แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2554

ให้คิดบวก และเชื่อมั่นในตัวเอง

ปี 2555 ที่มาถึง ...ที่แน่ๆ มีแต่ทำนายหายนะ "ประเทศพัง" ตั้งแต่ น้องปลาบู่ ..หมอดู คู่หมอเดา ..โหร ค่ายต่างๆ -- พออ่านคำทำนายได้ครบ ก็สรุปว่า "จิตตกทันที"

มีเรื่องเล่าขำขำ เกี่ยวกับ หมอดู ... ผมสังเกตจากตัวเองนี่แหละ ช่วงไหนที่ "จิตตก หรือ รู้สึกว่าไม่ค่อยดี" จะอยากไปดูหมอมาก ...ลืมนึกไปว่า คนที่ไปดูหมอส่วนใหญ่ก็คือ คนที่กำลังแย่ ...ดังนั้น ถ้าหมอคนไหนฉลาดและอ่านสถิติเป็น ก็สามารถฟันธงได้ง่ายๆ เมื่อลูกค้าเดินเข้ามา --- "มึง!! กำลังดวงตก ... อาจถึงชีวิต ..."(อ่ะนะ!! ถ้ากู ดวงดี กูจะมาดูดวงทำไม...555) ..ตกลงจะคิดค่าสะเดาะเคราะห์เท่าไหร่ดี "เครียด"

ถ้ามองไปไกลกว่าบ้านเรา จะเห็นว่า ภัยธรรมชาติมันเกิดขึ้นบ่อย และถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ..สาเหตหลักๆก็มาจาก Global Warming ที่มนุษย์เราทำให้โลกร้อนนั้นแหละ ...น้ำแข็งละลาย น้ำท่วม อากาศแปรปรวน แผ่นดินไหว ..ซึ่งหากเราเข้าใจ ก็ต้องปรับ "วิธีคิด" แล้วอยู่กับมันให้ได้ อย่างเข้าใจ

ในมุมของนักลงทุนคนนึงอย่างผม เรามองแค่ Demand & Supply ของสิ่งต่างๆ เป็นหลัก เพราะ Demand & Supply คือ ตัวกำหนด "ราคา" ของทุกสิ่ง ... อะไรที่มีน้อยๆ คนต้องการมาก มันก็จะแพง เช่น อาหาร ..หากมีภัยธรรมชาติ Supply ของอาหารก็จะลดลง แต่คนต้องการกินอาหาร ไม่ได้ลดลง ดังนั้น จากนี้ไป ภาพใหญ่ก็คือ อาหารและ Commodity จะเป็น Trend ขาขึ้น

..อะไรที่มี Supply มากๆ อย่างพิมพ์เงินแก้เศรษฐกิจแบบบ้าบอๆ มูลค่าของเงินก็จะลงแล้วเกิด "เงินเฟ้อ" เป็น Trend ขาลง ...ก็แค่นั้นเอง

อย่างประเทศอเมริกา และ ยุโรป ที่เคยเป็นเสาหลักเศรษฐกิจโลก มันกำลังแย่ลง เพราะถ้ามองกันลึกๆแล้ว ประชากรของ อเมริกา กับ ยุโรป รวมกันยังไม่ถึง 1 พันล้าน (เทียบกับประชากรทั้งโลก 7 พันล้าน) ...แต่พันล้านคนนี้ คุมเงิน 90% ก็คือ เงินดอลลาร์ และ เงินยูโร ... บัดนี้ ความมั่งคั่งต่างๆ ซึ่งแน่นอน ประเทศใดที่รวยขึ้น ราคา Asset (ที่ดิน) ก็จะขึ้นตาม ดังนั้น Real-estate เป็นแก่น ..จากนั้น ทุกอย่างก็โตบน "แก่น" ...ถ้าจะมองภาพให้ชัดๆว่า อเมริกา และ ยุโรป จะเป็นอย่างไรต่อไป ก็ดูญี่ปุ่น นั่นแหละ!!

"ญี่ปุ่น" เจริญถึงขีดสุดในปี '80s (ช่วงนั้นญี่ปุ่น อู่ฟู่มาก ..ส่งผลให้ ราคาที่ดินในญี่ปุ่นแพงอย่างบ้าคลั้ง) จากนั้น Bubble Real-estate ในญี่ปุ่นก็แตก (คล้าย Sub-prime อเมริกานี่เอง) จากนั้นเป็นต้นมา ราคา Asset ในญี่ปุ่นก็ยังไม่กลับไปที่จุด Peak อีกเลย .... ที่มันคล้ายกัน ก็เพราะญี่ปุ่นใหญ่มาก ดังนั้น พอราคา Asset ของ ญี่ปุ่นเกิด Bubble แตกในเวลานั้น จนถึงบัดนี้ ไม่มีใครที่รวยพอที่จะไปซื้อให้มันแพงกว่านั้น ..และอย่างที่เรารู้กัน คือ ทุกอย่างมีขึ้น ก็ย่อมมีลง ...และลงจะสุด ก็ต่อเมื่อมันสุด และมีคนยอมซื้อแพงขึ้น ..และเมื่อใดที่มันมีคนยอมซื้อแพงกว่าเดิม มันก็จะเริ่มขึ้น -- คิดง่ายๆ อย่างในกรณีประเทศเล็กๆ อย่างเมืองไทย ก็เคย Bubble แตกปี 1997 แต่จากวันนั้น ถึงวันนี้ เศรษฐกิจเราขยายตัวไปอีกไกล ..ประชากรในวันนั้น ถึงวันนี้ ก็ยังคงขยายตัว ...ทำให้คนที่มากขึ้น และรวยเพิ่มขึ้น มันก็ทำให้ ราคาที่ดินของเราในปัจจุบัน มันเลยปี 1997 ไปมากแล้ว

คำถามคือ อะไรคือ ตัวชี้วัด ว่าเศรษฐกิจประเทศนั้นๆ จะขึ้นหรือลง ... คิดง่ายๆ หนึ่ง ประชากร สอง การใช้จ่าย ... ประเทศที่ประชากรจะรู้สึกดี ไม่ใช่ประเทศนั้นรวย (เพราะตอนนี้คนอเมริกา ไม่ได้มีความสุขมากกว่าคนไทย ทั้งที่ GDP ต่อหัว รวยกว่าเราเยอะ) แต่มันขึ้นกับว่า เศรษฐกิจต้องอยู่ในทิศทาง Trend ขาขึ้น "เพราะโดยธรรมชาติของมนุษย์ เราจะมีความสุข เมื่อเรารู้สึกว่าเราพัฒนาขึ้น ก็เท่านั้นเอง" ...ดังนั้น ถ้าจะมาดูโลกเราว่า ณ จุดปัจจุบัน ประเทศใดที่ จะพัฒนา ในเรื่องของ "ประชากร & การใช้จ่าย" ให้เพิ่ม ก็เห็นจะมีแต่ เอเชีย ..นำมาโดย BRIC ( Brazil , Russia , India , China) และ ก็ ASEAN เอเชียตะวันออกเฉียงใต้ของเรานี่แหละ ที่ประชากร 600 ล้านคนจะรวมเป็น AEC ในปี 2015 -- "นี่แหละอนาคตโลก" ...ในภาพใหญ่ มันเคลื่อนตัวมาที่เรา

แต่!! ...(แต่) แต่ในภาพเราเอง เราอาจจะมองไม่เห็นสิ่งที่กำลังมา เพราะเรามัวแต่วุ่นอยู่กับ การทะเลาะกันทางการเมือง ภัยธรรมชาติ และ ความคิดลบๆต่างๆ ที่มันวนเวียนอยู่ ...ภาพที่เห็นเราก็คล้ายนักบอล ที่ตะลุมบอลกันอยู่ในสนาม โดยไม่รู้ว่า นอกสนามมันมีอีกมุมที่ต่างกับมุมมองในสนาม

แต่ก็ใช่ว่าผม จะมองอะไรบวก Think Positive ไปหมด .."ไม่ใช่" เพียงแต่ นักลงทุนต้องมองด้วยเหตุผลไม่ใช่อารมณ์ อย่างแรกเราต้องมองให้ออกว่า จริงๆแล้ว ภาพใหญ่คืออะไร ...อย่างภาพใหญ่เวลานี้ การลงทุนและทิศทางเศรษฐกิจระดับโลก มันเคลื่อนมาในเอเชีย ..เป็นภาพใหญ่ ก็ตั้งเป็นโจทย์ไว้ .... จากนั้น มามองภาพเล็ก คือ ความวุ่นวายการเมือง และ การวุ่นวายในภัยธรรมชาติ -- สรุป ถ้ามองง่ายๆ มันคงต้องมีวิกฤตที่ทำให้ตลาดลงแรงในปีหน้า อย่างน้อยก็ 2-3 ครั้ง ...ดังนั้น ถ้าเข้าใจว่า ภาพใหญ่คือ ขึ้น ...และวิกฤตก็คือ โอกาส เราก็พอจะวางแผนการลงทุนของเราแบบไม่ยาก เช่น อาจแบ่งเงินเป็นก้อนๆ ...แล้วรอลงทุนในเวลาที่เกิดวิกฤต ก็เท่านั้นเองครับ!!

ดังนั้น ผมก็มองว่า ปีมังกรนี้ น่าจะเป็นปี แห่งโอกาส สำหรับคนที่ มี "Stock Wish List" ..ได้หาจังหวะทยอยเก็บหุ้นดี เข้า Port การลงทุนระยะยาวนั่นเองครับ

"ผม Comment ไว้หลายรายการทีวี -- ว่าการลงทุนแท้จริงแล้วอยู่ที่มุมมอง ..หุ้นจริงๆ ถ้ามองอีกแบบ มันก็คือ เครื่องผลิตเงินดีๆนี่เอง ...หุ้นดีๆ มันปันผลให้เราทุกปี ...โดยแค่เราถือไว้เฉยๆก็รวยแล้ว (ไม่ต้องขายเลยก็ได้) ...และจะดียิ่งกว่า หากเราสามารถซื้อหุ้นดี ในเวลาที่ถูก ...และนั้นแหละ จุดที่ผมพูดถึง -- โอกาสในวิกฤตไง!!"

"จุดแย่ที่สุดของวิกฤต มันก็คือ จุดเริ่มต้นของโอกาส !! ...คนที่รวยและประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาคิดต่าง และ มีจุดยืนของตัวเอง" --- ขอให้ทุกคนโชคดี มีปัญญา ในการรับปีมังกร 2555 กัน!!

................................................
(เอาโฆษณา เท่ห์ๆ ไปดูกัน...อิ อิ)
การลงทุน ก็เหมือนการปลูกต้นไม้ ... คนส่วนใหญ่หวังรวยเร็วๆ แต่จริงๆ มันไม่ใช่ ..เราปลูกต้นไม้ ก็อาศัยเวลา กว่าที่เราจะได้ผลกิน -- เมื่อถึงเวลา เมื่อนั้นดอกผลแห่งการลงทุน จะโตในอัตราเร่ง และออกผล ให้เรากินไม่มีวันหมด .."นั่นแหละการลงทุนด้วยปัญญา" ... บางคนโชคดี พ่อแม่ปลูกต้นไม้ ให้เราได้กินผล ..แต่สำหรับผม ผมก็ขอปลูกมันเองด้วยเช่นกัน

---- (ความภูมิใจและคุณค่าของมนุษย์ มันก็คือ สิ่งที่เรากระทำ และ แบ่งปันสู่เพื่อนมนุษย์ ...นั่นแหละคนที่มีคุณค่า!!)

วันศุกร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2554

สวัสดีปีใหม่ ให้เพื่อนๆรวยแบบมีปัญญาครับ


อีกมุมหนึ่งของ "ปัญญา" ... รวยหุ้นอย่าง เพียงพอ ... (หุ้นขึ้นยิ้ม หุ้นลงก็ยิ้ม) เพราะท้ายสุด ปันผลมากกว่า ดอกเบี้ยเงินฝาก ซึ่งมากกว่า ที่คนอื่นทั้งประเทศเขาได้กัน ..และสุดท้าย ราคาหุ้นก็มี Capital Gain ตามเงินเฟ้อ ที่โตตามสัจธรรมของระบบเศรษฐกิจ ... "หุ้นขึ้นยิ้ม หุ้นลงก็ยิ้ม ..นั่นเพราะเรามีความสุข ที่ตัดเงินก้อนนั้นออกจากความโลภและความกลัว..เงินจึงโตอย่างพอเพียง" -- และทั้งหมด ตั้งอยู่บนความเข้าใจ ในตัวเราเองและการลงทุน และนั่นคือ การแสวงหาความมั่งคั่ง ในมุมของชาวโลกอีกคนนึง ของนักลงทุนที่มีปัญญานั่นเอง!!

