แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

มุมมองใหม่ๆ ในเรื่อง "บ้านๆ"


วันนี้ได้มีโอกาสสัมภาษณ์ "เสี่ยเต" ทายาทตัวจริงของคุณ ประทีป ตั้งมติธรรม ผู้ก่อตั้งกลุ่ม ศุภาลัย .. "ผมไม่เคยเจอคุณประทีบ แต่วันนี้ได้คุยกับคุณเต พร้อมกับกิน Dim sum กัน..ดีที่นี่เป็นแค่กินอาหาร ถ้ากินเหล้าด้วย สงสัยจะได้เจาะกลยุทธ์ของกลุ่มอสังหาลึกว่านี้ ...555"

ก่อนอื่นขอเล่าที่มา ก่อนที่บัวหลวงจะเอา SPALI มา Roadshow ..ผมเข้าไปแกะงบการเงิน ร่วมกับนักวิเคราะห์บัวหลวง ซึ่งเราพบว่า ศุภาลัย เป็นบริษัทที่ Net Profit Margin หรือ กำไร โดดเด่นที่สุดในกลุ่ม ...และที่นักวิเคราะห์พูดเรื่องนึงสะกิตมุมมองของผมคือ Domestic Play  มันเป็น Strategy ที่ Fund Manager ในช่วงนี้เริ่มมาให้ความสำคัญ ..ซึ่งแน่นอนเรารู้อยู่แล้วว่า Trend เศรษฐกิจของเอเชียมาแน่ ..แต่อะไรล่ะ ที่มา!! ..ในส่วนของการกระจายความเจริญสู่ชนบท เราจะเห็นอย่าง BIGC , Tesco Lotus , MAKRO และกลุ่มค้าปลีก คึกคักขึ้นอย่างร้อนแรงมาก ..อ่ะนะ "โดยเฉพาะราคาหุ้น" ..แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ นอกจากภาพของ ค้าปลีก มันยังมีภาพของ ความมั่งคั่งที่กระจายตัวไปสู่หัวเมืองต่างๆ ที่สำคัญ ..เรียกได้ว่า เศรษฐีประจำจังหวัดต่างๆ เขามีกำลังซื้อ แต่ปัญหาก่อนหน้านี้ คือ ไม่มีผู้ประกอบการไป Capture จับความต้องการตรงนั้น ...นั่นแหละประเด็นในอดีต ...มี Demand -- แต่ไม่มี Supply

แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป เราเริ่มเห็น Developer หลายเจ้า "นำโดยศุภาลัย" เริ่มรุกหนักตลาดต่างจังหวัด ... ซึ่งประเด็นนี้ ผมถาม คุณเต ว่า คิดยังไงถึงไปต่างจังหวัด แล้วมันดีจริงตามที่เขาคิดไว้หรือเปล่า

คำตอบที่ได้ อึ้งเลย!! ..."บังเอิญ!!" ...คือ ประมาณว่า ศุภาลัยรุกไปต่างจังหวัดตั้งนานแล้ว แต่โครงการก็พับไป ..เพราะเจอวิกฤตเศรษฐกิจ แต่รอบนี้ มันเปลี่ยนไป ..กำลังซื้อมันมีมาก และการเติบโตสูง ..ซึ่งจุดนี้เรียกได้ว่า ความพร้อมของศุภาลัยที่มีหน่วยธุรกิจที่ต่างจังหวัดอยู่แล้วทำให้ เร่งขยายโครงการในต่างจังหวัดค่อนข้างไว ..พูดง่ายๆ ตอนนี้ จังหวัดใหญ่ๆ อย่าง เชียงใหม่ ภูเก็ต ขอยแก่น หาดใหญ่ ชลบุรี สุราษฎร์ ไปถึงหมดแล้ว ปีนี้เราเป็นผู้นำตลาดต่างจังหวัด ซึ่งสัดส่วนเวลานี้ก็คือ 20% ของยอดขายทั้งหมดของศุภาลัย มาจากต่างจังหวัด และ ตลาดนี้ขอบอกว่า ขยายตัวเร็วกว่าที่คาดการณ์!!

"ถามจริงๆ แล้วคนต่างจังหวัดเขา ทำไมต้องซื้อของ ศุภาลัยด้วย"

"จริงๆ ผมว่า มันเรื่องของคุณภาพ ...ความได้เปรียบของรายใหญ่ ..เราได้เปรียบในเรื่องของต้นทุน และ คุณภาพ มันเป็น Brand ที่ขายได้"

"เอ๊ะ!! ถ้ามองภาพแบบนี้ แปลว่า รายเล็กซวย ..ใช่ไหมพี่!!"

"โอ!! .. ไม่ถึงขนาดนั้น แต่ถ้ามองดีๆ มันไม่ใช่แค่อุตสาหกรรมอสังหา มันทุกอุตสาหกรรม อย่างค้าปลีก ดูซิ รายเล็ก เจอกลืนหมด ..หรือ อย่าง 7-11 ..อัดโชวห่วยตายทั้งประเทศ ..วันนี้ภาพการแข่งขันมันเปลี่ยนไป มันกลับมาที่ Value ที่ลูกค้าจะได้ ..ใครทำสินค้าได้ คุณภาพที่สุด และถูกที่สุด ลูกค้าก็เลือกซื้ออันนั้น ...มันเป็น Demand & Supply ที่แท้จริง ...อย่างรายเล็ก ถ้าเขาเข้าใจ เขาก็จะหันไปทำ Niche Market ..ถ้าอย่างนั้นก็อยู่ได้"

"แล้วถามนิดนึงครับว่า พี่เต มองส่วนแบ่งตลาดของรายใหญ่กับรายย่อย ยังไงในอนาคต"

"ผมว่า สุดท้ายอาจไปถึง 80/20 คือ รายใหญ่ปัจจุบันที่ส่วนแบ่งตลาดประมาณ 60% จะค่อยๆ เพิ่มขึ้น เป็น 80% ในที่สุด ..คิดง่ายๆ ตลาดโตปีละประมาณ 5% แต่รายใหญ่ของอสังหา โตปีละ 15 - 20% มันโตมากกว่าตลาด สุดท้ายมันก็เลยต้อง Consolidate ไง"

(อิ อิ .. ก็ปลาใหญ่ กินปลาเล็กเล็ก อยู่ดีอ่ะพี่..)  ... "เออ.. ว่าไป"

สงสัยครับ ..เรื่องนี้ ผมสงสัยมาก คือ อยากถามมานานแล้วว่า "ผู้ประกอบการอสังหา" ต้องสร้างบ้านทุกปี มันเหมือน "หมาล่าเนื้อ" ..คือ สร้างแล้วขาย จากนั้นก็ต้องสร้างใหม่ ...อย่างนี้ มันจะรักษาการเติบโต และ จะเตรียมตัวยังไง ถ้าเกิดวิกฤตแรงๆ มาอีกรอบ ..."คือ ผมบอกตรงๆ เลย เท่าที่คุยกับนักลงทุนระยะยาว เขาไม่ชอบธุรกิจ แบบของพี่อ่ะ ..พี่ช่วยไขข้อสงสัยผมหน่อย"

"ได้!! จริงๆ แล้ว ศุภาลัย ผ่านมาทุกวิกฤต ...ยังรอดได้ แล้วโตขึ้น ..อย่างแรก เรื่องบ้าน ..มันมี Demand ตลอด เพราะคนย่อมต้องการบ้านที่ดีอยู่ แต่เรื่อง Cycle เศรษฐกิจมันเป็นเรื่องของความผันผวน คือ ถ้าเราเข้าใจ แล้วดูแลความผันผวนได้ ปัญหาก็ไม่เกิด ...หรือ เกิดก็ ควบคุมได้ เช่น ปี 2008 เกิด Sub-prime ..คนชะลอการซื้อบ้าน ...แต่สุดท้าย Demand ความต้องการก็กลับมาอยู่ดี ..มันกลายเป็นว่า ยิ่งเจอวิกฤตมากๆ ความต้องการมันก็อั้น ..พอวิกฤตผ่าน ตลาดมันก็บูม ...ถ้ามองให้ดีแล้ว ผู้ประกอบการสร้างบ้านเดี๋ยวนี้จะ Conservative มาก เราไม่มีการซื้อที่ตุนเหมือนสมัยก่อน ดังนั้น ปัญหา Land Bank เราไม่มี ..ดังนั้น การซื้อที่แล้วพัฒนาเลย มันลดปัญหาต่างๆ เช่น ความผันผวน ...หรือ อย่างตอนนี้คุยกันมากเรื่อง ผังเมือง ซึ่งการที่เราไม่มีที่ตุน มันก็ลดปัญหาตรงนี้ ..เราก็ Focus ในเรื่องการบริหารแบบมืออาชีพเท่านั้นพอ"

"มีเรื่องนึง ไม่รู้ถามดีไหม ...ถามจริงๆ เถอะครับ คุณเต ...ทำไม คอนโดศุภาลัย สร้างช้ากว่า LPN ล่ะ(ข้องใจ)"

"ดูที่งบการเงินเราซิครับ Net Profit Margin เราพระเอกสุด ... จุด Optimal ของการสร้าง ก็เป็นหนึ่งในคำตอบ!!"

