขาก็เก่ง เหมือนกัน ....ถ้าเราจะไปต่อ เราต้องบริหารความเก่งให้ฉลาด ก็คือ ต้องใส่เวลาและพลังของเราไปในสิ่งที่เราเก่ง ชีวิตเราถึงจะพุ่ง !! ...ฝรั่งเรียกความฉลาดแบบนี้ว่า Work Smart นั่นเอง 

ลองสำรวจดูว่า วันนี้เราขยัน อดทน แล้ว เรา Work Smart ...หรือเราแค่ Work Hard มันเลยไม่ไปไหน ?

4. ‘ความเสี่ยง’ ...อันนี้ยากสุด โดยเฉพาะ คนรุ่นเก่า (อย่างผม) เราจะถูกสอนว่า ‘ปลอดภัยไว้ก่อน ทำอะไรห้ามเสี่ยง’ ...เอาตรงๆ นะ ใครคิดแบบนี้ ในโลกยุคนี้ ไม่มีทางรวยเลย โคตรเศร้า !!!! ....เพราะ โอกาส ทุกอย่างในโลกปัจจุบัน มันซ่อนอยู่ในความเสี่ยงทั้งหมด ...ยกตัวอย่าง คุณกล้าซื้อหุ้น ในเวลาที่มีแต่ข่าวร้าย และ มีแต่วิกฤตไหมล่ะ ...นั่นแหละ จุดที่ราคาหุ้นถูกที่สุด ...ไม่ใช่เฉพาะหุ้นนะ ทุกอย่าง ข่าวร้าย คือ จุดที่ถูกที่สุด

แค่นี้แหละ 4 ข้อ ...เราลองสำรวจตัวเองซิว่า จริงๆ เราติดข้อไหน จากนั้น แก้ข้อนั้น ปั๊บ ชีวิต พุ่งเลย !! พุ่งปรี๊ด !!! ...ลองดู จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 มาตรวัด คัดสินทรัพย์ เพื่อลงทุน


 

6 มาตรวัด คัดสินทรัพย์ เพื่อลงทุน 

เดี๋ยวนี้การลงทุน มีหลากหลายขึ้น อสังหา , หุ้น , ทอง , คริปโต , ธุรกิจ , รถ , นาฬิกา และ ของสะสมต่างๆ 

เอาตรงๆ นะ ...สิ่งที่ทำให้เราเป็น ‘นักลงทุน’ มันไม่ใช่สิ่งของที่เราไปลง แต่มันคือ 6 ข้อนี้ต่างหาก 

มาดูกัน 

1. ‘เราซื้อสิ่งนั้นเก็บไว้แล้ว มูลค่ามันเพิ่มขึ้นใช่หรือไม่’ ..นาฬิกาบางรุ่นราคามันเพิ่มขึ้น อันนี้ก็คือการลงทุน ...ส่วนบางคนติดหุ้นปั่น ปันผลก็ไม่มี แต่ก็ปลอบตัวเองว่า นี่คือการลงทุน มันก็ไม่ใช่รึเปล่า 

2. ‘ขายได้จริงๆ รึเปล่า’ ...อันนี้บางคนมีของสะสม ก็บอกว่า ราคาขึ้นไปเท่านั้นเท่านี้ ...เอาตรงๆ นะ มันสำคัญตรงที่ เวลาจะเปลี่ยนเป็นเงินจริงๆ มันขายได้รึเปล่า ...อย่างที่ดิน บางที่ บอกราคาขึ้นมหาศาล แต่พอร้อนเงินจะขาย มันขายไม่ได้ อันนี้ต้องดูดีๆ นะ (ราคาคุย กับ ของจริง มันต่างกันเยอะมาก)

3. ‘เรามีความรู้ในเรื่องนั้นๆ จริงๆ และ สามารถทำกำไรอย่างสม่ำเสมอในสิ่งนั้นๆ ใช่หรือไม่’ ...บางคนโชคดีไปซื้อของที่เผอิญมันเป็น Limited Edition แล้วก็ราคาขึ้น ก็หลงคิดไปว่า ตัวเองเก่ง ...ตัววัดที่ถูกต้องคือ เราทำกำไรอย่างต่อเนื่องต่างหากที่ถือว่าเราของจริงในเรื่องนั้น 

4. ‘ของสิ่งนั้นมีจำนวนจำกัด’ ...เบื้องต้นของคำว่า Asset หรือ สินทรัพย์ที่นักลงทุน ภูมิใจหนักหนา ...หลักๆ ก็เพราะว่า สิ่งนั้นมันมีจำนวนจำกัด ราคามันถึงเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

5. ‘มีคนต้องการสิ่งนั้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ’ ...ถ้าของมันมีจำนวนจำกัด แล้วก็มีคนอยากได้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ราคามันก็จะพุ่งขึ้นไปเรื่อยๆ ...หลายคนอาจจะถามว่า ‘เงิน’ ใครๆ ก็อยากได้ แต่ทำไมมูลค่ามันถึงลดลงตลอดเวลา ...ก็ข้อ 4 มันไม่ผ่านไง ‘เงิน มันพิมพ์เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยรัฐบาลนั่นไง’ 

6. ‘ความคงอยู่ มั่นคง ของสิ่งนั้น’ ...อันนี้เป็นตัววัดคุณภาพของสินทรัพย์ บางอย่าง จำนวนจำกัด ราคาขึ้นก็จริง แต่มันไม่ยั่งยืน ...ของแบบนี้ ก็อาจไม่เหมาะในการเก็บสะสมระยะยาว หรือ ส่งต่อเป็นมรดกให้ลูกหลาน ....สินทรัพย์ที่สุดยอด มันต้อง ‘รวยข้ามรุ่น’ ส่งต่อได้ว่างั้น

จะเห็นได้ว่า Asset ใหม่ๆ เกิดขึ้นในโลกมากมาย ทั้งที่เป็น Asset โดยธรรมชาติ อย่าง ที่ดิน ทองคำ หรือ Asset ที่มนุษย์สร้างขึ้น อย่าง หุ้น คริปโต และ ของสะสม ...ทั้งหมดก็ควรใช้ ข้อ 6 ที่กล่าวมา ในการพิจารณาคุณภาพ และ ใช้ Asset นั้น ให้เหมาะกับวัตถุประสงค์ของเรานั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอังคารที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2564

4 หลักการเจ๊งหุ้นสะบัด เล่นยังงี้ไม่น่ารอด


 

4 วิธี เจ๊งหุ้นสะบัด มีร้อยล้านก็เหลือศูนย์ได้ 

เขียนวิธีรวยหุ้นมาเยอะละ ..มาเขียนวิธีเจ๊งหุ้นกันบ้างดีกว่า

จากเงินร้อยล้าน ให้หมดตัวในเดือนเดียว เขาทำกันอย่างไร ?

1. ‘ซื้อหุ้นตัวเดียว’ ...การซื้อหุ้นตัวเดียว เวลาได้ก็เต็มๆ อ่ะนะ แต่พอพลาดก็หมดตัวเลย 

2. ‘เชื่อว่าตัวเองมี inside’ ...อันนี้เป็นตัวเร่งให้ข้อ 1 เจ๊งสะบัด ..คนมีศูนย์เงินเก็บทั้งชีวิต เงินครอบครัว เงินก้อนใหญ่ๆ ส่วนใหญ่ก็มาจาก คิดว่า ตัวเองสนิทหรือรู้จักเจ้าของ เจ้ามือ ...สุดท้าย เพื่อรักหักเหลี่ยมโหด (อันนี้ประจำครับ ตลาดหุ้น) ...หักกันโหดๆ รองจาก การเมือง ก็ตลาดหุ้นนี่แหละ !!

