แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2561

สวัสดีปีใหม่ 2019 นะครับ



ข้อชวนคิด ส่งท้ายปี 2018 ...ต้อนรับปีหมู 2019 !!


เราผ่านปี 2018 ที่เรียกได้ว่า ผันผวน และ มีสิ่งที่ประหลาดใจตลอดปี ...เอาข้อคิดดีๆ มาฝากกัน


- ‘ใครๆ ก็บอกว่า ปีหน้าเศรษฐกิจจะแย่’ ...ผมว่า ทุกครั้งที่คนบ่น คนรู้สึกไม่ดีต่อเศรษฐกิจ ...มันมักจะมี ‘ของดี’ หรือ ‘โอกาสดีๆ’ แอบแฝงอยู่เสมอ ...พูดแบบนี้ดีกว่า เราจะได้สิ่งดีๆ หรือไม่ ขึ้นอยู่กับว่า เราจดจ่อกับอะไร ...ถ้าเราจดจ่อ กับการหาวิกฤต คงเจอแต่วิกฤต สมใจ ...แต่ถ้าเราจดจ่อ กับการมองหาโอกาส ผมเชื่อว่า ปี 2019 คงมีอะไรดีๆ ซ่อนอยู่ไม่น้อยครับ


- ‘กลัวการเปลี่ยนแปลง’ ...หลายๆ คนกลัวตกงาน ...หลายๆ คนกลัวหางานไม่ได้ ...หลายๆ คนกลัวว่า สิ่งที่ทำจะโดนทดแทน ...ถ้ามองอีกมุม ทุกการเปลี่ยนแปลงมันเหมือนการ เคลียร์สนาม ให้เริ่มต้นใหม่ ....ถ้าเราเป็นคนรวยมากๆ เงินเยอะมากๆ เวลาเคลียร์สนามที ก็คงเสียเงินมหาศาล ...แต่คนทั่วไป ผมว่า จังหวะเคลียร์กระดานแบบนี้แหละ ที่เราอาจจะแจ้งเกิด ...ให้อาสา และ กล้า ทำสิ่งที่ไม่เคยทำ ...เรียนรู้ สิ่งที่เคยอึดอัด ...ปีหมู นี่แหละ ปีของคนตัวเล็ก ...เพราะ ไม่มีอะไรจะเสีย มันเลยมีแต่โอกาส และ การก้าวกระโดดของชีวิต


- ‘ผิดพลาด ก็เรียนรู้ แล้วลุยต่อ’ ...ยุคนี้คนผิดพลาด ก็กลับมาเริ่มใหม่อย่างง่ายๆ ดู ทรัมป์ ประธานาธิบดีอเมริกา เขาไม่ใช่แค่เคยเสียหายธรรมดา แต่เขาถึงขั้น เจ๊ง ล้มละลาย มาหลายครั้งแล้ว ...วันนี้เขาขึ้นเป็น เบอร์หนึ่งของโลก ....ใช่!! ไม่มียุคไหนที่ คนเราสามารถเริ่มใหม่ ได้ตลอดเวลาแบบยุคนี้แล้ว ....กลัวอะไร ไปล้มลุกคลุกคลาน ไปผจญภัยซิ !!


- ‘โอกาสหาเงินเปิดขึ้นแล้ว’ ...ปีนี้คนทำธุรกิจดั้งเดิมเหนื่อย แต่ในอีกด้าน คนธรรมดา จะลุกขึ้นมา ขายของออนไลน์ เปิดธุรกิจแปลกๆ แล้วหาเงินจากโลกทุกวันนี้ มันง่ายกว่าเดิมเยอะ ....อยากรวย ก็ฝึกเลย ...ไม่ต้องมีใครสอน ...ใช้ออนไลน์นั่นแหละ ลองหาเงินดู ....อยากหาเงินเก่งยุคนี้ ลองทำเลย ....ถ้าคุณเป็นเด็กผมแนะนำเลย ...ฝึกหาเงิน เป็นเรื่องหลัก ...เรียนหนังสือ เป็นงานเสริม ทำไปขำขำ ....ฝึกหาเงินเลย อันนี้ของจริง เพราะ ยิ่งเริ่มก่อน ทำเยอะ เรายิ่งหาเงินเก่ง


- ‘ลองหาความสุข แบบที่ไม่ต้องใช้เงินบ้าง’ ...ทุกวันนี้ มีแต่คนเก่งใช้เงิน เที่ยวแหลก กินหรู โพสภาพโชว์ ...แต่เอาเข้าจริง ความสุขแบบนี้มันสั้นน่ะ ....ถ้าอยากสุขให้ยาวขึ้น ลองฝึกหาความสุขโดยไม่ต้องใช้เงิน ....ใช่!! ของแบบนี้ ฝึกก่อน ได้เปรียบ ...เพราะ ขืนเรารู้จักแต่ หาความสุขโดยที่ต้องเสียเงินเยอะๆ ผมว่า เราจะลำบาก เพราะ เราตกเป็นทาสของ ‘วัตถุนิยม’ 


- ‘ตั้งเป้าหมายแปลกๆ แล้วลองทำดู’ ..ถ้าเราอยากประสบความสำเร็จในแบบที่ไม่คาดคิด ก็ต้องหัดทำอะไรที่เราไม่คาดคิดบ้าง ...ฝรั่งเขาเรียกสิ่งนี้ว่า การออกจาก Comfort Zone ...ออกจากจุดที่เราสบาย เพราะ บางครั้งเราต้องการความอึดอัด เพื่อจะเติบโต


- ‘เหนื่อยหนัก มักได้ดี’ ...ผมยังเชื่อเสมอว่า อะไรที่มันเหนื่อย อะไรที่มันหนัก ...เมื่อเราผ่านมันไปได้ เราจะสบาย ...เช่น การออกกำลังกาย มันเหนื่อย มันหนัก แต่พอทำผ่านไปได้ มันทั้งรู้สึกดี และ ให้ผลลัพธ์ที่น่าทึ่งเสมอ


- ‘ข้อนี้ขอแนะนำ ในฐานะคนที่อยู่ในอาชีพนักลงทุน’ คือ ให้เรียนรู้ วิธี ‘วางเงินทำงาน’ ...ถ้าเล่นหุ้น ก็ลองถือ แล้วรับแต่ปันผลบ้าง ...ลืมๆ การผันผวนของราคาไปบ้าง ...ถ้าผ่านไปได้ เราจะได้เครื่องผลิตเงินชั้นดี ....ใช่!! ถ้าเรากล้าแบ่งเงินบางส่วน มา ออมในหุ้น มาลงทุน แล้วมองแต่ปันผลยาวๆ บ้าง ...เงินก้อนนี้มันจะเริ่ม ทำงานหนักแทนเราเมื่อเวลาผ่านไป


ผมไม่ได้โลกสวย ...แค่มองมัน ตามความเป็นจริงก็เท่านั้นเอง ....ถ้าอยากได้ผลลัพธ์ที่ดี ลองเริ่มเปลี่ยนสิ่งที่ใส่เข้าไปซิ ...เมื่อ ‘เหตุ’ มันดี ...เดี๋ยว ‘ผล’ มันก็จะดีตาม


สวัสดีปีใหม่ 2019 ....ขอให้ ทุกท่านใช้ชีวิตอย่างมีสติ แล้วนำพาชีวิต พบแต่สิ่งที่ดีๆ ที่จะผ่านเข้ามาในปีใหม่นี้นะครับ


โชคดี เพราะ เราคิดดี ทำดี 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันจันทร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2561

6 ข้อคิด ให้รางวัลชีวิต พัฒนาจุดแข็ง



6 ข้อคิด พัฒนาจุดแข็ง ให้รางวัลตัวเอง


ใช่!! การให้รางวัลที่ดีที่สุดสำหรับตัวเราคือ ‘การพัฒนาจุดแข็ง’ 


เราทุกคนมีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ...แต่เราถูกพัฒนาแต่จุดอ่อน ตั้งแต่สมัยเป็นเด็กนักเรียน โตขึ้นจะเข้ามหาวิทยาลัยก็ ติว ปิดจุดอ่อน ตลอด ...นี่คือ ระบบการศึกษาที่พัฒนาแต่จุดอ่อน เพื่อให้ทุกคนเหมือนกัน


ความตลกร้ายคือ ในชีวิตจริง มันวัดคนประสบความสำเร็จจากจุดแข็ง !! 


...ก็นั่นแหละ ที่ทำให้เราต้องหันมา ทบทวนตัวเอง 


1. ค้นหาตัวเอง หาจุดแข็ง ...เราเก่งอะไรอ่ะ ?


