แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 18 เมษายน พ.ศ. 2564

คนรุ่นใหม่ ทำไมมองเราล้าสมัย


 ‘ทำไมคนรุ่นใหม่ ถึงมองคนรุ่นเก่าล้าสมัย’ 

...Gen Y มอง Gen X ล้าสมัย

...วันนี้ Gen Z มอง Gen Y เอ้าท์ สุดๆ 

...ผมเป็น Gen X ที่เข้ามาเล่นหุ้น หลังวิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ ณ ช่วงเวลานั้น เป็นช่วงที่ตลาดหุ้นโดนทดสอบว่าจะผ่านได้ หรือ ล่มสลาย โดยวิกฤตการเงินครั้งใหญ่ที่สุดครั้งนึงของโลก ‘วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์’ 

(เอาตรงๆ มันก็ผ่านได้ทุกครั้งแหละ โลกมันไม่จบหรอก มันก็หมุนต่อไป เพียงแต่รอบใหม่ถ้าเรากลัว มันก็แค่ไม่มีเราก็เท่านั้นเอง  ...ใครเข้าใจตรงนี้ พอวิกฤตมาก็รวยเละทุกครั้งไป)

ปี 2008 หุ้นพังทั้งโลก ...คุณแทบจะสามารถซื้อหุ้นทุกตัวได้ต่ำกว่า Book Value เพราะเวลานั้นไม่มีคนกล้าซื้อ มีแต่คนขายกระหน่ำ 

รุ่นผม คนที่กล้าลุยในช่วงปี 2008 ...แล้วยังถืออยู่ วันนี้กลายเป็น ‘นักลงทุนรายใหญ่’ กันทั้งนั้น 

แต่คนที่ยังไม่รวย รอบนั้น ก็มาเจอโอกาสปี 2020 อีกครั้ง ‘วิกฤตโควิด’ ...เศรษฐกิจชะงักทั้งโลก ...ใครได้ซื้อตอนต้นปี 2020 แล้ว วันนี้ยังถืออยู่ ...พอร์ตคุณโตขึ้นอย่างขี้หมูขี้หมาต้องมี 100% ขึ้นอ่ะ 

...วันนี้บ้านเราบอก ‘นี่โควิด รอบ 3’ ...เอาตรงๆ ตลาดก็ปรับฐานนะ แต่มันไม่ได้ลงแบบวิกฤต 

‘วิกฤต คืออะไร ?’ 

มันคือ จังหวะที่ทุกคนสูญเสียความมั่นใจ และ กลัวสุดขีด ...คนจะขายของที่มี เพื่อเอา เงินสด มาถือ ...หุ้น อสังหา ราคาจะลงเละ ...หุ้นเกือบทุกตัว ราคาต่ำกว่า Book Value 

...

‘แล้วตอนนี้ล่ะ ไม่ใช่วิกฤต แล้วมันคืออะไร ?’

ตอนนี้ก็คือ การขึ้นรอบใหม่ ..ซึ่งมันก็จะขึ้นไปเรื่อยๆ สร้างเศรษฐีรอบใหม่ ไม่ต่างจากทุกรอบที่ผ่านมา ...ระหว่างทางขึ้น ก็จะมีการปรับฐานบ้างแบบนี้ไปเรื่อยๆ 

...’ที่เล่ามา มันเกี่ยวกับ ความล้าสมัย อะไรตรงไหนล่ะ ?’

โอเค!! ..คน Gen X อย่างผม ก็จะ เน้นหนักในหุ้น เพราะ เราเชื่อในของจริง ‘พื้นฐาน’  ...เราเชื่อว่า หุ้นต้องมีธุรกิจทำรายได้จริง มีปันผลจ่ายจริง ...แต่ปัญหาของความเชื่อนี้ ‘เราจะลงทุน ในของจริงเท่านั้น ซึ่ง ขึ้นน้อยไง !!’ 