3. ‘เล่นสินค้า Leverage แบบไม่มีความรู้’ ...สินค้า Leverage ก็เช่น การยืมเงิน Broker เล่นหุ้น ที่เขาเรียกว่า Margin ...อย่างที่เล่นแล้ว สุดท้ายติดลบ ติดหนี้โบรกเกอร์ ก็อย่าง TFEX ...รายใหญ่หน่อยก็พวก Block Trade ...จริงๆ ไม่ได้ห้ามนะ เพียงแต่เวลา เราเก็งกำไรมากกว่าเงินที่เรามี โอกาสหมดตัว หรือ ติดลบ มันก็มีสูงน่ะ

4. ‘ซื้อถัวหุ้นขาลง’ ...ยิ่งหุ้นลง ยิ่งซื้อ แถมจัดหนักๆ ตัวเดียว นี่คือ หมดตัวกันมาเยอะแล้ว ...ถ้าย้อนดูประวัติศาสตร์ จะเข้าใจเลยว่า ‘เวลาหุ้นขาลง มันสามารถลงลึกแบบที่เหลือเชื่อได้ ...เราเคยเห็นหุ้นร้อยบาท ลงเหลือไม่ถึง 10 บาท ...แค่นี้ ใครทยอยซื้อขาลง ก็เจ๊งสะบัดแล้ว!!’ ...ไม่ต้องพูดถึง พอเราเจ๊งไปแล้ว ขายทิ้ง หุ้นตัวนี้ กลับตัว วิ่งขึ้นเทรดที่ 100 ใหม่ ...โชคไม่ดีเลยเรา !!! (เอาตรงๆ นะ ไม่เกี่ยวกับโชคอะไรเลย ...ก็ดันซื้อผิดจังหวะ มันก็ซวยทุกคนแหละครับ)

หลักๆ ที่เจ๊งหนักๆ ก็มาจาก 4 แบบนี้แหละ ...ลองสำรวจตัวเองว่า เข้าข่ายไหม ? ...ถ้าเราเริ่มจะเข้าแนวทางข้อใดข้อหนึ่ง นี่ต้องรีบระวัง 

แต่ถ้าใครมีครบ 4 ข้อ ....คุณเทพมาก !!

แล้วถ้าใครมีครบ 4 ข้อ เจ๊งไปแล้ว ...แต่ยังทนเล่นหุ้นอยู่ ...คุณโคตรอึด ...เดี๋ยวมันต้องมีวันของคุณ !!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

จาก 5 ล้านเป็น 500 ล้าน ใน 5 ปี เขาทำกันยังไง ?


 

อยากเป็นเซียนหุ้น มันจะยากตรงไหน กะอีแค่ ค่า P/E !!

...ไหนๆ เล่าให้ฟังลึกๆ หน่อย ...โอเค ‘จัดไป’

‘แค่ P กับ E ทำไม มันวิเคราะห์ยากจัง ?’

..ตัว P คือ Price ..ก็คือ ราคาที่เราซื้อนั่นเอง ...ส่วน E คือ Earning หรือ กำไรของหุ้น ...พอเอามาหารกันก็เกิด P/E 

ก็พอจะรู้คร่าวๆ ว่า ‘ถ้าซื้อหุ้นราคานี้ กี่ปีคืนทุน?’ ...หรือ ‘นักลงทุนยอมซื้อหุ้นตัวนี้แพงกว่า กำไรต่อหุ้น กี่เท่า ?’ 

นั่นแหละ ...มันแค่นั้นเอง แต่ความยาก คือ ‘แล้วจะวิเคราะห์ยังไงให้เกิดประโยชน์กับเราต่างหากที่ยาก!!’ 

- ‘Price ในตลาดหุ้น มันแกว่งมาก’ ...เราจะรวยหรือจนอย่างรวดเร็ว ก็เกิดจากการแกว่งของ Price นี่แหละ ...ตัวกำหนด Price คือ Growth ...อัตราการโตของกำไร หรือ E นั่นแหละ 

ถ้า E โตไว ...ลื้อก็สบาย (ไปถาม อาแป๊ะ ดิ) ...เฮ้ย!! ใช่เหรอวะ ?!?

ใช่!! ...ถ้า E โตเร็ว คนยิ่งยอมซื้อแพง P/E ยิ่งสูง 

พวกเซียนหุ้นที่พอร์ตโตเร็ว มันโตจาก การซื้อหุ้นที่ E โตเร็วๆ แล้วทนถือ ‘ทนรวย’ ...พอมัน คูณกับ P/E ที่สูง ...ราคาหุ้นมันเลยพุ่งกระฉูด

ยกตัวอย่าง : หุ้น A กำไร 50 ล้าน ถ้า P/E 10 เท่า ...มูลค่าบริษัทก็คือ 10 คูณ 50 ก็เท่ากับ 500 ล้านบาท 

สมมุติเซียนหุ้นคนนึง เข้าไปซื้อหุ้นตัวนี้ 1% ของบริษัท ก็จะใช้เงิน 5 ล้านบาท จากนั้น ทนรวย ถือไป!! ในขณะที่กำไรโตอย่างรวดเร็ว 

ปีที่สอง สมมุติกำไรบริษัทโตขึ้นมาเป็น 100 ล้าน คราวนี้นักลงทุน อาจยอมซื้อแพงขึ้นที่ P/E 30 เท่า ...มูลค่าบริษัทก็จะเพิ่มเป็น 3,000 ล้าน ....เซียนหุ้นคนนั้นถือ 1% ก็แปลว่า พอร์ตเขาโตขึ้นมาเป็น 30 ล้านแล้ว 

ปีที่สาม สมมุติกำไรบริษัทโตขึ้นมาเป็น 150 ล้าน คราวนี้นักลงทุน อาจยอมซื้อที่ P/E 40 เท่า ...มูลค่าบริษัทก็จะเพิ่มเป็น 6,000 ล้าน ...เซียนหุ้นคนนั่น ถือ 1% ก็แปลว่า พอร์ตเขาขึ้นมาเป็น 60 ล้าน

ปีที่สี่ สมมุติกำไรบริษัทโตขึ้นมาเป็น 300 ล้าน ..เฮ้ย !! มึงเป็น Beauty หรือไง กำไรโตเร็วชิหาย งามจริงๆ  ..เอา P/E ไปเลย 60 เท่า ...มูลค่าบริษัท ก็จะกลายเป็น 18,000 ล้าน ...เซียนหุ้นคนนั้น ถือ 1% ก็แปลว่า พอร์ตเขาจะขึ้นมาเป็น 180 ล้าน

ปีที่ห้า สมมุติเจ้าของเจอ Elon Musk เข้าสิง สามารถทำกำไรเป็น 500 ล้าน ...พร้อมกับ สามารถโม้ จนนักลงทุนเคลิ้มน้ำลายไหล ...หุ้นเขาอาจเทรดที่ P/E บ้าคลั่งแบบหุ้น Tesla เอาไปเลย P/E 100 เท่า ...เซียนหุ้นคนนั้น ถือ 1% แปลว่า พอร์ตเขาจะกลายเป็น 500 ล้าน

พอแล้ว ...สมมุติเลิก ขายหุ้น ...พอละ ...รวยพอละ 

เซียนหุ้น คนนั้น ก็กลายเป็น ‘เซียนหุ้นที่ปั้นพอร์ตจากเงิน 5 ล้าน เป็น 500 ล้าน ในเวลา 5 ปี’ 

โอเค!! อธิบายมาถึงขั้นนี้ หลายๆ คนน่าจะพอเห็นภาพแล้วว่า ‘คนรวยหุ้น’ เขาทำยังไง ถึงรวยเร็ว รวยมหาศาล ...ก็แบบที่เล่ามานี่แหละ 

มันไม่ใช่แบบที่หลายคนคิดว่า สมมุติเอาเงินมา 5 ล้าน จากนั้น ก็ใช้วิชาการเทรดขั้นเทพ เข้าตัวนี้ ออกตัวนุ้น ...กระโดดเข้ามาอีกตัว ...สลับไปมา ...ตุ้ม!! สะดุดขาตัวเอง ...ดอย!! 