"แม่เจ้า!! อะไรคือ Optimal ของการสร้าง ..พี่เต ช่วยแถลงไขหน่อย"

"โอเค ..อย่างธุรกิจ ศุภาลัย เรามองในเรื่องของ Cost & Return ดังนั้น เราต้องหาจุดที่สร้างผลกำไรสูงสุด อย่างการจัดซื้อหรือ การเข้าไปลุยในบางจุด ผู้ประกอบการอื่นเขาไม่ทำ แต่เราทำ เพราะจาก Economic of Scale ถ้าเราทำ เราได้เปรียบเรื่องประหยัดจากขนาด เช่น ถ้าเราซื้อของเอง เราก็ซื้อได้ถูกกว่าผู้รับเหมาซื้อ อะไรประมาณนั้น ... ส่วนระยะเวลาในการสร้าง ..เราก็ดูที่จุด ที่ถูกที่สุด ดังนั้น การสร้างเราอาจไม่ได้เร็วที่สุด แต่มันเป็นจุดที่กำไรที่สุดนั่นเอง" 

คร่าวๆ ที่คุยกันก็ทำให้ผมเข้าใจมุมมองของผู้ประกอบการสร้างบ้าน ที่ในวงการเขาให้ชื่อเรียกคนเหล่านี้ว่า "หมาล่าเนื้อ" ..ก็แน่นอน ถ้าจะเป็นมหาล่าเนื้อ และ อยู่รอดในตลาดได้ยาวนาน ...เขาก็ต้องเป็นหมาล่าเนื้อที่คมกริบ  ไม่งั้นคงโดนล่าไปเองแล้ว...555

ในส่วนของภาพรวมอุตสาหกรรม ก็วาดมุมมองใหม่ๆ ให้ผมในเรื่องของ Asian Miracle ในรอบนี้ ที่อสังหา มันไม่ได้เลวร้ายอย่างที่หลายๆคนคิด ...แน่นอน ถ้าถามความเห็นของผม ..ผมว่า สุดท้าย มันหนีไม่พ้น Cycle การขึ้นลง Bubble & Crash อยู่ดี ... แต่ในระยะ 5 ปีนี้ ผนวกกับนโยบายรัฐบาล เราก็พอจะเห็น Trend ขาขึ้นของ ตลาดอสังหาของไทย ..และยิ่งตลาดต่างจังหวัดที่ความต้องการซื้อ มันเป็นความต้องการจากคนที่อยู่จริงๆ ก็ถือเป็นสัญญาณที่ดี

ครับ.. วันนี้เอามุมมองของ หนึ่งในผู้ล่า วงการอสังหา มาฝาก ..แต่อย่างที่บอก ผมไม่ได้เอามาเชียร์หุ้น ..แต่เอามาให้เรียนรู้มุมมอง ... ธุรกิจอะไรก็ตาม ถ้าเรามองว่าดี เราต้องดูที่พื้นฐานก่อน ...ถ้าพื้นฐาน ไปได้ เจ้าของคุยรู้เรื่อง ...เราค่อยมาหาจังหวะซื้อโดยใช้ Technical ต่อไป ... ก็ไปทำการบ้านต่อกันเอานะครับ สำหรับเพื่อนๆ เดินทาง สู่ความมั่งคั่งทุกท่าน

สวัสดีจ๊า!! ..อิ อิ

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ค่าเงินบาท" กับ ชาวนา มันเกี่ยวข้องกันอ่ะ


"ค่าเงินบาท" กับ ชาวนา เกี่ยวข้องกันแล้ว ... และ Technical ก็เกี่ยวข้องกับ Fundamental ...โอว!! มันซักจะซับซ้อนกันไปใหญ่แล้ว -- แต่ผมอยากจะ เอามาเล่าให้ฟัง

จริงๆ แล้ว เรื่องของ Fundamental กับ Technical มันสามารถเอามาใช้ร่วมกันอย่างดี ...ยกตัวอย่าง ค่าเงิน ..ถ้าใครอ่านข่าวหน้าหนังสือพิมพ์ต่างๆ จะเห็นว่า นักวิเคราะห์ต่างฟันธงว่า เงินดอลลาร์ กำลังแข็งตัว ..ใช่!! ดูจาก Trend ก็รู้ เพราะมัน Break Trendline สำคัญ ...ซึ่งในมุมของ Technical เราสามารถ คาดการณ์ไปถึงว่า "เงินดอลลาร์ จะแข็งไปถึงจุดไหน!!" ...นั่นคือ เสน่ห์ แต่ข้อจำกัดก็มี เพราะ Technical จริงๆแล้วคือ "ความน่าจะเป็น" (ดังนั้น ตีความตรงนี้ให้เข้าใจ คือ ความน่าจะเป็น แปลว่า มันจะเป็นหรือไม่เป็นก็ได้ ...ผู้ใช้จึงควรมีจุด "Stop ความเสี่ยงที่ชัดเจน" และนี่คือ หัวใจของเครื่องมือความน่าจะเป็น)

การนำมาใช้ ...ถ้าเราเห็นการ แข็งค่าของ ดอลลาร์ แล้วเราวัด Target ของการไปของราคาได้ เราก็ เฝ้าดูการวิ่งของมัน ...จากนั้น เมื่อถึง Target เราก็ยิ่งต้องมาดูอย่างใกล้ชิด ตรงจุดนั้น มักจะมีสัญญาณบางอย่างที่เตือนเรา ..คนที่เข้าใจ ก็ใช้สัญญาณนั้นในการตัดสินใจต่อไป ...ซึ่งคนที่เข้าใจ ในเรื่องของ Technical และ Target Price ..เขาก็มักจะสามารถรักษาตัวรอดได้ดีกว่า คนที่ไม่มีเครื่องมือ ...จริงๆ มันก็แค่นั้นเอง

มาดูในส่วนของ Fundamental หรือ พื้นฐาน ...เรื่องของเงินดอลลาร์ มันขึ้นลงตาม Demand & Supply ของดอลลาร์ ..ดังนั้น ปัจจัยที่สำคัญมากสำหรับ เงินดอลลาร์ในระยะจากนี้ไปคือ เรื่องของ QE เพราะ การทำ QE แต่ละครั้งคือ การพิมพ์เงิน (เพิ่ม Supply ของดอลลาร์ ..มันเลยอ่อนค่าไง) -- ดังนั้น การทำ QE แต่ละครั้งจะทำให้ดอลลาร์อ่อน แล้ว Asset ต่างๆ รวมถึง หุ้น ทอง Commodity จะวิ่งขึ้น !! แต่ข้อเสีย ก็คือ เมื่อ Asset วิ่งขึ้น เงินเฟ้อก็วิ่งขึ้น -- ค่่าครองชีพก็สูง คนจนก็ยิ่งซวย แล้วใครจะเลือก​ โอบามาล่ะ (เห็นไหมครับว่า ประเด็นต่างๆ มันเชื่อมโยงกัน ตั้งแต่ พื้นฐาน ไปจน Technical )

...การเลือกตั้งของ US ก็เป็นปัจจัยที่สำคัญ ...เพราะมัน ช่วยให้เราคาดการณ์ได้ว่า QE จะต้องทำในเวลาไหน ...

สรุป "ค่าเงิน" มันกระทบกับทุกชีวิตบนโลก เพราะมันส่งผลกระทบต่อ "เงินเฟ้อ" ...และ การค้าขายของทั้งโลก ...นักธุรกิจ และ ผู้ประกอบการ จึงควรทำความเข้าใจเครื่องมือต่างๆ ทั้ง Fundamental และ Technical  จึงจะได้เปรียบ ในสงครามเศรษฐกิจในโลกใบนี้

...การแข็งค่าของ US เป็นเรื่องเรื่องที่ดี เพราะ อเมริกา จะได้ ทำ QE ง่ายหน่อย ...และเมื่อทำ QE พวก Asset อย่าง หุ้น ทอง Commodity มันก็จะพุ่งขึ้น พร้อมกับค่าครองชีพที่สูง "เงินเฟ้อ!!" ...หลายคนบอก QE ไม่ต้องทำก็ได้ แต่หารู้ไม่ว่า แท้จริงแล้ว QE กับ "ราคา Asset" มันเชื่อมโยงกันแบบลึกซึ้ง ...กล่าวคือ ในปี 2008 ที่เกิด Sub-prime ถึงปัจจุบัน ราคา Asset เช่น ที่ดิน ในอเมริกา ลดลงเกือบครึ่ง (ทั้งๆที่ 10 ปี ก่อนหน้า ที่ดิน ของอเมริกา Boom แบบ ไม่มีวันตาย ..แต่สรุปมัน ตาย แล้วเกิด วิกฤต Sub-prime อย่างที่เห็นไง... ถ้าพุทธศาสนา เขาจะบอกว่า อนิจจัง ..แต่นักธุรกิจ เขาจะเรียก Cycle ก็แค่นั้นเอง -- หลายคนตื่นเต้น โอว..อเมริกาตกดินแล้ว ..จริงเหรอ -- หรือ มันแค่ ลง มาให้เป็นโอกาส ในภาพใหญ่ ...เรื่องพวกนี้ ถ้าคุณไม่เข้าใจกลไกเศรษฐกิจ และ Cycle คุณจะหัวหมุนตามข่าวตลอด ...ซึ่งผลก็คือ เจ๊ง!!)

กลับมาที่ "ราคาที่ดิน" ที่มันลงเละเทะ ...มันส่งผล ต่อ "จิต" ของคนอเมริกา ...คือ ทุกคนรู้สึกจนลง ทำให้ทุกคนหยุดใช้จ่าย ...และนั่นแหละที่การพิมพ์เงิน หรือ QE มันเข้ามาเป็นเครื่องมือในการ สร้างกำลังซื้อ ... อีกนัยนึง ก็คือ การสร้างเงินเฟ้อนั่นแหละ ... แต่ปัญหาคือ US DOLLAR มันเป็น "เงินของโลก (ที่ใช้หมุนเวียนกันกว่า70% ของเงินทั้งโลก)" ..การที่อเมริกา เงินเฟ้อ ... ก็จะส่งผลให้ประเทศที่เศรษฐกิจดีกว่าอเมริกา อย่างเอเชียเราเงินยิ่งเฟ้อ ...

แต่ถามหน่อย อเมริกา เขาแคร์ไหมว่า "เงินในเอเชียจะเฟ้อ..แล้วคนจนในเอเชียจะแย่" ..ไม่ครับ เขาไม่สน !!... สิ่งที่นี้เชื่อมกับภาพของ Asian Miracle 2 ที่ผมกล่าวไว้ว่า มันกำลังเกิดขึ้น ...ก็มาจาก กองทุน ทั่วโลกวิ่งหาผลตอบแทนที่ดีกว่า ซึ่งในเวลานี้ เอเชียในภาพใหญ่ มันตอบโจทย์ ...แต่คิดดีๆ ครับ การขึ้น มันก็ขึ้นพร้อมเงินเฟ้อ ที่ก่อตัวมหาศาล ...ผมถึงแนะนำให้เพื่อนๆนักลงทุน แบ่ง Port ลงทุน ในระยะยาว เพื่อรองรับภาพใหญ่ ในจุดนี้ด้วย (อย่างที่ผมเคยบอกว่า ตัวผมเอง 70% ของผม ลงยาว คือ มี Stock Wish List แล้ว เก็บหุ้น ที่เล็งเมื่อราคาลงมาเหมาะสม แล้วส่วนนี้ผมถือยาวเลย 5 ปีขึ้นไป ไม่ขาย ...ส่วนอีก 30% ของผม ผมก็แค่เล่น "รอบ" ตาม Technical -- เรียกได้ว่า หากเราเข้าใจ ภาพใหญ่ และ ภาพเล็ก ...เราก็จะสามารถเป็นผู้ที่มั่งคั่ง บนปัญญา และ ความสามารถของเราเองไงครับ)

สู้ สู้ ครับ (ไว้ผม จะเอาเรื่อง เล่าบน เศรษฐกิจ มาเล่าสู่กันฟังใหม่...โย่ว!!)



วันอังคารที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

กับดักเดิมๆ.. แต่เราก็ติดอยู่ดี !!