(ขั้นแรก ของคนที่จะรวย ..ต้องเริ่มจากมี รายได้ มากกว่า รายจ่าย ..และ ขั้นต่อมา ต้องรู้วิธีวางเงินให้ทำงาน ...มันก็แค่นั้นเองแหละ!!)

... รวยโคตร ๆ แบบมีปัญญา

ฝากคลิ๊ป ธรรมะดีๆ จากท่าน ว.

วันอังคารที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2554

เสาร์เสวนา FM96.50

เสาร์ที่ผ่านมาได้รับเทียบเชิญ จาก "อาจารย์ขาโหด แห่ง SME ตีแตก (อ.ธันยวัชร์)" นั่งคุยกันกว่า 2 ชั่วโมง
@ รายการเสาร์เสวนา ... คุยกันสดๆ ตลอดสองชั่วโมง ... แฉชีวิตภาววิทย์ ในอีกมุมนึง ..เออ !! มีหลายมุม.. ฮ่า ฮ่า (ประสบการณ์แยะ เพราะ "แกว่งมาก" -- คมความคิดภาววิทย์ ชีวิตที่แกว่งเท้าหาเสี้ยน....555)

เข้าไปฟังย้อนหลังกันได้แล้วครับ !! .... บทสัมภาษณ์ ผม โดย อ.ธันยวัชร์ และ คุณอาทิตย์ ในรายการเสาร์เสวนา FM 96.5 (คลื่นความคิด..อสมท.) ..."วันเสาร์ที่ผ่านมา สดสด สดสด".. โย่ว!! (บรรยากาศ เคล้าเสียงหัวเราะ ...ฮา ฮา สาระบ้าง)

คลิ๊กเข้าไปที่นี่
http://www2.mcot.net/fm965/mp3.cfm?cat=Archive&id=305037





วันพุธที่ 7 ธันวาคม พ.ศ. 2554

คุยกัน "ขำขำ" กับทีม S2M

บรรยากาศสบายๆ กับ "อาจารย์ใน S2M"
ป๋ากิ้ง , ผม , ป๋าหยง และก็ป๋าปุย
-- สถานที่คุย @ S2M Cafe & Office นั่นเอง
"เจาะขำ ที่มา ที่ไป ..เจอกันแล้ว (ฮา + ได้ความรู้) -- ก็เดินกระเตงกันไป"





โอเค!! ..พอแล้ว ดูสองตอนพอแล้ว เดี๋ยวจะฮาเกินไป..อิ อิ

วันจันทร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2554

รายการถอดรหัสเซียน ตอน "หุ้นเขีื่อนแตก"

เก็บตกจากรายการ ถอดรหัสเซียน ตอน "หุ้นเขื่อนแตก"
เป็นการเจาะประเด็นเขื่อนแตก ...จาก หนังสือ SE-ED Bestseller
-- แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 3 นั่นเอง


"หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 3"



เวทีแห่งอาชีพการลงทุน This's my Future 2011


เก็บตกจากงาน This's my Future 2011 จัดโดยมูลนิธิไทคม @ เชียงใหม่
ผมพูดเป็นตัวแทนของอาชีพนักลงทุนรุ่นใหม่ ...แต่เพิ่มไปอีก 3 อาชีพ -- รวมเป็น 4 อาชีพ..อิ อิ
........."เจ้าของร้านอาหาร / Banker / Investor และ นักเขียน"

เคล็ดลับความสำเร็จของชีวิต อยู่ใน "อิทธิบาท 4" นั่นเอง เริ่มจากรักในสิ่งที่ทำ มีความอดทน มี Passion และหลงไหล จนค้นหาเหตุผลในสิ่งที่ทำจนเกิดปัญญาในสิ่งนั้นๆ ...นั้นแหละ ทางสู่ความสำเร็จของทุกยุคทุกสมัย


วันเสาร์ที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2554

เก็บตก "สัมภาษณ์เก่าๆ จากมือใหม่"

ดูสัมภาษณ์เก่าๆแล้ว ก็รู้สึกว่า "เดี๋ยวนี้ ผมหน้าตาดีกว่าตอนนั้นนะเนี่ย (อิ อิ..ผมเริ่มเพี้ยน ไม่เข้าท่าแล้ว..ฮ่า ฮ่า) ...
"เดี๋ยวเดือน ธันวาคม เพื่อนๆอย่าลืมติดตาม รายการ มือใหม่ ของ Money Channel กันล่ะครับ"
-- เพราะตลอดเดือน ธันวา "น้องทีน่า" จะพาเพื่อนๆมือใหม่ ไปรู้จักกับ Technical กัน
แน่นอน ...มีผม , ป๋ากิ้ง , ป๋าปุย ,ป๋าหยง ,หนุ่มพีร์ และ นักลงทุนอีกมากมาย ที่จะพลัดเปลี่ยนมาคุยเทคนิคกัน

ตอนนี้เอา สัมภาษณ์เก่าๆ มาดูกัน จากรายการมือใหม่..โย่ว!!

เบรคที่ "หนึ่ง"



เบรคที่ "สอง"

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น !!



"วันนี้ ผมแอบไปนั่งฟัง สัมมนา ออมเงินทำงาน ของครอบครัวข่าวช่อง 3 ดำเนินรายการโดย คุณ บัญชา ... และมี ดร.สุวรรณ / ดร.กอบศักดิ์ / ดร.ก้องเกียรติ ..และ อีกหลายๆท่าน ซึ่งน่าสนใจมาก ... "เรื่องน้ำท่วม สรุปแล้ว เป็นบททดสอบรัฐบาล ...เพราะก่อนน้ำท่วม เศรษฐกิจเรากำลังจะดีเยี่ยม (ถ้าที่ผมพูดบ่อยๆ ก็ The Beginning of Asian Miracle 2 นั่นเอง)

..วันนี้เรียกบุญมี แต่กรรมบังนิดๆ ... ปกติฟ้า ต้องทดสอบคน -- เวลานี้ ฟ้าทดสอบเมือง ก็ต้องดู ฝีมือ การแก้ปัญหาของรัฐบาล" ... โดย ปกติ ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส ขึ้นกับการจัดการ เช่น โอกาสในการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือ ชาวบ้าน และธุรกิจ โอกาสในการลงทุน Mega Project ที่จะสร้างงาน และ การบริโภค

... (น้ำท่วมที่กระทบ นิคมอุตสาหกรรม ยังไม่เคยมีแบบนี้ แต่ในวิกฤต ก็มีโอกาส เพราะธุรกิจเหล่านี้ แข็งแกร่ง การที่บริษัทต่างๆต้องหันมาฟื้นฟูธุรกิจ จะเกิดการบริโภค ..ในส่วนสินเชื่อที่หมุน จะมากขึ้น ..แน่นอน ในระยะสั้น ไม่ใช่ผลดี เพราะคนจะว่างงานชั่วคราว ...แต่หลังจากนั้น ก็น่าจะเป็น ฟ้าใสหลังฝน!!) ....

ประเด็นที่ผมสนใจอีกข้อ คือ ETF ทอง ซึ่งตอนนี้ มีของ BBL และ ก็ KBANK ... ออกมาชนกัน ..ข้อดีคือ ทั้งสองกองนี้ เหมือนลงทุนซื้อทองแท่งนั่นแหละ แต่ดีตรงที่ ไม่ต้องไปเยาวราชเอง สามารถซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ได้เลย ..."ไอ้ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ เวลาในการเปิดกองทุน ..คือ มันเป็นจังหวะที่ดี เพราะเขาเปิดตอนนี้ ที่ราคาทอง $1,600 กว่าๆ -- ซึ่งมันเป็นราคาที่ มีศพมหาศาล ติดดอยกันที่ $1,900 ช่วงกลางๆปีนี้"

... ภาพใหญ่ทอง เราได้เห็น $2,000 ต่อออนซ์ น่าจะไม่เกินปีหน้า "ดังนั้น คนที่มีเงินนอน ได้สักหนึ่งปี ETF ทองก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ (แต่ต้องเงินนอนนะ เพราะระยะสั้น ราคาผันผวนแน่นอน) -- สาเหตุหลักๆ คือ QE นั่นเอง ..ทีแรกมีแต่อเมริกา ที่พิมพ์เงินบ้าบอ ..ตอนนี้ วิกฤตยุโรป หนีไม่พ้น ...ฟันธง EU ก็ต้อง QE แน่นอน ...ส่วนอเมริกา ก็น่าจะ QE (แต่เขาอาจเปลี่ยนชื่อ อะไรก็ว่าไป) -- ดังนั้น อีกไม่นาน ..เงินสด มันจะล้นโลก ..แถมอยู่ใน สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นหลัก

... "คิดแบบ Common Sense ..มันก็ต้องมี บางคน บางกองทุน ที่กล้าโยกเข้ามา Asset ต่างๆ อย่าง หุ้น , ทอง และ Commodity เพราะผลตอบแทนมันเหนือกว่า (คิดง่ายๆ หุ้น ถ้าตัดความผันผวนของราคาออกไป เราซื้อกินปันผล 5 - 10 % แบบชิว ..ยิ่งถ้าเลือกกิจการ Blue Chip ที่มั่นคงเติบโต จะได้ Capital Gain แน่นอน หลังวิกฤตผ่านไป let Say 5 ปี "ทนรวยให้ได้ละกัน..อิ อิ")...จากนั้น เมื่อกองทุนนึง โยกเข้ามา ..อีกกอง ก็คงน้อยหน้าไม่ได้

-- ประเด็น คือ เราต้องมองภาพให้ออกว่า สุดท้าย เงินมันจะวิ่งขึ้นที่สูง (เงินจะวิ่งหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่ง ทอง , หุ้น และ Commodity มันตอบโจทย์) ..แต่ข้อแนะนำของผม คือ แม้ว่า เราจะรู้ว่า ภาพใหญ่ของ หุ้น , ทอง และ Commodity จะขึ้นอีกมหาศาล

(แต่!!!) -- แต่เงินที่เอามาลงทุน "ผมแนะนำให้เป็น เงินนอน เช่น เงินฝาก(ที่ไร้ดอกเบี้ยนั่นแหละ)" ... เพราะระหว่าง ทางการขึ้น มันต้องผันผวน อย่างรุนแรง (มันจะมี Panic แบบที่ผ่านมา อีกหลายครั้งแน่นอน ประเด็นคือ ถ้าเรารู้ว่าภาพใหญ่ขึ้น คุณจะมานั่งแห่ ซื้อตอนแพง แล้วมาแย่งกันขายถูกๆ ทำไม ... ที่ make Sense คือ ทยอยซื้อ ทุกครั้งที่ตกแรง จากนั้น ไปขายนุ่นเลย 5 ปี "เงินเฟ้อขนาดนี้ ไม่รวย ให้มันรู้ไป".

.. คนที่เข้าใจ และมีสติมั่นคง จะรู้ว่า "ตัวเราเดินมาถูกทาง (ดูง่ายๆ สามปีที่ผ่านมา โดยรวมคุณรวยขึ้นหรือจนลง ..เพราะ คนที่วางเงินใน Asset ผมบอกได้ว่า ผันผวน ...ขึ้นลง แต่ถ้าใครใจนิ่งพอ ..มูลค่า Port มันโตขึ้นน่ะ ..."ที่ผมรู้ เพราะผม ลงทุนนั่นเองครับพี่น้อง") .... ก็เอามุมมอง ของเหล่ากูรู ..ผสมมุมมองของผม ที่แอบไปฟังมาแชร์กัน ..โชคดีครับ ทุกคน!!