(ใน 5 ปี ถ้าใครปั้นพอร์ตเทรดให้เร็ว จาก 5 ล้าน ไป 100 ล้าน นี่ผมว่า โคตรๆ เทพละ ...ส่วนใหญ่ มันอาจได้เยอะนะ แต่พอโดนนี่หนัก บางคนกลับไปที่เดิม ...หลายคนเลิกไปเลย)

สรุป ...นี่แหละ เบื้องหลัง การปั้นพอร์ตเซียนหุ้นทั้งโลก

1. หา Growth ให้เจอ

2. หา Elon Musk ให้เจอ 

3. ทนรวยให้ได้ 

ประมาณนี้ ...ถ้าทำได้ คุณก็อาจจะเป็น เซียนคนต่อไป

ระหว่างนี้ ขอตัวไปดม โป๊ยเซียน ก่อนละคร๊าบบบ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หนังสือเล่มนี้ ...’หาโอกาสในวิกฤต พิชิตตลาดหุ้น’ 

ตอบทุกคำถาม เบื้องหลังคาใจ เกี่ยวกับตลาดหุ้น ...ใครอ่านจบน่าจะเข้าใจเบื้องลึก เบื้องหลังของการสร้างตัวกันในตลาดหุ้น 

...ไปอ่านกันต่อ ...รู้เรื่องกันไปเลย 

วางขาย ตามร้านหนังสือชั้นนำ ...ร้าน SE-ED , ร้านนายอินทร์ ...

ก็ไปหามาอ่านกันได้ครับ ...จัดไป !!!

5 ข้อ เล่นหุ้นต้องใช้ใจ หรือ ใช้สมอง


 

5 ข้อ ‘เล่นหุ้นต้องใช้ใจ หรือ ใช้สมอง’ 

มีคนพูดเยอะว่า ...อยากรวยหุ้นต้องใช้ใจ !! ...ขยายความหน่อย ?

..ก็มีส่วนถูกนะ ...’การจะกล้าซื้อเวลามีวิกฤต หรือ ข่าวร้าย มันต้องใช้ใจ พอสมควร’ แต่ถ้าซื้อแบบมั่วๆ มันก็อาจเจ๊งอยู่ดี ตรงนี้แหละ ที่ต้องใช้สมอง

1. ‘เลือกเป้าหมายก่อน’ ...ว่าจะ สร้าง ‘Cash-Flow’ (เอากระแสเงินสดก่อน) หรือ จะสร้าง wealth (ปั้นพอร์ตให้โต) ...เพราะ มันเล่นต่างกัน ...ประเภทหุ้นก็ต่างกัน ....พูดง่ายๆ สร้าง Cashflow ต้องเอาหุ้นที่มี Volume คนสนใจ ทำรอบให้เร็ว หมุนรอบให้เยอะ ...ส่วนถ้าจะปั้น Wealth หาหุ้น Growth แล้วถือนานๆ จบ ...ขั้นแรกต้องเลือกให้ชัด

2. ‘คัดหุ้นเล่น ที่สอดคล้องกับเป้าหมาย’ ...หุ้นที่เลือกมี Volume การเทรดแบบไหน ? ...สม่ำเสมอ ...มาเป็นช่วงๆ ...รอบการเทรดเป็นยังไง ? ...หุ้นตัวนี้ สถิติ เล่นรอบนึง นานแค่ไหน ...ขึ้นเป็นยังไง ...ลงจบแบบไหน ? ...ใช่!! ศึกษาเรื่องพวกนี้ก่อน ไม่ใช่อยู่ดีๆ กระโดดเข้าไปเล่นแบบ ไม่รู้อะไร ก็ดอยดิครับ !!

3. ‘จุด Stop Loss อยู่ตรงไหน’ ...นี่เป็นคำถามสำคัญมาก แต่คนส่วนใหญ่มองข้าม ...ชอบคิดว่า หุ้นพื้นฐานดี ถือๆ ไป ...แบบนี้ ดอย มาเยอะแล้ว ....การถามว่า Stop Loss อยู่ตรงไหน ? ...เพื่อเป็นการเตรียมพร้อมว่า ‘หากเกิดเหตุการณ์ที่เลวร้าย แบบที่ไม่คาดฝัน เราจะหมดตัวไหม’ ....ถ้าไม่เตรียมบอกเลย เวลาเหตุการณ์ไม่คาดฝันเข้ามาก็ เจ๊ง หมดตัวครับ

4. ‘ซื้อหุ้นเพิ่มตอนไหน’ ...ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น เราต้องเจอคำถามนี้อยู่แล้ว เพราะ ไม่มีใครซื้อครั้งเดียวแล้ว จบ ไม่ต้องซื้อแล้ว ....ดังนั้น ต้องมาคิดก่อนว่า เราจะซื้อเพิ่มแบบไหน ? ...ซึ่งมันมี 2 แบบ ...ซื้อเพิ่มขาลง กับ ซื้อเพิ่มขาขึ้น 

(ซื้อเพิ่มขาลง คือ การแบ่งไม้รับหุ้นถูก / ซื้อเพิ่มขาขึ้น คือ ยอมซื้อแพง ในหุ้นขาขึ้น จะได้มีหุ้นที่ขึ้น จำนวนที่เยอะ) ...แบบหลัง เขาออกแบบมาแก้ปัญหาคนส่วนใหญ่ที่ ‘หุ้นที่ขึ้นเยอะ มักซื้อน้อยไง’ ดังนั้น การซื้อเพิ่มขาขึ้น แม้จะซื้อแพง แต่ก็มักกำไรทันที แถมได้หุ้นที่ขึ้นมีเยอะขึ้นด้วย

5. ‘ถ้าเราใช้สมองมาครบ 4 ข้อแล้ว ก็เหลือใช้ใจละ ให้พอร์ตโต’ ...ครับ เก่ง หรือ รอบคอบเท่าไหร่ ก็ไม่รวย ถ้าเราไม่มีความกล้า 

จัดดิครับ !! ....จัดเลย

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ วิธีคัดหุ้นโตเร็ว โตช้า

 


6 ข้อ ‘วิธีดู หุ้นโตเร็ว โตช้า จะดูยังไง’ 

วันนี้มาคุยวิธีการ เลือกซื้อ Shopping หุ้น ...’พี่ครับ!! ขอซื้อหุ้นที่โตเร็วๆ ...ปันผลเยอะๆ ..กิจการมั่นคง ...มีไหมครับ ?’ 

มีครับ !! ...แต่แพงนะ 

‘อ้าว!! ขอหุ้นดีๆ ราคาถูก ไม่มีเหรอ ?’ 

มีครับ !! ....แต่ต้องซื้อวันที่มีแต่ข่าวร้าย ...กำไรลดลง ...บางทีช่วงนั้นหยุดปันผล เพราะบริษัทขาดทุน ...แล้วช่วงแบบนั้น มักเกิดขึ้น ตอนที่เราไม่มีเงิน 

‘เดี๋ยวนะ !! ...ถ้าผมอยากซื้อหุ้นดี ราคาถูก ...ต้องซื้อตอนที่มันไม่ดีน่ะเหรอ ?’