"อยาก แชร์มุมมองสักนิด!!...ท่ามกลาง ความผันผวนอีกครั้งของตลาดหุ้น"
 ...ผมว่าตลาดแบบนี้ หลายๆคน จะเริ่มเข้าใจตลาดมากขึ้น คือ "เข้าใจเลยว่า ที่จริง เราไม่ได้เข้าใจตลาดหุ้นเลย!!"
...เวลาเราคิดว่า ตลาดมันน่าจะลง มันกลับดีดขึ้น ...พอมันดีดขึ้น เรานึกว่ามันน่าจะลงจบแล้ว เราก็เข้าซื้อตาม ...แต่ มันกลับเด้งขึ้นมา เพื่อลงต่อ ...จากนั้นเราก็ติดดอย มองดูหุ้นที่เราเพิ่งเข้าลงลึกไปเรื่อยๆ 
...ข่าวๆร้าย กระหน่ำเข้ามา ..ภาวะจิตตกเกิดขึ้น ...เราก็ถอดใจ ...ขายหุ้นบอกตัวเองว่า Cut Loss ละกัน ...จากนั้นพอเรา Cut Loss ตลาดก็กระชากกลับขึ้นไป ... เรา ฮึต!! ตามเข้าไปอีกรอบ
 
 ...จากนั้น ตลาดก็ดันย่อลงมา ..แต่คราวนี้เราเชื่อมั่นกอดหุ้นแน่น ปรากฏว่า ตลาดมันไม่ทำ New Low ตามที่เราคิดจริงๆ "เราเก่งจัง" แล้วจากนั้นหุ้นก็กระชากขึ้น ... เราได้กำไรทันที เราก็รีบขาย ..แต่พอเราขาย ตลาดกลับยิ่งขึ้น ..รู้ตัวอีกที เราขายหมู ตลาดขึ้นรอบใหญ่ ..เรากลับได้นิดเดียว!! 
(เวลาเสีย เสียเยอะ -- เวลาติด ติดหุ้นนาน -- พอได้ ได้นิดเดียว ..เล่นเท่าไหร่ก็ Port ไม่โต..)
 -- ที่ผมเล่านี่คือวงจรของ Elliot Wave ของตลาด ...1 2 3 4 5 a b c "ตัวเลข + ตัวอักษรไม่กี่ตัว" 
...แต่ไม่ง่ายเลย เพราะมันคือ จิตวิทยาการลงทุนขั้นสูงนั่นเอง!!
 -- จริงๆ เราไม่ต้องนับ Wave ก็ได้ หากเราย้อนคิด ความผิดพลาดของเราทั้งหมด ที่ผ่านมาในตลาด เราก็จะเข้าใจครับ
"ถ้าอยากกำไรจากตลาดหุ้น ต้องเข้าใจตัวเราเองก่อน แล้วเอาชนะใจตัวเอง ....ผมเชื่อว่ามันไม่ใช่เรื่องง่ายเลย แต่ถ้าทำได้ ก็ชนะตลาดครับ -- ... ลองดูครับ!!"

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

จุดวัดใจของตลาด ..."แนวทางต้องชัด!!"


(มา Review Technical ให้ดูกันแบบง่ายๆ)

... จุดที่ผมอยากให้ดูคือ สัญญาณ Bullish กับ Bearish ง่ายๆโดยใช้เส้น Moving Average ตัดกัน ...

 จุดเข้าของนักเทคนิคที่เข้ามาตั้งแต่หลายเดือนก่อน ก็เข้าตอน Moving เส้นสั้น(สีน้ำเงิน) ตัดขึ้นเส้นยาว(สีแดง) แล้ว Break Trendline บนแนวต้านสำคัญ ..ก็เข้า!!(เท่านั้นเอง) -- จากนั้นก็ถือ"ทนรวย" ..ถือ Let Profit Run ไปจน ..จน Moving ตัดอีกครั้ง ก็คือ รอเส้นสั้น ตัดเส้นยาวลงมา ... "ซึ่งในเวลานี้ อาทิตย์หน้า ต้องจับตาดูดีๆ ว่า Moving เส้นสั้นตัดลงเส้นยาว แล้วหลุดแนวรับสำคัญที่ SET 1150 หรือไม่(ดูดีๆ)...ถ้าหลุดก็จ๊าก!! นัก Technical ต้องหนี หรือ ไม่ก็เล่นบันจี้จั๊มตาม Trend กันลงมา -- นั่นแหละ สัญญาณการเข้าออกง่ายๆครับ" 

(อันนี้เป็นแนว Technical หรือ เล่นสั้นตาม Trend ที่ผมเอามา Review ให้ดู ...ส่วนคนที่เล่นยาว ..ยิ่งลงลึก ก็ยิ่งเป็นโอกาส ...นึกถึง การรับแบบปิรามิต ให้ดี -- แต่ความแตกต่างที่ผมอยากให้สังเกตุ คือ คนเล่นยาว กับ เล่นสั้น มันเล่นหุ้นคนละตัวนะ 

"หุ้นคนละตัว!!!!" ...

ดังนั้น อย่าสำคัญตนผิดว่า เราเข้าด้วย Technical แล้วพอสัญญาณหลุดไปแล้ว "ลงลึก" เราจะมาเปลี่ยนแนว กลางคันแล้วเปลี่ยนเป็นถือยาว -- อันนั้น เจ๊ง!! "มั้ว!!" -- ไม่ใช่คนเล่นยาว เพราะ หุ้นมันคนละตัว ..แล้วการเปลี่ยนม้ากลางศึก มันผิดอย่างแรง --- คือ คิดดีๆ ว่า เงินก้อนนี้ วางแผนมาเล่นอะไร ก็ต้องเล่นแบบนั้นให้จบ ...ดังนั้น คนที่วางมาเล่น Technical ถ้าหลุด ก็ Cut Loss ออกไป 

... ส่วนคนที่เป็น Fundamental แก่นมันอยู่ที่ Stock Wish List แล้วเฝ้าดู อย่างอดทน มานานแล้ว -- เวลาตลาดลงแรงจึงเป็น โอกาสสำหรับเข้านั่นเอง !! ...หุ้นใน List ลงมา ก็ต้องทยอยรับ -- สู้ สู้ ครับ) 

-- คิดดีๆ ให้ชัดว่า "เงินนี้ จะเล่นอะไร แล้วทำตามวินัย!!"

วันอังคารที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แกะหุ้นร้อนเข้า IPO ในตลาดอย่าง Thai Air Asia


ปีนี้นับเป็นอีกหนึ่งปีทองที่บริษัทหลายๆ แห่งจ้องที่จะเข้าระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ... คำถามที่เกิดขึ้นเสมอว่า ทำไมธุรกิจต้องเข้ามาในตลาดหลักทรัพย์ -- ซึ่งประเด็นมันมีคำตอบอยู่ไม่กี่ทาง ทางแรกคือ เจ้าของขายทิ้ง ...กับ อีกแนวคือ เข้ามาระดมทุน เพื่อขยาย!! ..."ผมสนใจประเด็นที่สอง ในเรื่องของการเข้ามาระดมทุนเพื่อขยาย เพราะมันจะเข้าข่ายบริษัทอย่าง IVL หรือ BLA ที่เข้ามา IPO ในช่วงวิกฤต และขยายธุรกิจอย่างก้าวกระโดด เรียกว่า ลงทุนใน Down Cycle เพื่อโดดรับกับ Up Cycle ...แน่นอน การทำเช่นนี้ไม่ใช่เรื่องง่าย และ เราก็ต้องรอการพิสูจน์จากหุ้นดังกล่าวต่อไป(ใน Case ของ IVL ผมพูดในเรื่องของ พื้นฐานและการนำเงินมาขยายกิจการนะ ไม่ใช่ การขึ้นลงของราคา.. อันนั้น รุนแรงไปสักนิด...555)"

มาที่สายการบิน ร้อนแรงอย่าง Thai Air Asia ที่กำลังจะเข้ามา IPO หรือ ระดมทุนในตลาดหุ้นไทย ...นับเป็นประเด็นที่น่าสนใจมากในขณะนี้ ว่า ท่ามกลางภาวะที่สายการบินต่างๆทั่วโลกประสบปัญหา ...ถ้ามองไปในประเทศพัฒนาอย่างอเมริกา เราจะเห็นสายการบินหลักๆที่เคยโด่งดังในอดีต ล้วนประสบปัญหาจนต้องปิดตัวไปมากมาย ..แต่ทว่า สิ่งที่สวนกระแสในวงการสายการบินก็คือ Low-Cost ..ซึ่งเป็นการทำธุรกิจในแบบที่เรียกว่า "หลุด-กรอบ" ของสายการบิน ...อย่างในอเมริกาแม้ว่าสายการบินใหญ่ๆ หลักๆ จะมีปัญหา แต่สายการบินแนวๆแบบ Southwest Airline ที่ฉีกกรอบมันทุกแบบ ตั้งแต่ การซื้อขายตั๋ว การบริการ การตลาด การลดต้นทุน และ แนวคิดทั้งหมดของธุรกิจนี้ กลับทำได้กำไรและดีวันดีคืน


อย่างในเอเชีย ที่เราเห็นชัดๆ ก็ Air Asia นี่แหละ ...ซึ่งถ้าให้ย้อนที่มาก็เริ่มมาจาก Tony Fernandes ซึ่งเริ่มจากสายการบินหนี้เสีย ("ซื้อแบบหนี้เน่า" ต่อมาจากรัฐบาลมาเลเซีย หลังช่วง 9/11 นั่นแหละ -- "จังหวะของการทำสายการบินที่ดีที่สุด ก็คือ จังหวะที่คนส่วนใหญ่มองว่าสายการบินแย่ไง ..ก็นั่นแหละช่วง 9/11 ไม่มีใครกล้าบิน และก็เป็นช่วงที่เครื่องบินราคาถูก) ..จากเครื่องบิน 2 ลำ ก็ขยายเป็นสายการบิน Low-cost ที่ใหญ่ที่สุดในเอเชีย .. ด้วยแนวคิดที่ว่า "เครื่องบินที่ใครๆก็บินได้" ..ประกอบกับ แนวความคิดนอกกรอบ ทั้งในเรื่องของต้นทุน การบริหาร และ การตลาด ...ทำให้ค่าบริการของสายการบินลดลงอย่างมหาศาล ...ในส่วนของเมืองไทย Thai Air Asia ถูกตั้งขึ้นมาด้วยแนวคิดเดียวกัน โดยรวมทุนระหว่างกลุ่ม Tony Fernandes 49% และ กลุ่มชินคอร์ป 50%...และ กลุ่มนักธุรกิจไทย ซึ่งเป็นผู้บริหารร่วมลงทุน 1%

