แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2563

9 ข้อ ในการเปลี่ยนลูกค้าจาก Like ไป Love


‘ลูกค้าคือคนสำคัญ ..แต่ไม่ใช่ลูกค้าทุกคนที่สำคัญ’

ความยากในการธุรกิจยุคนี้ ก็คือ การหาลูกค้า เพราะ ใครๆ ก็ต้องการลูกค้า

แต่ปัญหาที่สำคัญกว่า โดยเฉพาะธุรกิจในยุคการแข่งขันสูง ..ที่ทุกคนต่างลดแลกแจกแถม ..บางธุรกิจยอมแจกฟรี ขาดทุนเพื่อลูกค้าก็มีให้เห็นทั่วไป

นี่คือ 9 ข้อ ในการเปลี่ยนลูกค้า จาก Like ไป Love

1. “คนที่ Like สร้างจาก ความสนใจ แต่คนที่ Love สร้างจาก ความสัมพันธ์” ....เราใช้โฆษณา สร้างความสนใจได้ (แต่ค่าโฆษณามันจะแพงขึ้นเรื่อยๆ จนไม่คุ้มในที่สุด) ...ความสัมพันธ์ เกิดจาก ความปรารถนาดี เป็นจุดเริ่มต้น

2. “ความปรารถนาดีในการทำธุรกิจ คือ การเอาปัญหาของลูกค้าเป็นที่ตั้ง” ...แล้วค่อยๆ แก้ปัญหา ด้วยสิ่งที่เรามี

3. “ความสม่ำเสมอจำเป็นที่สุด” ...ในยุคที่การแข่งขันต่ำ ธุรกิจสามารถทำธุรกิจแบบตีหัวเข้าบ้าน หรือ ขายครั้งเดียวพอ แล้วก็หาลูกค้าใหม่ไปเรื่อยๆ ...แต่ยุคนี้ต้นทุนการหาลูกค้าใหม่มันแพง ...การดูแลลูกค้าเดิมจึงเป็นสิ่งที่สำคัญกว่า

4. “ดีจนอยากให้เพื่อนใช้ด้วย” ...ถ้าเราดูตัวอย่างของแบรนด์ที่สำเร็จมากๆ ในยุคนี้ ล้วนแล้วแต่เป็นแบรนด์สินค้าที่ ลูกค้าใช้แล้วอยากแนะนำเพื่อนของเขาให้ใช้ด้วย ...โจทย์สำคัญคือ สินค้าและบริการเราต้องดีจนเอขาอยากบอกต่อ

5. “ลูกค้าชอบให้คุณให้ความสำคัญไม่เท่ากัน” ...เฮ้ย!! นี่คือ ยุคของความเท่าเทียมไม่ใช่หรือ ...นั่นก็ใช่ แต่ในเรื่องของธุรกิจ สินค้า และ บริการ ทุกคนต้องการความพิเศษ ...ถ้าอยากทดสอบ ลองเข้าไปดูร้าน Hermes แล้วเราจะรู้ว่า ความไม่เท่าเทียมกัน ทำไมเป็นส่วนนึงของการสร้างแบรนด์ระดับโลก

6. “ต้องดูแลลูกน้อง ให้ดีกว่าลูกค้า” ...ถ้าลูกค้าสำคัญที่สุด ทำไมต้องดูแลลูกน้อง ? ...ก็เพราะ ลูกน้อง คือ คนที่อยู่ติดกับลูกค้า รู้จักลูกค้ามากกว่า อยู่ติดลูกค้ามากกว่า ...ยิ่งธุรกิจให้ความสำคัญกับไฮเทค คนยิ่งสำคัญขึ้นไปอีก ...การนำเทคโนโลยีเข้ามาใช้ ไม่ได้มาทดแทนคน แต่เอาเทคโนโลยีเข้ามาช่วยให้คนของเรา ดูแล และ ตอบสนองความต้องการลูกค้าให้ดีขึ้นต่างหากล่ะ

7. “ลดงบโฆษณา เพิ่มงบการดูแลลูกค้า” ...ธุรกิจใหญ่แค่ไหน แผนกดูแลลูกค้ายิ่งต้องขยาย ...ตัวอย่าง BMW ที่เอา BSI รับประกัน มันช่วยให้ลูกค้ากล้าตัดสินใจซื้อง่ายขึ้น โดยเฉพาะสินค้าราคาแพง หรือ สินค้าไฮเทค ...การตั้งโจทย์แบบใหม่ คือ การคิดบวกการบำรุงรักษา และ การแก้ปัญหาเข้าไปตั้งแต่ราคาขายเลย (หมดยุค ของถูก ซื้อไปแล้วใช้ไม่ไม่ได้ ...สู่ของราคาเหมาะสม แต่ใช้ได้จริง)

8. “คนที่อยากใช้ฟรี จริงๆ ไม่ใช่ลูกค้าคุณ” ...หลายๆ ธุรกิจ Startup ต้องล้มละลายปิดตัว เพราะ เขาเชื่อว่า ‘ให้ใช้ฟรีก่อน พอคนใช้เยอะๆ แล้วค่อยเก็บเงิน’ ...เป็นความคิดที่บ้ามากๆ ...มันอาจจะเคยใช้ได้ในอดีต แต่ตอนนี้มันล้าสมัย out ไปเรียบร้อยแล้ว

