แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 9 มีนาคม พ.ศ. 2561

พูดคุยกับ PRADA Jewelry



เมื่อวานผมได้มีโอกาสไปเยี่ยมชมกิจการของ PRANDA Jewelry หนึ่งในบริษัทรายใหญ่ในตลาดหุ้น ที่เป็นผู้นำ ในตลาดเครื่องประดับของไทย


หลายคนอาจไม่ทราบว่า ประเทศไทยจริงๆ เป็นฐานผลิตสำคัญของหลายๆ อุตสาหกรรม ..ตั้งแต่ อิเล็กทรอนิกส์ , ยานยนต์ , เครื่องสำอางค์ , เครื่องประดับ และ อื่นๆ


ที่พูดว่า ฐานผลิตสำคัญ คือ เรามีกำลังการผลิตในอุตสาหกรรมนั้นๆ เป็นอันดับต้นๆ ของโลก


ถ้าเรามองประเทศอย่าง เวเนซุเอลา ที่ล่าสุดค่าเงินล่มสลาย ประเทศเข้าสู่วิกฤตการเงิน และ วิกฤตเศรษฐกิจขั้นรุนแรง นั่นเพราะ เวเนซุเอลา พึ่งพิงเศรษฐีทั้งประเทศอยู่บนราคาน้ำมัน ...ช่วงที่น้ำมันราคาสูง ประเทศเวเนซุเอลา ก็รวยอู่ฟู่ เพราะ ทำเงินมหาศาลจากการส่งออกน้ำมัน


เรียกได้ว่า แค่ขายน้ำมัน ก็เพียงพอที่คนทั้งประเทศไม่ต้องทำอะไรมากมาย ..สามารถใช้เงินจากกำไรการขายน้ำมัน ซื้อของทุกอย่างเลี้ยงคนทั้งประเทศ (ขายน้ำมัน เพื่อ แลกอาหาร แลกทุกอย่าง)


แต่พอราคาน้ำมันร่วง ก็กลายเป็นว่า เงินที่เคยใช้ซื้อของนำเข้า อาหารและ สาธารณูปโภค มันเริ่มไม่พอ ...นั่นแหละ จุดล่มสลายของเศรษฐกิจประเทศเวเนซุเอลา


ที่เล่าเรื่องนี้ เพราะอยากจะอธิบายให้เห็นภาพกันว่า ในโลกปัจจุบัน เราไม่ได้ตัดสินคนรวย คนจน จากคนที่มีทรัพย์สินมหาศาล แต่เราตัดสินคนรวยจน จากความสามารถในการทำมาหากินในปัจจุบันต่างหาก


อย่าง ประเทศเวเนซุเอลา นับได้ว่าเป็นประเทศที่มีทรัพยากรธรรมชาติโดยเฉพาะน้ำมัน มีมาก ร่ำรวยน้ำมัน ...แต่การร่ำรวย ทรัพยากรน้ำมัน ส่งผลให้ อุตสาหกรรมอื่นๆ อ่อนแอ ...นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า 


‘คำสาบของทรัพยากร’


วันนี้ประเทศที่ร่ำรวยในโลกปัจจุบัน กลับกลายเป็นประเทศที่ไม่มีทรัพยากร แต่คนในประเทศขยันทำมาหากิน เช่น สิงค์โปร์ , ญี่ปุ่น , อิสราเอล 


มาถึงประเทศไทย เราโชคดี ที่ภาคธุรกิจเอกชน ขยันทำมาหากิน ..ทำให้เราไม่พึ่งพาเศรษฐกิจอยู่กับทรัพยากร


 (ใช่!! ยุคนี้ ถึงเกิดมาไม่รวย ก็สร้างตัวได้)


ที่เล่ามาไม่ได้ จะพูดให้เราหลงตัวเอง แต่เล่าให้ฟังว่า เราทำได้ค่อนข้างดี แต่วันนี้อนาคตของประเทศเรา ก็ขึ้นอยู่กับ คนในประเทศไทย ที่หมั่นพัฒนาตัวเอง ..เรียนรู้จากความผิดพลาด ..ปรับปรุง แล้วนำพาตัวเราและประเทศมุ่งสู่ความสำเร็จในอนาคต