2. พัฒนาจุดแข็ง ให้โดดเด่น ...ทำให้จุดที่เก่ง มันเก่งขึ้นยังไง ...อย่างนักกีฬาระดับโลก ก็เริ่มจากทีมโรงเรียน พัฒนาแข็งเพิ่มไปทีมมหาวิทยาลัย ...ก็พัฒนาจุดแข็ง แบบนั้นแหละ ที่เราต้องทำในทุกอาชีพ


3. สร้างสนามให้เราได้ใช้จุดแข็ง ...หาสนาม !!


4. เมื่อจุดแข็งเริ่มเด่นชัด ลองหารายได้จากจุดแข็ง ...อะไรที่เราทำดีกว่าคนอื่น มันคือ จุดเริ่มต้นของการทำเงิน คิดดีเลย !!


5. ขยายจุดแข็ง ให้กว้างและมีประโยชน์ต่อคนอื่นมากขึ้น (นี่คือจุดที่คุณจะเริ่มมีค่าตัว และมีโอกาสใหม่ๆ เข้ามาในชีวิต) 


6. เลือกสิ่งที่ดีที่สุด เลือกงานที่คุณทำแล้ว รู้สึกชอบตัวเอง ...มันจะทำได้ยาว สนุก และ เงินจะตามมาเอง


นี่คือ 6 ข้อ 'การเสริมจุดแข็ง เพื่อสร้างโอกาสใหม่ในชีวิต'


บางครั้งคนเราก็ล้มเหลว เพื่อให้เราเริ่มสิ่งใหม่ที่ดีกว่า 


...ใครที่เครียดกับงาน งานดูไม่มั่นคง หรือ งานไม่สนุก ลองหันมาดูที่ตัวเอง พัฒนาจุดแข็ง พัฒนาทักษะที่เราเก่ง ให้โดดเด่น - ผมเชื่อว่า นั่นคือรางวัลที่ดีที่สุดเลยครับ


จัดไป!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 16 ธันวาคม พ.ศ. 2561

อุตสากรรม 4.0 โลกไกล คนตกงาน แตกต่างสุดขั้ว


‘เมื่อเราเข้าสู่ การปฏิวัติ !!’ 

เฮ้ย!! ไม่ใช่ ...การปฏิวัติอุตสาหกรรมครั้งที่ 4 ของโลกนี้

ครั้งนี้ต่างกับทั้ง 3 ครั้งตรงที่

1. ‘ครั้งนี้ไม่สร้างงาน แต่ทำลายงานของคน’ ...โดยปกติการปฏิวัติอุตสาหกรรมจะก่อให้เกิดการจ้างงานที่เพิ่มขึ้น แล้วทำให้รายได้ของคนเติบโต ...แต่ครั้งนี้เปลี่ยนไป จะทำลายงานคน ไปให้หุ่นยนต์แทน

2. ‘งานซ้ำ จะหายไป ..งานไม่ซ้ำจะลดลง’ ...งานที่เป็น Low Skill ทำงาน ซ้ำๆใช้ความชำนาญ จะถูกเครื่องจักรทำแทน ...ยาม ถูกแทนด้วย CCTV ...ถ้ายามไม่อยากตกงาน ก็ต้องผันตัวไปเป็นคนควบคุม CCTV หรือ ไปเป็นตำรวจแทน 

งานขายของในห้าง อาจหายไป ...คนขายของ อาจต้องไปขายออนไลน์

งานเสริฟ จะถูกแทนด้วย สายพาน หรือ รูปแบบร้านที่เน้นบริการตัวเองมากขึ้น ...ถ้าคนเสริฟ ไม่ปรับตัว ก็อาจจะตกงาน

ส่วนงาน High Skill บางอย่าง ก็ถูกแทนด้วยเทคโนโลยี เช่น ถ้าไม่สบายแบบปกติ ต่อไปไม่ต้องเจอหมอ เจอคอมแทน / การทำบัญชีง่ายๆ เราให้ออนไลน์ทำหมด ..

3. ‘คนมีเทคโนโลยีจะยิ่งรวย’ ...แปลว่า ครั้งนี้จะสร้างความห่างระหว่างคนรวยกับคนจน ให้ห่างไปอีก

4. ‘ภาครัฐต้องยื่นมือเข้ามาแทรก’ ...ข้อดี คือ มันช่วยระยะสั้น ..ข้อเสีย คือ มันจะพังในระยะยาว ...อย่างที่เสนอกันว่า ให้รัฐตั้งรายได้ขั้นต่ำแจกเงินให้คนฟรี ...ฟังดูก็เหมือน คอมมิวนิสต์เลย คือ รัฐแจกเงินให้ทุกคนเท่ากัน ...สุดท้ายจีนยังเปลี่ยนเลย วันนี้จีนพยายามให้คนเป็นผู้ประกอบการ ก็ช่วยให้จีนพัฒนาก้าวกระโดด (แปลว่า วันนี้ที่จีนเจริญเร็ว เพราะ รัฐบาลพยายามปล่อยมือ แล้วคอยดูแลความเรียบร้อย ...ใช่!! ปล่อยมือ ในระยะยาวดีกว่า เข้าแทรก)

5. ‘การศึกษา ปรับตัวไม่ทัน’ ...ยุค 4.0 มันทำลายลูกจ้าง แต่มันเอื้อต่อ ผู้ประกอบการ ...ระบบการศึกษา ต้อง พัฒนาให้คนสร้างงาน ต้องสอนการลงทุน ต้องสอนให้เด็กพึ่งตัวเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

โลกนี้ไม่มีใครขาดโอกาส มีแต่ขาดประสบการณ์


โลกนี้ไม่มีใครขาดโอกาส มีแต่ขาดประสบการณ์ !!

‘ในโลกนี้ไม่มีใครขาดโอกาส ...เงินก็เหมือนน้ำ มันอยู่รอบๆ ตัวเรา ...ถ้าอยากได้น้ำ ก็ออกไปตัก ..เหมือนกัน ถ้าอยากได้เงิน ก็แค่ออกแรงไปทำงาน’

แต่ปัญหาจริงๆ ของคนทั้งโลก คือ 

1. “ไม่มีภาชนะในการตัก” ...ถ้าตักด้วยมือเปล่า ก็เหมือน คนเป็นลูกจ้าง ทำงานใช้แต่ตัวเอง ทั้งชีวิตก็ได้เงินไม่เยอะ

2. “ไม่มีภาชนะในการเก็บ” ...ถ้าตักน้ำมาแล้ว ไม่มีที่เก็บ มันก็เก็บไม่ได้ไง เหมือนคนที่ได้เงินมา เอาไปเก็บไว้ในบัญชีธนาคาร หนึ่ง ไม่เพิ่ม สอง ใช้ง่าย ..สรุปได้มาเท่าไหร่ สุดท้ายก็เก็บไม่อยู่ 

คนที่มีภาชนะในการเก็บ เช่น คนรวยเขาสอนลูก สอนให้เก็บเงินในสินทรัพย์ ...เพราะ สินทรัพย์มีแต่เพิ่มมูลค่า ...ตัวสินทรัพย์นี่แหละ คือ ภาชนะเก็บเงินของคนรวย

....แค่นี้เองเหรอ ?

ใช่!! กลไกการสร้างตัว มันมีแก่นเท่านี้ ...ส่วนรายละเอียด มันต้องลงมือทำ ซึ่งในรายละเอียดมันก็จะแตกต่างไปในแต่ละคน แต่ละสถานการณ์ แต่ละสภาพแวดล้อม 

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณอยู่อเมริกา มันมีวิธีหาเงิน และ เก็บเงิน แตกต่างกันในรายละเอียด 

- อเมริกา การศึกษา ค่อนข้างเท่าเทียม ลูกชาวนาของบ้านเขาเลยขึ้นมาเป็นเศรษฐีได้ ไม่ได้มีเส้นแบ่ง 

- ระบบทุน ..ประเทศเขามี ระบบทุน เช่น Venture Capital หรือ Angel Investor ที่เปิดโอกาสให้คนธรรมดาที่ไม่มีทุน แต่มีความสามารถ ให้สามารถเข้าถึงเงิน 

เอาแค่ 2 อย่างนี้ ก็จะเห็นว่า ...ถ้าขยันเรียน แล้วฝึกมองโอกาสให้ออก มันก็สร้างตัวได้

