แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2565

6 สิ่ง ที่เราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น

 6 สิ่ง ที่เราต้องเรียนรู้เกี่ยวกับวิกฤตครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น 


1. ‘ทุกๆ 10 ปี จะมีวิกฤตครั้งใหญ่ในตลาดหุ้น’ …วิกฤตใหญ่หมายความว่า หุ้นทั้งตลาดจะลงอย่างน้อย 50% …รวมทั้งพอร์ตหุ้นของคนที่ถือหุ้น จะลงอย่างน้อย 50% เช่นกัน


2. ‘หลังเกิดวิกฤตครั้งใหญ่ หุ้นที่โดดเด่นจะเปลี่ยนกลุ่ม’ …พูดง่ายๆ หุ้นที่เคยดีก่อนวิกฤตใหญ่ จะไม่ดี หลังจากนั้น …ใช่!! ควรเปลี่ยนกลุ่มเล่น


3. ‘หลังวิกฤตครั้งใหญ่ หุ้นกลุ่มใหม่จะขึ้นแรงหลายๆ เด้ง’ …แปลว่า หุ้นที่คนส่วนใหญ่ติด ขาดทุน จะไม่ดี หลังจากผ่านวิกฤต …แต่หุ้นกลุ่มใหม่ที่คนส่วนใหญ่ไม่มี จะเกิดการขึ้นครั้งใหญ่ 


4. ‘ระหว่างรอบขาขึ้น 10 ปี ก็จะมีวิกฤตย่อยๆ เข้ามาตลอด’ …แปลว่า ระหว่างทางขึ้นจะมีบททดสอบ ให้เราขายตลอด …การทนรวยไม่ใช่เรื่องง่าย!!


5. ‘ถ้าเราหนีวิกฤตไม่ได้ เราก็ต้องหาเงินมาซื้อหุ้นในวิกฤต อย่าถอดใจ’ …เหตุผลก็คือ หลังวิกฤตใหญ่ ตลาดจะให้ผลตอบแทนดีแบบน่าประหลาดใจ …ต้องหาเงินมาเติม แล้วก็ต้องกล้า


6. ‘จุดที่เรามั่นใจในตัวเองมากที่สุด คือจุดที่ต้องระวังตัว’ …ในตลาดหุ้น อีโก้ คือ สิ่งที่ทำให้เราเสียหายมากที่สุด …ให้สังเกตตัวเองว่า เมื่อไหร่เราอีโก้เยอะๆ แปลว่า หายนะ กำลังจะเข้ามาเยือนเรา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2565

6 สิ่งที่ทำให้หุ้นราคาแพง และแพงขึ้นเรื่อยๆ

 6 สิ่ง ที่ทำให้หุ้นบางตัวราคาแพงมากๆ และ แพงขึ้นไปเรื่อยๆ 


1. กำไรของบริษัทโตขึ้นไปเรื่อยๆ …ยิ่งกำไรโตขึ้น ราคาก็มีแนวโน้มจะโตขึ้นเช่นกัน


2. นักลงทุนยอมซื้อแพงขึ้น …ก็คือ ค่า P/E สูงขึ้นเรื่อยๆ (นักลงทุนยอมซื้อที่ P/E สูงขึ้น) มักเกิดขึ้นในช่วงขาขึ้นของธุรกิจ และกำไรของบริษัทกำลังขาขึ้น


3. ธุรกิจมี Story ที่นักลงทุนสนใจ …สมมุติว่า ช่วงนี้นักลงทุนสนใจ EV …การที่หุ้นมี Story ทำธุรกิจที่เกี่ยวกับ EV ก็จะดึงดูดความสนใจของนักลงทุน


4. เจ้าของและนักลงทุนรายใหญ่ไม่ขาย …หุ้นสามารถขึ้นไปแพงมากๆ หากเจ้าของและนักลงทุนรายใหญ่ยังไม่ขาย …พอเริ่มขาย นักลงทุนก็อาจขายตาม


5. มีการขยายธุรกิจที่ไม่ใช่ Organic ด้วย …เช่น การซื้อธุรกิจอื่น ..การขยายธุรกิจที่เพิ่มเติมจากรายได้ปกติ


6. การเอากำไรกลับมาซื้อหุ้นตัวเอง …ก็เป็นการลดจำนวนหุ้นที่มีอยู่ ทำให้หุ้นที่เหลืออยู่มีมูลค่าเพิ่มขึ้น (ตลาดอเมริกา มีการซื้อหุ้นคืนค่อนข้างเยอะ เพราะบริษัทมีเงินเหลือมากนั้นเอง)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 สิ่งที่ทำให้ สินค้าสามารถตั้งราคาได้แพงมากๆ

 6 สิ่ง ที่ทำให้ สินค้า สามารถตั้งราคาแพงมากๆ


1. จำนวนผลิตจำกัด ….ยิ่งจำกัดยิ่งสามารถตั้งราคาได้สูง


2. คุณภาพสินค้า …คุณภาพที่สูงกว่า ย่อมสามารถตั้งราคาได้สูงกว่า


3. ลูกค้ากลุ่มเป้าหมาย …ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายที่รวยกว่า ก็สามารถตั้งราคาได้สูงกว่า …แต่ที่ต้องถามคือ ‘แล้วทำไมคนรวยต้องซื้อสินค้าเรา ?’ …ส่วนมากก็เพราะ มันทำให้เขาดูพิเศษนั่นเอง


4. ความคงทนของสินค้า …สินค้าที่คงทน ก็สามารถตั้งราคาได้แพงกว่า เช่น นาฬิกาดิจิตอล ไม่สามารถตั้งราคาได้สูงกว่านาฬิกาไขลาน


5. เรื่องราวของสินค้า …ยิ่งมีเรื่องราวพิเศษ ก็ย่อมสามารถตั้งราคาได้แพงกว่า …คนยอมจ่ายให้กับตำนาน เช่น งานศิลปะต่างๆ 


6. ค่าใช้จ่ายในการบำรุงรักษา …ค่าบำรุงรักษาไม่สูง ก็ย่อมดีกว่า …ของสะสมที่มีค่าบำรุงรักษาสูง มักไม่สามารถรักษามูลค่าในระยะยาว เช่น บ้านไม่สามารถรักษามูลค่าได้ดีเท่ากับที่ดิน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 24 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เมื่อเราไม่สามารถหลอกตัวเองต่อไปได้แล้วว่า วันพรุ่งนี้มันจะดีกว่านี้ เด็ดกว่านี้

 ‘เรามักจะคุยกับเพื่อนว่า ถ้าวันนึงเรารวย เราจะทำอย่างนั้นอย่างนี้ …แต่พอเราถึงเป้า เราก็มักจะเขยิบเป้าไปอีกนิด อีกนิด …ก็เลยไม่ได้ทำสิ่งที่อยากทำสักที’ …เคยเป็นไหมครับ ? 


ผมว่า ยิ่งคนอายุเยอะ ยิ่งเจอปัญหานี้ เพราะ Gen เรา ถูกสอนให้ Value การทำงานหนัก การอดทน มีเงินก็ไม่ใช้ …เก็บไว้ก่อน เผื่อไว้ก่อน มันอาจมีสิ่งไม่คาดฝัน เราต้องปลอดภัยไว้ก่อน 


จนผมเจอรุ่นพี่คนนึง เขาบอกผมว่า ‘ไอ้น้องชาย เอ็งรู้ไหมว่า วิกฤตวัยกลางคน มันคืออะไร ?’ 


‘ไม่รู้ครับพี่’ …แปลว่า จิตตกหรือเปล่า ?


ไม่ใช่เลยน้องชาย …’มันแปลว่า คนเรามาถึงจุดที่หลอกตัวเองต่อไปไม่ได้แล้ว ว่าชีวิตมันจะมีสิ่งที่ดีกว่านี้ !!’ 


เชี่ย!! โคตรแรง !!! 


คนสมัยก่อน ทำงานหนักตลอดชีวิต ไม่ใช้เงิน สุดท้ายเมื่อเขาตายไปด้วยมะเร็ง เพราะ แม่งเครียดไม่เคยหาความสุข …สุดท้าย ลูกหลานได้มรดก เอาไปซื้อ Supercar คนละคัน แล้วขับมางานศพอากง ผู้ล่วงลับ …ประมาณจะบอกอากงว่า …อากงไม่ใช้ เดี๋ยวพวกผมใช้ให้ดู …555


เอาตรงๆ เรื่องนี้ มันไม่มีใครผิดหรือถูก …เพียงแต่ผมได้เรียนรู้จากเรื่องนี้ว่า ‘คนทุกคนมีปม และปมชีวิตนั่นแหละ ที่ทำให้คนแต่ละรุ่นสุดโต่งไปคนละแบบ …จุดที่ดีที่สุด คือ จุดที่เราหาสมดุลย์ของเราให้เจอต่างหาก’ 


…ใช่!! ‘เมื่อเราถึงจุดที่เราหลอกตัวเองต่อไปไม่ได้ว่า ชีวิตข้างหน้าจะมีความสุข และดีกว่านี้’ …มันคือ จุดที่เราปลดล็อค ปมชีวิต และ ความรู้สึกผิดต่างๆ 


1. เราจะอนุญาตให้ตัวเอง ทำงานน้อย แต่ได้เงินมากได้  (ยอม work smart แทน work hard)


2. เราจะให้รางวัลตัวเอง กล้าซื้อสิ่งที่เราเคยอยากได้บ้าง แบบสมเหตุสมผล (เออจริงๆ เราก็ซื้อได้นี่หว่า สบายๆ เลย)


3. เราจะไม่ Spoil คนรุ่นหลัง …เราจะยอมให้เขา ไปผิดพลาดบ้าง เพื่อให้เขารู้จักว่า โลกนี้มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่เขาคิด (ถ้าเราไม่ยอมเรียนรู้จากความผิดพลาดของตัวเอง ..สุดท้ายสังคมจะสอนเขาเรื่องนี้อย่างสาสมในที่สุด) 


….เอาตรงๆ การทำงานหนักและวิ่งไปข้างหน้าแบบไม่ลืมหูลืมตา ในระยะยาว มันอาจไม่ให้ผลลัพธ์ที่ดีเสมอไป


โคตรชอบเลย …’เราไม่สามารถหลอกตัวเองต่อไปได้แล้วว่า ชีวิตข้างหน้า มันมีอะไรที่ดีกว่านี้’ …คำพูดนี้มันทำให้คนที่ใช้ชีวิตแบบกระสวยอวกาศอย่างผม ที่เอาแต่พุ่งไปข้างหน้า โดยไม่สนอะไรเลย ให้กลับมาช้าลงบ้าง มองปัจจุบันบ้าง ยอมมีความสุขกับสิ่งเล็กๆ มากขึ้น 


ไม่ได้หมายความว่า เราจะหยุด ไม่พยายามต่อ …ผมก็ยังมีไฟ เพียงแต่ผมแค่เลือกงานมากขึ้น ไม่ได้เอาทุกอย่างที่ขวางหน้า …เอาเฉพาะงานที่มันใช่ก็พอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ปัญหา ที่สร้างโอกาสมหาศาล

 10 ปัญหา ที่สร้างโอกาสมหาศาล


ในทุกปัญหา มันมีคนที่เห็นช่องทาง ได้ประโยชน์ และ เติบโตจากตรงนั้น …ลองมาทำความเข้าใจกับปัญหาใกล้ตัวกันดู ว่า เราเห็นโอกาสอะไรกันบ้าง ?


1. ‘การไม่มีเวทีให้คนตัวเล็ก’ …ทำให้เกิด Social Media และการเกิดของ Influencers ในทุกวงการ


2. ‘การต้องการโชว์ความสำเร็จของคนรุ่นใหม่’ …ทำให้เกิด Street wear …ซึ่งปัจจุบันได้กลายมาเป็นกระแสหลักของวงการแฟชั่นเรียบร้อยแล้ว 


3. ‘การไม่มีที่ไปของเงินสีเทา’ …ทำให้เกิดการปั่นหุ้นเล็ก …การเกิดเศรษฐีใหม่จากหุ้นขนาดเล็ก


4. ‘การขาดโอกาสสำหรับคนรุ่นใหม่’ …ทำให้เกิดวงการคริปโต …เป็นทางเลือกของการทำงานและความสำเร็จแบบคนรุ่นใหม่ (ซึ่งกำลังถูกท้าทายอย่างหนักว่า จะสามารถไปต่อได้หรือไม่) 


5. ‘การไร้วินัยทางการเงินของรัฐบาลอเมริกา’ …ทำให้เกิดสูญญากาศทางการเงินในปัจจุบัน เพราะ ยังไม่มีสกูลเงินใด ที่สามารถทดแทนดอลลาร์ได้อย่างสมบูรณ์ในเวลานี้ ทำให้การเงินทั้งโลกเกิดความผันผวนอย่างหนัก


6. ‘การทำธุรกิจโดยไม่สนใจสิ่งแวดล้อม’ …ทำให้เกิดอุตสาหกรรม EV และ เศรษฐีบ้าระห่ำอย่าง Elon Musk 


7. ‘การถึงจุดเปลี่ยนของดอกเบี้ย’ …จากขาลง กลายเป็นขาขึ้น …ส่งผลให้ ยุคทองของ Startup จบลง …กลับสู่โลกของ SME แบบในอดีต


8. ‘หุ้นใหญ่ถึงทางตัน หุ้นดวงรุ่ง ถึงจุดยอดดอย’ …หุ้นเด็ดในยุคต่อไป คือ SME สายเติบโต จากเล็กไปใหญ่ …หมดยุคการ Burn เงินเล่นๆ (เพราะต้นทุนการเงินมันสูงขึ้น)


9. ‘เราเข้าสู่ยุคเงินเฟ้อสูง’ …ธุรกิจที่เติบโตในยุคเงินเฟ้อสูง ก็คือ ธุรกิจ Luxury ทุกอย่าง …ทำอะไรก็ได้ ที่จับลูกค้ามีเงิน เพราะ เงินเฟ้อสูง คนมีเงิน รวยขึ้น 


10. ‘การลงทุนดูเสี่ยงไปหมด จนเราอยากจะลงทุนแบบ Conservative’ …สรุปง่ายๆ คือ ยุคที่ทุกอย่างดูน่ากลัวในการลงทุน อย่าไปหาการลงทุนที่ดูปลอดภัย …แต่ให้ไปหาการลงทุนที่ดูเสี่ยง …สุดท้ายเราจะปลอดภัยและกำไรมากกว่า


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 เรื่อง ที่ได้เรียนรู้จากหุ้นปี 2022

 7 เรื่อง ที่ได้เรียนรู้จากหุ้นปี 2022 …บทเรียนส่งท้ายปีเสือ !!


ปี 2022 นับเป็นปีที่การลงทุนผันผวนมาก มาดูกันว่าเราได้เรียนรู้อะไร 


1. ‘พื้นฐานกับราคาหุ้น ไม่จำเป็นต้องไปด้วยกัน’ …ปีนี้เราเห็นหุ้นมากมาย ที่พื้นฐานกับราคาไม่สัมพันธ์กันเลย …เรื่องนี้สอนว่า อย่ามั่นใจในความรู้ของเรามากเกินไป


2. ‘ถ้าอะไรที่คนจำนวนมาก มองว่าเป็นโอกาส มันจะวิกฤตทันที’ …เรื่องนี้สอนว่า อย่าแห่ตามคนอื่น …ถ้าเราตกรถ ให้รอตรงนั้นแหละ เดี๋ยวคนที่ขึ้นรถไป มันจะตกลงมาหาเราเอง …555


3. ‘วิกฤตทุกครั้งไม่จำเป็นต้องเป็นโอกาส’ …เรื่องนี้สอนว่า ไม่ใช่ทุกวิกฤตจะเป็นโอกาส …โดยเฉพาะวิกฤตที่มีคนเยอะๆ …รอให้คนเงียบก่อน ค่อยมองหาโอกาส


4. ‘หุ้นที่อยู่ด้านล่าง น่าลุ้นกว่าหุ้นที่อยู่ด้านบน’ …ปีนี้หุ้นหลายๆ ตัว ราคารูดเหมือนตกสวรรค์ …ที่ดีคือ หุ้นด้านล่างที่เริ่มเด้งขึ้น


5. ‘อย่าตามเซียนหุ้น ตลาดแบบนี้เซียนก็โดน’ …ช่วงนี้เซียนหุ้นก็โดนหนักไม่ต่าง โดนเฉพาะเซียนที่ไปต่างประเทศ ก็จะโดนหนักเข้าไปอีก


6. ‘การติดตามข้อมูลข่าวสารมากเกินไป อาจซวยเพิ่ม’ …ใช่!! ทุกอย่างมีทางสายกลาง ..การติดตามข่าวสารและข้อมูลก็เอาแต่พอดี ฟังหูไว้หูบ้าง


7. ‘การพยายามหาหุ้นดีปันผลสูง มันไม่ได้ทำได้ทุกปี’ …ปี 2022 เป็นหนึ่งในปี ที่เรียกได้ว่า Value Trap ‘กับดักหุ้นมูลค่า’ เพราะ เมื่อทุกคนมองหา สิ่งนั้นจะไม่ work ทันที 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 17 ธันวาคม พ.ศ. 2565

ความสุขของชีวิตของคนวัย 40

 ความสุขของชีวิต ของคนวัย 40 


คนเราเมื่ออายุมากขึ้น ก็เข้าใจอะไรมากขึ้น และ นี่คือ สิ่งที่ผมเข้าใจ 


1. ‘ทางสายกลาง เป็นสิ่งที่ทำยากที่สุด ในทุกเรื่องของชีวิต’ …มันจึงเป็นความสุข เมื่อเราเจอทางสายกลาง


(อ้าวพี่!! อย่างนี้ชีวิตก็ไม่สุดดิพี่ เสียดายแย่ …เฮ้ย!! มรึงก็เอาเลย ไปให้สุด มันไปสุดตรงไหน แล้วกลับมาเล่าให้พี่ฟังด้วยนะ) 


2. ‘เราจะมีเวลามากที่สุด เท่ากับคนที่ไม่ว่างที่สุดในครอบครัวเรา’ …เราจะเห็นนักลงทุนที่มีเงินและมีเวลา ไปส่งและไปรับลูกด้วยตัวเอง แต่ในเวลางาน เขามักพูดกับลูกน้องว่า ‘พูดให้เข้าประเด็นหน่อย แบบนี้มันเสียเวลา!!’ 


3. ‘การพยายามทำงานหนักที่สุด ควรทำเมื่อเรายังไม่รู้ว่าจะเดินทางไปไหน …แต่พอเรารู้แล้วว่า เราต้องเดินทางไปไหน ต้องเปลี่ยนเป็นทำงานอย่างฉลาดแทน’ 


4. ‘อย่าเอาบรรทัดฐานของคนอื่น มากำหนดชีวิตของเรา’ … เพราะ บรรทัดฐานของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน …เช่น คนนึงให้ความสำคัญกับการทำงาน กับ อีกคนให้ความสำคัญกับผลลัพธ์ …ทั้งสองไม่มีใคร ผิด หรือ ถูก …แค่เขาให้ความสำคัญกับคนละเรื่อง มันก็แค่ คุยกันไม่รู้เรื่อง นั่นเอง (เดี๋ยวนะ !! แล้ว งาน กับ ผลลัพธ์ มันคนละเรื่องเหรอ ? …ก็ใช่ไง …ในโลกทุกวันนี้ คุณ Focus อะไร เราก็จะได้สิ่งนั้น …ซึ่งมันอาจจะไม่เกี่ยวข้องกันก็ได้ แปลว่า คนทำงานหนัก ไม่จำเป็นต้องรวย อะไรแบบนั้นไง) 


5. ‘เราจะสบายใจเมื่อใช้เวลากับคนที่คิดคล้ายๆ กัน’ …นี่คือ หลักการเลือกคู่ครอง ที่อยู่แล้วสบาย …แต่ถ้าเลือกคนที่ต่างกัน มันก็ต้องมีการปรับตัว …จริงๆ เราเลือกคนคิดต่าง เวลาทำงาน ก็ทำให้เราพัฒนา แต่เวลาพักผ่อน ขอคนที่คิดคล้ายๆ เราจะสบายกว่านะ (คนรุ่นใหม่ เลือกคู่ครอง ที่ตื่นเต้น แตกต่าง ..ช่วงแรกๆ ก็ท้าทาย แต่พออยู่ๆ ไป ก็เลยแยกทาง หย่าร้างกันเยอะ เพราะ มันต่างกันมากเกินไป) 


6. ‘คนดีไม่มีอยู่จริง …คนไม่ดีก็ไม่มีอยู่จริง’ …แต่ให้หลีกหนี คนที่ชอบพูดว่า ตัวเองเป็นคนดี …คนแบบนี้น่ากลัวชิบหาย !!


7. ‘ทุกอย่างมันจะดำเนินต่อไปแบบนั้นแหละ โดยที่มีเราหรือไม่มีเราก็ได้’ …ใช่!! อย่าคิดว่า เราสำคัญ …ทุกอย่างมันไปได้อยู่แล้ว แม้ไม่ต้องมีเรา …บางคนคิดว่า บริษัทจะเจ๊ง ถ้าขาดฉันไป แต่พอไม่มีเรา บริษัทกลับอยู่ได้ ดีกว่าเดิมอีก (เออ!! อย่าสำคัญตัวผิด) 


8. ‘การวิ่งมาราธอนไม่ได้ทำให้สุขภาพดี แต่การวิ่งวันละนิดทุกวัน ทำให้สุขภาพดีมากกว่าเยอะ’ …ใช่!! ทำอะไรสุดโต่งมันเท่ห์ แต่ทำทีละนิด เป็นประจำ จะส่งผลลัพธ์ ที่ดีกว่า …เปลี่ยนชีวิตมากกว่า !!


9. ‘ตอนเด็กๆ อยากมีเพื่อนให้เยอะที่สุด …พอวันนี้มีแค่เพื่อนที่รู้ใจ ไม่กี่คนก็พอแล้ว’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


คุยกับหยง Freedom Trader

 คุยกับ หยง (หนุ่มใหญ่ไว้หนวดเครา นามว่า ‘Freedom Trader รุ่นแรกๆ ของไทย’) …


สิบปีก่อนผมเคยเขียนหนังสือเล่มนึง ชื่อว่า ฟรีด้อมเทรดเดอร์ …หนังสือเล่มนั้นได้แรงบันดาลใจจากที่ผมเจอเทรดเดอร์คนนึง …หยง!! นั่นเอง


ย้อนกลับไปสิบกว่าปีที่แล้ว อาชีพ Trader ไม่ใช่อาชีพที่มีคนทำมากนัก …หลักๆ เพราะ พ่อแม่ไม่เห็นด้วย นั่นแหละ …555


…ผู้ใหญ่สมัยก่อน อยากให้ลูกทำงานที่มั่นคง และ ขยันขันแข็ง …‘หยง เล่าว่า วันที่เขารวยจากการเทรดแล้ว ..พ่อแม่ก็ยังพูดว่า ทำไมลูกไม่หางานทำเป็นชิ้นเป็นอันซะที !!’ 


‘อ้าว!! แล้วที่กรู ทำอยู่ ได้เงินมากกว่างานประจำ …และก็เวลาทำงานยืดหยุ่น ขนาดที่ว่า สามารถพาพ่อแม่มากินข้าว (ในเวลาที่คนอื่นต้องทำงาน) เพื่อที่จะโดนพ่อแม่ด่า ว่า ทำไมมรึงไม่หางานทำ …555 …ตลกชิหาย’


ถามจริงๆ นะ ‘อาชีพ Trader มันอิสระ และ สบายจริงๆ รึเปล่าวะ หยง ?’ 