เกริ่นมาซะยาว เพราะวันนี้ผมได้มาเจออีกหนึ่งธุรกิจ ที่ผ่านมรสุมธุรกิจ ...แต่ก็สามารถผ่านวิกฤตแล้วกลับมาเดินต่ออย่างมั่นคง 


วันนี้ผมได้พูดคุยกับ คุณอาร์ต มือการเงินคนสำคัญ ‘CFO’ ของกลุ่ม PRANDA Jewelry 


คุณอาร์ต เล่าให้ฟังว่า ทุกๆ ธุรกิจ ย่อมต้องเคยผ่านมรสุมของธุรกิจ ..และนั่นคือ สิ่งที่ PRANDA Jewelry เจอในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา


ลองมาดูซิว่า บริษัทแห่งนี้มีวิธีคิดผ่านวิกฤตได้อย่างไร


1. ‘มรสุมจากการพึ่งพิง ลูกค้ารายใหญ่น้อยราย’ ในช่วง 2-3 ปีที่ผ่านมา ธุรกิจของ PRANDA ค้าขายกับรายใหญ่ที่เขาเจอวิกฤติในยุโรป ส่งผลให้ยอดขายและกำไรหดหาย ...วิธีแก้คือ การปรับโครงสร้างธุรกิจ หาลูกค้าใหม่ แล้วกระจายให้ฐานลูกค้าสมดุลย์ ไม่อิงรายใหญ่รายใดรายหนึ่งมากเกินไป


2. ‘การเร่งขยาย แบรนด์ตัวเอง และ หน้าร้านของตัวเอง’ ..ธุรกิจของ PRANDA หันมา โฟกัส ในการมีจุดขายของตัวเอง และ สร้างแบรนด์สินค้า ซึ่งก็คือ Prima Gold , Prima diamond และ อื่นๆ ...การมีหน้าร้านของตัวเอง ทำให้เข้าถึงลูกค้าโดยตรง ได้ประโยชน์ 2 จุด คือ หนึ่ง กำไรต่อชิ้นมากขึ้น สอง เข้าใจความต้องการของลูกค้ามากขึ้น


3. ‘หันกลับมา เน้นพัฒนาจุดแข็ง’ ...จุดแข็งของ PRANDA คือ การผลิต งานฝีมือ และ การบริหารโรงงานของตัวเอง ...การหันมาพัฒนาจุดแข็ง ก็ช่วยลดต้นทุน และ สร้างสินค้าที่คู่แข่งทำไม่ได้


4. ‘การตัดธุรกิจที่ขาดทุน’ ...ในช่วงวิกฤติ ผู้บริหารต้องกล้า ตัดธุรกิจที่ขาดทุน ตัดธุรกิจที่ไม่ถนัด ...เมื่อหยุดขาดทุน โอกาสที่บริษัทจะมุ่งใช้ทรัพยากรให้มีประสิทธิภาพก็มีมากขึ้น - ‘กล้าตัดสิ่งที่ไม่ถนัด’


5. การใช้เครื่องมือทางการเงิน ให้มีประสิทธิภาพมากขึ้น’ ....บริษัทมีการปรับโครงสร้างทางการเงิน เพื่อสร้างความแข็งแกร่งในส่วนการเงิน ให้บริษัทพร้อมต่อการเติบโต


ความท้าทายของ PRANDA Jewelry ก็คือ การกลับมายืนในจุดที่เคยแข็งแกร่งแบบในอดีต ...ลดต้นทุน , กำจัดจุดอ่อน และ มุ่งพัฒนาจุดแข็ง


คุณอาร์ต แอบกระซิบว่า ‘เราผ่านช่วงที่เลวร้ายที่สุด ในช่วง 2 ปีที่ผ่านมา จากนี้ไป กำไรและการเติบโต จะกลับมา ....รอดูกัน!!’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 4 มีนาคม พ.ศ. 2561

เราเป็นคนที่ติดกรอบ เป็นบ้านที่มีรั้วใช่หรือไม่ ?



"รั้วหน้าบ้าน" ...คุณเป็นคนมีรั้วหรือไม่ ?