- เดี๋ยวนี้ คนรวยที่สุดในโลก อยู่ฝั่ง ‘ความฝัน’ แทบทั้งหมด ...ยกตัวอย่าง โตโยต้า ขายรถจริงๆ เยอะที่สุดในโลก แต่มูลค่าหุ้นกระจอกมาก เพราะ นักลงทุนไม่ยอมซื้อแพง เอา P/E ต่ำๆ ไป 

แต่ Tesla ขายรถจริงๆ ไม่ได้เยอะเท่าไหร่ แต่ ‘ความฝัน’ ที่ขาย คือ เขาจะเอาชนะ รถน้ำมันทั้งโลก ...คุณเชื่อไหมล่ะว่า เขาคือ Apple แห่งวงการรถยนต์ ...นักลงทุนเชื่อครับ เอา P/E สูงสุดๆ ไปเลย ...เขาเอา P/E ราคาหุ้น และ เหรียญหมาของเขา วิ่งไปแตะดาวอังคาร 

- Crypto , DEFI และ Reddit ..ถ้าจะให้ตีความ ก็คือ พลังของนักลงทุนรายย่อย ที่มองว่า หุ้นเอ้าท์ มันต้อง Crypto แล้วพลังของการรวมตัวของรายย่อย มันสามารถปั่นอะไรก็ได้ ...ไม่ต้องมีพื้นฐานอะไรเลยก็ได้ ...ให้ราคาขึ้นทะลุฟ้าไปเลย

- ผมมานั่งคิดว่า ‘ทำธุรกิจ ทำทั้งชีวิตอาจจะรวย หรือ พ่อสร้าง ลูกรวย (ขอบเขต ความรวย ประมาณ 1 เด้ง) 

...เอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น อันนี้โคตรรวยในรุ่นเรา (ขอบเขต รวย ประมาณ 10 เด้ง) 

....ขายฝันให้นักลงทุน อันนี้รวยเร็วสุด ณ ตอนนี้ (ขอบเขต รวย 100 เด้ง) ...อนาคต ผมว่า ต้องมีอะไรเร็วกว่านี้ เพียงแค่เรายังไม่รู้ 

‘เดี๋ยว!! ผมไม่ได้จะมา สรุปว่า แบบไหนดี หรือแบบไหนไม่ดี’ ...แต่ผมแค่มานั่งคิดว่า คนแต่ละรุ่นมีกรอบความคิดที่ไม่เหมือนกัน

ซึ่งกรอบความคิดนี่แหละ คือ ‘กรอบในการสร้างโอกาสในชีวิตของแต่ละคน’ ทำให้ เราแต่ละคนมีข้อจำกัดในการรวยที่ไม่เท่ากัน

‘กล้ารวยไหม ? / ทนรวยเป็นหรือเปล่า ?’

...ถ้ากรอบคือ ของจริง ก็รวยได้แค่ของที่จับต้องได้ 

ถ้ากรอบ คือ ‘จะจับต้องได้ หรือไม่ได้ไม่สน’ ก็ต้องขายฝันได้ ...ความฝัน หรือ ความหวังแพงที่สุด และกำไรสูงสุด แต่มันต้องไม่ใช่การหลอกลวง ...ซี่งเอาตรงๆ ตลาดหุ้นในช่วงที่เกิดขึ้นมาใหม่ๆ มันก็คือ ‘ขายฝัน’ ขายความเป็นเจ้าของ ‘ซื้อหุ้นเท่ากับคุณเป็นเจ้าของบริษัท’ ซึ่งมันจับต้องไม่ได้เลยสำหรับคนสมัยก่อน

ถ้าพ่อแม่คุณคือ Baby Boomer แล้วคุณมาเล่นหุ้น ...คุณจะโดนด่าเละ เขาคิดว่า คุณทำอะไรไร้สาระ ไม่เป็นชิ้นเป็นอัน

ถ้าพ่อแม่คุณเป็น Gen X แล้ววันนี้ คุณมาเล่น Crypto เขาก็จะมองว่า ...Bitcoin จะมาแทนทองคำ และ Coin อีกมากมาย จะมา Disrupt ระบบธนาคารและ การชำระเงินทั้งโลก ...เขาจะมองว่า ขายฝันน่า !!