ใช่แล้ว ...เริ่มเข้าใจถูกละ มาดูกันต่อว่า จะคัดหุ้นโตเร็ว ยังไง 

1. ‘อยู่ในอุตสาหกรรมที่โตเร็ว’ ...อุตสาหกรรมหนักจะโตช้า เพราะ ต้องลงทุนเยอะ ...อุตสาหกรรมที่โตเร็ว ต้องเบาๆ ลงทุนไม่เยอะ ...ขายนุ่น ?!? (เอายิ่งจับต้องไม่ได้ไปเลยดิ แบบฝรั่งรวยดี)

2. ‘ธุรกิจเล็ก โตเร็วกว่าใหญ่’ ...อันนี้ Common Sense อยู่แล้ว ...รถยนต์อยากให้วิ่งเร็ว ถ้าไม่เพิ่มเครื่องให้ใหญ่ ก็ต้องลดน้ำหนักรถ ...ถ้าเทียบกับหุ้น เลือกแบบหลังสบายกว่านะ 

3. ‘คู่แข่งน้อย หรือ คู่แข่งอ่อนแอ’ ...คนฉลาดก่อนขึ้นชก จะดูก่อนเลยว่า คู่แข่งเป็นไง ...เอาตรงๆ ถ้าเจอคู่แข่งแข็งๆ ยังไง คุณต้องโคตรเหนื่อยอ่ะ 

4. ‘เกี่ยวข้องกับนวัตกรรม หรือ แบรนด์เนม’ ...ทำไมต้องนวัตกรรม หรือไม่ก็ต้องมีแบรนด์ ก็เพราะ ทั้งสองอย่างนี้ ทำให้กำไรดี และ ก็สร้าง Barrier to Entry ...ใครจะเข้ามาแข่ง ต้องคิดหนัก

5. ‘เจ้าของพริ้ว และ ต้องการสร้าง Empire’ ...ถ้าเจ้าของแค่อยากรวย หุ้นมันไปไม่ไกล ...ปั่นแล้วทิ้ง Pump & Dump ก็จบ ...แต่เจ้าของที่สร้าง Empire คือ ต้องการทำทุกอย่างให้ธุรกิจโตไปเรื่อยๆ ...มีเท่าไหร่ ลงทุนต่อ ขยายต่อ M&A เข้าไป ..ขยายอีก ...ขยายอีก (เมื่อไหร่พี่จะเห็นเงินล่ะ ...ไม่สน!! ฉันจะขยาย)

6. ‘เป็นสินค้าที่ระบาดได้’ ...ระบาดให้เหมือน Vilas ในโลก Viral และ Social ...ถ้ามันระบาดได้ แปลว่า สินค้ามันขายง่าย ติดง่าย 

ก็คร่าวๆ ลองไปคัดหุ้นดูครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 11 เมษายน พ.ศ. 2564

7 ข้อ ทำชีวิตหนัก แบบไม่จำเป็น


 

7 สิ่ง ที่ทำให้ชีวิตหนัก หากไม่ระวัง

...ยุคก่อนคนตายในสนามรบ แต่ยุคนี้ ตายด้วยตัวเอง น่าจะสูงกว่ามาก ...กินเกิน กับ หนี้บาน นี่ฆ่าคนมานักต่อนักแล้ว !!

เรามาดูกัน ว่า 7 สิ่งที่คนยุคนี้ พึงระวัง มีอะไรบ้าง

1. ‘บ้าน’ ...บ้านเป็นความฝัน เป็นสิ่งจำเป็นของคนเกือบทุกคน อันนี้ผมไม่เถียง ...แต่คนที่เป็นหนี้ก้อนใหญ่ในเวลาที่ไม่พร้อม มันกลายเป็นปัญหาใหญ่ ปัญหาชีวิตของคนจำนวนมาก 

หลายคนคิดว่า ‘ถ้ากู้ผ่านแปลว่าพร้อมแล้ว อันนี้ไม่น่าจะใช่’ 

มันมีอีกทางเลือกนึง ก็คือ เอาเงินที่จะผ่อนบ้าน ไปสร้างพอร์ตการลงทุน ...แต่ต้องคำนวณให้ดีว่า ผลตอบแทนการลงทุนเราทำได้สูงกว่า (อันนี้แล้วแต่คนครับ)

2. ‘รถ’ ...เดี๋ยวนี้ที่เห็นคือ คนยุคนี้ ซื้อรถแพงขึ้นเยอะ แต่ซื้อโดยการผ่อนนานขึ้น ...บางทีผ่อน 7 ปี ..เฮ้ย!! รถมันพังก่อนเราผ่อนหนี้นะเนี่ย ..โหดไปมั้ง !! 

เหมือนกัน ที่เราคิดว่าผ่อนไหว อาจไม่พอ ...มันต้องผ่อนสบาย หรือ ดีสุดคือ ไม่ผ่อนเลย ...อย่าลืมว่า รถแพงขึ้น ค่าซ่อมมันสูงขึ้นเสมอ

3. ‘ของมันต้องมี’ ...อันนี้โดยเฉพาะคนรุ่นใหม่ เสียเงินไปเท่าไหร่กับ ของมันต้องมี 

เอาตรงๆ 80% ของที่เราคิดว่า มันต้องมี ...มันไม่ต้องมีก็ได้ 

มันก็พอจะมีวิธีแก้ ...อย่างเช่น แทนที่เอาเงินไปซื้อของ ...เราเอาไปลงทุนแทน ...เปลี่ยนความสุข มาเห็นพอร์ตออมหุ้นเราโตขึ้นบ้างก็น่าจะดี (ของส่วนใหญ่ เวลาผ่านไป มันกลายเป็นขยะ รกบ้าน ...แต่พอร์ตออมหุ้น ถ้าทำดีๆ ยิ่งเวลาผ่านไป ก็ยิ่งรวยนะ)

4. ‘ลงทุนเปลี่ยนชีวิต’ ...บ่อยครั้ง คนส่วนใหญ่คิดว่าเขาลงทุนเพื่อเปลี่ยนชีวิต แต่สุดท้ายมันเป็นแชร์ลูกโซ่ 

วิธีสังเกต ง่ายๆ คือ ดูว่า

- การันตีผลตอบแทนสูง ..อันนี้น่ากลัวละ เพราะในโลกการลงทุน มันมีแต่การันตีผลตอบแทนต่ำๆ ..ถ้าการันตีผลตอบแทนสูง มันเริ่มแปลกๆ ละ

- หาคนเพิ่ม แล้วเราได้เพิ่ม ...หาคนเพิ่ม Downline มันแชร์ลูกโซ่ทั้งนั้น 

- หลักการล้ำ จนไม่เข้าใจ ...อะไรที่มันล้ำเกินความเข้าใจ ต้องระวัง เพราะโอกาสเสียมันเยอะ

5. ‘ชอบใช้ Leverage สูง’ ...การ Leverage ก็คือ การเก็งกำไรที่ใช้เงินมากกว่าที่เรามีนั่นแหละ คือ Leverage ...ถ้าถูกทางมันได้เยอะจริง ...แต่เวลาผิดทางมัน หมดตัวได้เลย ...เราจะเห็นคนเยอะมากที่เล่นหุ้นมา 5 ปี เพื่อที่จะเจ๊งในวันเดียว ...ไม่ได้ห้าม แต่ให้ระวังดีๆ เวลาใช้ Leverage 

6. ‘ให้เพื่อนยืมเงิน หรือ ค้ำประกันให้คนอื่น’ ...เอาตรงๆ นะ เราไม่ใช่สถาบันการเงิน ถึงจะไปให้คนอื่นยืมเงิน หรือ ค้ำประกันให้ใคร 