ถ้าอยู่ในเอเชีย ...อันนี้ Know Who สำคัญกว่า Know How เราก็ต้องสร้างตัวอีกแบบนึง

- เก่งอย่างเดียวไม่ได้ ต้องสร้างเครือข่าย ...อยู่ที่ไหน ต้องสร้างคอนเน็กชั่น ...ถ้าไม่มีต้องเริ่มจากเป็นลูกจ้าง เป็นมือให้คนอื่นก่อน ...จะมาสร้างตัวเลยอย่าง Mark Zuckerberg แบบนั้นมันทำที่นี่ไม่ได้ 

- อุตสาหกรรมหลักๆ ถูกกลุ่มทุนผูกขาดอยู่แล้ว ..ถ้าเก่ง ก็ไปทำงานให้กลุ่มทุน อาจพอลืมตาอ้าปาก แล้วถึงจะค่อยๆ ต่อยอดไป

- จะทำอุตสาหกรรมใหม่ อย่างต่างประเทศ ...อันนี้แทบจะเป็นไปไม่ได้ เพราะ เราขาด ทั้ง เทคโนโลยี ขาดทั้งทุน ...ตลาดก็แคบ ถ้าสำเร็จในบ้านเรา ก็ขยายไปต่างประเทศไม่ได้ ...ถึงออกได้ พอไปสนามใหญ่ เราก็แพ้ เพราะ เทคโนโลยี ความรู้เรายังไม่ถึง

- คนรุ่นใหม่ที่สร้างตัวในบ้านเราเลยมาจากช่วงว่างของอุตสาหกรรมเดิม แล้วใช้ความเร็ว ใช้ตลาดทุนเข้าช่วย ..แบบนี้ก็พอจะสร้างตัวได้ - อายุน้อยร้อยล้าน พันล้าน บ้านเราต้องมุ่งมาที่ทางนี้ ยังพอมีหวัง !!

จะเห็นได้ว่า ...สูตรสำเร็จ ในการสร้างตัว แต่ละประเทศ แม้จะมีแก่นที่เหมือนกัน แต่ในรายละเอียดมันแตกต่างกัน 

นี่แหละ ที่เขาเรียกว่า ‘ยุคนี้ ประสบการณ์ สำคัญกว่า โอกาส’ 

ที่พูดว่า ‘โลกนี้ไม่มีใครขาดโอกาส มีแต่ขาดประสบการณ์’ เพราะว่า โอกาส มันคือ คำพูดของคนที่นั่งรอ แต่ประสบการณ์ มันคือคำพูดของคนที่ออกไปค้นหา 

...ก็สู้กันไป เอาใจช่วยครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 เทคนิค รวยเร็ว ระดับโลก ทำยังไง


10 นิสัย สร้างมหาเศรษฐีในยุคนี้ รวยเร็วระดับชาติ

1. ‘อยู่ ถูกที่’ ...เศรษฐีรุ่นใหม่ จะเปลี่ยนไปเรื่อยๆ แต่ก่อน ต้องอยู่อเมริกาเป็นคนใส่แว่นหนา ...ต่อมาต้องเป็นคนรัสเซียถึงจะรวยเร็ว ...วันนี้คุณต้องเป็นคนจีน เพราะ เซิ่นเจ้น คือ ซิลิคอนวัลเลย์ยุคใหม่ ...เอาเถอะ ถึงจะไปอยู่ในจุดที่รวยเร็วสุดไม่ได้ เราอยู่เมืองไทย ก็ต้องดมกลิ่นเงินให้เป็น 

2. ‘ทำสิ่งใหม่’ ...ถ้าทำสิ่งเก่า มันคือลูกจ้าง ...ถ้าอยากรวยมากๆ ต้องจับสิ่งใหม่

3. ‘เก่งในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้เรื่อง’ ...พวกรวยไม่รู้เรื่อง มันแปลว่า คนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่ตัวเขาเองนะ เก่งมากเรื่องนั้น ...บ้านเรา ขายครีมออนไลน์ ขายไปขายมา รวยร้อยล้าน เอาเข้าตลาด รวยหมื่นล้าน ...คนอื่นไม่รู้เรื่อง แต่ฉันรู้เรื่องโคตรๆ 

4. ‘เข้าใจกลไกตลาดหุ้น’ ...ไม่มีมหาเศรษฐีคนไหน ที่รวยจากเงินตัวเอง ...ศาสตร์แห่งตลาดหุ้น คือ การพาเราไปเข้าใจเกมการเงินที่ใช้ทั้งแรงคนอื่น เงินคนอื่น ...ที่เห็นคนรวยขึ้น 10 เท่า 100 เท่า 1000 เท่า ...มันเกิดจาก Multiple ของเกมการเงินทั้งนั้นแหละ

5. ‘ทำก่อน’ ...ทำของใหม่ ไม่พอต้องทำก่อน ...อย่าง Bitcoin วันนี้ใครๆ ก็รู้จัก มันเลยอยู่ในขาลง ยิ่งซื้อยิ่งซวย ...คนที่รวยมากๆ คือ ทำก่อน ตั้งแต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จัก 

6. ‘ทำหลังจาก ที่เลิกฮิต’ ...พอทำก่อนนี่โคตรรวย ...ส่วนพอกที่รวยต่อมาคือ รอให้คนส่วนใหญ่เลิกฮิต หรือ รอให้คนส่วนใหญ่เจ๊งก่อน แล้วลงทุนในรอบใหม่ ...แต่ต้องเข้าใจและศึกษาเรื่องรอบให้ดี ...สั้นๆ คือ ถ้าคนส่วนใหญ่ยังไม่เจ๊ง มันจะลงต่อ ...แต่ถ้าคนส่วนใหญ่เสียหาย เจ๊ง สาบส่ง นั่นแหละ จุดเริ่มต้นของการขึ้นครั้งใหม่

7. ‘กล้าเสี่ยง’ ...ไม่มีมหาเศรษฐีคนไหนที่ไม่เสี่ยง ...ต้องเสี่ยง เพราะ ความเสียหายยุคนี้เจ็บน้อยกว่าไม่ได้ทำ

8. ‘จำกัดความเสี่ยงเป็น’ ...ถ้ารู้จักแต่ข้อ 7 อาจ รวยเร็ว แต่เจ๊งเร็วติดๆ กัน ...ถ้าลงทุนสั้น ต้องรู้จัก Stop Loss ..ถ้าลงทุนยาว หรือ ทำธุรกิจ ต้องกระจายความเสี่ยงเป็น 

9. ‘ต่อยอดไปเรื่อยๆ ไม่หยุดทำ’ ...คนที่รวยมากๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ทำเพราะเงิน ...คนที่เป้าหมายเป็นเงินอย่างเดียว พอได้เงินแล้วก็จะเริ่มกลัวความเสี่ยง แล้วหยุดทำ ...แต่คนเหล่านี้ สนุกที่ได้ต่อยอด ...ธุรกิจที่คนเหล่านี้ทำ ไม่มีข้อจำกัด เหมือน Google เราแทบไม่รู้เลยว่า เขาจะทำอะไรต่อ เพราะ เขาต่อยอดไปเรื่อยๆ 

10. ‘รู้จักจุดแข็งของตัวเอง’ ...อันนี้สำคัญสุดเลยใน 10 ข้อ เพราะ คนส่วนใหญ่ในโลกทำงานจากจุดอ่อน มันเลยได้ผลลัพธ์น้อย เงินน้อย ...ถ้าอยากสำเร็จรวดเร็วต้องหาจุดแข็งตัวเองให้เร็ว 

พอนับหนึ่งได้ การต่อยอด นับ 10 นับ 100 มันก็จะตามมา

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 นิสัยอันตรายของคนสร้างหนี้


6 นิสัย ของคนที่จะสร้างหนี้ มีแต่ซวย !!

คนแบบใดที่จะเพิ่มแต่หนี้ ผ่อนใช้หัวโต

สิ่งที่คนสมัยก่อน มีกันเยอะๆ คือ มีสินทรัพย์...ส่วนสิ่งที่คนสมัยนี้มีกันเยอะๆ คือ หนี้ ...ทำไมเป็นอย่างนั้น ?