9. “ทุกธุรกิจไม่จำเป็นต้องเป็น Platform” ...ก่อนหน้านี้เราเห็น เศรษฐีอายุน้อยจำนวนมาก ที่สร้างธุรกิจ Platform ที่ทุกคนต้องใช้แบบขาดไม่ได้ ...มันทำให้นักธุรกิจรุ่นใหม่ พยายามทำให้ธุรกิจตัวเองเป็น Platform แต่ลืมคิดไปว่า ธุรกิจ Platform ที่ดี ต้องไม่มีสินค้าของตัวเอง ....ใช่!! Platform ก็คือ ร้านค้า ....ร้านค้าที่ดีคือ ตัวกลางที่เอาสินค้าทุกอย่างมาเปรียบเทียบอย่างเป็นกลาง ...แต่วันใดก็ตาม ที่ร้านค้าเริ่มทำสินค้าของตัวเอง ความเป็นกลางก็จะลดลง นั่นคือ จุดเสื่อมของ Platform นั่นเอง

และนี่ก็คือ การเปลี่ยนลูกค้า จาก Like ไปสู่ Love

‘เมื่อความรัก คือ คำตอบ !!’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2563

6 ข้อควรรู้ว่า ทำไมความสุขจึงเป็นของหายากในยุคนี้


6 ข้อควรรู้ ว่า ‘ทำไมความสุข ถึงเป็นของหายากในยุคนี้’

เราทุกคนต่างพยายาม ตั้งใจเรียน ทำงานหนัก สร้างธุรกิจ แข่งขัน เพื่อที่เราจะได้ร่ำรวยประสบความสำเร็จ ...ใช่!! ปัญหา ก็คือ ยิ่งเวลาผ่านไป เราเติบโตขึ้น สำเร็จขึ้น แต่ทำไมเรามีความสุขน้อยลงเรื่อยๆ

1. ‘เรามีความเชื่อที่โหดร้ายว่า คนสำเร็จเท่านั้นถึงจะมีความสุข’ ...ใครคิดแบบนี้ จะทุกข์ตลอดเวลา หรือ แทบไม่มีความสุขเลย ...เพราะ ‘ความสำเร็จ’ เป็นสิ่งที่ต้องใช้เวลา และ ความอดทน ...เวลาส่วนใหญ่ในชีวิตทุกคน จึงอยู่กับการเดินทางสู่ ความสำเร็จ (ทุกข์) มากกว่า เวลาที่สำเร็จจริงๆ ...วิธีแก้ คือ ปรับความคิดใหม่ว่า การทำงานก็มีความสุขได้ เราจะสุขได้ง่ายขึ้น

2. ‘ความสุข ต้องใช้เงินซื้อเท่านั้น’ ...จริงๆ แล้ว ความสุข มีทั้งต้องใช้เงินซื้อ และ ก็มีแบบที่ไม่ต้องใช้เงินซื้อ ...เช่น คนที่ออกกำลังกาย เหนื่อยมาก เพียงแค่หยุดออกกำลังกาย ก็มีความสุขแล้ว ..แถมร่างกายยังหลั่งสารเคมีแห่งความสุข (เอ็นโดรฟิน) แถมให้เราอีกด้วย

3. ‘ความล้มเหลว เป็นส่วนนึงที่เราต้องเรียนรู้ ระหว่างเดินทางสู่ความสำเร็จ’ ...ใครก็ตามที่พยายามหลีกหนีความล้มเหลว เราก็จะวิ่งหนีความสำเร็จในเวลาเดียวกัน ...เพราะ ‘ความล้มเหลว’ เป็นครู และ เป็นส่วนนึงของความสำเร็จ ...ทุกครั้งที่เราผิดพลาด เราจะเก่งขึ้น แกร่งขึ้นเสมอ

4. ‘การยอมรับความผิดพลาด และ ความผิดหวัง จะทำให้เราเข้าใจชีวิตมากขึ้น’ ...คนที่ไม่ยอมรับว่าตัวเองพลาด หรือ ล้ม ก็จะพยายามโยนความผิดให้คนอื่น , หนีความจริง หรือ พยายามลืมความผิดพลาดโดยการพึ่งพาสิ่งที่ทำให้เราลืมความทุกข์ ...ยิ่งหนี ยิ่งทุกข์ ...ทางแก้ คือ การยอมรับ เศร้าได้ อยู่กับมันได้ แล้วค่อยๆ เรียนรู้ เติบโตขึ้น ....อันนี้เขาเรียกว่า “ศิลปะของการเติบโตเป็นผู้ใหญ่”

5. ‘ใช้เวลาทำความเข้าใจพ่อแม่บ้าง จะทำให้เรามีความสุขมากขึ้น’ ...ปมชีวิตของคนส่วนใหญ่ เกิดขึ้นในวัยเด็ก ...การใช้เวลากับพ่อแม่ พยายามที่จะเข้าใจเขา จะทำให้เราเข้าใจตัวเองมากขึ้น ...’เมื่อเราเข้าใจตัวเอง เราจะมีความสุขมากขึ้น’