ถ้าใครเคยให้เพื่อนยืมเงิน จะรู้เลยว่า ...มันเสียเพื่อนตั้งแต่วันแรกที่ให้ยืมแล้ว ...ให้ยืมพอทวง มันก็เสียเพื่อนอยู่ดี ..ไม่ทวงเราก็ทั้งเสียเงินและเสียความรู้สึก ...สรุป ถ้าวันไหนใครยืมเงิน เลิกคบไปเลย เพราะ ผลลัพธ์สุดท้ายมันก็ไม่ต่างกันอยู่ดี 

(ทำไมพี่แพ้ท เข้าใจเรื่องนี้ดีจัง ...เออ!! ผมโดนมาแล้ว เสียเพื่อนอยู่ดี ...ทุกวันนี้ใครขอยืม หรือ ขอให้ค้ำประกัน บอกมันว่า ‘เราเลิกคบกันเลยดีกว่า ..555’)

7. ‘ลงทุนธุรกิจ ที่คุณไม่ได้เชี่ยวชาญ’ ...เอาตรงๆ นะ ถ้าจะลงทุน ลงขันกับเพื่อน ในธุรกิจที่คุณไม่เชี่ยวชาญ ...เอาเงินไปบริจาคดีกว่า เพราะ ส่วนใหญ่ ถ้าไม่โดนโกง มันก็เจ๊งอยู่ดี 

ถ้าจะลงเงินทำธุรกิจ คุณต้องคุมได้ (คุมการเงิน คือ หัวใจ) และ ควรคุมเอง ...ไม่งั้น เอาเงินไปซื้อหุ้นยังเสี่ยงน้อยกว่า

ก็ประมาณนี้ 7 ข้อ ทำชีวิตหนัก หากไม่ระวัง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อแตกต่าง ‘คนรวยรุ่นใหม่ กับ คนรวยรุ่นก่อน ต่างกันยังไง’


 

6 ข้อแตกต่าง ‘การสร้างตัวของคนรุ่นนี้ ต่างจากคนรวยรุ่นก่อนอย่างไร’ 

...อ้าว!! ไม่เหมือนกันเหรอ ? 

โห!! ..ต่างมาก ...มันแทบจะวางอยู่คนละแนวคิดเลยอ่ะ มาดูกัน 

1. ‘คนรุ่นเก่าเน้น Bottom Line แต่คนรุ่นใหม่สนแต่ Top Line’ ...คนรุ่นก่อนเวลาทำธุรกิจจะสนบรรทัดสุดท้าย คือ กำไรเท่าไหร่ ...แต่เด็กรุ่นนี้สนแต่ ‘ยอดขาย’ ...ยิ่งสร้างยอดขายได้เร็วเท่าไหร่ ก็หมายความว่า เขา สามารถ Disrupt ตลาดนี้ได้แค่ไหนแล้ว 

2. ‘คนรุ่นก่อน เน้นทำงานแล้วเก็บ ...คนรุ่นนี้ ได้เท่าไหร่ เอามาลงทุน ทบต้นเข้าไปอีก’ ...รวยแล้วเกษียณสบาย เป็นแนวคิดเดิมที่ วันนึงฉันจะสบาย แต่เอาตรงๆ นะ ผมแทบไม่เคยเห็นเศรษฐีรุ่นเก่า คนไหนแก่แล้วสบายเลย ...ก็เห็นแต่แก่แล้วก็ยังทำงานตลอดอ่ะ 

คนรุ่นนี้ ข้ามคำว่า เกษียณไปเลย ...กลายเป็นว่า ทำได้ก็เอามาลงทุนทบเพิ่มไปเรื่อยๆ ไม่มีหยุด (คนรวยรุ่นใหม่ที่รวย มันเลยรวยกระฉูด ที่เราเห็นนั่นแหละ)

3. ‘ยุคก่อนปริญญาหรือกระดาษสำคัญ แต่ยุคนี้ วัดกันที่ผลงานอย่างเดียว’ ...แต่ก่อนใบปริญญาสำคัญกว่าความสามารถ เป็นตัวเปิดโอกาสชีวิต ...แต่ยุคนี้ ประสบการณ์อย่างเดียว ...ใครล้มเยอะๆ ประสบการณ์มาก ก็ยิ่งมีโอกาสรวย ...เราจะเห็นการทำธุรกิจแบบ ‘ด้นสดไปก่อน จำกัดความเสียหายแค่นี้ จากนั้น ลุยเลย ..ไม่ต้องมานั่งทำแผน ไม่ต้องมา Research ...คู่แข่งเขาไปไกลแล้ว!!’ 

(ยุคแห่ง Powerpoint และ Research ...มันถูกแทนที่ด้วย ‘เอางบไปเท่านี้นะ แล้วมรึงลุยเลย’)

4. ‘ยุคก่อนทำเพื่อเงิน ...ยุคนี้ทำเพื่อการเปลี่ยนแปลง’ ...ทำเพื่อเงินก็ต้องรอบคอบ ต้นทุน ความเสี่ยง ชัดเจน ...บริษัทพวกนี้ก็กำไรดีนะ แต่ยุคนี้ไม่ค่อยโต แถมนักลงทุนก็ไม่ค่อยให้ค่า ....ต่างกับบริษัทที่มาแอบ เปลี่ยนโลก Tesla เปลี่ยนโครงสร้างการเดินทางมนุษย์ ...กำไร ไม่ต้องโชว์ เอาไปเลย P/E 100 เท่า ...Amazon มาทดแทน ค้าปลีกทั้งหมด กำไรจากตรงนี้จริงๆ ยังไม่เห็น เอาไปเลย 100 เด้ง ...หรือ อย่าง Bitcoin ใช้จริงได้หรือไม่ ยังตอบไม่ได้ แต่บอกว่ามันจะแทนเงินตราทั้งโลก เอาไปเลย 1,000 เด้ง 

ไม่ได้จะมาบอกว่าอะไรผิดหรือถูก ...แต่แค่มาชี้ให้เห็นว่า ‘นักลงทุน ให้ค่า Vision มากกว่า ผลลัพธ์ อ่ะ ในยุคนี้’ 

...เฮ้ย!! ‘ไม่ต้องมี Proven Result ...แค่ Vision ดี รวยละ’ (นี่มันเลียนแบบ การเมือง ชัดๆ..555)

5. ‘ยุคก่อนเงินหายาก ยุคนี้เงินมา ถ้าคุณ Pitch เทพ’ 

หลายๆ ธุรกิจ โตจากการ Pitch เก่งของเจ้าของ ...เฮ้ย !! Concept ใช่เลย ...นักลงทุนเทเงินมาให้เลย ...พอเงินมา โอกาสสำเร็จมันก็สูงตาม 

6. ‘คนรุ่นก่อน รวยแล้วต้องเงียบๆ ...รุ่นนี้ ยังไม่รวยก็ โชว์ก่อนเลย’ ....โชว์ปั๊บ มีสาวกมา โอกาสตามเข้ามาอีก ...คราวนี้แข่งกันโชว์ ...จุดนี้มันก็โอเค ถ้าโอกาสมันเพิ่มจากการโชว์ ...แต่ส่วนใหญ่พอเริ่มโชว์ แล้วติดลม ...หนักขึ้น ...โชว์แพงขึ้น ...มือลั่นหนักเลย ....คราวนี้ ความซวยเลยตามมา

เรื่องนี้ไม่มีข้อสรุป เพราะบางครั้งโอกาสยุคนี้มันก็มาจากการโชว์ แต่ ‘การบริหารโอกาส และ ต้นทุน’ ตรงนี้แหละ ที่สำคัญ

ถ้า ต้นทุน เริ่มสูงกว่า โอกาส ...เดี๋ยว ‘วิกฤต’ จะมาหาแทนละ !!