ตอบจริงๆ นะ …’มันก็คือ อีกหนึ่งอาชีพ ที่มันก็ทั้งหนัก และ มีความกดดันไม่แตกต่างจากอาชีพอื่น …เพียงแต่มันแค่สามารถยกเอางานไปทำที่ไหนก็ได้ แค่นั้นเลย’ …แปลว่า มึงไปเทรดริมทะเลสาบซีหูก็ได้ แต่ถ้าตอนนั้น โดน เสียเงิน …จะนั่งอยู่ที่ไหน มันก็เครียดเหมือนกันแหละ …555’ 


แต่เอาจริง อาชีพคนรุ่นใหม่ทุกวันนี้ ก็คล้ายๆ Freedom Trader นะ …แค่คอมหรือมือถือเครื่องเดียว ก็ไปทำงานที่ไหนก็ได้ ….แต่ปัญหาคือ คนรุ่นก่อนเขามีบรรทัดฐานว่า ถ้าเราไม่แสดงให้เขาเห็นว่า เราเหนื่อย เราหนัก เขาก็จะสรุปว่า เราไม่ได้ทำงาน ซะงั้น !!!


แล้วหยง มรึงแก้ยังไง …ปรับความเข้าใจกับพี่บ้านยังไง ?


‘ก็ไม่ต้องแก้’ …


แล้วปรับความเข้าใจยังไง ?


‘ก็ไม่ต้องปรับ’ 


เฮ้ย!! 


‘เอาตรงๆ เราทุกคน มีวิธีคิดที่ต่างกัน …เราเปลี่ยนวิธีคิดคนอื่นไม่ได้ (กรูลองมาแล้ว …ฮ่า ฮ่า …ยิ่งผู้ใหญ่ คนอายุเยอะ เขายิ่งไม่เปลี่ยน) …สรุป เราต้องเปลี่ยนเอง’ ….ใช่!! เราก็แค่ Support ดูแล คนที่เรารัก ในแบบที่เราทำได้ ….เขาอยากได้อะไร ถ้าเราทำได้ เราก็หาให้เขา


‘แต่เขาก็ยังมองมรึงว่า เมื่อไหร่ หยง จะหางานทำเป็นชิ้นเป็นอัน อยู่ดีใช่ไหม?’ 


ใช่ …555


โอเค !! …ช่วยสรุปหน่อยว่า ‘นิทานชีวิตเรื่องนี้ สอนอะไรเราได้บ้าง ?’ 


…มันสอนว่า 


1. การทำอะไรใหม่ๆ แปลกๆ มันย่อมทำให้คนอื่นอึดอัดไม่เข้าใจ …แต่ถ้าเราคิดว่า มันใช่ เราก็แค่ทำในแบบของเราให้ดีที่สุด


2. ใช้เวลากับคนที่เข้าใจเราให้มากที่สุด …และก็ไม่ต้องพยายามไปเปลี่ยนความคิดคนอื่นที่ไม่ได้เข้าใจเรา มันเสียเวลา ทั้งเขาและเรา (เสียเวลา และ เปลืองพลังงาน) 


3. ดูแลคนที่เรารักในแบบของเรา …’ทำดีที่สุดในแบบของเรา ไม่จำเป็นต้องทำดีที่สุดในแบบของเขา’ (จบไหม ?) 


….


ไอ้แพ้ท!! …’มรึงถามกรูอยู่ได้ …ไอ้แพ้ท มรึงแม่ง ชิวกว่ากรูอีก แสรดดด !! …แล้วมรึง จัดการเรื่องนี้ยังไง ?’


อ๋อ!! นี่ไง กรูก็มีงานประจำไง ‘ที่ปรึกษาการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวงไง’ …พ่อแม่กรู ภูมิใจแล้ว ลูกกรูมีงานประจำ เป็นถึงระดับผู้บริหารเลยนะ …555


แสรดดด!! 


ผม กับ หยง คุยกันทุกเรื่องแหละ หลักๆ คือ บรัฟกันตลอด แซวกันตลอด …อันนั้นปม ก็หยิบขึ้นมาขยี้กัน …นี่ปมมึงใช่ไหม …ขอขยี้หน่อย …ปมชีวิต ฮ่า ฮ่า 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2565

6 ความแตกต่างระหว่าง ‘เล่นหุ้นตามกระแส’ กับ ‘เล่นตามเทรนด์’

 6 ความแตกต่างระหว่าง ‘เล่นหุ้นตามกระแส’ กับ ‘เล่นตามเทรนด์’ 


เรามักจะแปลกใจ เมื่อตลาดหุ้นสร้างคนรวยจากผู้เล่นหลากหลายแนว …แต่หลักคนที่ซวย มักเกิดจาก ไม่มีแนวทางชัดเจน เปลี่ยนไปเปลี่ยนมา นั่นละเจ็บหนักเลย


1. ‘จับกระแส คือ เล่นสั้น ..เล่นตามเทรนด์ คือ เล่นยาว’ 


2. ‘จับกระแส ใช้กราฟ Day …จับเทรนด์ ใช้กราฟ Week’


3. ‘จับกระแส ต้องตามข่าว …จับเทรนด์ ต้องสวนข่าว’ 


4. ‘จับกระแส ต้องรอ Volume …จับเทรนด์ ต้องหนี Volume’ 


5. ‘จับกระแส ต้องเก่งเรื่อง Stop Loss …จับเทรนด์ ต้อง ทนการย่อได้’ 


6. ‘จับกระแส ต้องซื้อเมื่อกล้า …จับเทรนด์ ต้องซื้อเมื่อกลัว’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2565

6 สัญญาณอันตรายในหุ้นที่เราต้องระวัง

 6 สัญญาณอันตรายในหุ้น ที่ต้องระวัง


1. ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ขาย …เจ้าของขายทิ้ง ต้องระวังให้ดี ..เพราะถ้าดี เขาต้องไม่ขายเยอะ


2. ปริมาณการซื้อขายหุ้นขึ้นเยอะมากเกินไป …คำว่า มากเกินไป คือ มันเยอะกว่า การซื้อขายปกติมากๆ 


3. กรรมการลาออก …ถ้ามีการเปลี่ยนกรรมการบ่อยๆ นี่ต้องระวังละ เพราะ ถ้าธุรกิจมีอะไรผิดพลาดคนซวยก็คือกรรมการ


4. ธุรกิจเริ่มสร้างหนี้มากเกินไป …ปกติช่วงธุรกิจขาขึ้น การขยายก็เป็นเรื่องปกติ แต่ส่วนมากเวลาหุ้นขึ้นปลายๆรอบ ธุรกิจจะสร้างหนี้เยอะ มันเป็นสัญญาณของ ‘เฮือกสุดท้ายแล้ว !!’ 


5. ผู้บริหารให้ข่าวดีถี่ๆ …เยอะไปป่าว ? …เวลาหุ้นแพง ผู้บริหารก็จะพยายามให้ข่าวดี เยอะๆ เป็นการเชียร์คนมาซื้อ …แบบนี้ต้องระวังว่า การขึ้นรอบนี้ใกล้จบแล้ว


6. หุ้นขึ้นโดยไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน …ระวังเขาลากไปเพิ่มทุน ‘เติมเงิน!!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 ธันวาคม พ.ศ. 2565

เรียนหุ้นมาทุกสำนัก เล่นมาหลายปี แต่พอร์ตยังไม่โต

 มีรุ่นน้องมาถาม เรียนเทรดหุ้นมาทุกสำนัก เทรดมาหลายปีแล้ว ก็เทรดได้ตังค์แต่พอร์ตไม่โต …มีเทคนิคแก้ยังไงครับพี่ ?


อันนี้ปัญหาใหญ่วงการหุ้นเลย …แต่มันไม่ได้แก้ที่ ‘เทคนิค’ แต่มันต้องแก้ที่ ‘Mindset’ 


ใช่!! คนพูดเยอะ เรื่อง Mindset แต่พูดกันผิวมากๆ …ซึ่งเรื่อง Mindset ต้องบอกว่า โคตรสำคัญ …ไอ้เรื่องเทรดได้เงินใครๆ ก็ทำได้ แต่การปั้นให้พอร์ตโต แล้วไม่กลับไปที่เดิมนี่แหละ โคตรยาก


…’พี่แนะนำได้ ก็แค่เบื้องต้น เพราะ สุดท้ายเราต้องเอาไปปรับ Mindset แล้วแก้เอง ถึงจะได้’ 


1. ‘เทคนิคมันได้แค่ 40%’ …เฮ้ย!! เรียนตั้งเยอะมันยังไม่ถึง 50% แล้วจะเรียนไปทำไม ? …โอเค!! ถึงมันจะแค่ 40% แต่มันเป็นพื้นฐานที่ต้องมีก่อน เช่น คุณต้องอ่านงบการเงินเบื้องต้นได้ , ต้องอ่านพื้นฐานเป็น และ ก็ต้องรู้ว่ากราฟทรงนี้ มันขาขึ้น หรือขาลง


2. ‘Mindset ที่จะไม่เสียหายหนัก ไม่ว่าอะไรจะเกิดขึ้น’ …ตรงนี้สำคัญมาก เพราะ ส่วนใหญ่พอเรามีวิชาเทรด อ่านงบเก่ง เราจะ Self จัด คิดว่า เทคนิคนี้สามารถใช้ได้กับทุกสถานการณ์ …แต่มันไม่ใช่ไง ‘ไม่มีเทคนิคอะไรที่ใช้ได้ดีในทุกสถานการณ์’ 


3. ‘Mindset ที่ต้องกล้าเวลาที่เรากลัว’ …ตรงนี้ประสบการณ์จะสอนเราเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ …ให้ลองสังเกตว่า มันมีบางช่วงที่เราพลาดเยอะๆ เสียเยอะๆ พอถึงจุดที่ไม่ไหวแล้ว จุดนั้นแหละ เป็นจุดที่หลายๆ คนเลิก …หยุด …ถอดใจ ….แต่จุดนั้นเอง มักจะเป็นจุดต่ำสุดของตลาดในแต่ละช่วง (มันเป็นจุดที่หลายคนเจอจุดเปลี่ยนชีวิต พอร์ตโตเปลี่ยนหลัก ก็จุดแถวๆ นี้แหละ)


4. ‘คนที่อยากทำกำไรเร็วๆ เอาทุกๆรอบ จะขายหมูรอบใหญ่และทำให้พอร์ตไม่โต’ …นี่เป็น Mindset ของคนเก่งที่ เทรดแม่น เทรดเก่ง กำไรตลอด แต่จุดแข็ง มันคือจุดอ่อนที่ทำให้รอบใหญ่ ถือไม่สุด …ทนรวยไม่ได้ …สุดท้ายได้แต่คำเล็ก พอร์ตก็เลยไม่โต


5. ‘ขยันมาก โฟกัสมากเกินไป ก็พอร์ตไม่โต’ …อันนี้ก็กับดักคนเก่งเหมือนกัน …บางคนทำธุรกิจสำเร็จ ก็เอา Mindset ของการทำธุรกิจมาใช้ในการลงทุน …ก็คือ ทำให้หนักกว่าคนอื่นแล้วคิดว่าเราได้เปรียบ ….ตลาดหุ้นไม่ใช่เลย …’ตลาดหุ้นถ้าขยันผิดเวลา มีแต่หายนะ’ …บางช่วงตลาดหุ้น ไม่ควรเล่น ก็ต้องรู้ว่า ช่วงนี้ให้อยู่เฉยๆ แต่ดันไปบู๊ อันนี้เสียแรง แถมจะทำให้ Mindset พังได้ 


…คร่าวๆ จะเห็นว่า มันคล้ายๆ ‘ทางสายกลาง’ …เร็วมากก็ไม่ได้ …ช้าไปก็ไม่ดี …จุดกลางๆ นี่แหละ ที่เราต้องหาสมดุลย์ด้วยตัวเราเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

นานๆ คุยกัน แต่มันส์ระเบิด


 นานๆ คุยกัน แต่มันส์ระเบิด


เรานัดรวมตัว แก๊งค์ลุง …เฮ้ย!! ไม่ใช่ แค่ Daddy …รุ่นใหญ่แต่ยังไหวอยู่ …555


พี่ใหญ่ (พี่ชายแสนดี กินนมเย็นสีชมพู) , ดร.ต้อง (นักแกะปม ปรับมุมมอง สายอบอุ่น) , โค๊ซเป๊ก (พ่อบ้านมือใหม่ สายหลบเมียไม่พ้น) …ขนาดนั่งคุยกันอยู่ดีๆ คุณภรรยา video call มาเฉยเลย …เป๊กตกใจรีบลุกจากโต๊ะ …ลืมตัว ว่า นี่นั่งอยู่ในไอริสผับธรรมดา (ไม่ต้องตกใจขนาดนั้น…555) 


ช่วงนี้ ดร.ต้อง เดินสายเยอะ โดยเฉพาะ สายจัดเวทีประกวดนางงาม ช่วยปรับ Mindset ..ปรับวิธีคิดผู้บริหาร และ สาย AI ที่กำลังหาจุดลงตัวในการเข้ามาปรับใช้จริงๆ ในชีวิต


ผมสงสัย ดร.ต้องเป็นพิเศษ เลยถามว่า ‘พี่ต้อง ผมถามจริงๆ นางงาม นี่เขาคิดเหมือน นางปกติไหม …555’ 


…สงสัยจริงๆ 


(แกเล่ายาวมาก แต่ขออุบไว้ก่อน ยังไม่เล่า) …ขอเล่าประเด็น สังคมยุคใหม่ก่อนที่ ถึงจุดเปลี่ยน ถึงจุดแตกหัก และ ถึงจุดที่ต้องปรับ Mindset กันขนานใหญ่ เพื่อเดินต่อ


1. โลกซึมเศร้าเกิดกับคนใกล้ตัวเรามากขึ้น และมักเกิดกับ High Performer ด้วยซิ …คนเก่ง ผู้บริหารระดับสูง เด็กเรียนดี พร้อมทุกอย่าง ครอบครัวอบอุ่น …ทำไมเสี่ยงหนักเลย ? (เรานั่งเกาหัว ทำไมล่ะ ?)


2. การอยากสำเร็จเร็ว กลายเป็น อุปสรรคทาง Mindset ของคนรุ่นใหม่


3. ผู้บริหารระดับสูง กลัวตกยุคและเสียจุดยืน เมื่อเจอกับวิธีทำธุรกิจในโลกดิจิตอล และไม่เข้าใจเด็กรุ่นใหม่ที่เป็น High Potential 


4. อาชีพแปลกๆ ที่โคตรทำเงิน แต่คนอย่างเราๆ แทบไม่รู้จัก (เฮ้ย!! มันทำเงินได้ขนาดนี้เลยหรือ ?)


5. รุ่นน้องที่งานดี เงินเดือนสูง แต่ทนไม่ไหว อยากเปลี่ยนงาน (มรึงไม่ไหว อะไรวะ)


6. นักธุรกิจที่เล่นใหญ่จนลงไม่ได้ ต้องเล่นใหญ่ขึ้นเรื่อยๆ เพราะอีโก้ค้ำ …รู้ตัวอีกที ก็สายเกินแก้ …เสี่ยงอาจจะพังทั้งกระดาน



คุยไปคุยมา …ดร.ต้อง บอก เราน่าจะทำ รายการ คุยแบบนี้ แต่ให้คนอื่นฟังด้วยน่าจะเป็นประโยชน์นะ …มันเป็นเรื่องที่คนอยากรู้ แต่ไม่ค่อยมีใครกล้าถาม


เช่น คนสำเร็จเยอะๆ แต่โคตรจิดตก ครอบครัวพัง …จะกล้าไปถามใคร ? …ถ้าถาม คนอื่นคงมองว่า ‘แหม!! ชีวิตดีขนาดนี้ แล้วยังไม่พอใจอีก …ไปตายซะ’ …เออ …ก็แบบนี้มันก็ยิ่งเครียดดิ (ถามใครก็ไม่ได้)


…‘น่าสนใจ’ …เราคุยกันลึกๆ ไปเลย 


จาก 4 มุมมอง ของคน 4 คน ที่โคตรแตกต่าง แต่ลงตัวเพราะ เราเข้าใจกัน


…เกริ่นมาขนาดนี้แล้ว …เดี๋ยวเริ่มจัดรายการเมื่อไหร่ จะแจ้งให้ทราบ มาดู มา Comment ร่วมถกประเด็น ที่คนไม่กล้าคุย …ลึกๆ กัน 


วันอังคารที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คุยกับพี่บอย (วิสูตร)

 คุยกับพี่บอย (วิสูตร) ..


พี่บอยเป็นคนที่อ่านและสรุปหนังสือเยอะมาก …เล่มล่าสุดที่แกชอบคือ ‘ชีวิตเรามีแค่สี่พันสัปดาห์’ เขียนโดย Oliver Burkeman …’เหมือนจะเป็นหนังสือเรื่องการบริหารเวลา แต่ไม่ใช่เลย …มันแทบจะตรงข้าม และ จับเราตีลังกาคิดกันเลยทีเดียว’ 


พี่บอยเล่าว่า แกเป็นคนรุ่น GenX จะรู้สึกผิดมากๆ หากใช้เวลาไม่คุ้มค่า จะรู้สึกว่าตัวเองไร้สาระ …ทำให้ต้องขยันตลอดเวลา หรือ อย่างน้อยต้องทำตัวยุ่ง เพื่อให้ไม่รู้สึกผิด 


‘แพ้ท เป็นเหมือนกันป่ะ?’ 


‘อ๋อ !! เคยพี่ เคยเป็น ตอนที่ไปเรียนโทอยู่ออสเตรเลีย ตอนนั้นเรียนด้วย ทำงานด้วย’ …มองหาลู่ทางตลอด อยากเปิดธุรกิจให้ได้ก่อนเรียนจบ …สุดท้าย!! เปิดร้านอาหารได้จริงๆ แต่เรียนไม่จบ …555


ไอ้เรียนโท ไม่จบนี่ มันทำให้โคตรกดดัน …ว่าธุรกิจต้องสำเร็จ …เอาตรงๆ ชีวิตแบบนั้น ทำงานโคตรหนักเลยนะ แต่โคตรไม่มีความสุข ชีวิตเหมือนแรงงานเถื่อนอ่ะ …วันๆ มองเงิน ว่า ขายอาหารได้เท่าไหร่ …อยากเก็บเงินสร้างตัว และ ขยายร้านอาหาร


โอเค !! สรุปคือ 


ที่ผ่านมาจุดนั้น สอนให้ผมรู้ว่า 


1. ‘การ Work Hard กับ Work Smart ต่างกันมาก’ …เราจะ Work Hard เมื่อเรายังไม่เจอทาง …แต่ถ้าเจอทางแล้ว ต้อง Work Smart ทันที 


2. ‘เราจะเจอทาง เมื่อเราทำงานน้อยลง แต่ผลลัพธ์มากขึ้น’ …มันคือวิธีการค้นหาความถนัดของเราเองนั่นแหละ ….สุดท้ายให้ทำเฉพาะที่เราถนัดเท่านั้น


พี่บอย ‘นี่มันก็คือ เน้น Productivity เป็นหลัก ?’ 


‘ใช่’


พี่บอย ‘แล้วแพ้ทคิดยังไง กับ คนที่ทำงานหนัก แต่ไม่ใช้เงิน ไม่ใช้ชีวิตเลย ?’ 


นี่ไง !! ผมว่า เรากำลังจะเข้า Topic ของ ‘วิกฤตวัยกลางคน !!’ …เราเห็นคนวัยกลางคน ลุกขึ้นมาซื้อรถสปอร์ต แล้วก็เปลี่ยนการแต่งตัว ทำอะไรใหม่ๆ เปลี่ยนงานอดิเรก …เปลี่ยนตัวเองว่างั้น 


ตอนเด็กๆ เรามองคนเหล่านี้ ก็รู้สึกว่า ‘ลุงคนนี้ อยากเด็กนี่หว่า นึกขำ ..555’ …เฮ้ย!! แต่วันนี้มันเกิดกับตัวเราเองอ่ะ 


พี่บอย ‘ทำไมล่ะ ? …มันเกิดอะไรขึ้น ?’ 


‘ผมว่ามันเกิดกับทุกคนแหละ’ …มันคือจุดเปลี่ยนของแต่ละคน …ตอนทำงานใหม่ๆ เราจะทุ่มเททั้งหมดไปที่เป้าหมาย อยากไปถึงเป้าหมายให้เร็วที่สุด …แต่เอาตรงๆ นะ พอเราทำมาถึงจุดนึง เราจะเริ่มรู้สึกว่า …เฮ้ย!! ทำแบบนี้เมื่อไหร่จะได้ใช้เงินวะ ? 


เหมือนหนังสือเล่มนี้เลย …ชีวิตคนเราเฉลี่ยมีแค่ 4 พันสัปดาห์ …อย่างพวกเราใช้มาเกินครึ่งละ แถมเหนื่อยตลอด 


มองไปรุ่นปู่ย่า พ่อแม่ …ทำงาน ทำงาน ทำงาน …ไม่ได้ใช้ พอถึงจุดนึง มะเร็งมาละ …ตายละ …สรุป ไม่ได้ใช้เงิน …ที่ใช้มากสุดก็ ตอนนอนอยู่ รพ. ตอนใกล้ตาย …ที่เหลือลูกหลานเอาไปผลาญสบายๆ ….’ผมเห็นแบบนี้ โคตรรู้สึกว่า เป็นปมชีวิตผมเลย คือ เราจะไม่ทำแบบนั้น’ 


หนึ่ง เงินมากเกิน มันทำลายลูกหลาน เพราะ มันจะเริ่มหลุดโลก (คนที่ไม่ต้องทำงาน ก็อยู่ได้ …แม่งจิตตกทุกคน ไปดูดิ สบายกาย แต่ใจจะหนัก แล้วสุดท้ายมันจะฟุ้ง) …สอง งั้นสู้เราเอามาใช้บ้าง เหลือให้มันน้อยลง น่าจะเป็นประโยชน์กว่า


ก็น่าจะประมาณนี้แหละ วิกฤตวัยกลางคน …ทำงานหนักมาถึงจุดนึง สำเร็จระดับนึง ยังมีเป้าหมายต่อนะ แต่พอมองไปก็เห็นว่า ชีวิตมันไม่ได้ยืนยาวขนาดนั้น เลยเริ่มมองหาวิธีใช้ชีวิต 


…แต่!! 


ใช่พี่ …แต่มันรู้สึกผิด เหมือนเราทำตัวไร้สาระ ไม่ Productive !!


‘แพ้ทแก้ยังไง ? ความรู้สึกนี้ ?’ 


…เอาตรงๆ นะครับ …’ช่างมัน!!’ 


1. เปลี่ยนมุมมองใหม่ เราต้อง Work Smart ไม่ใช่ Work Hard …แปลว่า คนนั่งเฉยๆ ยุคนี้ อาจ Productive กว่าคนที่ดูยุ่งตลอดวันก็ได้


2. พยายามให้รางวัลตัวเองแบบสมเหตุสมผล …อันนี้คน GenX หรือ Gen ก่อนหน้า จะเข้าใจดี เพราะ เขามักทำงานเพื่อคนอื่น …ทำเพื่อครอบครัว เพื่อลูก …ใช้กับตัวเองน้อยเกิน ….ก็แค่เพิ่มการใช้กับตัวเองบ้าง แค่นั้นแหละ 



#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

คุยกับทอย …

 ‘คุยกับทอย’ ….


