ลองดูกัน "คิดรอบบ้าน" ..สร้าง Model คิด นอกกรอบ แบบไร้รั้ว ไร้กำแพง ... ให้คนรุ่นใหม่อย่างคุณ !!
ผมและ ดร.ต้อง ช่วยกันสร้าง Model ของ 'บ้านไร้รั้ว' ซึ่งเป็นแก่นของ Creativity และฐานของความสำเร็จ 'ฐานคิด และ ฐานใจ' ..มีสั้นๆ 50 ข้อ
1 เมื่อคนส่วนใหญ่ตั้งเป้าหมายในเรื่อง เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลาผิด ชีวิตจึงเดินแบบไร้จุดหมาย
2คนยิ่งรวย ชีวิตและครอบครัวยิ่งเครียด คนไม่รวย ชีวิตก็ยิ่งเครียด เพราะเงินสร้างปัญหาชีวิตรอบด้าน โดยที่เราลืมไปว่า เรานั้นแหละสร้างปัญหาเองแต่แรก
3คนยิ่งมีชื่อเสียง ชีวิตคู่ยิ่งพัง เขากลายเป็นนักรักที่หล่อและสวยเลือกได้ จนสุดท้ายไม่มีใครในโลกนี้ตอบโจทย์คู่ชีวิตของเขาได้เลย นอกจากกระจกส่องหน้าบานเดียวที่เขานั่งมองมันด้วยความเหงาชั่วชีวิต
4คนที่ส่งลูกไปเรียนพิเศษทุกวิชาที่เรียนอ่อน เพื่อให้ลูกเก่งรอบด้านแบบจับฉ่าย จนสั่งสมเป็นความเครียดและหาตัวเองไม่เจอ สุดท้ายเขาขอเพียงอย่างเดียว คือ ขออยู่ห่างๆพ่อแม่ เพื่อเขาจะมีความสุขได้เสียที
5 " ปัญญา" ที่ดี ต้องถูกขัดเกลาจากการได้รับการยอมรับของสังคม จากผลงานที่ทำ ( คนมากมายยอมรับผลงาน ) จากประสบการณ์ และจากความกล้าที่จะขี่จักรยานชีวิตแบบล้มบ้างลุกบ้าง แต่ทุกครั้งที่ล้ม เขาเจอครูที่ประเสริฐที่ให้ปัญญาแก่เขามากขึ้นเพิ่มขึ้น
6 ถ้าคุณรู้ว่าคุณรักที่จะทำอะไรก่อนที่ใบปริญญาจะมากำหนดให้คุณทำในสิ่งที่คุณไม่ได้อยากทำเลย คุณก็จะเปลี่ยนชีวิตแล้วมุ่งมั่นศึกษาหาปัญญาในสิ่งๆนั้น ไม่ใช่หาใบปริญญา แล้วคุณจะกลายเป็นคนที่ดีที่สุดในจุดที่ยืนในเรื่องที่คุณรัก
7 เศรษฐีระดับโลกที่เรียนไม่จบนั้นเพราะเขา " ตั้งธง" ว่าจะเอาปัญญา ไม่ใช่ใบปริญญา
8 หากคุณคิดว่าโลกใบนี้มีขีดจำกัดแล้วสร้างรั่วล้อมรอบบ้าน นั้น แหละคือการกำหนดขอบเขตของโอกาสและโชคที่คุณจะได้รับในชีวิต
9การที่เราตั้งธงให้บ้านคือ " สถานที่ " มันเป็นการตั้งเป้าหาวัตถุ จนสุดท้ายเราลืมไปว่า แก่นจริงๆ ของคำว่า " บ้าน " คือ " ครอบครัว " มันไม่ใช่สถานที่แต่คือ " คน "
10 " บ้านไร้รั้ว " คือที่ไหนก็ได้ ที่พ่อแม่ลูกสามารถเชื่อมต่อกันได้ มีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกันได้ คุยกันได้
11 คุณรู้หรือไม่ว่า สมัยก่อนถ้าเขาต้องการตีประเทศไหนให้แตกจะต้องใช้กำลังทหารและใช้ปืน ใช้กำลังเขาไปยึด แต่เดี๋ยวนี้ยุคทุนนิยม ไม่ต้องใช้ปีนแต่ใช้ " เงิน " โยนเข้าไป การโยน " เงิน " เข้าไปก็เพื่อทำลายคุณค่าของคน แล้วให้ทุกคนในสังคมตีคุณค่าตัวเองเป็นตัวเลข จากนั้นก็โยน "โซ่ " เข้าไป โซ่ที่ว่าก็คือ " หนี้ "