ก็ประมาณนี้ ...ไม่ได้จะมาสรุปว่า แบบไหนดีกว่า เพราะ บางอย่าง ผมก็เห็นด้วยกับคนรุ่นก่อน ...บางอย่างผมก็เห็นด้วยกับคนรุ่นใหม่ 

เอาเป็นว่า เราก็แค่เลือกว่า อันไหนเหมาะกับเรา แล้วมันดี ก็พอ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อ ต้องเข้าใจ กับ ความเสี่ยงที่คุ้มค่า


 6 ข้อ ต้องเข้าใจ กับ ความเสี่ยงที่คุ้มค่า

อะไรคือ ความเสี่ยงที่คุ้มค่า ? ...ก็มันอยู่ตรงข้ามกับ ‘ความเสี่ยงที่ไม่คุ้มค่า’ 

พูดแค่นี้ งง ตาย ...เรามาดูกันดีกว่าว่า ความเสี่ยงที่คุ้มค่า มันประกอบไปด้วยอะไรบ้าง 

1. ‘โอกาสได้สูงกว่า โอกาสเสีย’ ...อันนี้ทุกคนน่าจะเข้าใจอยู่แล้ว ...ถ้าเราโยนหัวก้อย มันก็ 50/50 ...อันนี้คือโอกาสได้กับโอกาสเสียพอๆกัน ไม่ค่อยคุ้ม ...ที่คุ้มคือ เราต้องเลือกฝั่งที่โอกาสได้มากกว่า ...ยกตัวอย่าง หุ้น ถ้าเป็นบริษัทที่ดี การถือหุ้นยาวๆ มันขึ้นมากกว่าลงอยู่แล้ว นี่ก็เป็นตัวอย่างง่ายๆ ...หรือ ที่ดิน ทำเลดี ถ้าเราซื้อถือยาวๆ มันก็มีโอกาสขึ้นมากกว่าลง 

2. ‘วิธีการลงทุนที่ ชนะ ได้มากกว่าแพ้ เป็นเท่าตัว’ ...พูดง่ายๆ ถ้าชนะ ผมได้ 30 บาท ถ้าแพ้ เสีย 10 บาท อันนี้ก็เลือกว่า 3 ต่อ 1 ....หรือ อย่างออมในหุ้น ถ้าผมยอมเสีย 10,000 บาท ทุกครั้งที่ซื้อหุ้นดีถือยาว ...เวลามันขึ้นผมได้ 20,000 ขึ้นไป แบบนี้ก็เรียกว่า 2 ต่อ 1 (แต่เอาตรงๆ นะ ถ้าคุณจะออมหุ้นยาวๆ แล้วหวังแค่ 2 ต่อ 1 มันน้อยไป เพราะ ออมหุ้นบางทีใช้เวลาหลายๆ ปี ..ดังนั้น ก็ต้องเลือกโอกาสที่มีโอกาสขึ้นมากกว่านั้น อย่าง 3-5 เท่าขึ้นไป ...ใช่!! ตลาดปกติ ไม่ค่อยมี ต้องหาในเวลามีวิกฤตนั่นเอง)

3. ‘ซื้อในเวลาที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากซื้อหรือไม่สนใจ ดีกว่าซื้อในเวลาที่คนสนใจ’ ...แล้วจะรู้ได้ไง ว่า คนส่วนใหญ่อยากซื้อ หรือ ไม่อยากซื้อตอนไหน ? ....เบื้องต้น ‘ความอยากของเรานั่นแหละ คือ ความรู้สึกของคนส่วนใหญ่’ ....เวลาที่ซื้อหุ้นแล้วกำไร ก็คือ ซื้อในเวลาที่ไม่มีข่าวดี เราไม่อยากซื้อ นั่นแหละ

4. ‘ซื้อตอนที่ยังไม่ค่อยมีใครกำไร’ ...ขยายความก็คือ ซื้อ ‘ต้นรอบ’ ....ยกตัวอย่างหุ้น มันก็มี ‘ต้นรอบ-กลางรอบ-ปลายรอบ’ ...เอาง่ายๆ เราเปิดกราฟหุ้น กราฟราคาก็จะเห็นแล้วว่า มันเริ่มขึ้นมาจากตรงไหน นั่นแหละ ต้นรอบ ...ถ้ามันยิ่งไกลจากจุดเริ่มขึ้น มันก็กลาง หรือ ปลายรอบนั่นเอง

5. ‘ยิ่งถือนาน ยิ่งต้องบริหารเงินให้ดี’ ...เอาตรงๆ นะ เงินที่ลงทุนยาว ควรใช้เงินเย็น ไม่ควรใช้เงินกู้ ...คิดง่ายๆ ถ้ากู้มาเล่น , เล่น Margin เพิ่ม Leverage เวลาได้มันกำไรเยอะ แต่อย่าลืมถ้าตลาดปรับฐานแรงๆ บางทีเราอาจหมดตัวก่อนจะรวย ...เริ่มเงินน้อยไม่เป็นไร ขอให้เป็น เงินกู ไม่ใช่เงินกู้ 

6. ‘อยากรวยหลายเด้ง มีบททดสอบเสมอ’ ...หลายเด้ง หลายเท่า ...ระหว่างทางที่ขึ้น มันมีจุดทดสอบก็คือ การย่อ การปรับฐาน ....โดยเฉพาะตลาดผันผวนแบบในปัจจุบัน เราอาจเห็นหุ้นหรือสินทรัพย์ที่เราซื้อ มีการย่อ ราคาลดลง 30-50% ระหว่างทางที่ขึ้น เป็นเรื่องปกติ

ก็ลองไปปรับใช้ดูครับ ในการบริหาร ‘ความเสี่ยงที่คุ้มค่า’ ของคุณ ...จัดไป 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 เมษายน พ.ศ. 2564

9 ข้อสังเกต การเปลี่ยนแปลงธุรกิจและการลงทุนวันนี้


 9 ข้อสังเกต ที่น่าสนใจในโลกเศรษฐกิจและการลงทุนวันนี้

..ก่อนอื่นต้องมาทำความเข้าใจกันก่อนว่า เศรษฐกิจและการลงทุนในวันนี้มันยากเกินจะคาดเดา ...บางคนมองเป็นการเริ่มต้นของการขึ้นครั้งใหญ่ ในขณะที่บางคนมองเป็นปลายรอบฟองสบู่ที่เตรียมแตกได้ทุกเมื่อ 

‘ถามหน่อย คุณมองอย่างไร ?’ 

..ก็อีกนั่นแหละ ที่การมอง ก็ไม่สำคัญเท่าว่าวันนี้ คุณทำอะไร ?

‘ถ้าคุณมอง ว่าจะขึ้นครั้งใหญ่ คุณควร ลงทุนเต็มพอร์ต ส่วนจะลงอะไร ลงแบบไหน ก็ว่ากันไปตามถนัดของแต่ละคน ....ส่วนถ้าคุณมองว่า จะลงครั้งใหญ่ วันนี้ก็ควรทยอยขาย เตรียมเงินสดไว้ช้อนของถูก หาก Bubble แตกจริงๆ’ 

โอเค!! ผมมีข้อสังเกต คร่าวๆ 10 อย่าง ดังนี้

1. ‘โควิด กระทบธุรกิจในวงกว้างจริงๆ เหมือนเกิดสงครามโลก แต่อันนี้คือสงครามเชื้อโรค ...ซึ่งผลของมันก็คือ บางธุรกิจไม่รอด แต่จะมีคนที่ได้ประโยชน์และรุ่งสุดๆ จากเหตุการณ์ครั้งนี้’ ...คำถามคือ ธุรกิจอะไรได้ประโยชน์ ...นั่นแหละ ที่เราน่าเข้าไปลงทุน 