ในโครงการ The Stock Master 11 เราได้เชิญตัวแทนคนรุ่นใหม่ ก็คือ The Toys เพื่อเป็นตัวแทน นักลงทุน Gen Y ….ผมเองในฐานะคนรุ่น Gen X ก็ได้มาคุยหาจุดร่วม จุดต่าง 


คนรุ่น Gen X อย่างผมวันนี้ก็อายุ 40 ขึ้น …เป็นรุ่นฟังเพลงจากเทป เช่าวีดีโอจากร้าน ..พ่อแม่โคตรโหด โคตรเข้มงวด …ไม่ต้องมาคุยอะไรความฝัน เรียนให้จบ เรียนให้เก่ง ถ้าเป็นหมอ หรือ วิศวะ นี่คือ ลูกกตัญญู …ชีวิตของคนยุคผม มุ่งสู่สายอาชีพ การเป็น ผู้บริหารใส่สูท คือ ที่สุดของแจ้ (พ่อแม่ยุคนั้น) 


จุดเปลี่ยนมันมาในยุคทอย Gen Y เข้ามาทำงานในยุค จุดเปลี่ยน …คือ ’เปลี่ยนจากคนอื่นเป็นคนกำหนด มาเป็นตัวเราเป็นผู้กำหนด’ 


เดี๋ยวนี้ ‘ใบปริญญา’ แทบไม่มีผลต่อความก้าวหน้าในหน้าที่การงาน …Social Media & Online มันเปิดโอกาสในการสร้างอาชีพใหม่ๆ ที่ในอดีตไม่มีทางทำได้ 


‘คิดง่ายๆ วันนี้ถ้าคุณมี Social แล้วสร้าง Fan Club แบบคนที่รักคุณจริงๆ สัก 1,000 คน …คุณอยู่ได้แล้วนะ มันเป็น Community เป็นชุมชนที่คุณคล้ายๆ ผู้นำชุมชนในเรื่องนั้นๆ แล้วมันก็ต่อยอดไปได้มหาศาล’ …เราถึงเห็น Youtuber หรือ Social Influencer แต่ละคน หาเงินกันง่ายๆ …ยิ่งฐานของกลุ่มใหญ่ Influencer ก็ยิ่งรวยขึ้นไปเรื่อยๆ 


ใช่!! มันไม่มี ‘วิชาอะไรที่เรียนจบมาแล้ว สามารถเป็น Influencer’ (ถ้ามีก็น่าจะดี) …


เล่ามาซะยาว เข้าสู่คำถามทอย เลยว่า 


‘จากความชอบทางดนตรี (เด็กส่วนใหญ่ก็ชอบ) มันสามารถเปลี่ยนเป็นความรวย ความสำเร็จได้ยังไง ?’ 


ทอยบอก ‘ผมชอบจริงๆ แบบโคตรชอบดนตรี’ 


‘เด็กคนอื่นเขาก็ชอบ ??’ (รึเปล่าวะ?)


ความแตกต่างคือ การเข้าประกวด …ทอยเล่าว่า เขาประกวดครั้งแรกแล้วแพ้ …ทำให้กลับมาทบทวน พบว่า เดิมทีเขาก็เก่ง แต่เก่งแบบไม่แคร์โลก คือ ไม่ได้ดูเลยว่า กระแสของเพลงฮิต มันไปทางไหน 


พอทอย มาจับกระแส คราวนี้ประกวดครั้งต่อมาก็ชนะเลย …จากนั้นมันก็ชนะเรื่อยๆ 


…(ในใจผม ก็คิดว่า เฮ้ย!! ทอย มันตามกระแสอะไรวะ ..มันโคตรจะติสแตก ไม่แคร์โลก แต่คำตอบนี้ทำให้ผมกลับมาประมวลผลใหม่)


 …แปลว่า ?!


แปลว่า จริงๆ ทอย ไม่ใช่ไม่แคร์โลก แต่เขาเข้าใจแนวทางของโลกทางดนตรีได้อีก Step คือ รู้ล่วงหน้าแล้ว ว่า What’s Next (Trend) 


…ครับ!! น่าจะใช้คำว่า ‘จุดร่วมของคนเก่ง’ 


คนเก่ง มันมีทุกอาชีพ ทุกอุตสาหกรรม …แล้วถ้าคนธรรมดามองคนเก่ง ก็จะมองว่า ‘มึงติส’ (มึงเพี้ยน) ไม่แคร์โลก แต่จริงๆ ไม่ใช่ …เขาแค่เข้าใจโลกมากกว่าคนอื่น รู้ก่อนคนอื่น มาอะไรจะมา …แล้วเขาไปเล่นอยู่ข้างหน้าแล้ว 


ผมถามทอยว่า ใครเป็น Idol ในเรื่องธุรกิจ 


ทอยบอก ‘Elon Musk’ 


‘นั่นไง’ …Elon Musk แม่งล้ำ แล้วก็ดูบ้า …แสดงว่าจริงๆ เขาไม่ได้บ้า เขาแค่รู้ล่วงหน้าคนอื่นอีก Step ก็แค่นั้น 


ผมเลยถามทอยต่อว่า ‘แล้วอะไร ที่ทำให้เรารู้ล่วงหน้าว่า อะไรจะมา ?’ 


ทอยไม่ตอบ (ส่ายหัวไปมา) …ผมว่า เขาคิด และ ประมวลผล แบบเด็กรุ่นใหม่อยู่ 


‘ปล่อยไหลพี่’ 


‘อะไรวะ ??!? …กรูเริ่ม งง ละ …555’ 


โอเค!! ผมแปลให้ละกัน …ในฐานะ ที่ผมก็ได้เจอ คนล้ำๆ มาเยอะ ก็พอจะเข้าใจว่า อะไรเป็น เหตุแห่งความล้ำหน้า 


1. ‘หมกมุ่นกับเรื่องนั้นมากพอ นานพอ’ …เมื่อเราทำอะไรนานพอ มันจะเริ่มเก่งพอตัว 


2. ‘มองหา Pattern ที่ชัด ในความไม่ชัด’ …ในสิ่งที่วุ่นวาย จริงๆ ถ้าเราสังเกตดีๆ มันจะเจอ Pattern บางอย่างที่มันเกิดซ้ำๆ …มันมีความชัดเจน ในความไม่ชัดอยู่ (แต่คุณต้องผ่านข้อ 1 ก่อน คือ อยู่ในตลาดนานพอ) 


3. ‘กล้าที่จะทุ่ม All-in ในสิ่งที่เราเชื่อ’ …การที่เราเจอความชัดเจน ในขณะที่คนอื่นเห็นแต่ความยุ่งเหยิง มันไม่พอแค่นั้น ….มาถึงจุดที่คุณกล้าจะเสี่ยง เพื่อพิสูจน์ไหมว่า สิ่งที่เราเห็นคือของจริง (หรือแค่เราแม่งมโน) 


คนระดับโลกอย่าง Elon Musk นั่นคือ เขา All-in ทั้งหมดเลย เพื่อจะพิสูจน์ว่า เขาเห็นชัดเจนไปอีกหนึ่ง Step โดยที่ทั้งอุตสาหกรรมรถยนต์มองไม่เห็น 


…เอาจริง ข้อ 3 เป็นสิ่งที่ผมว่า ‘โคตรแห่งความยาก’ เพราะ ผมไม่เคยเชื่อการ All-in ….แต่ถ้าไปดูประวัติของคนประสบความสำเร็จ ก็คือ คนที่เคย All-in มาแล้วทั้งนั้น 


การสัมภาษณ์ครั้งนี้ จริงๆ ผมอยากรู้ว่า คนรุ่นใหม่ เขาคิดยังไง …เท่าที่จับประเด็นได้ก็คือ 


1. ‘การอยู่ถูกที่ สำคัญกว่าความเก่ง’ …แต่การจะอยู่ถูกที่ มันหมายถึง เราต้องมองให้ออกว่าอะไรคือ Trend …อะไรคือ What’s Next แล้วไปอยู่ตรงนั้นก่อนคนอื่น (นั่นแหละ แปลว่า อยู่ถูกที่) 


2. ‘จุดร่วมในการเป็นนักลงทุน’ …คนรุ่นใหม่สนใจในเรื่องการลงทุนเพราะ มันทำให้เขามีอิสระมากขึ้น …เขามองการทำงานว่า มันได้เงิน แต่มันจำกัดอิสระ ยิ่งหาเงินได้เยอะก็ยิ่งเหนื่อย …ดังนั้น การลงทุนจึงเป็นคำตอบ ที่จะค่อยๆ ให้ สิ่งที่ลงทุน ให้ Passive Income และนั่น คือ ความอิสระจริงๆ 


เอาล่ะ …มาถึง คำถามสำคัญมาก 


‘ช่วยบอกผมหน่อยว่า อะไรคือ What’s Next ? ในตลาดหุ้น’ …ผมจะได้ไปรออยู่ตรงนั้น …555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #TheStockMaster11 #หลักทรัพย์บัวหลวง


5 ปัจจัย ที่จะทำให้เรารวยเปลี่ยนชีวิตในหุ้น

 5 ปัจจัย ที่จะทำให้เรารวยเปลี่ยนชีวิตในหุ้น


ใช่!! ให้มองหา ปัจจัย เหล่านี้ให้เจอในหุ้นที่เราซื้อ


1. ‘ยอดขายและกำไร เติบโต’ …อย่างน้อยสัก 3 ปีขึ้นไป ถึงจะสามารถเป็นหุ้น Growth ที่ราคาโตก้าวกระโดดได้ 


2. ‘มีโอกาสในการปรับ P/E’ ..ในมุมของนักลงทุน P/E คือ การยอมที่นักลงทุนจะซื้อแพงขึ้นเป็นกี่เท่าของกำไร …ถ้าหุ้นกำลังโต ก็มีโอกาสทีี P/E จะสูงขึ้น เช่น จาก 10 เป็น 20 …เป็น 30 …40 …(ถ้าหุ้นที่เราซื้อแล้ว ได้ปรับ P/E …บอกเลย โคตรรวย!!)


3. ‘หุ้นมีเจ้าของชัดเจน’ …หุ้นถ้าใหญ่ไป มันกลายเป็น มหาชนเป็นเจ้าของ หรือ กองทุนเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ …ก็มั่นคงดี แต่ความ Sexy และการเติบโตแบบก้าวกระโดดของหุ้นแต่ละตัว มันอยู่ตอนช่วง ‘วัยเด็ก’ 


4. ‘เจ้าของคือ Empire Builder’ …นักสร้างอาณาจักร ..หุ้นก็เหมือนอาณาจักรของเขาที่ขยายต่อ ยอดไม่หยุด ทั้ง Organic และ Inorganic …พูดภาษาบ้านๆ คือ งบโต และ ก็ต้องซื้อธุรกิจอื่นเข้ามาด้วย (ยุคนี้รอแค่งบโตอย่างเดียว ช้าไปแล้ว)


5. ‘เราทนรวยได้’ …ใช่!! หุ้นจะไปกี่เด้ง ก็ไม่สำคัญ ถ้าเราทนถือไม่ได้ …แปลว่า เราต้องทนรวยได้ …หนึ่ง เงินต้องเย็น และ สอง ต้องทนเห็นมันย่อได้ 30-50 % ก่อนมันจะขึ้นถึงเป้าหมาย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 เคล็ดลับของราคาหุ้นที่หลายคนไม่รู้

 6 เคล็ดลับของ ราคาหุ้นที่หลายคนไม่รู้


ราคา ก็คือ ราคาไง …ใช่!! …แต่มันลึกล้ำกว่านั้น มาดูกันว่า ในราคามีอะไรที่หลายๆ คนอาจไม่รู้


1. ‘ราคาหุ้นที่เราเห็น อาจไม่ใช่ราคาจริงๆ ที่เจ้าของยอมขาย’ …จะเห็นว่าหลายๆ ครั้งที่มีการ ซื้อขายบริษัทในตลาดหลักทรัพย์ มีการเสนอราคาซื้อที่สูงกว่าราคาซื้อขายกันในตลาดหุ้น 


2. ‘ราคาเป็นสิ่งที่เราจ่าย แต่มูลค่าคือ สิ่งที่เราได้รับ’ …คำพูด คลาสลิกของ Warren Buffet ที่กระตุกต่อมคิดเราว่า ไม่ว่าเราจะยอมซื้อหุ้นแพงแค่ไหนก็ตาม สิ่งที่เราได้จะไม่เกินมูลค่าพื้นฐานจริงๆ ของหุ้นนั้นๆ


3. ‘ราคาอาจถูกบิดเบือน หรือปั่นได้ง่ายๆ ในช่วงสั้นๆ’ …ในตลาดหุ้นมีการปั่นราคาขึ้นจนรายย่อยหลงเข้าไปซื้ออยู่บ่อยๆ แล้วก็ติดดอย เพราะ การปั่นราคาในช่วงสั้นๆ ทำได้ง่ายมาก โดยเฉพาะหุ้นที่มีการซื้อขาย Volume ไม่เยอะ


4. ‘ราคากับพื้นฐานสามารถไม่ไปด้วยกัน เป็นเวลานานจนเราหลงเชื่อ’ …เจ้ามือที่ใจเย็น เป็นเจ้ามือที่น่ากลัวที่สุดในตลาดหุ้น …ก็เพราะ เขาสามารถยอมลงทุนซื้อหุ้นสูงขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ขายเป็นเวลานานจนรายย่อยเชื่อว่า หุ้นตัวนี้มันดีจริงๆ


5. ‘ราคาหุ้นสามารถขึ้น จนทุกคนเชื่อสนิทใจว่ามันดีจริง’ …โดยมากการขึ้นเยอะๆ นานๆ จนคนเชื่อสนิทใจต้องมี Story ที่คนเชื่อ เช่น หุ้นเทคโนโลยีก่อนหน้านี้


6. ‘ราคาหุ้นสามารถลงต่ำกว่าพื้นฐาน นานจนเราคิดว่าไม่มีทางขึ้น’ …จากนั้นหุ้นก็ขึ้นทะยานเป็น สิบๆ เท่าในเวลาสั้นๆ …เราเห็นได้บ่อยในหุ้นกลุ่ม Commodity ที่แย่ตลอดชาติ แต่เวลามันมา จะมาเร็วและแรงจนเราต้องร้องขอชีวิต (พอมันขึ้นจบ ก็เน่าต่ออีกชาตินึง ..555)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 ข้อควรรู้ ในการเก็บหุ้นถูก ของถูก

 6 ข้อ ควรรู้ในการเก็บหุ้นถูก ของถูก


มีวิกฤตก็ย่อมต้องมีของถูก …และนี่คือ 6 ข้อที่ควรรู้


1. ‘ของถูกพอซื้อแล้ว เผื่อใจว่ามันจะลงต่อ’ …ไม่มีหลอกครับ ซื้อปั๊บได้จุดต่ำสุดเลย …ส่วนใหญ่เราซื้อแล้วมันจะลงต่อเป็นปกติ ก็แบ่งไม้ทยอยซื้อดีๆ ..อย่าซัดทีเดียว เพราะจะจุกได้ 


2. ‘ระวังเรื่อง Volume’ …หุ้นที่มีสภาพคล่องเยอะๆ ซื้อขายเยอะๆ แม้ว่า หุ้นจะลงมาถูกแล้ว แต่ถ้าคนกลัวเขาก็จะแห่ขายเป็นปกติ …คนหนีตาย เราจะซื้อก็ต้องใจแข็ง ทำการบ้านให้ดี เพราะ เวลาหุ้นลงพร้อม Volume หนาๆ ก็ทำเราใจเสียได้ …หรือ ระวังรายใหญ่ Short หุ้นใส่เรา ในหุ้นที่ทำ Short ได้ (พวกนี้ส่วนใหญ่คือ หุ้นใหญ่ๆ ที่คนชอบเล่นกัน)


3. ‘ระวังหุ้นไม่มี Volume’ …ส่วนใหญ่จะเป็นหุ้นเล็ก ที่ลงมาเยอะแล้ว คนที่อยากจะขายมักจะขายหมดแล้ว …จังหวะแบบนี้ ระวัง ‘เจ้า’ หลอกขายผสมโรง …ดูง่ายๆ Volume ไม่เยอะ แต่พยายามกดราคาลง เพราะ จะได้กดราคาหุ้นลง ไปช้อนต่ำ หลอกคนที่ตกใจ (ลักษณะนี้ถ้าเห็น ก็เป็นจุดที่น่าสนใจ)


4. ‘เราอาจต้องถือหุ้นนั้นๆ เป็นเวลานาน’ …ถ้าอยากเล่นเกม ช้อนซื้อหุ้นถูก เราควรใช้เงินเย็น อย่าใช้ Margin เพราะ เราไม่รู้ว่า ราคาจะนอนอยู่ข้างล่างนานแค่ไหน 


5. ‘ในช่วงวิกฤต ข่าวร้าวคือ เพื่อนเรา’ …ข่าวร้ายมีข้อดี ตรงที่ มันจะทำให้คนที่อยากขาย ขายทิ้งจดหมด …ยิ่งมีข่าวร้าย เราก็จะเห็นราคาที่แท้จริงของหุ้นแต่ละตัว …ราคานี้ส่วนใหญ่คือ ต้นทุนของรายใหญ่ในแต่ละรอบนั่นเอง 


6. ‘ไม่ควรเล่นสั้น ในการซื้อต้นรอบ’ …ก็การซื้อในช่วงวิกฤตส่วนใหญ่ก็คือ การซื้อต้นรอบ ในแต่ละรอบ ซึ่งนานๆ เกิดที …ให้มองภาพใหญ่ อดทนถือกินคำใหญ่ มันจะคุ้มกว่าครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

5 ข้อควรรู้ กับภาวะตลาดหุ้น ‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’

 5 ข้อควรรู้ กับภาวะตลาดหุ้น ‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’ 


‘ขึ้นไม่จริง แต่ลงจริง’ คือ ภาวะที่ตลาด มีทั้งหุ้นที่ขึ้นและลง …แต่ตัวที่ขึ้น มักขึ้นไม่จริง …ส่วนตัวที่ลง ลงจริง หนักด้วย 


1. ‘ให้ดูว่า ตลาดขึ้น แต่พอร์ตรายย่อย ไม่ขึ้นเลย’ …แปลว่า หุ้นที่ขึ้น คือ หุ้นที่รายย่อยไม่มี …สังเกตง่ายๆ ตลาด บวกตั้งเยอะ แต่หุ้นในพอร์ตเราไม่ขึ้นเลย ซึม แถมจะลงเอาด้วย


2. ‘เป็นภาวะที่ ราคาหุ้น กับ พื้นฐาน ไม่ค่อยไปด้วยกัน’ …ปกติถ้าประกาศงบสวย หุ้นต้องวิ่งยาวๆ Volume เข้า ขึ้นสวยๆ …แต่กลายเป็นว่า ถึงประกาศงบดี ก็ไม่ค่อยขึ้น …หรือขึ้นแป๊บเดียว แล้วไม่ไปต่อ ขึ้นแล้วก็ค่อยๆ ย่อ


3. ‘ตลาดเข้าภาวะนี้ ให้เริ่ม DCA ดัชนี’ …ใช่ !! ถ้าภาวะแบบนี้ ควร DCA ดัชนี เช่น พวก ETF , DR 


4. ‘เตรียมกระสุน เท่าที่จะเตรียมได้’ …ผมจะใช้ภาวะตลาดแบบนี้ ปรับและกระชับพอร์ต คือ ถ้าตัวไหนขึ้นมาเร็วๆ อาจขายทำกำไร …ตัวไหนขึ้นมาเยอะแล้ว ก็อาจขายทำกำไรเยอะหน่อย …แล้วก็พยายามเตรียมเงินสดมากขึ้น (ส่วนคนที่มีเงินสดอยู่แล้ว ก็เตรียมเงินไว้ เพื่อซื้อนั่นเอง) 


5. ‘ทำการบ้าน หาหุ้นที่เราจะซื้อเพิ่ม เมื่อเกิดการปรับฐานใหญ่’ …ใช่!! สัญญาณต่างๆ ที่กล่าวมา มันพอจะเดาได้ว่า ข้างหน้าจะมีการปรับฐานใหญ่ อะไรสักอย่าง ที่จะทำให้หุ้นดีๆ สามารถราคาลงมาในจุดที่ควรซื้อถือยาว นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2565

6 ข้อต้องรู้ในการปั้นพอร์ตให้โตเร็ว

 6 ข้อ ต้องรู้ในการปั้นพอร์ตให้โตเร็ว 


1. ‘ช่วงที่พอร์ตโต มักมาหลังช่วงวิกฤต’ …ใช่!! เวลาเกิดวิกฤต เสียหายหนัก คนส่วนใหญ่จะขายทิ้ง ล้างพอร์ต …พอตลาดกลับมาเลยไม่โตด้วย


2. ‘ต้องถือหุ้นเกือบตลอดเวลา’ ..พูดง่ายๆ คนส่วนใหญ่มักจะ ถือหุ้นเฉพาะเวลาติดหุ้น แต่พอกำไรก็รับขาย …แต่คนที่ต้องการปั้นพอร์ตให้โตต้องทำสวนทาง คือ ส่วนใหญ่ต้องถือหุ้น


3. ‘พยายามขายให้น้อยที่สุด’ …การขายคือกำไรจริงๆ แต่พอเราขาย เราก็ได้แค่นั้นจริงๆ เช่นกัน …หุ้นขึ้นได้ไม่จำกัด นั่รแหละ เหตุผลสำคัญที่เราควรถือหุ้นให้นานที่สุด


4. ‘หาหุ้นที่ยอดขายและกำไรสามารถโตไปอีกเยอะ’ …หลักการนี้ คือ เราจะหาหุ้นที่โตเยอะๆ …ไม่ใช่แค่หาหุ้นถูก แต่ต้องหาหุ้นที่โตด้วย 


5. ‘พยายามหลีกเลี่ยงหุ้นยอดฮิต หุ้นมหาชน’ …ง่ายๆ เพราะ หุ้นเหล่านี้คนที่อยากจะซื้อ ซื้อไปหมดแล้ว …โอกาสไปต่อไกลๆ ก็จะยาก


6. ‘ซื้อหุ้นเบา ด้วยเงินเย็น แล้วอดทนรอ’ …หุ้นเบาคือหุ้นที่ไม่มีรายย่อย …แปลว่าหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าของและรายใหญ่ …หุ้นแบบนี้มีโอกาสขึ้นแรง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 สิ่งที่ต้องเตรียม ก่อนจะลาออกมาเล่นหุ้น

 5 สิ่งที่ต้องเตรียมก่อนจะ ลาออกมาเล่นหุ้น


ยุคนี้เริ่มฮิต การลาออกครั้งสุดท้าย …ฮึม!! ฟังดูเท่ห์นะ แต่เอาตรงๆ มันไม่ได้ง่าย และ มันก็ไม่ได้เท่ห์อะไรขนาดนั้น 


เบื้องหลังมันมีอะไรที่ต้องคิดต้องเตรียมเยอะพอควรเลย


1. ‘ต้องมีพอร์ตแยกออกมาเลย เพื่อเทรดและลงทุนอย่างเดียว’ …คำว่า แยกออกมาเลย แปลว่า เงินในพอร์ตนี้ ไม่เกี่ยวกับชีวิตประจำวันเราเลย 


2. ‘ควรมีกระแสเงินสด ที่มากกว่ารายจ่ายรายเดือนอยู่แล้ว ก่อนลาออก’ …จริงๆ คือ แปลว่า เราควรมีอิสรภาพทางการเงินเบื้องต้นแล้ว ก่อนที่จะคิดลาออกมาเล่นหุ้นจริงจัง


3. ‘ควรมีงานอื่น ที่ทำรายได้ให้เรา ที่ไม่ใช่งานประจำอยู่แล้ว’ …เอาตรงๆ ตลาดหุ้น มันมีช่วงที่ควรขยัน กับช่วงที่คุณควรอยู่เฉยๆ …แต่ถ้าเราอยากจะได้เงินตลอดเวลา เราจะโดนหนักเจ็บหนัก เพราะ ดันไปขยันผิดเวลาในตลาดหุ้น …ใช่!! ช่วงที่ตลาดขาลง เล่นยาก เราต้องอยู่เฉยๆ ก็ควรมีงานอื่นทำระหว่างนั้น แก้ความฟุ้งซ่าน !!


