แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 26 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เข้าใจเงินเฟ้อ แบบง่ายๆ



‘รู้จักกับ เงินเฟ้อ’ 


ผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่รู้จักคำว่าเงินเฟ้อ ..แต่ไม่เข้าใจมัน !!


รู้จักคือ ‘ใครๆ ก็รู้ว่า เงินเฟ้อก็คือ เงินมันจะลดมูลค่าเมื่อเราถือไว้เฉยๆ ...เช่น เงิน 1 ร้อยบาท ในอดีตกินข้าวได้มื้อใหญ่ แต่ 1 ร้อยบาท วันนี้ กินได้แค่ก๋วยเตี๋ยว หรือ ข้าวแกง’


แล้วไงล่ะ ?


นี่แหละ ไอ้คำถาม ‘แล้วไงล่ะ ?’ มันเกิดจาก คนที่รู้จักเงินเฟ้อ แต่ไม่เข้าใจมัน


สิ่งที่ควรเข้าใจมีดังนี้


1. ‘เงิน เป็นสินค้าชนิดหนึ่ง’ ...ต้องเข้าใจก่อนว่า เงิน ของทุกประเทศ ก็เหมือนสินค้าชนิดหนึ่ง ..ประเทศที่เงินแพงๆ ก็เพราะ คนในโลกต้องการเงินเขา เช่น ดอลลาร์ ใครๆ ก็ต้องการ ยิ่งคุณอยู่ในประเทศที่รัฐบาลไม่มั่นคง คุณก็จะไม่อยากได้เงินของตัวเอง อยากได้ดอลลาร์แทน 


(ลองนึกภาพ นักธุรกิจในประเทศที่การเมืองไม่นิ่ง ถ้าเขาขายของ เขาก็อยากรับเป็นดอลลาร์ แล้วก็อยากเอาเงินที่ได้ ไปฝากไว้ต่างประเทศ เช่น ที่สวิส , สิงคโปร์ , ฮ่องกง ...)


วันนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้น พอเราเห็นปัญหา ค่าเงิน ในประเทศ เช่น เวเนซุเอลา , ตุรกี , มาเลเซีย , อินโดนีเซีย ...


ประเทศเหล่านี้ ค่าเงิน อ่อนลงอย่างรวดเร็ว เพราะ ทั้งนักลงทุน , เจ้าหนี้ และ ประชาชน ต่างกลัว แล้วขายเงินของประเทศเหล่านี้ แล้วไปถือเงินที่มั่นคงกว่าแทนเช่น ดอลลาร์ 


2. ‘ถ้ารัฐบาล สร้างหนี้เยอะๆ แล้วทำโครงการที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้มากๆ สุดท้ายเงินจะพัง เงินเฟ้อจะยิ่งสูง’ ...วันนี้เรากำลังเห็นปัญหาแบบ เวเนซุเอลา ลุกลาม มาในกลุ่มประเทศ Emerging Market ...ประเทศที่โดนก่อน ก็คือ ประเทศที่สร้างหนี้ต่างประเทศเยอะๆ แล้วมีเงินทุนสำรองต่ำๆ เช่น มาเลเซีย ...ปัญหานี้เพิ่งเริ่มต้น แล้วกำลังลุกลาม ช่วงนี้ถ้าจะลงทุนที่ไหน ต้องระวังเรื่อง หนี้ และ ทุนสำรองของประเทศนั้นๆ ให้ดี 


ไม่งั้น เงินที่ลงทุนต่างประเทศ อาจกำไร แต่ดันขาดทุนค่าเงิน สุดท้าย ก็ขาดทุนอยู่ดี ...ช่วงนี้ต้องระวังให้เยอะครับ


3. ‘คนรวย แต่ละประเทศ เขาสู้กับเงินเฟ้ออย่างไร’ ...สิ่งที่ตรงข้ามกับเงินเฟ้อ ก็คือ สินทรัพย์ 


เพราะในขณะที่เงินสด นับวันจะลดมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป ...แต่สินทรัพย์จะเพิ่มมูลค่าสวนทาง 


คนรวยในทุกประเทศ จึง เอาเงินสดไปซื้อสินทรัพย์ แล้วถือครองแทน 


(อันนี้คนส่วนใหญ่ ไม่รู้ คิดว่า คนรวย คือ คนที่มีเงินฝากธนาคารเยอะๆ ...แต่ไม่ใช่เลย จริงๆ แล้ว คนรวยส่วนใหญ่ จะถือครองสินทรัพย์แทน เช่น ที่ดิน , อสังหา , หุ้น , ทอง , ของสะสม)


ถ้าเป็นประเทศ ที่เศรษฐกิจมีเสถียรภาพอย่างเช่น เมืองไทย ...คนรวยจะเอาเงินใส่ไว้ในหุ้น เป็นสัดส่วนที่สูงที่สุด ...รองลงมา ก็คือ ที่ดิน และ อสังหา


แต่ถ้าเป็นประเทศ ที่ไม่มีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ ...คนรวยในประเทศนั้น จะนิยม ฝากเงินไว้ต่างประเทศ , ถือครองดอลลาร์ และ ทองคำ แทน


4. ‘จะรู้ได้อย่างไร ว่าประเทศไหนมีเสถียรภาพทางเศรษฐกิจ’ ...ก็ดูว่า ประเทศนั้นๆ ผลิตสินค้าและบริการ ที่เป็นประโยชน์ต่อคนใช่หรือไม่ 


การที่ประเทศไทย วันนี้ค่อนข้างดี เพราะเราผลิตสินค้าและบริการที่หลากหลาย 


พูดแบบไม่ได้อวยกัน ...สินค้าของไทย เป็นที่ยอมรับในประเทศเพื่อนบ้าน ในเรื่อง คุณภาพ และ ราคา 


บริการเราก็มีการท่องเที่ยว ที่หลากหลาย และดึงดูด


ตรงนี้แหละ ที่เราต้องรักษาสมดุลย์ ให้ดี ไม่ประมาท แล้ว พยายามพัฒนาความรู้ ให้สามารถสร้างสินค้าที่มีคุณภาพมากขึ้น ในราคาที่ถูกลง หรือ ตอบโจทย์ความต้องการของตลาดได้


ก็ลองทำความเข้าใจสิ่งรอบตัว เราจะใช้ชีวิต ในโลกที่เศรษฐกิจผันผวนได้ดีขึ้นครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



เปลี่ยนโจทย์ชีวิต ให้เรารอด แล้วประเทศรวย



โจทย์คนรุ่นใหม่ ทำไง ให้ตัวเรารอด แล้วประเทศเรารวย 


เดี๋ยวไม่ได้โลกสวย ...จะบอกว่า ทุกอย่าง มันเกิดได้ถ้ารู้จักวางแผน 


1. ‘ตัวเรารอด’ ...อย่างแรก ต้องหาเงินเป็น ...สมัยก่อนเงินหายาก ต้องรอเรียนให้จบ แต่เดี๋ยวนี้ไม่ใช่เลย เดี๋ยวนี้ อายุน้อยก็เริ่มหาเงินได้แล้ว 


คำแนะนำผมคือ วันนี้ลองตั้งโจทย์เลยว่า ‘ฉันจะเริ่มหาเงิน ...แล้วลงมือทำเลย ...มันเริ่มตั้งแต่ Online ...ขายของ ...อะไรก็ว่าไป ...เคล็ดลับ คือ ต้องลอง เพราะ ไม่ลอง ก็ไม่ได้เริ่มสักที’


พอหาเงินเป็นแล้ว ...คราวนี้ก็เรียนต่อไปเรื่อยๆ ยิ่งความรู้เพิ่ม เรียนปริญญา เรียนต่อเชี่ยวชาญเฉพาะด้าน ...การเรียนจะช่วยให้คนที่หาเงินเป็นแล้ว เจอโอกาสหาเงินที่ดีขึ้น 


...อย่างที่สอง ‘ต้องลงทุนเป็น’ ...ยุคนี้ใครลงทุนไม่เป็น ไม่มีทางรอด ...ถึงหาเงินเก่งแค่ไหน หากลงทุนไม่เป็น ก็ไม่มีทางรวย เพราะ มันใช้เงินหมดก่อนรวย


การลงทุน ไม่ใช่แค่การไปเล่นหุ้น ...แต่มันคือ ฝึกทักษะของการวางเงินทำงาน ...เพราะ การลงทุนยาว จะให้ 2 เด้ง คือ หนึ่ง พอร์ตโต และ สอง ให้ Passive Income


ไอ้ตัวที่ทำให้ชีวิตรอด สบาย และ รวย ก็คือ Passive Income ...ไม่มีใครรวยจากการมีเงินก้อน เพราะเงินก้อน มันกินเงินต้นไปเรื่อยๆ ถ้าตายช้า วันนึง เงินจะหมด แต่ถ้ามี Passive Income คือ รับเงินปันผล ชาตินี้ไม่มีวันหมด มีแต่พอร์ตโตขึ้น และ ปันผลเพิ่มขึ้น


เชื่อไหม ผมคุยเรื่อง ‘ออมในหุ้น’ มาตลอด คือ ซื้อหุ้นดี แล้วถือชั่วชีวิตไม่ขาย ...รอรับแต่ปันผล ...คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อ แล้วก็บอกว่า ‘ไม่ขาย จะรวยได้ไง’


ตลกไหม ?


ซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ถือตลอดชีวิต ซิรวยกว่า ...เพราะ ไม่ต้องไปลุ้นเลยว่า ราคาหุ้นจะขึ้นหรือลง ไม่ต้องไปหาจังหวะ ว่า ซื้อตรงนี้ ไปขายตรงนี้ แล้วจะได้กำไร ...ไม่ต้องลุ้น ...ถือ รับปันผลทุกปี ...หุ้นบริษัทดีๆ ปกติโตปีละ 15% การซื้อแล้วไม่ขายเลย ทำให้ พอร์ตโต แล้วก็ได้ปันผล เป็น Passive Income 


สรุป ‘ออมในหุ้น’ คือ วิธีที่รวย ตั้งแต่วันที่ซื้อแล้ว


(ยิ่งถ้าใครเชี่ยวชาญในหุ้นหน่อย หากรอซื้อหุ้นดี เวลามีวิกฤติ หรือ ข่าวร้าย ยิ่งได้หุ้นถูก อันนี้รวยเพิ่มไปอีก ถ้าเรามีความรู้และประสบการณ์เพิ่ม)


- ตกลง ยุคนี้ คนที่จะรอดแล้วรวย ต้อง หนึ่ง หาเงินเป็นตั้งแต่ก่อนเรียนจบ ..สอง ออมในหุ้นเป็น (ไม่ใช่แค่เล่นหุ้น ..ต้องออมหุ้น)


2. ‘ประเทศรวย’ ...ถ้าคนส่วนใหญ่ของประเทศ สามารถทำแบบในข้อหนึ่งที่กล่าวมา คือ หาเงินเป็น แล้ววางเงินทำงานได้ ....ไม่ต้องห่วงเลยว่า ทำไมประเทศนั้นจะไม่ร่ำรวย


วันนี้ปัญหาในโลก แม้แต่อเมริกาเอง คือ คนเป็นหนี้ ...ที่เป็นหนี้ เพราะ ไม่ได้ฝึกหาเงิน ...อย่างอเมริกา เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากเป็นหนี้การศึกษา เพราะ คิดว่า ถ้าจบปริญญาแล้วจะร่ำรวย แต่ผิดถนัด 


ยุคนี้ มันยุคของ การที่เราต้องฝึกเด็กให้หาเงิน แล้วให้เขาพัฒนาต่อไปเรื่อยๆ ...มันหมดยุคของการเรียนสูงๆ สุดท้ายก็หาเงินไม่เป็นอยู่ 


คิดดีๆ ซิ มันคนละ ทักษะ ...การเรียนหนังสือ กับ การหาเงิน ...หาเงินมันคือ ทักษะ ที่ต้องเรียนจากสนามจริง และ เก่งจากการลองผิดลองถูก (ใครหาเงินเป็นแล้ว จะเข้าใจสิ่งที่ผมพยายามอธิบาย)


ปัญหา ต่อมา คือ การทำงานที่เดียวในยุคนี้ ไม่น่าเอาตัวรอดได้ เพราะ ค่าครองชีพสูงขึ้น ...คนรอดยุคนี้ ต้องหารายได้หลายทาง อย่างน้อยสุด ถ้าเป็นลูกจ้าง ก็ต้องฝึกหารายได้จากการลงทุน หรือ ออมหุ้น อีกทาง 


ใครกำลังเรียนอยู่ หรือ มีพี่น้อง ที่กำลังศึกษา ลองเอาบทความอันนี้ให้เขาลองอ่าน ...ผมว่า เมื่อโลกเปลี่ยน หากเราไม่รู้เท่าทันการเปลี่ยนแปลง เราอาจไม่รอด 


แล้วสุดท้าย เราก็มักโทษ ว่า ‘เราดวงไม่ดี ...ทำไมเรียนสูง แต่ไม่รวย ...ทำไมทำงานหนักแต่ไม่รวย’


- ดวง ไม่เกี่ยวเลย มันขึ้นกับ การวางแผน


-  ถ้าเรียนสูง แต่ไม่รวย ต้องแก้ด้วย ฝึกหาเงินให้เป็น (การเรียนสูง จะช่วยคนที่หาเงินเป็นแล้ว ให้หาเงินเก่งขึ้น ...แต่ถ้าหาเงินไม่เป็น เรียนจบสูง แค่ไหน ก็หาเงินไม่เป็นอยู่ดี) ...ใช่!! ตั้งโจทย์ แล้วฝึกให้เด็กหาเงิน ตั้งแต่เด็ก สำคัญมาก


- ทำงานหนัก แต่ไม่รวย ต้อง หางานเสริม หรือ เรียนรู้การลงทุน เพื่อได้ Passive Income เช่นออมในหุ้น


- เล่นหุ้น แต่ยังไม่รวย ..แปลว่า คุณเอาแต่เล่นสั้น มันจะรวยได้ไง ...ถ้าจะรวย ต้องซื้อหุ้นเหมือนซื้อที่ดิน หาหุ้นดี ออมยาวๆ แล้วเราจะรวยจาก Passive Income


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เข้าใจเศรษฐกิจแบบง่ายๆ



พื้นฐานความรู้เรื่องเศรษฐกิจในภาษาชาวบ้าน 


ว่าจะเขียนเรื่องนี้นานแล้ว ก็ได้จังหวะ ช่วงนี้เศรษฐกิจโลกผันผวน ...เราจึงควรมีความรู้พื้นฐานในเรื่องเศรษฐกิจจะได้เอาตัวรอดได้ ไม่ถูกหลอก


 ‘ธุรกิจเกิดจากอะไร’ ...หลายคนบอกอยากเป็นนักธุรกิจ ก็พยายามไปเรียนบัญชี เรียนเศรษฐศาสตร์ เรียนสาขาธุรกิจ ..ก็ถือเป็นเรื่องดีนะ มีความรู้พื้นฐาน ...แต่พอเรียนจบเริ่ม งง ว่า แล้วจะเริ่มเป็นนักธุรกิจได้อย่างไร ? 


(ผมเอง สมัยจบบริหารธุรกิจ ก็นั่ง เกาหัว 3 รอบ ว่า จะเริ่มธุรกิจอย่างไร ในเมื่อเราไม่ได้ประสบการณ์อะไรเลย ...เงินก็ไม่มี ...ความรู้ก็เอามาจากอาจารย์ ใครๆ ก็รู้ ...ความเชี่ยวชาญสักอย่าง ไม่ต้องพูดถึง ไม่มีครับ ...เพราะ ยุคนี้สอนให้รู้ทุกอย่าง สรุป กรูไม่เก่งอะไรเลย งง ?)