6. ‘การคิดถึงคนอื่น และ ช่วยเหลือคนอื่นบ้าง จะทำให้เราสุขมากขึ้น’ ....ลองดู มหาเศรษฐีทั่วโลกที่ทั้งรวย และ ประสบความสำเร็จอย่างสูงในชีวิต สุดท้ายความสุขของเขา ไม่ใช่การใช้เงิน ไม่ใช่การซื้อของ แต่คือ การช่วยเหลือคนอื่น ....ใช่!! แปลว่า สุดยอดแห่งความสุข เราเริ่มทำได้ ตั้งแต่เรายังไม่รวยมาก ไม่สำเร็จมาก เราก็เริ่มได้ทันที

ยิ่งโลกหมุนเร็ว ความกดดันยิ่งมาก ความเครียดยิ่งเยอะ ...บางครั้ง เราเดินช้าลง ...ยอมรับความจริง ...ทำความเข้าใจตัวเอง

...เราจะมีความสุขมากขึ้น เมื่อความสุขคือ เรื่องเล็กๆ ที่อยู่รอบตัวเรา

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อควรรู้ ว่า ‘คนซื้อคอนโดห้องละร้อยล้าน ต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ แล้วทำอาชีพอะไร’

6 ข้อควรรู้ ‘ว่าคอนโดห้องละร้อยล้าน คนซื้อต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ และ ต้องทำอาชีพอะไร’

หลายคนอาจไม่รู้ว่า ประเทศไทยมีคนรวยเงียบเยอะมาก ...เราอาจจะสงสัยว่า ทุกวันนี้เราเห็นคอนโดราคาเป็นสิบเป็นร้อยล้าน ...ใครซื้อวะ ? ...เคยสงสัยไหมว่า ‘คนที่สามารถซื้อคอนโดห้องละร้อยล้าน เขาต้องมีเงินเดือนเท่าไหร่ และ ทำงานอะไร?’

1. ‘ไม่มีอาชีพ แต่เป็นคนสร้างอาชีพ’ ...ถ้าจะซื้อคอนโดห้องละร้อยล้านได้ ต้องเป็นกลุ่มคนที่สร้างอาชีพให้คนอื่น เป็นเจ้าของธุรกิจ ...สร้างธุรกิจ แล้วจ้างคนเก่งมาทำงาน

2. ‘เขาต้องมี Passive Income มหาศาล’ ...ถ้าคุณมีเงิน 200 ล้าน ก็คงไม่กล้าซื้อคอนโด 100 ล้าน ...แต่ถ้าคุณมี รายได้จากธุรกิจ หรือ การลงทุนสม่ำเสมอ ...คิดง่ายๆ เวลากู้ เราจ่ายล้านละ 8,000 บาท ต่อเดือน ดังนั้น คนที่ซื้อคอนโดราคาร้อยล้าน เขาต้องมี Passive Income อย่างน้อย เดือนละล้านบาทครับ

3. ‘แล้วคนที่สร้างอาชีพ ให้คนอื่น แล้วยังมีเงินเหลือเกินเดือนละล้าน เขามีอาชีพ อะไรฟระ ?’ ...ผมว่า อาชีพอะไรก็ได้ ขายอะไรก็ได้ ขออย่างเดียว เขาต้องเป็น ‘ตัวท๊อป’ ในสิ่งที่เขาทำ

4. ‘ผู้นำท้องถิ่น อาจง่ายกว่า ระดับประเทศ’ ...ทุกวันนี้ใครๆ ก็คิดใหญ่ แต่การที่เราจะเป็นผู้นำในตลาดใหญ่ๆ เป็นเรื่องยากมาก ....เราจะเห็น เศรษฐีบ้านเรา จำนวนมาก เริ่มจากผู้นำท้องถิ่น เช่น MTC หรือ SAWAD เขาเริ่มจากปล่อยสินเชื่อต่างจังหวัด ...พอเก่งแล้ว วันนี้ค่อยมาโตในระดับประเทศ ...Global ขายวัสดุ เริ่มจากใหญ่ในต่างจังหวัด แล้วค่อยมาเข้าตลาดแล้วโตในระดับประเทศทีหลัง

5. ‘เริ่มทำในสิ่งที่รายใหญ่ไม่ทำ’ ..ตัวอย่างเดียวกับข้อที่ 4 เลย อย่าง Global ก็ขายวัสดุก่อสร้าง ก่อนเซ็นทรัลจะลงมาเล่น ...หรือ อย่าง MTC ก็ปล่อยสินเชื่อในตลาดที่ธนาคารใหญ่ไม่ปล่อย ...อย่าง FSMART ก็ลงมาจับเติมเงินย่อยๆ ในตลาดที่ 7-11 ยังไม่ทำ (แต่วันนี้เริ่มลงมาเล่นแล้ว)

6. ‘มีความอดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ...คนที่สามารถไปได้ถึงฝัน ส่วนใหญ่ อดทนทำงานหนัก หาเยอะแล้วใช้เงินน้อยเป็นเวลายาวนาน ...อันนี้ตรงข้ามกับนิสัย วัยรุ่นยุคนี้ ที่ ‘ทำได้ ใช้ซะ / work life balance’ ...พวกที่สำเร็จได้ด้วยตัวเอง ทำแต่งาน ทนโคตรๆ แล้วค่อยมาใช้เงินหลังจากรวยแล้ว

ใช่!! ‘รวย แล้ว ค่อยอวด’ ...อย่าอวด ก่อนรวย เพราะ ‘เพราะจะไม่รวยไงครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 เคล็ดลับ ของ ‘ของแพงแต่ขายดี’

6 เคล็ดลับ ของ ‘ของแพงแต่ขายดี’

ยุคก่อนของที่ขายดี ต้องถูก ..แต่พอโลกเปลี่ยน กลายเป็น ของถูกกลับตาย ...ของแพงกลับขายดีขึ้น ..อะไรคือ เคล็ดลับของเรื่องนี้ ?