การตั้งรั้วเป็นการกำหนดขอบเขตของตัวเราไม่ให้สามารถเติบโตได้ ถ้าธุรกิจมีรั้ว ธุรกิจจะหยุดปรับตัว หยุดทำสิ่งใหม่ หยุดสร้าง Innovation แล้วค่อยๆ ตายไปในที่สุด 

ถ้าการศึกษามีรั้ว เราจะมองแค่ใบปริญญา และกำหนดขอบเขตของการศึกษาตามกรอบที่ใบปริญญากำหนด ซึ่งจะนำมาซึ่งงานที่ถูกจำกัดกรอบ มีคู่แข่งมากมาย และเติบโตในอาชีพได้ยาก

ถ้าใครมองไปรอบๆตัวจะพบว่า บ้านของคนไทยส่วนใหญ่มีรั้ว ซึ่งต่างจากบ้านฝรั่งที่ไม่มีรั้ว 

..ถ้าเราจะบอกว่า โจรไทยดุกว่า โจรต่างประเทศเหมือนไม่ดุ แต่โหดกว่า ใส่สูทและกินรวบมากกว่า 

..เขาสามารถปล้นเราผ่านรั้วบ้าน เขาใช้โซ่มาล่ามเราให้เป็นทาสด้วยหนี้

 ..ใช้ระบบการศึกษาสร้างรั้วทางความคิด แล้วแบ่งชนชั้นของสังคมตามที่เขาต้องการ

คุณสงสัยไหมว่า ทั้งๆ ที่ปัจจุบัน น้ำมัน และ ทองคำยังเป็นสิ่งที่กำหนดความมั่งคั่งของโลก ทั้งๆ ที่เราสามารถคิดค้นพลังงานที่ดีกว่า สะอาดกว่า และ ยั่งยืนกว่า ..แต่ก็ไม่สามารถนำมาใช้ได้ ..คุณว่าทำไมล่ะ 

..แล้วคุณว่าเมื่อไหร่ ที่เราจะสามารถปลดแอกออกจาก พ่อมดการเงินที่ควบคุมราคาของทุกสิ่งทุกอย่าง ซึ่งเสมือนเก็บภาษีกับประชากรทั้งโลกในทางอ้อม

การสร้างเงินของคนสองขั้ว ที่ขั้วนึงหาเงินสุดง่าย ต้นทุนต่ำ และ สามารถสร้างเงินในอัตราเร่ง ในขณะที่อีกขั้ว จำกัดการหารายได้ จากแรงงานราคาถูกที่เขาแลกกับเงินเพียงน้อยนิด
 
..มันเหมือนไม่แฟร์นะ !! แต่เชื่อไหมว่า สิ่งที่พูดมา แก้ได้ด้วย ปัญญา และ ความรู้ ที่ตั้งอยู่บน New Education การศึกษาในรูปแบบใหม่ ที่ไร้รั้ว
นั่นแหละครับ ประเด็นที่ต้องการจะสื่อ

 ...เราจะมีชีวิตที่ดีขึ้นได้ ด้วยการสร้างหน้าบ้านที่ไร้รั้ว แล้วมาดูกันซิว่า ระหว่างภูมิปัญญาฝรั่งโลกตะวันตก กับวิถีความคิดแบบไทยๆ รุ่นไหม จะสู้กันได้มากน้อยเพียงใด

ใช่!! การพังรั้ว ก็คือ การทำลายข้อจำกัดเดิม เพิ่มศักยภาพ และ โอกาส 

...เรามาดูกันดีกว่าว่า การพังรั้วในด้านต่างๆ จะส่งผลให้หน้าบ้านของเราดีขึ้นอย่างไร

--------------------------------------------

การพังรั้วการศึกษา แห่งบ้านไร้รั้ว

การศึกษาในประเทศไทยมักติดอยู่กับรั้วที่เรียกว่า ใบปริญญา ..ซึ่งนับวัน ใบปริญญาก็แพงขึ้นเรื่อยๆ แล้วก็แบ่งเป็น สายอินเตอร์ และ สายสามัญ 

..ยิ่งเรียนอินเตอร์ด้วยแล้ว พ่อแม่ในยุคนี้ต้องเตรียมเงินกว่า 10 ล้านบาทแน่นอน เพื่อจะส่งตั้งแต่โรงเรียนอินเตอร์ในไทย ไปจนจบปริญญาโทและเอกในต่างประเทศ