12 พ่อแม่ที่ค่อยๆ ปรับตัวเป็นเพื่อนกับลูกก็เป็นหนึ่งในแนวทางการแก้ปัญหาที่ยั้งยืนได้ และวันใดก็ตามที่เพื่อนของลูกมานั้งคุยกับคุณเหมือนเพื่อน นั้นแปลได้ว่า คุณได้ลูกของคุณคืนแล้ว
13 สัญลักษณ์แทนอิสรภาพของวัยรุ่นในสังคมไทยก็คือการมีรถยนตร์และการย้ายออกไปอยู่คอนโดฯ อันนำไปสู่การกู้ซื้อรถและบ้าน ( คอนโดฯ )ก่อนเวลาอันควร จนเป็นหนี้หัวโตและชีวิตพังในเวลาต่อมา
14 บ้านไร้รั่ว คือบ้านที่เปิดโอกาสให้ตัวเรากับคนที่เรารักได้เชื่อมต่อกัน
15 คุณต้องเข้าใจตัวเองก่อน ถึงจะสามารถเข้าใจคนอื่น เข้าใจโลก เข้าใจตลาด และประสบความสำเร็จในชีวิตได้ในที่สุด
16คนไทยส่วนใหญ่เป็นหนี้เพราะต้องการซื้อตัวตน ต้องการซื้อคุณค่าของตัวเองจากวัตถุสิ่งของ
17เราเป็นหนี้เพื่อมีบ้านที่ไม่น้อยหน้าใคร เรายอมเหนื่อยเพื่อมีรถขับและให้ได้ใช้ของแบรนเนมที่ไม่น้อยหน้าใคร แต่หารู้ไม่ว่าการสร้างหนี้มันคือความเครียด เพราะเมื่อคุณขาดความรู้ในระบบทุนนิยมคนส่วนใหญ่จึงสร้างหนี้ขยะ ไม่ใช่สร้างหนี้เพื่อสร้างรายได้ ทำให้ไม่มีทางใช้หนี้ได้ พาตัวเองเข้าสู่การเป็นทาสหนี้ และเป็นทาสในระบบทุนนิยมในที่สุด
18 เราไม่ควรตั้งธงเป็นเงิน แต่ควรตั้งธงเป็นสิ่งอื่นที่แสดงคุณค่าของตัวเรามากกว่าเงิน
19สิ่งที่เราพยายามโชว์ ที่คนอยากให้คนอื่นเห็น ที่เราเข้าใจว่ากำลังพยายามแสดง Impression แต่คนอื่นกลับเห็นเป็น Blind Spot เขารู้ แต่เราดันไม่รู้ เพราะฉะนั้น อย่าเสแสร้งเพราะคนอื่นเขาเห็น
20 ตัว Weaknees เป็นสิ่งที่เรารู้ว่าเป็นจุดอ่อน แต่เราพยายามปกปิดด้วยการสร้าง Impression ที่ตรงข้ามกับจุดอ่อนของเรา ซึ่งถ้าเราสามารถสร้างImpression ได้สำเร็จเราก็สามารถปิดจุดอ่อนได้
21 ถ้าจะถามว่าแก่นของกฎแห่งความสำเร็จคืออะไร ก็ตอบได้เลยว่า คือ การไร้รั่วในการศึกษาและการพัฒนาตัวเอง
22 คนส่วนมากหยุดการเรียนรู้หลังจากที่เรียนจบปริญญาแล้ว นั่นหมายความว่า ปริญญาเป็นรั้วทางการศึกษา
23 โจทย์แรกที่ต้องถามในการสร้างธุรกิจขึ้นมาใหม่คือ ต้องตอบให้ได้ว่า "Why" ทำไมลูกค้าต้องซื้อสินค้าและบริการที่คุณจะขาย
24 โลกเราต้องการ " The why guy " คนที่สร้างแรงบันดาลใจในเรื่องที่ตัวเองทำได้ดีที่สุด คนนั้นแหละจะเป็นผู้ที่นำในสายอาชีพของตัวเอง
25 คุณรู้หรือยังว่าตัวเองมีเสน่ห์ตรงไหน อย่าตอบว่าไม่มี เพราะมนุษย์ทุกคนมีเสน่ห์ในแบบของตัวเอง แต่คนที่ประสบความสำเร็จเป็นเพราะเขารู้ว่าเสน่ห์ของเขาอยู่ตรงไหน จากนั้นก็สื่อสารในจุดที่เขามีเสน่ห์