โอเค !! เรามาเริ่มกัน


มาเข้าใจพื้นฐานกันก่อนว่า ‘ธุรกิจ’ ทั้งหมดในโลก เริ่มจากแก่น คือ 


1. ธุรกิจที่เกิดมาแก้ปัญหาให้คน


2. ธุรกิจที่เกิดมาสร้างประโยชน์ให้คน


มาขยายความกันว่า


‘แก้ปัญหาอะไร’ ..จริงๆ ปัญหาอะไรก็ได้ ขอให้เป็นปัญหาที่มีคนยอมจ่ายเงินเพื่อแก้ปัญหานั้น 


- ‘ปัญหา ในอดีต’ ก็คือ ปัญหาพื้นฐาน ความต้องการปัจจัย 4 ...อาหาร , ยา , เสื้อผ้า , ...ซึ่งปัญหาเหล่านี้ สร้างธุรกิจยักษ์ใหญ่ และ เศรษฐีมากมาย เจ้าของบริษัทเหล่านี้ 


- ‘ปัญหา ยุคใหม่’ เป็นปัญหา ที่เกี่ยวกับ อารมณ์ ความรู้สึกมากขึ้นเรื่อยๆ ...ความยากของปัญหาก็ซับซ้อนขึ้น 


...ยกตัวอย่าง Google เห็นปัญหาว่า คนต้องการค้นหาข้อมูลบน Internet 


...หรือ Facebook เห็นปัญหาเรื่อง การติดต่อเชื่อมโยงกัน ก็เกิดเป็น Social Media ที่ท้าทาย สื่อรูปแบบเดิม 


กลับมาที่ระดับบุคคล ...ยกตัวอย่าง คนที่เรียนจบ ต้องมาเริ่มที่ตอบคำถามว่า ‘ด้วยความรู้ที่เรียนมา เราสามารถแก้ปัญหาอะไรให้คนอื่นได้บ้าง ?’


คำถามนี้ยากมาก ...แทบจะพูดได้ว่า เด็กจบใหม่ไม่สามารถตอบคำถามนี้ได้ ไม่รู้ว่า สิ่งที่เรียนมาจะไปแก้ปัญหาอะไรให้คนอื่น จนคนยอมจ่ายเงิน 


...จริงๆ ถ้าเขาคิดได้ เขาต้องคิดได้ตั้งแต่ก่อนเรียนปริญญาแล้ว จริงไหม ?


...เดี๋ยวนะ !! เรื่องนี้แรง แต่ต้องทำความเข้าใจ คือ ถ้าก่อนเรียนปริญญา เราหาเงินไม่เป็น ก็ไม่ได้หมายความว่า พอจบปริญญาแล้วจะหาเงินเก่ง ...มันไม่เกี่ยวกันเลย 


เพราะ การ ‘หาเงิน’ คือ การรู้วิธี ‘แก้ปัญหา’ ให้คนอื่น ...ความรู้ในการเรียนปริญญาที่เพิ่มขึ้น มันช่วยเฉพาะคนที่รู้วิธีหาเงินเป็นแล้วมากกว่า 


ดังนั้น วิธีการแก้ปัญหา เบื้องต้นคือ 


1. การเป็นลูกจ้าง ...การหางานทำ ...ที่เราได้งาน เพราะ เราเข้าไปทำงานเพื่อแก้ปัญหาบางอย่างให้นายจ้าง 


(ที่หลายคนบอกว่า ลูกจ้างไม่รวย ก็มีส่วนถูก ...เพราะ เงินจะมากหรือน้อย มันขึ้นกับขนาดของปัญหาที่เราแก้ ...ลูกจ้าง ส่วนใหญ่แก้ปัญหาเล็กๆ เงินเลยน้อย ...ผู้บริหาร แก้ปัญหาใหญ่กว่าลูกน้อง ก็เลยได้เงินมากขึ้นตามลำดับ)


2. การทำธุรกิจส่วนตัว ...ก็ขึ้นกับขนาดของปัญหา และ คนยอมจ่าย 


แต่ธุรกิจ มีความยากกว่าลูกจ้าง ตรงที่


1. ต้องมีทุนเริ่มต้น

2. ต้องมีความเชี่ยวชาญบางอย่าง 


ทุนเริ่มต้น คนส่วนใหญ่ไม่มี ...แต่ถ้าทุนเราน้อย ต้องชดเชยด้วยความเชี่ยวชาญ ...พอถามว่า เชี่ยวชาญอะไร ก็บอกยิ่งไม่มีใหญ่ (อ้าว ?)


เราจะเห็น ธุรกิจส่วนใหญ่ ถ้าขาดความเชี่ยวชาญ ก็จะเปิดธุรกิจ Me too คือ เห็นใครทำแล้วดี ก็เปิดบ้าง ..คนทำธุรกิจแบบนี้ มีแต่เจ๊ง !!


ก็ลอง สำรวจตัวเองดูว่า วันนี้ เรามีอะไรบ้างที่จะเริ่มธุรกิจ 


- เราเห็นปัญหาอะไรที่คนต้องการให้แก้


- เรามีความเชี่ยวชาญที่จะแก้ปัญหานั้น (ความเชี่ยวชาญ คือ เราทำได้เก่ง ทำได้ดีกว่าคนอื่น)


- เรามีทุนเริ่มต้นหรือไม่ (ทุนไม่มี ต้องมีความรู้ ความเชี่ยวชาญชดเชย ..แล้วไปหาเงิน จากนายทุนแทน) 


จะเห็นได้ว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่สำคัญมากในการเริ่มธุรกิจ ก็คือ ความรู้ ....ถ้ามีความรู้ รู้ว่าอะไรคือปัญหา ก็แปลว่า เห็นโอกาส ...พอเห็นโอกาส ก็ต้องเอาความรู้ ความเชี่ยวชาญที่เรามีไปแก้ปัญหานั้น ...เงิน เป็นสิ่งที่ต้องใช้ แต่ถ้าเราเก่งจริง ยุคนี้ หาทุนจากคนอื่น ไม่ใช่เรื่องยาก


นี่คือ ‘วิธีคิดเบื้องต้นของการเริ่มทำธุรกิจ และ หาเงิน’ ...ลองไปปรับใช้ดูครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 25 สิงหาคม พ.ศ. 2561

เราเรียนรู้อะไรจาก เวเนซุเอลา ค่าเงินพัง




ช่วงนี้มีคนพูดถึง เรื่องค่าเงินของ เวเนซุเอลาเยอะ ...หลายคนแปลกใจว่า ทำไมอยู่ดีๆ เงินเฟ้อก็พุ่งสูง จนควบคุมไม่ได้ ? ...ทำไมล่ะ ?


- คนรวยกลายเป็นคนจน เพราะ ข้าวของ สินค้าจำเป็น ราคาเพิ่มขึ้นจนน่าตกใจ


- วันนี้คนเวเนซุเอลา พากันอพยพ หนีออกจากประเทศกันแล้ว 


น่าแปลกใจไหมที่ประเทศ ที่มี น้ำมัน เยอะที่สุด ในอเมริกาใต้ ...วันนี้ก็ยังมีน้ำมันเยอะอยู่ (ไม่ใช่น้ำมันหมดนะ) ...แต่อยู่ดีๆ ล้มละลายกันทั้งประเทศ 


เรามาดูสาเหตุกัน 


1. ค่าเงินพัง ...อันนี้จริงๆ เป็นปลายเหตุ ...เนื่องจาก ‘เงิน’ จริงๆ ก็คือ สินค้าชนิดนึง ที่ซื้อขายกันระหว่างประเทศ ...ตัวกำหนด ค่าเงิน ก็คือ Demand (ความต้องการเงิน) และ Supply (ปริมาณเงินที่มีอยู่) 


ประเทศที่มีวินัยการเงินที่ดี ก็จะบริหาร ปริมาณเงินกับความต้องการได้สมดุลย์ ...แต่อย่าง เวเนซุเอลา ...รัฐบาลไม่ได้รักษานโยบายการคลังที่ดี มีการพิมพ์เงินเพิ่มอย่างไร้วินัย ...ผลก็คือ ต่างชาติที่ค้าขายด้วย ก็ไม่เชื่อถือ ไม่อยากได้เงินของ เวเนซุเอลา ...พอทุกคนไม่อยากถือเงิน เวเนซุเอลา ค่าเงินก็อ่อน 