1. ‘เน้นนวัตกรรม ใส่ Innovation’ ...หลายคนอาจมองว่า นวัตกรรม คือ คอมพิวเตอร์เท่านั้น แต่ไม่ใช่ ...นวัตกรรม สามารถเอามาใส่สินค้าบ้านๆ ก็ได้ เสื้อผ้า ก็ได้ ขนมก็ได้ ..หีบห่อ ก็ได้ ..ยกตัวอย่าง Uniqlo เอาเทคโนโลยีมาใส่ในเสื้อผ้าบ้านๆ แล้วขายโคตรดี ...เบากว่า ..กันหนาวได้ ..ใส่แล้วเย็น ...บางแต่กัน UV ...นวัตกรรมไม่ต้องคิดเองก็ได้ ไปหามาใส่สินค้าเรา จัดไป

2. ‘ใส่ความรู้สึกเข้าไปในสินค้า’ ...ยุคนี้สินค้ามันเต็มตู้ เต็มบ้าน การที่จะให้คนยอมซื้อของเพิ่มเข้าไป มันต้องเป็นมากกว่าสินค้าและบริการทั่วไป ...มันจึงต้องมีความรู้สึก เช่น ใช้แล้วรู้สึกดี ช่วยโลก ช่วยสังคมอะไรก็ว่าไป ...ซื้อรองเท้าคู่นี้ เราจะบริจาคอีกคู่ให้คนยากจน - อ้าา !! รู้สึกดี ...แพงก็จ่าย

3. ‘ความหรูหราอยู่ในรายละเอียด’ ..คำพูดนึงที่โคตรใช่ คือ Luxury is in detail...แปลว่า ความหรูหรา อยู่ในรายละเอียด ...เราไม่สามารถผลิตสินค้าหยาบๆ แล้วขายแพงได้ ...ยิ่งลงไปรายละเอียดเล็กๆ น้อย คุณก็คือ โรงแรมห้าดาวในตลาดของคุณ

4. ‘ไปให้สุด ในจุดของคุณ’ ...สมัยก่อนสินค้าคุณภาพดี ราคากลางๆ มักขายดี ...แต่เดี๋ยวนี้ สินค้ากลางๆ แบบนี้ขายยากขึ้นเรื่อยๆ ...กลายเป็นคนที่ไปที่สุดในจุดยืน ขายดีกว่า ...เช่น ในอดีตนาฬิกาหรูอย่าง Tag ขายดีในหมู่วัยรุ่น เพราะมันที่สุดแล้วในยุคนั้น ...แต่พอวันนี้ Patek แพงกว่า กลับขายดีกว่าอีก

5. ‘สร้างเรื่องราวที่เกี่ยวข้อง และเป็นตัวแทนของกลุ่มเป้าหมาย’ ...การโฆษณาในยุคนี้ลดความสำคัญลงเรื่อยๆ ...เพราะคนไม่สนใจโฆษณา ...แต่สิ่งที่คนสนใจกว่า คือ การบอกเล่าเรื่องราวของแบรนด์ผ่านสื่อที่เขาใช้ แล้วโดนใจกลุ่มเป้าหมาย ...ยกตัวอย่าง Street Wear ทั้งแพง และโดนใจกว่า Luxury ทำให้แบรนด์หรู ต้องปรับตัวกันอย่างหนัก

6. ‘เกินเอื้อม แต่ต้องผ่อนจ่ายไหว’ ..ยุคก่อนถ้าของแพง คนจะไม่ซื้อเลย เพราะซื้อไม่ไหว ..แต่ยุคนี้คนรุ่นใหม่สามารถสร้างหนี้ได้มหาศาล ช่วงว่างตรงนี้จึงเกิดขึ้น

...ยุคนี้สินค้าที่ใครก็ซื้อได้ เริ่มถูกผู้บริโภคเมิน เพราะไม่มีใครอยากเป็นคนธรรมดา ...สินค้าที่เกินเอื้อม ที่ผ่อนจ่ายได้ แบบ ‘ของมันต้องมี เป็นหนี้ก็ยอม จึงขายได้ดีกว่า’

ใช่!! ความต้องการของคนเปลี่ยนทุกยุคทุกสมัย ...การหมั่นสำรวจความต้องการที่เปลี่ยนไปของลูกค้า จึงเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในการอยู่รอดครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 หลักการ ที่เรียนรู้จากธุรกิจผู้นำของโลก

6 หลักการ ที่เราสามารถเรียนรู้จากธุรกิจชั้นนำของโลก

ทุกคนรู้จักกันดี สำหรับธุรกิจผู้นำ เช่น Apple , Microsoft , Facebook เพราะเราต่างเป็นลูกค้า จ่ายเงินให้เขา ...แต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ ‘แล้วเราได้เรียนรู้อะไรจากเขาบ้างล่ะ ?’