1. “โซเชียลมีเดีย ตัวดีเลย” ..ยิ่งเห็นชีวิตคนอื่นดูดีแค่ไหน เรายิ่งน้อยเนื้อต่ำใจลงเรื่อยๆ ...สุดท้าย ยอมเป็นหนี้บัตรเครดิตก็ได้ ‘ฉันต้องมีไม่น้อยหน้าใคร’ ...มีอะไร ? - แข่งกันมีหนี้ไง 

2. ‘คนเครดิตดี’ ...พอเงินเดือนเพิ่ม เครดิตดี คนแบบนี้จะยิ่งเพิ่มหนี้ตาม ...ยิ่งมีบัตรเครดิตหลายใบ ยิ่งมีแนวโน้มที่จะใช้เต็มวงเงินทุกใบ แล้วทยอยจ่ายขั้นต่ำ แบบเดือนชนเดือน

3. ‘คนไม่วางแผนฉุกเฉิน’ ...พอมีอะไรฉุกเฉิน ชีวิตจะจบทันที เพราะ ปกติคนเหล่านี้ จะอยู่แบบเดือนชนเดือน ...แบบเป๊ะๆ พอมีอะไรฉุกเฉินก็ชีวิตพังทันที ...เช่น พ่อแม่ป่วย ลูกเข้าโรงพยาบาล เกิดอุบัติเหตุ รถเสีย ...คนเหล่านี้ก็จะโทษทันที ‘ชีวิตฉันพัง ก็เพราะพ่อนี่แหละ ป่วย’ - จริงๆ มันพัง เราไม่ได้วางแผนฉุกเฉินต่างหาก มัวแต่ใช้เพลิน พอพลาดแล้วโทษคนอื่น ...คนแบบนี้เยอะมาก !!

4. ‘คนไม่ชอบพัฒนาตัวเอง’ ...คนที่ไม่ชอบเรียนเพิ่ม ไม่ชอบอ่านหนังสือเพิ่ม จะเป็นพวกที่ทำงานแบบไหนก็อยู่ที่เดิม 10 ปีผ่าน 20 ปีผ่าน ที่เดิม เงินเดือนแทบไม่ขึ้น ...แน่นอน รายจ่ายมันขึ้นตลอด สุดท้ายก็จะเป็นหนี้หัวโต เพราะ ไม่ชอบพัฒนาความรู้ตัวเอง

5. ‘คนที่ไม่ลงทุน’ ...คนที่แบ่งเงินลงทุน มักจะยิ่งแก่ยิ่งรวย เพราะ การลงทุนในสินทรัพย์ อย่างเช่น หุ้น มันยิ่งถือนาน ปันผล และ มูลค่า มันมีแต่เพิ่ม ...ทำให้นักลงทุนระยะยาว นี่ยิ่งแก่ ยิ่งร่ำรวย ...ตรงข้ามกับคนที่ไม่ลงทุน เก็บเงินสด มันมีแต่มูลค่าลด แทบพอมีเงินสด มันก็อยากจะใช้ สุดท้ายก็หมด แล้วสร้างหนี้ในที่สุด

6. ‘คนที่เพื่อนๆ รัก’ ...พวกนี้ไปทุกงาน เก่งทุกงาน ที่ไม่ใช่งานในหน้าที่ ...พูดง่ายๆ เรื่องหาเงิน ไม่เก่ง ...เก่งทุกเรื่องที่เสียเงิน งานเลี้ยง ปาร์ตี้ เลี้ยงรุ่น อยู่ทุกรุ่น ...ไม่มีหรอกเงินเก็บ มีแต่หนี้ ...ดูดี ใครๆ ก็รัก แต่รวยหนี้ !!

ถ้าใครมี ครบ 6 ข้อ ต่อไปจะรวยครับ ...รวยหนี้

จะมีแต่คนสนใจ ใส่ใจ ...คนทวงหนี้จะ ใส่ใจเรามาก ติดต่อเราแบบไม่ขาดหาย

เปลี่ยนเถอะ !! ...เอา 6 ข้อนิสัยแบบนี้มาปรับเปลี่ยน แล้วชีวิตน่าจะดีขึ้น 

ความสุข เริ่มง่ายๆ ไม่ใช่ที่จ่ายเงิน แต่ความสุข และ ความร่ำรวย มันเริ่มจากเราค้นหาตัวเอง ...ยิ่งรู้จักตัวเองเร็ว ชีวิตจะยิ่งดี ชีวิตชัด เป้าหมายใช่ ไม่ฟุ่มเฟือยเพราะรู้ว่า ความสุขของเราจริงๆ คืออะไร ....สุดท้ายก็รวยและมีความสุข

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 สิ่งที่ต้องสอนเด็กยุคใหม่ ให้เป็นผู้ชนะในอนาคต


7 สิ่งที่ต้องสอนให้เด็กรุ่นใหม่ ให้รุ่งทันโลก

ใครๆ ก็พูดกันว่า AI จะมาแทนแรงงานจำนวนมาก ..แต่สิ่งที่ทำให้เราไม่โดนทดแทน แถมมีโอกาสรุ่งพุ่งแรงในอนาคต โดยงานวิจัยของ Dr. Tony Wagner, co-director of Harvard's Change Leadership Group พบว่า เด็กรุ่นใหม่ต้องเก่งใน 7 เรื่องนี้ 

1. Critical thinking and problem-solving ..คือ คิดเป็น และ แก้ปัญหาได้ ...จากเดิมที่เราสอน ท่องจำ แล้วทำตาม ต้องสอนให้ นักเรียน ฝึกตั้งคำถาม ออกข้อสอบเอง และ แก้ปัญหาจริง 

2. Collaboration across networks and leading by influence ...อันนี้คือ การสอนให้เด็กมีทักษะของการทำงานร่วมกัน ...มันคือ การขยายการเรียนรู้ในเรื่องกิจกรรมนอกห้องเรียน เพราะ กิจกรรมจะสอนการทำงานร่วมกัน และ ฝึกทักษะของการเป็นผู้นำ ...จากเดิม พ่อแม่จะคิดว่า ให้ลูกตั้งใจเรียนอย่างเดียว ซึ่งยุคนี้ กิจกรรมนอกห้องเรียน สำคัญต่อการไปทำงานให้รุ่งมากกว่า

3. Agility and adaptability ...อันนี้คือ การสามารถรับมือกับข้อผิดพลาด เรียนรู้แล้วเดินต่อ ...พ่อแม่ยุคก่อนจะเลี้ยงลูกแบบไข่ในหิน ไม่ให้โอกาสให้ลูกกล้าทำอะไร เพราะถ้าไม่เชื่อฟัง แล้วพลาดก็จะถูกลงโทษซ้ำเข้าไปอีก ...ทำให้เด็กไทยกลัว ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ไม่กล้าลองผิดลองถูก ...ซึ่งการกล้าลองผิดลองถูก ไม่กลัวล้ม แล้วเรียนรู้จากประสบการณ์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่สร้างให้เป็นคนเก่งที่โลกยุคใหม่ต้องการ

4. Initiative and entrepreneurialism ...คิดแบบผู้ประกอบการ สำคัญมากในยุคนี้ เพราะ บริษัทหรือนายจ้าง ยังเอาตัวเองไม่รอด ...แต่ปัญหาคือ เรายังติดระบบการศึกษาที่สร้างลูกจ้าง ไม่ได้สร้างนายจ้าง

ลูกจ้าง คือ เด็กที่ทำข้อสอบเก่ง แล้วไม่มีผิดพลาด แล้วก็ต้องทำคนเดียว ต้อง One Man Show

แต่ผู้ประกอบการ ต้อง ตั้งโจทย์เอง ข้อสอบคือชีวิตจริง ..ลอกข้อสอบคนอื่นก็ได้ ร่วมมือกับคู่แข่งก็ได้ เขาเรียก Team Work 

ถ้าโรงเรียนจะสอน ผู้ประกอบการ ต้องเปลี่ยนอาจารย์เป็นแค่โค๊ช ...ไม่สอน แต่คอยประคอง ...นักเรียน เหมือน นักฟุตบอล ...ที่ต้องชนะใจแฟนบอล และ ทำประตูให้ได้ด้วย

พูดง่ายๆ เราควรสอนเด็กให้ฝึกเป็น Star ไม่ใช่สอนเด็กให้เป็น Product เป็นแค่สินค้าเหมือนในปัจจุบัน

 5. Effective oral and written communication ...ต้องสอน พูด และ เขียน ให้เก่ง ...ทักษะนี้คือ ‘การสื่อสาร’ นั่นเอง ...จะมีประโยชน์อะไรถ้าคุณคิดเก่ง แต่สื่อสารไม่เป็น

เด็กต้องจับขึ้นเวที ผลัดกันพูด เป็นวิชาบังคับ ...เรื่องการพูด ไม่มีพรสวรรค์หรอก อันนี้ผมรู้ดี เพราะ เจอกับตัวเอง ...สมัยเด็กผมกลัวเวที ไม่กล้าพูด ...แต่วันนี้มีอาชีพเป็นนักพูด ...ไม่ได้มาจากพรสวรรค์เลย มันมาจากงานผม มันบังคับให้พูด ค่อยๆ ฝึก จากเวทีเล็ก จนใหญ่ขึ้นไป 

เรื่องนี้ ถ้าผมทำได้ บอกตรงๆ มันคือทักษะที่ฝึก ฝึก และ ฝึก ...ใครก็ทำได้ ฝึก ฝึก !!