แต่เดี๋ยวก่อนนะ การเรียนไม่ใช่เรื่องผิด การเรียนในต่างประเทศก็ไม่ได้เป็นปัญหา เพราะ ยิ่งเรียนได้สูง เรียนได้มาก เรียนได้กว้าง เด็กยิ่งได้รับโอกาสในชีวิตที่มากขึ้น แต่ปัญหามันอยู่ที่ มุมมองของการเอาใบปริญญามาเป็นรั้ว ซึ่งวิธีการไร้รั้วทางการศึกษาก็คือ การมองการเรียนเป็นการมุ่งหาปัญญา แทนมุ่งหาใบปริญญา

ความแตกต่างก็คือ ถ้ามุ่งใบปริญญา นักเรียนก็จะสนใจแต่การทำเกรดเพียงอย่างเดียว เรียนหนัก จำให้เก่ง ท่องให้ได้ ซึ่งผลสุดท้ายความรู้นั้นๆ ไม่ได้มีประโยชน์ในการทำงานจริง 

..ในทางกลับกัน ถ้าเรามอง คนรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จมหาศาลอย่าง Bill Gates เจ้าของ Microsoft , Steve Jobs หรือ Mark Zuckerberg เจ้าของ Facebook 

..ถ้ามองแบบเผินๆ คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่า “ลาออกซิ ถ้าอยากรวย” แต่นั่นไม่ใช่ประเด็นเลย เพราะเอาเข้าจริง ถ้าคุณลาออกในขณะที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร โอกาสตกอับในชีวิตยิ่งมีสูงขึ้นไปอีก (ไอ้คนที่ยังไม่รู้ว่าจะทำอะไร แล้วยังไม่เจอโอกาส ขืนลาออก ได้เป็นกรรมกรแน่ นายเอ๋ย !!)

ลองมองดีๆ ซิ เราจะเห็นเลยว่า  Bill Gates , Steve Jobs หรือ Mark Zuckerberg เขาเรียนปกติแบบคนทั่วไป แต่เขาไม่ได้สนเกรด เขาเรียนเพื่อหาโอกาส ซึ่งก็คือ ตั้งเป้าเรียนเพื่อหาปัญญานั่นแหละ 

คิดง่ายๆ นะ ความรู้ในโลก Knowledge มีเยอะแยะ เราไม่จำเป็นต้องรู้ทุกเรื่อง แต่การหา ปัญญา  หรือ Wisdom มันเป็นการค้นหาว่า Knowledge หรือ ความรู้อะไรที่เหมาะกับตัวเรา และ ความรู้อันนั้นแหละที่เราเรียกว่าปัญญา ซึ่งถ้าเราค้นพบเมื่อไหร่ นั่นแหละสุดยอดโอกาส จะเห็นได้ว่า เมื่อคนเหล่านี้เขาพบปัญญา 

(ปัญญา คือ เขาเจอความรู้ ที่เหมาะสมกับโอกาสพอดี -- เป๊ะมาก!!)

 เขาไม่ต้องสนใจเลยว่าต้องได้ปริญญาหรือไม่ ..เพราะเขาเจอสิ่งที่เขาหาเรียบร้อยแล้ว 

ยิ่งถ้ามองให้ดี จะพบว่า ไม่ใช่เฉพาะอาชีพนักธุรกิจเท่านั้น ที่มุ่งหาปัญญา แต่มันทุกอาชีพ 

..อย่างนักกีฬา เราก็เห็นตัวอย่างของ Tiger Woods เมื่อเขาพบปัญญาของตัวเอง คือ การเป็นนักกอล์ฟมืออาชีพเขาก็ลาออกเพื่อเป็น นักกอล์ฟอันดับต้นๆ ของโลกทันที

ใช่ครับ !! การไร้รั้วในเรื่องการศึกษา คือ อย่าจำกัดกรอบตัวเองแค่ใบปริญญา แต่จงตั้งเป้าเรียนเพื่อเอาปัญญา ในสิ่งที่เรียน ..แล้วความรู้จะก้าวกระโดด 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 มีนาคม พ.ศ. 2561

5 เคล็ดลับขายดีของสุดยอดร้านอาหาร




5 เคล็ดลับ ขายดีของสุดยอดร้านอาหาร 


วันนี้ถ้าพูดถึงธุรกิจร้านอาหาร เราอาจจะไม่ได้พูดแค่ธุรกิจเล็กๆ หรือ SME อีกต่อไป ..แต่วันนี้ธุรกิจร้านอาหารที่เข้าตลาด มูลค่านับหมื่นล้าน อย่างสุกี้ MK หรือร้านขนม After You ก็เป็นตัวอย่างให้เห็นว่า 


...ในโลกยุคนี้ ไม่มีธุรกิจที่เล็กเกินไป ไม่มีงานที่กระจอก ไม่มีลิมิตของสิ่งที่ทำ เพราะถ้าคุณทำอะไรได้ดีจริง คุณมีหมื่นล้านได้ - จัดไป !!