"ถ้าคนเราสามารถรวย และเด่นดัง ในโอกาสที่ทุกคนเห็นเหมือนๆกัน คงดีไม่น้อย!! ...แต่ขอบอกว่า ในโลกความเป็นจริง มันไม่ใช่เลย ...คนที่จะรวย หรือ ประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาสามารถเห็นโอกาสในวิกฤต ...เพราะคนจะรวย ก็คือ สามารถซื้อ Asset ในราคาโคตรถูก แล้วไปขายในเวลาโคตรแพง "บางคนไม่ขายด้วยซ้ำ" -- (ในเวลาที่คนส่วนใหญ่แย่งกันขาย อย่าง Carlos Slim เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ชาว Mexico ที่เพิ่งแซง Bill Gates ไปแล้ว ก็รวยจากการซื้อหุ้น บริษัท Conglomerate ในช่วง วิกฤตประเทศลาตินอเมริกา "ตอนนั้นลาติน เน่ากว่า ยุโรป เพราะเงินลาติน ตอนนั้น Default ไปเลย ..เจ๊งไปเลยว่างั้น")

...ประเด็น คือ Asset เท่านั้นที่ทำให้เรารวยได้ เพราะในระยะยาว เงินสด มันลดมูลค่า ในขณะที่ Asset มันเพิ่มมูลค่าตามเงินเฟ้อ ..และมันยิ่งโต ในอัตราเร่ง เมื่อมูลค่าเงินมันลดลงในอัตราเร่ง" (ฟังดูอาจจะ งง งวย ...แต่ถ้าผมจะบอกว่า คนส่วนใหญ่ ซื้อเวลาข่าวดี .."ซื้อแพง" ..ขายเวลาข่าวร้าย .."ขายถูก" ...ฮึม!! จะรวยได้อย่างไร ..เพราะคนจะรวยมันต้อง "ซื้อถูก ขายแพง" ฟังดูง่าย แต่มันยากโคตร ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะเวลา "Asset ถูก" มันมีแต่ข่าวร้ายไง ...และทุกคนก็เห็นตรงกันว่า .."ผมสามารถซื้อในราคาที่ถูกที่สุด" (แม่งฝันโคตรๆ ..ถ้าคิดเหมือนกันทั้งโลก แล้วใครจะซื้อได้ถูกที่สุดล่ะ ..แน่นอน มันไม่ใช่คุณ...555 -- ผมคิดจนหัวแทบแตก ..ผมสรุปได้ว่า จุดที่ดีที่สุด คือ จุดที่เรารับความเสี่ยงได้ ไม่ใช่จุดที่ถูกที่สุด เพราะ จุดถูกที่สุด มันเป็น อุดมคติ "มันไม่มี!!!"

... นักลงทุนที่ฉลาด ไม่ใช่คนที่รอซื้อถูกที่สุด แค่เป็นคนที่กำหนด การเดินทาง "Journey ของตัวเอง" ..จากนั้น ก็เดินจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง ...โดยไม่แคร์ว่า คนส่วนใหญ่จะทำอะไร เพราะมัน ไม่ Make Sense ... การที่นักลงทุนที่ฉลาดกำหนดการเดินทางของตัวเอง ก็จะ สามารถซื้อที่ "จุดที่รับความเสี่ยงได้" แล้ว "ก็ไปขายในจุดที่เขาว่ามันแพง" ...เออ!! ใครทำได้ รวยๆ แบบ พอเพียง ..แปลกนะ คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ...เพราะ ต้องการซื้อถูกที่สุด ขายแพงที่สุด ... แถมเข้ามาลงทุนแบบเสียไม่ได้

... "เสียไม่ได้" คุณรู้ไหม เจ๊งทุกคน .. ไอ้ที่ไม่เจ๊ง มันมีหลายแบบ แต่เท่าที่ดู เขาเสียได้นะ

..นัก Technical ที่ประสบความสำเร็จ เขามีจุด Cut Loss แปลว่า เขาเสียได้ถูกไหม !!

... นักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ เขาซื้อหุ้นถูก ไม่ได้ถูกที่สุด ..ดังนั้น โดยปกติ เวลาซื้อมักขาดทุนระยะสั้น เพื่อได้กำไรระยะยาว แปลว่า เขาก็เสียได้ถูกไหม!!

--- ดังนั้น ไอ้พวก "นักลงทุน แบบเสียไม่ได้" ... จึงหมดตัวทุกราย ..เสียไม่ได้ จึงเสียหมดตัว !!! ..."นี่แหละ สัจธรรมของตลาดหุ้น"

สุดท้าย "ตลาดหุ้น" จะสอนเราว่า ...คนใดที่เข้าใจตัวเอง และปล่อยวางได้ ..คนนั้น คือ คนที่ตลาดหุ้นจะให้รางวัล อย่างงาม -- ผู้ชนะในตลาดหุ้นรวยโคตรๆ ก็จริง -- แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เขาเหล่านั้น ไม่ใช่คนโลภเลย

(โลภ = "เสีย" / เสียไม่ได้ = "เสียหมดตูด" / ตัดได้ = รวยได้ / ตัดเงินก้อนนั้นออกจากชีวิตและอารมณ์ได้ = โอ!! แม่เจ้า รวยสุดขั้ว..555)

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โลกของ "ราคา" เมื่อทุกอย่างแย่



"วิกฤตซ้อนวิกฤต" ... มันสอนอะไรเรา ..มันสอนว่า History Always repeat itself เสมอ!! ... เวลานี้เราเจอ วิกฤต ภายนอก คือ "หนี้ยุโรป" ... เด้งแรก ...ส่วนวิกฤตภายใน เราเจอ "น้ำท่วม" ...เด้งสอง!!

... ถ้ามองในเชิง คณิตศาสตร์ "ลบ กับ ลบ มันเท่ากับ บวก" (อ้าว!! ทำไมเป็นอย่างนั้น) ...ในฐานะนักลงทุนระยะยาว การมีวิกฤต ถือเป็นบททดสอบหุ้นของเรา ว่ามีใครอยู่ในหุ้นเราบ้าง ... "เพราะโดยปกติ เวลาตลาดดี คุณไม่รู้หรอกว่า ในหุ้นที่เราชอบ มันมีใครอยู่ในนั้นบ้าง เช่น มีทั้ง นักลงทุนระยะยาว ระยะสั้น เจ้ามือ นักปั่น และอื่นๆ

...แต่เวลาเกิดวิกฤต นักลงทุนระยะสั้น นักปั่น และ นักเก็งกำไร จะโดดออกก่อน ...คนที่เหลือถือหุ้นอยู่ ก็จะมีแต่ นักลงทุนระยะยาว กับ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น(จำใจติดดอย)

ระหว่างทางที่หุ้นดิ่งลง ..คนที่จะโดดออกคนต่อไป ก็คือ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น (ซึ่งกลุ่มนี้ ขอบอกว่า น่าสงสารสุดๆ เพราะเขาซื้อหุ้นจากยอดดอย แล้วมาขายทิ้งในเวลาที่ ฮึม!! แม่เจ้า ..ไม่น่าขายสุดๆ) -- แต่มันเป็นวัฎจักร

อันนี้บอกตรงๆ คนไม่เคยสัมผัส สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ..พอเจอเอง "อ๋อ!! เข้าใจแล้วพี่" (ก็ไม่เป็นไร เข้าใจแล้ว คราวหน้า อย่าทำแบบนี้อีก) ...ประเด็นคือ ด้วยหลักของ Demand & Supply ที่กำหนด การขึ้นลงของหุ้น(ในระยะสั้น) -- เมื่อทุกคนที่อยากจะขายหุ้น ได้ขายหมดแล้ว .."ตรงจุดนั้นแหละ ก็คือ Bottom ของรอบนี้ (สังเกตผมพูดว่า Bottom ของรอบนี้ ..ไม่ใช่ Bottom ของราคาหุ้น เพราะจุดต่ำสุด และสูงสุดของราคาหุ้น มันไม่มี ..อย่าไปพยายามหา เพราะมันไม่มี!!... เอาแค่หา "รอบ" การขึ้นลงของ "ราคา" ก็ทำเงินได้แล้ว)

....ทั้งหมดที่ผมพูดขึ้นมา คือ อยากให้ลองศึกษากันดูครับว่า ตลาดหุ้นจริงๆแล้ว เราเล่นอยู่กับอะไร ..ใช่!! ใจของเรา นี่แหละสำคัญที่สุด (จุดซื้อของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าซื้อในแต่ละรอบ ..จุดขายของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าขาย ในแต่ละรอบ ... แต่ที่มันยาก ก็เพราะ "ผลจากการกระทำของมวลชน" มันก็คือ "ราคา" นั่นเอง ...)

คิดดีๆครับ "ราคา" คือ ผลลัพธ์ จากการ ซื้อขายหุ้นของมวลชน ที่เราเรียกว่า Demand & Supply ของหุ้นแต่ละตัวนั่นเอง ..... "ใครผ่านวิกฤตครั้งนี้แล้ว เข้าใจ "จิตวิทยามวลชน" ..คุณก็จะเข้าใจการขึ้นลงของ ราคาหุ้นนั่นเอง"

ขอเล่าเรื่องย้อนไปช่วงวิกฤต 2008 ช่วงปลายปี "วิกฤตภายนอก คือ Sub-Prime" ส่วน "วิกฤตภายใน คือ ปิดสนามบิน" ... บ้าไปแล้ว!! ช่วงนั้น ราคาหุ้นอยู่แถว 400 จุด บวกลบ .. Volume ก็ไม่มี ..แย่กว่าเวลานี้อีกนะ เพราะเวลานั้น Volume ไปเหลือ 3,000 ล้านบาทต่อวัน .. "หลายคน อาจบอกว่า "รู้งี้" เวลานั้น น่าจะซื้อนะ ..." -- ประเด็น คือ แล้วเวลานี้ล่ะ ..มีทั้งวิกฤตหนี้ยุโรป ...และมีทั้งวิกฤตน้ำท่วม เสียหายทั้งประเทศ แต่ทำไม Volume ยังเป็น "หมื่นล้าน" -- ทำไมมันไม่แย่เหมือนปี 2008 ล่ะ ... "ฮึม!! คำอธิบายจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ อเมริกา พิมพ์เงินจากลม เข้าสู่ระบบ อัดฉีดเข้ามาอย่างมหาศาล ... และล่าสุด อเมริกาดันทำ Operation Twist นั่นคือ ขายหนี้ ระยะสั้น เพื่อเอาไปซื้อหนี้ระยะยาว ..พูดให้ง่ายๆคือ ใช้วิธีทางการเงินกดดอกเบี้ยระยะยาว ให้ลดลงนั่นเอง -- ภาพที่เกิดขึ้นคือ หนึ่ง เงินล้นโลก สอง เงินที่ล้นโลกมันวางอยู่ในที่ ที่ไม่มีผลตอบแทน เช่น สินทรัพย์ไม่เสี่ยง พันธบัตร ...ครับ!! ฟังดู ไม่ Make Sense ใช่ไหม ว่าทำไม คนส่วนใหญ่ รวมทั้งกองทุนทั่วโลก ถึงโยกเงินกลับไปสู่ สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนอย่าง ตราสารหนี้สหรัฐ ...ถูกต้อง!! ก็เพราะทุกคนในโลก "กลัว" นั่นเอง ..