6. Accessing and analysing information ...ทักษะการเลือกข้อมูลที่จำเป็น ...สมัยก่อน คนเก่งคือ อ่านเยอะ มีข้อมูล แต่ยุคนี้ ทุกคนมีข้อมูลมากเกินไป ...ข้อมูลมันอยู่บนอินเทอร์เน็ตอยู่แล้ว 

เด็กยุคนี้ต้องฝึกเป็น Curator คือ ความสามารถในการเลือกข้อมูลที่จำเป็น 

You are what you eat เช่นกัน ข้อมูล ถ้าเสพแต่สิ่งเน่า เราก็เน่า ...เลือกเสพข้อมูล ...โลกวันนี้น้ำเน่ามาก เพราะ ทักษะการเลือกเสพข้อมูลเรายังไม่เก่ง ตรงนี้แหละ ที่ต้องพัฒนาคนรุ่นใหม่

7. Curiosity and imagination ...พัฒนาความอยากรู้ และ กล้าฝัน ...อันนี้ตรงข้ามกับเด็กไทยเป็นที่สุด ...เด็กเราไม่กล้าถาม เพราะ สังคมเราบีบว่า ถ้าใครยกมือถาม มันดูเสร่อ ..ถ้าถามอาจดูโง่ ...เลยโง่จริงๆ เพราะ ไม่ได้ถาม

‘อย่าเพ้อฝัน’ ไปทำการบ้าน ....อันนี้ทำให้เด็กเรา เป็นลูกจ้างที่เก่ง แต่ไม่เป็นนายจ้างที่ดี ...อย่าว่าแต่ไปถึงขั้นนายจ้างเลย ขั้นแรก พัฒนาจากแนวคิดลูกจ้าง ให้มาเป็นแนวคิดนายตัวเอง ก็ยังยากเพราะ ทักษะการตั้งโจทย์ ความอยากรู้ และ การกล้าฝัน นี่แหละ ที่ต้องฝึกฝน

ก็ลองไปปรับใช้กับลูก กับ เยาวชน ของเราดูกันครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

https://www.weforum.org/agenda/2017/09/skills-children-need-work-future

วันพฤหัสบดีที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2561

บทเรียนธุรกิจจาก Terry Gou


บทเรียนจาก Terry Gou เศรษฐีที่สร้างตัวจากมือเปล่าที่รวยที่สุดในไต้หวัน

Gou เป็นผู้ก่อตั้ง Foxxconn โรงงานที่รับ Outsource ที่ใหญ่ที่สุดในโลก มีโรงงานอยู่ทั่วโลก และเป็นคนผลิตเบื้องหลัง iPhone ...แต่ใครจะรู้ว่า จุดเริ่มต้น คือ โรงรถเล็กๆ ที่เริ่มผลิตสินค้าอิเล็กทรอนิกส์ให้กับ Brand ต่าง ด้วยเงินเริ่มต้นน้อยมาก

สิ่งที่เราสามารถเรียนรู้จาก Gou ก็คือ 

1. ‘การไม่มี Brand เอง ทำให้เขาผลิตให้ทุก Brand’ ...ไม่ว่า โทรศัพท์ยี่ห้อไหนจะขายดี เขาก็รวย เพราะ เขาอยู่เบื้องหลังการผลิตให้ทุกคน

2. ‘การ Focus ในการผลิต ทำให้เขาสามารถผลิตได้ถูกที่สุด’ ..พูดง่าย เขาสามารถผลิต iPhone ได้ถูกกว่าและดีกว่า บริษัท Apple ผลิตเอง ...เพราะเขาทุ่มสร้างความได้เปรียบในสิ่งที่เขาเก่ง นั่นคือการผลิตให้ดี และถูก ...ทำให้ Brand ต่างๆ เลือกจ้าง Gou ดีกว่าผลิตเอง

3. ‘การผลิตไม่ได้เปลี่ยนแปลงเร็ว เหมือนอย่างอื่น ทำให้เขาทำเงินได้อย่างยาวนาน’ ...การจะเริ่มสร้างโรงงาน มันมีต้นทุนที่สูง มันจึงไม่ง่ายที่คู่แข่ง จะสามารถมาทดแทนได้โดยง่าย ทำให้กว่าจะมีคู่แข่ง เขาก็ทำกำไรไปจนคุ้มทุนแล้ว 

4. ‘ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่อยากทำ’ ...ทุกวันนี้ไม่มีใครอยากผลิต เพราะ ทั้งลงทุนสูง แล้วเสี่ยง ...ทำให้เขารักษาจุดที่เขาอยู่ได้อย่างยาวนาน

5. ‘ใช้ความได้เปรียบจากขนาด และความเร็ว’ ...หัวใจของความสำเร็จของ Gou คือ การขยายตัวอย่างรวดเร็ว ...ยิ่งขยายเร็ว ยิ่งทำให้คู่แข่งไม่สามารถตามได้ทัน

ด้วยกลยุทธ์ที่ Gou เลือก ทำให้เขากลายเป็นบริษัทที่โตเร็ว และ รวยที่สุดในไต้หวัน

วันนี้เทคโนโลยียิ่งเปลี่ยนเร็วมากขึ้น ...บางส่วนไปในจุดที่ไม่ต้องผลิตแล้ว อย่าง Cloud หรือ Software as a Service แต่อย่างน้อย Gou ก็ประสบความสำเร็จอย่างมหาศาล ในการเลือกเติบโต ในจุดที่เขาถนัด 

ผมเชื่อว่า นี่ก็เป็นอีกหนึ่งบทเรียนที่เป็นกรณีศึกษาว่า คนที่สำเร็จ อาจไม่จำเป็นต้องคิดสิ่งใหม่ ...ขอให้เข้าใจจุดแข็งของตัวเอง แล้วโตจากจุดนั้นก็เพียงพอให้สำเร็จแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2561

3 ข้อความรู้ ในการจ้างกบฏทำธุรกิจ

3 ข้อควรรู้ ในการจ้างกบฏทำธุรกิจ

งานวิจัยของ Harvard โดย Francesca Gino ผู้เขียนหนังสือ Rebel Talent พบว่า การจ้างคนที่มีแนวคิดของกบฏ ...แต่เดี๋ยว!! นี่ไม่ใช่กบฏทางการเมืองนะ แต่เป็น กบฏทางธุรกิจ

คนลักษณะนี้จะเป็นคนที่คิดแตกต่าง และ มีจุดยืนที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ 

...ซึ่งความคิดที่แตกต่างมันเกิดจากการชอบศึกษาและเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา ประกอบกับการปรับเอาแนวคิดใหม่ๆ มาปรับปรุงวิธีคิด และ วิธีดำเนินชีวิตของตัวเองตลอดเวลา

คนที่มีแนวคิดกบฏทางธุรกิจ คือ คนที่ไม่คิดเหมือนคนทั่วไป ซึ่งมีลักษณะ 5 ประการดังนี้

1. novelty คือ ชอบทำสิ่งใหม่ ..ชอบเป็นคนริเริ่ม และ ชอบทำอะไรแตกต่าง

2. curiosity คือ เป็นคนขี้สงสัย และ มักตั้งคำถามกับทุกๆ สิ่งที่ทำ ..ทำเพื่ออะไร / ทำแล้วได้อะไร แล้ว ทำไมทุกคนถึงทำแบบนี้ ?