2. น้ำมันราคาลง ...เดิมทีน้ำมันราคาแพง ...รัฐบาลได้เงินต่างประเทศ มาจากการขายน้ำมัน ...พอเกิดวิกฤตราคาน้ำมัน ประเทศเวเนซุเอลาก็เริ่มขาดเงิน ไม่มีเงินต่างชาติมาใช้บริหารประเทศ ...(ที่ต้องใช้เงินต่างชาติบริหารประเทศ เพราะ การผลิตในประเทศไม่มีประสิทธิภาพ จึงต้องซื้อสินค้าและนำเข้าจำนวนมาก) ...พอเงินเริ่มฝืด การจ้างงานก็ลดลง ...ที่หนักกว่านั้น ธุรกิจส่วนใหญ่ในประเทศ (ก็เป็นของรัฐบาล) พอขาดเงินบริหาร ก็เกิดปัญหา ขาดเงินเป็นลูกโซ่ ...ผลก็คือ การผลิตสินค้า ตั้งแต่น้ำมัน จนสินค้าอุปโภค บริโภค ก็เริ่มขาดแคลน


3. รัฐบาลเน้นนโยบายประชานิยม ...นโยบายประชานิยม หลักๆ ก็คือ การแจกเกิดให้ประชาชนในรูปแบบต่างๆ ....จริงๆ ประชานิยม ก็มีข้อดี คือ คนจนได้การช่วยเหลือจากรัฐบาล แต่ปัญหาจะเกิด เมื่อทำประชานิยมมากเกินไป ....อย่างเวเนซุเอลา รัฐบาลเป็น กึ่งๆ เผด็จการ ...มีการยึดบริษัทมาจากคนรวย เช่น เอาสัมปทานน้ำมัน มาเป็นของรัฐบาล 


เหมือนจะดีนะ ...ยึดจากคนรวย มาแจกคนจน ...แต่เวลาปฏิบัติจริง เราก็รู้ว่า เวลารัฐบาลทำอะไร จะมีปัญหา 2 อย่าง คือ หนึ่ง บริหารไม่มีประสิทธิภาพแล้วขาดทุน สอง มีการรั่วไหลเยอะ ....สิ่งที่เวเนซุเอลาทำ ส่งผลให้ เศรษฐกิจทั้งระบบ อ่อนแอ 


คนเก่ง และคนรวยที่มีทางเลือก ก็ออกนอกประเทศ ไปทำธุรกิจที่อื่น เหลือแต่ คนที่อยากพึ่งความช่วยเหลือจากรัฐบาล ....เศรษฐกิจจึงค่อยๆ อ่อนแอ แล้วก็ขาดทุน ลามไปทุกธุรกิจ

(นึกภาพ ว่า ทุกบริษัท ในประเทศ เป็นของรัฐบาล ...ทุกคนก็จะไม่แข่งกัน ความสามารถในการแข่งขันก็จะลดลง ทุกธุรกิจจะไม่เน้นกำไร แต่เน้นเส้นสาย ขี้เกียจ แล้ว คอรัปชั่นก็จะยิ่งเยอะ แล้วสุดท้ายขาดทุนกันทุกธุรกิจ)


4. สินค้าอุปโภคบริโภคขาดแคลน ...พอมีปัญหาเรื่องเงินเฟ้อ เริ่มต้นก็คือ สินค้าเริ่มขาดตลาด ...แต่คนมีเงิน เพราะ รัฐบาลพิมพ์เงินแจก ...ส่วนของอุปโภค บริโภค ไม่มี ...คนที่อยากได้ ต้องจ่ายในราคาสูง แอบซื้อในตลาดมืด หรือ ต้องใช้เงินสกุลอื่นซื้อ (เพราะไม่มีใคร อยากจะถือเงินสกุลของเวเนซุเอลา ..ทุกคนก็อยากจะทิ้งเงินตัวเอง แล้วแลกเงินต่างชาติ) ....สุดท้าย พอไม่มีใครอยากได้เงินเวเนซุเอลา เงินก็เริ่มไร้ค่า ...ค่าเงินที่อ่อนค่าก็ยิ่งอ่อน ไปเรื่อยๆ 


จะเห็นได้ว่า วิกฤตของเวเนซุเอลา มันคือ นโยบายการบริหารประเทศที่ผิดพลาด อย่างต่อเนื่อง 


คำถามคือ แล้วมีวิธีแก้ไขไหม ?


1. ในระดับบุคคล ...ใครมีเงินต่างชาติ เช่น ถือเงินดอลลาร์ หรือ ถือทองคำ ก็ไม่จนลง (หลายๆ ประเทศ ตอนนี้ก็เริ่มเกิดภาวะแบบเวเนซุเอลา แต่ไม่รุนแรงเท่า อย่าง เพื่อนบ้านเรา เวียดนาม ก็เคยเจอปัญหาแบบเดียวกันนี้ ...คนเวียดนามเลย นิยม ดอลลาร์ และ ทองคำ ไง)


2. ในระดับประเทศ ...อันนี้ไม่ง่าย ต้องสร้างเสถียรภาพทางการเงินให้ได้ก่อน ...ประเทศไทย ก็เคยประสบปัญหาเหมือนเวเนซุเอลา ในปี 1997 เพียงแต่ เราแก้ปัญหาได้ทัน ไม่ปล่อยให้ลามเป็นเงินเฟ้อสุดโต่ง (Hyper-inflation) แบบเวเนซุเอลา ....ในเวลานั้น จากกู้เงินต่างประเทศ จาก IMF มาช่วย ...แล้วขายทรัพย์สิน ให้ต่างชาติมาถือ แล้วก็ค่อยๆ เพิ่มศักยภาพของอุตสาหกรรมส่งออก 


- จนวันนี้รายได้หลักของเรากว่า 60% คือ การส่งออก ผลิตของขายต่างชาติ ได้เงินมากกว่านำเข้า แล้วเก็บเป็นเงินสำรอง เงินตรา ..ไทยเรามีเงินสำรอง เทียบกับ GDP อันดับต้นๆ ของโลก


- เรามีรายได้จากการท่องเที่ยว เป็นอันดับต้นๆ ของโลก (ปีล่าสุด เรามีรายได้การท่องเที่ยว $50 Billion ถือเป็นอันดับ 3 ของโลก เป็นรองแค่ อเมริกา และ สเปนเท่านั้น) ....ทั้งการค้า และ การท่องเที่ยว ช่วยกันทำให้ต่างชาติ มีความต้องการเงินบาท ทั้งเพื่อการค้า และ การลงทุน


เดี๋ยว !! ...ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง ไม่ได้จะให้หลงระเริงว่าประเทศไทยดี แต่อยากให้เห็นว่า ความจริงคืออะไร ...วันนี้เราดี เพราะเราเกิดวิกฤตรุนแรงมาตอนปี 1997 ...ทำให้วันนี้เรามีภูมิคุ้มกัน


แต่ต้องไม่ลืมตัว และเหลิง เพราะ เศรษฐกิจและการค้า รวมทั้งการท่องเที่ยว เป็นสิ่งที่เปลี่ยนแปลงไว ....ถ้าไม่ระวัง วันนึงเราอาจเกิดวิกฤตขึ้นมาอีกครั้งก็เป็นได้ 


จุดที่ควรระวัง และ ควรที่จะเริ่มจากตัวเรา ไปจนถึง คนบริหารประเทศ ก็คือ 


1. ‘ต้องมีรายรับ มากกว่า รายจ่ายเสมอ’ 


2. ‘ถ้าสร้างหนี้ ต้องแน่ใจว่า เป็นการสร้างหนี้ที่ก่อให้เกิดรายได้ในอนาคต’


3. ‘ถ้าต้องการความมั่งคั่ง ต้องใส่ใจในการเพิ่มผลผลิต’


4. ‘การเพิ่มผลผลิตที่ดี คือ การใช้เทคโนโลยี และ ความรู้ ที่เพิ่มขึ้น เข้ามาลดต้นทุน แล้วเพิ่มผลผลิต’ (ใส่ใจการพัฒนาคุณภาพ)


5. ‘ต้องมีความรู้ในการลงทุน แล้วลงทุนในสินทรัพย์ ทุกครั้งที่มีโอกาส’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


3 ขาแห่งชีวิตที่สมบูรณ์



3 ขา แห่ง ชีวิตที่สมบูรณ์


ชีวิตคนเรา จะสมบูรณ์ ต้อง สามารถ จัดการ 3 เรื่อง ให้สมดุลย์กัน นั่นคือ ‘เงิน / เวลา / สุขภาพ’ ..ยังไงล่ะ ?


