แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ปัญหาของการไม่กล้าเสี่ยง

 6 ‘ปัญหาของการไม่กล้าเสี่ยง’ 


หลายคนอาจจะสงสัยว่า ‘ไม่กล้าเสี่ยง’ มันก็ดี ? ..แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน 


1. ‘เราวนอยู่กับโอกาสที่ผลตอบแทนต่ำ’ …ปกติอยู่แล้วอะไรที่ชัวร์ มันแทบไม่ทีผลตอบแทน เหมือนเอาเงินไปฝากธนาคารแหละ …แต่ตลกร้ายคือ ขนาดเราเอาเงินฝากธนาคารเฉยๆ วันนี้ก็เสี่ยงเงินเฟ้อ เงินด้อยค่า 


(ในเมื่ออยู่เฉยๆ ก็เสี่ยง แล้วทำไมจะไม่เสี่ยงล่ะ ?)


2. ‘ความเสี่ยง จริงๆ ก็คือ สิ่งที่คนไม่เข้าใจ เขาก็เลยบอกว่ามันเสี่ยง’ …ใช่!! ก็แปลว่า สิ่งที่คนไม่เข้าใจบางอย่าง จริงๆ มันดี ก็เลยทำให้มีคนรวยมหาศาลจากบางอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจนั่นแหละ 


(อ๋อ!! ที่เขาพูดกันว่า ความรู้มันลดความเสี่ยง มันคือเรื่องจริง)


3. ‘ความเสี่ยง มันมันส์’ …มีคนถามว่าทำไมผมไม่ชอบเล่นการพนัน ไม่ซื้อหวย ไม่เสี่ยงโชคอะไรเลย …ผมก็ตอบไปว่า ผมเสี่ยงโชคอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ด้วยเงินทั้งหมดที่ผมมี กับหุ้นที่คนอื่นไม่เข้าใจ …เวลาชนะ มันมันส์ ไม่ต่างจากการถูกหวยเลย !!


(ไม่ใช่ไม่ชอบการพนัน แต่ชีวิตกรูคือ เดิมพันทั้งชีวิตอยู่แล้ว)


4. ‘เมื่อคุณเริ่มได้เงินจากความเสี่ยง คุณจะสามารถเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น’ …ในโลกมีคน 2 ประเภท หนึ่ง คือ หาเงินจากความสามารถและเวลาของตัวเองไปแลกมา กับ สอง คือ หาเงินจากเอาเงินไปต่อ ไปต่อเงินเรื่อยๆ …ใช่!! ผมเริ่มจากแบบแรก แต่พอผมเริ่มมีทุน ผมก็เอาเงินไปต่อเงิน เสี่ยงมาตลอด …วันนี้พอมีฐานทุนใหญ่ขึ้น ก็เสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอีก แต่กลับรู้สึกว่า ไม่ได้เสี่ยงอะไร เพราะด้วย ‘ความน่าจะเป็น’ Probability มันได้กระจายความเสี่ยงออกไปจนกลายเป็นความเสี่ยงที่สาเหตุสมผลไปเอง 


(คนที่เสี่ยงแล้วรวยได้เปรียบ ตรงที่เขาสามารถลงทุนเสี่ยงๆ ได้เพิ่ม และจุดนั้นแหละ คือจุดที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างไม่สมเหตุสมผล ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า รวยไม่รู้เรื่อง!!)


5. ‘พอการลงทุนมันถึงจุดที่เริ่มไม่เสี่ยง ผมก็จะเปลี่ยนไปหาความเสี่ยงใหม่ๆ’ …มันก็เหมือน นักสำรวจไหม …เราออกไปหาสิ่งที่คนอื่นเขายังไม่เห็น ยังไม่มอง แต่พอคนมาสนใจเยอะๆ …เราก็ไปที่อื่นต่อ 


6. ‘สุดท้าย เราก็ไม่จำเป็นต้องหยุดเสี่ยง’ …มีคนถามผมว่า ถ้าเราเสี่ยงไปถึงจุดนึง เราควรเลิก ล้างมือในอ่างทองคำไหม ? (ประมาณว่า รวยแล้วเลิก) …เอาตรงๆ ถ้าคิดแบบ ‘รวยแล้วเลิก’ แปลว่า เราเป็นนักพนันมือใหม่ ที่เพิ่งรู้จักบ่อน 


…เพราะถ้าคุณเข้าใจหลักการของ ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) …เราก็จะตอบได้เองเลยว่า ‘ชีวิตและความมั่งคั่ง มันคือการอยู่กับความเสี่ยง และ บริหารจัดการมันอย่างมีชั้นเชิง แค่นั้นแหละ’ 