"กลัวอะไร.. !!" ..ก็กลัวว่า เศรษฐกิจจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม ... ดังนั้น พฤติกรรมที่นักลงทุนทั่วโลกทำ คือ เทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ แล้วโยกกลับไปสินทรัพย์ที่เขาเห็นว่าไม่เสี่ยง อย่างตราสารหนี้อเมริกัน (เพราะตราสารหนี้ อเมริกา คือ เทียบเท่าเงินสด ..ดังนั้น แม้ว่า ผลตอบแทนจะไม่มีเลย คนก็จะยังโยกเงิน เข้าไปใส่ในเวลาที่เขากลัว) ..สิ่งนี้เอง เป็นการอธิบายได้ว่า ทำไมเวลา เรามีวิกฤตแรงๆ เงินดอลลาร์ จะแข็งขึ้น ..อย่างปี 2008 เงินดอลลาร์ ก็แข็งขึ้น(ในช่วงสั้นๆ) ...และเวลานี้ปี 2011 ดอลลาร์ก็กำลังแข็งค่าขึ้น -- "คุณรู้ไหม คำถามที่ ถามแล้วเป็นประโยชน์ในเวลานี้ ซึ่งถามแล้ว ทำเงินได้ คือ คำถามอะไร"

"ถูกต้อง!! ต้องถามว่า เงินดอลลาร์ในภาพใหญ่ จะแข็งต่อไป หรือไม่" ...เพราะถ้าเงินดอลลาร์แข็งต่อไป นั่นแปลว่า ทุกคนจะยังคงกลัว และ เทขายสินทรัพย์เสี่ยง ..นั่นแปลว่า ทั้งหุ้น ทอง น้ำมัน และ Asset ต่างๆ จะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ...... ผมขอฟันธงตรงนี้เลยว่า "ไม่ใช่!!" ...ราคาของสิ่งต่างๆ ถูกกำหนด โดย Demand & Supply ของสิ่งนั้นในระยะสั้น ผมไม่เถึยง นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเวลานี้ ทุกคนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก็เลยทำให้ ราคาของ Asset ทุกอย่างลดลง ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ...แต่อย่าลืมนะครับว่า สิ่งที่กำหนด "ราคา" ในระยะยาว มันคือ "พื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ และสิ่งต่างๆ" (ผมถึงย้ำเสมอว่า สุดท้าย ราคา จะสะท้อน มูลค่าที่แท้จริง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา) -- อันนี้แหละ วลี ที่สร้างให้ นักลงทุนระยะยาว หรือ VI รวยในระยะยาว เพราะ คนเหล่านี้ เขายึดมั่นอยู่กับ มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ต่างๆนั่นเอง

"คำถามคือ ในภาพใหญ่ มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ จะเป็นอย่างไร" ... ก็ไม่ยาก ...ตราบใดที่รัฐบาล ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง อเมริกา และ ยุโรป ยังเพิ่ม Supply ของเงินอัดเข้าระบบ แบบไร้ขีดจำกัด ...มูลค่าของเงินก็จะลดลงเรื่อยๆ นั่นก็คือ สิ่งที่จะเห็นคือ "เงินเฟ้อจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ" เพราะ เมื่อเงินลด ..Asset ต่างๆ ก็จะเพิ่มมูลค่า ....ประเด็นที่สอง ...สุดท้ายเงินจะวิ่งเข้าหาที่สูงเสมอ นั่นคือ Asset ใดที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ...เงินก็จะไหลไปที่นั่น ...ถ้าถามว่าพันธบัตร และตราสารหนี้ มันไม่สามารถตอบโจทย์ผลตอบแทน เพราะดอกเบี้ยมันถูกกด และ สิ่งที่กดดอกเบี้ยอย่างไร้สาระคือ Operation Twist ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ไม่ work ..เพราะเมื่อ "ความกลัว" หรือ Fear มันหมดลง ..นักลงทุนก็จะโยกเงินกลับไปสินทรัพย์ที่เสี่ยง อย่างแน่นอน ...และประเด็นที่สาม ที่ผมให้ความสนใจในเวลานี้คือ ภัยภิบัติธรรมชาติทั่วโลก ...มันจะส่งผลให้ Supply ของ อาหารการกิน มันตึงตัวอย่างแน่นอน ... ดังนั้น อีกไม่นาน ราคา Commodity และ อาหาร จะต้องกลับมาพุ่งกระฉูด แบบที่หลายๆคนตั้งตัวไม่ทัน

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ..ในระยะยาวคนที่เข้าใจ "มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ที่ตัวเองถือครอง จะเป็น ผู้ที่กำชัย ในสงครามเศรษฐกิจโลก ในครั้งนี้ได้" ...ครับ!! สุดท้าย Asset ก็คือ ของจริง ... สิ่งที่เราต้องกิน ต้องใช้ ..ผลตอบแทนในรูป กำไรของกิจการ ...เงินปันผลที่เป็นเงินจริงๆ ..ที่ดินที่ดี ..ของกินของใช้

... คิดดีๆ ครับ เวลาที่โลกเกิดภาวะปั่นป่วน มันไม่ใช่เวลาที่จะวิ่งเข้ากอดสิ่งที่เรามองว่าไม่เสี่ยงอย่างเงิน (เพราะคุณกำลังทำเหมือนมวลชน และคนส่วนใหญ่) ..เพราะ "เงิน" จริงๆมันคือ ผลลัพธ์ของ "ราคา" ซึ่งมันจะสะท้อน ออกมาเป็นมูลค่าของสิ่งต่างๆ ในอนาคต ... ที่เขาบอกว่า คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ก็เพราะ คนรวยเขาถือครอง Asset นั่นเอง

"เวลาที่คนอื่นขายหนักๆ ... เวลาที่ข่าวร้ายมากๆ -- มันคือ เวลาที่คุณจะสามารถหาของถูกจากตลาดนั่นเอง(อยู่ที่จังหวะ) ... และขอฝากอย่างนึงว่า อย่าไปมัวหาจุดต่ำสุดของราคา .."มันไม่มี" ..จุดที่ดีที่สุด ก็คือ จุดที่เรารับความเสี่ยงได้ (ซึ่งแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ ไม่เท่ากัน) ...หากเราจะซื้อหุ้นระยะยาว เพื่อจะไปขายต่ำกว่าที่ซื้อ ผมว่า คุณเปลี่ยนไปเล่น Technical รอ Trend แล้วซื้อแพง ไปขายแพงกว่า จะดีกว่า

.... "สุดยอดการลงทุน คือ เราเข้าใจความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้ ..นั่นแหละสุดยอดครับ!!"

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หมั่นสร้าง และรับ "แรงบัลดาลใจ" ..ต้นกล้าแห่งความสำเร็จ



ผมได้ข่าวการเสียชีวิตของ Steve Jobs แล้วใจหาย!! ...แม้ผมจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ..แต่ผมก็สัมผัสความยิ่งใหญ่ของคนๆนึง ที่มีต่อผู้อื่นอีกมากมายในโลก ...ตัวผมเอง ได้แรงบัลดาลใจหลายๆอย่างจาก Steve Jobs ไม่ว่าจะเป็นแง่คิด และ การดำเนินชีวิต .. Steve พูดว่า ให้ทำในสิ่งที่รัก "ใช่!! มันเป็นอะไรที่ฟังแล้ว Simple แต่น้อยคนนักที่จะมานั่งคิดว่า จริงๆแล้วประโยคคำพูดสั้นๆ นั่นมีความหมายลึกซึ้งเพียงใด"

เศรษฐีหมื่นล้านแสนล้าน จริงๆ ก็ไม่ได้ มีอะไรที่แตกต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่ อย่าง Steve Jobs มีวิถีชีวิตที่ง่ายสบายๆ แต่งตัวง่ายๆ กินง่ายๆ ...แต่สิ่งที่ซับซ้อนคือ กระบวนความคิดที่จะสร้างสรรค์ และสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่โลกนี้ ..ครับ!! สิ่งเหล่านี้ มันทำให้ผมฉุกคิด ถึงหลักความสำเร็จของชีวิตว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน

..เพราะแท้จริงแล้ว ความสำเร็จของคนๆหนึ่ง มันจะไม่สามารถหาได้จากวิธีการ "กอบโกย" แต่ฝ่ายเดียว ..นั่นเป็นแนวคิดที่แคบ และ ไม่สามารถเป็นกลไกที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในสังคมได้ ..."สุดท้ายผู้ที่สร้างความมั่งคั่ง จากการโกงผู้อื่น การกอบโกย การติดสินบน การเอาเปรียบ ..ไม่มีใครพบจุดจบที่ดีเลย"

ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง และ ยั่งยืน ในโลกปัจจุบัน มันจึงมาจาก Business Concept ของการให้ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ซึ่งในทางพุทธศาสนา เรียกสิ่งนี้ว่า "เมตตา" ... ถ้าเรามองไปรอบๆตัว เราจะเห็นเลยว่า ทั้งชีวิต และธุรกิจรอบๆตัวเรามันคือ Red Ocean มันเป็น Business Concept ที่มุ่งแข่งขัน กินเลือดกินเนื้อ ..Win - Lose Game ตลอดเวลา ... ผลที่เกิดขึ้นคือ ความวิบัติในโลกการเงิน เศรษฐกิจ และ สังคม

การเกิดขึ้นของโลกเครือข่าย Internet ที่เชื่อมโยงทุกชีวิตบนโลก มันเป็น Step ที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ เพราะ ยุคนี้ มันเท่ากับว่า โอกาสมันเปิดกว้างให้แก่ทุกคน ...ทุกวันนี้ เราสามารถมีสื่อของตัวเอง ..เราสามารถมีสิทธิมีเสียง และ เชื่อมโยงกับคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ชอบสิ่งเดียวกัน และนั้นคือ โอกาสที่เปิดกว้าง แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ...พลังแห่งการสร้างสรรค์ หรือ Productivity มันสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ..ปัจจุบัน คนหนึ่งคนสามารถสร้างสรรค์ผลงาน ได้มากเท่ากับคนหลายๆคนทำในอดีต ...และนั่นเป็นที่มาของ One Man Company ...แน่นอน!! สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่ง โอกาส และ ข้อจำกัดในเวลาเดียวกัน "คนที่เก่งจึงยิ่งรวย แต่คนที่ไม่พัฒนาความสามารถของตัวเอง จึงจนลงเรื่อยๆ"

หลักความสำเร็จ ที่แท้จริง ในปัจจุบัน จึงต้องเริ่มที่ การให้ ...ก่อนรับ มันเป็น Win -Win Business Model ที่องค์กรอย่าง Google หรือ Facebook ได้แสดงให้เราเห็นว่า ..หากโจทย์การเดินทางของคุณ คือ การเดินทางเพื่อสร้างประโยชน์ และพลิกชีวิตของคนอื่นให้ดีขึ้น ... ยิ่งคุณสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น และ เปลี่ยนชีวิตของคนอื่น ได้มากและสร้างสรรค์ ด้วยต้นทุนที่ต่ำเท่าใด ..มันคือ ความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่กว่า Blue Ocean ทางการตลาดเสียอีก ...

สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่า แต่ละคนสามารถเลือก ว่าต้องการมีเส้นทางชีวิตแบบไหน ... "คุณเชื่อหรือไม่ว่า Mind Set ของแต่ละคน ณ วันแรกที่เริ่มทำงาน หรือ ลงทุน มันได้กำหนดผลลัพธ์และความสำเร็จของคุณเรียบร้อยแล้ว ...มีสิ่งที่ผมชอบพูด ติดตลกเสมอๆว่า ...อยากรู้ว่าใครจะประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลว แค่นั่งคุย 5 นาที ก็รู้แล้ว ..เพราะ Mind Set มันเป็นตัวกำหนด พฤติกรรมของเรา ...ความคิด จึง กำหนดการกระทำ และ มันก็คือ เครื่องชี้วัดความสำเร็จ ที่เราค่อยๆเดินตามไปนั่นเอง"

หากวันนี้ คุณอยากก้าวเดินไปในทางของ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ และ มั่งคั่ง ...มันต้องเริ่มที่เราเข้าใจ เป้าหมายของเราชัดเจนหรือยัง ...เส้นทางที่เราเดิน เราเข้าใจ เส้นทางนั้นๆ มากน้อยเพียงใด ... ก็ฝากประโยค Classic ของ Steve ให้คิดกันลึกๆ อีกครั้ง ..."ให้ทำในสิ่งที่รัก และทำให้ดีที่สุด" ...ส่วนที่ผมอยากจะขอเสริมแง่คิด คือ "คุณต้อง เมตตา" ..และนั่นคือ ความสำเร็จแบบ Win-Win ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ..เพราะหากทุกคนในประเทศ มุ่งทำงานเพื่อสร้างสรรค์ให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนอื่น ดีขึ้น มั่งคั่งขึ้น ..ตามแต่กำลังความสามารถของตัวเองจะทำได้ ...สุดท้ายแต่ละคนก็จะได้ผลลัพธ์นั้นๆ กลับเข้าหาตัวเอง และกลายเป็นสังคมแห่งการให้ และ มั่งคั่งนั่นเอง

"อาชีพอะไร" ...ผมอยากให้มอง ข้ามกรอบของคำว่า อาชีพ เพราะมันจำกัด ให้คุณต้องทำ สิ่งที่คนอื่นทำได้ดีอยู่แล้ว ... "อาชีพ" ที่ดี คือ ทำอะไรก็ได้ ที่เราชอบ ..แล้วถ้ามันสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น ในแง่ของความสุข หรือ ความสบาย ...และเขาเหล่านั้น ยินดีที่จะจ่ายเงินแลกเปลี่ยน ประสบการณ์นั้นๆ มันก็คือ "อาชีพ" แล้ว... ดังนั้น มันไม่ใช่การเลียนแบบ หรือ เห็นคนอื่นทำแล้วทำบ้าง แต่มันคือ การสร้างสรรค์อะไรก็ได้ ที่จะเปลี่ยนชีวิต ของคนอื่นให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางในทางหนึ่งก็ตาม ... ยิ่งสิ่งนั้นๆ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่คนอื่นมากเท่าไหร่ ในต้นทุนที่ต่ำ มันคือ ธุรกิจที่จะยิ่งใหญ่มหาศาลในอนาคต