3. perspective คือ คนที่ชอบมองรอบด้าน ในทุกสิ่งที่ทำ 

4. diversity คือ มีความหลากหลายและยืดหยุ่น ...ถ้าเคยคิดผิด ก็พร้อมปรับเปลี่ยนความคิดได้ เมื่อมีข้อมูลใหม่ที่ถูกต้องกว่า 

5. authenticity คือ คนที่มีความน่าเชื่อถือ มีเหตุผล และ ที่มาที่ไปอย่างชัดเจน 

คนที่มี 5 ลักษณะนี้ จะเป็นคนที่ชอบเรียนรู้ เปิดกว้างกับความคิดใหม่ พร้อมที่จะเรียนรู้ และ ปรับเปลี่ยนมุมมองตลอดเวลา 

แต่ปัญหาของคนเหล่านี้ คือ คุมยาก เพราะ เขามีความคิดของตัวเอง , ชอบท้าทายและ สร้างปัญหา ถ้าอยู่ท่ามกลางความคิดแบบดังเดิม

ซึ่งมี 3 หลักการที่ เจ้านาย สามารถหาคนลักษณะแบบนี้มาทำงานด้วย เพื่อให้องค์กรสามารถเติบโตอย่างก้าวกระโดด มีดังนี้

1. ‘เปิดเวทีให้ลูกน้องกล้าเสนอความคิด’ ...องค์กรเก่าๆ มักปิด ไม่ยอมรับความคิดใหม่ เพราะ มันง่ายกว่าที่จะทำสิ่งเดิมที่เคยทำได้ดี ...แต่ปัญหาของการทำแต่สิ่งเดิมที่คิดว่าดี คือ การไม่เติบโต 

สุดท้ายองค์กรจะขาด S-Curve หรือ ปัจจัยที่จะพาให้ธุรกิจเติบโตต่อไป

หัวหน้าที่ดี ต้องเปิดเวทีแสดงความคิด 

2. ‘ท้าทายด้วยโจทย์ที่ยาก’ ...ถ้าต้องการความคิดใหม่ๆ ต้องตั้งโจทย์ที่คนทั่วไปคิดว่า เป็นไปไม่ได้

ยิ่งโจทย์นั้น เป็นการทำสิ่งที่คนในอุตสาหกรรมไม่เคยคิด หรือ คิดว่าทำไม ยิ่งท้าทายให้คนเหล่านี้แสดงฝีมือ

- ขายของให้แพง แต่ลดต้นทุน ทำได้ไหม 
- ถ้าไม่ทำธุรกิจที่ทำ จะทำอะไรให้ลูกค้าที่เรามี
- สมมุติเราเป็นโรงงานผลิต ..ถ้าเราไม่ผลิตเอง เราจะทำอะไร
- ถ้าเราเป็นสื่อ แต่ไม่หาเงินจากโฆษณาจะหาเงินจากอะไร
- อุตสาหกรรมที่เราทำเล็กลง แต่เราจะโต 2 เท่าอย่างไร

เราอาจคิดไม่ออก ไม่เป็นไร ...แต่ถ้าลูกน้องคนไหนกล้าตอบ กล้าเสนอ ..คนนั้นไม่ธรรมดา

3. ‘ต้องออกแบบที่ทำงาน ให้คนคิดต่างทำงานร่วมกัน’ 

นักคิดเจอนักทำ ..ทำงานกับคนที่คิดไม่เหมือนกัน ...แต่สามารถทำงานร่วมกัน

ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง ต้องเริ่มจากการทำสิ่งที่ไม่เหมือนเดิม กล้ารับมุมมองใหม่ คนที่ท้าทาย แล้ว เอาความแตกต่างนั้นมาร่วมกันสร้างสิ่งใหม่

‘เงินอาจเป็นส่วนนึงที่ดึงดูดคนรุ่นใหม่ แต่สิ่งที่ดึงดูดมากกว่าเงินคือ โอกาสให้คนรุ่นใหม่ได้แสดงความคิดและทดลองสิ่งใหม่ๆ ที่เขาคิด’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


https://www.inc.com/peter-cohan/this-harvard-professor-says-hiring-rebels-will-grow-your-company-and-make-your-life-better.html?cid=sf01002

วันอังคารที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2561

9 เรื่องที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องใส่ใจปรับตัว




9 เรื่องที่นักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องใส่ใจปรับตัว

‘บทเรียนธุรกิจแบบคนรุ่นใหม่ จาก Netflix’

ก่อนหน้านี้ เราจะได้ยินแต่ข่าวดีของ Netflix ว่า ‘ผูกขาดในเรื่องของหนัง จะมาแทนโรงหนัง และ เคเบิลทีวี อะไรต่างๆ นานา’ ...แต่วันนี้ภาพเริ่มเปลี่ยนไป เมื่อคู่แข่งเริ่มปรับตัว

ไม่ว่าจะเป็น Disney หรือ Amazon และ คู่แข่งด้าน content รายอื่นๆ ที่เริ่มมาทำ Subscribes Service แบบ ‘เหมาจ่าย’ เหมือน Netflix 

บทเรียนที่เราสามารถเอามาเป็นกรณีศึกษาในการทำธุรกิจในโลกยุคใหม่มีดังนี้

1. ‘ขาขึ้น ทุกคนจะมองแต่ข้อดี คนทำธุรกิจต้องระมัดระวัง’ ...เพราะ เมื่อขาขึ้นจบ คนทำธุรกิจต้องบริหารขาลงดีๆ มิเช่นนั้น ธุรกิจอาจเสียหาย หรือ ล้มละลายได้

2. ‘ต้องเตรียมกระสุน ในเวลาที่ทุกอย่างดูดี’ ...ความพลาดของนักธุรกิจในเวลาที่ทุกอย่างดี คือ ลืมเตรียมตัว เช่น ถ้าเป็นสินทรัพย์เวลาขาขึ้น เจ้าของอาจต้องขายทำกำไรบางส่วนเพื่อเตรียมกระสุนเอาไว้บ้าง

3. ‘ผูกขาดตลาด ไม่มีอยู่จริงในการทำธุรกิจ’ ..โดยเฉพาะโลกยุคนี้ ที่การเริ่มธุรกิจทำได้ง่ายด้วยต้นทุนไม่สูง และความเสียหายจำกัดถึงแม้ผิดพลาด ...ดังนั้น ถ้าอะไรดี ให้เตรียมใจว่า เดี๋ยวคู่แข่งจะตามมาจำนวนมากในเวลาอันรวดเร็ว

4. ‘การทบทวน จุดแข็งของธุรกิจ ต้องทำเป็นประจำ’ ...ธุรกิจบางครั้งขาดทุนในระยะสั้น ก็ไม่เป็นไร แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ เราต้องรักษาจุดแข็ง และ จุดขายให้ชัดเจน เพราะ มันคือสิ่งเดียวที่ทำให้ธุรกิจยั่งยืน

5. ‘ถ้าจะ Disrupt หรือลงทุน ต้องทำในขาขึ้น’ ...การจะ Disrupt หรือ ฆ่าสิ่งที่ไม่ใช่แก่นธุรกิจ ทำง่ายเวลาขาขึ้น แต่จะทำยากมากเมื่อธุรกิจเริ่มมีปัญหาหรือขาดทุน ....พูดง่ายๆ นักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้อง Disrupt ตัวเอง หรือ ฆ่าตัวเอง ในเวลาที่ธุรกิจกำลังขาขึ้น

6. ‘เส้นแบ่งอุตสาหกรรม มันไม่มีอีกต่อไป’ ...คู่แข่งธุรกิจเรา จะมาจากอุตสาหกรรมอะไรก็ได้ ..ยกตัวอย่าง Amazon วันนี้ก็มาทำ Content แข่งกับ Netflix มันชี้ให้เห็นเลยว่า อย่าจำกัดตัวเองว่าเราอยู่ในอุตสาหกรรมอะไร เพราะ จะเป็นการจำกัดโอกาส

7. ‘ไม่มีอะไรที่ดีตลอด หรือแย่ตลอด’ ...นักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องเข้าใจ Cycle ของธุรกิจ และ บริหารธุรกิจให้ตรงกับ Cycle

8. ‘ให้มองที่ลูกค้า เป็นหลัก’ ...โอกาสของธุรกิจ อยู่ที่การตอบสนองความต้องการโดยเอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง ต้องหมั่นตรวจสอบตัวเองตลอดว่า สิ่งที่เราทำมันตอบโจทย์ลูกค้าใช่หรือไม่

9. ‘พยายามลดต้นทุนการทำธุรกิจตลอดเวลา’ ...ยิ่งเทคโนโลยีเปลี่ยนเร็ว ก็แปลว่า ต้นทุนการเริ่มธุรกิจมันต่ำลงเรื่อยๆ ...ดังนั้นถ้าเราทำธุรกิจแล้วต้นทุนสูงขึ้น แปลว่า เราใช้เทคโนโลยีไม่ดีพอ ...ต้นทุนจะต่ำลง เมื่อเราทันกับการใช้เทคโนโลยีใหม่ๆ 

สรุปแล้ว คนทำธุรกิจยุคนี้ ต้องปรับตัวให้เร็ว ใช้เทคโนโลยีให้ตัวเองได้ประโยชน์ 

ก็เอาใจช่วยคนทำธุรกิจยุคนี้ครับ ...ลุยกันต่อไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

http://on.forbes.com/6180EHKQr

วันจันทร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2561

10 ข้อควรรู้ ก่อนลาออกไปรวย

10 ข้อควรรู้ ก่อนลาออก ไปรวย

คำพูดที่เคยฮิตอย่าง ‘ลาออกซะ ถ้าอยากรวย’ เริ่มเงียบไปแล้ว เพราะ วันนี้ ‘โดนไล่ออก กันมากกว่า’