4. ‘อย่าสร้างหนี้ระยะยาวเด็ดขาด’ …การที่เราจะมาหาเงินจากตลาดหุ้น ซึ่งมีความไม่แน่นอนสูง เราไม่ควรสร้างรายจ่ายประจำ เพราะ มันจะกดดัน และ ทำให้เราไม่นิ่ง ในการตัดสินใจ …ถูกต้อง!! ถ้าจะซื้ออะไร ให้ซื้อเงินสดเท่านั้นครับ


5. ‘เอาตรงๆ คุณอาจจะแค่ไม่ได้ชอบงานที่ทำอยู่ …จริงๆ มันมีงานที่ดี ลองหาก่อนดีไหม’ …ยุคนี้มีงานเยอะแยะ ที่เราสามารถทำไป ลงทุนไปได้ด้วย …แค่พยายามหาให้เจอ …เพราะ การมีรายได้หลายทาง มันลดความกดดัน …จริงๆ นะ เล่นหุ้นนี่ก็โคตรกดดันอยู่แล้ว อย่าเอาเรืีองกดดันอื่นมาเพิ่ม สุดท้ายเราจะเอาไม่อยู่นะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ความลับ ที่เซียนหุ้น ไม่เคยบอกเรา

 6 ความลับ ที่เซียนหุ้น ไม่เคยบอกเรา


ไม่ใช่เลย !!! ….หุ้นนี่เขาบอกตลอด …แต่เรื่องที่เขาไม่บอก เราต้องไปหามาด้วย เพื่อเราจะได้ไม่ซวยติดดอย


1. ‘ต้นทุน’ ไม่มีเซียนหุ้นคนไหน กางต้นทุนให้คุณดู แต่ถ้าให้ผมเดา เขาซื้อ ‘ต้นรอบ’ ครับ …ต้นรอบก็แถวๆ RSI 30 นั่นแหละ ..เวลามีข่าวร้ายเยอะๆ คนกลัว นั่นแหละ เวลาสะสมหุ้นของเซียนหุ้นเลย


2. ‘วิธีบริหารความเสี่ยง’ …ขึ้นชื่อว่าเซียนหุ้น แสดงว่า ต้องเก๋าพอตัว …แปลว่า คนพวกนี้ต้องบริหารความเสี่ยงเก่ง …การบริหารความเสี่ยงเก่ง ต้องตอบได้ว่า หนึ่ง ถ้าตลาดพังเละ คุณต้องมีเงินมาซื้อหุ้น …สอง ถ้าตลาดหุ้นขึ้นแรง คุณต้องมีหุ้น ..สาม คุณต้องไม่มีความผิดพลาดใดที่ทำให้พอร์ตระเบิด


3. ‘วิธีการเก็บหุ้น’ …ที่เขาไม่บอกเพราะ มันไม่มีหลักตายตัว แต่ที่แน่ๆ ทุกคน ‘ทยอยเก็บ’ ต่างกับรายย่อยปกติ เวลาซื้อนี่ทีเดียวจบ หลังจากนั้นก็ลงดิ …หลักการคือ แบ่งไม้ซื้อ (แบ่งเท่าไหร่ ยังไง อันนี้แล้วแต่เทคนิคแต่ละคน) 


4. ‘จุดขายหุ้น’ …อันนี้ยิ่งไม่มีเซียนหุ้นคนไหนพูดเลย …ส่วนใหญ่บอกหุ้น แต่เวลาออก ก็ตัวใครตัวมัน ..ฮึม!! ก็เข้าใจได้ เซียนเขาซื้อเยอะ ถ้าประกาศว่าจะออก ก็คงออกไม่ได้ คนอื่นขายตัดหน้าหมด …เอาว่า เราพอจะเดาได้ว่า เวลาเซียนหุ้น ขายทิ้ง ก็คือ ช่วงที่ข่าวดีเยอะ , Volume เยอะๆ นั่นแหละ


5. ‘จิตใจต้องแข็งแกร่ง’ …ที่เซียนหุ้นสามารถอยู่รอดในตลาดได้ ส่วนนึงมาจาก จิตใจ ที่แข็งแกร่ง …เพราะ การได้กำไรจากตลาด ต้องทำสวนทางกับมวลชน รวมทั้งสวนทางกับความรู้สึกตัวเองตลอดเวลา …แปลว่า เวลาที่เขาซื้อหุ้นเขามักจะกลัว …การที่จะสามารถชนะความรู้สึก กลัว โลภ พวกนี้คือสิ่งที่สอนกันยาก 


6. ‘ชั่วโมงบินที่สอนกันไม่ได้’ …มันคือ การสะสมความผิดพลาด แล้วค่อยๆ พัฒนาความเข้าใจ …ผมว่าเหมือน กีฬาทุกประเภท ต้องค่อยๆ พัฒนาทักษะ …จุดเริ่มมันมาจากการที่เราตั้งใจที่จะรับผิดชอบการเงินของตัวเอง …ต้องเริ่มจากโจทย์ที่ว่า คุณเชื่อไหมว่า ..‘ไม่มีใครดูแล การเงินของเราได้ดีกว่าเรา’ 


ไม่เชื่อ ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 ข้อ เก็บตก The Stock Master 11 สัปดาห์ที่ 1

 5 ข้อ เก็บตก The Stock Master 11 สัปดาห์ที่ 1


สอนมาถึงปีที่ 11 …ก็ต้องตกผลึกในการสอนกันบ้างละ


มาดูกันว่า ในสัปดาห์แรกมีอะไรน่าสนใจ


1. ‘ทุกคนมี 100 ล้านได้ ถ้าวางแผนดี’ …และต้องมีเงินที่จะลงทุนขั้นต่ำเดือนละ 1 พันบาท (ลงแบบไม่ถอนคืนนะ) …ใช่ !! ผลตอบแทนคิดจาก 1,000 บาท ต่อเดือน ที่ผลตอบแทน 12% ต่อปี ในเวลา 60 ปี …จะได้ 100 ล้านบาท 


2. ‘จะหาการลงทุน ผลตอบแทน 12% ต่อปีได้ที่ไหน’ …ในอดีตเป็นเรื่องยาก แต่ปัจจุบันมี ETF เช่น BMSCITH , BSET100 และ BMSCG..พวกนี้คือกองทุนดัชนีที่เป็น Passive Fund เหมาะกับซื้อออมรายเดือนแทนการฝากเงิน …ด้วยวิธีนี้ จะได้ผลตอบแทนเท่ากับตลาดหุ้น ซึ่งคือ 12% ต่อปี 


3. ‘อย่างนี้ก็ไม่ได้ใช้เงิน’ …มันคล้ายๆ กับการซื้อที่ดินแล้วทิ้งให้ลูกหลาน …ในส่วนของตัวเรา เราไม่ได้ใช้หรอก มันคือ ความมั่นคงความอุ่นใจในชีวิต มันคือ Wealth ของเราที่เราสร้าง ….ลูกหลานก็ได้ประโยชน์ต่อ


4. ‘การเร่งผลตอบแทน ทำอย่างไร’ …โอเค !! ระยะยาวถ้า DCA ก็รู้แน่ว่าไม่จนละ …อันนั้นเรียก Core Port …แต่ส่วนที่เราอยากลงทุนเอามาเพื่อใช้เงินบ้าง อันนั้นเรียก Satellite Port …พอร์ตที่เราทำเพิ่มเพื่อลงทุนสั้นลง (อันนี้ยังไม่ได้สอนในสัปดาห์แรก ไปรอเรียนสัปดาห์ที่สอง ..การเลือกหุ้น การปั้นพอร์ตแบบเร่งด่วน)


5. ‘DR ทางเลือก Passive Fund ในต่างประเทศที่น่าสนใจ’ …วันนี้ตลาดที่หุ้นลงเยอะกว่าบ้านเรา คือ อเมริกา , เวียดนาม และ จีน …ซึ่งวิธีที่ง่ายสุดในการซื้อหุ้นเวลาลง ที่ตลาดปรับฐานลงมาพอสมควรแล้วคือ เริ่ม DCA ได้เลย …กองทุนที่เราเลือกมาให้คือ E1VFVN3001 (เวียดนาม), FUEVFVND01 (เวียดนาม), NDX01 (อเมริกา), STAR5001 (จีน) , CN01(จีน) , CNTECH01 (จีน) ….พวกนี้เหมาะกับการทำ DCA และเวลาเริ่มที่ดี ก็ตอนที่ตลาดปรับฐานแบบช่วงนี้นั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 29 ตุลาคม พ.ศ. 2565

การไปต่อไม่ได้ มันอยู่ที่คิดเองนั่นแหละ

‘เคยเป็นไหม …ไปต่อไม่ได้ ?’ …คือ มันมาถึงจุดที่เราก็ไม่ได้ลำบาก ไม่ได้มีความทุกข์อะไร …เฮ้ย!! แต่ทำไมมันไม่มีความสุขวะ ?

 ผมว่า สิ่งที่ทำให้เราไปต่อไม่ได้ คือ ‘ความสำเร็จในอดีต’ 


อย่างผม ช่วงที่ดังที่สุด เป็นช่วงที่ มองย้อนไปแล้วโคตรไม่ได้เรื่อง ..’ความรู้น้อย ประสบการณ์ก็ไม่มี แถมโคตรกร่าง’ - แต่นั่นแหละ ทำให้เราเคยดังที่สุดไง …555


วันนี้มันเข้าใจแล้ว เรากลับไปกร่างแบบนั้นไม่ได้แล้ว เราก็เลยต้องเปลี่ยน Version 


…จริงๆ วันนี้ผมว่า เราต้องทิ้งตัวตนและความสำเร็จในอดีต แล้ววิ่งไปหาโจทย์ใหม่ที่อยากจะทำ


แต่สิ่งที่ไม่ควรทำ คือ ‘อย่าพยายามพิสูจน์ตัวเองอีก เพราะ เราพิสูจน์ไปแล้ว พอแล้ว’ …ถ้าจะพยายามพิสูจน์อีกเราก็จะทุกข์อีก เพราะ มันเป็นโจทย์ที่ผิด (เป็นกับดักของคนดัง และ คนสำเร็จแทบทุกคน)


‘โจทย์ใหม่’ คือ 


1. อะไรที่เราทำน้อย และได้ผลลัพธ์เยอะ …เราก็ควรทำต่อไป เพราะ จุดนี้คือ Productivity ของเรา


2. ออกกำลังกายเป็น Routine เป็นงานประจำ


3. หาทางให้รางวัลคนที่เรารักมากขึ้น ..คนแก่ขึ้น จะมีความสุขเมื่อคนรอบตัวมีความสุข โคตรเข้าใจเลย


4. ลองสิ่งที่เราไม่เคยกล้าทำในอดีต 


สรุป ทำ 2 อย่างที่เรา ‘อยากทำ’ และ ทำ 2 อย่างที่เรา ‘ไม่อยากทำ’ …ข้อ 2 กับ 4 นี่โคตรไม่อยากทำ …แต่ต้องทำ เพื่อ Balance ชีวิต ไม่ให้สบายเกินไปจนเข้าไปเขตจิตตก และ โรคซึมเศร้า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คุยกับ นักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 2

 คุยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 2 


พี่สนใจในมุมนักลงทุน อะไรเป็นโอกาสบ้าง ในธุรกิจใหม่ ?


‘สิ่งที่เปลี่ยนโลก ทุกวันนี้ มันมี 3 อย่าง คือ หนึ่ง Technology ใหม่ / สอง ‘Consumer Behavioral เปลี่ยน’ / สาม ‘Regulator กฏหมายเปลี่ยน กฏหมายเปลี่ยน’ ..โอกาสอยู่ในสามเรื่องนี้’ 


แปลว่า บริษัทที่น่าสนใจ ลงทุนแล้ว รวยเยอะๆ ต้องมองที่สามจุดหลักๆ นี้ ?


‘ใช่ครับ ..แต่ทั้ง 3 เรื่องนี้ ยากโคตร …Technology เปลี่ยน เช่น Apple , Consumer เปลี่ยน เช่น อุตสาหกรรมเพลง , รถไฟฟ้า …กฏหมายเปลี่ยนเช่น    คริปโต อะไรพวกนั้น’ 


เหมือนว่า การเปลี่ยนแปลงใหญ่ๆ ในยุคนี้ มันต้อง Cross Platform คือ การที่ต้องเปลี่ยนแปลงหลายๆ ส่วนร่วมกัน …คนที่ได้เปรียบ คือ คนที่สามารถ มองกว้าง เอา ‘เรื่องที่ไม่เกี่ยวข้องกันให้มาเป็นเรื่องเดียวกัน


‘คนเก่งเฉพาะทาง ก็ยังได้อยู่พี่ …ในทุกๆ ส่วน ก็ยังต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญเฉพาะด้านอยู่ดี เพียงแต่ มันไม่มีอาชีพที่ยั่งยืน ทำได้ตลอดชีวิตแบบในอดีต’ 


ถ้าจะสอนคนรุ่นใหม่ จะแนะนำเขาเรียนอะไรดีล่ะ ?


‘เรียนอะไรก็ได้พี่ ไม่สำคัญ ..แต่ต้องรู้วิธีเรียนรู้ด้วยตัวเอง’ …พูดง่ายๆ คือ สามารถเรียนรู้จากการลองผิดลองถูกตลอดเวลา เพราะ โลกทุกวันนี้เกิด Technology ใหม่ , Platform ใหม่ตลอดเวลา …ต้องเรียนรู้ แล้วปรับตัว ตลอดเวลา


แล้วอะไรคือ ความมั่นคงของคนในยุคนี้ล่ะ ?


‘ไม่มีครับ’ …ในโลกมันก็ไม่มีอะไรที่ยั่งยืน ทุกอย่างเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา …ผมว่า พี่ น่าจะเข้าใจเรื่องนี้ดีกว่าผม …แล้วอะไรล่ะ ที่ไม่เปลี่ยนตามกาลเวลา ?


‘สินทรัพย์’ น่าจะเปลี่ยนแปลงน้อยสุดละ …อย่างในอดีต ก็คือ ที่ดิน ..คนรวยเลยปล่อยทุกอย่าง แต่ขอยึดไว้อย่างเดียวคือ ‘ที่ดิน’ Landlord นั่นเอง …พอมายุคนี้ ก็ปล่อยทุกอย่าง ยกเว้น ยึดความเป็นเจ้าของ ก็คือ ถือหุ้นใหญ่ใน Platform …น่าจะเป็นแบบนั้น 


หน้าที่นักลงทุน คือ มองให้ออกว่าอะไรคือ Platform ใหม่ แล้วเข้าไปซื้อหุ้นลงทุน นั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คุยกับนักธุรกิจรุ่นใหม่ ตอนที่ 1

 คุยกับนักธุรกิจร้อยล้านรุ่นใหม่ …หวัดดีน้อง !!


…เล่าให้พี่ฟังหน่อยว่า ธุรกิจรุ่นใหม่มันต่างกับรุ่นเก่าอย่างพี่ยังไง ?


‘จริงๆ มันไม่ได้ต่างกันครับ’ …สินค้าอะไรมันก็เหมือนเดิม แต่ที่แตกต่างคือ ‘ผู้เล่น และ วิธีการเล่น’ 


ยังไงวะ ?


‘ยกตัวอย่าง ธุรกิจเพลง …คนก็ยังฟังเพลงเหมือนเดิม แต่สิ่งที่เปลี่ยนไป คือ เครื่องฟังเพลง …ฟังที่ไหนก็ได้ , เคยเสียเงินเยอะเพื่อซื้อเพลง เดี๋ยวนี้ฟรี และก็ไม่ต้องซื้อเพลง ใช้เช่าแทน จ่ายเป็นรายเดือน , ค่ายเพลงแต่ก่อนสำคัญสุด ผูกขาด เดี๋ยวนี้ Platform (ตัวกลาง)เช่น Spotify สำคัญกว่า’ 


สรุปคือ มันไม่เหมือนเดิมเลย …ถามหน่อย พอเปลี่ยนแล้วใครได้ประโยชน์ ?


‘ผู้ฟัง = จ่ายถูกลง ทางเลือกมากขึ้น / ค่ายเพลง ได้เงินน้อยลง / นักดนตรี เกิดง่ายขึ้น แต่จะดังยากขึ้น / เส้นแบ่งระหว่าง ผู้ผลิต กับ ผู้ฟัง มันไม่ชัดละ …คนฟังสามารถเปลี่ยนมาเป็นคนผลิตก็ได้ เรียกว่า โอกาสมันเปิดมากขึ้นนั่นเอง / คนได้ประโยชน์สุดก็คือ ตัวกลางใหม่ (Platform)’


พี่สนใจ อุตสาหกรรมการเงิน ช่วยวิเคราะห์หน่อย ?


‘ผมว่า ก็ไม่ต่างจากธุรกิจเพลงนะ’ ..คือ เกิดตัวกลางใหม่ ที่ต้องทำให้บริการต่างๆ 1.ถูกลง 2.เร็วขึ้น สะดวกขึ้น ง่ายขึ้น ….อย่างในจีน มันเกิดตัวกลางทางการเงินใหม่แล้ว อย่าง Alipay , Wechatpay มันมาเป็นทางเลือกของลูกค้า แต่อย่างเมืองไทยต่างกัน …ธนาคารยังเป็นตัวกลางตรงนี้อยู่ (แต่ในอนาคตก็ไม่แน่ ถ้าใครทำได้ ถูกกว่า และ ดีกว่า)


แต่อย่างธุรกิจการเงินของไทย คู่แข่งคือ ธุรกิจการเงินทางเลือก Non-bank ที่เติบโต (วันนี้เริ่มถึงจุดอิ่มตัว เพราะ หนี้ของคนถึงคอหอยละ) …คู่แข่งที่น่ากลัวของ Bank ไทย ก็คือ Non-bank ที่ใช้ Technology เข้ามาใช้อย่างจริงจัง


ยักษ์ ชน ยักษ์ …แล้ว นักธุรกิจรุ่นใหม่ที่ตัวไม่ใหญ่ จะหาโอกาสยังไง ?


‘เราสร้าง Platform ไม่ได้ เพราะมันผ่านยุคสร้าง Platform ไปแล้ว …วันนี้มันมาถึงยุคของคนที่เอา Platform มาหาประโยชน์ …อย่างพวก Youtuber , TikToker ก็คือ คนที่รู้จักหาประโยชน์จาก Platform …ซึ่งวางอยู่บนหลักการ ใครไวใครได้ ..ยิ่งดังก็ยิ่งได้มากที่สุด เหมือนเดิม’ 


สรุปให้เห็นภาพหน่อย ?


‘คนรุ่นใหม่ทำธุรกิจ มี 2 อย่าง คือ 1. สร้าง Platform ก็คือ ต้องหาทุนแล้วพยายามสร้าง’เกมใหม่’ แล้วลุ้นว่าจะมีคนมาใช้ …ในอดีต ก็คือ พวก Landlord เจ้าของตลาด เจ้าของห้าง เจ้าของร้าน 

2. หากินบน Platform คือ คนที่หาโอกาสจาก Platform ใหม่ๆ …พวกนี้ไม่ต้องลงทุนก่อน เข้าไปหาเงินได้เลย แต่ต้องเร็ว พอถึงจุดนึงต้องเลิกไปหาที่ใหม่ไปเรื่อยๆ …ในอดีตก็คือ SME สมัยก่อนนั่นแหละ …ไม่ได้สร้าง Ecosystem แต่เข้าไปหาช่องว่างจาก Platform อีกทีนึง’


เริ่มเข้าใจละ …วันนี้หลายๆ อุตสาหกรรมมันมาถึง จุดเปลี่ยนของ Platform เช่น ธุรกิจหนัง , ธุรกิจเพลง , ธุรกิจสื่อ …พอธุรกิจไหนเปลี่ยนก็จะเกิด ‘มหาเศรษฐี’ จาก Platform ใหม่ …ส่วนคนที่เข้าไปใช้ Platform แรกๆ ก็มีโอกาสเป็น เศรษฐี !! ว่างั้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 16 ตุลาคม พ.ศ. 2565

คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 2

 คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 2 


ผม : ‘มีอะไรที่พี่อยากแนะนำผมไหม ?’ 


พี่โจ : ‘คนเราจะรวยจากสิ่งที่ไม่คาดคิด และ เจ๊งหนักจากสิ่งที่เรามองข้าม’ …ดังนั้น ให้ถามว่า หนึ่ง ‘อะไรคือสิ่งที่เราไม่คาดคิด’ และ สอง ‘อะไรคือสิ่งที่เรามองข้าม’ 


ผม : สิ่งที่ผมไม่คาดคิดคือ ‘หุ้นดีๆ ที่ผมอยากซื้อ มันจะลงมาถูก จนเหลือเชื่อ !!’ …และ สิ่งที่ผมมองข้ามก็คือ ‘ผมโคตรคันเลย สงสัยจะซื้อหุ้นจัดหนักวันนี้เลย …แต่พอตลาดหุ้นมันลงหนักจริง จนถึงจุดที่ต้องซื้อ ปรากฏว่า ผมดันไม่มีเงินสดเหลือ เพราะ ดันซื้อไปเต็มปอดแล้ว’ …ใช่ไหมครับพี่ ?


พี่โจ : ‘โคตรเป๊ะมรึง !!’ …งั้นจะแก้ไขยังไงล่ะ ?


ผม : งั้นผมจะนั่งทับมือ …รอให้หุ้นที่ผมอยากซื้อมันลงมาจนถึงจุดที่โคตรถูก โคตรใช่ …จุดนั้น ผมก็จัดหนัก ซื้อเต็มๆ แค่นี้ก็รวยโคตรๆ แล้วใช่ไหมพี่ ?


พี่โจ : ‘ถูกต้อง!!’ …เมื่อเข้าใจแล้ว ที่เหลือคือการลงมือปฏิบัติจริงล้วนๆ 


ผม : โคตรมีประโยชน์เลยพี่ …แต่เอาตรงๆ นะ รอบนี้ ผมขอนั่งดู เพื่อศึกษา แล้วรอรอบหน้า ผมค่อยจัดเต็ม จัดจริง ดีไหมครับ ?


พี่โจ : สรุปคือ กรูแนะนำอย่างจริงใจแล้ว แต่คุณจะรอ รอจนไม่ได้ปฎิบัติจริง …เอาตรงๆ นะ ถ้าคิดแบบนี้ มันก็ไม่ต่างจากการผลัดวันประกันพรุ่ง ..หวังว่าพรุ่งนี้ ค่อยทำ …นี่แหละ วิธีคิดของคนส่วนใหญ่ …เมื่อถึงวันที่คุณกล้า มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ บอกเลย !!


…ถ้ารอจนถึงวันที่เราพร้อม มันก็สายเกินไปแล้วล่ะ 


เข้าใจไหม ? 


คนที่เขารวย เขาสำเร็จ ก็เพราะ เขากล้าลุยในวันที่เขาไม่พร้อมนั่นแหละ เคล็ดลับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เมื่อผมได้คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 1

 


เมื่อผมได้คุยกับมหาเศรษฐี ตอนที่ 1 


หลายคนอาจนึกภาพไม่ออกว่า ‘มหาเศรษฐี’ ยุคนี้เขาหน้าตาเป็นยังไง 


..ลองนึกภาพคนธรรมดา (โคตรธรรมดา) แต่แค่เขามีเวลาและมีความอิสระในชีวิตแบบเหลือเชื่อ แค่นั้นแหละ …ผมขอใช้ชื่อสมมุติของมหาเศรษฐีท่านนี้ว่า ‘พี่โจ’ ละกัน


ผมเปิดคำถามเลย ‘ทำไมพี่ถึงรวยล่ะครับ ?’ ..เอาตรงๆ ผมอยากจะรู้ว่า ถ้าที่บ้านผมไม่ได้รวยอยู่แล้ว ผมจะรวยด้วยตัวเองได้ไหม ?


พี่โจ : ‘จะให้ตอบหล่อๆ หรือตอบจริงๆ’ …เอาว่า ยุคนี้ Selfmade ง่ายขึ้นเยอะ …คนรวยจะมีมากขึ้นเยอะ แต่คนที่รวยแล้วรักษาความรวยเอาไว้ได้ตลอด มันก็ยังจะน้อยเหมือนเดิม 


ผม : ‘แปลว่า อะไรครับพี่ ?’ 