จากนั้น 7 ปี ต่อมา... สายการบินร่วมทุนเล็กๆ อย่าง Thai Air Asia ก็ได้ตัดสินใจพลิกกลยุทธ์และลงทุนอย่างมหาศาลในเครื่องบินใหม่ ของ Airbus ซึ่งการตัดสินใจครั้งนั้น ถือเป็นจุดเปลี่ยน จากสายการบินที่ขาดทุนหลักร้อยล้านบาท มาเป็นสายการบินที่กำไรนับพันล้านในปัจจุบัน ..หลังจากนั้น กลุ่มนักธุรกิจไทย(ผู้บริหาร) ซึ่งนำโดย "คุณโจ" ทัศพล แบเลเว็ลด์ ..ผู้บริหาร Thai Air Asia ก็ระดมทุนกันมา 1,400 ล้านบาท ไปซื้อหุ้นในส่วนของชินคอร์ปมาทั้งหมด ..ส่วนอีก 49% ก็ยังคงเป็นในส่วนของมาเลเซีย หรือ ของ Tony เป็นผู้ถือหุ้น ... ปัจจุบัน Thai Air Asia มีผู้โดยสาร 8.6 ล้านที่นั่งต่อปี มีเครื่องบิน 22 ลำ ...และวางแผนจะขยายฝูงบินอีกเท่าตัว

ความท้าทายของธุรกิจสายการบิน ก็คือ การต่อสู้ในสมรภูมิเดือดอย่างเมืองไทย ที่นับวัน การท่องเที่ยวจะ Boom ขึ้นเรื่อยๆ (ดูจากตารางจะเห็นได้ว่า เมืองไทยนับเป็น ประเทศที่มีจำนวนนักท่องเที่ยวอันดับต้นๆของเอเชียเลยทีเดียว) ...ซึ่งในต้นปี เราเจอปรากฏการณ์สนามบินสุวรรณภูมิล้น ..เพราะถ้าดูให้ดี ประเทศไทยเราตั้งอยู่ในจุดยุทธศาสตร์ของ ASEAN ...จากกรุงเทพ คุณสามารถ บินในรัศมี 1 ชั่วโมง จะถึงเมืองหลวงของทุกประเทศใน ASEAN ..และนั้นเป็นสาเหตุของการเลือกเมืองไทยเป็นฐานทัพในสงคราม ..แต่ครั้งนี้ มันเป็นสงครามในรูปแบบใหม่ ..ซึ่งก็คือ สงครามเศรษฐกิจนั่นเอง  

ก็ลองจับตาดู การ IPO ครั้งนี้ของ Thai Air Asia ...
"สายการบินเป็นธุรกิจที่โหดที่สุด : หนึ่ง ต้นทุนเครื่องบินไม่ใช่น้อยๆ และ ความผันผวนของต้นทุนสำคัญที่เป็น Commodity อย่างน้ำมัน สอง Technology ชั้นสูงนั่นหมายถึง การบำรุงรักษา และ สาม "คนและบริการ" -- และสิ่งที่น่าสนใจ คือ สายการบินที่เรียกว่า "รุ่ง" ในปัจจุบัน ล้วนเป็นสายการบิน Low-Cost ที่เกิดมาพร้อม Business Model แบบใหม่ ....ก็ลองดู -- น่าจะมีอะไรสนุกๆให้เห็นกัน !!



"เขาบอกว่าไม่ใช่นอมินี และยอมเป็นหนี้เกือบ 800 ล้าน เพื่อแลกกับการถือหุ้นใหญ่ในไทยแอร์เอเชีย เขาคือ "ทัศพล แบเลเว็ลด์" ลูกครึ่งไทยฮอลแลนด์ ซีอีโอวัยไม่ถึง 40 ของสายการบินต้นทุนต่ำที่เป็นข่าวมากที่สุดในรอบปีที่ผ่านมา"  ... ส่วนเส้นทางการต่อสู้ของชีวิตพี่โจ ก่อนจะมาเป็นเศรษฐี เดี๋ยววันหลังผมจะตามไปแกะรอยมาเล่าสู่กันฟัง!!



 


วันศุกร์ที่ 11 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"ชีวิต" ที่ออกแบบได้ Style ลูกทุ่งๆ!!


วันนี้ผมออกไป Catch Up กับพี่ มกร ที่ "Celebrum Design" ...เล่าที่มาก่อน คือ ผม มีโอกาสไปเจอพี่มกรที่งานของ Thaicom "This is my Future 2011 @ Chiangmai" เราต่างเป็นหนึ่งในสาขาอาชีพที่ มูลนิธิไทคม เชิญไปพูดปีที่แล้วที่เชียงใหม่ ...ผมเองพูดในอาชีพ นักลงทุน ..ส่วนพี่มกรพูดในอาชีพ นักออกแบบ -- นั่นแหละครับ วันนี้เลยเป็นที่มาของการมาพูดคุย เพื่อ "ออกแบบ + ลงทุน กลายเป็น นักออกแบบการลงทุน" (ฮ่า ฮ่า ...ว่าไปนั่น)

วันนี้ผ่านเข้าไป Office พี่มกร ก็เจอรางวัล นักออกแบบอยู่เต็ม Shelf (ด้านข้างๆ นั่นแหละครับ) ...วันนี้พี่มกรมีตำแหน่ง นายกสมาคมนักออกแบบอุตสาหกรรมแห่งประเทศไทย

"..อายุยังเพิ่ง 30 กว่าๆ เป็นนายกแล้วหรือพี่ !! ..."

"นายกสมาคม นักออกแบบน่ะ...555"

สิ่งที่น่าสนใจคือ "แนวคิด" ..พี่มกรคุยในเรื่องของ Business Turnaround โดยใช้ Design Solution ..ซึ่งก็คือ การออกแบบธุรกิจทั้ง Solution ...ยกตัวอย่าง โรงงานแห่งนึง (เป็นโรงงานนรก) ที่ตั้งอยู่ในเมืองไทย ..หน้าที่คือ ซื้อเครื่องจักรแพงๆมาจากต่างประเทศ แล้วกดแรงงานถูกๆ ..ผลิตสินค้าที่ทุกอย่างนำเข้าหมด ...พูดง่ายๆ คือ Value ที่เกิดขึ้นจริง ในเมืองไทย คือ "แรงงานประกอบ ราคาถูก ที่เอาชิ้นส่วนต่างๆมารวมกัน" ...ภาพที่เห็นวันนี้ ประกอบกับนโยบายรัฐบาลที่ขึ้นค่าแรง 300 บาท ซึ่งแม้ตอนนี้ยังขึ้นไม่ทั่วประเทศ แต่ค่าครองชีพเวลานี้ ขึ้นพร้อมกันทั่วประเทศแล้ว ...555 (ฮามาก)

ปัญหาคือ เราไม่มี Value Add ให้กับ สินค้าเลย เพราะ Value จริงๆ มันไม่ได้อยู่ที่แรงงาน ..แต่มันอยู่ที่ Idea และ ความคิด ... "อย่างเราซื้อสินค้า ..จริงๆ เราซื้อ กันที่ Idea นะ ที่ทำให้ราคามันถูกหรือแพง... เราไม่ได้ซื้อที่ Function ของการใช้งาน เช่น กระเป๋า ....ถ้าซื้อแต่ Function การใช้งาน คุณจ่าย 300 บาท คุณก็ไม่อยากจ่ายแล้ว ...แต่ถ้ามันมี Louis Vuitton ปั๊มลงไป ..คุณก็ให้ค่าต่างแล้ว ยอมจ่ายเป็นหมื่น" ...วันนี้สิ่งที่ผู้ประกอบการเรายังขาดก็คือ Idea ...นั่นแหละที่มัน Design ได้

โอเค!! ทางเลือกของเจ้าของโรงงาน คือ หนึ่ง เอา Idea ใส่เข้าไป ..เช่น การให้มีการออกแบบสินค้า โดยเอา ความต้องการของผู้ใช้ เป็นหลัก (ตัวอย่าง ใครๆก็เห็น เช่น Apple ก่อน Steve Jobs จะกลับมา มันจะเจ๋งอยู่แล้ว ..Steve บอกให้เลิก Product Line สินค้ามากมายที่ผลิต แล้วมาโฟกัสอยู่ที่สิ่งที่จะขาย ...นั่นแหละเจ๋งสุดๆ Apple ทำอะไร ทำดีที่สุด -- ไม่ต้องเลือก ให้เลือกแค่สีพอ เพราะมันดีที่สุดแล้ว.. โอว!! แรง แต่ work วันนี้ Apple กำลังเป็นต้นแบบที่ ธุรกิจในอเมริกาอยากเดินตาม) และ สอง การลดต้นทุน ..เช่น การซื้อเครื่องจักรเข้ามาแทนแรงงานราคาถูก ...จุดนี้ถามว่าผลกระทบคืออะไร ...มองง่ายๆ คนที่ซวย ก็คือ "แรงงาน ที่ปรับตัวไม่ได้" ...วันนี้เจ้าของโรงงานโดนบีบก็จริง ..แต่เขาก็มีวิธีปรับตัวอย่างที่ผมพูดมา ...ซึ่งการปรับตัวของเขา ก็อาจส่งผลให้ อาชีพการใช้ความคิด อย่างนักออกแบบ อะไรพวกนี้ มีค่าตัวที่สูงขึ้น ..ซึ่งคนเหล่านี้ก็คือ Skill Labour ที่ค่าตัวสูงอยู่แล้ว ...ก็จะได้ค่าตัวสูงขึ้นไปอีก ...ไหนจะคนงาน Skill Labour ที่ดูแลเครื่องจักร Technology สูง ..พวกนี้ก็จะได้ ค่าจ้างที่สูงขึ้น ... คนที่ซวยคือ ผู้ใช้แรงงาน ...แน่นอน เขาจะ Lay Off คนที่ Un-skill เหล่านี้ออก ...ดังนั้น การได้ค่าแรงเพิ่มขึ้นเป็น 300 บาท มันดีแค่ชั่วคราว แต่ระยะยาว "ซวย"

"ฮึม!! แล้วพี่มกร คิดว่าทางแก้ ของเราจะยังไงอ่ะพี่"