หนึ่ง ‘เรื่องเงิน’ - มีเงินเท่าไหร่ ถึงจะพอ ?


สอง ‘เวลา’ - จะมีเวลาได้อย่างไร ในเมื่อ ข้อที่หนึ่ง การหาเงิน ยังไม่เพียงพอ ? 


คนส่วนใหญ่ พยายามไปให้ถึงเป้าหมายในข้อที่หนึ่ง คือ ‘หาเงินให้ได้มากพอ’ แต่ปัญหาก็คือ 


1. ‘หาเงิน เท่าไหร่ ก็ไม่พอ’ เพราะ ไม่รู้ว่า อะไรก็จุดที่เรียกว่าพอ ...ดังนั้น พอหาเงินได้เยอะขึ้น ก็ยิ่งทำงานหนักขึ้น ..มากขึ้น ...จนสุดท้าย ก็แทบไม่เหลือเวลาให้ตัวเอง และ ครอบครัวเลย


2. ‘หาเงินเก่ง ก็ยิ่งเอาเวลาตัวเองไปแลกเงินมากขึ้น’ ...ในโลกนี้ มีเรื่องแปลก ที่เห็นได้ทุกที่ คือ คนที่หาเงิน มักจะขยัน ...แปลว่า คนเก่งจะยิ่งทำงานหนัก ...ในขณะที่คนหาเงินไม่เก่ง ก็มักทำงานไปเรื่อยๆ ขาดความสมดุลย์ - คำถามที่ท้าทายของคนที่หาเงินเก่ง คือ ‘คุณจะทำอย่างไร ให้หาเงินได้เก่งขึ้น โดยใช้เวลาคุณน้อยลง ?’


เดี๋ยว!! อย่าเพิ่งบอกว่า โจทย์นี้เป็นไปไม่ได้ เพราะ ผมอยากจะบอกว่า คนที่รวยระดับเศรษฐีในโลกนี้ทุกคน ก็คือ ‘คนที่สามารถแก้โจทย์นี้ได้ในชีวิตของเขานั่นเอง’


....ก่อนอื่น ต้อง แก้โจทย์ เรื่อง ‘เป้าหมายของคำว่าพอก่อน’ ...ซึ่งคำแนะนำของผมคือ ถ้าเราตั้งเป้าหาเงินเป็นเงินก้อน หาเท่าไหร่ก็ไม่พอ เพราะ เราจะรู้สึกว่า สุดท้ายเงินก้อน มันหยุดหาไม่ได้ เพราะ ถ้าหนุดหา มันจะกินเงินต้น ลดลงเรื่อยๆ


ดังนั้น เป้าหมาย คือ การหาเงินแบบ Passive Income ...สมการ ‘รวยเพียงพอ’ คือ ใส่ใจไปที่เงิน Passive Income ให้มีมากกว่า รายจ่ายต่อเดือน แค่นี้ก็ถือว่า เราชนะโจทย์ข้อ 1 แล้ว


มาถึงโจทย์ข้อที่ 2 ...คำตอบ ของการพิชิตเรื่องนี้ คือ 


1. ‘เรียนรู้การวางเงินทำงาน หรือ การลงทุนเพื่อสร้าง Passive Income’ ...อย่างเช่น ซื้อหุ้น ไม่ได้หวังส่วนต่าง แต่หวัง ปันผล , ซื้ออสังหา ไม่ได้หวังขายต่อ แต่หวังที่ค่าเช่าแทน 


2. ‘การสร้างระบบ ให้กับงานที่เราทำ’ ...เช่น การทำธุรกิจเราให้เป็น Franchise ...การขยายรายได้ โดยการเปลี่ยนแรงงานเรา ให้เป็นระบบ คือ ถ่ายทอดได้ ทำตามได้ ...ยอดขายเพิ่ม แต่เราเหนื่อยน้อยลง


สาม ‘สุขภาพ’ ...หลายคนทำข้อหนึ่งได้ คือ รู้ว่าเป้าหมายคืออะไร ...พิชิตข้อสองได้ คือ รู้จักวางเงินทำงาน


พอมาเรื่อง ‘สุขภาพ’ ผมยกให้เป็นเรื่องที่ยากที่สุด


คนเราจะเริ่มสนใจเรื่องสุขภาพ เมื่อมันสายเกินไปแล้ว แล้วที่สำคัญ คือ ไม่ว่าจะใช้เงินมากแค่ไหน เราจ้างให้คนอื่นมาป่วยแทนเราไม่ได้


‘คนหนุ่มสาว สุขภาพดี เลยทำงานหนัก เอาสุขภาพ แลกเงิน ....กว่าจะเก็บเงินได้ ก็เริ่มสุขภาพเสื่อมโทรม ...จากนั้นก็เอาเงินทั้งหมดที่หามา พยายามซื้อสุขภาพคืน’ 


ทางแก้ คือ การแบ่งเวลา เพื่อสร้างกิจวัตรในการออกกำลังกาย 


ใช่!! คุณจ้างคนอื่น มาออกกำลังกายแทน เพื่อให้เราสุขภาพดีไม่ได้ครับ 


นี่คือ ทั้ง 3 ขา แห่งชีวิตที่สมบูรณ์ ที่เราควรวางแผน แล้วลงมือทำ ตั้งแต่วันนี้ 


ลองสำรวจตัวเองซิครับว่า วันนี้เราสมดุลย์ 3 เรื่องนี้ได้ดีไหม ...ถ้ายังไม่ดี ลองลงมือเริ่มปรับปรุงทันทีครับ


‘คนชีวิตดี ไม่มีฟลุ๊ค ...มันเริ่มที่ เข้าใจ ใส่ใจ และ ลงมือทำด้วยตัวเอง’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันพฤหัสบดีที่ 23 สิงหาคม พ.ศ. 2561

10 ความแตกต่าง สร้างธุรกิจแสนล้านใน 15 ปี



10 ความแตกต่าง สร้างธุรกิจแสนล้าน ใน 15 ปี


เราอาจจะคุ้นเคยกับธุรกิจพันล้าน ที่สร้างกัน 3 Generation เริ่มตั้งแต่ปู่ ..ส่งมาที่ลูก แล้ว หลานทำต่อ ...แต่วันนี้ ผมได้คุยกับ คุณ จูน หญิงเก่ง ที่สร้าง อาณาจักร WHA จากศูนย์ สู่ แสนล้าน ในเวลา 15 ปี


‘15 ปี ที่แล้ว พี่เริ่ม จากธุรกิจ Built to Suit ..คือ รับสร้างโกดังตามความต้องการของลูกค้า ...วันนี้สิ่งที่พี่ทำ อาจดูธรรมดา แต่เมื่อ 15 ปีที่แล้ว มันเป็นเรื่องใหม่ ที่ไม่มีใครทำ ...ความกล้าแตกต่างเล็กๆ ในเวลานั้น ก็คือ จุดเริ่มของอาณาจักร WHA ในปัจจุบัน’


คุณ จูน ให้ความสำคัญ มากๆ กับ การสร้างความแตกต่าง ...’ถ้าทำเหมือนคนอื่น อย่าเสียเวลาทำเลย’


นี่คือ 10 ความแตกต่าง ที่สร้าง ธุรกิจแสนล้าน


1. ‘แตกต่าง ตั้งแต่จุดเริ่มต้น’ ...ถ้ามองไม่เห็นว่า ธุรกิจที่เราจะเริ่ม มันแตกต่างอย่างไรกับ ธุรกิจเดิมที่คนอื่นเขาทำอยู่ ..อย่าทำ ‘เสียเวลา!!’ 