มาดูกันว่า 5 เคล็ดลับ ขายดีของสุดยอดร้านอาหารคืออะไร 


1. ‘มีเมนูยอดฮิต’ ...จะบอกว่า แค่ทำอาหารอร่อย สะอาด มันไม่เพียงพออีกต่อไป ..ต่อให้คุณทำอร่อยทุกอย่างก็ไม่ดีเท่า มีเมนูขายดี ...เช่น After You มี Honey Toast ที่เกือบทุกโต๊ะ ต้องสั่ง , เจ๊โอ มีมาม่าเที่ยงคืน ที่สั่งเกือบทุกโต๊ะ , แหลมเจริญ มี ปลากระพงทอดน้ำปลา , เจ๊ไฝ มีไข่เจียวปู ...ใช่!! เน้นว่า อร่อยทุกอย่าง สู้มีเมนูเด็ดยอดฮิตไม่ได้ (เพราะอร่อยทุกอย่าง แปลว่า ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย)


2. ‘มีลูกค้าบอกต่อกัน’ ..การที่คนจะบอกต่อ แปลว่า ต้องอร่อยและ มีจุดเด่นที่บอกต่อ แล้วทำให้คนบอกดูดี ...ย้ำว่า ‘คนจะบอกต่อ ต่อเมื่อบอกแล้วเขาดูดี’ เช่น ถ้านายไม่เคยกินไข่เจียวปู เจ๊ไฝ ชีวิตนี้นายอาจจะยังนอนตายตาไม่หลับ ...เจสส !! - ไงล่ะคนบอกดูดีทันที ..555 ...ยิ่งยุคนี้การบอกต่อกันของลูกค้าใช้ Social มันยิ่งแรง โจทย์นี้ร้านไหนคิดได้ ก็ดัง !! 


3. ‘ได้รับรางวัล’ การได้รับรางวัลคือ การที่ได้รับการยอมรับจากหน่วยงาน ยิ่งหน่วยงานนั้นน่าเชื่อถือ ยิ่งส่งผลดี เช่น ได้ดาวมิชเชอลิน อันนี้ระดับโลกเลย ...การได้รับรางวัล มันทำให้เราดูน่าเชื่อถือ เพราะ ถ้าให้คุณเลือกทาน ระหว่าง ร้านที่ไม่ได้รับรางวัล กับร้านที่ได้รางวัล เราก็เลือก ได้รับรางวัลอยู่แล้ว ปกติ !!


4. ‘มีระบบที่ดี’ ..อันนี้ยากที่สุด ใครเคยทำร้านอาหารที่ดี จะรู้เลยว่า การพยายามวางระบบในร้าน คือ หัวใจของคุณภาพอาหารและบริการ ซึ่งคือ ทั้งหมดของธุรกิจอาหาร ...อย่างร้าน MK ที่กลายเป็นสุกี้หมื่นล้่าน ไม่ใช่เพราะอร่อยเทพ แต่เพราะ ระบบดี ...คิดดูซิ สุกี้มีอะไร ...ไม่ต้องมีเชฟ ออกแบบให้ ใครทำก็ได้ ...พนักงาน แบ่งหน้าที่ชัด ทำน้อยอย่าง แปลว่า ทุกคนแทนได้หมด คนไม่สำคัญ ระบบสำคัญ ....ระบบที่ดี แปลว่า ‘ไม่มีใครสำคัญเลย นี่คือ สุดยอดระบบ’


5. ‘ทำเลที่ชัด’ ...อันนี้ไม่เกี่ยวกับทำเลสุดยอด หรือ ทำเลแพงนะ เพราะ เราเห็นร้านเยอะแยะ ตั้งในทำเลดีมาก แต่เจ๊ง ก็มี เพราะ จุดสำคัญคือ ทำเลชัด ...แปลว่า ร้านต้องตั้งในทำเลที่ตรงกลุ่มลูกค้าชัดเจน ...ซึ่งบางครั้งถ้ากลุ่มลูกค้า ต้องการสั่งกินที่บ้าน ก็แปลว่า ไม่ต้องมีร้าน แต่ต้องทีระบบจัดส่งที่รวดเร็ว ...ดังนั้น คำว่า ทำเลชัดเจน มันหมายความว่า ร้านอาหารต้องเลือกกลุ่มลูกค้าชัดเจนตั้งแต่เริ่มเลย แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ ดีตาม