-- ทุกวันนี้เรามีสื่ออยู่ในมือ (หากเราหยุดปลูกผัก มันจะเริ่มเป็นกระบอกเสียงแห่งโอกาส ...ทั้ง Facebook และ YouTube) ...เรามีเวทีที่เราสามารถสร้างได้เอง เช่น Blog (มันเป็นพื้นที่ทางความคิด ที่ใครๆก็เริ่มได้ฟรี) ...เรามี อากู๋ (Google ที่สามารถหาความรู้ได้อย่างไม่จำกัด) ...ประเทศเรามีทรัพยากร และพื้นที่การเกษตร และ การท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ .... มี OTOP และสิ่งต่างๆ ที่รอการพัฒนา ...เรามีโรงงานนรก ที่รอคนรุ่นใหม่ มาสร้างตลาด ใส่นวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่ม ... เรามีตลาดทุน และเงินทุนมหาศาล ที่วางอยู่ในธนาคาร รอแต่คนที่มีความสามารถมาบริหาร ... "แต่คุณจะต้องเร่ิมจากการพัฒนาความสามารถ และปัญญาของเราให้ดี ให้เก่ง ในสิ่งที่เราจะทำ -- อย่างมุ่งมั่น"

... "เริ่มที่ตัวคุณ ..ถามว่าเราจะสร้างสรรค์ และสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ด้วยสินค้าและบริการ อะไร ..อย่างไร ...นั่นแหละคือ โอกาส!!" (ที่เราสร้างเอง) ...กล้าที่คิด และ กล้าที่จะทำ !!

"คุณ คือ คนที่ยิ่งใหญ่!!"

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อ Trader มาเจอกัน



"ผมเป็นคนนึงที่พยายามหาคำตอบเสมอ ว่าความหมายของชีวิต คืออะไร" ... คนเราเมื่อผ่านจุดล้มเหลวสุดๆ คุณจะหลุดกรอบ ..กรอบที่เรียกว่า "ความกลัว" ..แต่สิ่งที่เราได้มาอีกอย่างแบบไม่รู้ตัวจากวิกฤตชีวิต มันคือ "สติและปัญญา" ของแบบนี้ แนะนำกันได้ แต่สอนกันไม่ได้ เพราะมันคือ จังหวะก้าวเดินที่ทุกคนต้องผ่าน ... "สำเร็จ และ ล้มเหลว" มันเป็นทางเดินที่ ทอดยาวไปด้วยกัน ..คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แปลว่า เขาได้เดินผ่าน Cycle ของสิ่งที่คนอื่นกลัวและก้าวไม่ผ่าน แล้วเดินต่อ ต่อไป ต่อไป ...และ ต่อไป ..."นั่นแหละชีวิต ..มันคือ สิ่งที่แต่ละคนเลือกเอง" -- ผมเลือกจะรู้ว่า สิ่งที่ผมเลือกจะพาผมไปสู่เป้าหมายอะไร ... ถูกต้อง!! สุดท้าย เราเอาอะไรไปไม่ได้เลย ... เงินจึงต้องเปลี่ยนเป็นความสุขระหว่างทางที่เดินไป (สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ปัญญาของเรา ..ทุกครั้งที่เราล้ม หากเราลุกขึ้นมายืนได้ เราจะพร้อมกับสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ..) .. ทำสิ่งที่คุณรัก ..กล้าที่จะก้าวไป ..นั่นแหละชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในแบบของเราเอง!!



ผมว่าหลายคนมองอาชีพ Trader ว่าเป็นอะไรที่หาเงินง่าย ..ใช่ มันคือ Fast Money -- come & go มาไวไปไว นั่นแหละครับ ..ตั้งแต่ที่ผม พบ Trader ในวงการมากมาย ยังไม่เคยเจอใครที่ไม่เคยเสียหนักๆเลยสักคน .. ที่หนักคือ "หนัก" แบบหมดตัวเลยนะ ไม่ใช่แค่เสีย จิ๊บๆ ... แต่คนที่ผ่านมาได้ ผมเห็นการ Develop ในเร่ื่องของ Mind Set ของการลงทุน ที่เปลี่ยนไป

..คนใกล้ตัวผมอย่าง ป๋าหยง และ น้องพีร์ ผมว่า สุดยอดในเรื่องของ วินัยนะ และการไม่ฟันธง ..เพราะสุดท้ายเมื่อ คุณ Trade for a Living จริงๆ มันย่อมต้องผ่าน Cycle ขึ้นแรง ลงแรงตลอดเวลา..

"รวยเร็ว!!" เป็นกับดัก ที่ Trader ส่วนใหญ่ก้าวผ่านไม่ได้!! ....และเขาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถผ่านมันได้เลย ...จึงมักรวยเร็วและก็หมดตัวตามมา แบบยืนไม่ได้อีก ... จริงๆ ความสำเร็จ ของ Trader มันอยู่ที่การเข้าใจว่า ตลาดคือ ความไม่แน่นอน ..."เมื่อคุณตั้งรับกับความไม่แน่นอน คุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และนั่นคือกฏ"

การที่คนส่วนใหญ่ มองไปทางไหนเหมือนๆกัน -- มันเป็นความน่ากลัวแบบสุดโต่ง เพราะราคามันไม่ได้ขึ้นกับพื้นฐาน(ในระยะสั้น) แต่มันขึ้นกับ Demand & Supply ในช่วงเวลานั้นๆ .. ผมบอกได้เลยว่าเทคนิคของ Technical Analysis มันเรียนแป๊บเดียวก็ตามกันทัน แต่ Mind Set มันเป็นสิ่งที่ ตามกันไม่เคยทัน และ มันก็เป็นสิ่งเดียวที่แยก Trader ที่ประสบความสำเร็จ กับ คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว..

"เสียไม่ได้!!" ก็เป็น กับดักทาง Mind Set ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ เสียหมดตัว ..เพราะ การลงทุน มันเสียได้!! -- แต่มันขึ้นกับเรา "จำกัดความสูญเสีย ให้ความเสียนั้นๆ เป็นความเสียที่เรารับความเสี่ยงได้.. ก็เท่านั้นเอง -- จึงไม่แปลกสำหรับ พวกที่เล่น Margin มากๆ และ Over Trade ไม่เคยอยู่ได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง" ...คนที่ไม่เข้าใจประเด็นนี้ มักจะมี Draw Down หรือ การขาดทุนที่ลึกมาก ..ลึกจนไม่สามารถทำใจกลับมา Trade ได้อีกเลย... และนั่นคือ ความล้มเหลว และ ล้มเลิก อย่างถาวร!!

...การลงทุนจริงๆ มันไม่มีอะไรมากไปกว่า การเข้าใจตัวเอง ... คนที่สามารถรวยหลักร้อยล้าน เพราะเขามี Mind Set ที่สามารถบริหารเงินระดับร้อยล้าน ...คนที่มีเงินพันล้าน ก็เพราะเขามี Mind Set ที่สามารถบริหารเงินระดับพันล้าน ... หลายคน พยายามผ่าน Limit ของการโตของ Port แล้วติด ตามขนาดทุนต่างๆ บางคนติดที่หลักแสน แล้วผ่านไม่ได้ ..บางคนติดที่หลักล้าน แล้วผ่านไม่ได้ ...บางคนติดที่ร้อยล้าน แล้วผ่านไม่ได้ ...ก็นี่แหละที่อธิบายว่าทำไม ..ก็เพราะ Mind Set ของเขา มันตั้งไว้ให้เขาสามารถบริหารจัดการเงินได้เท่านั้น ก็เท่านั้นเอง

คนที่ประสบความสำเร็จ มีมากมาย เพียงแต่เขาเหล่านั้น ไม่ได้มาเล่าให้เราฟัง ..เพราะแท้จริง การถ่ายทอด Mind Set ออกมาเป็นคำพูด และสอนออกไป มันถูกมองว่า "เพี้ยน!!" ..คนรวยจึง เก็บความรวยและปัญญา ไว้ที่ตัวเขาเอง

"บอกตามตรง เราทั้งสามคน ทั้ง ผม , ป๋าหยง และ พีร์... แม้จะเดินทางศึกษามาคนละสาย แต่เราเห็นตรงกันว่า ..คนที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ คนที่ไม่เคยล้มเหลวเลย ...ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่า ความล้มเหลว เป็น Step ที่ต้องผ่านก่อนไปสู่ความสำเร็จ ... เมื่อผ่านความล้มเหลว ครั้งแรก เราก็จะเจอความสำเร็จครั้งแรก ..เมื่อล้มเหลวครั้งที่สอง เราก็จะผ่านไปสู่ความสำเร็จครั้งที่สอง ...ดังนั้น สิ่งที่ต้องก้าวผ่านจริงๆ คือ "ความกลัว" ...เงินที่เราล้มเหลวในครั้งแรก มักเป็นเงินของเรา หรือของพ่อแม่เราเสมอ ..แต่หลังจากนั้น คุณจะหาคำตอบได้เอง ว่าทุนในครั้งต่อไป จะมาอย่างไร -- แปลกนะ ที่เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่สอนกันแทบไม่ได้ ...แต่ผมอยากให้กำลังใจทุกคนที่เจอกับวิกฤตชีวิต ว่าอย่าท้อ ..เพราะถ้าผ่านได้ มันก็คือ เส้นทางสู่ความสำเร็จ!!

"ที่สุด ไม่เคยมี !!" ...ถูกที่สุด แพงที่สุด ไม่เคยมี ..อารมณ์ทำให้เรามองทุกอย่างสุดโต่ง ..แต่จริงๆแล้ว ทุกอย่างในโลก วิ่งเป็น Cycle ไปเรื่อยๆ ... นั่นเกิดจาก อารมณ์ของมนุษย์ ที่กำหนด การเคลื่อนไหวของ "ราคา" ของสิ่งต่างๆทั่วโลก

คนจะรวยได้สุดๆ ไม่มีทางมาจาก "ค่าจ้าง" เพราะแรงงานของเรามีจำกัด ...สิ่งที่ทำเงินให้เราแบบไม่รู้จบคือ "การลงทุน" ..และ การครอบครอง Asset ในเวลาที่ถูก แล้วไป ขายแพง มันเป็น ทางเดียวที่ทำให้เรารวยได้ ...แต่ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่ถูกที่สุด หรือ แพงที่สุด เพราะมันไม่มี!! จริงๆ ... หากเรารู้จักตัวเอง เราจะสามารถกำหนดแนวทางการลงทุน ที่เหมาะกับเราที่สุด ..นั่นแหละ เจ๋ง จริง!!

ใครๆก็รวยได้ครับ ..แต่เราต้องให้เวลาศึกษา ตัวเราเอง ... สู้ สู้ ครับ (อย่างน้อยผม , ป๋าหยง และ พีร์ ก็กำลังเดินทางไปในสายนี้ ไปพร้อมๆกับคุณ ... ค่อยๆเดินกันไป เดี๋ยวก็ถึง.. แต่ให้มีความสุข บนทางที่เดินไป ... ฮ่า ฮ่า "จุดหมายที่ปลายเท้า"!!!)

วันพุธที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2554

NAV ของ Port นักลงทุนที่ต่างกัน !!