2. ‘ธุรกิจที่ได้ประโยชน์นั้น คือ ชั่วคราว หรือ ต่อเนื่อง’ ...ใช่!! สำหรับธุรกิจที่ได้ประโยชน์ มันมี 2 แบบ คือ หนึ่งได้ประโยชน์สั้นๆ อันนี้ถ้าเราลงทุนก็ควรลงระยะสั้น แล้วออกให้ทัน ...กับแบบที่สอง คือ ได้ประโยชน์ยาวๆ ...อันหลังนี้ เราก็น่าเข้าไปลงทุนยาวๆ เพราะ หุ้นหรือธุรกิจแบบนี้ อาจกลายเป็น Superstock กันเลยทีเดียว

(Superstock มักจะเกิดหลังวิกฤต)

3. ‘นักลงทุนเปลี่ยนไป รายย่อยเสียงดังขึ้น’ ...ก็ไม่ต่างจากโลก Social ที่ทำให้คนตัวเล็กเสียงดังขึ้น ...ทุกวันนี้คนใหญ่ตัว ยังต้องเกรงกลัว เสียงของคนตัวเล็ก เพราะ Social Network มันสร้างปรากฏการณ์ตรงนี้ ...การลงทุนก็เหมือนกัน ทิศทางการลงทุน จะถูกกำหนดจากรายย่อยมากขึ้น ...กองทุน และ สถาบัน ทุกวันนี้ต้องหันกลับมาฟัง ว่า รายย่อย เขาเล่นยังไง ?

4. ‘สภาพคล่องมีมากขึ้น ทำให้สินทรัพย์ผันผวน แบบขึ้นเร็ว จบเร็ว เด้ง ขึ้นใหม่ ไปเรื่อยๆ’ ...จากสภาพคล่องที่มหาศาล และ วิธีจัดการกับเงินของรัฐบาลเปลี่ยนไป ...ส่งผลให้สินทรัพย์ราคาขึ้น แต่พอขาลง มันจะต่างจากสมัยก่อน ที่เวลาตลาดลง ก็ลงนาน มีเวลาให้ค่อยๆ ซื้อ ....แต่ปัจจุบัน จะเป็นแบบ ลงโคตรแรง จากนั้น ก็กระชากขึ้นโคตรเร็ว เหมือนตอนโควิดช่วงต้นปี 2020 แล้วก็กระชากขึ้นเลย ....จากนี้ไปถ้าลงแรง มันก็จะกระชากขึ้นแบบนี้แหละ (ความยากคือ การบริหารความเสี่ยงของแต่ละคนเอง ...เดาได้เลยว่า ใคร Leverage สูง จะซวยสุด)

5. ‘เกิดสิ่งที่เรียกว่า Value Trap’ ...กล่าวคือ อะไรที่พื้นฐานดี ชัดเจน มันไม่ค่อยขึ้น ...แต่อะไรที่ งงๆ คนไม่เข้าใจ มันขึ้นแล้วขึ้นอีก ....ซึ่งภาวะแบบนี้ มันเกิดในช่วงที่วุ่นวาย คือ เกิดในภาวะไม่ปกตินั่นแหละ (เอาง่ายๆ ใครจะไปคิดว่า วันนี้ Bitcoin จะแพงกว่า ทองคำ ..ขึ้นดีกว่า ...แต่มันก็กำลังเกิดขึ้นในภาวะแบบนี้) 

6. ‘เทคโนโลยีทำให้ธุรกิจลดต้นทุน และ ก็ทำให้ความต้องการตลาดได้รับการตอบสนองเร็วขึ้น’ ...เดี๋ยวนี้เรา สามารถสั่งอาหารเจ้าดัง ที่เคยต้องลำบากซื้อในอดีต มาส่งถึงบ้านเรา แทบไม่มีค่าใช้จ่าย ...ดูหนังดีๆ ที่บ้านเราเอง จนไม่อยากเข้าโรงหนัง ...ซื้อของที่หายาก ง่ายๆ ออนไลน์ ถูกกว่า และ ส่งถึงบ้าน ....ใช่!! ธุรกิจดาวรุ่งใหม่ จะเกิดมหาศาล ...ถ้าเราต้องการ Growth ต้องมองหาธุรกิจเหล่านี้ 

7. ‘คนยอมเป็นหนี้ก้อนใหญ่ขึ้น ยาวขึ้น’ ...ตรงนี้ทำให้สินค้า Mass แย่ลง ...แต่สินค้า Niche หรือ Specialty ดีขึ้น ...ลองมองไปรอบๆ ตัวซิ ...ธุรกิจที่รุ่งๆ ทุกวันนี้ ไม่มีทำอะไรกลางๆ ...ต้องสุด !! ...แพงสุด ...หวานสุด ...อ้วนสุด ...แปลกสุด ...เดาไม่ได้สุดๆ ...งง สุดๆ ...ถูกสุด ...ธุรกิจที่กลางๆ ขายทุกคน มีแต่ตลาดจะเล็กลงจนตายไปในที่สุด 

8. ‘ตลาดหุ้นวันนี้ ไม่ได้แข่งความเร็ว แต่แข่งความอึด’ ...หุ้นที่มันขึ้น มันจะขึ้นแล้ว ขึ้นอีก ...เราขายไปแล้ว มันก็ไปต่ออีก ...ไปอีก ...ส่วนหุ้นที่มันไม่ขึ้น มันก็ซวยซ้ำ ซวยซ้อน ...เราช้อนแล้ว ...ช้อนเราก็หัก หักแล้ว หักอีก ....อันนี้มันสะท้อนนิสัยของคนเล่น คนสมัยก่อนเน้นปลอดภัยไว้ก่อน ...แต่คนเดี๋ยวนี้ ขอช็อตนี้จบเลย ...เอาครั้งนี้แหละ จบกันไปเลย !!

9. ‘ความซวยจะมาเยือน ในวันที่เรามั่นใจถึงขีดสุด’ ...ถ้าจะถามว่า เราจะรู้ได้ไงว่า เราควรเลิกได้แล้ว ...ก็ให้สังเกต วันที่เรามั่นใจสุดๆ นั่นแหละ น่ากลัวสุดๆ แล้ว 

ก็สังเกตได้คร่าวๆ 9 ข้อ ลองเอาไปสำรวจการลงทุนเราดูว่า มันช่วยอะไรเราได้บ้างครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 8 เมษายน พ.ศ. 2564

5 ความลึกซึ้ง ของการทนรวย


 ‘การทนรวย คืออะไร ทำไมมันทำได้ยาก’ 

สมัยที่ผมเริ่มลงทุนในหุ้นใหม่ ก็สนใจแต่ ‘การทำกำไร’ ..ก็คือ ถ้าขายได้สูงกว่าที่ซื้อ ก็คือ กำไร ...จบแล้ว คิดอะไรมาก จริงป่ะ !!