พี่โจ : ‘ก็แปลว่า วันนี้โอกาสในการรวยมันเปิดกว้างขึ้น ..แต่คนรุ่นใหม่ใช้เงินโคตรเก่ง และกล้าเสี่ยงมากขึ้น …ก็จะมีคนรวยหน้าใหม่เยอะ แต่ส่วนใหญ่จะรักษาความรวยเอาไว้ไม่ได้’ 


ผม : ‘ทำไมล่ะครับ ?’ 


พี่โจ : ‘วิธีคิดไง’ …การจะรวยมันต้องเสี่ยงให้สุด …แต่วิธีคิดของการรักษาสิ่งที่หามาได้ ต้องลดความเสี่ยงลง ..มันสวนทางกันไง 


ผม : ‘น่าสนใจ !! …แล้วทำไมพี่ไม่จนลง แถมรวยขึ้นอีกล่ะครับ ?’ 


พี่โจ : ‘พี่ยังอยู่ในโหมดของการสร้างอยู่มั้ง !!’ …เอาตรงๆ ชีวิตพี่ เสี่ยงมาตลอด …วันนี้ก็เสี่ยงเหมือนเดิม แต่แค่พอร์ตพี่ใหญ่ขึ้น …ดังนั้นที่บอกว่า เสี่ยงเหมือนเดิม แต่พอพอร์ตใหญ่ขึ้นมันก็กระจายไปลงทุนหลากหลายขึ้น แต่ทุกจุดก็เสี่ยงหมดแหละ (เพราะ เอาตรงๆ อะไรที่ไม่มีความเสี่ยง มันย่อมไม่มีผลตอบแทน) 


ผม : ‘พี่กำลังจะบอกผมว่า ..คนรวยคือคนที่กล้าเสี่ยง’ ..พอเขารวยแล้ว เขาไม่ได้หยุดเสี่ยง เขาแค่ตัวใหญ่ขึ้น ก็เลยรับบาดแผล และ ความเจ็บปวดได้มากขึ้น …แต่เสี่ยง ชิบหาย เหมือนเดิม ?


พี่โจ : ใช่!! มันคือ หัวใจของระบบทุนนิยม …ไอ้ที่คนรวย รวยขึ้นตลอด เพราะ คนรวยมันรับความเสี่ยงได้มากกว่า …และจุดที่เสี่ยงเหล่านั้น มันคือ จุดเดียวที่กำไรเยอะ ผลตอบแทนโตก้าวกระโดด


ผม : ‘งั้นแปลว่า พี่โจ ไม่เชื่อในการทำงานหนัก ขยัน ประหยัด อดทน’ 


พี่โจ : เชื่อซิ!! …ตอนเริ่มต้นทำงาน ทุกคนที่สำเร็จเขาก็เริ่มจากทำงานหนัก ขยัน ประหยัด อดทนทุกคนแหละ …จนเขาได้เงินก้อนแรก ที่เอามาเสี่ยง …บางคนเอาเงินก้อนนั้น เสี่ยง แล้วพลาด แล้วล้มเลิกก็เยอะ …แต่มันก็จะมีแบบพี่นะ ที่เสี่ยงแล้วพลาด แต่กรูไม่เลิก …กรูไปเก็บเงินใหม่ เอามาเสี่ยงใหม่ …ครั้งที่สองกรูก็พลาด หมดเลย …แต่กรูก็ไม่เลิก ….ครั้งที่สาม สี่ ห้า ก็ได้ๆ โดนๆ …ทำแม่งสิบกว่าปี จนเจอ Big Shot …นั้นแหละ จุดรวยเปลี่ยนหลัก ‘เติมศูนย์เข้าไปหลังพอร์ต X10’ นั่นแหละ ที่ชีวิตเปลี่ยนเลย


ผม : ‘รวยแล้วเลิกเสี่ยง ?’ 


พี่โจ : ‘เสี่ยงเหมือนเดิม หนักขึ้น แต่เราเรียนรู้มากขึ้น ว่าอะไรควรเสี่ยง อะไรไม่ควรเสี่ยง’ 


ผม : ‘แปลว่า ประสบการณ์จะทำให้เราลงทุนได้เก่งขึ้น ?’ 


พี่โจ : เอาตรงๆ นะ ‘แม่งไม่ใช่ว่ะ !!’ …ในโลกการลงทุนมันไม่มีสูตรสำเร็จว่ะ …การทำเหมือนเดิม ครั้งนึงรวย อีกครั้งนึงอาจจะพังก็ได้ 


ผม : อ้าว!! แล้วอะไรที่จะมาการันตี ว่าถ้าเรารวยแล้วจะไม่กลับไปซวย


พี่โจ : ‘หลักความน่าจะเป็น บวกกับ อีโก้ ไง’ ..ถ้าวันไหนอีโก้เราเยอะ เตรียมเจอความซวย …ตลาดหุ้นมันสอนความถ่อม ถ้าเราคิดว่าเราเก่งเราจะซวย แต่ถ้าเราใช้หลักความน่าจะเป็น โชคมันจะเข้าข้างเรา …เช่น ถ้าเราซื้อหุ้นที่จะเจ๊ง 10 ตัว ด้วยความน่าจะเป็นในตลาดหุ้น เราจะมีโอกาสรวยมากกว่าเจ๊ง ….เพราะ เอาเข้าจริง หุ้นที่เจ๊งจริงๆ มันมีสัดส่วนเปอร์เซ็นต์ที่น้อยมากๆ …สมมุติเลือกมา 10 ตัว มันเจ๊งจริงๆ เลย 3 ตัว …ไอ้ 7 ตัวที่เหลือ มันจะทำให้เรารวย


ก็คือจริงๆ เราไม่รู้หรอกว่า ตัวไหนมันจะดีสุดๆ ดีกลางๆ หรือ ไม่ดี …ถ้าเราคิดว่าเราเก่ง เราก็จะทุ่มหนักไปที่ตัวใดตัวนึง ซึ่งเอาตรงๆ ส่วนมาก หุ้นตัวที่เราทุ่มหนัก มักจะซวย …นั่นแหละ เข้าใจยัง ว่า คนที่เข้าใจหลักความน่าจะเป็น และไม่อีโก้ มักจะรวยกว่าเสมอ !!


ผม : ‘เจสสสส เข้!!’ …เข้าใจยากชิบหายเลยพี่ 


พี่โจ : ก็ถ้ามันเข้าใจง่าย ใครๆ ก็ทำได้ …คนส่วนใหญ่ก็คงรวยเป็นมหาเศรษฐีไปหมดแล้วดิ !!


ผม : ‘จริง!!’ …ว่าแต่พี่โจ มีเงินให้ผมยืมไหม ผมจะไปลองวิธีที่พี่บอกวันนี้เลย 




การสนทนาจบลงตรงนั้น …555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อควรรู้ อ่าน Volume ยังไง ในหุ้นเล็ก

 6 ข้อ ควรรู้อ่าน Volume ยังไงในหุ้นเล็ก


หลายคนกลัวว่า หุ้นเล็ก Volume น้อย ซื้อแล้วกลัวขายไม่ได้ …ส่วนนึงก็ใช่ …แต่ความมี Volume น้อยมันก็มีข้อดี


1. ‘หุ้นเล็กควรซื้อเวลา Volume น้อย’ …บางครั้งหุ้นถูก เราไม่รู้จะซื้อตรงไหน …เอาตรงๆ ก็ซื้อตอนที่แรงขายหมด Volume น้อย ก็แปลเป็นนัยๆ ว่า คนขายเขาขายไปจะหมดแล้ว 


2. ‘หุ้นเล็กควรขายเวลา Volume เยอะ’ …ส่วนใหญ่ตอนที่ Volume เข้าหุ้นเล็ก มันย่อมขึ้นแรงเป็นธรรมดา …ถ้าคิดจะขาย ก็ต้องขาย หรือ แบ่งขายตอนนั้น ถึงจะขายได้ และได้กำไรดี


3. ‘Volume มาเป็นช่วงๆ ในโซนถูก’ …ก็แปลว่า มีรายใหญ่เริ่มมาเก็บของ ทยอยเก็บ เพราะหุ้นเล็กเก็บทีเดียวไม่ได้ เพราะหุ้นมันไม่ได้เยอะแบบหุ้นใหญ่


4. ‘Volume มาเป็นช่วงๆ ในโซนแพง’ …ก็แปลว่า รายใหญ่ขาย ก็ขายทดสอบตลาดว่า ถ้าฉันออก ตลาดจะรับไหวไหม ..ถ้าไม่ไหว ก็ลากต่อ …ง่ายๆ ตรงๆ แบบนั้นแหละ 


5. ‘ข่าวดีสูงสุด ไม่มีข่าวร้ายเลย Volume เยอะมหาศาล คือ จุดออกของ’ …ถ้าไม่ออก ก็ได้นะ แต่คงติดอีกนาน จะติดแบบกำไรหรือติดแบบรวยตัวเลข นั่นก็อีกเรื่อง …แต่ถ้าจุดนี้ไม่ออก ได้ถือยาวแน่นอน


6. ‘อะไรก็ตามที่ Volume มหาศาล แปลว่า มันไม่ใช่จุดที่จะทำให้เรารวย’ …Volume คือ มหาชน หรือ คนส่วนใหญ่ …อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่สนใจ เข้ามาเล่น ก็แปลได้เลยว่า มันจะไปต่ออีกไม่ไกล หรือ มันใกล้ดอยแล้วล่ะ 


‘มหาชน ..Volume …ข่าวดี …ของต้องมี …ใครๆ ก็ชอบ ..ใครๆ ก็เชียร์’ = ทั้งหมดนี้คือ ‘ดอย!!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

9 ข้อ คนรุ่นใหม่ไม่ได้เรื่องแบบที่คนรุ่นก่อนคิด จริงเหรอ ?

 ‘ทำไมคนรุ่นเก่า ถึงคิดว่าคนรุ่นใหม่ไม่ได้เรื่อง ?’ 


…พ่อแม่มักจะห่วงว่าลูกจะไม่เอาไหน …หัวหน้ามักส่ายหัวแล้วบอกว่าเด็กรุ่นนี้ไม่ได้เรื่อง …เอาตรงๆ นะ มันก็เป็นแบบนี้กับคนทุกรุ่นอยู่แล้วรึเปล่า ?


…สมัยพ่อแม่เราเด็กๆ …รุ่นปู่ย่าก็จะมองว่า รุ่นพ่อแม่นี่ไม่ได้เรื่อง คิดอะไรไม่เข้าท่า ทำอะไรเสี่ยง ไม่คิดหน้าคิดหลัง …แต่โลกก็พัฒนาขึ้น …วันนี้รุ่นพ่อแม่ มีลูก ก็มาแบบเดียวกัน …ไอ้เด็กรุ่นนี้ ไม่อดทน ไม่สู้ อยากหาทางลัด ทางเร็ว ..พังๆ พังแน่ๆ 


‘เอาตรงๆ นะ ถ้าดูจากประวัติศาสตร์วิวัฒนาการของมนุษย์โลก …บอกได้เลยว่า โลกก็หมุนต่อไป พัฒนาขึ้น ความเป็นอยู่สุขสบายขึ้น ดีกว่ารุ่นเราแน่นอน …ตลกไหม?’ 


ถ้าพูดถึงการลงทุน แทบจะฟันธงได้เลยว่า


1. ดัชนีตลาดหุ้นจะไปไกลกว่านี้อีกเยอะ ..เอาอย่างบ้านเรา SET index มันก็จะไปเรื่อยๆ …ไปไกลจนเราไม่คิดว่ามันจะไปถึง …เหมือนเราย้อมถาม ตอนเปิดตลาดหุ้นใหม่ๆ ว่า ตลาด 100 จุด วันนี้จะมาถึงพันจุดได้ 


2. ราคาที่ดิน …ในอนาคตราคาที่ดิน ก็จะไปต่อ (แต่ไม่ใช่ทุกประเทศนะ) ต้องเป็นประเทศที่ใครๆ ก็อยากมาเที่ยว อยากมาอยู่ แบบไทยถึงจะราคาขึ้นไปเรื่อยๆ 


3. ราคาทอง …ในอนาคตจะแพงกว่านี้ …เอาง่ายๆ ทองมันจำกัด และ มีค่า …มองย้อนไปพันปี มันก็มีแต่ขึ้น (เพียงแต่มันขึ้นช้ากว่า ที่ดิน และ หุ้น ก็เท่านั่นเอง)


4. คนรุ่นใหม่จะรวยกว่าคนรุ่นก่อน และรวยเร็วกว่า …ความแตกต่างมันจะกว้างขึ้นระหว่างคนรวยจะโคตรรวย รวยเร็ว แต่คนส่วนใหญ่จะเหมือนเดิม …เพราะวิธีการลงทุนมันไม่เหมือนกัน (ไว้ผมจะเขียนบทความ ขยายประเด็นเรื่องนี้อย่างละเอียด มันคิดต่างกันจนน่าตกใจ เหมือนอยู่คนละโลก)


5. โลกหมุนมา Localization…ใช่!! หมุนกลับ จากที่เราคิดว่า โลกมันจะโลกาภิวัฒน์ Globalization …มันจะสวนทาง เพราะ ทุกวันนี้เศรษฐกิจและการเมืองมันหมุนกลับแบบที่เราเห็น …แต่ไทยจะได้ประโยชน์ครับ


6. ‘ธุรกิจจะหมุนเข้าหาคนตัวเล็ก’ …สมัยก่อนธุรกิจใหญ่ ผูกขาด ได้เปรียบ กินรวบทุกอย่าง …แต่ต่อไปมันจะหมุนตรงข้าม โลกจะขับเคลื่อนด้วยธุรกิจเล็ก จำนวนมหาศาล และ เกิดผู้นำรุ่นใหม่ ผู้ขับเคลื่อน …ถ้าให้ผมเลือกลงทุนระยะยาว ผมเลือกตัวเล็ก (ความมั่นคงมันก็เรื่องนึง แต่ผมแคร์ผลตอบแทนแบบก้าวกระโดดเปลี่ยนชีวิตมากกว่า) …ธุรกิจคนตัวเล็ก เริ่มตั้งแต่ สินค้าที่แตกต่าง …ถ้านึกภาพไม่ออก ลองเดินเข้าไปกินร้านอาหารดัง ที่คนรุ่นใหม่เป็นเจ้าของ เทียบกับ ร้านดังที่คนรุ่นเก่าเป็นเจ้าของ …สินค้าก็ต่าง บริการก็ต่าง พนักงานนี่คนละรุ่นเลย การโปรโมทก็ใช้คนละวิธี …สรุป มันคนละ Mindset ในการทำธุรกิจ !!


7. ‘ธุรกิจ Luxury จะดีมากๆ เลย’ …ทั้งสินค้าและบริการ เพราะ คนส่วนใหญ่จะวิ่งเข้าหา Luxury …แต่ ความหรูหราที่แท้จริงในอนาคต คือ ‘คนที่มีเวลา และมีอิสระ’ (คนรุ่นใหม่จะใช้ของแพงมากขึ้น การสร้างความ Unique เป็นเรื่องที่สำคัญมาก …ต่อไปคนที่ใช้ของแพง คือทุกคน มันคือ Mass Luxury)


8. ‘คนรุ่นใหม่ เขาจะคิดไม่เหมือนเรา’ …เอาตรงๆ เขาคิดตรงข้ามเราเลยมากกว่า …มันไม่ได้แปลว่า เขาแย่ แค่เราไม่เข้าใจเขา …เช่น คนรุ่นเก่าอาจจะรวยด้วยที่ดิน ธุรกิจเน้นผูกขาด เส้นสาย…คนรุ่นต่อมาอาจจะรวยด้วยหุ้น ธุรกิจเน้นการหาช่องว่าง แล้วดันเข้าไปโตในตลาดหุ้น …คนรุ่นใหม่อาจจะรวยด้วยคริปโต ธุรกิจแบบที่ผมและคุณยังไม่เข้าใจ แต่เชื่อเถอะ เราควรเปิดใจเรียนรู้ (แต่ให้เขาทำต่อไปเถอะ)


9. ‘บ้านคนรุ่นใหม่จะหรูขึ้น สะดวกสบายขึ้น แต่ที่แน่ๆ เล็กลงเรื่อยๆ’ ….ผมว่าทุกวันนี้ บ้านเรา มีเครื่องอำนวยความสะดวก สบายกว่า ฮ่องเต้ในอดีตเสียอีก แต่มันเล็ก เพราะ ที่ดินมันแพงขึ้นเรื่อยๆ ไง …555


สรุป ‘ไม่ต้องไปห่วงคนรุ่นใหม่หรอก’ ..ผมว่า ผมต้องเปิดใจเรียนรู้วิธีคิด วิธีทำธุรกิจ และ วิธีลงทุนในโลกยุคใหม่ให้ทัน …ใช่!! เราห่วงตัวเอง ให้ยอมเปิดใจ น่าจะดีกว่านะ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 สิ่ง ที่ผมเปลี่ยนความคิด เมื่ออายุมากขึ้น

 6 สิ่ง ที่ผมเปลี่ยนไป เมื่ออายุมากขึ้น


1. ‘เคยคิดว่า ทุ่มทุกอย่างเพื่อความสำเร็จ มาสู่ ถ้าเดินถูกทางแล้ว ค่อยๆ เดินก็ได้ ไม่ต้องรีบ’ …การปั้นพอร์ตถ้าเรารีบเกินไป มันจะเจอกับความเจ็บปวดเยอะ …ดังนั้น ถ้ารู้ว่ามาถูกทางจะพยายามลดความคาดหวังลง เพื่อลดความกดดัน


2. ‘ทำเงินแต่ไม่ใช้เก็บเพื่อเป้าหมายระยะยาวอย่างเดียว มาสู่ ใช้บ้างถ้ามันไม่ได้ทำให้เราพัง’ …แต่ก่อนผมคิดทุกเม็ดเวลาจะจ่ายเงิน …วันนี้ผมให้รางวัลตัวเองและคนรอบข้างมากขึ้น คือ ถ้าใช้เงินแล้วไม่เดือดร้อน แล้วมันให้ความสุข ผมก็ยอมจ่าย …เงินไม่ใช่พระเจ้า เงินคือผู้รับใช้ที่ดีมาก หากเราใช้เป็น !!


3. ‘ทำงานไม่สนใจร่างกาย มาสู่ ให้ความสำคัญกับสุขภาพ’ …จากที่เคยไม่สนใจการออกกำลังกาย มาสู่ การออกกำลังกายเป็นกิจวัตร …เอาตรงๆ วันนี้มีวินัยกับการออกกำลังกาย เหมือนทำงานประจำเลยแหละ


4. ‘พยายามเจอคนให้มากที่สุด มาสู่ ขอเจอคนคุณภาพไม่กี่คนก็พอ’ …การรู้จักคนเยอะๆ มันก็ดี แต่ถ้าเราอยากจะไปสู่อีก Level ผมเชื่อว่า คือ การเลือกที่จะเจอคนให้น้อยลง …ผมพบว่า การปฏิเสธ ทำให้เรามีอิสระและมีความสุขมากขึ้น


5. ‘อยากมีชื่อเสียง มาสู่ ลดชื่อเสียงลงเอาให้พอหาเงินได้ แค่นั้นพอแล้ว’ …คนมีชื่อเสียงหาเงินง่าย แต่มันมาซึ่งความเหนื่อยและการที่ไม่สามารถเป็นตัวเอง …ถ้าเลือกได้ อยากจะ Low Profile High Profit …ชิวกว่า สบายใจกว่าเยอะ


6. ‘อยากชนะ ในทุกสิ่งที่ทำ มาสู่ ประคองตัวให้ไม่แพ้ ยังไงก็ชนะแล้ว’ …วันนี้ไม่อยากแข่งกับใครเลย …ขอแข่งกับตัวเอง เรียนรู้ไปเรื่อยๆ แต่ไม่ยอมผิดซ้ำ …แค่นั้นก็จะค่อยๆ เติบโต แบบสบายๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตพ่อผม คือ การเกษียณเร็ว


 ‘หนึ่งในการตัดสินใจที่ดีที่สุดในชีวิตของพ่อผม ก็คือ การเกษียณเร็ว’ 


พ่อผมเลือกเกษียณ ตั้งแต่อายุ 40 กว่าๆ จนวันนี้ก็อายุ 70 กว่าปีแล้ว …เกษียณมา 30 ปี ต้องเรียกว่า เป็นมืออาชีพในการเกษียณได้เลย …555


เอาตรงๆ ผมโชคดีมากที่ได้เรียนรู้อะไรหลายๆ อย่างโดยตรงจากพ่อ 


ที่สำคัญมากคือ ‘พ่อสอนว่า ชีวิตเรา …เราต้องเป็นคนกำหนดเอง’ …พูดเหมือนง่าย แต่จริงๆ การที่เราจะถึงจุดที่ กำหนดชีวิตเอง มันต้องเกิดจากการ วางแผนและอดทนทำเป็นเวลานับสิบๆ ปี 


เรื่องแรกที่ต้องวางแผน คือ ‘เรื่องเงิน’ …คร่าวๆ ดังนี้


1. ‘เพิ่มงานที่ใช่ ลดงานที่ไม่ใช่’ …งานที่ใช่ คือ งานที่เราออกแรงน้อยแต่รายได้เยอะ …งานที่ไม่ใช่ คือ งานที่ออกแรงกินเวลาเยอะ แต่รายได้น้อย 


2. ‘เริ่มสร้างพอร์ตการลงทุนในสินทรัพย์ที่ทำงาน และทำเงินแทนเรา’ …อันนี้คนละเรื่องกับการเทรดเก็งกำไรนะ …อันนี้คือพอร์ตระยะยาวที่ทยอยซื้ออย่างเดียว ไม่ขาย เพราะเป้าหมายไม่ใช่ต้องการกำไร แต่ต้องการ Wealth และเป็นตัวแทนที่ทำงานแทนเราในที่สุด


3. ‘หากิจวัตรหลังเกษียณ’ …หลายคนจะคิดว่า พอเกษียณจะนั่งๆ นอนๆ ดูทีวี กิน เที่ยว แต่คนที่พูดแบบนั้น แปลว่า ไม่เข้าใจเรื่องเกษียณเลย …การเกษียณคือ การหา กิจวัตรใหม่ …ซึ่งเดิม กิจวัตรหลักๆ เราก็คือ งานประจำนั่นแหละ …กิจวัตรใหม่ คือ ‘แกนของชีวิต’ เช่น ถ้าเราจะเอาสุขภาพนำ …แกนใหม่ของชีวิต อาจจะเป็นการออกกำลังกาย ที่ต้องทำเป็นหน้าที่ ทำทุกวัน มันคือ ระเบียบวินัยครั้งใหม่ที่ต้องมี …ส่วนเรื่องอื่นๆ จะเป็นองค์ประกอบ


4. ‘งานหลังเกษียณ’ …อ้าว!! เกษียณแล้วต้องทำงานด้วยเหรอ …ใช่!! แต่งานนี้ คือ เรากำหนดเอง ไม่มีหัวหน้ามาสั่ง เราอยากทำงานนี้จริงๆ .. ไม่ใช่ถูกบังคับให้ทำ …เอาตรงๆ หลายคน ทำงานหลังเกษียณ ได้ดีกว่า งานก่อนเกษียณมาก …เพราะ มันคืองานที่ชอบ ทำได้ดี บางทีรายได้ดีกว่าเยอะมากๆ และ เรากำหนดทุกอย่างเอง


….


แต่ก่อนผมเคย จินตนาการว่า หลังเกษียณ คือ นั่งๆ นอนๆ อยู่เฉยๆ ปล่อยวาง ปลง เตรียมตัวตาย …แต่ไม่ใช่เลยครับ 


เกษียณที่พ่อผมสอน คือ ‘การมีชีวิตใหม่ที่เรากำหนดและเลือกทางเดินเอง …ยังคง Active , สนุก , สุขภาพดี และ ทำงานที่เลือกและกำหนดเอง !!