มีหลายคนสงสัยว่า "ป๋าแพ้ท"(เป็นแนว VI) ทำไมสนิทกับ "ป๋าหยง"(โคตร Technical แบบสุดโต่ง) .. เอ่อ!! แปลกไหมครับ คนนึงยิ่งลงยิ่งซื้อ ..อีกคนยิ่งลงยิ่งขาย ยิ่งขึ้นยิ่งซื้อ แต่คุยกันแล้ว ไม่ทะเลาะกัน แต่กลับเป็นเพื่อนสนิทกัน

ถูกต้อง!! เพราะเราต่างคนต่างมีธรรมะ ..ฮ่า ฮ่า -- (จริงๆนะ) ธรรมะจริงๆ นั่นคือ อิทธิบาท 4 เรา เริ่มจากฉันทะ คือ ชอบการลงทุนเป็นชีวิต ..มีวิริยะ คือ อดทนเหมือนกัน ..มีจิตตะ คือ หมกมุ่นในแนวทางของตัวเอง และมี วิมังสา คือ มีความมุ่งมั่นจะค้นหา เหตุผลของทุกคำตอบในแนวทางการลงทุนของตัวเอง ...พูดง่ายๆว่า บ้าศึกษาเหมือนกัน -- แต่คนละแนวแบบสุดโต่ง!!

สิ่งที่ทำให้เราเข้าใจกันในท้ายสุดคือ "ภาพที่เห็นนั่นแหละครับ" มันคือ NAV ของ Port แต่ละคน ... จะเห็นได้ว่า NAV ของแนว VI จะสุดโต่งกว่า นั่นคือ เวลาได้ได้มากกว่า เวลาลงก็ลงหนักกว่า เพราะมันคือการ Buy&Hold ผ่าน Cycle และความผันผวนสุดโต่งของตลาด (อย่างช่วงตลาดปรับฐานแรงๆ แน่นอน Port ของ VI ย่อมลงมาลึกมากกว่า Technical ...เพราะอย่าง Technical พอตลาดลง เขาไม่มีหุ้น เพราะเขาออกเมื่อ Technical ส่งสัญญาณไม่ไปต่อ ก็ออกหมด ถือเงินสด รอจังหวะ และรอ Short TFEX อีกขา) ... ในส่วน Port ของ Technical จะเห็นได้ว่า NAV ค่อนข้างนิ่ง คือ ขึ้นแล้ว หยุด แล้วขึ้นต่อ แล้วหยุด แล้วก็ขึ้นต่อ จะไม่มีการ Draw Down แรงๆ หรือ ลงลึกๆ เพราะขาลง ไม่มีหุ้น!!

"เวลาผมกับ ป๋าหยงสอน Technical จะพูดเสมอว่า ...คนที่เรียนกับเรา หากคุณมาหาเราด้วย Port แดง ..ถ้าคุณทำตามที่เราบอก -- Port คุณจะไม่แดง แต่จะเขียวตลอดไป ... (พูดแล้ว ฮาตลอด !!) -- ก็พอหุ้นแดง เอ็งก็ขายดิ ..เขียวก็ถือต่อไป (พูดง่ายเน๊อะ แต่กว่าจะอ่าน Technical ถึงขั้นทำเงินได้ ..บอกได้เลยต้อง ศึกษา Chart จนเลือดตาแทบกระเด็น ...คำถามคือ คนที่คิดว่าจะมาหาเงินง่ายๆ คุณว่าจะไปได้สักกี่น้ำ!!)"

จริงๆ ผมก็คุยกับป๋าหยงเสมอว่า สิ่งที่เป็น "กับดัก" ของคนส่วนใหญ่ มันคือ "Mind Set ที่ผิด" ...ตลาดหุ้นมันเกิดมาเป็นร้อยๆปีแล้ว และสิ่งที่มันมีอยู่ตลอดเวลาคือ Cycle ..มีขึ้นแรง และก็ลงแรง และก็ขึ้นแรง และก็ลงแรง ... หากเราเทียบกับน้ำ มันแบ่งได้เป็น 3 จังหวะ คือ ใหญ่ กลาง และก็เล็ก ... รอบใหญ่ก็คือ Tide เหมือนกระแสน้ำ คือ เราดูภาพใหญ่ยักษ์ว่า ในภาพใหญ่ตอนนี้น้ำขึ้นหรือน้ำลง ..อย่างตลาดหุ้น Asia ใน 10 ปีข้างหน้า มองก็รู้แล้วว่า ในภาพของกระแสน้ำหรือ Tide มันคือ "ขาขึ้น"

มาดูภาพกลาง ซึ่งก็คือ ลูกคลื่น หรือที่เราเรียกว่า Wave ...มันคือ ส่วนประกอบของ กระแสน้ำ ..มันคือลูกคลื่น ซึ่งจุดนี้ มันสำหรับนัก Technical ในระยะยาว สามารถทำเงินเป็นรอบ หรือ คำใหญ่ๆ ..

ส่วนภาพเล็ก เราเรียก Ripple มันคือ คลื่นเล็กที่อยู่ในคลื่นใหญ่ ... "ในรอบใหญ่ มีรอบกลาง และก็รอบเล็ก ..อันนี้จริงๆ มันคือ Time-Frame ของแต่ละคน ซึ่งไม่มีใครมองเหมือนกัน ...จุดนี้มันอาจทำให้หลายๆคนเถียงกันว่า ฉันมองขึ้น แต่ทำไมคุณมองลง ..ก็บางครั้งมันมองคนละภาพ ..บางคนมองกระแสน้ำ แต่บางคนมองแค่ฟองคลื่น .." -- นี่แหละที่ผมพยายามอธิบายว่า ทำไมสุดท้าย สไตล์การลงทุนของแต่ละคน จะค่อยๆปรับเป็นแนวที่เหมาะกับตัวเองในที่สุด ..ซึ่งแน่นอน!! ต้องอาศัยระยะเวลาที่ยาวนาน และความเข้าใจ ที่เพิ่มขึ้น ทั้งความเข้าใจในตลาด การขึ้นลง ..และกลับมาที่การเข้าใจใน "ใจ" ของเราเอง และความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้ ซึ่งก็ไม่มีใครรับความเสี่ยงได้เท่ากันเลย ในโลกนี้!!

"ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า การลงทุนมันเป็นศาสตร์ที่ซับซ้อนมาก ..แต่ไม่มีใครเอามา แบ่งการสอนออกให้เป็นระบบเหมือนการเรียนปกติ ..จริงๆ มันควรแบ่งระดับการเข้าใจการลงทุนออกเป็น ตั้งแต่ชั้นอนุบาล ยันประถม มัธยม ปริญญาตรี โท เอก ...ครับ!! ผมว่ามันควรแบ่งให้ชัด เพราะนี่เป็นอีกหนึ่งกับดัก ที่ผมพบเมื่อ ผมสัมผัสกับนักลงทุนมากมาย -- ผมพบว่า ทุกคนมองว่า ตัวเอง ระดับปริญญาเอกทางการลงทุน ทั้งๆที่เพิ่งก้าวเข้ามาลงทุนไม่นาน ...จริงๆแล้วมันต้องผ่านเป็น Step ... ไม่ว่า คุณจะประสบความสำเร็จจากธุรกิจ หรือ ชีวิตมาเพียงใด ..วันแรกที่คุณก้าวขาเข้ามาเป็นนักลงทุน ..คุณก็คือ อนุบาล!! -- อย่างตัวผมเอง ผมเชื่อว่า ผมผ่านอนุบาลมาอยู่ชั้นประถมแล้ว ..แต่จะไปเทียบกับ ดร.นิเวศน์ หรือ กูรู ท่านอื่น พวกนั้นเขาระดับปริญญา ..หรือ อย่าง Warren Buffett หรือ Soros นั่นมันปริญญาเอก" ...คือ อย่างแรกเลย คุณต้องเข้าใจก่อนว่า คุณต้องเรียนรู้จากเริ่มต้น ไม่มีทางลัดแห่งความสำเร็จ ไม่มีรวยเร็ว ..เพราะพวกรวยเร็ว ผมเห็นมันเจ๊งเร็ว ในเวลาต่อมา...ทุกคน!!

ก็เล่าให้ฟังสนุกๆ ... หลังจากที่ผม สนิทกับหยง และแลกเปลี่ยนความรู้กัน มันทำให้เราเห็นโอกาส ..ซึ่งมันก็คือ ช่องว่างของตลาด ...ผมบอกได้เลยว่า ในเมืองไทยขนาดผู้ประกอบการใหญ่ๆ ..ไม่ได้มีความรู้ในการลงทุนเหนือไปกว่า คนธรรมดาเท่าไหร่ ..ซึ่งในด้านธุรกิจของเขา เขาอาจสุดยอด แต่สำหรับการลงทุนแล้ว มันก็คือ โลกใหม่ ที่ให้โอกาสกับ ผู้มี อิทธบาท 4 เสมอ... อิ อิ

ตอนนี้ผมกำลังทดลอง System Trade กับของ บล.บัวหลวงอยู่ (ต้องเล่าก่อนว่า ตอนนี้เมืองไทย บล.บัวหลวง เป็น Broker แห่งแรก ที่นำระบบ Computer แบบ Automate มาใช้กับการ Trade และ ตลาดรับรอง ..นี่แหละมันส์!! ..ที่มันส์เพราะ มันขึ้นอยู่กับว่า ใครก็ตาม ที่สามารถออกแบบ System Trade แล้วใช้ได้จริง ..คุณก็สามารถสร้าง Port หรือ สร้างกองทุน ที่เป็น Money Making Machine ได้ ...และที่แจ๋วไปกว่านั้น มันสามารถเป็น Money Making Machine ที่วางอยู่บน Technical Analysis ..นั่นหมายความว่า .. Port หรือ กองทุนอันนี้ จะสร้าง NAV ที่นิ่ง ขึ้น แล้วนิ่ง แล้วขึ้น ..เหมือน NAV ของ Port Technical ที่ผมโชว์ให้ดูนั่นแหละครับ)

-- ก็เล่าให้ฟังสนุกๆ ซึ่งทางเดินในสายการเป็น Fund Manager ของผมและ ป๋าหยง มันก็ยังมีบทพิสูจน์อีกยาวไกล ที่ต้องฝ่าฟัน ...แต่ผมอยากบอกเพื่อนๆว่า โลกแห่งการลงทุน มันเปิดโอกาสเสมอ แก่ผู้ที่มุ่งมั่น

...แล้วลืมไปเถอะ Over Night Success มันไม่มีจริงๆ ในโลกหรอกครับ --- ความสำเร็จ ที่แท้จริง เกิดจาก "อิทธิบาท 4" ต่างหาก ... สู้ สู้ ครับทุกคน

เมื่อเราขี่จักรยาน ....


"จริงๆแล้วสำหรับนักลงทุนระยะยาว ย่อมต้องผ่านทุกสถานการณ์ ตลาดอาจขึ้นแรง หรือ อาจขึ้นเพื่อลง หรือ จะลงแรง -- มันเกิดได้ทุกอย่าง" ..เราต้องวางแผนรับมือกับมัน ต้องถามว่า ...ถ้าเกิดสิ่งนั้น สิ่งนี้ แล้วเราจะทำอย่างไร (นักลงทุนแต่ละคน ผมว่ามองต่างกัน แต่ส่วนสำคัญที่สุดคือ ความสามารถในการรับมือกับทุกความผันผวน ...อย่างวันนี้ถ้าตลาดต้อง Double Dip แรงมากจริงๆ ..เราต้องแน่ใจว่าเรายังอยู่ได้( ยกตัวอย่าง ผมน่ะอยู่ได้แม้ราคาหุ้นใน Port จะลงไปแค่ไหนก็ตาม เพราะ Port ผมมันหุ้นพื้นฐานที่เป็นสิ่งที่คนต้องกินต้องใช้ และมีปันผล"อันนี้สำคัญ เพราะเงินที่ผม ออมในหุ้น ผมก็หวังคล้ายๆเงินฝากธนาคาร ซึ่งดอกเบี้ยก็คือ เงินปันผลนั่นเอง"..และผมก็แน่ใจตั้งแต่วันที่ซื้อมาแล้วสำหรับ Port ระยะยาว ว่าผมจะไม่ขายต่ำกว่าที่ซื้อมา มันก็แค่นั้นเอง...) -- ผมเชื่อในพื้นฐาน ดังนั้น สุดท้ายถ้ากิจการดี ปันผลจะสะท้อน ..และสุดท้ายราคาก็จะสะท้อน -- และเมื่อตอบคำถามนั้นได้ เราก็ใช้การลงทุนในความเสี่ยงที่รับได้ เข้ารับมือ)