ร้านส่วนใหญ่ พยายาม จับทุกกลุ่ม เอาลูกค้าทุกคน ทำอร่อยทุกอย่าง ก็เลยไม่มีอะไรเด่น ...ด้วยการแข่งขันที่สูง พอเชฟลาออก คุณภาพตก ซวยตาม ..หรือ พอไม่มีเมนูฮิต ก็ต้องสต๊อกสินค้าเยอะ จนไม่สด สู้ร้านที่มีเมนูเหมือนกัน ฮิต สด เด็ด บอกต่อ 


ลองไปคิดปรับใช้กับ สิ่งที่คุณทำดูครับ


‘เคล็ดลับ คือ สิ่งเล็กๆ ที่สำคัญที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ...เราถึงเรียกมันว่า เคล็ดลับแห่งความสำเร็จไง’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 1 มีนาคม พ.ศ. 2561

ร้านเครื่องสำอางค์ 6 หมื่นล้าน ทำอย่างไร



เราอาจจะนึกภาพไม่ออก ว่าคนที่รวย 6 หมื่นล้าน เขาหน้าตาเป็นอย่างไร ..เขาทำอะไรกับเงินที่มี ...ที่สำคัญสุดคือ ‘เขาทำได้ยังไง ..ทุกวันนี้จะหาสักล้านบาท นี่เลือดตาแทบกระเด็น แล้ว หกหมื่นล้านใน 20 ปี หายังไง ?’


วันนี้ผมได้มาสัมภาษณ์ หมอสุวิน เจ้าของร้าน Beauty Buffet ...ทุกวันนี้ Beauty Buffet เป็นบริษัทที่อยู่ในตลาดหุ้น SET มีมูลค่า 6 หมื่นล้านบาท 


..ทำอย่างไร ตอบแล้ว - ‘เอาบริษัทเข้าตลาดหุ้น นั่นเอง’ ...ทุกวันนี้ ร้าน Beauty ในเครือกว่า 300 สาขา ทั้งในประเทศ และ ต่างประเทศ ทำกำไรรวมกันแต่ละปี ประมาณ 1 พันล้านบาท 


...คิดง่ายๆ ถ้าไม่เข้าตลาดหุ้น ก็จะได้เงินปีละ 1 พันล้าน ..ถ้าอยากได้ 6 หมื่นล้าน ก็ต้องทำกำไรแบบนี้ไปอีก 60 ปี ...โอ้!! นี่แหละ พลังของตลาดหุ้น 


...มันมี Multiple คือ ความรวยทวีคูณ ...ใครก็ตามที่สามารถพาบริษัทตัวเองเข้าไปจดทะเบียนซื้อขายในตลาดหุ้น SET ได้ วันนี้มีค่าทวีคูณ ความรวยประมาณ 15 เท่า ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าทำกำไร 1 บาท ถ้าอยู่ในตลาดหุ้น นักลงทุนยอมซื้ออย่างน้อย 15 บาท 


อันนี้แหละ ที่เขาเรียกว่าค่า P/E หรือ กี่ปีคืนทุน นั่นเอง 


...แต่จริงๆ แล้ว การที่ Beauty สามารถเข้าไปจดทะเบียนในตลาดหุ้น มันมี Story และ ที่มาที่ไม่ธรรมดา ...ผมถึงต้องมาสัมภาษณ์ คุณหมอสุวิน ถึง วิธีคิดและ วิธีการกัน


คุณหมอสุวิน เล่าให้ฟังว่า ธุรกิจเครื่องสำอางนี่ เขาเริ่มในช่วงวิกฤตต้มยำกุ้ง ก็ประมาณ 20 ปีแล้ว เริ่มจากแผงขายเครื่องสำอางในมาบุญครอง ก็เริ่มจากซื้อมาขายไป แล้วพอเริ่มดี ก็ค่อยๆ ขยายสาขา


‘เดี๋ยวนะครับ !! พี่หมอ กำลังบอกผมว่า ธุรกิจ 6 หมื่นล้าน นี่คือเริ่มจากแผงขายเครื่องสำอางในมาบุญครองเหรอครับ?’ ...ฟังแล้วอยากก้มลงกราบ ...เทพ ชิบหาย !!