ผมสรุปมาได้ 6 ข้อ ดังนี้

1. ‘ทำในสิ่งที่ตัวเองถนัด’ ...บริษัทเหล่านี้จะทุ่มเททรัพยากรที่มีจำกัด ไปที่สิ่งที่ตัวเองถนัด เช่น Apple ถนัดในเรื่อง R&D และ Design เขาก็จะทำในเรื่องนั้น ...แต่เขาไม่ถนัดในเรื่องการผลิต เขาก็ส่งไปให้จีนผลิต ...อย่างบ้านเรา ชุดชั้นในอย่าง Sabina ก็ทำได้ดี คือ เขามุ่งทำจุดที่ถนัดคือ สร้าง Brand ทำงานยาก ส่วนงานง่ายๆ ก็ให้ต่างประเทศ ผลิตเพราะทำได้ถูกกว่า

2. ‘เลือกทำในสิ่งที่กำไรมากกว่า’ ...จากข้อแรก การจะรู้ว่าเราถนัดอะไร ก็สามารถดูจากกำไร หรือ Margin ที่เราทำได้เทียบกับคู่แข่ง ทั้งในและต่างประเทศ ...อะไรที่เรา ทำแล้ว Margin สูงกว่า ก็แปลว่า นั่นแหละ เป็นสิ่งที่เราถนัด

3. ‘แบ่งทรัพยากรบางส่วนไปในสิ่งที่ไม่เคยทำ’ ..ต่างประเทศเรียกสิ่งนี้ว่า R&D ...วิจัยและพัฒนา ซึ่งแต่ละประเทศมีจุดแข็งที่ไม่เหมือนกัน ...อย่างอเมริกาอาจถนัดในส่วนของ High Tech ก็ต้องมุ่งไปที่ High Tech ...ส่วนบ้านเรา High Touch เราก็ต้องมุ่งมาที่จุดแข็งของเรา คือ บริการที่ดีกว่า / การออกแบบที่มีเอกลักษณ์ / การสร้างประสบการณ์ (เราเป็นประเทศที่ต่างชาติเลือกมาอันดับต้นๆ ของโลก นั่นแปลว่า การมอบประสบการณ์ หรือ Experience ที่คนต่างชาติต้องการ ...ต้องขยายที่จุดแข็ง ให้ดีขึ้นไปอีก)

4. ‘ทำลายเส้นแบ่งของอุตสาหกรรม’ ...เดิมทีอุตสาหกรรมเป็นข้อจำกัดของธุรกิจในอดีต แต่วันนี้ ไม่มีแล้ว ...Apple กำลังจะทำธุรกิจการเงิน , Grab เข้าสู่ทุกอย่างที่ทำรายได้ ...ตัวเราเองก็ต้อง ก้าวผ่านข้อจำกัดของอุตสาหกรรมเช่นกัน

5. ‘ร่วมมือกันทำสิ่งที่ดีกว่า’ ...การร่วมกันพัฒนาเป็นจุดอ่อนของธุรกิจไทย ที่ต้องปรับตัว ...อย่างต่างประเทศ Toyota ยังร่วมกับ BMW พัฒนา รถสปอร์ตร่วมกัน ...คือ เอาจุดแข็ง มาร่วมกัน เพื่อลดต้นทุน และ ให้ผลที่ดีกว่าเดิม

6. ‘เปลี่ยนลูกค้าเป็นสินค้า’ ...อันนี้ยากที่สุด แต่ถ้าใครทำได้ คุณจะผูกขาดอย่างสมบูรณ์ ..ยกตัวอย่าง Google ...เขาให้ลูกค้าใช้บริการของเขาฟรีเลย ...แปลว่า เขาต้อง ‘หาประโยชน์ จากการใช้ฟรี นั่นคือ เอาข้อมูลของลูกค้า ไปขายโฆษณาแทน’ ...ลูกค้าก็ งง ตกลง เราไม่ใช่ลูกค้า แต่เราคือ สินค้า ที่เขาเอาไปหาประโยชน์แทน ...คู่แข่ง ก็ไม่ทันระวัง สุดท้าย เขาก็ชนะอย่างสมบูรณ์แบบ

ใช่!! การทำธุรกิจแบบดั้งเดิม มันหมดยุคแล้ว ...ถ้าไม่ปรับตัว เราก็จะแย่ลง จนตายไปในที่สุด ...เอาใจช่วยนักธุรกิจทุกคน ให้ปรับตัวได้ครับ ...เริ่มจากจุดแข็ง แล้วไปให้สุดทาง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2563

6 ข้อคิด พิชิตตลาดหุ้นปี 2020

6 ข้อคิด พิชิตตลาดหุ้นปี 2020 ‘ปีชวด!!’

ปีนี้มีปัจจัยที่เข้ามาท้าทายตลาดหุ้นตั้งแต่เริ่มต้นปีเลย ทั้งความกลัวในเรื่องสงคราม ...ความกดดันในเรื่องค่าเงินบาทที่แข็ง ส่งออกยาก ท่องเที่ยวเหนื่อย ...เศรษฐกิจโดยรวมแย่ ...แล้วเราจะลงทุนหุ้นกันอย่างไร ?