...จริงๆมันมีเรื่องของก๊อกสุดท้ายของนักลงทุนเสมอ ..แต่นั่นต้องอาศัยความเข้าใจ และความเสี่ยงที่รับได้ที่มากขึ้น อย่างผมมองกรณีของ เซียนหุ้นหลายๆท่าน ในปี 2008 ..ก๊อกสุดท้าย ก็คือ อัด Margin แต่เป็น Margin บนความเสี่ยงที่รับได้ ... ซึ่งกรณีนี้ผมไม่แนะนำ ..อย่างผมเอง ผมรับความเสี่ยงไม่ได้ขนาดนั้น ก๊อกสุดท้ายของผมจึงเป็นสิ่งที่ไม่ใช่ Margin แต่ก็เป็นเงินที่ผมไม่เคยคิดจะแตะเลย เช่น เงินที่อยู่ในพันธบัตรรัฐบาล (แต่แน่นอน มันไม่ได้มีมากมาย เพราะมันเป็น Safety Net ก้อนที่กันไว้สำหรับเรื่องฉุกเฉินของชีวิต) ... เรื่องพวกนี้ นักลงทุนที่เป็นนักลงทุนระยะยาวต้องตอบให้ได้



"ก๊อกสุดท้าย" ไม่ใช่เอามาเก็งกำไรครับ ..มันเป็นสิ่งที่นักลงทุนระยะยาว ควรจะต้องมีในทุกเวลา แต่สุดท้ายถ้าเรามองเห็นความเสี่ยงที่น่าจะคุ้มค่า ก็สามารถนำออกมาใช้ได้ แต่ต้องรับความเสี่ยงได้ว่า หากใช้แล้วราคาหุ้นลงต่อ เราก็ต้องอยู่ได้ ... เวลาแบบนี้ มันช่วยให้เราเห็นตัวเอง ..ว่าเราเข้ามาแล้วมองแต่ฝั่งได้(เอาแต่ได้)หรือเปล่า ...อย่างผมเข้ามาเป็นนักลงทุนระยะยาวแบบ VI ก็พร้อมเสียระยะสั้น เพื่อที่จะได้ระยะยาว โดยอาศัย Logic ของพื้นฐานที่วิเคราะห์เป็นอย่างดี และความเสี่ยงที่ผมเองรับได้ และนั่นคือ หัวใจของผลกำไรจากการลงทุน

... ทำไมผมเทียบเสมอว่า เล่นหุ้นเหมือนขี่จักรยาน ..ก็เพราะมือใหม่ทุกคนคิดว่า ขี่จักรยานแล้วจะไม่ล้มไง (แต่มันล้มทุกคน ผมเองก็ล้ม แม้ว่าครอบครัวผมจะล้มมาแล้ว สอนผมก็ไม่เข้าใจ จนพอมาล้มเอง ก็เลยเข้าใจ) ..แต่ถ้าผ่านจุดนี้ได้ คุณจะขี่เป็น และจากนั้น การขี่เป็นในครั้งนี้ คุณก็จะขี่ได้และลงทุนได้ชั่วชีวิต

....(ฝากไว้อีกนิด ถ้าเราคิดว่า ทนความผันผวนของราคาหุ้นในระยะสั้นไม่ได้ ก็ไม่ควรเป็นนักลงทุนระยะยาว ...ก็ให้เปลี่ยนแนว Cut Loss ออกไป แล้วเปลี่ยนตัวเองเป็นนักลงทุนระยะสั้น แล้วศึกษา Technical ให้ถ่องแท้ แล้วใช้ศาสตร์ Technical ทำกำไรจากการขึ้นลงของราคา เป็นรอบๆ อย่ามาถือยาว เพราะการถือหุ้นยาว คุณจะต้องเจอกับ Cycle การขึ้นลงรอบใหญ่ ซึ่งผมบอกได้เลยว่า นักลงทุนระยะยาวทุกคนเขาเข้าใจและจัด Port ให้พร้อมกับสิ่งนั้นได้อย่างดี "ไม่มีแนวทางไหนง่าย แต่บอกตรงๆว่า ในแต่ละแนว มีตัวอย่างของคนที่เขาทำได้ และรวยได้จริง อย่าง Buffett และ Soros"

..แนะนำสุดยอดหนังสือสองเล่ม ที่พูดถึงแก่นของ Technical Analysis ใช่!!หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ และ ก็ แกะรอยหยักสมอง ภาค 3 นั่นแหละ .. ใครอ่านรอบที่แล้วไม่เข้าใจ ..ถ้าวันนี้คุณอ่านใหม่ ผมเชื่อว่า คุณจะเข้าใจมากขึ้น -- นี่แหละ การค้นหาแนวทางการลงทุนของตัวเอง มันไม่ง่ายหรอกครับ ...คนที่ไม่เข้ามาก็ไม่รู้ ..เมื่อไม่รู้ก็ไม่มีทางลงทุนเป็น) -- เรียนรู้ตัวเอง และแนวทางการลงทุน จากวิกฤต มันคือโอกาส!! ...."ลงทุนก็เสี่ยง ไม่ลงก็ยิ่งเสี่ยง ความเสี่ยงเราหนีไม่ได้ แต่มันลดลงได้ เมื่อเราเข้าใจและ Master ความเสี่ยง"..คิดดีๆ ผมขอเอาใจช่วยครับ !!

วันจันทร์ที่ 26 กันยายน พ.ศ. 2554

เรื่องเล่า สองบาท



บาทที่หนึ่ง : เรื่องเล่าของ "ทอง"




"เรื่องของทอง ถามมา ก็จัดไป" ... ทองช่วงที่ผ่านมามันเป็นอีก Classic Trap สำหรับรายย่อย ที่ชอบซื้ออะไรก็ได้ที่ข่าวดี ...ทองที่ 1,900 เหรียญ ก่อนจะปรับฐานรุนแรง มันเป็นช่วงที่รายย่อย Bullish สุดๆ ซึ่งอันตราย ... "นั่นแหละ Mind Set ที่มีปัญหา และต้องก้าวผ่านให้ได้"

พูดถึงในภาพใหญ่ของ"ทอง" ..ทองเป็นเครื่องชี้วัดเงินเฟ้อ เพราะเดิมทีก่อนปี 1971 โลกเราใช้ Gold Standard นั่นคือ ไม่ว่า ประเทศใดจะพิมพ์เงิน ก็ต้องมีทองเป็น Back-up ..แต่ปีนั้นเอง อเมริกาประกาศบอกว่า "ยกเลิก Gold Standard" ต่อไปจะพิมพ์ดอลลาร์เท่าไหร่ รัฐบาลอเมริกันจะการันตีให้เอง จึงเป็นที่มาของคำว่า "Green Back ...ก็คือดอลลาร์นั่นแหละ"

และนี่ก็คือปัญหา เพราะเดิมที เงินมันไม่ค่อยเฟ้อ เพราะมันต้อง Back ด้วยทองซึ่งมี จำนวนจำกัด พิมพ์เพิ่มไม่ได้ ..แต่พอ ดอลลาร์ Back ด้วยหนี้ ..มันสามารถเพิ่มหนี้เท่าไหร่ก็ได้ ..ปัจจุบันหนี้ของ อเมริกันเองเกิน 100% ของ GDP ไปแล้ว ... อเมริกาปัจจุบันกลายเป็นลูกหนี้รายใหญ่ที่สุดในโลก.. ปัจจุบันเศรษฐกิจอเมริกันเองมีปัญหามาก เพราะคนว่างงานเกือบ 20% (ไม่ใช่ 10% บ้าบอที่เขาประกาศ อันนั้นมันตัวเลขแหกตาชาวโลก) ... ที่ว่างงานเพราะงานของอเมริกัน ถูกส่งออกไปให้ จีนและอินเดีย ที่ค่าแรงต่ำกว่าทำ มันถึงเป็นการ ส่งออกงานแบบไม่มีวันกลับมา ...ตอนนี้อเมริกามีหนี้มหาศาล แถมปัญหารุมเร้า ..วิธีแก้ง่ายๆ ก็คือ พิมพ์เงินเพิ่ม (ก็แค่กู้เพ่ิมนั้นแหละ) ... "ถ้าเราเป็นหนี้ แล้วสามารถกู้เพิ่มได้อย่างไม่จำกัดอย่างอเมริกา คงดีไม่น้อยจริงไหม!!"

เจ้าหนี้อเมริกา ก็คือ ประเทศอย่างจีน ..เอเชีย ..และประเทศด้อยพัฒนาทั้งหลาย ...มันจึงเป็น ภาพที่ไม่เคยเกิดขึ้นมาก่อนในโลก นั่นคือ ประเทศด้อยพัฒนาเป็นเจ้าหนี้ประเทศพัฒนาแล้ว ... "ความโกลาหลจึงเกิดขึ้นอย่างที่เห็นในปัจจุบัน"

ยิ่งอเมริกาพิมพ์เงินเพิ่ม เงินดอลลาร์เดิมยิ่งลดมูลค่า นั่นแปลว่า หนี้ที่อเมริกาติดอยู่ มันค่อยๆลดลง ..คุณว่า ประเทศด้อยพัฒนาจะทำอย่างไร ... ถูกต้อง!! ประเทศด้อยพัฒนาที่เป็นเจ้าหนี้อเมริกัน ก็เริ่มทยอยถือทองคำแทน ดอลลาร์ที่จะลดมูลค่าในอัตราเร่งด้วยเงินเฟ้อที่อเมริกันกำลังสร้างขึ้นมาอย่างบ้าคลั่ง!! ...แบงค์ชาติ ในประเทศต่างๆ จึงเริ่มเข้าซื้อทอง .. ก็นั่นแหละ สาเหตุหลักๆที่ทำให้ ทองคำ ราคาขึ้นอย่างมหาศาล ... คำถามคือ คุณเชื่อทองคำ หรือ คุณเชื่อรัฐบาลอเมริกันล่ะ ...และการขึ้นของทองตั้งแต่ปี 2002 ก็คือ คำตอบของปัญหาการพิมพ์เงินดอลลาร์ของอเมริกา

ดังนั้น ในภาพใหญ่ ผมก็ยังมองว่า ตราบเท่าที่อเมริกา ยังไม่เปลี่ยนพฤติกรรม ซึ่งคิดไม่ออกเลยว่า เขาจะหลุดพฤติกรรมการสร้างเงินเฟ้อได้อย่างไร เพราะไม่ได้เพิ่งเริ่ม ..มันเริ่มมาตั้งแต่ปี 1971 ตั้งแต่สมัย Nixon แล้ว ... "เราจึงพูดได้คำเดียวว่า สวัสดีชาวโลก!!...555" ... ก็ประมาณนี้นะ นิทานเรื่องทอง ...วุ่นวาย ๆ ๆ


บาทที่สอง เรื่องเล่าของ "ค่าเงิน"



เอาค่าเงินดอลลาร์มาให้ดูกันในภาพใหญ่ยักษ์ ... ปี 2008 Sub-prime คือ Panic ที่คนทิ้ง Asset ทุกอย่าง ทั้งหุ้น ทอง น้ำมัน ..แล้ววิ่งเข้ากอดเงินสด ซึ่งก็คือ ดอลลาร์ ...ทำให้ช่วงนั้น ดอลลาร์แข็งขึ้นไปแตะถึง 36 บาท (ตอนนี้ทั่วโลก กำลังมองว่า เศรษฐกิจจะกลับไปเป็นแบบ Sub-Prime ถึงได้มีการทิ้ง Asset แล้ววิ่งเข้าไปกอดดอลลาร์ ทำให้ดอลลาร์เริ่มแข็งในเวลานี้)..."แต่พูดก็พูดเถอะ มันเป็น Sucker Game เพราะตั้งแต่ 2008 เป็นต้นมา อเมริกันก็พิมพ์เงินดอลลาร์อัดเข้าระบบมหาศาล" --"เพิ่ม Supply เงินว่างั้นเถอะ" ...ดังนั้น ตอนนี้ภาพที่เห็นก็คือ ทุกคนวิ่งไปถือเงินสด