แล้วไงครับ แล้วมันโตยังไง ?


...พี่หมอเล่าว่า ช่วงแรกๆ ก็ซื้อมาขายไปเฉยๆ แต่พอมีหลายสาขา มีลูกค้าเยอะขึ้น ก็เริ่มรู้ความต้องการของลูกค้า ..ด้วยความที่พี่หมอ เป็นคนที่ชอบสังเกต ชอบดูว่าลูกค้าต้องการอะไร ก็เลยลองไป จ้างผลิต OEM ...’ช่วงแรกๆ ไม่ค่อยมีโรงงานไหน อยากผลิตให้เพราะเรารายเล็ก !!’ ...แต่พอมีโรงงานนึงยอมผลิตให้ เอามาขาย ก็ขายดี ทั้งที่ตั้งราคาค่อนข้างสูง


‘นั่นแหละ มาถูกทางละ’ ...จากแค่ซื้อมาขายไป ...ตอนนี้ มีสินค้าที่แตกต่าง แถมสามารถตั้งราคาได้สูง และ ขายดีกว่าเดิม 


พอเจอทาง คราวนี้ ก็เริ่มทำสินค้าเองเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 


ตอนแรกก็ยังไม่มี แบรนด์ของตัวเองนะ แต่พอทำมาเรื่อยๆ ก็ถึงจุดที่คิดว่าเราพร้อม ก็เลยตัดสินใจสร้างแบรนด์ครั้งใหญ่ จึงเกิด Beauty Buffet ขึ้นมา 


จากที่นั่งคุยกับพี่หมอ ก็พอจะสรุป ความสำเร็จของ Beauty Buffet ได้ดังนี้


1. ‘การเข้าใจความต้องการของลูกค้า’ ทำให้สามารถสั่งผลิตเครื่องสำอางที่มีความแตกต่างจากคู่แข่ง ที่ส่วนใหญ่แค่ซื้อมาขายไป


2. ‘เลือกกลุ่มลูกค้า Medium High ที่ใหญ่และขยายตัวมากที่สุดในยุคนี้’ ..ลูกค้ากลุ่ม Medium High คือ ลูกค้า Premium ของตลาด Mass ..พูดภาษามนุษย์คือ วางตัวเป็นเครื่องสำอางแบบหรู ในตลาดเครื่องสำอางราคาถูก ....กลุ่มนี้ใหญ่มาก และคนละกลุ่มกับเครื่องสำอางในห้าง 


3. ‘การควบคุมต้นทุนขั้นเทพ’ ...Beauty ใช้หลักการ สั่งผลิตแยกส่วน ทำให้ควบคุมต้นทุนได้ดี ...อย่างเครื่องสำอางหนึ่งชิ้นจะแบ่งเป็น 3 ส่วน คือ กล่องใส่/ สิ่งพิมพ์ / และก็เนื้อ ...ยกตัวอย่าง กล่องนี่สั่งจีนได้ แต่เนื้อห้ามสั่งจีน เหมือน อาหารน่ะคนก็กลัวสินค้าจากจีน แต่กล่องใส่นี่ไม่เป็นไร เราไม่ได้กิน ...

อันนี้ที่หลายคนไม่รู้ว่า จริงๆ ประเทศไทยเราเป็น ศูนย์กลางการผลิตเครื่องสำอางที่ใหญ่ที่สุดในโลก  เพียงแต่เราไม่มีแบรนด์เท่านั้นเอง


4. ‘ใช้ลูกค้า ขายลูกค้า’ ...Beauty ใช้งบโฆษณาแค่ 3% ของยอดขายเอง แล้วส่วนใหญ่ลงกับ Social สนับสนุนลูกค้า ที่เป็น Beauty Blogger หรือ คนที่เป็นเซเลป ในเรื่องการแต่งหน้าและเครื่องสำอาง ...พูดง่ายๆ เราใช้ลูกค้าขายลูกค้านั่นเอง


5. ‘การเข้าตลาดหุ้น’ ...ถือเป็นจุดที่ทำให้เราปิดจุดอ่อนในเรื่องของคน ...ปกติธุรกิจแบบนี้ พนักงานจะลาออกบ่อย ...ก่อนเข้าตลาดนี่ Turnover 20% ...พอเข้าตลาดเราวาง ระบบผลตอบแทน และ Career Path ใหม่หมด ...ได้แบ่งกำไร ได้สวัสดิการ ได้เติบโตได้ คราวนี้ แทบไม่มีใครลาออก Turnover ลดเหลือ 2% ...นี่แหละ ธุรกิจพุ่งเลย เพราะพนักงานคุณภาพคือ หัวใจ !!


6. ‘ไม่มีโรงงาน’ ..ธุรกิจบิวตี้ชัดเจน คือ ดูแลความต้องการลูกค้า นี่คือความเชี่ยวชาญ นอกนั้น โรงงานการผลิต เราจ้างคนอื่นดีกว่า ...พูดง่ายๆ ทำเฉพาะสิ่งที่ทำได้ดี แล้วทุ่มพลังให้สิ่งที่ทำได้ดีเท่านั้น


7. ‘มีหน้าร้าน’ หลายคนคิดว่ายุคนี้ต้องออนไลน์ แต่บอกเลยว่า การมีหน้าร้าน ช่วยให้บิวตี้ สามารถใกล้ชิดลูกค้า จุดนี้ทำให้ เราสามารถออกสินค้าได้โดนใจ ...หน้าร้าน เป็นทั้ง ที่ขาย ที่ทดลองสินค้า และ ที่วิจัยตลาด ...ออนไลน์ส่วนใหญ่จะเน้นของถูก หรือ การซื้อซ้ำ


(แต่ถ้าเราไปจีน จะไม่มีหน้าร้านนะ เพราะตลาดจีน ออนไลน์ไปไกลกว่าเรามาก แล้วเขาเหมาะกับออนไลน์ เพราะ เนื้อที่ใหญ่ แล้วออนไลน์จีน Cover เหนือกว่า ช่องทางปกติไปแล้ว)


8. ‘พัฒนาทักษะการขายของพนักงานอย่างต่อเนื่อง’ ...บริษัทเรามี Sale Development เน้นที่การขาย เราเน้น Training ที่วัดผลได้โดยตรง ...เราสอนถึง Customer Insight เลย ..อย่าง ห้ามยืนหน้าร้าน เพราะลูกค้าจะอึดอัดไม่เข้า ...หรือ อยากให้คนเข้าให้จัดของ เพราะ ลูกค้าจะกล้าเดินเข้ามา 


9. ‘พัฒนาสินค้าใหม่ตลอดเวลา’ ..หมดยุคแล้ว ที่จะขายสินค้าตั้งแต่รุ่นปู่ยันลูกหลานแล้วทำเหมือนเดิม ...ยุคนี้ ต้องออกสินค้าใหม่ตลอดเวลา เพราะ ความต้องการลูกค้าเปลี่ยนเร็ว ...นี่แหละ ที่ทำให้ธุรกิจไม่ตกเทรนด์


10. ‘ขนาดของร้าน’ ...ยุคต่อไป ร้านเล็กได้เปรียบ เพราะ มันคือ Omni Channel ทั้ง Online และ หน้าร้าน รวมเป็นหนึ่ง ...อย่าง IKEA วันนี้พยายามลดเนื้อที่ร้าน ขยายออนไลน์ ทำในตลาดเฟอร์นิเจอร์ ... แต่บิวตี้ ก็คือ ที่หนึ่ง ทำแบบนี้ในตลาดความสวย!!


.....‘กลัวถูก Disrupt ไหม ?’ เดี๋ยวนี้คู่แข่งมีทั้งคนขายแข่งออนไลน์เยอะมาก ..หรือ คู่แข่งที่เปิดร้านใหญ่ๆ อย่าง Eve and Boy คิดยังไง ?


 ........’คนละตลาดครับ การที่เราทำเครื่องสำอางของตัวเอง จับกลุ่มลูกค้าที่ชัดเจน 


...นี่คือ หัวใจของธุรกิจ’ - ลูกค้าชัด - สินค้าแตกต่าง - ดูแลลูกค้าอย่างยั่งยืน นี่คือ หัวใจความสำเร็จ ของบิวตี้ 6 หมื่นล้าน สร้างได้ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