1. ‘ตลาดหุ้นยังเป็นโอกาส’ ...กลไกตลาดหุ้นทำงานเสมอ เมื่อคนส่วนน้อยได้ประโยชน์ ...นั่นแปลว่า ทุกครั้งที่คนส่วนใหญ่กลัวและขายหุ้นทิ้ง ...หุ้นอาจจะเริ่มวิ่งในทางตรงกันข้าม

2. ‘การจับจังหวะ อาจไม่ดีเท่า DCA’ ...สำหรับคนทั่วไปที่ไม่ใช่นักเล่นหุ้น การ DCA สามารถช่วยให้การลงทุนในตลาดหุ้นได้ผลตอบแทนที่ดีขึ้น เพราะ สถิติบอกไว้ว่า คนส่วนใหญ่ซื้อในเวลาที่ควรขาย และ ขายในเวลาที่ควรซื้อ ...ดังนั้น การเลือกเฉพาะหุ้นปันผลดี หรือ ETF แล้วซื้ออย่างเดียว (แค่นี้ก็ชนะคน 80% ในตลาดหุ้นเรียบร้อย)

3. ‘ถ้าต้องการผลตอบแทนก้าวกระโดด ให้โฟกัสที่บริษัท ไม่ใช่อุตสาหกรรม’ ...ทุกวันนี้ธุรกิจกำลังปรับตัวขนานใหญ่ จาก Disruption Trend ...ดังนั้น ไม่สำคัญว่า ธุรกิจจะอยู่ในอุตสาหกรรมไหน เพราะ ถ้าอยู่ในอุตสาหกรรมไม่ดี แต่ถ้าปรับตัวได้ สุดท้ายบริษัทก็เป็นสุดยอดได้

4. ‘การมองที่แนวโน้มการเติบโตของรายได้ และ กำไร สำคัญกว่า ราคาหุ้น’ ...ราคาหุ้นเกิดจากภาวะตลาด แต่ รายได้และกำไร คือ สถานะที่แท้จริงของกิจการ ...ธุรกิจที่รายได้และกำไรดีขึ้นเรื่อยๆ สุดท้ายราคาจะสะท้อนเองในที่สุด

5. ‘สินทรัพย์ที่ปลอดภัย อาจไม่ใช่สินทรัพย์ที่ดีในปี 2020’ ...เมื่อคนกลัว ทุกคนจะวิ่งไปหาสินทรัพย์ที่ปลอดภัย ส่งผลให้สินทรัพย์ที่ปลอดภัยราคาไม่ถูก จนถึงขั้นแพง ...ต้องจัดสรรเงินลงทุนให้มีความสมดุลย์ ระหว่าง ความเสี่ยง และ ผลตอบแทนให้ดี ...เช่น ในเวลานี้ หุ้นที่ปันผลสูง บางตัว เสี่ยงน้อยกว่า การถือตราสารหนี้ ด้วยซ้ำ

6. ‘ภาวะตลาดแบบนี้ ผมให้ความสำคัญกับการซื้อ ไม่ขาย’ ...ถ้าทั้งซื้อและขาย ที่เรียกว่า การเทรด เหมาะกับภาวะตลาดขาขึ้น เพราะ ทิศทางตลาดชัดเจน ทำกำไรง่าย ...แต่ในภาวะที่ตลาดไม่แน่นอน การโฟกัส ไปที่การทยอยซื้อ จะทำให้การลงทุนง่ายขึ้น เพราะ เราจะพยายามหาของถูกที่มีคุณภาพ แล้วค่อยๆ เก็บสะสม ....ลดความเสี่ยงของการ ผิดสองทาง ขึ้นก็โดน ลงก็พลาด ...เหลือแต่ซื้อสะสมของดี แล้วทนรวยไป !!

ปีนี้ไม่ง่าย แต่ผมเชื่อว่า ทุกครั้งที่ตลาดยาก มันมีโอกาสเสมอ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 5 มกราคม พ.ศ. 2563

เวลานี้เราควรซื้อทองไหม ?

‘วันนี้ควรซื้อทองไหม ?’ ...ทองกำลังขึ้น ผมเชื่อว่า หลายๆ คน อยากได้คำตอบ

เรามาดูกันดีกว่าว่า ตกลง วันนี้ ‘ทอง น่าซื้อไหม !!’

ปัจจุบันทอง อยู่ที่ราคา 1,552 เหรียญ (5 มกรา 2020)

เอา ‘ข้อมูล’ มาช่วยตัดสินใจกัน ...ผมจะใช้ตลาดหุ้นอเมริกา ดาวน์โจนส์ เทียบกับ ราคาทอง เพราะ ทั้งหุ้นและทอง ถือว่าเป็นสินทรัพย์ที่ในระยะยาว ราคาขึ้นมากกว่าลง ‘คนซื้อแล้วเก็บ รวย ว่างั้นเถอะ!!’

1. ‘จากปี 1970 ถึง 1980 ในสิบปีนั้น’ (10 ปี ของคนซื้อทอง โคตรรวย ขึ้น 15 เท่า) ...ทองขึ้น 1,500% จาก 40 เหรียญ ไปถึง 600 เหรียญ หรือ ขึ้น 15 เด้งในสิบปี ...ในขณะที่หุ้นในสิบปีนั้น อยู่ที่เดิมที่ 1,000 จุด

2. ‘20 ปี ที่ทองลง’ (20 ปี ของคนซื้อทองจน แต่หุ้นขึ้นสิบเด้ง!!) ...ช่วงปี 1980 - 2000 เป็น 20 ปี ที่ทองค่อยๆ ลง จาก 600 เหรียญ มาเหลือ 260 เหรียญ ...แปลว่า 20 ปีนั้น ใครถือทอง จะจนลงเรื่อยๆ