แต่พออยู่ในตลาดนานขึ้น ก็เรียนรู้มากขึ้น เพราะได้ เจอกับคนที่ปั้นพอร์ต โตเป็น สิบเท่า ร้อยเท่า ...ผมก็เริ่มมาตั้งคำถามว่า แล้วที่เราซื้อๆ ขายๆ ทำกำไรเรื่อยๆ วันนึง พอร์ตเราจะสามารถโตสิบเด้ง ร้อยเด้ง เหมือนคนเหล่านั้นได้รึเปล่า 

‘เอาตรงๆ นะ แทบจะเป็นไปไม่ได้’ ...ถ้าจะซื้อๆ ขายๆ แล้วเราโคตรเก่ง อาจโตได้สัก 2 เด้ง 3 เด้ง แต่พอตลาดเปลี่ยนทิศทาง มันคืนหนักจนแทบไม่เหลือ ...บางคนติดลบ จนเลิกเทรดไปเลยก็เยอะ 

..โอเค!! เคล็ดลับ มันอยู่ที่ การ ‘ทนรวย’ ...ผมพอจะแกะวิธีการมาให้เข้าใจง่ายๆ ดังนี้

1. ‘ทนรวย กับ ทนขาดทุน มันแทบจะเป็นเรื่องเดียวกัน’ ...ต่างกันตรงที่ ‘ทนรวย คือ ทำในช่วงหุ้นขาขึ้น ถึงมันลง สุดท้ายมันก็ขึ้นต่อ ทำ New High’ ...แต่ ‘ทนขาดทุน คือ ทำเหมือนกันเป๊ะ แต่ดันทำตอนช่วงหุ้นขาลง ยิ่งทน มันยิ่ง ทำ New Low ลึกไปเรื่อยๆ’

2. ‘อ่านเทรนด์หุ้นในภาพใหญ่ ว่าขึ้นหรือลงให้ขาด’ ...กราฟหุ้น เราใช้กราฟ Month ...ส่วนวิธีการดูที่เป็นข้อสังเกตง่ายสุด คือ ‘ขาขึ้น หุ้นมันย่อ เพื่อขึ้นต่อ New High’ ...’ส่วนขาลง หุ้นมันย่อ ดีดขึ้น แต่สุดท้ายมันลงต่อ ทำ New Low’ 

ลองเอาหลักการง่ายๆ นี้ไปดูหุ้นในพอร์ตเรา ‘ห้าม Bias’ ก็จะรู้เลยว่า หุ้นที่เราถือ มันอยู่ใน ขาขึ้น หรือ ขาลง

3. ‘หลัก 10% ของสมการ ทนรวย’ ...สมมุติ หุ้นขึ้นกำไร 1 แสน แล้วเราทนได้แปลว่า พอร์ตเราเป็นล้านได้ ...ถ้ากำไรล้าน แล้วยังไม่ขาย แปลว่า พอร์ตเราหลักสิบล้านได้ ...ถ้ากำไรร้อยล้านแล้วยังไม่ขาย (มึงโลภละ..55) ...พูดเล่นๆ ...ถ้าทนกำไรร้อยล้าน แปลว่า คุณไปได้หลักพันล้าน

เดี๋ยวนะ !! ...ถ้ากำไรแล้วไม่ขาย โอกาสที่กำไรนั้นจะหายไปก็มี ใช่หรือไม่ ?

‘ถูกต้อง’ ...นี่แหละ ความยาก ของ การทนรวย

เราจะเจอเยอะมาก ที่คนจะมาพูดกับเราว่า โห!! ถ้าผมกำไรเท่านี้ ผมขายไปนานแล้ว !!

ก็ใช่ไง ...คุณถึงพอร์ตเท่านั้นไง (โคตรโหด ตลาดหุ้น แต่มันมีความจริงแฝงอยู่)

มาถึงตรงนี้ หลายคน อาจคิดว่า แล้วตกลง เมื่อถึงเวลาที่เรากำไร ตามที่เราหวังจริงๆ เราจะขาย หรือ ไม่ขาย ...ใช่ไหม ?

เอาตรงๆ นะ นี่คือ แก่นของระบบทุนนิยมเลย

‘ตลาดหุ้น’ ก็เหมือน เกมการแข่งขัน 

สมมุติคุณบอกว่า ‘ผมชนะแล้ว’ แล้วคุณ แขวนนวม วางมือ เลิก!! 

มันก็หมายความว่า ‘คุณออกจากเกมแล้ว’ ...บางคน จบเกมที่ ล้านบาท ...บางคน จบเกมที่ สิบล้าน ...บางคนจบเกมที่ ร้อยล้าน ....บางคน จบเกมที่ พันล้าน ....แต่บางคนเล่นไปเรื่อยๆ 

ถ้าเรามาดู เศรษฐีเมืองไทย ที่เราเห็นแทบทุกคน ...ไม่มีใครเลิกเลย ...บางคนอายุเยอะมากแล้ว ก็ยังอยู่ในเกม 

หลายคนอาจจะคิดว่า ‘เขาโลภ’ ...ซึ่งผมเองก็เคยคิดนะ ว่า ทำไมเศรษฐี เขาโลภจัง รวยแล้วทำไมยังลงทุนต่อ ...ซึ่งการลงทุนต่อ มันก็มีโอกาสกำไรหาย พอร์ตติดลบในบางช่วง เช่น วิกฤตเศรษฐกิจ 

...วันนี้ผมได้คำตอบแล้วว่า ‘เราไม่มีหน้าที่ตัดสินคนอื่น ...เราควรจะตั้งใจ Focus ในเกมของเรา ...ยิ่งเรา Focus ในเกมของเรา ก็ย่อมมีโอกาสที่เราจะไปถึงเป้าหมายของเราได้มากขึ้น’ 

4. ‘เมื่อเราถึงเป้า ก็ถึงเวลาที่เราตั้งเป้าใหม่’ ...นี่แหละ สัจธรรมของชีวิต ...ตอนเด็กเราเคยคิดว่า จบปริญญาคือเป้าหมายสูงสุดของชีวิต ที่เราจะทำให้ตัวเอง และพ่อแม่ได้ ...พอถึงวันที่เรารับปริญญา เราก็รู้ว่า นี่มันจุดเริ่มต้นของโลกความเป็นจริง

พอเริ่มลงทุน วันที่พอร์ตเราไปถึง จุดที่เราตั้งไว้ ก็พบว่า ...เราจะวางมือ แล้วไปอยู่บ้านเฉยๆ นั่งดูทีวี กินขนม เลี้ยงหลาน ไม่ทำอะไรแล้วอยู่เฉยๆ (เดี๋ยวเสียเงิน) ...มันก็อาจจะไม่ใช่รึเปล่า

เป้าใหม่ อาจไม่ใช่แค่ตัวเลข แต่มันอาจจะเป็น ‘การสร้าง Impact ในทางบวกให้กับคนอื่น’ ...อะไรก็ว่าไป วันที่เราไปถึง เดี๋ยวเราก็คิดออกเอง ...555

5. ‘ความกลัว กับ ความโลภ คือ อุปสรรคในการทนรวย’ ...ผมเพิ่งมาเข้าใจว่า คนที่พอร์ตโตจริงๆ เขาแทบไม่ได้สนใจราคาหุ้นรายวันเลย ...เพราะ ยิ่งเราอยู่ใกล้ตลาดเท่าไหร่ ก็ยิ่งมีโอกาสขายได้ตลอด ...สรุป ยิ่งดู พอร์ตยิ่งไม่โต 

ข้อสังเกตของผม สรุปคร่าวๆ มาได้ 5 ข้อ คร่าวๆ ประมาณนี้ ...ลองไปสังเกต ตัวเราดูครับ ว่า เราอยากจะปรับปรุงอะไรบ้าง เพื่อให้เรา เข้าใจตลาด เข้าใจตัวเราเองมากขึ้น

‘ยิ่งเราเข้าใจตัวเอง ...เข้าใจคนอื่น ...โอกาสทนรวยและ สร้างพอร์ตให้โตมันก็ยิ่งมากขึ้นตาม’ 

สรุปว่า โลกทุนนิยม มัน ย้อนแย้ง ‘ยิ่งอยากได้ ยิ่งไม่ได้ ...ส่วนถ้าไม่อยากได้เลย ก็ไม่ได้เหมือนกัน’ , ‘ความขยัน กับ ผลตอบแทน บางครั้งมันวิ่งสวนทาง’ 

ใช่!! มันทั้งย้อนแย้ง น่าค้นหา ...และ มันน่าศึกษา ...ในเวลาเดียวกัน 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