26 ต้องเข้าใจก่อนว่ามนุษย์ทุกคนต้องการความห่วงใย ต้องการความเห็นใจ เพราะมนุษย์เรามีหัวใจไม่ใช่เครื่องจักร ไม่ใช่เครื่องผลิตเงินที่ไม่ต้องการการเห็นใจ คอยทำหน้าที่ผลิตเงินอย่างเดียว เพราะถ้าเป็นเช่นนั้น
สุดท้ายมนุษย์ก็จะเหงาและเครียด ทนรับไม่ได้ว่าทนทำทุกอย่างแล้วแต่ทำไมคนรอบข้างไม่มีใครเห็นใจเลย และยังถามคำถามบาดใจอีกว่า " จะทำงานหนักอย่างนี้ไปทำไม " ทว่าเราก็ยังหยุดไม่ได้ และยังเลือกให้เงินกับครอบครัวแต่ไม่ให้เวลา
27การสัมผัสของพ่อแม่จะช่วยลดความกกดดันของลูก เป็นการปลดล็อดชีวิตของลูก ให้เขามีความสุขกับสิ่งง่ายๆ แล้วสอนให้เขารู้ว่าตัวเขามีคุณค่า
28 Tocxic Touching คือการสัมผัสที่สร้างแต่สิ่งลบ เช่น ตี หยิก ผลัก และ ตบ ส่งผลให้ลูกกดดัน และรู้สึกไร้ค่ามากขึ้นเรื่อยๆ
29 อย่างเช่น ผมเป็นผมเพราะผมขับรถเบนซ์ ซึ่งถ้าเอารถเบนซ์ออกไป ตัวตนของผมจะหายไปทันที ดังนั้น คนที่มีแนวคิดแบบนี้ จะพยายามทุกวิถีทางเพื่อจะซื้อสิ่งๆนั้น ไม่ว่าจะต้องแลกด้วยอะไรก็ตาม
30 ประเทศที่เจริญแล้วเขาไม่สนว่าคุณขับรถอะไร แต่เขาจะวัดค่าของคนจากการมีจิตสาธารณะ
31 ถ้าเราลองหลับตานึกภาพสังคมไทยในอดีต ก่อนที่ระบบทุนนิยมจะเข้ามาในประเทศ คนไทยส่วนใหญ่มีจิตอาสา อย่างการทำนาก็มีการลงแขกช่วยเหลือ
32 การมองตัวเองต้องไม่เอาไปอิงกับวัตถุ ต้องมองให้ออกว่าตัวเรามีคุณค่าในตัวเอง ไม่ได้มีคุณค่าเพราะการมีรถหรู มีบ้านหลังใหญ่ มีของแพง แต่ต้องมองว่าตัวเรามีคุณค่าเพราะคุณค่าที่เกิดจากตัวเรา
33 การศึกษา = เวลาว่างที่เราเรียนรู้จากตัวเองไปพร้อมๆกับการมองโลก ซึ่งมันต้องเป็นความสนุก เป็น luxury และเป็นอิสระ การศึกษาไม่ใช่การท่องจำตำราเหมือนในอดีต
34 คุณต้องเลือกให้ได้ก่อนว่าคุณชอบอะไร อยากเก่งเรื่องอะไร จากนั้น โลกอินเตอร์เน็ตจะเปิดกว้างให้คุณได้เรียนอย่างไม่รู้จบ
35 ในโลกยุคต่อไป ความเก่ง การท่องจำเก่ง มีความรู้มากๆ ไม่ได้เป็นตัวการันตีเลยว่าคุณจะประสบความสำเร็จ แต่สิ่งที่จะตัดสินว่าใครจะประสบความสำเร็จในโลกอนาคตก็คือการเลือกความรู้ที่เหมาะกับตัวเอง
36 การเลือกความรู้ที่เหมาะสมกับตัวเรา เอามาทดลองใช้ ลองผิดลองถูก เป็นการศึกษาที่เราเลือกเอง เมื่อเราเห็นว่าความรู้นั้นๆใช้ได้ดีกับตัวเรา มันก็จะกลายเป็นปัญญาของเรา
37 เจ้าปัญญานี้เองเป็นตัวตัดสินว่าใครจะประสบความสำเร็จในชีวิต