(อันนี้สถิติ สอนให้เรารู้เลยว่า ขนาดทองคำ ยังสามารถถือแล้วจนลงได้ ถึง 20 ปี เพียงเพราะ ซื้อผิดเวลา)

ช่วง 20 ปีนี้ ถ้าซื้อหุ้น มันจะขึ้น 10 เท่า คือ จาก 1000 จุด วิ่งไปถึง 10,000 จุด

3. ‘จากปี 2000 ถึง ปัจจุบัน เป็นอีกช่วง ที่ทั้ง ทอง และ หุ้น ขึ้นพร้อมกัน’ (เกือบ 20 ปี ที่ทั้งทอง และ หุ้น รวย ...แต่รวยไม่เท่ากัน) ....ทองขึ้น 590% คือ เกือบ 6 เท่า ในขณะที่หุ้นขึ้น 250% ก็ 2.5 เท่า

เออ!! แล้วไงต่อ ?

ใช่!! ถ้ารู้คงไม่มานั่งเขียน ฮ่า ฮ่า ...แต่ที่ผมรู้คือ

1. ‘ยิ่งรัฐบาลทั่วโลก สร้างหนี้ พิมพ์เงิน ราคาสินทรัพย์ก็จะยิ่งเพิ่มขึ้น’ ....แปลว่า ทั้งหุ้น และ ทอง ก็มีแนวโน้มจะขึ้นต่อไปอีก

2. ‘ทองคำ ยิ่งดี ถ้ามี สงคราม / ความไม่แน่นอน’

3. ‘หุ้น ดีกว่าทอง ในเรื่องของ เงินปันผล’ ...ทอง งอกเพิ่มไม่ได้ แต่ราคาหุ้นขึ้นได้ แถมเงินปันผล เพิ่มขึ้นได้เรื่อยๆ (หุ้นรายตัว อาจขึ้นและลง แต่ถ้าหุ้นทั้งตลาด มันมีแต่ขึ้น และ ปันผลขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีลง ...การลงทุนแบบนี้ก็เช่น การซื้อ ETF แบบออมไปเรื่อยๆ เช่น BMSCITH เพราะ เสมือนการซื้อทั้งตลาดนั่นเอง)

4. ‘ชาวบ้าน ชอบทอง / พวกเศรษฐี ชอบหุ้น’ ...คนทั่วไป ชาวบ้าน พอมีเงินก็ซื้อทอง ...ส่วนพวกเศรษฐีทั่วโลก เขาก็มีทอง แต่หลักๆ เขาซื้อหุ้น เก็บหุ้นเยอะกว่าทองมาก ....ก็เพราะ สถิติมันบอกว่า หุ้นในระยะยาว ขึ้นมากกว่าทอง และ ปันผลก็เพิ่มนั่นแหละ

5. ‘มีเงินสดไว้บ้างก็ดี’ ...ผมว่า สิ่งที่ผมรู้ข้อนี้ สำคัญที่สุด ....เพราะ ระหว่าง ที่ทั้งหุ้น และ ทอง และ สินทรัพย์ที่กำลังขึ้น มันมีช่วงที่ราคาลง ปรับฐาน ...นั่นแหละ ช่วงที่สร้างเศรษฐีใหม่

‘เศรษฐีใหม่ เกิดทุกครั้ง เมื่อสินทรัพย์ ปรับฐาน แล้วมีคนที่กล้าเข้าไปซื้อ’ ....ใช่!! ที่สำคัญกว่า ‘กล้าเข้าไปซื้อ ก็คือ มีเงินซื้อครับ’

ก็ลองจับตา หาโอกาส กันครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม





5 ข้อควรรู้ เมื่อเงินบาทแข็งโป๊ก

5 ข้อควรรู้ เมื่อเงินบาทแข็งโป๊ก

หลายคนอาจจะยังไม่ทราบว่าปี 2020 นี้ เงินบาทเราถือเป็นหนึ่งในสกุลเงินที่แข็งเกือบที่สุดในโลกเทียบกับค่าเงินประเทศอื่นๆ

...แปลภาษาบ้านๆ ก็คือ ‘วันนี้เงินเราใหญ่ขึ้น สามารถไปแลกเงินคนอื่นได้เยอะขึ้น ...เราก็ซื้อของได้ถูกลง’

ใช่!! ข้อดี ก็มี ข้อเสียมันก็มี ..เลยมาสรุปให้ดูว่า มีอะไรบ้าง

1. ‘บาทแข็ง แปลว่า เราซื้อของต่างประเทศได้ถูกลง’ ..จะไปเที่ยว จะส่งลูกไปเรียนก็ถูกลง ...ตัวอย่างชัดๆ คือ ประเทศอังกฤษ 4 ปีที่ผ่านมา เงินบาทแข็งขึ้น 30 กว่าเปอร์เซ็นต์ เทียบกับเงินปอนด์ ...พูดให้เห็นภาพ สมมุติเราเคยซื้อของที่อังกฤษปี 2015 ในราคา 5 พันกว่าบาท วันนี้จะเหลือแค่ 3 พันกว่าบาท ...’เขาไม่ได้ลดราคา แต่ค่าเงินเราแข็ง ทำให้เรารวยขึ้นแบบอัตโนมัติเมื่อไปประเทศเขา’