Lay Off นุ่น !! ...ลดคนงานที่นี่ !! ...ใบปริญญาไม่สำคัญ !! ...เฮ้ย !! เอาไงต่อดี 

ผมรวบรวมสิ่งที่คุณต้องมี ก่อนที่จะ ลาออก มาให้พิจารณากัน

1. ‘อิสรภาพทางการเงิน’ ...อันนี้ไม่ใช่เรื่องไกลตัว ผมกำลังพูดถึง รายได้ประจำจากการลงทุน ให้สูงกว่า ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ ...Trick การ Shortcut คือ กด ‘ค่าใช้จ่ายให้ต่ำ’ พอเราทำได้ กำลังใจจะมา พลังจะพุ่ง แล้วค่อยขยับเป้าค่าใช้จ่ายให้สูงขึ้น 

(เทคนิคคือ ต้องตั้งเป้าจากสิ่งที่เป็นไปได้ เช่น หาปันผลจากการลงทุน ให้เกินค่าใช้จ่ายประจำ หลักพัน ...พอถึง แล้วค่อยๆ ขยับ)

2. ‘มีงานอดิเรก ที่ทำเงิน’ ...ถ้ามีแต่งานอดิเรกที่เสียเงิน ได้โปรดคิดดีๆ ก่อนลาออก เพราะ ถึงคุณมีเงินก้อนมากแค่ไหน ...งานอดิเรกเสียเงินที่มี มันจะสูบจนเลือกคุณหมดตัว ..มาแล้ว !! แก๊งค์ รถสปอร์ต เงินผ่อน เจอ แก๊งค์รถสปร์ตเงินพ่อ ...อย่าเลย!! 

3. ‘มีความสุขในแบบของตัวเอง’ ...ถ้าความสุขคุณเป็นแบบมหาชน คือ กินหรู เที่ยวแพง ใส่ของนำแฟชั่น ...อย่าเพิ่งลาออก เพราะ Lifestyle แบบมหาชน ทำคนรวยเป็นยาจกมาเยอะแล้ว ...ให้รอ จนกว่า เราจะเบื่อกับชีวิตไฮโซ ...เชื่อเถอะ วันนึงเราทุกคนก็จะพบว่า ‘ทำไม ต้องใช้ชีวิตเพื่อโชว์คนอื่น’ - เมื่อวันนั้นมาถึง ก็ค่อยถึงเวลาที่เราพร้อม !! (คือ มีวุฒิภาวะทางการใช้เงิน)

4. ‘มีสิ่งที่อยากเรียนรู้เพิ่มเติม’ ...หนึ่งในความสุขของชีวิตคือ การเติบโต ...ถ้าเราเลือกที่จะหยุดทำงาน เราต้องพร้อมจะหาสิ่งอื่นมาเติบโต ...ซึ่งการเติบโตที่สร้างความภูมิใจให้เรามากที่สุดอย่างนึง คือ การเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 

5. ‘มีเพื่อนที่มีสถานะคล้ายๆ กัน’ ....การที่เราสำเร็จคนเดียว มาแบบกรูคนเดียว ..มันเหงาครับ ...การทำธุรกิจมันเลยต้องมีเพื่อนร่วมอุดมการณ์ ...ถ้าเรากำลังจะสำเร็จโดยเหยียบหัวใครก็ได้ ให้รู้ว่า มันกำลังไปผิดทาง แก้ไขด่วนครับ

6. ‘มีแผนออกกำลังกายอย่างจริงจัง’ ...สิ่งที่ยิ่งแก่ ยิ่งสำคัญ ..สำคัญยิ่งกว่าเงิน คือ สุขภาพ ...ถ้าใครไม่เคยออกกำลังกาย ให้ลองดู ...คนเราสามารถเลือกออกกำลังกายได้ 2 แบบ แบบแรก เรียกออกกำลังกายเอง ..แบบที่สอง มีคนช่วยออกกำลังกาย เขาเรียกว่า ‘กายภาพบำบัด’

7. ‘มีกลุ่มคนที่คุณอยากให้และรับ’ ...Give & Take คือ หลักการใช้ชีวิตอย่างอิสระในโลกยุคนี้ ...เราสามารถทำงานอะไรก็ได้ อยู่ที่ไหนก็ได้ ตราบเท่าที่ เรามีกลุ่มคนที่เรา ให้และรับ แลกเปลี่ยน สื่อสารกับเราอย่างต่อเนื่อง ...ก็เพราะ เราทุกคน อยากมีคุณค่า ตลอดเวลาที่เรายังมีชีวิตอยู่ 

8. ‘เราอยากที่จะมอบอะไรบางอย่างให้กับโลกใบนี้’ ...การลาออกไปอยู่บ้านเฉยๆ มันเป็นหนึ่งในสิ่งที่ทำให้คนเราจิตตกมากที่สุดอย่างนึงเลย ...ต้องตั้งเป้าหมายที่ทรงคุณค่า 

9. ‘อย่าลาออก ถ้าเราขายไม่เป็น’ ...ทักษะการขาย เป็นทักษะที่สำคัญที่สุดของผู้ประกอบการ ...ถ้าไม่ขายสินค้า อย่างน้อยก็ต้องขายตัวเอง นำเสนอความคิด ...การฝึกการขายที่ดี เริ่มจาก การใส่ใจคนรอบข้าง แล้วลองแนะนำ สิ่งที่ดี สิ่งที่แก้ปัญหา นั่นแหละจุดเริ่มต้นของคนที่มีทักษะการขายที่เก่ง

10. ‘สินทรัพย์ ต้องมีมากกว่า รายจ่ายฉุกเฉิน’ ...ปันผล ควรมากกว่า ค่าใช้จ่ายขั้นต่ำ ...ส่วน สินทรัพย์ ซึ่งเป็นสิ่งที่จะมีมูลค่าเติบโตไปพร้อมกับเวลา ต้องสะสม ให้ครอบคลุม ค่าใช้จ่ายฉุกเฉิน

‘เงินสด’ สำคัญ แค่ระยะสั้น
‘สินทรัพย์’ สำคัญในระยะยาว ต้องสะสม
‘สินทรัพย์ที่สร้างเงินปันผล’ ต้องทยอยเก็บ ถ้าอยากมีอิสรภาพทางการเงิน

...ความเข้าใจ ที่ถูกต้อง ทั้งการเงิน และ การใช้ชีวิต จะเป็นตัวกำหนด ความสำเร็จ และ ความสุข ของแต่ละบุคคล

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

แล้วก็ถึงวันที่ Process สำคัญกว่า Product

“อะไรคือ Process สำคัญกว่า Product ..มันคืออะไร”

ในอดีตใครคิดสินค้าแล้วขายดี ก็จะร่ำรวย กินยาวๆ เช่น Gillette คิดมีดโกนแบบปลอดภัยได้ ก็กินยาว รวยนาน ...แต่เดี๋ยวนี้มันไม่ง่ายแบบนั้น ลองใครทำอะไรแล้วดีในยุคนี้ รออีกไม่กี่วัน ก็จะมีคนทำมาแข่ง 

ไม่ใช่แข่งธรรมดา ตัดราคาด้วย ...เอาให้ตายกันไปข้างนึง

นอกจากนี้ ของเลียนแบบยุคใหม่ เขาไม่ใช่แค่ก๊อปปี้เฉยๆ ..เขาต่อยอดให้ดีกว่าเดิม ..เราก็เห็นกันอยู่ว่า เซิ่นเจิ้น Miracle คืออะไร ?