…แจ๋ว !! …ผมหวังว่า วันนึง ผมจะพัฒนาไปให้ถึงจุดนั้น …จุดที่ชีวิตเลือกได้และกำหนดได้เอง แต่ยังคงเป็นคนมีวินัย มุ่งมั่น และพร้อมที่จะเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ตราบเท่าที่ยังมีชีวิตอยู่


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม






วันเสาร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 เคล็ดลับ ไม่ต้องเดาตลาดถูก แต่ขอพอร์ตค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ

 6 เคล็ดลับ ไม่ต้องเดาตลาดถูก แต่ขอพอร์ตโตขึ้นเรื่อยๆ 


อ้าว!! นึกว่า พอร์ตโต ต้องเดาตลาดเก่ง …ไม่ใช่!! ..เคล็ดลับมันอยู่ตรงนี้


1. ‘การบริหารหน้าตักให้มีทั้งเงินสด และหุ้นตลอดเวลา’ …เอาตรงๆ ถ้าเราเอนเอียงไปทางไหน ตลาดมักไปอีกทาง เช่น ถ้าเราถอดใจ ล้างพอร์ตถือเงินสด เดาได้เลยเดี๋ยวตลาดจะขึ้น …หรือ วันไหนเรามั่นใจ ถือหุ้นเต็มปอด เดี๋ยวมีปรับฐานลึกสุดใจ 


2. ‘ให้โน้มไปตรงข้ามกับความรู้สึกเรา’ …ใช่!! เราต้องมีทั้งเงินสด และหุ้น แต่การให้น้ำหนักว่า หุ้นเยอะ หรือ เงินสดเยอะ ให้ดูที่ความรู้สึกเรา ….แล้วโน้มไปตรงข้าม ..เช่น รู้สึกแย่ ให้โน้มมาทางถือหุ้นเยอะ เงินสดน้อยหน่อย


3. ‘ทำการบ้าน Stock Wish List เตรียมซื้อเวลา มันลงทีเผลอ’ …โถ่!! อย่าใจร้อน …หุ้นตัวไหนอยากซื้อก็จดไว้ เดี๋ยวถ้าใจเย็นพอ มันจะมีการทิ้งตัวมารับเรา …ถึงเวลานั้น ช่วยกล้าซื้อด้วยนะ (ปัญหาคือ พอมันลงมารับเราจริง เรากลับไม่กล้าซื้อ)


4. ‘หลีกเลี่ยงหุ้นมหาชน ในตลาดบ้าบอแบบนี้’ …หุ้นมหาชน คือ หุ้นที่คนส่วนใหญ่สนใจ …ใครๆ ก็มี …ยุคนี้ไม่ใช่ยุคที่ใครๆ ก็รวยนะคิดดีๆ 


5. ‘วิ่งไปหาจุดที่เสี่ยง แต่กระจายความเสี่ยงแบบเป็นพอร์ต’ …จุดที่ไม่เสี่ยง วันนี้น่ากลัว อะไรดูชัวร์ ไม่เสี่ยง ตรงนั้นยิ่งน่ากลัว …ให้ไปหาจุดที่เสี่ยง แต่ลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง


6. ‘เชื่อมั่นในประเทศไทย’ ..พูดแบบนี้ขัดความรู้สึกโคตรๆ ใช่ไหมล่ะ ? …ลองหาข้อมูลดีๆ เราจะรู้ว่า ประเทศไทยในเวลานี้จริงๆ ไม่ได้แย่แบบที่คนส่วนใหญ่คิด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2565

ทำไมคนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ ทั้งที่ความจริงมันตรงข้าม

 ‘ทำไมคนส่วนใหญ่คิดว่าตัวเองจะประสบความสำเร็จ …แต่ความจริงก็คือ คนส่วนใหญ่ไม่ประสบความสำเร็จ’ 


1. ‘เพราะเราคิดว่า เราฉลาดกว่าคนอื่น ซึ่งจริงๆ มันไม่ใช่’ …เอาตรงๆ ในโลกนี้ไม่มีใครโง่ …ดังนั้น ใครก็ตามที่เริ่มต้นด้วยคิดว่าคนอื่นโง่ มักจะซวย เพราะ นั่นคือความประมาท ที่นำหายนะมาตลอด (คนเก่งไม่ได้แพ้เพราะเขาโง่ แต่เขาแพ้เพราะความประมาท)


2. ‘เพราะเราคิดว่า เราคิดต่าง แต่จริงๆ เราก็แค่คิดเหมือนคนอื่นๆ …ไม่ต่างเลย’ …ทุก Gen มักคิดเหมือนๆ กัน แต่เราชอบเอา Gen เราไปเทียบกับ Gen อื่น ซึ่งแน่นอนมันไม่เหมือนกัน …คนที่สำเร็จไม่ใช่คนที่คิดแตกต่างจาก Gen อื่น เพราะ มันคือเรื่องปกติ (เราจะคิดไม่เหมือนรุ่นพ่อแม่) …แต่คนที่แตกต่าง คือ คนที่คิดแตกต่างจากคนรุ่นเดียวกัน แตกต่างจากคน Gen เดียวกัน (คิดไม่เหมือนเพื่อนเรา) …นั่นแหละ คนคิดต่างจริงๆ


3. ‘เพราะเราอยากจะให้คนอื่นเห็นว่า เราสำเร็จและรวยกว่าที่เป็นจริง’ ..ซึ่งจริงๆ มันเหนื่อย และ ไม่มีประโยชน์อะไรเลย แถมมันเป็นตัวถ่วงไม่ให้เราไปสู่เป้าหมายจริงๆ ของเรา


4. ‘คนที่ขาดวินัย และ ความอดทน ไม่มีทางประสบความสำเร็จ’ …ใครๆ ก็อยากสบาย อยากรวย โดยไม่อยากทำงานหนัก ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้เลย …ทุกคนที่ประสบความสำเร็จ ล้วนเป็นคนมีวินัยและความอดทนเกินกว่าระดับปกติ …ทุกคนจริงๆ บอกเลย!!


5. ‘โอกาสซ่อนอยู่ในความเจ็บปวด และความกลัวเสมอ’ …ถ้าเราพยายามหนีความเจ็บปวด และ ความกลัว เราก็จะไม่เจอโอกาสที่พาเราไปสู่ความสำเร็จเช่นเดียวกัน 


แค่ 5 ข้อนี้ ก็พอจะบอกเรา เบาๆ แล้วว่า …เราต้องก้าวไปอีกขั้น เราถึงจะสามารถไปสู่ความสำเร็จจริงๆ ตามที่เราหวังไว้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ความพลาดของนักเล่นหุ้น ที่คุณต้องผ่านให้ได้

 6 ความพลาดของนักเล่นหุ้น ที่คุณต้องผ่านให้ได้


ขึ้นชื่อว่า ‘เล่นหุ้น’ มันก็เหมือน ‘นักรบ’ ต้องมีบาดแผล ถึงจะเก๋า 


1. ‘หุ้นที่ซื้อน้อย มันขึ้นเยอะ’ …เกิดจากเห็นหุ้นต้นรอบ ไม่กล้าซื้อ เลยลองซื้อเล่นๆ …สุดท้ายมันก็ขึ้นเยอะ ‘ถ้ากล้ากว่านี้ ก็รวยแล้ว’ 


2. ‘หุ้นที่ซื้อเยอะ มันไม่ขึ้น’ …เกิดจากเราไปซื้อหุ้นปลายรอบ มีแต่ข่าวดี ใครๆ ก็เชียร์ เราก็เลยมั่นใจซื้อแบบจัดเต็ม สุดท้ายมันไม่ไปต่อ แถมมันจะลงด้วย ซวยล่ะซิ


3. ‘ซื้อหุ้น inside แล้วเจ็บหนัก’ …จุดอ่อนจากความไว้ใจ คิดว่า ครั้งนี้รวยแน่ ไปซื้อ ‘หุ้นห่วย’ หวังว่า ได้ inside …แบบนี้เวลาโดนที่เจ็บหนัก แถมออกไม่ได้ด้วย 


4. ‘ซื้อหุ้นพื้นฐานดีราคาถูก แต่มันไม่ขึ้น ลงอีก’ …อันนี้เล่นตามมวลชนคนล่าพื้นฐาน แต่เผอิญเราดันไปคิดคล้ายๆ คนอีกจำนวนมากที่แห่เข้าไปซื้อด้วยเหตุผลเดียวกัน ‘ของดี ราคาถูก มันต้องดีซิ’ ..แต่บางครั้งมันไม่ดีไง ก็ซวยไป


5. ‘เวลาจัดเต็ม มั่นใจมาก มักซวยทุกที’ …ถ้าจัดเต็มแล้วชนะ มันก็เป็นตำนาน แต่เอาตรงๆ นะ …ของจริงมันไม่ได้ง่ายแบบนั้น มันมีบททดสอบ และ บางครั้งมันทดสอบ จนเราเสียศรัทธาในตัวเองไปเลยก็มี


6. ‘พอเราจะถอดใจ กำไรครั้งใหญ่ มันดึงเรากลับมา’ …บางทีเราผิดจนไม่ไหว จะเลิกเล่นอยู่แล้ว …ความโชคดีมันก็เข้ามาแบบไม่ได้ตั้งตัว …นี่แหละเสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่สุดจะทานทน


ใครเจอมาครบ แล้วยังอยู่ในตลาดหุ้น ก็แปลว่า ‘คุณคือนักรบ ที่มีบาดแผล แต่ยังไม่ตาย’ …ฮ่า ฮ่า (ตลกพร้อมน้ำตา)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

การเดินทาง ทำให้เรารวยและสำเร็จ จริงไหม

 การเดินทาง ทำให้เรารวยและสำเร็จ จริงไหม ?


จริงๆ การเดินทาง ไม่ได้จะทำให้เราเก่ง รวย หรือ สำเร็จ แต่ ‘ประสบการณ์’ และ การตีความ ต่างหากที่จะทำให้เราแตกต่างและประสบความสำเร็จ


ผมเป็นคนนึงที่โชคดี ได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ไปต่างประเทศตั้งแต่เด็กๆ …แต่การตีความและตกผลึก มันใช้เวลา เพื่อผมจะเข้าใจว่า 


1. ‘การเดินทาง มันสร้าง ความกล้า ซึ่งเป็น คุณลักษณะของคนที่จะกล้าคว้าโอกาส’ …การอยู่ในสภาพแวดล้อมเดิมๆ มันสบาย แต่การที่เราต้องไปเจอสภาพแวดล้อมใหม่ มันทำให้เราอึดอัด และ ฝึกฝนการปรับตัวให้กับเรา 


2. ‘ได้เห็นตัวอย่างดีๆ ที่เราเก็บเกี่ยวเอามาปรับใช้’ …ถ้าให้เราคิดเองมันยาก แต่การที่เราเห็นตัวอย่าง ทั้งดี และไม่ดี มันทำให้เราต่อยอดง่ายกว่า …คนที่มีความคิดสร้างสรรค์ มันเริ่มจากการเห็นเยอะๆ ก่อน


3. ‘การเจอคนที่แตกต่างจากเรา ก็ทำให้เรา Open Mind’ ..การได้เจอกับคนที่คิดตรงข้ามกับเรา มันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้วทุกคนไม่ได้คิดเหมือนเรา …Mindset ของแต่ละคน ถูกหล่อหลอมจาก ประสบการณ์ที่ไม่เหมือนกัน …ถ้าเราอยากจะอ่านคนให้ออก ต้องตีความจาก Background ของเขา ไม่ใช่ตีความจากสิ่งที่เขาแสดงออกมา (เพราะมันตรงข้ามกัน) 


4. ‘การเจอและจัดการกับปัญหา ที่ไม่คาดคิดเป็นส่วนนึงของการเดินทาง’ …การทำธุรกิจกับการเดินทาง มีส่วนคล้ายตรงที่ ต้องใช้ทักษะในการแก้ปัญหาเฉพาะหน้าเยอะมาก


5. ‘การเดินทาง ต้องสมดุลย์กับการตกผลึกประสบการณ์’ …อย่ามัวแต่เดินทางไปเรื่อยๆ เพราะ สุดท้ายมันจะนำไปสู่การหนีอะไรบางอย่างที่ไร้จุดหมาย ..ใช่!! บางครั้งต้องหยุด และ กลับมาตกผลึก เพื่อให้การเดินทางนั้นๆ จะได้เปลี่ยนเป็นประสบการณ์ที่ล้ำค่า 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 จุดอ่อน ของการคิดแบบคนส่วนน้อย

 5 จุดอ่อนของการคิดแบบคนส่วนน้อย 


การคิดแบบคนส่วนน้อย หรือ ทฤษฎีผลประโยชน์ …โดยมากได้ตังค์ เพราะ คนส่วนน้อย คือ คนที่สำเร็จและร่ำรวย …แต่บางครั้ง ก็มีจุดที่ต้องระวัง 


1. ‘เราไม่ได้รู้จริงๆ ว่าคนส่วนใหญ่ หรือ คนส่วนน้อยคิดยังไง’ …มันไม่ได้มีอะไรที่มาวัดแบบชัดเจนว่า ในเวลานี้คนส่วนใหญ่คิดแบบนั้นจริงๆ หรือเปล่า …จนบางครั้งเราตีความไปเอง 


2. ‘ไม่ใช่ทุกอย่างที่คนส่วนน้อยจะได้ประโยชน์’ …มันมีเรื่องของการตายหมู่ คือ เละทุกคน …ใช่!! บางครั้งมันคือเหวจริงๆ ไม่ว่าใครโดดลงไปก็เละทุกคน ไม่มีข้อยกเว้น …อย่างการลงทุนก็คือเราไม่สามารถ Bet หมดหน้าตัก แม้ว่าเราจะแน่ใจแค่ไหนก็ตาม 


3. ‘วิกฤตใหญ่ ช่วยให้เราเห็นภาพชัดเจนขึ้น’ …ถ้าจะเลือก ปัจจัยชี้วัดที่ดีที่สุดของการหาโอกาส ก็คือ วิกฤตครั้งใหญ่ เพราะ มันคือการ Set Zero เริ่มต้นกันใหม่ที่ชัดเจน มีผู้แพ้ ชนะ มีผลลัพธ์ที่ชัดเจน 


4. ‘วิกฤตย่อย ต้องค่อยๆ เก็บแต้ม’ …คนที่ชนะบ่อยๆ จะกลายเป็นคนประมาท แล้วพยายามหาโอกาสครั้งใหญ่ ตลอดเวลา …แต่เราต้องรู้เอาไว้ด้วยว่า การจัดเต็มทุกครั้งในทุกวิกฤตเป็นความเสี่ยงที่ควบคุมได้ยาก


5. ‘ไม่ว่าพลาดขนาดไหน ก็ห้ามตาย’ …ตราบใดที่เรายังไม่ตาย เราก็สามารถพลิกกลับมาชนะได้ …นี่คือ หลักสำคัญที่ผมใช้เป็นแกนหลักในการลงทุนเลยก็ว่าได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2565

6 ข้อ พ่อสอนลูกหาเงินในที่สูง

 6 ข้อ พ่อสอนลูกหาเงินในที่สูง


บางเรื่องเราอาจต้องใช้เวลานานในการตกผลึก …ซึ่งหนึ่งในนั้นคือการหาเงินในที่สูง !!


‘พ่อให้ผมไปหาเงินในทิเบต เหรอครับ?’ …ไอ้นี่ มันวอนและ !!


1. ‘การหาเงินในที่สูง คือ การถอยไปมองในมุมที่กว้างยาวขึ้น’ …การคิดวิธีหาเงินในหนึ่งวัน ต่างกับวิธีหาเงินในหนึ่งปี …และก็ต่างจากการหาเงินในสิบปี 


2. ‘การหาเงินในระยะยาว คือ การสร้างระบบที่มาหาเงินแทนเรา’ …การหาเงินในระยะสั้น ใช้ตัวเราและเวลาเรา แต่การหาเงินในระยะยาว คือ การคิดหาตัวแทนและสิ่งที่จะมาหาเงินแทนตัวเรา


3. ‘การยอมเสียน้อยๆ ตอนแรก ก็เพื่อจะได้เยอะตอนหลัง’ …ถ้าหวังจะได้เงินเร็วๆ โดยที่ไม่ยอมเสียอะไรเลย จะพาตัวเองไปสู่จุดที่จริงๆ แล้ว เสี่ยงที่สุด


4. ‘คนที่อยู่ในเกม กับคนสร้างเกม คิดแตกต่างกันตั้งแต่เริ่มคิดแล้ว’ …เราต้องเริ่มจากการเข้าไปเล่นในเกม แต่อย่าลืมว่า เราต้องพยายามเข้าใจเกมนั้นๆ เพื่อวันนึงเราจะได้มีโอกาสเป็นผู้สร้างและกำหนดเกมในวันข้างหน้า


5. ‘ถ้าอยากรู้ว่าเกมในที่สูงเขาทำกันยังไง ก็ต้องเข้าไปศึกษา เรียนรู้’ …เกมในที่สูง เริ่มจาก ฐานทุน connection และ เวลา …ถ้าอยากได้ลูกเสือ ก็ต้องพร้อมที่จะเข้าถ้ำเสือ


6. ‘ที่สูง คือ จุดที่คู่แข่งน้อย’ …ถ้าสิ่งที่เราทำเต็มไปด้วยคู่แข่ง แปลว่า ต้องไปหาจุดที่สูงกว่านั้น 


ถูกต้อง!! ก็มันยาก(มากๆ)ไง …มันก็เลยเป็นเกม หาเงินในที่สูง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อ ที่พ่อสอนผมเรื่องเงิน

 8 ข้อ ที่พ่อสอนผมเรื่องเงิน 


1. ‘อย่าอายที่จะพูดเรื่องเงิน’ …คนที่ไม่พูดเรื่องเงิน ส่วนใหญ่แคร์เรื่องเงินมากที่สุด ดังนั้น พูดเรื่องเงินก่อนเลยจะได้ไม่มีปัญหา หรือ จะได้แก้ปัญหาที่สำคัญที่สุดก่อนเลย …ใช่ ‘ปัญหาเรื่องเงินไง!!’


2. ‘ถ้าใครมายืมเงินเรา ก็แปลว่าเขาตั้งใจจะเลิกคบเราตั้งแต่วันที่ยืม’ …เวลาเราให้ใครยืมเงิน วันนั้นก็แปลว่าเราได้เสียเพื่อนคนนั้นไปเรียบร้อย …เพราะถ้าเขาไม่คืน เราก็จะมีปัญหา …ส่วนถ้าเราไปทวงคืน เขาก็จะมีปัญหากับเราเช่นกัน …อีกทางเลือก ก็คือ ‘ตัดใจให้ไปเลย เฉพาะเงินที่เราไม่ต้องการเอาคืนเท่านั้น’ 


3. ‘ทำสิ่งที่เราเก่งก่อน จนสุดท้ายให้เหลือทำเฉพาะสิ่งที่เราเก่ง’ …คนทุกคนในโลกมีความเก่ง แต่แค่ไม่ได้พาตัวเองไปอยู่ในจุดที่ตัวเองเก่ง …จนสุดท้ายลืมไปว่า เราเก่งอะไร 


4. ‘การคิดหาเงินแบบคนมีเงิน ง่ายกว่าเริ่มหาเงินจากไม่มีอะไรเลย’ …ให้คิดแบบคนมีเงิน ตั้งแต่วันที่เรายังไม่มีเงิน …ใช่!! ให้รีบหาความรู้ ในการที่จะหาเงินแบบคนมีเงิน


5. ‘เงินคือ อำนาจต่อรอง แม้จะไม่ได้จ่ายเงินสักบาทเลยก็ตาม’ …การเก็บออมสร้างฐานทุนจึงเป็นขั้นแรกที่พึงกระทำ ในการเริ่มต้นชีวิตเพื่อความมั่นคงและมั่งคั่ง


6. ‘ให้ใช้เงินแก้ปัญหาที่เงินแก้ได้เท่านั้น อย่าใช้เงินแก้ปัญหาที่เงินแก้ไม่ได้’ …คนที่ฝึกฝนเรื่องนี้จะรู้ว่า เงินแก้ปัญหาส่วนใหญ่ได้ดีเลยทีเดียว


7. ‘ถ้าเราให้เงิน เราจะอยู่เหนือผู้รับทันที’ …ยกเว้นให้ยืม เพราะ เราจะตกอยู่สถานะไร้การควบคุมทันทีเช่นกัน 


8. ‘อย่าค้ำประกันให้ใคร’ …ถ้าเราไม่พร้อมที่จะใช้หนี้ทั้งหมดแทนเขา ก็อย่าค้ำประกันให้ใคร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

12 ข้อ เราจะหาเงินเยอะๆไปทำไม …ถ้าไม่ได้ใช้ ?

12 ข้อ ‘เราจะหาเงินเยอะๆ ไปทำไม’ …ถ้าไม่ได้ใช้ ?


1. ‘เงินสามารถซื้อความสะดวกสบาย’ …เงินสามารถซื้อความสะดวกสบายในชีวิต รวมทั้งแก้ปัญหาแทบทุกสิ่งทุกอย่าง ที่เงินสามารถแก้ได้ 


2. ‘เงินใช้ซื้อเวลาเราคืน’ …แต่จริงๆ คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ทำเช่นนั้น …ส่วนใหญ่ทำงานหนักขึ้น เพื่อให้ได้เงินที่มากขึ้นไปอีก (คนหาเก่ง มักลืมใช้ …แต่คนใช้เก่ง มักลืมหาเช่นกัน …ตลกร้าย!!)


3. ‘เงินเป็นหลักฐานของ ความเก่งและความเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราทำ’ …ถ้าเราทำอะไรได้ดีกว่าคนอื่นอย่างชัดเจน นั้นแหละคือ จุดเริ่มต้นของการมีเงิน


4. ‘เงิน คือ ความมั่นคงและความอิสระ แม้เราไม่ได้ใช้ก็ตามที’ …คนมีเงินล้านแต่แทบไม่ได้ใช้ จริงๆ ก็ดูเหมือนคนไม่มีเงิน เพราะไม่ได้ใช้ แต่ความมั่นคงในจิตใจมันต่างกันมาก …ต่างกันตรงที่เรารู้ว่า ’ถ้าจะใช้เมื่อไหร่ เราก็มีเงินให้ใช้’ นั่นแหละสำคัญกว่า


5. ‘เงิน เท่ากับ ความเกรงใจ’ โดยเฉพาะในสังคมที่เงินเป็นใหญ่อย่างในประเทศไทย …พอเริ่มมีเงินเขาเรียก ‘คุณ’ …พอมีเงินเยอะขึ้นเขาเรียก ‘ท่าน’ …พอเยอะจัดๆ เขาเรียก ‘คุณท่าน’ 


6. ‘เงิน คือ วินัยและความสม่ำเสมอ’ …เราปฏิเสธไม่ได้เลยว่า สิ่งที่คนหาเงินเก่งต้องมีทุกคน ก็คือ วินัย และ ความสม่ำเสมอ


7. ‘หาเงินเก่งไม่ได้บอกถึงวุฒิภาวะ แต่การรักษาเงินที่หามาได้ เป็นตัวบอกวุฒิภาวะ’ ได้เป็นอย่างดี …ใช่!! ใครๆ ก็หาเงินได้ แต่ไม่ใช่ทุกคนที่จะสามารถรักษาเงินที่หามาได้ และ ทำให้มันเพิ่มพูน


8. ‘เงิน คือ ภาระ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบ’ …ถ้าปราศจาก การเข้าใจและการบริหาร ‘ภาระ หน้าที่ และ ความรับผิดชอบ’ ก็ไม่สามารถรักษาเงินไว้ได้ ไม่ว่าเงินจะเยอะแค่ไหนก็ตาม


9. ‘เงิน ทำหน้าที่ บริหารและจัดการทรัพยากรทั้งหมด ในโลกใบนี้’ …ไม่น่าแปลกที่ไม่ว่า เงินจะถูกสร้างขึ้นมามากแค่ไหน แต่มันก็ไม่เคยพอกับความต้องการของคนเลย


10. ‘เงินสามารถแก้ปัญหา ที่เงินแก้ได้เท่านั้น’ …อย่าใช้เงินแก้ปัญหาในสิ่งที่เงินแก้ไม่ได้ เพราะ มันจะยิ่งสร้างปัญหามากขึ้น เช่น เงินซื้อคนรักได้ แต่ซื้อความรักไม่ได้  , เงินซื้อเวลาคนอื่นได้ แต่ซื้อคนไม่ได้ 


11. ‘เงินส่งต่อได้ แต่ความสามารถในการสร้างเงิน ส่งต่อไม่ได้’ …พ่อแม่ให้มรดกลูกได้ แต่ก็ไม่ได้การันตีว่าลูกจะสามารถดูแลจัดการเงินนั้นได้


12. ‘เงินที่มากกว่าความสามารถในการบริหาร จะสร้างปัญหามากกว่าประโยชน์’ …ตลกร้าย คือ เราควรเรียนรู้วิธีจัดการเงินก่อนที่จะมีเงิน ถึงจะมีเงิน …แต่คนส่วนใหญ่รอให้มีเงินก่อนที่จะเรียนรู้วิธีจัดการเงิน ทำให้สุดท้ายไม่เคยมีเงินสักที

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ต้องดูให้รู้ว่าการลงทุนของเราไม่ใช่การพนัน

 6 ข้อ ต้องดูให้รู้ว่าการลงทุนของเราไม่ใช่การพนัน


บางครั้งการลงทุน กับ การพนัน ก็ใกล้กัน จนเราหลงทางได้ …ต้องระวัง !!