ถ้าคิดจะขึ้นหลังเสือ เราจะไม่หลงจากหลังเสือ …เอ่อ !! เพราะเราคือ เห็บเสือ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อสังเกต ว่าหุ้นตัวนั้น ยังลงไม่สุด

 6 ข้อสังเกต ว่าหุ้นตัวนั้นยังลงไม่สุด


หลายครั้งที่เรารีบเข้าไปช้อนซื้อ แต่ปรากฏว่า เละ ครับ …เราเละ ดิครับ มันลงอีกลึกเลย


มาดูกันว่า อะไรที่บ่งบอกว่า หุ้นยังลงไม่สุด


1. ‘องศาการลงที่ชันเกินไป’ …ตามธรรมชาติของวัตถุ ถ้ามันลงดิ่งเลย อย่ารีบรับ เพราะ มือเราจะขาดได้ครับ


2. ‘ปริมาณ Volume ที่มากเกินไป’ …ยิ่ง Volume หนา ยิ่งบอกเลยว่า มันยังลงไม่สุด


3. ‘ดัชนีภาพใหญ่ ไม่เป็นใจ’ …เอาตรงๆ ถ้าภาพใหญ่ยังลง การรีบเข้าไปรับก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก


4. ‘เม่ายังสู้’ …ถ้ารายย่อยยังไม่กลัว ทุกคนพูดว่า มันถูกแล้ว …นั่นก็แปลว่า ยังลงไม่สุด


5. ‘พื้นฐานดูถูกแล้ว ดูยังไงก็คุ้ม’ …ลงต่อครับ …บทเรียนสายพื้นฐานจะเข้าใจกัน มองตาเข้าใจกันว่า ซื้อตอนถูกทีไร ได้ลงต่อ ได้ถืออีกนาน (ใช่!! สุดท้ายมันก็ขึ้นแหละ …แต่โคตรนาน …น …น …น)


6. ‘เรายังมีเงินสดอยู่’ …อันนี้สำคัญเลย ถ้าเรายังมีเงินสดอยู่แปลว่า ราคายังลงไม่สุด …ตอนเรารับจนไม่เหลือเงินสดแล้ว น้ำตาไหล เซ็งเป็ดแล้ว จุดนั้นถึงจะเป็นจุดต่ำสุด


โหดชิบหาย !! …ก็มันโหดไง คน 80% ถึง ผิดตลอด 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ด้านมืดของหุ้น ที่คุณควรเข้าใจ

 6 ด้านมืดของหุ้น ที่คุณควรเข้าใจ


1. ‘ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่หลอกเราได้มากที่สุด’ …โดยเฉพาะราคาที่ปราศจาก Volume การซื้อขาย 


2. ‘พื้นฐานหุ้น กับราคา อาจไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน’ …ยาวนาน จนเราลืมว่า สุดท้ายราคาจะวิ่งไปตามพื้นฐานในที่สุด


3. ‘ด้วยเม็ดเงินที่มากพอ สามารถจะพาหุ้นไปในทิศทางใดก็ได้’ …ถ้าเราไม่ระวังในเรื่องของ Volume เราอาจถูกพาไปติดดอยได้อย่างยาวนาน


4. ‘ไม่มีใครรู้ว่าจุดสูงสุดของหุ้นอยู่ที่ไหน และก็ไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหนเช่นกัน’ 


5. ‘คนที่ต้องการเงินเร็วๆ จากตลาดหุ้น มักจะเสียหายอย่างสาหัส’ …เพราะระยะสั้นหุ้นเคลื่อนตามอารมณ์ (แกว่งชิบหาย) ตรงข้ามกับระยะยาวที่หุ้นเคลื่อนตามพื้นฐาน (พอเดาได้บ้าง)


6. ‘ถ้าคนส่วนใหญ่มีหุ้น ราคาจะเข้าสู่ขาลง …แต่เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ขายทิ้ง ราคาหุ้นจะเข้าสู่ขาขึ้น’ …การอ่านเกมของหุ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ณ จุดนี้ คนส่วนใหญ่เขา ซื้อ / ถือ / หรือ ขาย 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 หลักคิด Classic จากตลาดหุ้น ที่คนกำไรหุ้นเข้าใจตรงกัน

 8 หลักคิด Classic จากตลาดหุ้น ที่คนกำไรหุ้นเขาเข้าใจตรงกัน


1. ‘ตลาดหุ้นคือสถานที่ เอาเงินจากคนที่มีความอดทนน้อย ไปสู่กระเป๋าของคนที่มีความอดทนมากกว่า’ 