...อย่าง WHA วันแรก ก็เลือกสร้าง โกดังตามความต้องการลูกค้า Built to Suit ...ในขณะที่คนอื่น เลือกสร้าง โกดังตามความต้องการตัวเอง


2. ‘หาตัวเองให้เจอ’ ...คำพูดนี้อาจจะพูดกันเยอะ แต่เชื่อไหมว่า คนส่วนใหญ่ หาตัวเองไม่เจอ ...การหาตัวเองให้เจอ ไม่ใช่อยู่ดีๆ มันจะหาเจอ 


...แต่การหาตัวเอง มันเริ่มนับหนึ่ง จากวันที่เราเริ่มทำงานหาเงินจริงๆ ...’เราจะเริ่มรู้มูลค่า หรือ ค่าตัว จริงๆ ของเรา เมื่อเรา เริ่มทำงาน ..ใบปริญญาเป็นสิ่งที่พ่อแม่ยอมจ่าย แต่เงินเดือนที่นายจ้างเสนอ คือ มูลค่าจริงๆ ที่สังคมมองคุณ’ ...ความล้มเหลวเล็กๆ จะค่อยๆ ทำให้คุณรู้จักตัวเองมากขึ้น ...อย่าไปกลัวที่จะทำในสิ่งที่ตัวเองคิด


- วันใดที่คุณ เจอตัวเอง วันนั้นคือ วันที่คุณพร้อมทำงานใหญ่ 


3. ‘คิดเผื่อลูกค้า’ ...การที่เราจะทำธุรกิจให้ถูกใจลูกค้า ต้องไม่เริ่มจากเรานั่งคิดมโนเอาเอง ...แต่มันต้องเริ่มจากการทำการบ้าน ศึกษาว่า อะไรที่จะเป็นประโยชน์ต่อลูกค้า ช่วยให้เขาทำงานได้ง่ายขึ้น ถูกลง ประหยัดเวลามากขึ้น 


...อย่างที่เล่าให้ฟัง กรณี WHA เลือกสร้าง โกดัง ตามความต้องการลูกค้า ในขณะที่คนอื่นในเวลานั้น เลือกสร้างโกดังตามความต้องการของตัวเอง - ลูกค้าไม่ได้สนหรอกว่า ใครสร้าง หรือ คุณคือใคร เขาแค่เลือกสินค้าและบริการที่ตอบโจทย์เขาที่สุด ก็แค่นั้นเอง


4. ‘ทีมเล็ก เลือกทำแต่จุดแข็ง’ ...คุณจูนเล่าให้ฟังว่า ตอนที่ WHA ทำธุรกิจเป็นหมื่นล้าน เวลานั้น มีพนักงานแค่ 30 คน ...’คุณ จูน บอกว่า ธุรกิจที่โตเร็ว และ แข็งแกร่ง ต้องเลือกทำที่จุดแข็ง ..ส่วนเรื่องอื่นๆ Outsource หมด’


การ Outsource มี 2 เรื่อง 1. Outsource เรื่องที่ไม่ถนัด ..ผลคือ ได้งานเร็วขึ้น 2. Outsource แล้วเลือกคนที่เก่งที่สุดทำ ในบางเรื่อง ..ผลคือ งานดีขึ้น เช่น กฏหมาย เราอาจไม่สามารถจ้างนักกฏหมายมือหนึ่งเป็นลูกจ้าง แต่เราสามารถ จ้างเขาทำงานได้ 


ดังนั้น การ Outsource ไม่ใช่การประหยัดต้นทุน แต่เป็นการ ต่อยอดให้ธุรกิจเล็กๆ สามารถใช้คนสุดยอดได้


5. ‘กล้าทำงานใหญ่’ ...คุณ จูน ทำงานใหญ่ตลอด ...ตั้งแต่ตอนธุรกิจยังเล็กๆ ก็กล้าที่จะคุยกับ ธุรกิจขนส่งรายใหญ่ และ สามารถดึงเขามาเป็นลูกค้า 


....’หลักๆ เลย เล็กหรือ ใหญ่ ไม่สำคัญ เท่าเรามีของ ...คนมีของ ต้องเริ่มจากรู้จุดแข็งของตัวเอง ...ทำการบ้านหนัก คิดเผื่อลูกค้า ปิดจุดอ่อน แล้วโชว์ความมุ่งมั่น’


หรือ ตอนที่ WHA ซื้อ นิคมอุตสาหกรรม เหมราช ที่ใหญ่กว่าตัวเอง ...’หลายๆ คนมองว่า WHA ทำเกินตัว แต่จริงๆ พี่คิดไว้หมดแล้ว ว่าถ้าซื้อมาแล้วจะเพิ่ม ศักยภาพ และ เพิ่มมูลค่าทุกๆ ส่วนที่ซื้อมาอย่างไร 


เราต้องคิดครบ ก่อนทำงานใหญ่ ...พอได้มา ปั๊บ ธุรกิจจึงโตก้าวกระโดด ทันที’


6. ‘กล้าใช้คนเก่ง’ ...ความสำเร็จของ คุณ จูน จะพูดถึง ทีมเสมอ ‘ทีมพี่เก่ง ลูกน้องพี่เก่ง’ 


แต่เราก็รู้กันดีว่า คนเก่ง จะไม่ชอบทำงานกับคนไม่เก่ง เพราะ นอกจากไม่ท้าทายแล้ว ยังทำให้ตัวเองหมดไฟง่ายๆ 


คุณ จูน จึงพยายาม ตั้งโจทย์ยากๆ แบบ Mission Impossible ให้ลูกน้องเก่งๆ ทำ ....’คุณ จูน ยึดหลักว่า ถ้างานไหนที่พี่ หรือ ทีมพี่ ทำไม่ได้ ...ก็ไม่มีใครในโลกทำได้แล้ว - แปลว่า พี่ต้องทำได้!!’


7. ‘ไม่กลัวความล้มเหลวเล็กๆ’ ....ถ้าเป็นโปรเจ็ค ที่ทำแล้ว ไม่ก่อให้เกิดความเสียหาย จะทำทันที ...จุดแข็งของ WHA คือ ความเร็ว 


...คุณ จูน เป็นคนทำงานเร็วมาก ...ชอบทำอะไร ใหม่ๆ ...อย่างล่าสุด WHA ขยาย แกนที่สี่ คือ ธุรกิจ IT ...เหมือนไม่เกี่ยวกับธุรกิจเดิม แต่จริงๆ เกี่ยว คือ ทุกอย่างขยายจากจุดแข็ง ...จากนั้นค่อยหาคน หรือ หุ้นส่วนเก่งๆ มาช่วย 


อย่างครั้งนี้ การขยายไป IT ได้ Alibaba มาช่วย ...’นี่ไง จะทำทั้งที เอาเบอร์หนึ่งของโลกมาทำร่วมกันเลย’


8. ‘สนับสนุนคนใน’ ...คนในสำคัญมาก ถ้าจะสนับสนุน ต้องเริ่มจากคนใน ...’พี่รับแต่คนเก่ง ...ให้งานที่ท้าทาย แล้ว ดูแลกันเหมือนครอบครัว’ 


ในองค์กรจะมีการ Train พนักงาน ตลอด ...เอามหาวิทยาลัยชั้นนำ มาช่วย ...พี่ช่วยออกแบบหลักสูตรเองเลย จะได้ตรงกับที่ธุรกิจต้องการ


9. ‘เรียนรู้ตลอดเวลา’ ...คุณ จูน รู้ทันเทคโนโลยีใหม่ๆ เพราะ ศึกษาและ คุยกับคนมาก ...อย่างลูกค้า นิคมก็คือ คนเก่งๆ ของทุกอุตสาหกรรมในโลก ได้แลกเปลี่ยนความรู้กันตลอด


หรือ เครื่องมือการเงิน คุณ จูน ใช้ทุกอย่าง ...ไม่แปลก ที่ WHA จะโตเร็ว เพราะ เครื่องมือการหาเงิน ตั้งแต่การทำ REIT ..การทำ M&A ...การ IPO ...การ ICO ... อะไรที่ทำได้ แล้ว จำกัดความเสี่ยงได้ คุณ จูน ลองหมด


10. ‘เวลา’ ...ถ้าอยากสำเร็จเร็ว ต้องใช้เวลาเป็น คนเรามีเวลาเท่ากัน ...ดังนั้น ถ้าอยากสำเร็จ ต้องเลือกใช้เวลา 


‘อย่างพี่ พี่สนุกเรื่องการทำงาน การคิดสิ่งใหม่ๆ มันคือ สนุก ...ดังนั้น พี่ไม่ต้องไปผ่อนคลายกับเรื่องที่เสียเวลา ....อย่างที่บอกว่า คนเราต้องรีบหาตัวเองให้เจอ เพราะ เจอแล้ว ทางเดินชีวิต มันจะชัด แล้ว เป้าหมาย มันจะมาเป็นของเราง่ายขึ้น’