นักคิด นักธุรกิจรุ่นใหม่ เลยลดความสำคัญต่อ Product ลง แล้วมาใส่ใจที่ Process แทน 

ยกตัวอย่าง ร้านหนังสือ Barn & Nobles เป็นร้านหนังสือยักษ์ใหญ่ในอดีต ที่เก่งในเรื่อง Product มากก็คือ ขายหนังสือ ...ในขณะที่คู่แข่ง Amazon สนใจในเรื่อง Process คือ ใส่ใจขบวนการ มากกว่า สินค้า 

วันนี้ Barn & Nobles ล้มละลายไปแล้วเพราะ คนไม่ซื้อหนังสือ ในขณะที่ Amazon ผันตัวจากร้านหนังสือออนไลน์เล็กๆ กลายเป็น Everything Store คือ ขายทุกอย่างที่คนอยากซื้อ

สิ่งที่เราเรียนรู้ มีดังนี้

1. ‘การใส่ใจที่ Process จะให้โจทย์ที่แตกต่าง’ ...ถ้าขายสินค้าคือ เรา Push ให้คนซื้อ ...แต่ Amazon ใช้การ Pull คือ สนองตอบความต้องการลูกค้าแทน ...โจทย์ตรงข้ามกันเลย

2. ‘สินค้าเกิดดับรวดเร็ว แต่ Process ยังดำเนินต่อไป’ ..การหาสินค้าที่คนต้องการ ส่งถึงมือลูกค้าให้เร็ว ในราคาที่ถูกที่สุด คือ Process ที่ทำให้ Amazon กลายเป็นร้านขายของที่โตเร็วที่สุดในโลก 

3. ‘การสร้างคน ที่เก่งใน Process สามารถปรับเปลี่ยนต่อตลาดที่รวดเร็วได้’ ...ไปรษณีย์ไทย เป็นหนึ่งในรัฐวิสาหกิจที่ทำกำไรสูงสุดและเติบโต ไม่ใช่เพราะเขามีเทคโนโลยีทันสมัยที่สุด แต่เพราะเขาทำธุรกิจที่ Process ตอบสนองความต้องการของคนยุคนี้ต่างหาก ...รถไฟฟ้า ตอบโจทย์ดีกว่า รถเมล์ เพราะ ตรงเวลากว่า ...Low Cost Airline ตอบโจทย์ดีกว่า รถทัวร์ 

4. ‘อย่าไปถามว่าลูกค้าต้องการอะไร แต่ให้ใส่ใจแล้วสังเกต’ ....รถยนต์จะไม่ถูกคิดค้น ถ้าเราไปถามคนใช้ เพราะ ทุกคนในสมัยนั้น อยากได้ รถม้าที่เร็วขึ้น ...Smartphone จะไม่เกิดขึ้น ถ้า Steve Jobs ไม่สร้าง iPhone ..คนไม่ได้ต้องการโทรศัพท์รุ่นใหม่ ...คนแค่ต้องการ คอมพิวเตอร์ ที่ใช้งานติดต่อสื่อสาร และทำงานง่าย ในราคาที่จ่ายได้ต่างหาก

5. ‘ต่อไปจะไม่มีเส้นแบ่งอุตสาหกรรม จะไม่มีเส้นแบ่งธุรกิจ’ ....แล้ววันนึง 7-11 ก็มาทำธุรกิจที่บ้านคุณทำ ...เฮ้ย!! รู้แล้ว แค่ไม่รู้ว่า จะหนีไปทำอะไรดีต่างหาก !!

6. ‘ให้เริ่มที่ปัญหา และ ความต้องการของคน’ 

7. ‘ธุรกิจที่เป็นของเรา คือ สิ่งที่เราทำได้ หนึ่ง ดีกว่าคนอื่น ..สอง ทำได้ด้วยต้นทุนที่ต่ำกว่าคนอื่น ...สาม ทำได้เร็วกว่าคนอื่น’ ...แล้วมันจะสุดยอดมากๆ ถ้าเรา ทำธุรกิจที่ดีกว่า ด้วยต้นทุนถูกกว่า ในเวลาที่เร็วกว่า แล้วเราสามารถขายมันได้แพงกว่าคนอื่น ...ใช่!! ผมกำลังพูดถึง ธุรกิจที่โตเป็นระดับโลก เขาเลือกเส้นทางนี้ทั้งสิ้น ...ถ้าวันนี้คุณมองว่า สินค้าจีนคือ ของถูก ...ลองซื้อ โทรศัพท์มือถือจีนดู ...แทบไม่เชื่อว่า วันนี้ใครๆ ก็ยอมจ่ายเงินหลักหมื่นซื้อมือถือจีน 

สรุป ...ให้ลองมาทบทวน งานที่เราทำ ธุรกิจที่เราอยู่ ว่าเรากำลังเดินไปในทิศทางที่ถูกต้องหรือไม่ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่องน่าเรียนรู้จาก Cryptocurrency


‘เราเรียนรู้อะไรจาก Cryptocurrency กันบ้าง ?’

ปีที่แล้ว Bitcoin ขึ้นไปแตะ 20,000 เหรียญ วันนี้ราคาลงจากยอดดอยกว่า 80% ...ใครที่ซื้อตอนที่ทุกคนเชียร์กัน ก็คงเสียหายกันไปพอสมควร 

มาดูกันว่า เราได้บทเรียนอะไรกันบ้าง

1. ‘ไม่มีอะไรขึ้น แบบไม่มีวันลง’ ..ขึ้นแรง ย่อมลงแรง 

2. ‘ถ้าเวลาซื้อเรามีความสุข ..เวลาถือเราจะค่อยๆ ทุกข์’ (ฮ่า ฮ่า ..ตลกทั้งน้ำตา)

3. ‘ถ้าริจะเก็งกำไรในสินทรัพย์ ให้เข้าใจพื้นฐานของมูลค่าที่แท้จริง’ ...ถ้าอสังหา ต้องอิง ค่าเช่า , ถ้าหุ้น ต้องอิงปันผล , ถ้า Bitcoin ไม่มีอะไรอ้างอิง มันอิง อารมณ์คนเก็งกำไร ให้อิง Demand / Supply ของคนต้องการซื้อขาย 

4. ‘สรุป Bitcoin ไม่สามารถมาแทนเงินได้’ ...เป็นแค่สินทรัพย์ทางเลือก จะว่าคล้ายๆ ทองคำดิจิตอล ก็ได้ 

5. ‘เงิน คือ อะไรก็ได้ที่คนส่วนใหญ่ พร้อมที่จะขายทุกอย่างเพื่อแลกกับสิ่งนั้น’ ...ดอลลาร์ ยัง คงเป็นสิ่งที่มีนิยามใกล้เคียง คำว่า เงิน มากที่สุด

6. ‘ใครทำธุรกิจขาขึ้น ต้องเตรียมรับขาลงด้วย’ ...จริงๆ ง่ายกว่า ถ้าเริ่มธุรกิจตั้งแต่ขาลง ..ทำๆ ไป แล้วไปเก่ง ตอนขาขึ้นพอดี (นี่ !! คิดต่าง)

7. ‘สินทรัพย์ กับ เงิน ไม่ใช่สิ่งเดียวกัน’ ...สินทรัพย์ คือ สิ่งที่ถือยาวๆ แล้วดี แต่ผันผวนในระยะสั้น ...เงิน คือ สิ่งที่ถือยาวๆ ไม่ดี แต่ดีในระยะสั้นๆ (วันนี้ดอกเบี้ยพันธบัตรอเมริกา เลยเกิด Inverted Yield)

8. ‘Cryptocurrency จะไม่ตาย ฟันธง!!’ ...มันจะกลับมาใหม่ เมื่อคนส่วนใหญ่ที่ถือตายไปก่อน ...ใช่!! มันคล้ายหุ้นมากๆ ...หุ้นจะลงจนกว่า คนส่วนใหญ่ที่ถือหุ้นตัวนั้นเจ๊งก่อน มันจึงจะกลับมา

9. ‘ถ้าคุณยังหวังว่า สิ่งนั้นควรหยุดลงได้แล้ว ราคาต้องกลับมาได้แล้ว ...มันจะลงต่อครับ!!” ...ราคาสินทรัพย์จะปรับตัวจากขาลง เป็นขาขึ้น คนส่วนใหญ่ที่ถือต้องเจ๊ง และนี่คือ กฏ!! - ถ้าคุณเจ๊ง แล้วเลิก ขาขึ้นครั้งใหม่ ครั้งใหญ่ ก็จะกลับมา ...(คนเล่นหุ้นจะเข้าใจดี)

10. ‘ถ้าทุกอย่างมันเป็นไปตามที่เราคิด โลกนี้คงเต็มไปด้วยเศรษฐีพันล้าน’ ...ก็ความจริง ทุกอย่าง มันมักจะเกิดตรงข้ามกับสิ่งที่เราคิด 

‘เมื่อเราคิด เราก็จะลงทุน และ ใช้ชีวิตตรงข้าม’ 

- เพราะ มันดูง่าย มันเลยยาก

- เพราะ เคยลำบาก วันนี้จึงดี

- เพราะ โลภ จึง ล้มละลาย

- เพราะ เอาแต่สบาย ชีวิตเลยลำบาก

‘คิดยาว คิดไกล’ ...คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ มันก็เลยดี

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


https://www.bloomberg.com/news/articles/2018-12-06/crypto-market-crash-is-causing-startups-to-shutter-operations?cmpid=socialflow-facebook-business&utm_campaign=socialflow-organic&utm_medium=social&utm_content=business&utm_source=facebook

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