2. ‘เราได้เงินจากราคาหุ้น แต่ราคาหุ้นก็เป็นสิ่งที่หลอกเราได้มากที่สุดเช่นกัน’ 


3. ‘ไม่ขายไม่ขาดทุน ได้ผลดีในตลาดหุ้นขาขึ้นเท่านั้น’ …แปลว่า ถ้าไม่ขายหุ้นเลย ทุกๆ สิบปี เวลาตลาดหุ้นจบรอบ พอร์ตจะเละแทบไม่เหลือชิ้นดีเลย


4. ‘การ Cut Loss ที่ดี ต้องทำในเวลาที่เราไม่อยากทำเท่านั้น’ …ถ้ารอให้เราอยาก Cut Loss การขายจะกลายเป็นหายนะทันที เพราะ จุดที่เราทนไม่ไหว มันมักจะเป็นจุดกลับตัวของราคาหุ้น


5. ‘หุ้นที่เราซื้อเยอะ มักขึ้นน้อย แต่หุ้นที่เราซื้อน้อย มักขึ้นเยอะ’ …เหมือนจะแก้ไม่ยาก ก็แค่คิดและทำตรงข้าม ..แต่ในทางปฏิบัติ เราต้องแก้ Mindset และวิธีคิดใหม่เกือบทั้งหมดเลย


6. ‘คนที่รวยหุ้นมากที่สุด ก็คือคนที่ไม่ได้คิดจะขายหุ้นตัวนั้น …และคนที่จะเจ๊งสูงสุดก็คือคนที่ไม่คิดจะขายหุ้นตัวนั้นเช่นกัน’ 


7. ‘หุ้นลงได้เด้งเดียว แต่เวลาขึ้นกี่เด้งก็ได้’ …ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ คุณจะเลือกการลงทุนเป็นพอร์ต (Portfolio) …ไม่จัดหนัก ไม่มั่นใจไร้สติ


8. ‘คนที่คิดสะสมหุ้น จะรวยกว่าคนที่คิดสะสมเงินสด ในระยะยาวเสมอ’ ….มีเซียนหุ้นท่านนึงสอนผมว่า ถ้าคุณคิดจะหยิบแต่เงินสดออกจากตลาดหุ้น พอร์ตเราจะไม่มีทางโต (คืออาจจะพอได้เงินนะ แต่ไม่รวยหุ้นสักที)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 เรื่องในตลาดหุ้นยุคนี้ ที่ควรรู้ให้ทัน

 6 เรื่องในตลาดหุ้นยุคนี้ ที่ควรรู้ให้ทัน


1. ‘หุ้นพื้นฐานดีราคาถูก ปันผลสูง ไม่จำเป็นต้องขึ้นก็ได้’ …หลายคนคิดว่า ถ้าซื้อหุ้นดี ปันผลสูง แล้วหุ้นต้องขึ้น …เอาตรงๆ นะ รายใหญ่ที่ถือหุ้นนั้น เขาอาจจะไม่ได้อยากให้หุ้นขึ้น เพราะถึงหุ้นขึ้นเขาก็ไม่ได้คิดจะขาย แค่รับปันผลก็สบายๆ แล้ว


2. ‘หุ้นที่ลงหนัก แต่อยู่ในความสนใจของมวลชน ไม่ต้องรีบซื้อก็ได้’ …หุ้นทีลงหนักที่มวลชนสนใจแปลว่า ลงพร้อม Volume …อันนี้ตีความว่า รายใหญ่ออกของ …เอาตรงๆ ถ้ารายใหญ่ออก เดาง่ายๆ เลยว่า มันไม่น่าขึ้นต่อ หรือ ถึงไปต่อก็ไม่น่าจะไปได้ไกล


3. ‘หุ้นที่ขึ้นแรงเกินไป เราแบ่งขายทำกำไรบ้างก็ดี’ …รอบนี้ของตลาด มันเป็นไปได้ยากที่ขึ้นจะวิ่งไปยาวๆ โดยไม่พักเหมือนอย่างปี 2008 ที่หุ้นขึ้นยาวๆ ไม่มีพัก เพราะตอนนั้นสภาพคล่องมันมหาศาล และพื้นฐานธุรกิจอยู่ในขาขึ้น แต่เวลานี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว


4. ‘หุ้นที่จะขึ้นได้แรงในเวลานี้ คือหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ’ …หุ้นที่สภาพคล่องต่ำ แปลว่า หุ้นนั่นมีรายย่อยอยู่น้อย หรือ รายย่อยขายทิ้งไปหมดแล้ว …เมื่อไม่มีรายย่อย ก็ขึ้นกับเจ้าแล้วล่ะว่า เขาจะเอาไปไหน 