นี่คือ ข้อคิด จากคุณ จูน นักธุรกิจหญิงเหล็ก แม่ทัพใหญ่ของอาณาจักร แสนล้าน อย่าง WHA 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 21 สิงหาคม พ.ศ. 2561

10 ข้อดี ETF ที่คนอยากรวยหุ้น ต้องรู้



10 ข้อดี ETF ‘เริ่มเงินน้อย เสี่ยงต่ำ ทำกำไรสูง’ 

1. ‘ซื้อออมได้’ ...ออมเงินฝาก ผลตอบแทนเฉลี่ย 1% ส่วนออม ETF ผลตอบแทนเฉลี่ย 10% ...ผลตอบแทน เป็น สิบเท่าเงินออม

2. ‘ความเสี่ยงต่ำ’ ...ซื้อ ETF เหมือนซื้อหุ้นดีหลายๆ ตัว จึงกระจายความเสี่ยงได้ดี

3. ‘ETF ไม่มีทางเจ๊ง’ ...หุ้นเจ๊งได้ เพราะหุ้นคือบริษัทเดียว ...แต่ ETF เจ๊งไม่ได้ เพราะ ETF คือ หลายๆ บริษัท

4. ‘ผันผวนน้อย’ ...ETF คือ การถือหุ้นดีพร้อมกันเป็นตระกร้า ทำให้พอร์ตเราไม่แกว่งเหมือนถือหุ้นรายตัว

5. ‘มีปันผลสม่ำเสมอ’ ...เราได้เงินปันผล จากบริษัทที่อยู่ในตระกร้า ETF 

6. ‘เริ่มด้วยเงินน้อย’ ..การออม ETF ใช้เงิน หลักพัน ก็ออมรายเดือนได้แล้ว

7. ‘ได้ผลตอบแทน เหมือนหุ้น โดยไม่ต้องเลือกหุ้นรายตัว’ ...การเลือกหุ้นรายตัว ต้องใช้ความรู้ และประสบการณ์ แต่ ETF ซื้อได้เลย ไม่ต้องเลือกหุ้น

8. ‘ไม่ต้องเลือกจังหวะในการซื้อ’ ...การซื้อ ETF ที่ดีที่สุดคือ การ DCA เท่าๆกัน เหมือนออมรายเดือน ...การทำแบบนี้จะได้ผลตอบแทนเท่าตลาดหุ้น คือ ประมาณ 12% ต่อปี 

9. ‘กำไรขายได้ ไม่เสียภาษี’ ...ETF เป็นสินทรัพย์ที่กำไร ก็ขายได้โดยไม่เสียภาษี

10. ‘ยิ่งถือนานยิ่งรวย’ ...ถ้าออม ETF เดือนละ พัน ที่ผลตอบแทนเท่าตลาดหุ้นไทย คือ 12% เป็นระยะเวลา 60 ปี เงินนั้นจะโตเป็น 100 ล้านบาท

- เงินต้น 1,000 ต่อเดือน ...60 ปี คิดเป็น 720,000 บาท - เงินนี้จากการออม ETF สามารถโตเป็น 100 ล้าน (ลองคิด คำนวณ ดอกเบี้ย ทบต้น จะเข้าใจความมหัศจรรย์ของการลงทุนแบบทบต้น ทบดอก ของ ETF)

ลองไปศึกษาเพิ่มเติมครับ นี่คือ ทางเลือก ของการลงทุนที่เหมาะกับคนรุ่นใหม่

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 17 สิงหาคม พ.ศ. 2561

ถ้าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน แล้วเราหาอะไร



‘ถ้าคนเราไม่ได้เกิดมาเพื่อหาเงิน แล้วจริงๆ เราหาอะไร ?’


คำถามนี้ มีผู้ใหญ่ท่านนึงถามผม ...ผมก็นิ่งไปชั่วขณะ เพราะ ทุกวันนี้หาแต่เงินเต็มๆ ...ไม่ค่อยได้มีเวลาไปทำอย่างอื่นเท่าไหร่ 


ว่าไปแล้ว คำถามนี้ น่าจะทำให้คนรุ่นใหม่ จำนวนมาก ต้อง ‘ฉุกคิด’ และ คิดหนักพอสมควรว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่มันคืออะไร 


- คนในยุคนี้ เอา งาน เป็นที่ตั้ง เป็นทุกสิ่งทุกอย่างในชีวิต 


...งาน เป็นทั้ง สิ่งที่หารายได้ เลี้ยงปากเลี้ยงท้อง 


..งาน เป็น หน้าเป็นตา เป็นความภูมิใจ เป็น สถานะทางสังคม


...งาน เป็น Passion และ อนาคต


...และ ที่สำคัญ คือ งาน กินเวลาชีวิตของคนรุ่นใหม่มากที่สุด 


มันทำให้ ผมคิดต่อไปว่า ..เราเกิดมาเพื่อทำงาน ใช่หรือไม่ ...มันมีความหมายอะไร มากไปกว่า การหาเงินให้มากๆ ...พยายามก้าวหน้าในหน้าที่การงาน เพื่อได้รับการยอมรับจากสังคม


สรุป คำถาม จากผู้ใหญ่ ท่านนั้น ถามมาก็ยังคงไม่ได้รับคำตอบจากผม 


จนมาถึง สัปดาห์ก่อนระหว่าง คุยงาน ..เออ!! งาน อีกแล้ว ...งาน งาน งาน ...ฮ่า ฮ่า - ก็มีบทสนทนานึงขึ้นมา ว่า ‘เฮ้ย!! ถ้า มีเงินเกินพอ เหลือแบบเกินความจำเป็น แล้ว เราจะทำอะไรต่อ ?’


หยง ตอบว่า ‘ผมจะไป ทำอะไรที่ใช้มือ (หยง มีพื้นฐานของ วิศวะ เขาชอบทำอะไรที่ต้องลงมือทำ) ..ก็อาจจะ ลองเอารถสปอร์ต สักคัน มาซ่อม แล้ว ทำให้มันใหม่’


ผมถามหยง ว่า ‘แล้วมึง ซ่อมรถเป็นเหรอวะ ?’


หยง : ‘ไม่เป็น ..นี่แหละ ท้าทาย เพราะไม่เป็นไง มันเลยเป็นการเรียนรู้สิ่งใหม่’


‘แล้ว แพ้ท ละ ...นายจะทำอะไร ?’


ผมเหรอ ?


‘ก็คง จะทำสิ่งที่ทำอยู่ ...แต่ในมุมที่ Hard Core มากขึ้น’


ทุกวันนี้ ผมพยายาม เรียนรู้ ‘การวางเงินทำงาน ในหุ้น’ ก็นับว่า ท้าทายระดับนึง แต่ปัญหาคือ สนามนี้ใครเข้ามาเล่นก็ได้ ...ขอให้พอมีเงิน มีความรู้ ก็เข้ามาได้แล้ว 


แต่สิ่งที่ท้าทายกว่า ในวันนี้ คือ ‘วางเงินทำงาน ในบริษัทที่มีอนาคต แล้ว พาบริษัทนั้นเข้าตลาดหุ้น’ ...อันนี้ผมว่า โคตรท้าทาย


มันต้องใช้ความรู้ และ ประสบการณ์ ที่แตกต่าง จากที่เคยทำมาทั้งหมด 


‘ก็เพราะมันยาก มันเลยเป็นการเติบโต ...มันทำให้เราเติบโต เพราะ เราต้องเปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ เจอคนใหม่ๆ ทำอะไรที่ในอดีตไม่คิดว่าจะทำได้’


ผมว่า ‘คนเรา ต่างใช้ชีวิตเพื่อหาความหมายของตัวเองนั่นแหละ ...แต่ความหมาย ของแต่ละคน มันแตกต่างกัน เพราะ Input มันต่างกัน’


ไม่ได้มีโจทย์ใครที่ดีกว่าใครหรอก ...มันแค่ไม่เหมือนกัน (ยังไง ?)