2. ‘โอกาสทองของการส่งลูกหลานไปเรียนต่างประเทศ’ ...ฮึม ถ้าคุณอยู่เวียดนาม เศรษฐกิจเขาอาจดี แต่ค่าเงินเขาอ่อนไปเรื่อยๆ ...เท่ากับว่า คนเวียดนามจะส่งลูกไปเรียนต่างประเทศ ก็ยิ่งต้องทำงานหนักหาเงินเพิ่มเข้าไปอีก เพื่อสู้กับค่าเงินที่อ่อนลง ...ยกตัวอย่าง ออสเตรเลีย จากปี 2012 ถึงปัจจุบัน ค่าเงินเขาอ่อนไป 40% เทียบกับเงินบาท ...แปลว่า ถ้าปกติ ค่าเรียนปริญญาโท ใช้เงิน 3 ล้านบาท วันนี้ ใช้แค่ 2 ล้านบาท ลดลงเกือบครึ่ง !!!

3. ‘โอกาสในการซื้อสินทรัพย์ต่างประเทศ’ ...แน่นอน การซื้อของ มันใช้แล้วหมดไป แต่ถ้าซื้อสินทรัพย์มันซื้อแล้วเพิ่มขึ้น ...ยิ่งค่าเงินเราแข็ง เราก็ซื้อได้ถูกลง โอววว!! ....สมมุติ บ้านที่ออสเตรเลีย เดิมที หลังละ 3 ล้าน วันนี้ซื้อได้ 2 ล้าน ลดลงเกือบ 50% ในช่วงแค่ไม่กี่ปีที่ผ่านมา ....ใครจะส่งลูกหลานไปเรียนออสเตรเลีย วันนี้อาจคิดหนัก ว่า เฮ้ย!! ซื้อบ้านด้วยดีไหม เอา PR ให้ลูกเลย ..555

4. ‘โอกาสของธุรกิจไทย ในการขยายไปต่างประเทศ’ ...วันนี้เราเห็นนักธุรกิจส่งออก บ่นกันอุบ ว่า ขายยาก เพราะ บาทแข็งเท่ากับว่าของเราแพงขึ้น ....แต่นักธุรกิจหลายคน ใช้โอกาสนี้ ขยายฐานการผลิตไปต่างประเทศ หรือ Outsource ไปจ้างโรงงานต่างประเทศ เช่น เวียดนาม , จีน หรือ แม้กระทั่งจ้าง ยุโรป ผลิตก็ได้ เพราะเงินยูโร จากปี 2008 ถึงปัจจุบันก็ลดลงเกือบครึ่งเทียบกับเงินบาท คือ จาก ที่เราต้องใช้ 50 กว่าบาทไปแลก 1 ยูโร วันนี้ใช้ 30 กว่าบาทก็ได้แล้ว ....นั่น!! บริษัทฉันมี โรงงานในอังกฤษ มีศูนย์วิจัยในเยอรมันนี แล้วก็มีศูนย์ฝึกอบรมในอิตาลี !!!

5. ‘ข้อเสียก็คือ ขายสินค้าส่งออกยาก ..คนมาเที่ยวอาจลดลงเพราะ ค่าเงินเราแพง’ ....เฮ้ย!! ทั้งการ ส่งออก และ การท่องเที่ยว คือ ตัวนำเศรษฐกิจไทยเลยไม่ใช่หรือ ? ....ใช่ครับ !! เราถึงรู้เหนื่อยในวันนี้ไง

- เราต้องปรับตัว จากการผลิตของราคาถูกส่งออก ...ต้องผันตัวมาทำสินค้าที่แพงขึ้น เช่น จากขายสินค้าเกษตรตรงๆ เลย ก็อาจต้องเปลี่ยนมาเป็นแปรรูป ใส่ idea เข้าไป ...ใส่ Package แบบญี่ปุ่น ขนมโมจิ รสชาตินี่ไม่ได้เอาไหน แต่พอเจอหีบห่อ ถึงกลับต้องซื้อครับ เอาไปฝากเพื่อน ...ถ้าคิดดีๆ เราไปได้มากกว่า วัตถุดิบเราเยอะกว่า สดกว่า ดีกว่า

- เราต้องหากลุ่มนักท่องเที่ยวเพิ่มขึ้น จากเดิมเรามีกลุ่มเที่ยวแบบ ECO ประหยัด ...วันนี้เราอาจขยับไปจับ Hiso มากขึ้น ...ก็ขึ้นกับ การปรับคุณภาพโรงแรม อาหาร ที่เที่ยว ของต่างๆ ...ซึ่งจริงๆ เราไม่ได้น้อยหน้าใคร ...โรงแรมเราบริการดี ก็ต้องทำให้ดีขึ้นไปอีก ...ห้างเราใหญ่อันดับต้นๆ ของโลก ...สถานที่ท่องเที่ยวเราก็โดดเด่น เพียงแค่อาจต้อง เอาเทคโนโลยีเข้าไปใส่ มีการแสดงเข้าไปเพิ่ม ก็ว่ากันไป

ใช่!! ทุกวิกฤติ มีโอกาส ...บาทแข็งมีคนบ่น คนเหนื่อย แต่ในอีกด้านมันก็เป็นโอกาสสร้างตัวเปลี่ยนชีวิตของอีกหลายๆ คน ที่กล้ามอง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