5. ‘อย่าเทหมดหน้าตักให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ให้กระจายความเสี่ยงให้ดี’ …เราอาจเห็นตัวอย่างเซียนหุ้นที่สร้างตัวได้เร็วจากรอบที่ผ่านมาโดยการเลือกหุ้นน้อยตัวแล้วจัดหนัก …วิธีการนั้นอาจใช้ได้ไม่ดีกับหุ้นรอบนี้ ที่มีปัจจัยความเสี่ยงรอบด้านอย่างในปัจจุบัน


6. ‘ควรหลีกเลี่ยงสินค้าที่มี Leverage สูง’ …Leverage ก็คือ ’กู้มาเล่น’ …ถ้าเรากู้มาเล่น ก็แปลว่า เรากระโดดเข้าไปในเกมเงินร้อน …เกมเงินร้อนเหมาะกับตลาดขาขึ้นที่สภาพคล่องล้นเหลือ …ซึ่งตรงข้ามกับปัจจุบันที่ทุกคนพยายามเก็บสภาพคล่อง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565

6 หลัก การลงทุนแบบคนมีเงิน ที่เขาอาจไม่บอกเรา

 6 หลัก การลงทุนแบบคนมีเงิน ที่เขาอาจไม่ได้บอกเรา


เขาบอกกันว่า คนมีเงิน ลงทุน แตกต่าง (แตกต่างอย่างสิ้นเชิง) …ยังไง ? 

มาดูกัน 


1. ‘คนมีเงินจะลงทุนเป็นพอร์ต’ …การลงทุนเป็นพอร์ตก็คล้ายๆ ผู้จัดการกองทุน ที่ลงทุนโดยการประเมินโอกาสและความเสี่ยง แล้วกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม …ไม่ใช่เลือกลงทุนตามความชอบ ไม่ชอบ 


(การลงทุนเป็นพอร์ต สามารถเริ่มตั้งแต่เงินน้อย แต่กระจายการลงทุนให้เป็นนิสัย)


2. ‘คนมีเงินจะมองที่จุดแย่สุด ก่อนจุดดีที่สุด’ …คิดง่ายๆ ถ้าเรารับแย่สุดได้ ก็แปลว่า การลงทุนนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราชีวิตแย่ …ก็จัดไป


3. ‘คนมีเงินจะมองความเป็นไปได้ มากกว่าความหวัง’ …ถ้ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ (if it too good to be true , it’s probably too good to be true) …มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ นั่นแหละ …เช่น การันตีผลตอบแทน สูงแบบเหลือเขื่อ และทยอยจ่ายทุกเดือน ก็หนีไม่พ้นแชร์ลูกโซ่นั่นแหละ 


4. ‘ของฟรีไม่มีในโลก ต้องมองให้ออกว่าเราเสียอะไร’ …ถ้ามองไม่ออก ก็แปลว่าสุดท้ายเราเสียเปรียบแน่นอน ..อะไรที่เราได้ใช้ของเขาฟรี..นั่นก็เพราะเขาได้อย่างอื่นจากเรา ที่คุ้มค่ากว่ามากนั่นเอง 


(ในโลกนี้ไม่มีใครโง่ และ โลกนี้ก็ไม่มีของฟรีอย่างแท้จริง)


5. ‘ยิ่งเสี่ยง ยิ่งน่าลงทุน บนพื้นฐานที่เราเข้าใจความเสี่ยงนั้นๆ’ …ยุคนี้ผลตอบแทนอยู่ในที่เสี่ยงเสมอ …ถ้าเราเข้าใจความเสี่ยงนั้นๆ ก็แปลว่า เราเข้าใจสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ นั่นแหละ น่าลงทุน 


6. ‘ถ้าเราไม่อยากทำงานหนักเพื่อเงิน ก็ต้องให้เงินทำงานหนักให้เรา’ …คนมีเงินจะพยายามหาโอกาสที่จะใช้เงินตัวเอง ไปลงทุนให้มันทำงาน …เพราะนั่นจะเป็นทางเดียวที่สุดท้ายเราจะไม่ต้องทำงาน แล้วยังมีเงินใช้ตลอดไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อคิด อยากรวยเร็วจริงๆ ต้องไม่คิดรวยเร็ว

 6 ข้อ ลงทุนแบบไม่รวยเร็ว ให้รวยเร็วกว่า


เอ้า!! งง …ก็เพราะ ทางรวยเร็ว มันไม่ใช่ทางที่น่าจะเดินเข้าไปนั่นเอง


1. ‘อะไรที่คนพูดกันว่ารวยเร็ว มักจะเป็นกับดัก’ …เวลาเราเจอใครพูดว่า นี่คือวิธีรวยเร็ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า มันน่าจะเป็นกับดัก