38 การให้เกียรติกับทุกสาขาอาชีพนี้เองที่ทำให้ความบ้าแบรนด์เนม บ้าวัตถุ ลดน้อยลง เพราะคนทุกคนเขามองตัวเอง มองอาชีพมองงานที่เขาทำว่าทุกคนต่างมีค่า และทุกคนสามารถดีที่สุดในจุดที่ยืน
39 จริงๆแล้วการซื้อของหรูหราไม่ใช่เรื่องผิด แต่มันต้องเหมาะสมการฐานะตัวเอง ไม่ใช่ไปกู้เงินมาซื้อ ซึ่งแต่ละคนมีความพอเพียงไม่เท่ากัน
40 คำว่าพอเพียงไม่ใช่การไม่ใช้เงินเลย แต่คือการใช้ให้สมดุลกับฐานะตัวเอง
41 ตัวผมเองเคยเป็นคนที่ชอบการแข่งขัน แต่ยิ่งก็ยิ่งเครียด ทำให้ผมกลับมาถามตัวเองว่า วันนี้เราอยากทำอะไร แล้วเราทำสิ่งนั้นได้ดีหรือไม่ กลายมาเป็นหาจุดดีที่สุดในจุดที่ยืน
42 ในส่วนของจุดบอดจะมีทั้งเรื่องดีและไม่ดี เรื่องดีก็คือสิ่งที่เราสามารถพัฒนาจุดที่คนอื่นมองเห็นให้กลายเป็น impression คือ ให้ " ภาพที่คนอื่นมอง " กับ " ตัวตนที่เราอยากเป็น " กลายเป็นภาพเดียวกัน
43 คนที่ประสบความสำเร็จแบบค้างฟ้า ดังแบบกินยาว เป็นเพราะเขามีแนวคิดที่ " ไร้รั่ว " ไม่ยึดติดกับความสำเร็จเดิมๆ จนไม่กล้าเปลี่ยน คนเหล่านี้เปลี่ยนแปลงตลอดเวลา กล้าเสี่ยง กล้าที่จะคิดนอกกรอบ นี่แหละการเข้าใจจุดบอดและยอมเปลี่ยนตัวเอง มีมุมมองแบบไร้รั่วนั้นเอง
44 การเลี้ยงดูของพ่อแม่จะส่งผลต่อบุคลิกและนิสิยของเด็ก ซึ่งเขาจะพัฒนาไปเป็นตัวตนของเขาเมื่อเขาโตขึ้น การทำความเข้าใจ การอบรมสั่งสอน และการเลี้ยงดู จะทำให้เราเข้าใจพฤติกรรมและเข้าใจความต้องการของคนในประเทศนั้นๆ อย่างน่าอัศจรรย์
45 การเป็นดาวค้างฟ้าไม่ได้เกิดจากโชคชะตา แต่เกิดจากที่เราสามารถค้นหาจุดที่ดีที่สุดในจุดที่ยืนในแต่ล่ะช่วงเวลาของชีวิตพบหรือเปล่าก็เท่านั้นเอง
46 การมองเวลานั้นไม่ใช่การมองตามเข็มนาฬิกา เพราะการมองเช่นนั้นจะทำให้ชีวิตขาดโฟกัส แล้วจับโอกาสทุกอย่างทั้งดีและไม่ดี สุดท้ายก็ไม่สามารถทำอะไรได้ดีเลย เพราะจับฉ่ายไปหมด
47 คนฉลาดต้องตั้งธงให้ถูกว่า " เวลา " ในช่วงนี้ ที่เราแบ่งเป็น " วาระ " ( term ) เราอยากทำอะไร จากนั้นถ้าเรามีเป้าหมายชัด เราก็จะปรับนิยามการใช้ชีวิตให้เข้ากับโอกาส ณ ปัจจุบัน
48 คนที่บ่นว่า " ผมไม่มีเวลา " ก็แปลว่าเขายังไม่ตั้ง " วาระ " ชีวิตจึงเหนื่อย จับฉ่าย และขาดพลัง สุดท้ายก็จะท้อเพราะทำอะไรก็ไม่สำเร็จและเสียความมั่นใจในตัวเองในที่สุด
49 เพราะชีวิตคือการเดินทางเราต้องกล้าที่จะออกเดินทาง กล้าที่จะค้นหา และกล้าที่จะเปลี่ยนแปลง มันถึงจะเรียกว่า รสชาติของชีวิตในแบบคนรุ่นใหม่
50 ถึงเวลาที่คุณเองก็ต้องพิจารณาวงล้อชีวิต ( life Quadrant ) ของคุณเองเพื่อจะได้หมุนไปหาโอกาสใหม่ๆในชีวิต