คนที่มีความสุข ก็คือ คนที่ชนะในโจทย์ที่ตัวเองตั้ง ...จากนั้น พอชนะ ก็จะต้องหาโจทย์ใหม่ ที่เราคิดว่า ท้าทายกว่า


เคล็ดลับ !! ...ผมว่า เคล็ดลับ ของเกมนี้ คือ การเข้าใจ Input ที่เรามี ‘ต้องรู้ จุดแข็ง ของตัวเอง และ อาวุธที่เราได้เปรียบ ก่อนที่จะเริ่มตั้งโจทย์’ ...จากนั้น ก็ค่อยตั้งโจทย์ ที่เริ่มจาก โจทย์เล็กๆ ...เริ่มจาก โจทย์เล็กๆ ง่ายโคตรๆ แล้ว ค่อยๆ เพิ่มความยาก ความใหญ่ขึ้นไปเรื่อย


นี่แหละ เคล็ดลับ !! ...เพราะ โจทย์เล็กๆ ที่เราชนะได้ นี่แหละ จะเพิ่มความมั่นใจ และ เพิ่มทักษะ เราอย่างต่อเนื่อง 


คนส่วนใหญ่ ผมว่า เริ่มจากโจทย์ยากไป ใหญ่ไป ..โดยที่ไม่ได้มอง Input ของตัวเอง ..พอเริ่มยาก โอกาสแพ้ ก็สูง ...พอแพ้ ก็เริ่มเข้าสู่อีกวงจร คือ วงจรแพ้ไปเรื่อยๆ 


ใช่ !! เริ่มจากง่าย มองจากจุดแข็ง แล้ว ลุยเลย เชื่อผม 


ที่แชร์เรื่องนี้ เพราะ คนชอบพูดกันเยอะว่า ‘คุณต้องหา Passion ให้เจอ !! ...แต่พอถามจริง ๆ ว่า คุณรู้ไหม อะไรคือ Passion ?’


- ถ้าสิ่งที่เราชอบ แต่เราทำแล้วไม่ดี ไม่มีใครเห็นค่า ไม่มีราคา ไม่ได้เงิน ...ตกลงสิ่งนี้ คือ Passion ใช่หรือไม่ ?


...ก็ไหนบอกเริ่มจากความชอบ แล้ว ทำไม สุดท้าย กลับต้องการให้คนอื่นยอมรับ


งั้น สรุป ว่า Passion คืออะไร ? - เราชอบ หรือ คนอื่นยอมรับ


ถ้าให้ผมตอบ ผมขอตอบว่า Passion ไม่ใช่การมองอะไรด้านเดียว เพราะ สรรพสิ่งในโลก มี 2 ด้านเสมอ ..เหมือน เหรียญที่มี 2 ด้าน 


Passion จึง เป็นการประสาน ระหว่าง ความชอบ ของเรา และ คนอื่น ...มันคือ ศิลปะ ของการใช้ชีวิตของคนรุ่นใหม่นั่นเอง 


ลองค้น คำตอบ ในมุมของคุณ ผมเชื่อว่า เราจะตั้งโจทย์การใช้ชีวิตได้ท้าทาย สนุก และ เลือกจุดยืนที่ดีกว่าเดิม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันพฤหัสบดีที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2561

10 ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ ใช้หาโอกาสธุรกิจ



10 ทางเลือกของคนรุ่นใหม่ ที่ใช้เป็นตัวกำหนดโอกาสของธุรกิจใหม่ๆ ในอนาคต


‘ปัญหา ก็คือ โอกาส ...การแก้ปัญหาและสนองตอบความต้องการของคน ก็คือ การสร้างธุรกิจนั่นเอง’ 


ถ้าใครถามคุณว่า ‘รู้ไหม ว่าโอกาสทำเงิน ในอนาคต คืออะไร ?’ ...ตอบง่ายๆ ว่า ให้เราเริ่ม จากการ แก้ปัญหา ให้คนรุ่นใหม่


เรามาดูกันว่า แล้วอะไรคือ ปัญหา และ ความต้องการของคนรุ่นใหม่ 


1. ‘ไม่ชอบ Rush Hours’ ...เวลาที่คนรุ่นใหม่ไม่ชอบที่สุดคือ ‘ช่วงเวลาเร่งด่วน’ ...ตอนเช้า ตอนคนส่วนใหญ่ออกไปทำงาน และ ก็ตอนเย็น ที่กลับจากงานพร้อมๆ กัน - คนรุ่นก่อน เสียเวลา กว่าครึ่งชีวิต ติดอยู่กับถนน ...คนรุ่นใหม่ อยากเอาเวลาตรงนั้น มาเดินทางท่องเที่ยว ท่องโลกดีกว่า 


2. ‘ไม่ชอบ Office’ ...งานเดี๋ยวนี้ทำที่ไหนก็ได้ ดังนั้น Office เป็นที่ที่แทบจะไม่จำเป็นแล้ว ...โอกาสคือ เปลี่ยนพื้นที่ที่น่าสนใจเป็นที่ทำงานให้คนรุ่นใหม่แทน Office


3. ‘ไม่อยากเป็นหนี้ระยะยาว เพียงเพื่อซื้อที่อยู่อาศัย’ ...คนรุ่นก่อน มีบ้านเป็นความฝัน ที่ต้องครอบครองเป็นครองตัวเองให้ได้ ...แต่คนยุคนี้ อยากเอาเงินไปทำอย่างอื่น ไปหาประสบการณ์ มากกว่ามานั่งผ่อนบ้าน 


4. ‘กล้าจ่ายเงิน ให้กับของกินของใช้’ ..คนรุ่นใหม่ เน้น Work Hard , Pay Hard คือ ทำเงินได้ ก็จ่ายหนักพอๆ กัน ...คนรุ่นใหม่ ไม่ได้สนว่า จะจ่ายของแพง ..กล้าซื้อ กล้าใช้ ว่างั้นเถอะ


5. ‘อะไรเช่าได้ ขอเช่าดีกว่า’ ...ต่อไปของที่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของ หรือ ของที่ซื้อแล้วราคามีแต่ลง เช่น รถยนต์ ...จะมีแนวโน้ม เช่าใช้ หรือ แชร์ใช้ มากขึ้นเรื่อยๆ 


6. ‘ชีวิตคือ ประสบการณ์’ ...คนรุ่นใหม่ จะใช้ชีวิต เพื่อเดินทาง ชอบการปรับเปลี่ยน เพื่อที่จะเก็บเกี่ยวประสบการณ์ชีวิตให้มากที่สุด 


7. ‘มีความรู้สึกว่า ตัวเองคือ คนของโลก’ ...ในอดีต ความเป็นคนประเทศไหน มีความสำคัญมาก แต่คนรุ่นใหม่ จะมองตัวเองเป็น Global Citizen มากขึ้นเรื่อยๆ ...ถ้าคุณมีเงิน คุณจะอยู่ประเทศไหนก็ได้ จะเป็นคนชาติใดก็ได้


8. ‘ใช้งานเป็น ทุกอย่างในชีวิต’ ...คนรุ่นใหม่ จะให้คุณค่ากับงานที่ตัวเองทำมากๆ เพราะ งานเป็นตัวบอกทั้งตัวตน ฐานะ และ Passion ...คนรุ่นใหม่ จริงๆ แล้ว จะเป็น Generation ที่ทำงานหนักและทำงานยาวนานที่สุดในโลก - ‘ทำงาน ทั้งชีวิต นั่นเอง’


9. ‘จ่ายเงิน ให้กับการศึกษา’ ...เมื่องาน คือ ทุกสิ่ง ทุกอย่างของคนรุ่นใหม่ ...เขาจึง ทุ่มเท เงินและ เวลาให้กับการศึกษา และ พัฒนาตัวเอง ...คนรุ่นใหม่ จะเลือกทำอะไร ด้วยตัวเอง อยากเก่งทุกอย่าง ทำงานเก่ง , ออกกำลังกายเก่ง , งานอดิเรกเก่ง ...เป็นคนที่อยากเก่ง และทำด้วยตัวเอง 


10. ‘มีสัตว์เลี้ยง แทนลูก’ ...คนรุ่นใหม่จะเลือกมีลูกน้อยลงเรื่อยๆ แต่จะเลี้ยงสัตว์เลี้ยง แทนลูก จึงมีแนวโน้มที่จะใช้เงินกับสัตว์เลี้ยงมากขึ้นเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