‘มีนักลงทุนรายใหญ่ท่านนึง พูดกับผมว่า ..บางช่วง การลงทุน มันไม่สามารถ จะได้ทั้ง เงินปันผล และ การเติบโตในเวลาเดียวกัน ...ถ้าถึงจังหวะนั้นแล้ว เราต้องเลือก !!’
...ผมกลับไป คิดหนักเลย จริงเหรอ ?
โดยปกตินักลงทุนทุกคน ย่อมอยากได้ สิ่งที่ดีที่สุด ...พูดง่ายๆ เราอยากได้ ทั้งหุ้นที่เติบโตและก็ปันผลดีในเวลาเดียวกัน
บางช่วงตลาดก็มีหุ้นแบบนั้น ก็คือ สบาย ...ได้ทั้งหมด
แต่พอมาดูตลาดหุ้น ในปัจจุบัน มันคืออะไร ?
1. ที่ขึ้นเยอะสุดวันนี้คือ คริปโต ซึ่ง พื้นฐานคลุมเครือ ...ไม่มีใครรู้เลยว่า เหรียญไหนจะมีอนาคตจริง เอาตรงๆ ทุกคนที่ซื้อ กลัว และ กล้า ...คือ เสียวทุกคน ไม่มีใครชัวร์ แต่มันขึ้นมากสุด
(จบไม่สวย แต่ใครจะรู้ว่า กว่าจะจบ มันก็สร้างเศรษฐีอีกเยอะแยะ ที่ไม่ใช่เรา)
2. ที่ขึ้นรองลงมา คือ หุ้นเล็ก ที่พื้นฐานคลุมเครือ ...อันนี้อาจจะเสี่ยงน้อยกว่าแบบแรก เพราะ มันอยู่ในตลาดหุ้นที่ถูกกฎหมายแล้ว ...แต่ความเสี่ยง ก็คือ เจ้ามือ ...เพราะหุ้นแบบนี้ ต้องมีรายใหญ่คุมเกม ...อันนี้ก็ขึ้นแหลก แต่ก็เสียวอยู่ดี
(เราไม่ซื้อ ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะไม่ซื้อและ ไม่รวยจากมันเช่นกัน)
3. ขึ้นน้อย คือ หุ้นใหญ่พื้นฐานดี ...ถึงน้อย ก็ยังขึ้นเป็นเด้งอยู่ดี ขึ้นจนราคาเกินพื้นฐาน ...พูดง่ายๆ หุ้นดีแต่แพง ...พวกนี้คนคุมเชิง น่าจะเป็น กองทุน เพราะ เงินเยอะ และ มีเครื่องมือ Leverage ต่างๆ ช่วย เช่น Block Trade , Margin อะไรก็ว่าไป
(อันนี้เรามองว่า ไม่เสี่ยง บางครั้ง รายใหญ่ก็ทุบ จนรายย่อยพอร์ตระเบิด แล้วสุดท้ายก็ลากขึ้น ..เจ๊ง แบบไม่ทันตั้งตัว ก็มากมาย)
4. ขึ้นน้อยมาก อันนี้คือ หุ้นที่รายย่อยส่วนใหญ่เล่น เพราะ คิดว่ามันชัวร์ ...พื้นฐานก็ดี ปันผลก็ใช้ได้
(เล่นหุ้นมาตั้งนาน คนอื่นรวยหมดแล้ว แต่ทำไมเราไม่เห็นจะรวยเหมือนคนอื่น)
....
ผมก็มานั่งคิดว่า ‘แล้วจริงๆ เราต้องเลือกด้วยหรือ ว่าเราต้องลงทุนแบบเดียว ?’
...เราคละได้ไหม ...พูดง่ายๆ เงิน 100 บาท ของเรา กระจายไปหลายๆ กลุ่ม เอาทุกแบบ มีหมด ‘เสี่ยงน้อย เสี่ยงมาก เสี่ยงโคตรๆ’ ..กระจายหมด ได้ไหม ?
‘นักลงทุนรายใหญ่ท่านนั้น ก็บอกว่า ก็ได้ ...แต่สุดท้ายถ้ากระจายมากไป ...ผลตอบแทนมันก็จะกระจายจนแทบไม่ได้อะไร ...เอาตรงๆ ถ้าจะกระจายเยอะแบบนั้น ไปซื้อกองทุนรวมแทน ไม่ง่ายกว่าเหรอ ? ...เพราะ มันสามารถซื้อด้วยเงินน้อยได้ และ ก็สามารถเลือก Theme ที่ตรงกับที่เราอยากลงทุน’
เออ!! ..ก็น่าคิด
สรุปแล้ว ‘การลงทุน’ มันเป็น ศิลปะ ในการบริหารเงินของเรานั่นแหละ
ใช่!! มันไม่มีจุดที่ดีที่สุดสำหรับทุกคน ...มันมีแค่ จุดที่ดีที่สุด ที่เราเลือกต่างหาก
ว่าแล้ว ผมก็เปิดพอร์ตของตัวขึ้นมาดู ...เฮ้ย!! หุ้นที่ผมเลือกมันเป็นแนวนี้หมดเลยอ่ะ !!
‘ใช่ไง !! ...พอร์ตเรา มันบอกนิสัยของเราได้ บอกอนาคตของเราได้’
โอเค ได้พี่ ผมเข้าใจแล้ว ...สงสัยผมต้องเพิ่มความเสี่ยงขึ้นมาหน่อย แต่หลักๆ พอร์ตส่วนใหญ่ก็ยังเหมือนเดิม ใช่ไหม ? (พี่เขาไม่ตอบ ประมาณว่า มรึงโตแล้ว คิดเองดิ)
...ประเด็นที่ยกเรื่องนี้มาเล่าให้ฟัง เพื่อจะบอกว่า ‘บางครั้งเราเพิ่มความเสี่ยง ผลตอบแทนเพิ่มขึ้น ...แต่พอร์ตโดยรวมก็แทบไม่ได้เสี่ยงขึ้นมากมาย’
ก็เลยเข้าใจว่า ...สุดท้าย วิธีคิดของเรานั่นแหละ กำหนดผมตอบแทน ที่เราได้
ลองทำความเข้าใจพอร์ตของเราเองดู ...บางทีความเสี่ยงที่เรามอง มันอาจจะปิดกั้นโอกาส ...การทำความเข้าใจความเสี่ยงตรงนั้น เราอาจปรับพอร์ตเล็กน้อย ...แต่กลับให้ผลตอบแทนที่มากขึ้น โดยที่จริงๆ เราอาจไม่ได้เสี่ยงเพิ่มขึ้นเลย
...เรื่องนี้มันทำให้ผมเข้าใจ เศรษฐีมากขึ้น ว่า ‘บางครั้งเรามองว่า เศรษฐีคนนั้น โคตรเสี่ยงเลย ..แต่แท้จริงแล้ว ตัวเศรษฐีคนนั้นอาจจะไม่ได้เสี่ยงเลย ...แค่เราไม่เข้าใจวิธีคิดและการบริหารเงินของเขา ก็เท่านั้นเอง’
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม