แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Life Design

 5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Life Design


ยุคก่อนรู้จักแต่ ‘วางแผนเกษียณ’ ซึ่งยุคนี้เขาไม่คิดแบบนั้นแล้ว …มันถึงเป็นที่มาของ Life Design หรือ ‘ชีวิตที่ออกแบบได้’ 


มันต้องออกแบบอะไรบ้าง ?


1. ‘ฐานทุนที่เริ่มต้นใหม่ได้เสมอ’ …คนส่วนใหญ่จะคิดว่า Size ยิ่งใหญ่ยิ่งดี ..ก็ใช่ แต่จริงๆ ที่สำคัญกว่าคือ ‘Flexible หรือ ความยืดหยุ่น’ …ยุคนี้ต้องแบ่งเงินลงทุนเพื่อให้พลาดได้แต่ไม่เจ๊ง …เพราะ โอกาสมันมาตลอด แค่อย่าใส่สุดก็ไม่เจ๊งแล้ว 


2. ‘มีเงินปันผลที่เหมาะสม’ …ปันผลคือ เงินทำงานแทนเรา …มันมาแทน ‘เงินเดือน’ ในวันที่เราหยุดทำงานประจำ …ตอนเริ่มทำส่วนนี้แรกๆ มันดูเหมือนเป็นไปไม่ได้ แต่สุดท้ายมันเป็นไปได้ ถ้าทำได้นานพอ (ง่ายๆ ก็ไปถามคนที่เขาทำได้ คนเหล่านี้เขาจะเล่าให้คุณฟังอย่างละเอียด ว่าเงินน้อยนิดของเขาตอนเริ่ม มันโตมาขนาดนี้ ปันผลมากขนาดนี้ได้ยังไง)


3. ‘มีสิ่งที่อยากทำ ที่พัฒนาสติปัญญา’ …ชีวิตที่ดี คือ ชีวิตที่เติบโต ซึ่งก็คือ การเติบโตทางความคิด …ใช่!! ต้องออกแบบว่า เรื่องต่อไปที่อยากจะเรียนรู้คืออะไร 


4. ‘มีสิ่งที่อยากทำ ที่พัฒนาสุขภาพ’ …หนึ่งในนั้นคือ การออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ …ชีวิตที่ดี คือ ทางสายกลาง …วันไหนที่เราสบายเกิน ก็แปลว่า มันเริ่มหย่อนเกินไปละ …ต้องบังคับตัวเองให้ตึงขึ้น ก็เช่น การออกกำลังกายนั่นแหละ …หรือ ถ้าแก่แล้วคิดมาก ก็ต้องบังคับตัวเองให้นั่งสมาธิ …คิดถึงทางสายกลางนั่นแหละ …เรื่องนี้มันเป็นเรื่องของวินัย ‘ชีวิตอิสระ ก็คือ ชีวิตที่มีวินัย’ 


5. ‘มีเพื่อนที่ศีลเสมอกัน’ …แต่ก่อนผมไม่เข้าใจคำว่า ศีลเสมอกัน คืออะไรวะ ? …แต่พออายุเยอะขึ้น ก็เข้าใจมากขึ้นว่า เราจะสบายใจ เมื่อเรารายล้อม ด้วยคนที่ศีลเสมอกัน …ฐานะ / ความคิด ใกล้เคียงกัน …ฐานะ ก็คือ ทำอะไรก็สามารถจ่ายได้เท่าๆ กัน …คิดง่ายๆ ถ้าเราต้องเลี้ยงตลอด มันก็ไม่ใช่ป่ะ หรือ เราใช้ของเพื่อนฟรีตลอดก็ไม่ใช่เหมือนกัน ….ความคิด ใกล้เคียงกัน คือ ทัศนคติต่อสิ่งต่างๆ มันต้องคิดคล้ายๆ กัน (ถ้าต่างกันมากๆ คุณก็ดูนักการเมืองนั่นแหละ ..ไม่มีมิตรแท้ และ ศัตรูที่ถาวร) 


ใช่ครับ !! ชีวิตที่ดี มันเป็นผลจากการออกแบบมากกว่าแค่โชคดี 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

3 เรื่องของราคาที่เราควรรู้ก่อนตกเป็นเหยื่อ

 3 เรื่องของราคา ที่เราต้องรู้ ก่อนตกเป็นเหยื่อ


1. ‘แพง’ …ของแพง ขายง่าย เพราะ คนส่วนใหญ่จะคิดว่า แพง คือดี …ดังนั้น ของแพง ไม่ต้องอธิบายเยอะ คนคิดไปก่อนแล้วว่ามันดี …นอกจากนั้น มันเท่ห์ …คนธรรมดา ถ้าอยากดูดี ใช้ของแพงปั๊บ ดูดีขึ้นทันที มันเป็นเครื่องมือประหยัดน้ำลาย ไม่ต้องพูดเยอะ …พวก Luxury Brand จะใช้กลยุทธ์นี้เป็นหลัก …เหมาะกับ ธุรกิจขนาดเล็ก ที่เน้นคุณภาพ เช่น อาหารแนวโอมากาเซะ , ร้านคาเฟ่ติส , โรงแรมบูทิค , พวก Service business , สินค้าแฟชั่น …


2. ‘ถูก’ …ของถูก ขายง่าย เพราะมันถูก …ตลาดนี้ใหญ่มาก เป็นตลาดที่เกิดมากับยุคอุตสาหกรรม Mass Production …พวกนี้เหมาะกับธุรกิจขนาดใหญ่ ที่เก่งในเรื่องการผลิต การควบคุมต้นทุน …ไม่เหมาะกับธุรกิจขนาดเล็ก …คิดไว้เลยว่า ถ้าเราเข้ามาในเกมขายของถูก แปลว่า เรากำลังลงสนามแข่งกับธุรกิจขนาดใหญ่ …เอาตรงๆ โคตรเสียเปรียบ โอกาสรอดต่ำมาก ..โอกาสรวยแทบจะเป็นศูนย์ 


3. ‘ฟรี’ …ของฟรี ใครก็ชอบ …แต่จริงๆ ของฟรี แปลว่า เขามีรายได้จากที่อื่น …เช่น ธุรกิจออนไลน์ที่เราใช้ฟรี เพราะ เขาได้รายได้จากการขายโฆษณา ก็เหมือนทีวีสมัยก่อนนั่นแหละ …ถ้าคุณไม่ได้จ่ายเงินซื้อสินค้า คุณก็คือสินค้า นั่นแหละ ใช่เลย ….กลยุทธ์ของฟรี นี่เทพสุด เพราะเป็นการ คิดนอกกรอบ …ยากสุด เพราะ มันต้องเปลี่ยนรูปของการแข่งขันและการทำธุรกิจไปเลย ..พูดง่ายๆ ‘ของฟรี’ เป็นตัวล่อ …ส่วนสินค้าและบริการจริงต้องไม่ฟรี และต้องกำไรเยอะด้วย


…แล้ว ‘ใช้กับหุ้นยังไง ?’ 


- ‘หุ้นแพง’ …เม่าชอบ …ยิ่งดันให้แพง เม่ายิ่งเยอะ …คนส่วนใหญ่ชอบหุ้นแพง ยิ่งแพง คนยิ่งเข้ามาสนใจ เข้ามาซื้อ


- ‘หุ้นถูก’ …คนเกลียดหุ้นถูก …หุ้นถูกแปลว่า ไล่แขก บีบให้รายย่อยขาย …เจ้ามือจะได้ทยอยเก็บของราคาต่ำๆ ถูกๆ 


- ‘ฟรี’ …ข่าวดีคือ ของของแถมฟรีๆ เพื่อดันราคาขึ้น เรียกแขก เรียกคนให้มารับของ …ยิ่งเสพข่าวดี เรายิ่งมโนมากขึ้น สุดท้ายยิ่งติดยอดดอยสูงที่สุด 


(หุ้นปั่น จริงๆ ก็อยู่ในหมวดของฟรี เพราะ ต้นทุนแทบไม่มี ดังนั้น กาวได้สุดๆ)


ประมาณนั้นแล !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ยิ่งซื้อยิ่งรวย

 5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับสินทรัพย์ที่ยิ่งซื้อยิ่งรวย


1. ‘สินทรัพย์ยังไงก็ขึ้น’ …หมายความว่า สินทรัพย์จะทำให้คนที่บริหารเงินเป็นรวยขึ้น …และ สินทรัพย์จะยิ่งทำให้คนบริหารคนไม่เป็นจนลงหนักขึ้น !!


2. ‘สินทรัพย์ ต้องเป็นสิ่งที่มีจำนวนจำกัด’ …ตามหลัก Demand / Supply …ก็แน่นอน ของที่ราคาขึ้นต้องมีจำนวนจำกัด และน้อยกว่าความต้องการ เสมอ


3. ‘สินทรัพย์ที่มนุษย์สร้างขึ้น ต้องวิเคราะห์เจ้าของที่ถือก่อนด้วย’ …เช่น นาฬิการุ่น Limited ต้องนึกหน้าของเจ้าของให้ออกว่า ใครครอบครองอยู่แล้ว …แล้วก็นึกหน้าให้ออกว่า คนที่จะมาซื้อต่อหน้าตาเป็นยังไง …คนครอบครองก่อนหน้าทำให้ราคามั่นคง ถ้าเขาเป็นกลุ่มคนรวยที่ไม่คิดจะขาย (ไม่ร้อนเงิน) …ส่วนคนมาซื้อใหม่ จะทำให้ราคาขึ้น (คนรุ่นใหม่ สนใจสิ่งนี้แค่ไหน)


4. ‘สินทรัพย์เป็นเรื่องของวิธีคิดครึ่งนึง’ …คนจำนวนมากเคยซื้อสินทรัพย์ แต่ถือไม่นานพอ เลยไม่รวย …ดังนั้น นอกจากตัวสินทรัพย์แล้ว เจ้าของมีส่วนสำคัญมากที่เข้าใจการถือครองหรือไม่ว่า การจะรวยจากสินทรัพย์ต้องถือมันได้นานเพียงพอ


5. ‘สินทรัพย์มีการเปลี่ยนแปลง ต้องดูแลรักษาให้เป็นด้วย’ …การถือให้นานสำคัญ แต่การที่จะถือนานได้ ต้องรู้วิธีบำรุงรักษาสินทรัพย์ด้วย 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เราต้องเตรียมเงินสดรอซื้อ

 5 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับวิกฤตเศรษฐกิจที่เราต้องเตรียมเงินสดรอซื้อ


1. ทุกครั้งที่คุณล้างพอร์ตเตรียมเงินสด มันจะไม่เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ …เฮ้ย!! …ไม่เชื่อลองดูได้ …ใครลองจะเข้าใจจริงๆ 


2. วิกฤตเศรษฐกิจจะเป็นเรื่องที่เราไม่คาดคิด …คือ เราไม่ได้เตรียมตัว เช่น โควิด ใครจะคิดว่า มันจะเกิดโรคระบาดที่หยุดทั้งโลก


3. วิกฤตเศรษฐกิจจะทำให้ตลาดหุ้นลง 50% และหุ้นลงเฉลี่ย 70% ทั้งตลาด …มันเลยเป็นโอกาสที่เกิดประมาณ 10 ปีครั้ง


4. เมื่อมีวิกฤตเศรษฐกิจเราจะเจอหุ้น 5-10 เด้งหลังจากนั้นเกิดขึ้นมากมาย …พูดง่ายๆ มีคนเจ๊งจำนวนมาก ก็จะเกิดเศรษฐีใหม่หลังจากนั้นมากมาย


5. วิธีง่ายที่สุดให้เราเจอ Bull Market แบบเปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ ก็คือ ‘ลงทุนตลอดเวลา’ …โดยเฉพาะเวลาที่ดูแย่และมืดมนที่สุด ให้คิดในใจไว้เลยว่า ‘อีกนิด.. ทนหน่อย ใกล้รวยแล้ว’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

คนมีเงินหาเงินง่ายกว่าคนไม่มีเงิน

 ‘คนมีเงิน หาเงินได้ง่ายกว่าคนไม่มีเงิน’ 


นี่เป็นคำพูดที่ คนพูดกันเยอะ ถึงความไม่เท่าเทียมของระบบทุนนิยม …มันจริงหรือเปล่า ?


‘โคตรจริง!!’ 


..สมมุติให้คุณหาเงินจากตัวคุณเองเลย แรงงานคุณภาพแบบ คุณๆ ผมๆ นี่เลย ..ใช้แต่ตัวเลยนะ …ให้หาปีละ 10 ล้านบาท นี่โคตรยาก หรือ อาจจะแทบเป็นไปไม่ได้ …นี่คือ WFM (Work For Money) …หาเงินจากเอาเวลา เอาแรงไปแลก 


แต่สมมุติคุณมี 100 ล้านอยู่แล้ว แล้วคุณอยากได้ปีละ 10 ล้าน ..ก็แค่เดินเข้าไปในธนาคาร พวก Private Banking …กาแฟฟรี ขนมฟรี คนดูแลแทบจะอุ้มเข้าไป …คุณนั่งเฉยๆ เลย ก็รอรับปีละ 10 ล้าน …นี่คือ Money Work For You (นี่แหละ เงินทำงานแทนคุณ) 


“ถ้าคุณไม่มีเงินสักบาท การจะหาเงินล้านเป็นเรื่องยากแทบจะเป็นไปไม่ได้ แต่ถ้าคุณมีอยู่ร้อยล้านอยู่แล้ว การจะหาเงิน ล้านต่อปี เป็นเรื่องที่ไม่สามารถหลีกเลี่ยงได้ ..ใช่!! ฝากธนาคารกินดอก ก็เกินแล้ว’ 


ใช่!! มันโคตรไม่เท่าเทียม แต่จริงๆ ในโลกนี้มันก็ไม่ได้มีอะไรเท่าเทียมกันอยู่แล้ว …เอาตรงๆ พี่น้อง คลานตามกันมา ชีวิตยังไม่เท่าเทียมกันเลย ดังนั้น ‘ถ้าเราอยากได้อะไร ก็แค่ต้องไขว่คว้ามาเอง ก็เท่านั้นแหละ’ 


ทุกคนก็พูดได้ แต่อย่าเอาสิ่งนั้นมาเป็นข้อจำกัด ไม่ให้เราไปถึงเป้าหมาย


1. ‘เริ่มที่เงินเก็บก้อนแรก’ …ใครจะทำงานอะไร หาเงินเท่าไหร่ ไม่สำคัญเท่ากับว่า เก็บได้เท่าไหร่ …ต้องเก็บเงินก้อนแรกให้เร็วที่สุด เพื่อเอาเงินนั้นเป็น พาหนะในการผจญภัยในโลกทุนนิยม 


2. ‘การลงทุนจริงด้วยเงินก้อนนั้นให้เร็วที่สุด’ …เอาตรงๆ แทบไม่มีใครรวยจากเงินเก็บก้อนแรก …ส่วนใหญ่เจ๊งครับ (แทบหมดก้อน)  …แต่มันจะสอนถึง ความเป็นจริง ให้เราเข้าใจโลกการลงทุนมากขึ้น 


‘เฮ้ยพี่ !! ผม เจ๊งหนักเลยนี่ แล้วจากจุดนี้ไปไงต่อ ?’


…ง่ายๆ ก็ปาดน้ำตา แล้วเริ่มข้อ 1 ใหม่ ไง


‘เฮ้ย!! อะไรวะ นึกว่าพี่จะมีทางลัดให้ผม’ 


ไม่มี !! 


มาข้อ 4 ต่อ


‘อ้าว แล้วข้อ 3 ล่ะพี่ ?’ 


…ข้อ 3 มันเป็นช่วง ว๊าบ ….ช่วงผ่านทะลุมิติ …เป็นช่วงที่ wealth ของเราจะโตอย่างก้าวกระโดด ซึ่งตรงนี้ ขึ้นกับ Timing ของแต่ละคน ไม่เหมือนกัน ….แต่ทุกคนคือ ลงทุนต่อเนื่องไม่ยอมแพ้ …พอถึงจุดนึง มันจะมีช่วงพอร์ตกระโดด ….ส่วนมากก็มาในช่วงหลังจากขาดทุนจนหน้ามืด หรือ ผ่านวิกฤตใหญ่แต่ยังดันทุรังลงทุนต่อ อะไรประมาณนั้น 


‘แล้วผมจะ ถึงช่วง ว๊าบ เมื่อไหร่ …นี่ก็เพิ่งพอร์ตระเบิดจากการ all in แชร์ลูกโซ่ กับ เหรียญกาวไป’ 


‘ถามพี่น่ะ ไม่มีประโยชน์’ …ขอเล่าให้ฟังแบบนี้


ยุครุ่นพ่อแม่พี่ เขาเชื่อในการทำงานหนักเอาเหงื่อแลกเงิน …พอยุคพี่ใครทำแบบนั้น ไม่รวยหรอก …ยุคพี่ เป็นยุคหุ้น คือ เริ่มหาวิธีใช้เงินทำงานด้วยตลาดหุ้น …ถ้าพี่เอาเรื่องนี้ไปถามพ่อแม่ เขาคงตอบว่า 


‘เมื่อไหร่ลูกจะเลิกเล่นการพนัน หุ้นบ้าๆ บอๆ นี่แล้วไปหางานจริงๆ ทำสักทีล่ะ ?’ 


พี่ใช้เวลาเป็นสิบปี เพื่อพิสูจน์ว่า หุ้นไม่ใช่การพนัน ..จริงๆ คือ มันจะเป็นการพนัน หรือ การลงทุน มันขึ้นกับเรา ไม่ได้ขึ้นกับหุ้น 


ใช่!! หน้าที่ของเราก็คือ ข้อ 4 


4. ‘พิสูจน์สิ่งที่เราเชื่อด้วยความมุ่งมั่นที่นานเพียงพอ’ …เอาจริง พี่ไม่ได้ศึกษาแชร์ลูกโซ่หรือเหรียญกาวอะไรของเรา อย่างลึกซึ้งเท่าเรา ดังนั้น พี่จะไม่ฟันธงว่า สิ่งที่เราจะทำมันถูกทางหรือผิด …แต่คือตัวเราเอง ที่ต้องพิสูจน์เอง ‘ถ้าคุณเชื่อว่าใช่ ต้องไปให้สุด’ (แม้ว่าสุดท้ายเราจะล้มเหลวก็ตาม) 


‘เดี๋ยวนะพี่ …นี่คือ คำแนะนำ หรือ การยุยงวะพี่ ?’ 


5. ‘คนที่ล้มเหลวมากพอ เดี๋ยวมันสำเร็จเอง’ …ไอ้คนที่มันสำเร็จทุกคน คือ มันล้มเหลวมามากพอ ดันทุรังมาเกินเบอร์ จนมันเจอทาง ก็แค่นั้นแหละ 


พอเราอายุมากขึ้นจะเข้าใจเลยว่า ‘อะไรที่คนส่วนใหญ่เชื่อ มันไม่ใช่ทางสำเร็จ …ทางของคนส่วนใหญ่เป็นแค่ทางของการเรียนรู้ …พอเรียนรู้มากพอ จะรู้ว่า เส้นทางที่คนเดินเยอะ คิดเหมือนๆ กัน มันคือผิดนั่นแหละ ทางของเรามันจะเปิดขึ้น’ 


ครบ 5 ข้อแล้ว …แค่อยากจะบอกว่า ทุกอย่างในโลกมันไม่ได้มีอะไรเท่าเทียมตั้งแต่อดีต ปัจจุบัน และ อนาคต แต่การเปลี่ยนสิ่งนั้น มันไม่ได้เปลี่ยนจากโลกข้างนอก แต่เราต้องเปลี่ยนจากโลกข้างใน จาก inside ..จาก Mindset …ผมเชื่อว่า จริงๆ แล้ว มีแค่เราเท่านั้นที่สร้างความเปลี่ยนแปลงตัวเองได้อย่างแท้จริง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก

 ‘ออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก !!’ 


หลายๆ คนที่ผมเจอแล้ว ประทับใจในความเก่ง ความแกร่ง และ ทักษะในการเอาตัวรอด …คนเหล่านี้มีจุดที่คล้ายๆ กัน อยู่เรื่องนึง 


…ครับ …เขาต้องออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็ก 


ก็มานั่งคิดว่า การออกจากบ้านตั้งแต่ยังเด็กมันดียังไง ?


1. ‘ไม่เอาแต่ใจ’ ..การถูกตามใจมันทำให้เราอ่อนแอ เพราะ โลกจริงๆ มันคือการที่เราต้องพยายามเอาใจคนอื่นมากกว่าถูกตามใจ 


2. ‘เรียนรู้การจัดการเงินแบบผู้ใหญ่’ …แบบเด็กไม่ต้องคิดอะไร เงินหมดก็ขอเติมเงินจากพ่อแม่ ไม่ต้องวางแผน …การอยู่ไกลพ่อแม่ ก็ฝึกในเรื่องการจัดการเงินส่วนตัวตั้งแต่เด็ก ซึ่งมันจะฝึกได้ดีตอนอายุน้อยๆ นี่แหละ


3. ‘อยากได้อะไร ต้องหาเอง’ …เก็บเงินเองแล้วก็ซื้อ ..ความเจ็บปวดคือ กว่าจะเก็บได้อ่ะ พอจะเอาไปซื้อ ก็เสียดาย งั้นไม่ซื้อดีกว่า …555


4. ‘รู้วิธีจัดการความเหงา’ …การอยู่ด้วยตัวเองได้มีความจำเป็น ไม่ใช่ตลอดเวลา …แต่เวลาต้องอยู่คนเดียวต้องอยู่ให้เป็นนั่นแหละสำคัญ


5. ‘รู้จักตัวเองเร็วขึ้น’ …การรู้จักตัวเอง เอาตรงๆ เป็นเรื่องยากมากๆ …หลายคนคิดว่า รู้จักตัวเอง คือ รู้ว่าชอบอะไร …จริงๆ มันไม่ใช่ …เพราะ เราชอบทุกอย่าง เหมือนๆ คนอื่นแหละ …แต่เราจะรู้ว่าเราชอบอะไรจริงๆ มันต้องเรียนรู้จาก สิ่งที่ไม่ชอบ และ ความผิดพลาด


ทั้ง 5 ข้อนี้เป็นข้อสังเกต ไม่ใช่ข้อสรุป …มันเกิดจากการนั่งคุยกันในกลุ่มเพื่อนๆ ที่ต้องออกจากบ้านตั้งแต่เด็ก แล้วต้องออกมาใช้ชีวิตเอง 


ก็เลยถามไปว่า ‘สรุปมรึงคิดว่า ลูกมรึงจะเก่งได้ ต้องอยู่ไกลๆ มรึงใช่ไหม ?’ 


..’เอาตรงๆ นะ กรูเห็นด้วยมากๆ …ยิ่งมันไกลมรึงเท่าไหร่ มันจะยิ่งเก่ง’ 


ฮึม น่าคิด …555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ผมเกษียณแล้วนะ

 ‘ผมเกษียณแล้ว!!’ 


ไปเจอรุ่นพี่ท่านนึง อายุก็ประมาณสัก 40 กว่าๆ เขาบอกว่า ‘ผมเกษียณแล้ว !!’ 


…ดีว่ะ …อายุยังไม่ถึง 50 ก็เกษียณแล้ว 


ผมก็เลยถามว่า ‘เกษียณนี่แปลว่าอะไรครับ ?’ …อยากรู้จริงๆ ไม่ได้กวนทีนอะไร แต่อยากรู้ว่า ความหมายของคำว่า เกษียณ เอาตรงๆ นะ …โคตรกว้างเลย !!


1. เกษียณ = ไม่มีงานทำละ (แล้วทำอะไรต่ออ่ะ ? …คงไม่มีใครอยู่เฉยๆ อยู่บ้านเลี้ยงหลาน ใช่เหรอ …ผมว่า หลานอาจไม่ได้อยากเล่นกับเราเท่าไหร่นะ ยกเว้นเราให้ตังค์ …555)


2. เกษียณ = ไม่มีเงินเข้ามาละ ต้องเริ่มใช้เงินที่เก็บสะสมมา (อันนี้เหนื่อยนะ)


3. เกษียณ = เลิกทำงานที่ไม่อยากทำ แล้วไปทำงานที่อยากทำ (อันนี้เริ่มน่าสนใจ …ก็คือ ยังคงทำงานที่ชอบต่อไป ไม่ได้หยุดอยู่เฉยๆ)


เอาตรงๆ ผมชอบ ข้อ 3 มากที่สุด …มันคือ ‘เกษียณ = อิสรภาพ’ แต่อิสรภาพ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่มักตีความว่า ไม่ต้องทำอะไร แค่ทำตามใจตัวเอง (ฮึม!! น่าจะไม่ใช่นะ) 


‘อิสรภาพ’ จริงๆ มันไม่ได้เกิดจากการ ตามใจตัวเอง หรือ ไร้ระเบียบวินัย …แต่ตรงข้าม อิสรภาพจริงๆ มันเกิดจากการมีระเบียบวินัยต่างหาก …ยกตัวอย่าง คนมีสุขภาพดี มันเกิดจาก คนๆนั้น มีระเบียบวินัยในการกินดี และการออกกำลังกาย เขาจึงมีอิสรภาพในเรื่องสุขภาพ ที่ไม่ต้องป่วย ไม่ต้องติดกรอบในสุขภาพที่ย่ำแย่


อิสรภาพทางการเงิน ก็เกิดจาก คนที่มีระเบียบวินัยในการออม และ ลงทุนอย่างสม่ำเสมอ …จนพอร์ตการลงทุนมันโต มีปันผล มากกว่า เงินเดือน …ก็เกิดจากมีวินัย 


…ในส่วนของ ‘การเลิกทำงานที่ไม่อยากทำ มาทำงานที่อยากทำ’ อันนี้ผมว่า เป็นเรื่องที่ใช้เวลา 


การจะรู้ว่า เราชอบอะไรจริงๆ ต้องรู้จักตัวเอง …ไม่ใช่แค่ฟังคนอื่นมา …ถ้าจะพูดให้ชัดคือ เราเรียนรู้จากสิ่งที่ไม่ชอบก่อนเสมอ (เรารู้ว่าเรามีความสุข เมื่อเรารู้จักความทุกข์และความเจ็บปวด …คนที่เที่ยวไปรอบโลก แต่ไม่เจอความสุข เพราะจริงๆ เขาไม่ได้มีความทุกข์ไง วิ่งหาความสุขมันเลยไม่เจอ …แต่คนป่วย แค่หายป่วย นั่งเฉยๆ ก็สุขแล้ว)


…ถ้าเราเห็นคนที่วันๆ บ่นว่า เบื่อ …แปลว่า จริงๆ คนๆนั้น โคตรมีความสุขเลย …เพราะ คนมีความทุกข์ นี่ไม่มีความเบื่อ มีแต่ความเครียด ความเจ็บปวด ทรมาน …เบื่อ ได้แปลว่า ชีวิตมันดีไง ถึงมีเวลานั่งเบื่อ 


‘ชีวิตมันเป็นตลกร้ายจริงๆ’ …อิสรภาพ เริ่มจากการมีระเบียบวินัย …ซึ่งถ้าทำได้นานพอ มันจะทำให้เรามีอิสรภาพในการเลือกใช้ชีวิตในแบบที่เรากำหนดได้นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

5 ช่วง วงจรใสๆ ในตลาดหุ้น

 5 ช่วง วงจรชีวิตใสๆ ในตลาดหุ้น


1. ‘ช่วงซื้อหุ้นแพง และกำไรทิพย์’ …มือใหม่จะถูกดึงดูดเข้าตลาดหุ้นในทุกๆ ปลายรอบ เพราะ มีแต่ข่าวดี การซื้อขาย Volume คึกคัก …เข้ามาปั๊บก็กำไรทิพย์ทันที คือ เป็นตัวเลขกำไรในพอร์ตแต่เผอิญไม่ได้ขาย ถือทนกำไรนั้นหายไป ‘ทิพย์เลย!!’ 


2. ‘ช่วงถัวหุ้นแพง ยิ่งรับยิ่งจุก’ …เคยเห็นตัวเลขกำไรในพอร์ต ที่มันหายไป จนมาขาดทุน แต่ใจยังคงยึดติดตัวเลขกำไรนั้น ว่า เดี๋ยวจะกลับไปกำไรเหมือนเดิม …คิดแบบนี้ก็จะไปหาเงินมาเติม มาเพิ่ม มาถัว แต่เผอิญการลงมันเพิ่งเริ่มลง ยิ่งถัวมันก็ยิ่งขาดทุน


3. ‘ช่วงล้างพอร์ต ไม่ไหวไม่ไปต่อ’ …ช่วงนี้คือตลาดหุ้นปรับฐานลงสุด แทบไม่เหลือข่าวดี และ ก็หมดแรงขาย Volume หาย เหมือนตลาดมันจบละ …ใครเคยอยู่ในตลาดช่วงแบบนี้จะรู้เลยว่า มันทรมานขนาดไหน …บริษัทต่างประกาศผลประกอบการแย่ แถมไม่ใครซื้อ 


4. ‘ช่วงการเก็บสะสมของรอบใหม่’ …ใช่!! ถึงจุดนี้คนส่วนใหญ่ Move On ไปละ ไปหาแหล่งอาหารใหม่ แต่จะมีพวก เจ้าของ รายใหญ่ กลับเข้ามาเริ่มทยอยเก็บของเงียบๆ ..Volume บางๆ ถ้าเก็บแรง เดี๋ยวรายย่อยรู้ …มาบางๆ เงียบๆ …ช่วงนี้กินเวลาพอสมควรเพราะ รายใหญ่เขาใจเย็น เงินเย็น ค่อยๆ เก็บ ไม่รีบ


5. ‘ช่วงเก็บของครบ แล้วเรียกแขก’ …ช่วงนี้รายย่อยส่วนใหญ่ไม่มีของแล้ว ก็ Stop Loss ไปหมด พอร์ตแตกไปหมดแล้ว …ตอนนี้ของถูกเก็บมาอยู่ในมือรายใหญ่แทบทั้งหมด …จากนั้น ก็จะมีการ กระชากโชว์ ลากขึ้น ตบลง เรียกแขกว่างั้นเถอะ …หลังจากนี้ ก็คือการขึ้นรอบต่อไป


ใครผ่าน วงจรทั้ง 5 มาแล้ว จะเข้าใจดีเลย …แปลว่า คุณเริ่มมือไม่ใหม่ละ …เมื่อเข้าใจแล้ว โอกาสรอบต่อไปก็คิอ ของเราไง !! 


ว่าแต่ หุ้นที่เราถือในพอร์ตตอนนี้ คุณคิดว่ามันอยู่ตรงไหนของวงจรล่ะ ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

รวยทิพย์ในตลาดหุ้น

 ‘รวยทิพย์ในตลาดหุ้น’ 


หลังจากเห็นการปรับฐานใหญ่ในตลาดคริปโต และ หุ้นเทค ก็มีการพูดถึง ‘รวยทิพย์’ ขึ้นมา ว่า …ตกลงก่อนหน้านั้น ฉันรวย เคยรวย รวยบนกระดาษ อะไรก็ว่าไป 


ใช่!! ประเด็น ‘รวยทิพย์’ นี่ ทำให้ผมมานั่งทบทวนถึงแก่นการลงทุนเลยว่า ตกลง ความรวยในตลาดหุ้นมันคืออะไรกันแน่ …มาดูกัน !!


1. ‘มีคนบอกผมว่า ถ้ารวยจริงๆ ต้องขายหุ้นแล้วถือเป็นเงินสดเลย’ …ในมุมนึงก็ใช่ แต่อีกมุม คือ เราแทบไม่เคยเห็นเศรษฐีจริงๆ ถือเงินสดเกินความจำเป็นเลย …ก็เห็นแต่วางในสินทรัพย์เป็นส่วนใหญ่แทบจะตลอดเวลา


2. ‘รวยทิพย์จริงๆ ก็คือ รวยตัวเลขเท่านั้น’ …เอาตรงๆ นะ ในตลาดหุ้นมี 2 แนวทางใหญ่ๆ คือ ‘ซื้อแล้วถือแบบ Value’ อันนี้ความรวยคือเป็นตัวเลขเต็มๆ จนกว่าจะขาย แต่เขาก็เรียก การทนถือว่า ให้เงินทำงานแทน …อีกแนวคือ Trader …อันนี้ คือ รวยเป็นเงินสดจริงๆ เพราะ ทุกครั้งที่ถือหุ้นเขามองเป็นความเสี่ยง ถ้าหุ้นลด เขาจะ Cutloss ออกมาเลย …แนวนี้จริงๆ ก็คือ ‘ไม่เชื่อเรื่องการให้เงินทำงาน …ฉันเชื่อว่าตัวเองทำงานได้ดีกว่านั่นแหละ’ 


ถ้าให้สรุปว่า แนวไหนรวยกว่า อันนี้ตอบยาก …แต่ถ้าถามว่าแบบไหนสบายกว่า ก็ต้อง แนวให้เงินทำงาน …แต่ในความสบายของสายถือยาว ก็มี ‘ความหนักใจ ทุกครั้งที่ตลาดผันผวน หรือ เป็นขาลง’ 


3. ‘ตลาดขาขึ้นของจริง สายถือรวยกว่า ..ตลาด Side way กับ ขาลง สายเทรด รวยกว่า’ …ก็อย่างที่เราเข้าใจกันดีว่า ไม่มีวิธีลงทุนอะไรที่ดีที่สุดในทุกสภาวะ …ดังนั้น ภาวะตลาดก็เอื้อ ให้แต่ละแนวทางไม่เหมือนกัน


เอาตรงๆ มันไม่ได้มีข้อสรุปว่า เราควรจะสร้างตัวยังไง …ก็กลับมาที่ 


1. เราเข้าใจวิธีการไหนมากกว่ากัน

2. เราถูกจริตกับวิธีการไหนมากกว่านั้น 


นั่นแหละ ‘แนวทางการสร้างตัวในแบบฉบับของเรา’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

จังหวะเวลาของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

 ‘จังหวะเวลา ของแต่ละคนไม่เหมือนกัน’ 


บางคนสำเร็จตั้งแต่เด็ก บางคนสำเร็จตอนผู้ใหญ่ ..บางคนเพิ่งมาสำเร็จตอนแก่ …’แต่ผมอยากสำเร็จตอนนี้เลย ทำไง ?’ 


‘ทำไม่ได้ไงมรึง!!’  …เพราะอะไร ? …มาจะเล่าให้ฟัง 


1. ‘พวกสำเร็จแต่เด็ก คือเรียนเก่ง’ ..เพราะเรียนคือที่สุดของเด็กละ …แต่พวกนี้ พอทำงานส่วนใหญ่ไม่โดดเด่น …เพราะ ความสำเร็จในอดีต เป็นกรอบให้เราคิดในกรอบ …แต่พอโตขึ้น มันไม่ได้แข่งในกรอบ มันแข่งกันนอกกรอบไง 


ผมอยู่ในกลุ่มนี้ เรียนเก่ง ก็เลยคิดว่า ยังไงชีวิตต้องสำเร็จ เพราะคิดว่าเราฉลาดกว่าคนอื่น …ปรากฏว่า พอเริ่มทำงานจริง มันไม่ง่ายแบบที่คิด …ไปทำธุรกิจเอง ก็ไม่รอด สุดท้ายต้องยอมกลับมาเป็นลูกจ้างใหม่ 


ตอนนั้นเหมือนเราแพ้อ่ะ …การยอมกลับมาเป็นลูกจ้างใหม่ หลังการทำธุรกิจมาเป็นสิบปีแล้วเจ๊ง มันรู้สึกเสียเวลามากๆ แต่ก็ต้องทำไง เพราะไม่มีทางเลือก ‘กลับไปเป็นลูกจ้าง’ 


2. ‘พวกที่สำเร็จ ตอนผู้ใหญ่’ …ไอ้พวกส่วนใหญ่เกเรตั้งแต่เด็ก …เละเทะก็เยอะ แต่มีบางส่วนที่สำเร็จไปเลย …พวกนี้จะเก่งนอกกรอบ แล้วกล้าเสี่ยง เพราะ ไม่มีอะไรจะเสียนี่ …พวกนี้เรียนรู้จากการล้มลุกคลุกคลาน ก็จะมีบาดแผลเยอะ ก็สนุกไปอีกแบบ 


3. ‘พวกที่สำเร็จ ตอนแก่’ ..อันนี้ไม่ใช่เรื่องเงินละ แต่มันเป็นเรื่องสุขภาพ …พวกนี้ดูแลตัวเองตลอด ..การออกกำลังกาย กับการกิน มันเป็นสิ่งที่ต้องสร้างจากนิสัย ทำให้เป็น Habit เป็น Routine 


เอาตรงๆ คือ ที่เล่าเรื่องนี้ เพราะ อยากจะให้กำลังใจคนที่พยายามสู้ตลอด แต่แค่มันยังไม่ใช่ ‘จังหวะ’ ของเรา …ซึ่งเราไม่สามารถไปกำหนดได้ว่า จังหวะของเรามันจะมาเวลาไหน ?


แต่สิ่งที่ต้องทำต่อ ก็คือ ‘ทำต่อไป’ …อย่างผมในฐานะนักลงทุน ก็คือ ‘ผมต้องเสี่ยงต่อไป’ …แค่ให้แน่ใจว่า ต้องบริหารพอร์ตให้ไม่มีการเสี่ยงใดที่ใหญ่จนลุกไม่ขึ้น 


ยิ่งประสบการณ์มากขึ้น ผมยิ่งเรียนรู้ว่า ‘โอกาสมันอยู่ในความเสี่ยง’ …ถ้าอยากได้โอกาส ก็ต้องเสี่ยง …คนมีประสบการณ์เขาเสี่ยงแบบรักษาตัว เพื่อที่จะมีโอกาสเสี่ยงได้เรื่อยๆ …พอพอร์ตใหญ่ขึ้น มันก็ยิ่งเสี่ยงได้มากขึ้น …มันไม่ได้มีความเสี่ยงที่ลดลง …มันมีแต่การบริหารพอร์ตให้รับความเสี่ยงที่เราไม่เจ๊ง แล้วก็เสี่ยงไปเรื่อยๆ แค่นั้นเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 ภาชนะ ตักตวงโอกาสในตลาดหุ้น

 5 ภาชนะ พี่ต้องมีเอาไว้รอบรับเงินจากตลาดหุ้น

มีรุ่นพี่สอนผมว่า ‘เงินในตลาดหุ้นเหมือนฝน มันจะเทมาเมื่อไหร่ เราพอจะคาดการณ์ได้ เพราะมันมีฤดูกาล แต่เราจะคาดการณ์แบบเป๊ะๆ มันยาก …แล้วมันจะมาจุดไหนยิ่งยาก …แต่สิ่งที่เราทำได้ แค่เตรียมภาชนะรับฝน แค่นั้นเลย’ 

คนส่วนใหญ่ ไม่ได้เตรียมภาชนะ …เราก็แค่เตรียมภาชนะใส่ฝน …มาดูกันว่า มันคืออะไร ?

1. ‘มีบัญชีหุ้น เตรียมซื้อขาย’ …ยังไม่ต้องจริงจัง จัดเต็ม แค่เริ่มมีบัญชีลองซื้อขายเล็กๆ น้อยๆ ในสิ่งที่เราสนใจ อันนี้สำคัญมาก …เช่น ถ้าคุณคิดว่าตลาดอเมริกาน่าสนใจ วันนี้คุณก็ต้องเปิดบัญชีให้พร้อมที่จะซื้อขายตลาดอเมริกา …ไม่งั้นเวลาโอกาสผ่านไป เราก็มานั่ง ‘รู้งี้’ อีก

2. ‘มี โพยหุ้นที่เตรียมไว้’ …ก็ Watchlist คือ หุ้นที่อยากซื้อแต่ยังไม่ซื้อ …รออะไร ? …ก็รอวิกฤติไง …ถ้าอยากซื้อแล้วซื้อเลยมันก็มักจะได้ของแพง ได้ติดดอย …ตอนเป็นมือใหม่ Watchlist ผมมักจะเป็นหุ้นตลาดๆ แพงๆ สุดท้ายพวกนี้ ซื้อแล้วถือยาว มันจะขึ้นช่วงที่เราซื้อไม่นาน จากนั้น ลงยาวเลย 

พอเริ่มเข้าใจตลาด Watchlist ผมเริ่มเป็นหุ้นถูก คือ รอหุ้นลงมา 50% จากยอด ค่อยไปหา แต่ปรากฏว่า เจอถูกแล้วถูกอีก

วันนี้ Watchlist ผม ให้ตลาดหาให้ …รอหุ้นจบรอบ ลงไปเลย 70-80 % ไม่ซื้อนะ …รอก่อน รอให้ Smart Money (เงินเจ้า เงินรายใหญ่) เข้าก่อน ค่อยตาม ..ไม่รีบ …โห!! ดีขึ้นเยอะ

3. ‘มีการเตรียมเงินเป็นพอร์ตเพื่อรอซื้อ’ …เตรียมเงินรอ ยกตัวอย่าง ผมอยากลงทุนสัก 1 ล้าน ผมจะแบ่งเงินเป็นก้อนละแสน สิบก้อน …จากนั้นก็แค่รอหุ้นสิบตัว …ส่วนใหญ่มันไม่มาพร้อมกันหรอก บางทีซื้อ 2 ตัว ที่เหลือรอไปอีกเป็นปี …’การรอ เป็นส่วนนึงของการลงทุน ท่องไว้เลย’ 

4. ‘โอกาสมาต้องกล้าเสี่ยง’ …โอกาสใหญ่ รอบใหญ่ มันมาทุกๆ 10 ปี อย่าง วิกฤติต้มยำกุ้ง , วิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ , วิกฤติโควิด …พอเกิดแล้ว มันก็จะเป็นขาขึ้นไปอีกเกือบ 10 ปี ระหว่างนั้น ก็จะมีวิกฤติย่อยๆ มาให้เราซื้อ ทุกๆ 2 ปี อะไรประมาณนั้น เราก็ต้องกล้าจัดตาม …ก็ตามรอบที่เรามอง …อย่างเวลานี้รอบใหญ่บ้านเรามันเพิ่งเกิด ดังนั้น ยากที่จะเกิดซ้ำ …ก็ต้องจัดตามรอบย่อย ที่เกิด อะไรประมาณนั้น

5. ‘ทนรวยเป็นรึเปล่า’ …ซื้อเก่ง ขายเก่ง ก็ไม่รวยดิ เหนื่อยทั้งชีวิต …ถ้าซื้อได้ต้นรอบ ต้องทนรวยให้ได้ด้วย 

นี่แหละ 5 ภาชนะ ‘ตักตวงโอกาสในตลาดหุ้น’ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันจันทร์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ แก้พอร์ตยังไง ให้กลับไปกำไรเท่าเดิม

 5 ข้อควรรู้ แก้พอร์ตยังไง ให้กลับไปกำไรเท่าเดิม


แน่นอนคนที่เล่นหุ้นทุกคนต้องเคยเจอขาดทุนหนักสักครั้งในชีวิต …คำถามสำคัญคือ เขาแก้พอร์ตกันยังไง ?


1. ‘การยอมรับความผิดพลาดก่อน’ …นึกถาพนักมวย เวลาพลาดแพ้ ไม่ใช่รีบสวน เพราะผลลัพธ์คือมักจะโดนหนักขึ้น อาจถึงขั้นเสียมวย …ต้องเริ่มจากยอมรับความพ่ายแพ้ก่อน แล้วใช้เวลากลับมาทบทวน ฝึกฝนใหม่


2. ‘หาคำตอบด้วยตัวเองให้ได้ว่า จุดอ่อนที่ทำให้เราแพ้มันคืออะไร’ …คนเล่นหุ้นส่วนใหญ่เวลาเสียหายหนักๆ มักมาจาก มั่นใจเกิน แล้ว Overtrade …โดยการใช้ Leverage ที่สูง …ต้องหาสาเหตุให้ได้ว่า อะไรที่ทำให้เรา Overtrade ในครั้งนั้น นั่นแหละ ‘จุดอ่อนที่ต้องแก้ไข’ 


3. ‘การกลับมาเทรดใหม่ ด้วยหน้าตักที่น้อยลงมากๆ’ …ก็แน่แหละ โดนมาหนัก เงินก็ต้องน้อยลง จะกลับไปเทรดด้วยจำนวนเท่าเดิมคงยาก …ซึ่งมันถูกต้อง การกลับมาเทรด ไม่ใช่เพื่อรีบเอาคืน แต่เพื่อเรียกความมั่นใจกลับคืนมา …‘เป้าหมายคือ การเล่นน้อยๆ เพื่อเรียกคืนความมั่นใจ’


4. ‘วางแผนจากพอร์ตที่มี เพื่อกลับมาเริ่มต้นใหม่อีกครั้ง’ …กับดักของคนที่เสียหายหนัก คือ อยากได้คืนเร็ว จึงเสี่ยงขึ้น ทำให้อาจจะเสียหนักขึ้น ซึ่งผิด …ต้องวางแผนจากพอร์ตใหม่ วางหน้าตักใหม่ แล้วค่อยๆ สร้างพอร์ตกลับไปอย่างใจเย็น ….จุดสำคัญของข้อนี้ คือ ความอดทน และ สม่ำเสมอ 


5. ‘หยุดการเปรียบเทียบ มุ่งหน้าเล่นในเกมของเรา’ …คนที่โดนหนัก แล้วกลับมาตั้งสติได้ จะแทบเป็นคนใหม่ ที่มีความเป็นผู้ใหญ่มากขึ้น …ซึ่งแน่นอน วิธีคิดหลายๆ อย่างอาจจะเปลี่ยนไปอย่างสิ้นเชิง …เมื่อตั้งหลักใหม่ได้ เราจะสังเกตได้ว่าเราจะค่อยๆ กำไรขึ้น ..รอบคอบขึ้น …นั่นแหละ แปลว่า เรามาถูกทางแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ ทำไมซื้อหุ้นถูกแล้ว มันถึงลงได้อีก

 5 ข้อควรรู้ ซื้อหุ้นถูกแล้ว ทำไมจึงขาดทุนได้


หลายคนอาจไม่เคยรู้ว่า ..หลายๆ ครั้งที่หุ้นลงมาจนถูกแล้ว …มันสามารถลงได้ต่อ จนเราเสียหายหนักได้ …ใช่!! ถูกแล้ว ทำไมมีถูกกว่าอีก ?


1. ‘เวลาหุ้นลง มันไม่ลงสุดที่ถูก มันสุดที่ถูกเกินไป’ 


2. ‘ถ้าคนส่วนใหญ่ที่ถือยังขายไม่หมด ราคาก็ยังลงไม่สุด’ 


3. ‘หุ้นที่มี Leverage จะลงได้ลึกกว่าปกติ เพราะ มีคนยืมหุ้นมา Short และเขากำไรจากการลงครั้งนี้’ 


4. ‘เจ้าของหุ้นอาจขายตามน้ำ เพื่อทดสอบว่า หุ้นจะลงที่สุดได้แค่ไหน’ …ภาวะแบบนี้ คือ เราลงแรง แต่ Volume หาย …นั่นแปลว่า คนที่ขายคือรายย่อยที่ตกใจ …ในจังหวะนั้น มักเป็นจุดที่ราคาหุ้นลงต่ำที่สุดในแต่ละรอบนั่นเอง


5. ‘ราคาที่เราเห็น มันไม่ได้แปลว่า ทุกคนเห็นด้วยกับราคานั้น’ …นี่เป็นเหตุผลว่า ทำไมถึงมีคนกล้าซื้อเวลาหุ้นลงหนัก …และก็ทำไมถึงมีคนขายทั้งๆ ที่ทุกอย่างดูดีนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ลดความโลก ลดความกลัว แล้วเดินต่อไป

 ‘มีคนถามว่า ถ้าเรารู้ว่าเดี๋ยวจะมีวิกฤตเศรษฐกิจ เราควรขายหุ้นแล้วถือเงินสดรอตลาดลงไหม ?’ …เริ่มจากลองมองย้อนกลับไปอดีตของตัวเอง ว่า ที่ผ่านมา เวลาที่เราคิดว่าจะมีวิกฤต แล้วขายหุ้น อะไรเกิดขึ้น …ใช่!! จุดนั้นมักเป็นจุดที่หุ้นไม่ลง แถมไปต่อ วิ่งแสกหน้าเราไปเลยใช่ไหม ?


…เออ !! บางครั้งก็ใช่ แต่บางครั้งก็ไม่ใช่นะพี่ 


โอเค ..ผมจะเล่าให้ฟังแบบนี้


1. ‘เวลาที่เรามั่นใจสุดขีด แล้วจัดเต็ม’ …ผลลัพธ์ส่วนใหญ่ซวย …ใช่ไหม ?


2. ‘เวลาเรากลัวสุดขีด ขายทุกอย่าง ถือเงินสด’ …ผลลัพธ์คือ หุ้นมันไม่ลง แต่ขึ้นสวนแสกหน้า …ก็ใช่อีกใช่ไหม ?


3. ‘แล้วเคยสงสัยไหมว่า คนอะไร ที่มันผิดได้ทั้งขึ้นและลง ตลอดเลย’ …เอ่อ ก็กรูไง …ใช่!!


4. ‘แล้วเคยถามตัวเองไหมว่า อะไรคือวิธีแก้’ …การจะตอบคำถามนี้ได้ ต้องเอา ความโลภและความกลัว ออกจากสมการ …แล้วคำตอบมันจะชัดขึ้นเรื่อยๆ 


การตอบคำถามนี้ ต้องตอบด้วยตัวเราเอง …นี่แหละ Process ของการสั่งสมประสบการณ์ในการเป็นนักลงทุน 


ถูกบ้าง ผิดบ้าง อันนี้ปกติ …แต่เราต้องพยายามลดความโลภ เพื่อ หลีกเลี่ยงการเสียหายครั้งใหญ่ …และ เราต้องพยายาม ลดความกลัว เพื่อให้เรายังสามารถเดินต่อไปในเกมนี้ ก็เท่านั้นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 8 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อ เบื้องหลังนักลงทุนหุ้นคุณค่าที่เขาไม่ได้บอกคุณ

 5 เบื้องหลังนักลงทุนหุ้นคุณค่าที่เขาไม่ได้บอกคุณ


ส่วนมากเราเห็นนักลงทุนตอนที่เขารวยแล้ว เหลือแล้ว แต่ไอ้ตอนสร้างตัวเราไม่ค่อยเห็น …เรารู้ไว้ก็ดี จะได้รู้ว่าเส้นทางนี้ต้องเจออะไร


1. ‘ประหยัดทุกเม็ด เพื่อเก็บเงินมาซื้อหุ้น’ …อยากจะซื้ออะไรก็ต้องไม่ซื้อ เพราะต้องเก็บเงินไว้มาลงทุน


2. ‘ตอนที่คนอื่นใช้เงิน เขาต้องไม่ใช้’ …เวลาที่คนอื่นใช้เงินคือ ช่วงหุ้นขึ้น เศรษฐกิจดี …เขาก็ได้เงินนะ แต่เขาต้องทนไม่ใช้ …ถ้าขายหุ้นช่วงนั้น แล้วเอามาซื้อของ ของนั้นมันจะโคตรแพงเลย (ขายแล้วหุ้นไปต่อ ส่วนของที่ซื้อมีแต่ราคาลง เจ็บใจยกกำลัง 2)


3. ‘เปิดเมนูอาหาร ต้องดูราคาก่อน’ …โถ!! มีเงินก็ใช้ซิพี่ …แต่คนเหล่านี้ คุ้นชินกับการประหยัดและ ความคุ้มค่า จนมันเป็นส่วนนึงของชีวิตไปแล้ว


4. ‘ต้องทำใจกล้า แม้ว่าตัวเองก็โคตรกลัว’ …เวลาซื้อหุ้นที่ดีที่สุด ก็คือ วิกฤต มีแต่ข่าวร้าย …แต่ต้องกล้า กัดฟันซื้อหุ้น …โคตรยาก บอกตรงๆ 


5. ‘เป็นคนที่หวาดระแวงเกินเหตุ’ …เวลาที่อะไรมันดีๆ คนอื่นเขาก็มีความสุข ชิวๆ …พวกนี้ต้องแบ่งขายหุ้นเตรียมเงินสด เพราะ เขารู้ว่า เวลาอะไรมันดีมากๆ เดี๋ยวมันจะมีวิกฤต 


ถ้าจะมีข้อ 6 ก็คือ ‘เพื่อนน้อย’ เพราะ คุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่อง มองตรงข้ามเขาไปหมด ..คุยไปก็ทะเลาะกันเปล่าๆ มีเพื่อนน้อยๆ ที่คุยกันรู้เรื่องอยู่ไม่กี่ครเท่านั้นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อยากสร้างพอร์ตหุ้นปันผล ไม่ควรเลือกจากเงินปันผล

 ‘อยากสร้างพอร์ตหุ้นปันผล ไม่ควรเลือกจากปันผล’


เฮ้ย!! พูดอะไร ย้อนแย้ง …’ถ้าอยากได้พอร์ตปันผล ไม่เลือกจากปันผล แล้วจะเลือกจากอะไร ?’ 


ใช่ครับ !! …ตอนที่ผมเป็นมือใหม่ ผมก็เลือกมันตรงๆ เอา App Scan หุ้นมาเลย …ตัวไหนปันผลสูง ก็ซื้อ จากนั้น ก็ ฝันหวาน คิดว่าสบายแล้ว 


‘สุดท้ายเละครับ !!’ (ความเจ็บปวดนี่ ผมเรียกมันว่า กับดักหุ้นปันผล) 


มาดู กันว่า ‘กับดักหุ้นปันผล’ คืออะไร ?


1. ‘ปันผลที่เราเห็น คืออดีต ไม่ใช่อนาคต’ …ใช่!! ใช้ App Scan ไม่ได้ มันเห็นแต่อดีต …มันต้องประเมินเป็นรายตัวว่า อนาคตหุ้นตัวนี้จะสามารถปันผลเท่าไหร่ ถึงจะแม่นยำกว่า


2. ‘ราคาหุ้นสูง เจ้าของก็มีแนวโน้มจ่ายปันผลสูง’ ..ใช่!! กับดักปันผล มันจึงเป็นราคาหุ้นสูง เราอาจไปซื้อตอนมันแพงนั่นเอง


3. ‘หุ้นวัฏจักร ช่วงที่ปันผลสูง คือ ช่วงที่ใกล้จะสยองแล้ว’ …หุ้นวัฏจักรมันทำกำไรเป็น cycle …ดังนั้น ตอนที่ปันผลสูงเกินจริง มันมักจะเป็นจุดสูงสุดของ Cycle รอบนั้นๆ …ยอดดอยนั่นเอง 


4. ‘การปันผลสูง แปลว่า หุ้นนั้นไม่มีเงินไปลงทุน ราคาหุ้นเลยไม่โต’ …พอธุรกิจไม่รู้จะลงทุนยังไง ก็เอามาปันผล ..พอไม่ลงทุน ไม่ขยาย หุ้นมันก็เลยไม่ค่อยไปไหน (แต่ไม่ปันผลเลย ก็ไม่ดี มันต้องหาจุดสมดุลย์ ระหว่าง ปันผล และ การเอาเงินไปลงทุนต่อ)


5. ‘หุ้น Growth ที่ปันผล ก็ต้องระวังเขาเพิ่มทุน’ …บางครั้งเราคิดว่า หุ้นตัวนี้ดีจัง ทั้งปันผล ทั้งเติบโต …สุดท้ายประกาศเพิ่มทุน ต้องเอาเงินไปเติมให้เขาซะงั้น


สรุป คือ ดูปันผล อย่ามองแค่อดีต ต้องประเมินอนาคตเป็นหลัก และ ระวังกับดักต่างๆ ที่ว่ามา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

นักลงทุนต้องรู้จักการบริหารความคาดหวัง

 ‘นักลงทุนต้องรู้จักบริหารความคาดหวัง’


…หวังเยอะก็เจ็บบ่อย ..หวังน้อยก็ไม่รวย ..แล้วจะบริหารความคาดหวังยังไงดี ?


1. ‘ความคาดหวังของตัวเรา’ …ถ้าเราหวังกำไรเยอะ ต้องเตรียมจัดพอร์ตให้หุ้นขึ้นเยอะแล้วเรายังทนรวยถือได้ …เพราะถ้าจัดเต็ม จัดสุด เวลาเล่นจริง มันถือได้ไม่สุด ขายก่อนรวย


2. ‘ความคาดหวังของเจ้าของหุ้น’ …หุ้นมันมีเจ้าของ เราต้องแกะให้ออกว่าหุ้นที่เราถือ เจ้าของเขามีความคาดหวังยังไง …ถ้าความคาดหวังของเรา ไม่ตรงกับ ความคาดหวังของเจ้าของ …หุ้นมันก็จะไปสุดแค่ความคาดหวังของเจ้าของ ก็เท่านั้นแหละ (ไม่ถึงความคาดหวังของเรา)


3. ‘ความคาดหวังของตลาด’ …บางครั้งถ้าตลาดรวมมันไปไม่ได้ หุ้นมันก็ไปไม่ได้ไง …พูดง่ายๆ ทั้งเจ้าของและเรา ถ้าคาดหวังเหมือนกันแล้ว แต่ไม่ดูตาม้าตาเรือ มันก็ซวยได้เหมือนกัน


4. ‘การบริหารความผิดหวัง’ …ขึ้นชื่อว่า ‘ความหวัง’ มันก็ต้องมาพร้อม ‘ความผิดหวัง’ …มืออาชีพต่างจากมือสมัครเล่น คือ ผิดหวังแต่ยังต้องทำต่อ …คือผมไม่ได้มาเล่นๆ มันเป็นอาชีพของผม


5. ‘ความคาดหวัง ต้องมาพร้อมความรู้ที่เพิ่มขึ้น’ …ผมไม่เคยเข้าใจเลยว่า ‘ผิดเป็นครู’ หรือ การเรียนรู้จากความผิดพลาด ก็พูดๆ กันตลอด แต่เอาจริงๆ ผมมาเข้าใจประโยคนี้จริงๆ ก็เมื่อเราเป็นนักลงทุน …ทุกครั้งที่พลาด อย่าเสียเวลาไปหาว่าใครผิด หรือ อย่าไปโทษใคร …เอาบทเรียนนั้น ทำให้เราเก่งขึ้น แล้วหาโอกาสครั้งต่อไปจะดีกว่า


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

จุดเริ่มของอาชีพนักลงทุน

อาชีพนักลงทุน คืออะไร ?’ 


..มีรุ่นน้องมาถามว่า เขาอยากเป็นนักลงทุน ต้องเตรียมตัวยังไง แล้วต้องระวังอะไร ?


..ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า คนจะเข้าใจว่า แค่เข้ามาเทรดหุ้นก็เรียกว่าเป็นนักลงทุนแล้ว …จริงๆ ไม่ใช่ อันนั้น คือ เราแค่เข้ามาเก็งกำไร หรือนักเก็งกำไร 


นักลงทุน ต้องลงเป็นพอร์ต ..และต้องวางแผนให้สุดท้ายพอร์ตนั้น ทำงานแทนเราในที่สุด


..ต้องเล่าให้ฟังก่อนว่า ผมเริ่มจากการเข้ามาหาหุ้นใหญ่ หุ้นปันผล แล้วเก็บสะสม โดยคำนวณตรงๆ ว่า หุ้นตัวนี้ ราคานี้ ซื้อแล้วปันผลเท่านี้ …ก็คำนวณดูว่า สุดท้ายต้องซื้อเท่าไหร่ ถึงจะมีเงินปันผลแต่ละปีเลี้ยงเราได้ …ใช่!! นี่คือ สิ่งที่เราคิด แต่พอปฏิบัติจริง มันไม่ได้ง่ายแบบนั้น


..ผลปรากฏว่า หนึ่ง : หุ้นที่เราซื้อ หลายๆ ตัว ยิ่งถือปันผลยิ่งลด ราคาก็ยิ่งลง …สุดท้าย ก็เลยเข้าใจว่า …อ๋อ !! หุ้นมันมีCycle …เราไปซื้อตอนมันดี ราคามันก็แพง 


สอง : คราวนี้ก็มาลองซื้อหุ้นตอนมันถูก ต้นรอบ ‘ซื้อหุ้นข่าวร้าย’ …แต่ปรากฏว่า ด้วยความเป็นมือใหม่ …ไอ้ที่เราคิดว่าต้นรอบ ราคามันยังสามารถลงจากจุดที่เราซื้อได้อีก 30-50 % …เฮ้ย!! ถูกแล้ว มันมีถูกกว่าด้วยว่ะ


สาม : พอเริ่มซื้อหุ้นต้นรอบเป็นแล้ว ก็ถือไป หวังว่า ถือไปเรื่อยๆ น่าจะกำไรหลายๆ เด้ง …ปรากฏว่า หุ้นขึ้นไปหลายเด้งนะ แต่ไม่ได้ขายเพราะอยากจะถือยาว ..สุดท้ายราคาหุ้นถอยมาจนถึงทุน …บางตัวตอนลง ดันลงมาต่ำกว่าทุน 


เฮ้ย!! ไม่เห็นเหมือนเซียนหุ้นคนอื่นเลย ที่เขาได้หุ้นเป็นสิบๆ เด้ง ร้อยเด้ง …อะไรวะเนี่ย ?!?


สี่ : พออยู่ในตลาดนานพอ ก็เริ่มเข้าใจว่า หุ้นแต่ละประเภทมีข้อจำกัดไม่เหมือนกัน …อย่างหุ้นใหญ่ปันผลดี เวลาถือมันได้ปันผลดีนะ แต่จะหวังขึ้นหลายๆ เด้งไม่ได้ เพราะ มันขึ้นมาจนสุดของมันแล้ว (ถ้าไม่มี S Curve ใหม่ หุ้นก็แค่ได้ปันผล) ..ถ้าจะหาหุ้นหลายเด้ง มันก็ต้องไปหาเจ้าของหุ้นที่เขาต้องการให้หุ้นมันไปหลายเด้ง …ซึ่งมันก็คือหุ้นเล็ก….ถึงจุดนี้ก็เลยเข้าใจว่า หุ้นเล็กมันสร้างเศรษฐีหุ้นเยอะกว่าหุ้นใหญ่ (แต่ความโหด ก็โหดกว่าเยอะ


ห้า : แล้วถ้าเราเลือกเล่นหุ้นโหดๆ มันโคตรเสี่ยง แล้วคนอื่นเขาป้องกันความเสี่ยงกันยังไง ? …ก็เลยมาเจอวิธีการลงทุนแบบพอร์ต …ซึ่งเอาตรงๆ มันไม่ได้ซับซ้อนอะไร เพียงแต่คนส่วนใหญ่เขามองข้ามเรื่องนี้ก็เท่านั้นเอง 


หก : สุดท้ายที่สำคัญสุด คือ ‘ไม่เลิก’ ..จริงๆ การไม่เลิกมันมาจากข้อห้า เพราะ ไอ้ที่เลิกเพราะเจ๊งหมดตูด!! ไม่มีเงินแล้ว!! …แต่ถ้าบริหารความเสี่ยงให้ตัวเองไม่เจ๊งได้ แม้เลือกหุ้นพลาด …ยังไงก็รอด แล้วเมื่อไม่เลิก เดี๋ยวมันก็รวย


ข้อดีของอาชีพนักลงทุนก็คือ 

  1. ยิ่งแก่ยิ่งรวย’ …อาชีพอื่น ยิ่งแก่ยิ่งหมดแรง สู้เด็กๆ ไม่ได้ 
  2. เกษียณตอนรวย ไม่ใช่เกษียณตอนอายุ 60’ …นักลงทุนที่เกษียณได้ ก็คือ เงินปันผล มากกว่าเงินเดือน หลังจากนั้น ชีวิตเรากำหนดเองแล้ว 
  3. เป็นคนทันสมัย ไม่ตกยุค’ …นักลงทุนต้องหาความรู้ตลอดเวลา ไม่งั้นก็พลาดโอกาสดีๆ ก็เลยทำให้ความรู้ทันสมัยไม่ตกยุค

ข้อเสีย ล่ะ …

  1. ต้องมีเงินออม’ …อย่างน้อยก็ต้องเก็บออมมาระดับนึงก่อนที่จะเริ่มเป็นนักลงทุน ..อันนี้บททดสอบใหญ่ตั้งแต่ต้นเลย 
  2. ผิดหวังบ่อย’ …ลงทุนมันต้องพลาดเรื่อยๆ อยู่แล้ว เวลาเสียเงิน มันเจ็บมากกว่าได้เงิน 


โอเค!! เล่ายาวขนาดนี้ …จะบอกว่า ทุกคนที่เลือกจะเป็นนักลงทุน ต้องออกแบบทางเดินชีวิตเอง …ไม่มีหัวหน้ามาสั่งเราหรอกว่า ให้ทำแบบนี้ซิ แบบนั้นซิ …เอาตรงๆ ถ้าเราทำไม่ถูก ตลาดก็จะเล่นงานเราแบบ จำจนตาย …เวลา ดอยเวลาพลาด เราก็ต้องให้กำลังใจตัวเอง แล้วลุกขึ้นเอง 


วันนี้ยาวแล้ว …วันหลังมาเล่าต่อละกัน 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

8 เรื่องของ “โอกาสดีๆ” ที่อยากเล่าให้ฟัง

 8 เรื่องของ ‘โอกาสดีๆ’ ที่อยากเล่าให้ฟัง


1. ‘คนสำเร็จทุกคนต้องขยัน แต่คนขยันทุกคนไม่ได้สำเร็จ’ …พูดง่ายๆ ขยันผิดที่ ยังไงก็ไม่สำเร็จ 


2. ‘การอยู่ถูกที่ ถูกเวลา หลายๆ ครั้งเกิดจากความบังเอิญ’ …บังเอิญถูกไล่ออก ก็เลยได้ทำงานที่ตรงจริตแล้วสำเร็จ …บังเอิญมาทำธุรกิจที่มันกำลังอยู่ในเทรนด์ขาขึ้นพอดี …พูดง่ายๆ ความโชคดี มีความสำคัญมากที่สุดในความสำเร็จของแต่ละคน


3. ‘ต้องประคองตัวเองอยู่ในเกม ให้นานพอที่เราจะโชคดี’ …ทำไม่กี่วันก็เลิก ไม่มีทางสำเร็จแน่นอน …มันต้องทำมากพอ ใช้ฝีมือที่ตัวเองพอจะมีมากน้อยก็ทำไป ประคองตัวเองให้ถึงวันที่เราโชคดี …พูดง่ายๆ ฝีมือของการประคองตัวเองให้รอด สำคัญมากต่อการที่เราจะมีโอกาสโชคดี 


4. ‘ถ้าไม่กล้าเสี่ยง ชาตินี้อย่าหวังรวย’ …โอกาสรวยมาพร้อมกับความเสี่ยงเสมอ …อะไรที่ดูไม่เสี่ยง และแน่นอน แปลว่า สิ่งนั้นทำต่อไป ยังไงก็ไม่รวย 


5. ‘การบริหารความเสี่ยงที่ดีคือ บริหารยังไงก็ได้ ให้ถึงพลาด ก็ไม่เจ๊ง สามารถลุกขึ้นมาแล้วก็เสี่ยงได้อีก’ …พูดง่ายๆ ต้องบริหารให้เสี่ยงได้เรื่อยๆ จนรวย …พอรวยแล้ว ก็บริหารความเสี่ยงแบบเดิมนั่นแหละ …เพราะ ชีวิตคนรวย ไม่มีใครหนีความเสี่ยง มีแต่บริหารความเสี่ยงให้เสี่ยงได้มากขึ้น ใหญ่ขึ้น และถึงพลาดก็ไม่เจ๊ง แค่นั้นแหละ


6. ‘การให้รางวัลตัวเอง ใช้วิธีการตัดบางส่วนออกมาจากกำไรบ้างเมื่อถึงเป้าในแต่ละช่วง’ …การกำหนดเป้าหมายทางการเงินต้องวางเป็นช่วงๆ และให้รางวัลอย่างสมเหตุสมผลในแต่ละช่วง


7. ‘อย่าตั้งเป้าหมายสูงสุดของตัวเอง’ เพราะเป้าหมายสูงสุดมันไม่มีในโลกจริงๆ และ คนส่วนใหญ่ก็ไม่มีทางไปถึงมันหรอก 


8. ‘ความสุขระหว่างทาง เป็นเรื่องยากที่เราต้องฝึกฝนค้นหา’ …โลกยุคนี้ความทุกข์เป็นเรื่องปกติ ส่วนความสุขเป็นสิ่งที่ต้องฝึกฝน โดยหัดให้ความสำคัญกับเรื่องเล็กๆ ของคนในครอบครัว นั่นแหละ จุดเริ่มต้นของความสุข


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 เรื่องทางการเงินที่คนอายุ 40 อยากบอกคุณ

 5 เรื่องของเงินที่คนอายุ 40 ปีอยากจะบอกคุณ


1. ‘เงินไม่ใช่ทุกอย่าง สำหรับคนมีเงิน …แต่ถ้าคุณไม่มีเงิน เงินมันคือทุกสิ่งทุกอย่าง’ …อย่าไปเชื่อพวกที่บอกว่า ตายไปก็เอาเงินไปไม่ได้ เพราะ เราจะตายก่อนไปถึงจุดนั้น


2. ‘เงินหาง่ายสำหรับคนที่มีเงินตั้งต้น แต่เงินหาโคตรยากสำหรับคนที่ไม่มีเงินตั้งต้น’ …ก่อนจะเริ่มซื้อของให้รางวัลตัวเอง ให้แน่ใจว่าเรายังมีเงินตั้งต้นเพื่อต่อยอด ..รางวัลชีวิตชิ้นแรกที่ดีที่สุด ควรเป็นเงินตั้งต้นที่เราเก็บออมเพื่อไปต่อยอดนั่นแหละ 


3. ‘อย่าใช้เงินเพื่อค้นหาตัวเอง ให้หาตัวเองให้เจอแล้วค่อยใช้เงิน’ …คนเคยรวยจำนวนมากใช้เงินจนหมดแล้วกลับไปจนเหมือนเดิม เพิ่งมารู้ตอนที่เงินหมดแล้วว่า สิ่งของที่ซื้อไป มันไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองต้องการจริงๆ และของเหล่านั้นก็ไม่ได้สร้างความสุขจริงๆ ให้เขาเลย …มันจะดีกว่ามาก ที่เราควรค้นหาตัวเองให้เจอก่อนที่จะเริ่มใช้เงินจริงจัง


4. ‘เงินที่ยังไม่ได้ใช้ ต้องหาจังหวะวางไว้ในสินทรัพย์ เพราะ เงินลดมูลค่าน่ากลัวมากในโลกยุคนี้’ …การหาเงินว่ายากแล้ว การรักษามูลค่าของเงินที่หามา ยากกว่าเยอะ …เอาตรงๆ คือ ไม่ว่าจะหาเงินเก่งแค่ไหน แต่ถ้าลงทุนไม่เป็น ก็ยากที่จะเอาตัวรอดในปัจจุบัน


5. ‘อิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้ขึ้นกับว่ามีเงินมากแค่ไหน แต่ขึ้นกับว่าเรามีเวลาให้กับสิ่งที่เรามีความสุขมากแค่ไหนต่างหาก’ …ใช่!! อิสรภาพทางการเงิน ไม่ได้ขึ้นกับเงิน แต่ขึ้นกับ เวลา …อิสรภาพของเวลา ซื้อได้ด้วยเงินที่ไม่ได้หาจากเอาเวลาเราไปแลก 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2565

ตลาดหุ้นเป็น Infinite Game เป้าหมายไม่ใช่ชนะ แต่เพื่อรอดตลอดไป


 ‘ตลาดหุ้นเป็น Infinite Game ไม่ใช่ Finite Game’


Finite Game ก็คือ เกมที่เราเข้าไปเล่นเพื่อที่จะชนะ เช่น กีฬาต่างๆ ต้องมีคนชนะ คนแพ้ …และ เกมแบบนี้ต้องมีกฏและกติกาที่ชัดเจน


Infinite Game คือ เกมที่มีเป้าหมายไม่ใช่เพื่อชนะ แต่เพื่อที่จะสามารถเล่นในเกมนั้นต่อไปเรื่อยๆ …จะว่าไปแล้ว มันก็เหมือนชีวิตเรา จริงๆ ไม่มีใครเป็นผู้ชนะถาวร หรือ ผู้แพ้ที่ถาวร …มันสามารถสลับได้ ขึ้นกับช่วงเวลา


…หุ้นน่ะ ..บางครั้งเราก็ได้ บางครั้งเราก็ดอย บางครั้งก็โดน (พวกที่ยังไม่เคยดอย ยังไม่เคยโดน แปลว่า จริงๆ คนๆ นั้น ไม่ได้เล่นหุ้น ..มันโม้ ..555)


…การที่จะได้ครั้งใหญ่ มักเกิดจากเคยเสียหายหนักมาก่อน …ส่วนที่เสียหนัก ก็มาจากเคยได้ครั้งใหญ่ แล้วเปรี้ยว self …จัดหนัก All-in …ตลาดก็จะสอนให้เราลดความเปรี้ยวลง


…มันก็เปรี้ยวแบบเลิกเล่นไปเลย …ก็มีช่างเขาเถอะ แต่เราแค่อย่าเลิก


เอาเป็นว่า ให้รู้ว่า ’เป้าหมายของการเล่นหุ้น ก็คือ เพื่อให้สามารถอยู่ในตลาดให้ได้นานที่สุด …ถ้าเราอยู่นานพอ เดี๋ยวโอกาสมันก็จะมาหาเราเอง’ 


อ้าว!! แล้วไอ้ที่ดอยเมื่อวานละพี่ ?


เออ!! นั่นแหละ ทางผ่าน ‘ค่าตั๋ว’ สู่ความมั่งคั่งในที่สุดไง …😭


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