1. ‘สินทรัพย์อ้างอิง’ …การลงทุนต้องดูสินทรัพย์อ้างอิง ว่า มีมูลค่า คู่ควรกับ ราคาที่เราจ่ายหรือไม่


2. ‘สินทรัพย์อ้างอิง สร้างรายได้ และกำไร อย่างต่อเนื่องได้หรือไม่’ …ถ้าไม่ใช่ มันอาจจะเป็นแค่ ของสะสม แต่ไม่ใช่สินทรัพย์เพื่อการลงทุน


3. ‘กลุ่มคนที่สนใจลงทุน’ …ถ้าในหุ้น ก็คือ คนที่ถือหุ้น มีจำนวนเท่าไหร่ ใครถือ สัดส่วนเป็นยังไง …เราวิเคราะห์ลักษณะของผู้ซื้อหุ้นนั้นๆ 


4. ‘ความยั่งยืนของสินทรัพย์ที่เราเข้าลงทุน’ …ในส่วนของหุ้น เราก็ต้องวิเคราะห์ว่าธุรกิจหลัก มีความยั่งยืน และ มีโอกาสเติบโตไปอีกแค่ไหน (ในตลาดหุ้นเขาให้ค่าการเติบโตมากที่สุด เรื่องอื่นๆ ก็รองลงมา)


5. ‘สภาพคล่องของสิ่งที่เราลงทุน’ …อย่างเช่นที่ดิน เป็นสินทรัพย์ที่ดี แต่สภาพคล่องต่ำมาก …หรือ หุ้นบางตัว ก็มีสภาพคล่องต่ำมาก …เพื่อให้เราเตรียมการบริหารสภาพคล่องให้ดี ไม่ขาดมือ


6. ‘ค่าบำรุงรักษาในการครอบครองสินทรัพย์’ …ถ้าสูงก็ต้องคิดให้เยอะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 ข้อสังเกต ว่าถึงจุดที่ควรเริ่มซื้อหุ้นได้แล้ว

 6 ข้อสังเกต ว่าตอนนี้ถึงจุดที่ควรเริ่มซื้อหุ้น


เคยไหมครับ ? …อยากซื้อ แต่รอ รอ …รอตั้งแต่หุ้นราคาลง ลงไปเรื่อยๆ …รอจนสุดท้ายราคาขึ้น ขึ้นไป…ไปไกล แล้วก็ยังไม่ได้ซื้อ !!


มาดูกันดีกว่า ว่า จุดที่ควรเริ่มทยอยซื้อหุ้นมันมีข้อสังเกตอะไรบ้าง ?


1. ‘ภาพใหญ่อยู่ในวิกฤต’ ..ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยข่าวร้าย แทบจะหาข่าวดีไม่ได้เลย


2. ‘หุ้นที่เราสนใจอยู่ในช่วงปรับฐาน’ …ดูไง? …เอาตรงๆ แค่เปิดกราฟก็เห็นแล้วว่า เวลานี้มันปรับฐานอยู่ หรือ มันกำลังพาเราไปดอย …555


3. ‘หุ้นอยู่ในจุดที่มีโอกาสกลับตัว’ ..ซึ่งมี 3 ระดับ คือ 30% / 50% และ 70% (มันไม่ได้เป๊ะๆ แต่นี่คือ ค่าเฉลี่ย …การลง 30-50% คือ ปรับฐาน …ส่วนการลงเฉลี่ย 70% คือ จบรอบใหญ่)


4. ‘งบไม่ดี แต่หนี้ไม่เยอะ’ …ถ้าหุ้นลง งบแย่ หนี้เยอะ เอาตรงๆ นะ หนีเถอะครับ 


5. ‘ธุรกิจยังไม่โดน Disrupt’ …ช่วงหุ้นลงมักอยู่ในช่วงธุรกิจขาดทุน เราต้องมองให้ออกว่า มันไม่ใช่แย่เพราะโดน Disrupt 


6. ‘เริ่มซื้อคือทยอยซื้อ’ …อย่าซื้อแบบกลัวไม่ได้ซื้อ …ค่อยๆ ซื้อ …ให้เวลาการลงเพื่อความสุกงอม หอมหวานของหุ้น


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 25 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ปัญหาของการไม่กล้าเสี่ยง

 6 ‘ปัญหาของการไม่กล้าเสี่ยง’ 


หลายคนอาจจะสงสัยว่า ‘ไม่กล้าเสี่ยง’ มันก็ดี ? ..แล้วมันเป็นปัญหาตรงไหน 


1. ‘เราวนอยู่กับโอกาสที่ผลตอบแทนต่ำ’ …ปกติอยู่แล้วอะไรที่ชัวร์ มันแทบไม่ทีผลตอบแทน เหมือนเอาเงินไปฝากธนาคารแหละ …แต่ตลกร้ายคือ ขนาดเราเอาเงินฝากธนาคารเฉยๆ วันนี้ก็เสี่ยงเงินเฟ้อ เงินด้อยค่า 


(ในเมื่ออยู่เฉยๆ ก็เสี่ยง แล้วทำไมจะไม่เสี่ยงล่ะ ?)


2. ‘ความเสี่ยง จริงๆ ก็คือ สิ่งที่คนไม่เข้าใจ เขาก็เลยบอกว่ามันเสี่ยง’ …ใช่!! ก็แปลว่า สิ่งที่คนไม่เข้าใจบางอย่าง จริงๆ มันดี ก็เลยทำให้มีคนรวยมหาศาลจากบางอย่างที่คนอื่นไม่เข้าใจนั่นแหละ 


(อ๋อ!! ที่เขาพูดกันว่า ความรู้มันลดความเสี่ยง มันคือเรื่องจริง)


3. ‘ความเสี่ยง มันมันส์’ …มีคนถามว่าทำไมผมไม่ชอบเล่นการพนัน ไม่ซื้อหวย ไม่เสี่ยงโชคอะไรเลย …ผมก็ตอบไปว่า ผมเสี่ยงโชคอยู่ทุกวันอยู่แล้ว ด้วยเงินทั้งหมดที่ผมมี กับหุ้นที่คนอื่นไม่เข้าใจ …เวลาชนะ มันมันส์ ไม่ต่างจากการถูกหวยเลย !!


(ไม่ใช่ไม่ชอบการพนัน แต่ชีวิตกรูคือ เดิมพันทั้งชีวิตอยู่แล้ว)


4. ‘เมื่อคุณเริ่มได้เงินจากความเสี่ยง คุณจะสามารถเสี่ยงได้เพิ่มขึ้น’ …ในโลกมีคน 2 ประเภท หนึ่ง คือ หาเงินจากความสามารถและเวลาของตัวเองไปแลกมา กับ สอง คือ หาเงินจากเอาเงินไปต่อ ไปต่อเงินเรื่อยๆ …ใช่!! ผมเริ่มจากแบบแรก แต่พอผมเริ่มมีทุน ผมก็เอาเงินไปต่อเงิน เสี่ยงมาตลอด …วันนี้พอมีฐานทุนใหญ่ขึ้น ก็เสี่ยงได้เพิ่มขึ้นอีก แต่กลับรู้สึกว่า ไม่ได้เสี่ยงอะไร เพราะด้วย ‘ความน่าจะเป็น’ Probability มันได้กระจายความเสี่ยงออกไปจนกลายเป็นความเสี่ยงที่สาเหตุสมผลไปเอง 


(คนที่เสี่ยงแล้วรวยได้เปรียบ ตรงที่เขาสามารถลงทุนเสี่ยงๆ ได้เพิ่ม และจุดนั้นแหละ คือจุดที่ให้ผลตอบแทนสูงอย่างไม่สมเหตุสมผล ที่ภาษาชาวบ้านเรียกว่า รวยไม่รู้เรื่อง!!)


5. ‘พอการลงทุนมันถึงจุดที่เริ่มไม่เสี่ยง ผมก็จะเปลี่ยนไปหาความเสี่ยงใหม่ๆ’ …มันก็เหมือน นักสำรวจไหม …เราออกไปหาสิ่งที่คนอื่นเขายังไม่เห็น ยังไม่มอง แต่พอคนมาสนใจเยอะๆ …เราก็ไปที่อื่นต่อ 


6. ‘สุดท้าย เราก็ไม่จำเป็นต้องหยุดเสี่ยง’ …มีคนถามผมว่า ถ้าเราเสี่ยงไปถึงจุดนึง เราควรเลิก ล้างมือในอ่างทองคำไหม ? (ประมาณว่า รวยแล้วเลิก) …เอาตรงๆ ถ้าคิดแบบ ‘รวยแล้วเลิก’ แปลว่า เราเป็นนักพนันมือใหม่ ที่เพิ่งรู้จักบ่อน 


…เพราะถ้าคุณเข้าใจหลักการของ ‘ทุนนิยม’ (Capitalism) …เราก็จะตอบได้เองเลยว่า ‘ชีวิตและความมั่งคั่ง มันคือการอยู่กับความเสี่ยง และ บริหารจัดการมันอย่างมีชั้นเชิง แค่นั้นแหละ’ 


ถ้าคิดจะขึ้นหลังเสือ เราจะไม่หลงจากหลังเสือ …เอ่อ !! เพราะเราคือ เห็บเสือ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อสังเกต ว่าหุ้นตัวนั้น ยังลงไม่สุด

 6 ข้อสังเกต ว่าหุ้นตัวนั้นยังลงไม่สุด


หลายครั้งที่เรารีบเข้าไปช้อนซื้อ แต่ปรากฏว่า เละ ครับ …เราเละ ดิครับ มันลงอีกลึกเลย


มาดูกันว่า อะไรที่บ่งบอกว่า หุ้นยังลงไม่สุด


1. ‘องศาการลงที่ชันเกินไป’ …ตามธรรมชาติของวัตถุ ถ้ามันลงดิ่งเลย อย่ารีบรับ เพราะ มือเราจะขาดได้ครับ


2. ‘ปริมาณ Volume ที่มากเกินไป’ …ยิ่ง Volume หนา ยิ่งบอกเลยว่า มันยังลงไม่สุด


3. ‘ดัชนีภาพใหญ่ ไม่เป็นใจ’ …เอาตรงๆ ถ้าภาพใหญ่ยังลง การรีบเข้าไปรับก็ไม่ใช่เรื่องที่ดีนัก


4. ‘เม่ายังสู้’ …ถ้ารายย่อยยังไม่กลัว ทุกคนพูดว่า มันถูกแล้ว …นั่นก็แปลว่า ยังลงไม่สุด


5. ‘พื้นฐานดูถูกแล้ว ดูยังไงก็คุ้ม’ …ลงต่อครับ …บทเรียนสายพื้นฐานจะเข้าใจกัน มองตาเข้าใจกันว่า ซื้อตอนถูกทีไร ได้ลงต่อ ได้ถืออีกนาน (ใช่!! สุดท้ายมันก็ขึ้นแหละ …แต่โคตรนาน …น …น …น)


6. ‘เรายังมีเงินสดอยู่’ …อันนี้สำคัญเลย ถ้าเรายังมีเงินสดอยู่แปลว่า ราคายังลงไม่สุด …ตอนเรารับจนไม่เหลือเงินสดแล้ว น้ำตาไหล เซ็งเป็ดแล้ว จุดนั้นถึงจะเป็นจุดต่ำสุด


โหดชิบหาย !! …ก็มันโหดไง คน 80% ถึง ผิดตลอด 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 16 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ด้านมืดของหุ้น ที่คุณควรเข้าใจ

 6 ด้านมืดของหุ้น ที่คุณควรเข้าใจ


1. ‘ราคาหุ้นเป็นสิ่งที่หลอกเราได้มากที่สุด’ …โดยเฉพาะราคาที่ปราศจาก Volume การซื้อขาย 


2. ‘พื้นฐานหุ้น กับราคา อาจไม่ได้ไปในทิศทางเดียวกัน’ …ยาวนาน จนเราลืมว่า สุดท้ายราคาจะวิ่งไปตามพื้นฐานในที่สุด


3. ‘ด้วยเม็ดเงินที่มากพอ สามารถจะพาหุ้นไปในทิศทางใดก็ได้’ …ถ้าเราไม่ระวังในเรื่องของ Volume เราอาจถูกพาไปติดดอยได้อย่างยาวนาน


4. ‘ไม่มีใครรู้ว่าจุดสูงสุดของหุ้นอยู่ที่ไหน และก็ไม่มีใครรู้ว่าจุดต่ำสุดอยู่ตรงไหนเช่นกัน’ 


5. ‘คนที่ต้องการเงินเร็วๆ จากตลาดหุ้น มักจะเสียหายอย่างสาหัส’ …เพราะระยะสั้นหุ้นเคลื่อนตามอารมณ์ (แกว่งชิบหาย) ตรงข้ามกับระยะยาวที่หุ้นเคลื่อนตามพื้นฐาน (พอเดาได้บ้าง)


6. ‘ถ้าคนส่วนใหญ่มีหุ้น ราคาจะเข้าสู่ขาลง …แต่เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ขายทิ้ง ราคาหุ้นจะเข้าสู่ขาขึ้น’ …การอ่านเกมของหุ้น ก็ต้องวิเคราะห์ให้ออกว่า ณ จุดนี้ คนส่วนใหญ่เขา ซื้อ / ถือ / หรือ ขาย 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 หลักคิด Classic จากตลาดหุ้น ที่คนกำไรหุ้นเข้าใจตรงกัน

 8 หลักคิด Classic จากตลาดหุ้น ที่คนกำไรหุ้นเขาเข้าใจตรงกัน


1. ‘ตลาดหุ้นคือสถานที่ เอาเงินจากคนที่มีความอดทนน้อย ไปสู่กระเป๋าของคนที่มีความอดทนมากกว่า’ 


2. ‘เราได้เงินจากราคาหุ้น แต่ราคาหุ้นก็เป็นสิ่งที่หลอกเราได้มากที่สุดเช่นกัน’ 


3. ‘ไม่ขายไม่ขาดทุน ได้ผลดีในตลาดหุ้นขาขึ้นเท่านั้น’ …แปลว่า ถ้าไม่ขายหุ้นเลย ทุกๆ สิบปี เวลาตลาดหุ้นจบรอบ พอร์ตจะเละแทบไม่เหลือชิ้นดีเลย


4. ‘การ Cut Loss ที่ดี ต้องทำในเวลาที่เราไม่อยากทำเท่านั้น’ …ถ้ารอให้เราอยาก Cut Loss การขายจะกลายเป็นหายนะทันที เพราะ จุดที่เราทนไม่ไหว มันมักจะเป็นจุดกลับตัวของราคาหุ้น


5. ‘หุ้นที่เราซื้อเยอะ มักขึ้นน้อย แต่หุ้นที่เราซื้อน้อย มักขึ้นเยอะ’ …เหมือนจะแก้ไม่ยาก ก็แค่คิดและทำตรงข้าม ..แต่ในทางปฏิบัติ เราต้องแก้ Mindset และวิธีคิดใหม่เกือบทั้งหมดเลย


6. ‘คนที่รวยหุ้นมากที่สุด ก็คือคนที่ไม่ได้คิดจะขายหุ้นตัวนั้น …และคนที่จะเจ๊งสูงสุดก็คือคนที่ไม่คิดจะขายหุ้นตัวนั้นเช่นกัน’ 


7. ‘หุ้นลงได้เด้งเดียว แต่เวลาขึ้นกี่เด้งก็ได้’ …ถ้าเข้าใจเรื่องนี้ คุณจะเลือกการลงทุนเป็นพอร์ต (Portfolio) …ไม่จัดหนัก ไม่มั่นใจไร้สติ


8. ‘คนที่คิดสะสมหุ้น จะรวยกว่าคนที่คิดสะสมเงินสด ในระยะยาวเสมอ’ ….มีเซียนหุ้นท่านนึงสอนผมว่า ถ้าคุณคิดจะหยิบแต่เงินสดออกจากตลาดหุ้น พอร์ตเราจะไม่มีทางโต (คืออาจจะพอได้เงินนะ แต่ไม่รวยหุ้นสักที)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 เรื่องในตลาดหุ้นยุคนี้ ที่ควรรู้ให้ทัน

 6 เรื่องในตลาดหุ้นยุคนี้ ที่ควรรู้ให้ทัน


1. ‘หุ้นพื้นฐานดีราคาถูก ปันผลสูง ไม่จำเป็นต้องขึ้นก็ได้’ …หลายคนคิดว่า ถ้าซื้อหุ้นดี ปันผลสูง แล้วหุ้นต้องขึ้น …เอาตรงๆ นะ รายใหญ่ที่ถือหุ้นนั้น เขาอาจจะไม่ได้อยากให้หุ้นขึ้น เพราะถึงหุ้นขึ้นเขาก็ไม่ได้คิดจะขาย แค่รับปันผลก็สบายๆ แล้ว


2. ‘หุ้นที่ลงหนัก แต่อยู่ในความสนใจของมวลชน ไม่ต้องรีบซื้อก็ได้’ …หุ้นทีลงหนักที่มวลชนสนใจแปลว่า ลงพร้อม Volume …อันนี้ตีความว่า รายใหญ่ออกของ …เอาตรงๆ ถ้ารายใหญ่ออก เดาง่ายๆ เลยว่า มันไม่น่าขึ้นต่อ หรือ ถึงไปต่อก็ไม่น่าจะไปได้ไกล


3. ‘หุ้นที่ขึ้นแรงเกินไป เราแบ่งขายทำกำไรบ้างก็ดี’ …รอบนี้ของตลาด มันเป็นไปได้ยากที่ขึ้นจะวิ่งไปยาวๆ โดยไม่พักเหมือนอย่างปี 2008 ที่หุ้นขึ้นยาวๆ ไม่มีพัก เพราะตอนนั้นสภาพคล่องมันมหาศาล และพื้นฐานธุรกิจอยู่ในขาขึ้น แต่เวลานี้มันไม่ได้เป็นแบบนั้นแล้ว


4. ‘หุ้นที่จะขึ้นได้แรงในเวลานี้ คือหุ้นที่สภาพคล่องต่ำ’ …หุ้นที่สภาพคล่องต่ำ แปลว่า หุ้นนั่นมีรายย่อยอยู่น้อย หรือ รายย่อยขายทิ้งไปหมดแล้ว …เมื่อไม่มีรายย่อย ก็ขึ้นกับเจ้าแล้วล่ะว่า เขาจะเอาไปไหน 


5. ‘อย่าเทหมดหน้าตักให้หุ้นตัวใดตัวหนึ่ง ให้กระจายความเสี่ยงให้ดี’ …เราอาจเห็นตัวอย่างเซียนหุ้นที่สร้างตัวได้เร็วจากรอบที่ผ่านมาโดยการเลือกหุ้นน้อยตัวแล้วจัดหนัก …วิธีการนั้นอาจใช้ได้ไม่ดีกับหุ้นรอบนี้ ที่มีปัจจัยความเสี่ยงรอบด้านอย่างในปัจจุบัน


6. ‘ควรหลีกเลี่ยงสินค้าที่มี Leverage สูง’ …Leverage ก็คือ ’กู้มาเล่น’ …ถ้าเรากู้มาเล่น ก็แปลว่า เรากระโดดเข้าไปในเกมเงินร้อน …เกมเงินร้อนเหมาะกับตลาดขาขึ้นที่สภาพคล่องล้นเหลือ …ซึ่งตรงข้ามกับปัจจุบันที่ทุกคนพยายามเก็บสภาพคล่อง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2565

6 หลัก การลงทุนแบบคนมีเงิน ที่เขาอาจไม่บอกเรา

 6 หลัก การลงทุนแบบคนมีเงิน ที่เขาอาจไม่ได้บอกเรา


เขาบอกกันว่า คนมีเงิน ลงทุน แตกต่าง (แตกต่างอย่างสิ้นเชิง) …ยังไง ? 