ทางแก้ ..ผมว่า มันอยู่ที่ "ความเข้าใจ ต่อโลกที่เปลี่ยนแปลง" ...วันนี้ระบบการศึกษา ยังสอนให้เราเดินตามกรอบ ทำงาน 9 โมง เลิก 5 โมง ตอกบัตร ...ผลงาน ช่างมัน ..เสาร์อาทิตย์ วันหยุด เฮ ดีใจ ..."ยุคนี้ใครคิดแบบนี้ ไม่น่ารอด" ..เพราะสุดท้าย มันสะท้อนออกมาที่ Value ที่เรา Create ให้บริษัท ... จริงๆ ผมคุยกับ คนหลายๆคน เห็นได้เลยว่า เวลาส่วนใหญ่ของพนักงาน จะหมดไปกับ Routine ซึ่งสุดท้ายผ่านไปหนึ่งปี ...กลับมาดู ถามว่า เราสร้างอะไรที่เป็น Value ที่แท้จริงบ้าง ...สรุปไม่มีเลย ...ถ้าคิดดีๆ Value ที่แท้จริงเหล่านี้ มันคือ สิ่งที่เราสามารถใส่ลงไปใน Resume ..หากเราต้องการหางานใหม่ที่เงินเดือนสูงขึ้น ... การที่เรา ทำงาน Routine แล้วไม่มีผลงานเป็นชิ้นเป็นอัน ...ก็เลยกลายเป็นว่า เราหมดทางไปต่อ

ประมาณว่า คุยกับ พี่มกร ในหลายๆเรื่อง ... สิ่งที่ผมเจอ และคิดว่า มันคล้ายๆกัน สำหรับคนที่เป็นเจ้าของกิจการ ก็คือ "เขาคิดต่าง และ คิดอยู่นอกกรอบ" ... ซึ่งเรายังคุยกันในเรื่องของ Design ที่โยงไปในเรื่องของ Passive Income ที่ออกแบบได้ หากเริ่มคิด ตั้งแต่เริ่ม ...วันนี้ความแตกต่าง ระหว่าง คนที่กำลังก้าวทันกระแสการเปลี่ยนแปลง มันคือ "ความเข้าใจในสิ่งที่เปลี่ยนแปลง" ...

มันเปลี่ยน "แรง" จริงๆ ... ตั้งแต่ ธุรกิจสื่อ .. การเงิน/การลงทุน ...การผลิต ...การค้า ....มันเปลี่ยนทุกอุตสาหกรรมแหละ ... มาช่วยกันคิดดีกว่า ว่าเราจะปรับตัวให้ สิ่งที่เราทำอยู่ ดีขึ้นอย่างไร ... "ออกแบบเข้าใจ -- ชีวิต และ ความคิด ที่เราออกแบบได้"

อ่าฮ้า!! ...My Life & Career Design








วันพุธที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

แกะรอยอมตะ ..ใช่ AMATA นิคมเสน่ห์แรง

"คลิ๊ปนี้" พาไปแกะรอยหุ้น AMATA ..นิคมที่ได้ชื่อว่าเนื้อหอมเมื่อน้ำมา (ไม่ท่วม..555) ... ค่าแรงขั้นต่ำ ก็ไม่สะทกสะท้าน (จริงหรือ) ... เมืองจีนก็ มาจีบ (จีนเขาเป็นโรงงานของโลก มิใช่หรือ แล้วไฉนเขา มาสนใจใช้เมืองไทยเป็นฐานการผลิต -- "คุณว่าเพราะอะไร") ... คม ความคิด มุมมอง ของ มือบริหารนิคมชั้นเซียนอย่าง คุณ วิบูลย์

-- จะเรียกว่า " Vision ของเจ้าเมือง ก็ได้นะ...555" ...เมื่อ AEC มาถึงนิคมที่ได้ชื่อว่าเป็นศูนย์สร้างรายได้หลักถึง 70% ของประเทศจะปรับตัวอย่างไร ...แล้วคุณสงสัยไหมว่า ที่บอกว่านิคมสร้างรายได้ 70% แล้วใครล่ะ ได้รายได้ ...เงินไปไหน ...แล้วจากนี้ นิคมจะแค่ขายที่ดิน กินอย่างเดียว ใช่ไหม ...พอคำตอบได้ใน    คลิ๊ปนี้เด้อ!! 

วันจันทร์ที่ 7 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

"รวมกันโต" ในตลาดหุ้นไทย


ช่วงก่อนหน้านี้ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ "นัก Take-over มือฉมัง อย่างคุณ อัฐ ทองแตง" (ลูกชาย คุณ วิชัย ทองแตง ผู้โด่งดังในสมัยคดีชุกหุ้นคุณ ทักษิณ ..นอกจากเป็นทนายมือฉกาจแล้ว ..วิชัย ทองแตง ขึ้นทำเนียบเศรษฐีหุ้นในอันดับต้นๆของเมืองไทย)

ผลงานชิ้นโบว์แดงของกลุ่ม "ทองแตง" ก็คงหนีไม่พ้น BGH โรงพยาบาลกรุงเทพ ที่เนื้อหอมที่สุดในวงการสุขภาพไทย ...แน่นอน ในอีกฝั่งของผู้ก่อตั้งและผู้ถือหุ้นใหญ่ ก็คือ กลุ่มของคุณหมอ ประเสริฐ ประสาททองโอสถ ผู้ก่อตั้งเครือโรงพยาบาลกรุงเทพ และขยายสู่ภูมิภาค ..วันนี้ โรงพยาบาลกรุงเทพ อาศัยช่องว่างทางโอกาส และ Trend ที่เห็นชัดๆ จากวิสัยทัศน์ นั่นก็คือ "Trend สังคมคนแก่" ซึ่งนับวัน ผู้สูงอายุที่ต้องการใช้บริการทางสุขภาพที่จะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...หมอประเสริฐเห็นโอกาสอันนี้ จึงขยายและ Take Over โรงพยาบาลต่างๆที่เคยกระจัดกระจาย ให้เข้ามารวมเป็นกลุ่มโรงพยาบาลกรุงเทพ

ในอีกฝั่ง "กลุ่มทองแตง"​ก็เห็นโอกาสนี้เช่นกัน ...คุณ อัฐ เล่าให้ผมฟังว่า เขาเริ่มเข้าสู่อุตสาหกรรมนี้ จากการเข้าซื้อ โรงพยาบาลเปาโล และเข้ามาเป็นผู้บริหาร ..จากนั้นเมื่อสบโอกาสที่โรงพยาบาลพญาไท มีปัญหา ...เขาก็เข้าซื้อ สินทรัพย์ พร้อมหนี้ เข้ามาบริหาร

..."ผมถามไปว่า ...อย่างนี้ก็สบายเลยซิครับ ได้สินทรัพย์มาในราคาถูก -- ใช่ไหมครับ พี่อัฐ!!"

"ไม่!! ไม่ใช่เลย ..การที่เราซื้อ Asset อะไรก็ได้ในราคาถูก มันไม่ได้หมายความว่ามันจะง่าย ..เพราะอะไรก็ตามที่มันราคาถูก ก็แปลว่ามันมีปัญหา และยิ่งมันมีปัญหาเช่น หนี้บาน หรือ ปัญหาใหญ่ๆ ก็ยิ่งทำให้ไม่มีใครอยากเอาตัวเข้ามามีปัญหา ...และนี่แหละ การเข้าซื้อของถูก -- เราต้องพร้อมที่จะเข้ามาแก้ปัญหา ...คือ ในโลกของนักลงทุน มันไม่ได้ง่ายเหมือนในหนังนะ ที่ซื้อมาปั๊บ แบ่งขาย นั่นมัน Richard Gere ใน Pretty Woman ..555 -- เรื่องจริงน่ะเหรอ ...ปวดหัว ..แต่ประเด็นคือ ถ้าคุณพร้อม มันก็เป็นสิ่งที่ท้าทาย!!"

"แล้ววันนี้ กลุ่มทองแตงถือหุ้นใหญ่ ในบริษัท แสนล้าน อย่าง BGH ...มีแผนยังไงต่อครับ มีอุตสาหกรรมไหนที่คุณอยากจะไป "รื้อ" อีก..."

"โอ้!! คงยัง ...ก็เราคงอยู่ ในอุตสาหกรรมนี้ไปอีกนาน ..มันมีโอกาส ..การที่จะเปลี่ยนและ สร้างอย่างที่เราทำในอุตสาหกรรม Health Care นั่นคือ "ควบแล้วโต" มันไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ..หลักการจริงๆ ในฐานะนักลงทุน เราจะถือครองสินทรัพย์ ตราบเท่าที่มันยังมีโอกาส และโอกาสนั้น ดีกว่าโอกาสทางเลือกอื่น ...ซึ่งวันนี้ผมบอกตรงๆว่า  Size Matter นั่นคือ "ขนาดมีความสำคัญ" ..เดิมนี้นักลงทุนต่างชาติ ไม่เคยสนใจกลุ่ม Health Care ในเมืองไทย แต่วันนี้ใครๆก็สน เพราะเราใหญ่ที่สุด (กองทุนต่างชาติ เขามีข้อจำกัดในเรื่องขนาดค่อนข้างมาก เพราะแต่ก่อนหุ้นเราเล็ก เขาลงรายตัวแทบไม่ได้ ..คือ ถ้าตลาดเราใหญ่ โอกาสที่ต่างชาติจะเข้ามาก็มากขึ้นตาม) -- ผมหมายถึงวันนี้ เราใหญ่และดีที่สุดในเอเชีย ...วันนี้เราทำ Horizontal นั่นคือ การควบรวม ...ก้าวต่อไป เราก็สามารถทำในส่วนของ Vertical ..เช่น การเข้าไปทำในอุตสาหกรรมเครื่องมือแพทย์ ..อุตสาหกรรมยารักษาโลก ...วันนี้ผมว่าเมืองไทยเพิ่งเร่ิมเท่านั้นเอง ...โอกาสเราอีกเยอะ!!"