เอาตรงนะ ...ทั้งหมดมันก็เรื่องเดียวกัน เพียงแต่มันเปลี่ยนรูปแบบไปเรื่อยๆ 

ผมทำงานในตลาดหุ้น ก็เห็นเลยว่า 

ข้อจำกัด คือ ใครจะเอาหุ้นเข้าตลาด มีข้อจำกัดมีกฏต่างๆ มากมาย 

แต่ Crypto หรือ Coin ไม่มี ...ใครอยากออก ก็ออกได้เลย 

ก็แน่นอน มันก็มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ..’ข้อดีคือโอกาสมันเพิ่ม ..ข้อเสียคือขยะมันเยอะ’

..ในฝั่งคนเล่น ....คนเล่นหุ้น เงินน้อยเสียเปรียบ เพราะ รายใหญ่เขามีเครื่องมือ Leverage ที่รายย่อยใช้ไม่ได้ เช่น Block Trade หรืออะไรต่างๆ นานา

แต่ Crypto เงินน้อยก็เริ่มได้ ...จะอัด Leverage ก็ทำได้เลย ...รวมตัวกันใน Social แบบอเมริกาใน Reddit ก็ปั่นหุ้น ปั่น Coin อะไรก็ว่าไป ...‘ประมาณว่า เม่า แปลงร่างเป็นเจ้าได้ เว้ยเฮ้ย!!’ 

ถ้าให้ผมเดานะ ...ตลาดหุ้นมันก็อยู่ของมันไป ...แต่คนรุ่นใหม่จะไป Crypto มากกว่า เพราะ ข้อกำหนดมันน้อยกว่า กฏหมายมันยังไปไม่ถึง ...แต่ ‘รอบตลาดของ Crypto มันจะถี่กว่า’ ...ขึ้นรุนแรง ลงเละ จะมีให้เห็นเยอะกว่าหุ้น

ในมุมมองผม ถ้าให้มองความเสี่ยงและโอกาส 

- ถ้าซื้อหุ้นพื้นฐาน หุ้นใหญ่ เราสามารถใช้เงิน ทั้งหมด 100% ซื้อได้เลย เพราะไม่ทีทางเจ๊ง แต่โอกาสแต่ละรอบมันอาจจะแค่ 1-2 เด้ง

- ถ้าซื้อหุ้นเล็ก เราอาจใช้เงินได้ไม่เกิน 50% เพราะ เสี่ยงกว่า ...แต่โอกาสการขึ้นแต่ละรอบ ก็ 5-10 เด้ง

- ถ้า Crypto เราอาจใช้เงินแค่ 10% เพราะ มันอาจเหลือศูนย์ได้เลย ...แต่ไอ้ 10% นี้ ถ้ามันขึ้นมันอาจขึ้น 10-50 เด้ง เลยก็ได้ 

....โถ่พี่แพ้ท มองแบบคนแก่ ...ถ้าพี่บอกโอกาสมัน 10-50 เด้ง ผมอายุน้อย เงินก็น้อย ผมก็ใส่มันไปทั้งหมดที่ผมมีนี่แหละ 

ใช่!! ‘ถ้ารวย น้องรวยเร็วกว่าพี่แน่นอน ...แต่ถ้าเจ๊ง พี่ไม่เจ๊งด้วยไง’ ...555 

มันก็คือ เรื่องเดียวกัน บนรูปแบบที่แตกต่างไป ....สุดท้ายนักลงทุนที่ดี คือ การกำหนดความเสี่ยงของตัวเองให้ชัดเจน ว่าแย่สุด ฉันจะเป็นอย่างไร ...เมื่อกำหนดเรียบร้อย ก็ถึงเวลา ลุยครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