มาดูกัน 


1. ‘คนมีเงินจะลงทุนเป็นพอร์ต’ …การลงทุนเป็นพอร์ตก็คล้ายๆ ผู้จัดการกองทุน ที่ลงทุนโดยการประเมินโอกาสและความเสี่ยง แล้วกระจายการลงทุนอย่างเหมาะสม …ไม่ใช่เลือกลงทุนตามความชอบ ไม่ชอบ 


(การลงทุนเป็นพอร์ต สามารถเริ่มตั้งแต่เงินน้อย แต่กระจายการลงทุนให้เป็นนิสัย)


2. ‘คนมีเงินจะมองที่จุดแย่สุด ก่อนจุดดีที่สุด’ …คิดง่ายๆ ถ้าเรารับแย่สุดได้ ก็แปลว่า การลงทุนนี้ไม่มีอะไรที่จะทำให้เราชีวิตแย่ …ก็จัดไป


3. ‘คนมีเงินจะมองความเป็นไปได้ มากกว่าความหวัง’ …ถ้ามันไม่น่าจะเป็นไปได้ (if it too good to be true , it’s probably too good to be true) …มันก็ไม่น่าจะเป็นไปได้จริงๆ นั่นแหละ …เช่น การันตีผลตอบแทน สูงแบบเหลือเขื่อ และทยอยจ่ายทุกเดือน ก็หนีไม่พ้นแชร์ลูกโซ่นั่นแหละ 


4. ‘ของฟรีไม่มีในโลก ต้องมองให้ออกว่าเราเสียอะไร’ …ถ้ามองไม่ออก ก็แปลว่าสุดท้ายเราเสียเปรียบแน่นอน ..อะไรที่เราได้ใช้ของเขาฟรี..นั่นก็เพราะเขาได้อย่างอื่นจากเรา ที่คุ้มค่ากว่ามากนั่นเอง 


(ในโลกนี้ไม่มีใครโง่ และ โลกนี้ก็ไม่มีของฟรีอย่างแท้จริง)


5. ‘ยิ่งเสี่ยง ยิ่งน่าลงทุน บนพื้นฐานที่เราเข้าใจความเสี่ยงนั้นๆ’ …ยุคนี้ผลตอบแทนอยู่ในที่เสี่ยงเสมอ …ถ้าเราเข้าใจความเสี่ยงนั้นๆ ก็แปลว่า เราเข้าใจสิ่งที่คนอื่นไม่เข้าใจ นั่นแหละ น่าลงทุน 


6. ‘ถ้าเราไม่อยากทำงานหนักเพื่อเงิน ก็ต้องให้เงินทำงานหนักให้เรา’ …คนมีเงินจะพยายามหาโอกาสที่จะใช้เงินตัวเอง ไปลงทุนให้มันทำงาน …เพราะนั่นจะเป็นทางเดียวที่สุดท้ายเราจะไม่ต้องทำงาน แล้วยังมีเงินใช้ตลอดไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อคิด อยากรวยเร็วจริงๆ ต้องไม่คิดรวยเร็ว

 6 ข้อ ลงทุนแบบไม่รวยเร็ว ให้รวยเร็วกว่า


เอ้า!! งง …ก็เพราะ ทางรวยเร็ว มันไม่ใช่ทางที่น่าจะเดินเข้าไปนั่นเอง


1. ‘อะไรที่คนพูดกันว่ารวยเร็ว มักจะเป็นกับดัก’ …เวลาเราเจอใครพูดว่า นี่คือวิธีรวยเร็ว ให้สันนิษฐานไว้ก่อนเลยว่า มันน่าจะเป็นกับดัก


2. ‘คนที่รวยเร็วจริงๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้คิดที่จะรวยเร็ว’ …ยุคนี้การวิ่งหาทางลัดหรือ Short Cut เป็นสิ่งที่พูดกันเยอะ แต่ไอ้ทาง Short Cut ที่ว่า มักเป็นทางที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ทำ เช่น ทนถือหุ้นผ่านวิกฤต (การทนถือ ก็คือการที่ไม่ได้ตั้งใจว่าจะขายในจุดสูงที่สุด สุดท้ายเลยกำไรเยอะสุด เพราะไม่ได้ขาย)


3. ‘ยุคนี้ไม่มีโอกาสที่ไม่มีความเสี่ยง’ …ใช่!! ทุกโอกาสมันดูเสี่ยง เราจึงต้องเข้าใจความเสี่ยงในเรื่องที่เราลงทุนให้ดี


4. ‘ยิ่งเราซื้อขายเร็วแค่ไหน โอกาสรวยเร็วก็จะลดลงตาม’ …ในตลาดหุ้นเราได้เงินเมื่อเราขาย แต่เราจะได้กำไรมหาศาลจากที่เราไม่ขาย (คิดดีๆ ซิ)


5. ‘ถ้าเราอยากได้กำไรสูงสุด เราต้องออกแบบการรับความเสี่ยงที่ศูนย์ได้ แต่เรายังไม่เจ๊ง’ …ก็คือ ยอมเสีย 100% เพื่อที่เวลากำไรจะได้กำไรหลายร้อยเปอร์เซ็นต์


6. ‘เมื่อเราพอร์ตโตขึ้น เราต้องรับความเสี่ยงที่เพิ่มขึ้น ไม่ใช่ลดความเสี่ยงลง’ …นี่คือหลักความได้เปรียบของการปั้นพอร์ตจากตลาดหุ้น …เมื่อเราเสี่ยงแล้วชนะ เราจะได้เงินก้อนที่ใหญ่ขึ้น เพื่อที่เราจะเอาก้อนนั้นแหละ กระจายความเสี่ยง แล้วสามารถลงทุนในจุดที่เสี่ยงขึ้น


กระจายเพื่อเสี่ยง คือ หลักการที่ทำกำไรได้ดี ในตลาดที่ทุกโอกาสคือความเสี่ยง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2565

6 ข้อ ถ้าเล่นหุ้นแบบเล่นหวย จะมีคนรวยหุ้นเพิ่มขนาดไหน

 6 ถ้าเล่นหุ้นได้แบบเล่นหวย คนรวยหุ้นจะเพิ่มขนาดไหน ?


1. ‘ถ้าซื้อหุ้นสม่ำเสมอ แล้วซื้อนานแบบซื้อหวย คนรวยคงเต็มตลาดหุ้น’ …เติมเงินทุก 15 วัน ซื้อตลอดชีวิตไม่เลิก (ถ้าซื้อหุ้นเดือนละ 1,000 นานตลอด 40 ปี เราจะมีเงินเท่าถูกรางวัลที่หนึ่ง 2 ครั้ง คือ 12 ล้านบาทแบบสบายๆ)


2. ‘คนถูกหวย นี่เสียงดังเลย รู้กันทั้งบ้านทั้งเมือง …คนรวยหุ้น กลับเงียบเลย’ …คนยิ่งรวยหุ้น ยิ่งเก็บตัวเงียบ …รวยเงียบเพียบ แค่ไม่บอกใคร


3. ‘ถ้าซื้อหุ้นแบบพร้อมเสียเหมือนหวย เราจะถูกมากขึ้นในตลาดหุ้น’ …เวลาคนซื้อหวย เขาพร้อม 0 เลย แปลว่า เขาจำกัดความเสียหาย แค่เงินก้อนนั้น …ซึ่งถ้าคิดแบบนี้ในการซื้อหุ้น คนเจ๊งหุ้นจะลดลงอย่างน่าใจหายเลยทีเดียว !!


4. ‘เลขเด็ดที่ออกไปแล้ว จะไม่ออกงวดถัดไป’ …แต่ตลาดหุ้นคน ชอบไปซื้อหุ้นที่ออกไปแล้ว คนรวยไปแล้ว ค่อยตามไปซื้อ …ยิ่งซื้อราคาก็ยิ่งลง สุดท้ายเจ๊ง 


5. ‘เลขเด็ดที่ใครๆ ก็ซื้อ ไม่มีทางถูก’ …แต่พอเล่นหุ้นดันไปตาม หุ้นเด็ด …ก็เลยถูกกินนั่นแหละ 


6. ‘เงินน้อย ก็เริ่มซื้อหุ้นได้แล้ว’ …เดือนละ พันกว่าบาท ก็ซื้อ ETF ที่เสี่ยงต่ำ ผลตอบแทนสูงในระยะยาว …ออมไปได้แบบสบายๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 27 สิงหาคม พ.ศ. 2565

เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยน แล้วเราปรับตัวยังไง ?

 ‘เมื่อตลาดหุ้นเปลี่ยนไป’ 


การอยู่ในตลาดหุ้นนานๆ มันทำให้เราเห็นสัจธรรมบางอย่าง …ถ้าจะสรุป สั้นๆ ต้อง บอกว่า ตลาดหุ้นไม่เคยเหมือนเดิม 


ในอดีตหุ้นใหญ่ๆ มันให้ผลตอบแทนดีมาก เรียกได้ว่า แค่ซื้อแล้วถือหุ้นใหญ่ ก็รวยไม่รู้เรื่องแล้ว …นั่นก็เพราะ แต่ก่อนประเทศไทยอยู่ในช่วงที่เริ่มต้น …ดังนั้น ธุรกิจใหญ่แทบทุกตัว ก็อยู่ในช่วงเติบโต …ยกตัวอย่าง 7-11 แค่ขยายสาขาก็ทำไม่ทันแล้ว …แต่มาวันนี้ธุรกิจต่างๆ เริ่มขยายถึงจุดอิ่มตัว นั่นคือ ขยายต่อในประเทศยากแล้ว


มันถึงเกิดหุ้นยุคที่สอง คือ หุ้นขนาดกลางที่เติบโต …ยกตัวอย่าง ธุรกิจเช่าซื้อ หรือ บัตรเครดิต ซึ่งจริงๆ ถ้ามองให้ดีธุรกิจเหล่านี้ ก็คือ ส่วนนึงของธุรกิจใหญ่ แต่แตกแขนงออกมา จับลูกค้าในกลุ่มที่ยังเติบโต …ซึ่งธุรกิจเหล่านี้ ก็โตมาในช่วงสิบกว่าปีที่ผ่านมา หลังจากวิกฤต Subprime จนถึงตอนนี้ ก็เรียกได้ว่า ถึงจุดอิ่มตัวเช่นกัน 


ก้าวเข้าสู่ยุคที่สาม …ยุคนี้ถ้าดูให้ดีจะเห็นว่า ทั้งธุรกิจยุคที่หนึ่งและสองก็ขยายมาแทบจะเต็มที่ …แล้วเรามาเจอกับจุดเปลี่ยน ซึ่งก็คือ โควิด …และตามมาด้วยวิกฤตการเงินใหม่ ซึ่งไม่เหมือนเดิมอีกแล้ว 


…โลกเรากำลังจะเปลี่ยนผ่านจากยุคที่ 


1. ‘ต้นทุนทางการเงินต่ำ’ ไปสู่ ‘ต้นทุนทางการเงินสูง’


2. ‘วัตถุดิบที่เคยมีอย่างล้นเหลือ’ ไปสู่ ‘วัตถุดิบที่จำกัด และแพงขึ้นเรื่อยๆ’ …พลังงานที่ถูกสู่พลังงานแพง …ค่าขนส่งถูก สู่ค่าขนส่งแพง


3. ‘ผู้บริโภคที่มีตัวเลือกน้อย’ ไปสู่ ‘ผู้บริโภคที่มีอำนาจเหนือธุรกิจ’ เพราะ ทุกธุรกิจต่าง ลดแลกแจกแถม แข่งกันแย่งลูกค้า


4. ‘เทคโนโลยี Disrupt ที่ลดต้นทุนธุรกิจ’ ไปสู่ ‘เทคโนโลยีที่ลดต้นทุนต่อไม่ได้ จนต้องหันกลับมาแค่เอาตัวรอดยังเหนื่อยเลย’ …มันจบยุคการ Burn เงิน แจกฟรี ..มาสู่ยุคที่ธุรกิจต้องหากำไรจากลูกค้า เพิ่มราคา หันมาทำกำไร เอาตัวรอดแทน


…การลงทุนจึงต้องเปลี่ยนตาม …คำถาม คือ แล้วเราจะปรับตัวยังไง เพื่อหากำไรในข้อจำกัดที่รุมเร้า ?


มาดูกันว่า ธุรกิจที่จะรอดแล้วรวย สร้างกำไรให้นักลงทุนในยุคนี้ ต้องมีหน้าตาอย่างไร ?


1. ‘เป็น Niche ไม่ใช่ Mass’


2. ‘อยู่ในธุรกิจที่มี Margin สูง’ …กำไรเป็นตัวบอกว่า ลูกค้าคือใคร 


3. ‘ขยายดีในประเทศ ดีกว่าต้องขยายไปต่างประเทศ’ 


4. ‘ควบคุมต้นทุนได้ดี’ 


5. ‘ทำธุรกิจที่เหมาะกับศักยภาพของประเทศ’ …อย่างคนไทยเหมาะกับธุรกิจชิวๆ สบายๆ เที่ยวๆ มากกว่าไปแข่งดุเดือด ทำเทค ทำอุตสาหกรรม มันก็ไม่ตรงจริต


6. ‘เจ้าของมีวิสัยทัศน์ ในการสร้าง และการเติบโต’ ..ไม่ใช่แนวตีหัวเข้าบ้าน เอากำไรสั้นๆ 


แต่เอาตรงๆ นะ …มันก็ไม่มีหุ้นที่มีคุณสมบัติครบหรอก …ถึงมี ราคาหุ้นมันก็จะไม่เคยถูก 


โจทย์มันจึงกลับมาหาเราในฐานะ นักลงทุน ต้องเลือก ต้องบริหาร และ ปรับพอร์ตของตัวเองอย่างต่อเนื่อง 


ใช่!! ‘ซื้อหุ้นแล้วถือเฉยๆ ก็รวย’ มันได้ผ่านเราไปแล้ว 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อ คิดได้ไง …สายไปแล้วพี่ !!

 5 ข้อ คิดได้ไง …สายไปไหมพี่ ?


สายพื้นฐาน สายเทคนิค สายซิ่ง …เอาตรงๆ เลย ‘สายไปไหมพี่ ?’ 


1. ‘เขาหงายไพ่หมดแล้ว’ …พื้นฐานก็ออกมาดีแล้ว …ใครๆ ก็ต้องมีกันหมดแล้ว …แล้วมันจะเหลือเรื่องๆ ดีๆ อะไรให้ประหลาดใจอีกล่ะ ?


2. ‘คนอื่นเขากำไร จนโพสโชว์กันเต็มฟีด’ …ก็เขากำไรกันหมดแล้ว ต้องถามว่า แล้วมันจะเหลืออะไรให้เรานอกจาก ดอย!! 


3. ‘สวนมวลชน ต้องเร็ว แล้วซิ่งเลย’ …ช่วงหลังนี่มักจะเห็นคนจำนวนมากชอบไปสวนอะไรที่มันจะเจ๊ง แล้วคิดว่า เข้าแล้วจะได้ถือยาวให้มันกลับไปดี …เอาตรงๆ นะ มวลชน เขาไม่ได้หมูแบบที่เราคิด ถ้ามันแย่ขนาดที่ทุกคนเห็นพร้อมกัน แปลว่า มันพังจริงๆ …เกมนี้ถ้าอยากสวน ต้องเข้าเร็ว เล่นเด้ง แล้วรีบออกให้ไว (เพราะ ถ้าถือต่อ สถิติจะบอกคุณว่า เละ!!) 


4. ‘หุ้นจบรอบใหญ่ เข้าเร็วไป อาจไม่ใช่เรื่องดี’ …ปรับฐาน ต่างกับ จบรอบ ตรงที่ปรับฐาน คือ ลงแล้วขึ้นเลย ทำ New High ต่อ …ส่วนจบรอบคือ พื้นฐานเปลี่ยน ลงแล้วเละ …ถ้าจบรอบใหญ่ ให้ฝุ่นหายตลบ สงบนิ่งๆ แล้วค่อยๆ เข้าก็ยังทัน


5. ‘ของที่ใครๆ ก็ต้องมี …อย่าซื้อเลย อย่ามีดีกว่า’ …เข้าตำรา อะไรที่มันดูดีเกินไป …จริงๆ มันก็ดีเกินไปนั่นแหละ …แปลว่า คุณสายไปแล้ว …ไม่คุ้มที่จะเข้าไปแล้ว …ไม่มีกำไรเหลือแล้ว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อสังเกต ระหว่าง หุ้นที่ควรถือยาว กับ หุ้นตีหัวเข้าบ้าน

 6 ข้อสังเกต ระหว่าง หุ้นที่ควรถือยาว กับ หุ้นตีหัวเข้าบ้าน 


มีคำถามที่น่าสนใจว่า ดูยังไงว่าหุ้นตัวไหนยาวๆ กับ ตัวไหนเอากำไรเร็วๆ 


1. ‘ดูว่าเจ้าของถือเยอะไหม’ …ถ้าเจ้าของถือเยอะ ก็มีแนวโน้มที่เราจะอยู่ยาวๆ ได้ เพราะ เมื่อเขาถือเยอะ เขาก็มีแนวโน้มที่จะสร้างประโยชน์ต่อการถือนั่นเอง 


2. ‘ดู Volume การซื้อขาย’ …ถ้า Volume การซื้อขายรุนแรง ก็มีแนวโน้มจะจบเร็ว …ยิ่งการซื้อขายรุนแรงมากก็ยิ่งมีแนวโน้มจะจบเร็วขึ้น 


3. ‘หุ้นอยู่ในธุรกิจที่เป็นแค่กระแส หรือเป็น Megatrend’ ..ถ้าเป็นกระแส ก็ไม่น่าจะยาว มาเร็วไปเร็ว …แต่ถ้าเป็นหุ้น Megatrend เราอาจลุ้นรอบใหญ่ๆ ได้ (แต่ที่สำคัญกว่า ก็คือ ต้นทุนที่เราเข้านั่นแหละ)


4. ‘ดูความสูงชันของการขึ้นและลง’ …ราคาก็เหมือนน้ำ ถ้ามันชันก็มีแนวโน้มที่จะจบเร็วกว่าการค่อยๆ ขึ้น …การลงก็เหมือนกัน ถ้าลงชันมากก็มีแนวโน้มจะจบเร็ว


5. ‘ดูข่าว กองเชียร์ และ ความคึกคัก’ …ปลายยอดใกล้ๆ ดอย ก็จะมีกองเชียร์เยอะ …เพราะรายย่อย ยิ่งย่อย ยิ่งต้องการแรงเชียร์ …ตรงข้ามกับ จุดกลับตัวจากขาลงเป็นขาขึ้นรอบใหม่ ต้องไร้กองเชียร์และ ไร้ความคึกคัก 


6. ‘เส้นบางๆ ระหว่าง การพักฐาน กับการลงจบรอบ’ …อันนี้ดูจุดเริ่มต้นของการขึ้น ถ้าขึ้นมาไกลแล้ว ก็เดาง่ายๆ ว่า อาจลงจบรอบ …สิ่งที่เราต้องคิดคือ ทุกรอบการขึ้น มันมีต้นทุนเสมอ 


ใช่!! เมื่อมีต้นทุน ย่อมต้องมีการถอนทุน เป็นเรื่องปกติ


โห!!! …ยาก …ก็นั่นแหละ เราถึงต้องฝึกฝน หัดสังเกตและ ลองผิดลองถูกอยู่ตลอดเวลา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2565

5 ข้อ รู้ไว้ ใครๆ ก็รวย ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ

 5 ข้อ ‘ทำไมใครๆ ก็รวย …ใครๆ ก็ประสบความสำเร็จ ?’ 


อันนี้เป็นคำถามที่น้องๆ หลายๆ คนถาม เป็นการส่วนตัว …แน่นอน คำถามแบบนี้ ใครอยากให้คนอื่นรู้ …เราต่างพยายามไม่ให้คนอื่นรู้ว่าจริงๆ เราเครียดนะ …ชีวิตเราไม่ได้ดีแบบที่เราโพสลง social นะ 


โอเคเรามาดูกันว่า ใครๆ ก็รวยและประสบความสำเร็จ นั่นคือ ใคร ?


1. ‘งานที่รายได้เยอะในยุคนี้แทบทุกงาน เป็นงานที่ไม่มั่นคง’ …จะพูดว่ายุคนี้อาจจะไม่ถูก เพราะ ทุกยุคก็แบบนี้แหละ เพียงแต่ยุคนี้ชัดเจนมาก …งานเงินเยอะ เป็นงานที่ไม่แน่นอน ต้องเสี่ยง ต้องหาจังหวะ …เช่น งานขาย งานอิสระ …งานพวกนี้ ต้องรอดาวเรียงกัน ดังนั้น พอเงินมา มันจะมาแบบคาดการณ์ไม่ได้ ถ้าบริหารเงินไม่ดี ซวยหนัก เพราะ ตอนมาก็ใช้แหลก ตอนไม่มา ทำยังไงก็ไม่มา


2. ‘เราเลือกจะดูดีวันนี้ มากกว่าความมั่นคงในอนาคตที่มองไม่เห็น’ …ถ้าให้ซื้อของแล้วทำให้เราดูดีวันนี้เลย กับ ลงทุนเพื่ออนาคต …แทบไม่ต้องคิด ก็เลือกวันนี้เลย …นี่ก็อีกเหตุผลที่คนรุ่นใหม่ไม่ค่อยมีการลงทุนระยะยาวเพื่ออนาคต เพราะวันนี้จับต้องได้มากกว่า


3. ‘การออกจากบ้านเร็ว เพื่อชีวิตที่อิสระ’ …ก็ได้ความอิสระ แต่ภาระหนักจนเดือนชนเดือน เพราะการมีชีวิตของตัวเอง มันมีค่าใช้จ่ายที่สูงมาก …คนรวยหลายๆ คน สร้างตัวได้เพราะเลือกที่จะออกจากบ้านให้ช้าที่สุด


4. ‘การใช้ชีวิตกับ เงินทุนตั้งต้น’ ..ใช่!! มันต้องเลือกว่า เราจะ รีบใช้ชีวิต เที่ยว หาประสบการณ์ กับ การเก็บเงินเพื่อให้มีเงินทุนตั้งต้น …มันไม่ไปด้วยกัน …ชีวิตมันจึงคือ ทางเลือก ว่าเราจะเลือกอะไรก่อน …ส่วนใหญ่จะเลือกใช้ชีวิต เลยไม่มีเงินทุนตั้งต้นสักที


5. ‘ใครๆ ก็เป็นหนี้’ …แต่ใครๆ ที่เป็นหนี้ ส่วนใหญ่ ไม่มีเงินเก็บ แถมชีวิตจะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน …คนที่เป็นหนี้ จะมีแต่ปัญหาเรื่องเงิน เพราะ หนี้มันกดดัน …ใครเป็นหนี้จะเข้าใจเลยว่า การเป็นหนี้ง่าย แต่การออกจากหนี้ แทบเป็นไปไม่ได้เลย !!


อยากจะสรุป ว่า ‘ใครๆ ก็สำเร็จ?’ …ไอ้ใครที่ว่านั้น คือใคร …เราแค่มองคนอื่นดีกว่าตัวเอง ซึ่งในความเป็นจริงกับสิ่งที่เห็นในยุคนี้ โคตรจะแตกต่าง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 14 สิงหาคม พ.ศ. 2565

5 เรื่องของการทนรวย ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง

 5 เรื่อง ของการ ทนรวย ที่ไม่ค่อยมีใครพูดถึง


‘การทนรวย’ เป็นสิ่งสำคัญที่จะทำให้เรา รวยเปลี่ยนหลัก ..พอร์ตโตอย่างก้าวกระโดด …แต่ ไม่ง่ายไง 


มาดูกันว่า …อะไรที่มันอยู่เบื้องหลัง การทนรวย


1. ‘การทนรวย ไม่ใช่แค่ซื้อแล้วทนๆ ถือไป’ …ถ้าแค่ซื้อแล้วไม่ขาย คนจำนวนมากคงรวยกันไปหมดแล้ว


2. ‘การซื้อหุ้นต้นรอบ สำคัญมากที่จะทำให้เราทนรวยสำเร็จ’ …ใช่!! คนส่วนใหญ่คิดจะทนรวย แต่ดันซื้อหุ้นที่ขึ้นมาเยอะแล้ว (ไม่ใช่ต้นรอบ) …เมื่อไม่ใช่ต้นรอบ มันก็ไม่คุ้มที่จะถือเฉยๆ เพราะ สุดท้ายราคามันอาจลงมาต่ำกว่าจุดที่เราซื้อนั่นเอง


3. ‘เราต้องมีเงินสำรองที่อื่น หรือ มีหุ้นที่เราไม่ทนรวยด้วย’ …เพราะถ้าเราซื้อแล้วไม่ขายทุกตัว เวลาตลาดปรับฐานแรงๆ เราจะรู้สึกเซ็งมากๆ หรือ ขาดสภาพคล่องจนต้องขายออกมาในที่สุด


4. ‘การขายออกบางส่วน ช่วยในเรื่องจิตวิทยา ของการถือยาว’ …หลักๆ การขายบางส่วน มันช่วยในเรื่องจิตวิทยา ที่ทำให้เราสามารถทนถือส่วนที่เหลือซึ่งเป็นส่วนใหญ่ ได้ดีกว่าไม่ขายเลย (เพราะการแกว่งของหุ้นบางครั้งลง 30-50% ..การปรับฐานขนาดนั้น อาจทำให้เราผิดหวัง จนอาจทำให้เราเลิกคิดที่จะทนรวยไปเลยก็ได้) 


5. ‘หุ้นที่ควรจะทนรวย ควรเป็นหุ้นที่เป็น Megatrend’ …เราต้องพยายามหาให้ได้ว่า Megatrend รอบต่อไป คืออะไร ? …ซึ่งไม่ง่าย เพราะ เราจะชอบหุ้นที่เคยดีมาแล้ว ..หุ้นที่ดีมาแล้ว ส่วนใหญ่ไม่ใช่หุ้นที่น่าจะทนรวยในรอบต่อไป 


Megatrend คือ ธุรกิจที่กำลังจะเข้าสู่ขาขึ้นในรอบใหญ่ ..ใช่!! ผมก็อยากรู้ เพราะ ถ้าผมรู้ ผมก็จะพยายามที่จะไม่ขายหุ้นนั้น จะทนรวยให้นานที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