"ว้าว!! พี่อัฐ ฟังแล้วเกิด Vision เลยพี่ ...ผมเพิ่งเข้าใจเลยว่า ตลาดทุนมันสำคัญในเชิงธุรกิจหลักด้วย ..อย่างเรื่องการ ควบรวม Merger & Acquisition มันต่อยอด ทั้งในเรื่อง "ทุน(ที่ต่ำกว่า)ในการขยายธุรกิจ" และ  "โอกาสที่เกิด Economic of Scale ในการต่อยอดไปสู่ธุรกิจอื่นอีกมากมาย"

ครับ ...การคุยหลังไมค์กับพี่อัฐ ทองแตง ก็เปิดโลกทัศน์ ประเด็นของอนาคตตลาดหุ้นไทย ค่อนข้างชัดขึ้น ..ผมมองว่า "กลุ่มโรงพยาบาล" ถือเป็นต้นแบบของการ "รวมแล้วใหญ่" เพราะในเรื่องของตลาดทุน มันขยายศักยภาพให้ผู้ประกอบการเข้าถึงแหล่งทุนที่ต่ำ (ถูกต้อง!! ต่ำกว่าเงินกู้ธนาคาร เช่น ออกหุ้นกู้ต่างๆ หรือ แม้แต่การกู้ธนาคาร บริษัทในตลาดหลักทรัพย์ ก็สามารถกู้เงินจากธนาคารได้ดอกเบี้ยต่ำกว่า) ....แน่นอน !! กระแสของ M&A (Merger & Acquisition) ในตลาดหุ้นไทย มันกำลังระอุขึ้นเรื่อยๆ ...ต่อไป จะกระจายไปสู่ อุตสาหกรรมอื่นๆ

ครับใช่!! ..ผมได้มีโอกาส คุยกับ กระบี่มือหนึ่ง อีกหลายท่าน ที่อยู่ในวงการเหล็ก (กลุ่มนี้มือใหม่ อย่าเข้ามายุ่งล่ะ แค่ศึกษาเป็น Case Study ได้ความรู้ก็พอ..เหมือนที่เขาบอกว่า "มองได้ แต่อย่าชอบน่ะ"..555) ... ก่อนหน้านี้ เราได้เห็น กระแสการควบรวมของวงการนี้ไป หลาย Case ...ที่ดังมากๆ ก็ของ GSTEEL ซึ่งเราคงปล่อยเขาอยู่ตามแบบฉบับของเขาไป..555 (เขาโหดแบบเกาจิ้ง ..โคตรเซียน...555)  ..ที่ผมสนใจคือ อย่างกรณีของ SSI ที่คุณ วิน กล้าวิ่งเข้าไปซื้อโรงถลุงเหล็กในอังกฤษ ซึ่งเป็นความกล้าในแบบที่ไม่ธรรมดา ...อีกบริษัท ที่ผมได้เข้ามารู้จัก ก็คือ MILL ...การตั้ง GreenMill Project หรือเตาหลอมน้ำเหล็กที่ทันสมัยที่สุดในเอเชีย และกล้าลงทุนในปี 2008 ทั้งๆที่บริษัทอื่น ถอนการลงทุน แต่ "พี่หมู" กลับกล้าบุกรายเดียว ทำให้ต้นทุนของ Green Mill กลายเป็นโรงหลอมที่ได้มาด้วยราคา Bargain "ถูก..ว่างั้น!!" ...ซึ่งทำต่อจากการ ที่ MILL เข้า Take Over โรงเหล็กบูรพา ที่สร้างความฮือฮาไปในปีก่อนหน้า ...และล่าสุด การเล็งการควบรวม โรงเหล็กของเสี่ยประชัย ในไม้ต่อไป ... "ท้าทายครับ" เพราะผู้อยู่เบื้องหลัง เกมการเงิน และ การ Take Over ของกลุ่ม MILL ก็คือ ชายหนุ่มสองคน ที่อายุเพิ่งจะ 30 กว่าๆ แถมวัยรุ่นมาก "พี่บอม และ พี่หมู" นั่นเอง

...เอาล่ะครับ ...ไว้ผมจะมาเล่า เรื่องราวของ "คนเหล็ก ตัด คนเหล็ก" แห่งวงการเหล็กให้ฟังในคราวหน้านะครับ... ผมว่า Content นี้สนุก ไม่แพ้หนังฮ่องกงกันเลยทีเดียว!!


                                                 ("พี่หมู" แห่ง MILL และ ทีมแกะรอยหุ้น)

วันศุกร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

ทำไมทำงานสบายๆ ได้เงินเดือนดี

วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้อาจารย์ฟังว่า เขาได้เงินเดือน 7,000 บาทต่อเดือน แต่เธอทำงานหนักมาก ในขณะที่ผู้จัดการ หรือ งานสบายๆ ...ได้เงินเดือนเป็นแสน -- "เธอมองว่า มันไม่แฟร์เอาเสียเลย!!"

อาจารย์ วีระ ก็ตอบไปว่า ... "แล้วคุณคิดว่า คุณควรได้เงินเดือนปรับเพิ่มเท่าไหร่ ...ให้คุณได้ เงินแสน แล้วผู้จัดการเหลือ 7,000 ดีไหม" ...แต่คำตอบยังไม่ทันได้ไขข้อข้องใจ โทรศัพท์สายนั้นก็หลุดไปเสียก่อน ...ตุ๊ด ๆ ๆ ๆ ๆ ... (สายหลุด) ...อาจารย์ ก็เลยบ่นว่า "แหมกำลังจะจะเข้าจุด Climax ...คนแต่ละคนจะได้เงินเดือนเท่ากัน ได้ไงล่ะ ..อย่างนั้นมันต้องเป็นคอมมิวนิสต์แล้ว"

ฮึม!! คอมมิวนิสต์ ... (ประเด็นนี้มันแว๊บ ขึ้นมาบนสมองผมเลย ...ในอดีตเคยมี การปลุกระดมของชนชั้นกรรมาชีพ ของประเทศ นำการปฏิวัติโดย ครูประชาบาล นาม "เหมา เจ๋อ ตุง" ...และนั่นแหละ ที่มาของพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีประธานเหมาเป็น บิดา !! ...รากฐานของประเทศจีน ในอดีตเกิดจากการรวมตัวของชนชั้นล่างที่ถูกกดขี่ของสังคม ...รวมตัว ..ร่วมสู้ ..สุดท้าย ประเทศจีนในปัจจุบัน มันก็ยังไม่ได้มีฐานะเท่าเทียมกัน ตามอุดมคติของระบอบคอมมิวนิสต์แต่อย่างใด ..อย่างน้อย สมาชิกพรรคคอมมิวนิสต์จีน ที่มีสมาชิกกว่าร้อยล้านคน ก็มีอิทธิพลไปทุกหย่อมหญ้า อยู่ดี) ... ไม่มีหรอกครับ ทุกคนเท่ากัน

"ตอนเด็กๆ พ่อผมสอนเสมอว่า ...ลูกโตขึ้นอยากเป็นอะไร ..พ่อก็สอนว่า ทุกอาชีพจริงๆ มันไม่เท่าเทียมกันนะ ...อะไรที่มันเท่ากัน มันก็คือ น้ำนิ่ง -- น้ำถ้ามันนิ่ง มันก็เน่าไง!! ....และการจะเป็นแต่ละอาชีพ ก็ต้องอาศัยเหตุปัจจัย หลายๆอย่าง ประกอบกัน เช่น คนจะเป็นหมอ ก็ต้องเรียนเก่ง ท่องจำเก่ง และ ก็เรียนไปในสายอาชีพนั้นๆ ... คนจะเป็น สถาปนิก ก็ต้องเรียนไปในด้านนั้น ซึ่ง Process ของการจะมาเป็นแต่ละอาชีพ ก็ต้องฝ่าฝันอุปสรรค และ การเรียนรู้ในแบบของเขา จนมาเป็น สถาปนิก หรือ อาชีพที่เขาอยากจะเป็น ... เช่นกัน การเป็นแรงงานในโรงงาน มันก็ต้อง อาศัยการเรียนรู้ และก็ประสบการณ์ กว่าจะมาเป็นแรงงานในโรงงาน ..ไอ้คนที่มันเป็นผู้จัดการ มันก็คงไม่ได้นั่งเฉยๆ แต่มันคงทำอะไรสักอย่าง ไม่งั้นเขาไล่ไอ้บ้านั่นออกไปนานแล้ว ถ้ามันไม่ได้ทำให้เกิด Productivity หรือ ไม่สร้างรายได้ ..เจ้าของโรงงานเขาคงไม่โง่จ้างคนเงินเดือนแพงๆ มานั่งเฉยๆ ..จริงไหม!! --- ซึ่งแน่นอน สุดท้ายแล้ว แต่ละอาชีพ มันไม่ได้มีเงินเดือนเท่ากัน ... และการที่เงินเดือนของคนๆนึง มากกว่า อีกคน ก็ไม่ได้หมายความว่า คนที่เงินเดือนมากกว่า จะต้องเก่งกว่าเสมอไป ...แต่ในเชิงของระบบเศรษฐกิจแล้ว คนที่มีเงินเดือนมากกว่า ก็แสดงว่า Position หรือ ตำแหน่งของคนๆนั้น มันส่งผลต่อรายได้ หรือ ความก้าวหน้าของกิจการในมูลค่านั้นๆไง (นั่นแหละตัวกำหนดว่าใครจะได้เงินเดือนพันบาท หมื่นบาท แสนบาท หรือ ล้านบาท)"

ครับ!! พ่อสอนผมตอนเด็กๆ ผมก็ไม่ค่อยรู้เรื่องหรอกนะ ..เพราะสิ่งที่ผมมุ่งมั่นอย่างเดียวก็คือ ผมอยากเป็น Bill Gates ...555 นั่นแหละ สิ่งที่ผม Focus --- "คุณว่า ความจริง กับ ความฝันของ เด็กคนนึง มันจะมาบรรจบที่จุดไหนล่ะ"

จุดบรรจบของความฝัน และ ความจริง ก็คือ "ผลลัพธ์" ในสิ่งที่คุณเป็นไง ....

ทุกวันนี้ ผมว่า คนส่วนใหญ่ มองไม่ถูกนะ ..เพราะชอบเอา "ผลลัพธ์" มาเปรียบเทียบกัน ซึ่งมันไม่ใช่เลย ...เพราะ ผลลัพธ์คือ มันคือ สิ่งที่เราเป็น ณ​ วันนี้ มันเปลี่ยนแปลงทันทีไม่ได้ ...ใครจะอยากเปลี่ยน -- มันก็ต้องเริ่มเปลี่ยนจากปัจจุบัน แล้ว อนาคตถึงจะเปลี่ยน ...อย่างบางคน ถ้าไม่ชอบในสิ่งที่ตัวเองเป็น ก็ต้องเปลี่ยนวันนี้ ..ผมไม่เห็นว่า อะไรมันจะสายเกินไปที่จะเริ่ม -- ถูกต้อง!! คนเราเร่ิมใหม่ ได้เสมอ ... วันก่อน ผมไปอ่านที่เขาเอาประวัติ คุณ ไทฟ้า เจ้าของ Buddy Group มาให้อ่านกัน ...เขาบอกว่าคุณ ไทฟ้า จบแค่ ม.5 ก็ไม่ได้เรียนต่อ เพราะทางบ้านไม่มีเงินส่งเรียน เลยต้องไปเรียนต่อที่ Royal field university หรือ "สนามหลวง" คือ ต้องไปขายของหากินที่สนามหลวงนั่นเอง ...เขาต่อสู้ จากมหาวิทยาลัยชีวิต และ สร้างตัวจนเป็นเศรษฐีใหญ่ ในธุรกิจโรงแรม ..แต่น่าเสียดายที่เขาเพิ่งเสียชีวิต เมื่ออายุเพียง 54 ปีเท่านั้น -- แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า มันอยู่ที่เราจะเลือก "Input" ว่าเราจะทำอะไร ... แม้การเรียนในระบบจะเป็นส่วนหนึ่งของใบเบิกทางในอาชีพ ..แต่สุดท้ายสิ่งที่สำคัญที่สุดที่จะเบิกทางเราสู่ความสำเร็จที่ยิ่งใหญ่ มันไม่ใช่แค่ใบปริญญาแต่อย่างใด ...แต่มันคือ ประสบการณ์ Street Fighter ของเราเอง ซึ่งผมเชื่อว่า ไม่มีเส้นทางชีวิตของใครที่เหมือนกัน


ทุกคนมีแบบฉบับความสำเร็จของตัวเอง ที่แตกต่างกัน ...คุณจะเป็นกรรมกรก็ได้อยู่ที่เราเลือก หรือ คุณจะเป็นลูกจ้างตลอดชีวิตก็เป็นได้ อยู่ที่เราเลือก... คุณจะเป็นอะไรก็ได้ มันก็อยู่ที่เราเลือก และมุ่งมั่น เดินทางไป --- ชีวิตของคน ผมว่ามันไม่ได้ยาวอะไรมากมาย ...เลือกสิ่งที่คุณอยากเป็น วางแผน แล้วค่อยๆเดินไป ... "เลือกในแบบที่คุณเป็น --- เขียน Journey of Life ในแบบของคุณ!!"