2. ‘คนที่รวยเร็วจริงๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดที่จะรวยเร็ว’ …ยุคนี้การวิ่งหาทางลัดหรือ Short Cut เป็นสิ่งที่พูดกันเยอะ แต่ไอ้ทาง Short Cut ที่ว่า มักเป็นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ เช่น ทนถือหุ้นผ่านวิกฤต (การทนถือ ก็คือการที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะขายในจุดสูงที่สุด สุดท้ายเลยกำไรเยอะสุด เพราะไม่ได้ขาย)


3. ‘ยุคนี้ไม่มีโอกาสที่ไม่มีความเสี่ยง’ …ใช่!! ทุกโอกาสมันดูเสี่ยง เราจึงต้องเข้าใจความเสี่ยงในเรื่องที่เราลงทุนให้ดี


4. ‘ยิ่งเราซื้อขายเร็วแค่ไหน โอกาสรวยเร็วก็จะลดลงตาม’ …ในตลาดหุ้นเราได้เงินเมื่อเราขาย แต่เราจะได้กำไรมหาศาลจากที่เราไม่ขาย (คิดดีๆ ซิ)


5. ‘ถ้าเราอยากได้กำไรสูงสุด เราต้องออกแบบการรับความเสี่ยงที่ศูนย์ได้ แต่เรายังไม่เจ๊ง’ …ก็คือ ยอมเสีย 100% เพื่อที่เวลากำไรจะได้กำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์


6. ‘เมื่อเราพอร์ตโตขึ้น เราต้องรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดความเสี่ยงลง’ …นี่คือหลักความได้เปรียบของการปั้นพอร์ตจากตลาดหุ้น …เมื่อเราเสี่ยงแล้วชนะ เราจะได้เงินก้อนที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่เราจะเอาก้อนนั้นแหละ กระจายความเสี่ยง แล้วสามารถลงทุนในจุดที่เสี่ยงขึ้น


กระจายเพื่อเสี่ยง คือ หลักการที่ทำกำไรได้ดี ในตลาดที่ทุกโอกาสคือความเสี่ยง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อ ถ้าเล่นหุ้นแบบเล่นหวย จะมีคนรวยหุ้นเพิ่มขนาดไหน

 6 ถ้าเล่นหุ้นได้แบบเล่นหวย คนรวยหุ้นจะเพิ่มขนาดไหน ?


1. ‘ถ้าซื้อหุ้นสม่ำเสมอ แล้วซื้อนานแบบซื้อหวย คนรวยคงเต็มตลาดหุ้น’ …เติมเงินทุก 15 วัน ซื้อตลอดชีวิตไม่เลิก (ถ้าซื้อหุ้นเดือนละ 1,000 นานตลอด 40 ปี เราจะมีเงินเท่าถูกรางวัลที่หนึ่ง 2 ครั้ง คือ 12 ล้านบาทแบบสบายๆ)


2. ‘คนถูกหวย นี่เสียงดังเลย รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง …คนรวยหุ้น กลับเงียบเลย’ …คนยิ่งรวยหุ้น ยิ่งเก็บตัวเงียบ …รวยเงียบเพียบ แค่ไม่บอกใคร


3. ‘ถ้าซื้อหุ้นแบบพร้อมเสียเหมือนหวย เราจะถูกมากขึ้นในตลาดหุ้น’ …เวลาคนซื้อหวย เขาพร้อม 0 เลย แปลว่า เขาจำกัดความเสียหาย แค่เงินก้อนนั้น …ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ในการซื้อหุ้น คนเจ๊งหุ้นจะลดลงอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว !!


4. ‘เลขเด็ดที่ออกไปแล้ว จะไม่ออกงวดถัดไป’ …แต่ตลาดหุ้นคน ชอบไปซื้อหุ้นที่ออกไปแล้ว คนรวยไปแล้ว ค่อยตามไปซื้อ …ยิ่งซื้อราคาก็ยิ่งลง สุดท้ายเจ๊ง 


5. ‘เลขเด็ดที่ใครๆ ก็ซื้อ ไม่มีทางถูก’ …แต่พอเล่นหุ้นดันไปตาม หุ้นเด็ด …ก็เลยถูกกินนั่นแหละ 


6. ‘เงินน้อย ก็เริ่มซื้อหุ้นได้แล้ว’ …เดือนละ พันกว่าบาท ก็ซื้อ ETF ที่เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงในระยะยาว …ออมไปได้แบบสบายๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