น้องๆ ที่อ่านบทความนี้ ผมอยากจะบอกว่า "คนอายุน้อย ได้เปรียบนะ หากเราคิดเป็น แล้วเข้าใจโลกในมุมที่มัน Make Sense น่ะ ...สุดท้ายแล้ว ผมว่า เราเองนั่นแหละที่เป็นผู้ออกแบบผลลัพธ์ชีวิตของเราเอง"



วันพฤหัสบดีที่ 3 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เรื่องหนักๆจากคนเหล็ก


งานนี้ทีมงาน "แกะรอยหุ้น" ขอแกะรอย อุตสาหกรรมที่แอบมีเลือดนองอยู่เต็มพื้น ...ถูกต้อง!! อุตสาหกรรมเหล็กนั่นเอง ...เดิมเป็นอุตสาหกรรม โบราณและผูกขาด แบบเดินมา เทาๆ ...แต่เรื่องมันมีอยู่ว่า มีชายผู้หนึ่งที่น่าตาแบบ อย่างหล่อ "พี่หมู" ติดต่อเข้ามาหาผม บอกว่า แพ้ท คุณรู้ไหมว่า ผมชอบแนวทางการนำเสนอของคุณ "ผมชอบหนังสือคุณ แกะรอยหยักหมื่นล้าน -- ตรงนี้ อ่านแล้วโดน ...ผมอยากให้คนอย่างคุณ ได้รู้จักกับเหล็ก" ..

"แน่นอน!! คนอย่างผม ไม่กลัวที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ...Ask มาก็ จัดไป ...ลองแกะรอยกันดูสักตั้ง"

งานนี้ผมก็นัดเจอตัวเป็นๆของ "พี่หมู" เจ้าของ MILL ..ปรากฏว่าเขาเป็นรุ่นพี่เด็กเซ็นต์คาเบรียล ...เท่านั้นแหละ คุยกันยาว!! (ยาวมาก ยาวสาวไปถึง ยุคเริ่มต้นของเหล็ก จาก คุณ สวัสดิ์ ..คุณ สมศักดิ์ ..คุณ วิทย์ มา คุณ วิน ...วิ่งไป ทาทา ...กลับมา พี่หมู มีทั้งเหล็กเล็ก เหล็กกลาง เหล็กใหญ่ ...มันซ่อนเงื่อนและปมลึกล้ำ ...มันเป็น มหากาพย์เรื่องยาว ที่สาวได้ 800 เล่มเกวียน ...วันนี้ดูคลิ๊ปแกะ กันไปก่อน แล้ววันหลัง ผมจะเอาอุตสาหกรรมเหล็ก สีเทามาเล่าให้ฟัง!!)

"พี่หมู ..ผมบอกตามตรงนะ อุตสาหกรรมเหล็กนี่มัน โหดอ่ะ..."

"แพ้ท.. นั่นมันก่อนที่นายจะรู้จัก MILL ..พี่กำลังจะบอกว่า เหล็กก็ SEXY ได้"

"โอว!! พี่หมู ว่าไปนั่น เหล็กก็ SEXY ได้ ...หรือ ไม่ ...จริงดิ ...ก็ไปหาคำตอบในรายการแกะรอยหุ้น กันเอาเองเด้อ"

คนกันเองแบบนี้ เลยต้องถามตรงๆ แรงๆ ...อ่ะนะ !! ...เอ้าไปแกะรอยกันครับ!!

ชีวิตมันต้องดิ้นรนทุกคนอยู่แล้ว ..เอาให้เต็มที่!!

ฟังวิทยุ ระหว่างขับรถมาทำงาน ..เขาคุยกันเรื่องสถิติการฆ่าตัวตายของคนญี่ปุ่นในปัจจุบัน ปรากฏว่าตัวเลขน่าตกใจเกินคาด คือ สถิติเขาบอกมาว่า คนช่วงอายุ 20 - 30 ปี มีการฆ่าตัวตายสูงที่สุดคือ 1 ใน 4 ของคนกลุ่มนี้เลยทีเดียว และโดยเฉพาะผู้หญิงจะสูงกว่าผู้ชายอีก ..โอว !! ฟังแล้วเข้าใจเลย เพราะตอนที่ผมทำงานอยู่ออสเตรเลีย ตอนทำร้านอาหาร แล้วเจอปัญหา แถมเจอปัญหาซ้อน ในกิจการกระจกที่เข้าไปลงทุน ประกอบกับปัญหาชีวิต ..ใช่!! โคตรอยากฆ่าตัวตายเลยว่ะ ตอนนั้นถ้านับอายุ ผมก็อยู่ช่วงอายุ 20 ปีปลายๆ --- "ผมเข้าใจเลยว่า ณ เวลานั้น มันมืดแปดด้านจริงๆ แถมเวลาที่เรามีปัญหา มันก็จะมีปัญหาอื่นประดังเข้ามาร่วมด้วยเสมอ ..คือ แน่นอน เราย่อมโทษสวรรค์ -- โถ่ !! สวรรค์ทำไมต้องกลั่นแกล้งเราด้วย ...ลืมนึกไปว่า ไอ้ปัญหาทั้งหมด ไอ้เงินกู้ที่เราไปกู้เขามา หรือ เงินที่ต้องรับผิดชอบ และ แรงกดดันจากรอบด้าน -- ทั้งหมดเราสร้างมันขึ้นมาเองนะ"

"ก็อยากเล่าให้น้องๆที่อายุ 20 - 30 ปี ฟังว่า จริงๆแล้ว ไม่ว่าคุณจะยากดีมีจน ..ทุกคนล้วนต้องมีปัญหาและพบอุปสรรคอยู่ตลอดเวลา เพราะคิดง่ายๆ ว่า โลกนี้ที่มี อาชีพ ที่มีธุรกิจต่างๆ ก็คือ มันตั้งขึ้นมาเพื่อแก้ปัญหาให้มนุษย์นั่นเอง อย่าง 7-11 ก็แก้ปัญหาความสะดวก ..ร้านกาแฟก็มาตอบโจทย์ในการพบปะ.. Modern Trade ก็มาแก้ปัญหาความยุ่งยากในการไปเดินตลาด ..คือ พูดได้เลยว่า คนที่ประสบความสำเร็จและรวย ก็เพราะเขาคือ "นักแก้ปัญหา" ทั้งแก้ปัญหาตัวเองได้ และ ยังแก้ปัญหาคนอื่นได้ (อันนี้อย่าทำกลับกันนะ อย่างแรกต้องแก้ปัญหาตัวเองก่อน ...บ้านเราชอบนักน่ะ ไปแก้ปัญหาคนอื่นก่อน อันนั้นพวกมั่วนิ่มอ่ะนะ...555 "วุ่นวาย!!" -- คือ โจทย์แรกต้องแก้ปัญหาตัวเองก่อนครับ แล้วเริ่มเดินทางต่อ จากจุดนั้น) ...ก็กลับมาที่ทำไม วัยรุ่นถึงเครียดกว่าวัยอื่น ..ผมว่า เพราะเรายังขาดประสบการณ์ "เขาเรียกยังขาดภูมิคุ้มกันชีวิต"..สิ่งนี้มันคล้ายๆ วัคซีน แต่มันเป็น วัคซีนทางอารมณ์ที่จะต้องเรียนรู้เอง จากความเจ็บปวด (ย้ำนะ ว่า "ภูมิคุ้มกันชีวิต" มันจะได้มาจากความเจ็บปวด ความล้มเหลว ไม่ว่าทางใดก็ทางนึง)

ถ้าใครที่ประสบความสำเร็จ แล้วเขามาบอกคุณว่า เขานี่ไม่เคยล้มเหลวเลย ..ฟันธงไปเลยว่า ไอ้นี่มัน Bull Shit "ขี้หมาน่ะ" คบไม่ได้ ...จะเป็นไปได้อย่างไร ที่จะไม่เคยผิดพลาดอะไรเลย ...จริงไหม!! (แค่โดนแฟนที่เพิ่งคบกันมาไม่นานทิ้ง ก็ต่อมน้ำตาแตก แทบจะวิ่งไปโดดตึกแล้ว ...ไหนชีวิตการงานจะง่ายกว่านั้น ..เป็นไปไม่ได้ -- ความล้มเหลว ความผิดพลาด มันเจอทุกคนแหละ เพียงแต่เมื่อไหร่เท่านั้นเอง ...ผมเลยชอบแนะนำให้คนรุ่นใหม่ รีบๆล้มเหลว เจอเร็วๆ ..เจอตั้งแต่เด็ก จะได้ไม่ต้องไปเจอตอนแก่ ..เพราะเจอตอนแก่ แล้วมันอาจจะไม่ฟื้นนะ...555)

ก็นี่แหละประเด็น คือ คนเรามันต้องหา "วัคซีนชีวิต" ซึ่งก็คือ ความล้มเหลว ความผิดพลาดมาเป็นบทเรียน แล้วถึงจะกล้าก้าวต่อไป อย่างแข็งแกร่งขึ้น ...ผมว่าคนที่เขาประสบความสำเร็จ ไม่ใช่เขาไม่เคยล้มเหลว เพียงแต่เขาล้ม แล้วก็เอาสิ่งนั้นเป็นบทเรียน เพื่อการที่จะก้าวไปครั้งใหม่ที่ใหญ่ขึ้น ..ก็เท่านั้นเอง

คำพูดที่ว่า Life is a Journey ..มันเป็นประโยค Classic นะ ...บอกตามตรง คนส่วนใหญ่ ตอนตั้งเป้าออกเดินทาง มันมักเป็นเป้าหมาย ที่สุดท้ายไปจบในจุดที่เราไม่ได้ตั้งเป้ามา และบางครั้งแจ๋วกว่า เจ๋งกว่า ที่เริ่มตั้งเป้าเสียอีก ...เพราะแท้จริงแล้ว ชีวิตมันไม่ใช่เส้นตรง ...แต่มันเป็นการเดินทางที่เราต้องเดินทางน่ะ ..บางคนกลัวล้มเหลว จนไม่เคยที่จะเริ่มเดินทางด้วยซ้ำ แน่นอนนั่นมันคือ คนส่วนใหญ่ที่ไม่ประสบความสำเร็จ ..แต่นั่นก็คือ สิ่งที่คนเหล่านั้นเลือกเองจริงไหม -- และ Key Success ของชีวิต ส่วนใหญ่เลย ไม่ได้อยู่ที่งาน แต่อยู่ที่เจอ "คน" (งานมันแค่ตัวกำหนด Passion ในสิ่งที่เราชอบ และเลือกเป็นพาหนะในการเดินทาง และเราเดินทางไปเพื่อเจอคน นั่นเอง "ดังนั้น งาน เป็นเพียงสิ่งที่ทำให้ตัวเราน่าหลงไหล ยิ่งเรามี Passion ในสิ่งที่ทำ มันยิ่งทำให้คนอื่นอยากมาเจอมาพบเรามากขึ้นเรื่อย ..และนั่นก็คือ โอกาสที่เกิดขึ้น") ...เพราะไอ้ที่เก่งสุดๆ เก่งคนเดียว แล้วเข้ากับมนุษย์ไม่ได้ -- มันมักไปเป็น นักวิจัย นักวิชาการ ไม่ใช่นักธุรกิจ หรือ เจ้าของกิจการ ....

ความสำเร็จจึงอยู่ที่การเดินทางของเรา มันเดินไปพร้อม Passion กับ ความคิดที่บวก และ สร้างสรรค์ -- สิ่งนี้จะพาเราไปเจอคนประเภทเดียวกัน และจากนั้น 1+1 จะเป็น 3 เป็น 4 ..เป็นมากกว่าที่เราคิดมากมาย ... คิดดี ..ทำอะไรทำจริง มุ่งมั่น..หลงไหลมี Passion กับสิ่งที่ทำ ...มีสัมมาคารวะ(เพราะเราต้องอยู่กับคน "คน" คือ สิ่งที่จะให้โอกาสเรา) ... และที่สำคัญที่สุด ต้อง win-win ..ถ้า"ให้ก่อนรับ(Give&then Take)"ได้ ทำไป เชื่อผม นั่นแหละโอกาสที่เราสร้างเอง --- และสิ่งนั้นแหละ คาถาแห่งการประสบความสำเร็จ

วันนี้ผมเองอาจเพิ่งออกเดินทางมาไม่นาน แถมล้มลุกคลุกคลานตลอดมา จากความห่ามและบ้าบิ่น ...แต่เมื่อมองย้อนกลับไป มันก็เป็น Journey ที่น่าตื่นตาตื่นใจ ..ยิ้มบ้าง เศร้าบ้าง ..ก็ว่ากันไป ...สุดท้ายคนที่คิดเหมือนกัน ก็จะมาเจอกัน มาร่วมงานกัน และ ทำสิ่งที่พวกเขาเชื่อมั่น ...win-win ครับ แล้วเราจะได้เจอกันระหว่าง การเดินทาง!!

 


วันอังคารที่ 1 พฤษภาคม พ.ศ. 2555

เดี๋ยวนี้เขาสร้างเงินกันง่ายนะ


เมื่อวาน ..Line ส่ง "ตัวการ์ตูนใหม่มา ..ก็เลย Load ปั๊บ !! ..เสียเงินปุ๊บ 1.99 เหรียญ ก็ประมาณ 60 บาท" ...มานั่งคิด ขำขำ ว่า Steve Jobs นี่เก่งโคตร ...เขาสร้าง iPhone ให้เป็น Platform ในการสร้างรายได้ ไปเรียบร้อย ...แต่ก่อนนี่ผมเห็น iTune ก็รู้สึกเฉยๆนะ เพราะ โหลดเพลงละเหรียญ มันก็พอไหว แต่สำหรับคนไทย ผมว่ามันมีทางเลือก ผีๆ ให้โหลดได้ถูกกว่า...555  ...แต่พอมา iPhone 4s พอมาเล่นในส่วนของ App Store มันเหมือนบังคับให้เราต้องจ่ายตังค์แบบหลีกเลียงไม่ได้

สมัยเด็กยังจำได้เลยว่า คิดเล่นๆกับเพื่อน ว่า "ถ้าเราสร้างสินค้าอะไรก็ได้ แค่ชิ้นละบาท แต่ถ้าขายได้สักล้านคนก็ทำเงิน ล้านบาทแล้ว .... จากนั้น ก็หันมองหน้ากันกับเพื่อนๆ ว่า แล้วทำอะไรล่ะ ถึงจะขายได้ล้านคน ..นึกๆเวลานั้น ก็เห็นรถไอติมขับผ่านโรงเรียน ก็คุยกันว่า ถ้าเขาขายได้ 1 ล้านชิ้น ..ชิ้นละ 10 บาท ก็ได้เข้าไป 10 ล้านบาทแล้ว ... ฮึม!! ก็คิดแบบเด็กๆ จากวันนั้นถึงวันนี้ ก็ยังอยากรวยเรื่อยมา..555 --- พอโตขึ้น ก็มาเห็น Business Model ของ McDonald , 7-11 , KFC , MK กับ Starbucks หรือ พวก Fast food ก็เข้าใจเลยว่า พวกคนเหล่านี้ก็คิดแบบเดียวกัน ..ก็คือ ธุรกิจเหล่่านี้ก็คือ Channel นั้นเอง ... ยิ่งเปิดร้าน Outlet ให้มากก็ยิ่งมีอำนาจในช่องทางการจัดจำหน่าย ..."แต่ประเด็นสำคัญของธุรกิจช่องทาง หรือ Channel เหล่านี้ก็คือ ต้นทุน ..ไหนจะค่าสร้างร้าน ค่าเช่าที่ ..(ในยุคแรกๆของ McDonald เขาซื้อที่ดินเลย .. Mc ในยุคแรกๆเลยเป็น Real-estate Business มากกว่า ธุรกิจขายอาหารเสียอีก ..แต่มาถึงปัจจุบัน ที่ดินมันแพงขึ้นเรื่อยๆ แถมการแข่งขันก็สูง การเร่งขยาย Channel ในการจัดจำหน่ายเลยบังคับให้ ธุรกิจเปล่านี้เช่าที่แทน ดังนั้น การมองเรื่องของ ที่ดิน ก็หมดไป มาเป็นเรื่องของ Channel & Distribution อย่างเดียว)

แต่มาวันนี้ พอ Apple เริ่ม ..เดินหน้า อย่าง App. Store ก็ทำให้เรา "อึ้ง!!" อีกครั้ง กับ Channel ที่อยู่ในมือเราอย่าง iPhone มันนี้เหมือนเรา "ถือ 7-11 ไปกับเราทุกที่ทุกเวลา" ..แถมสินค้ามันยังเป็นสินค้าที่ต้นทุนต่ำด้วย ...ตอนนี้เรายังเห็นแค่เรื่องของ เกม กับ ความสนุก เป็นจุดเริ่มต้น ...อย่างที่ผมเล่น Line แล้วโหลดตัวการ์ตูนลงมา ...พอคิดๆว่า Line นี่คนใช้ประมาณ 30 ล้านคน ..ถ้าเขาแค่ทำเงินจาก 30% จาก Hard Core Fan ก็รวยได้เลย ...ถ้าคำนวณลูกค้าต่อหัวที่จะจ่ายในอนาคต คิดง่ายๆ คนละ 1,000 บาท ต่อหัว เอาแค่ 10 ล้านคน ...บริษัท Line จะมีโครงสร้างรายได้ใน Business Model นี้ ก็เท่ากับ 10,000 ล้านบาท --- คำถามที่น่าสนใจคือ ธุรกิจอย่าง Line มีต้นทุนคืออะไร ..แล้วโอกาสอยู่ตรงไหน

"โอว... ธุรกิจอย่าง Line ต้นทุน ก็คือ คนเขียน App. ซึ่งเขียนครั้งเดียว แต่ขายได้กี่ล้านครั้งก็ได้ ...มันแจ๋วตรงนี้แหละ ที่เขาสามารถ Leverage ความคิด มาทำเงิน ...นี่แหละพลังของ New Economy -- ต้นทุนต่ำลง เข้าถึงคนมากขึ้น และในเวลาที่เร็วมากกว่า ..แม่เจ้า!! ความรวยในอัตราเร่งสำหรับคนรุ่นใหม่ มันอยู่ใกล้แค่เอื้อม!!" ...อีกคนที่รวยแบบ (นอนกิน)ก็คือ บริษัท Apple เจ้าของ App. Store นั่นเอง ...

ธุรกิจที่จะขึ้นมาบนมือถือ อีกไม่นานคงหนีไม่พ้น Counter Service บริการจ่ายเงินแบบง่ายๆ เร็วๆ ..แข่งกับ ธนาคาร และ 7-11  ...อีกหน่อยสินค้าอย่าง ประกันภัย ประกันชีวิต ..และสินค้าทางการเงินต่างๆ ก็สามารถ Move มาบนมือถือ ก็เป็นได้ ...ไหนจะธุรกิจบัตรเครดิต ...ที่มือถือสามารถจ่ายเงินแทนบัตรเครคิต ได้ปลอดภัยกว่า ...หรือ สินค้าเช่น หนังสือ หรือ Entertaining ต่างๆ -- พูดง่ายๆ ทุกอย่างที่ไม่ได้เป็น Physical Product ..อะไรจับต้องไม่ได้ สามารถขายผ่าน New Channel ได้หมด ... วันนี้ Apple ก็ยังไม่ได้ผูกขาด เพราะยังมี Samsung และ Google ที่ยังคงคานอำนาจในเรื่องของ Platform อยู่

เอาว่า คนรุ่นใหม่ ต้องเปิดใจ แล้วเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ เพราะเรากำลังอยู่ในยุคของ The Winner Take All ..และคนที่จะดูแล เราได้ดีที่สุดคือ ความรู้และปัญญา ที่พวกเราสร้างสม มุ่งมั่น ..เพื่อความสำเร็จในแบบฉบับของเราเอง นั่นแหละครับ...โย่ว!!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