..แต่สุดท้ายเมื่อตลาดเลิก Panic !! -- Asset ต่างหากที่เป็นสิ่งที่จะต้องถือครองในภาพใหญ่ เพราะเงินดอลลาร์มันยังคงจะลดมูลค่าในอัตราเร่ง ตราบเท่าที่รัฐบาลอเมริกัน ยังไม่เลิกพิมพ์เงิน (ว่าแต่ถึงแค่ตอนนี้ เงินที่พิมพ์ออกมาในช่วง Sub-Prime มันก็มากพอที่จะทำให้ เงินเฟ้อพุ่งมหาศาลในอนาคต ...ทุกๆ 1 ดอลลาร์ ที่เข้ามาในระบบธนาคาร ..ธนาคารจะปั๊บเพิ่ม โดยการปล่อยกู้ อีก 9 เท่า ตามหลักของ Fractional Reserve Banking ที่ธนาคารจะต้องมีเงินแค่ 10% นอกนั้น ปั่นหมุนปล่อยกู้ อีกหลายตลบ -- แต่เวลาเศรษฐกิจไม่ดี คนก็กู้น้อย ..กลไกการหมุนเงินของธนาคาร จึงทำงานไม่เต็มที่ ...แต่รัฐบาลอเมริกัน ใช้การสร้างเงินเพิ่มโดย IOU ของรัฐบาล จึงเป็นการสร้าง Supply เงินเพิ่ม ที่จะเป็นระเบิดเวลาที่รอการระเบิด นั่นก็คือ "เงินเฟ้อมหาศาล" เมื่อเศรษฐกิจเร่ิมกลับมา)

..การลงทุน ต้องเข้าใจภาพใหญ่ กำกับเสมอ จะได้รู้ว่า เราเดินมาถูกทางหรือเปล่า ...สู้ สู้ ครับเพื่อนๆ

วันเสาร์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2554

มุมมองที่ต้องมี ในภาวะวิกฤต



"เมื่อวานผมไปสอนการลงทุนให้กับทายาทธุรกิจบัวหลวง จังหวัดขอนแก่น"
ประเด็นที่น่าสนใจคือ วันนี้หุ้นลง 40 จุด ..สิ่งที่เกิดขึ้นคือ คนส่วนใหญ่ Panic มาก.. มีคนนึงที่เข้าสัมมนายกมือถามผมว่า "พี่ครับหุ้นที่ผมถืออยู่ราคามันลงแบบบ้าคลั่งผมจะทำอย่างไรดี"

"ผมก็ถามกลับไปว่า ..ราคาที่ลงมันเกี่ยวกับกิจการที่แย่ลง และเปลี่ยนแปลงในเชิงโครงสร้าง หรือเปล่า..พูดง่ายๆว่า กิจการมันจะเจ๊ง อย่างราคาที่พุ่งลงหรือเปล่านั่นแหละ"

น้องคนนี้ก็บอกว่า "ผมไม่รู้อ่ะพี่" .... "อ้าว!! แล้วซื้อหุ้นนี้เพราะอะไร"
"ก็เพื่อนเชียร์ ..แล้วผมอ่านข่าวว่ามันดี ..คือ ถามใครเขาก็บอกว่าดี ก็เลยซื้อครับ"

ฮึม!! อันนี้เป็นหนึ่งใน Classic Case ของการติดหุ้น ซื้อบนยอดดอย แถมติดหุ้นที่เป็น "หุ้นปั่น" เพราะ หุ้นที่เชียร์เล่นกันร้อนแรงในตลาด มันมักจะเป็นหุ้นประเภทนั้น!!

"วิธีแก้ ไม่ใช่การไป ด่าเพื่อน หรือ ด่าคนอื่น ...อันนี้ไม่ทำให้ Port การลงทุนของเราดีขึ้น ..วิธีการที่ควรทำคือ ต้องคิดว่า ทำไมเราถึงไปซื้อหุ้นแบบนั้น และในจังหวะนั้น ..ถ้าเราหาเหตุผลได้ เราก็จะรู้ปัญหา แล้วหาทางแก้ปัญหาเพื่อพัฒนาตัวเองได้ต่อไป" ... สิ่งที่ต้องคำนึงคือ การลงของตลาดหุ้นเวลานี้ บอกได้เลยว่า เด็กๆ ..เพราะหุ้นขึ้นลงอย่างแรงเป็นเรื่องธรรมดาที่เราต้องเรียนรู้ แต่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้พยายามเรียนรู้

จริงๆแล้ว เวลาตลาดเกิดวิกฤตแรงๆมัน เป็น "โอกาสสุดยอดแห่งการเรียนรู้..และโอกาสรวยของคนบางคน" ...เราเรียนรู้อะไรบ้าง

1. เราได้รู้เลยว่า หุ้นที่เราซื้อมา เราซื้อมาด้วย เหตุผลหรืออารมรณ์ ... "ถ้าสังเกตดีๆ จะพบว่าหุ้นที่เราติดบนดอย มักจะเกิดจากเราซื้อเพราะกลัวตกรถ ..ใครๆก็ว่าดี ก็ขอซื้อตามน้ำ ..แต่ซื้อปั๊บ ก็ติดดอยทันที -- อันนี้มันเกิดจากเราโลภ เพราะเราอยากรวยเร็ว รวยง่าย ซื้อตามแห่แบบไม่ได้ศึกษาให้ดี นี่คือปัญหา"

2. เราได้รู้เลยว่า หุ้นที่เราซื้อ มีเจ้ามือแบบไหน "บอกตรงๆหุ้นทุกตัวมีเจ้า ซึ่งที่เรียกว่าเจ้าก็คือ รายใหญ่ที่มีผลโดยตรงต่อราคา เพราะเขาซื้อขายหุ้นตัวนั้นๆมากที่สุดนั่นเอง" ... อย่างเวลานี้ หุ้นที่ลงแรงก็เช่น พลังงาน และ ธนาคาร ..ซึ่งตรงนี้ก็ชี้ชัดว่า เจ้ามือ คือ ฝรั่ง ..ตอนนี้เจ้ามือ ต้องถอนเงินไปช่วยบ้านตัวเอง เขาถึงได้ขายทิ้งทุกราคา --- ในส่วนหุ้นบางตัวที่ ราคาไม่ลงเลย มันก็วิเคราะห์ง่ายๆว่า หุ้นนั้นๆ มีรายย่อยอยู่ไม่มากแล้ว เพราะคนที่จะ Panic Sell ส่วนมากก็คือ รายย่อย ...ดังนั้นหุ้นขนาดกลางที่ตกมากๆ ก็แปลว่า รายย่อยกระจุกอยู่มาก ..ส่วนหุ้นที่ลงน้อยๆ แปลว่า เจ้ามือไทยได้ Control หุ้นนั้นๆ อยู่ในกำมือของเขาหมดแล้ว (ตรงนี้มันเป็นมุมที่เราต้องมองในฝั่งของเจ้ามือบ้าง เพราะคนเหล่านี้เขาได้ประโยชน์อย่างมหาศาลในทุกวิกฤต)

3. "เราเห็นโอกาสหรือเราเห็นวิกฤต" ...ในวิกฤตคนส่วนใหญ่จะมองเห็นวิกฤต แต่คนที่ประสบความสำเร็จมักจะเห็นโอกาส ..อย่างที่ผมบอกว่า ตลาดหุ้นมีทั้งขยะและทอง เราต้องหาทองให้เจอ ..ยกตัวอย่างปี 2008 ตอนนั้นตลาดหุ้นลงแรงและเร็วมาก ..กูรูหุ้นหลายๆท่าน "ติดหุ้น" เพราะขายทิ้งไม่ทัน .. ..วิธีแก้ คือ เข้าไปศึกษาธุรกิจของตัวเองมากขึ้น เข้าไปดูว่า จริงๆแล้ว ราคาที่ลงมา มันเกี่ยวกับพื้นฐานของกิจการจริงๆแค่ไหน ..อย่างปี 2008 หุ้นเยอะมาก ราคาลงมาต่ำกว่าพื้นฐานมากๆ ..มันไม่ได้เกี่ยวกับกิจการมากนัก เพราะยอดขายแม้จะลดลงบ้าง แต่โอกาสเติบโตมันยังไปต่ออีกมาก ..แถมปันผลที่ให้แต่ละปี ยังมากกว่าดอกเบี้ยมากมาย ... สิ่งที่ เซียนหลายคนทำ คือ อัด Margin แล้วซื้อเพิ่ม ทำให้วิกฤต 2008 เป็นโอกาสที่ทำให้ Port โตแบบเท่าตัว ทั้งๆที่ในตอนแรก เกือบจะเอาตัวไม่รอด ..."ซึ่งจุดนี้ ผมก็ไม่แนะนำให้ใครทำตาม เพราะมันเสี่ยงมาก ..เพราะถ้าอัด Margin แล้วตลาดเกิดพลิกผิดทางแย่ไปอีก เราก็อาจหมดตัวได้ ...ดังนั้น สุดท้ายมัน กลับมาที่ตัวเราเอง ว่าความเสี่ยงขนาดไหนที่เรารับได้ -- นั่นแหละสำคัญที่สุด!!" --- "คุณศึกษาในสิ่งที่คุณทำมากน้อยแค่ไหน ..แล้วคุณพร้อมที่จะเสี่ยง ในสิ่งที่คุณเชื่อมากน้อยเพียงใด ..คุณต้องตอบให้ได้!!"

4. "คนที่จะก้าวขึ้นมารวย และสำเร็จ" มันไม่ได้มาจากที่คนๆนั้น นั่งคิดเฉยๆ ..เช่นคิดว่า ยังไงตลาดต้องลงต่อ แล้วก็นั่งเฉยๆ ..พอตลาดลงต่อก็ มาบอกว่า "ผมเก่งมากเลย ผมรู้ว่าตลาดจะลงหรือขึ้น" ...คือ แล้วไงล่ะ รู้แล้วไง ..มันไม่ช่วยทำให้คุณรวยหรือจนเพิ่มขึ้นเพียงแค่นั่งคิดเฉยๆ ...ถูกต้อง!! หากคุณเชื่อมั่นในส่ิงที่คุณคิด คุณควรกล้าที่จะใช้เงินของคุณ Bet กับความเชื่อนั้นๆ ..มันจะช่วยทำให้เราหลุดกรอบที่คนส่วนใหญ่เป็นคือ "ถ้ารู้อย่างงี้..." อ่ะนะ (สิ่งที่อยากให้คิดนิดนึงคือ ราคาหุ้นกับพื้นฐานกิจการ มันไม่ได้ขึ้นลงไปด้วยกันตลอดเวลา และส่วนต่างของพื้นฐานกับราคานั่นแหละ ที่ทำให้นักเล่นหุ้นแนว Fundamental หาโอกาสและจุดยืน ในการทำกำไรของตัวเองได้ ...แต่ความ "ถูกแพง ก็ไม่ได้แปลว่า หุ้น ถูกแล้วจะต้องขึ้น ..หรือ หุ้นแพงแล้วจะต้องลง ..เพราะเวลาถูกมันก็ถูกได้อีก เวลาแพง มันก็แพงไปได้อีก ... ดังนั้น สิ่งที่สำคัญมันไม่ใช่การวิ่งหาราคาขายที่สูงที่สุด หรือ มองหาจุดซื้อที่ต่ำที่สุด เพราะทั้งสองจุดนั้น มันเป็นความเพ้อฝัน และไร้สาระที่สุด

..ผมถามจริงๆ ใครกล้าฟันธง โดยเอาชีวิตของตัวเองเป็นประกันไหมว่า พรุ่งราคาจะต้องลงต่อ หรือ ราคาจะต้องขึ้นแล้ว ..ถูกต้อง!! ไม่มีครับ เพราะ ถูกก็ถูกได้อีก ..เวลาแพง ก็แพงได้อีก -- ประเด็นของ การเล่นหุ้นในแนว Value มันจึงเป็นการที่เราเข้าใจ Value ที่เรารับได้ ..."ไม่ใช่ซื้อใน Value ที่คนอื่นบอกว่า ถูกหรือแพง (เพราะถูกของคุณอาจแพงสำหรับผมก็ได้ จึงไม่ Make Sense เลยที่ แต่ละคนจะมานั่งเถียงว่า คุณถูกหรือ ผมถูก) ..ประเด็นมันอยู่ที่คุณต้องมองหา จุดซื้อหรือขาย ที่คุณรับความเสี่ยงได้

..ซึ่งการอ่าน Fundamental ก็เป็นเพียงเครื่องมือที่ช่วยให้เราสามารถเปรียบเทียบ (เน้นว่า "เปรียบเทียบ") ว่าสิ่งนั่นๆถูกหรือแพงในมุมมองเรา ยกตัวอย่าง เวลาผมเล่นหุ้นระยะยาว ผมจะเทียบเงินปันผลกับ ดอกเบี้ยธนาคาร เพราะเงินก้อนนี้ เดิมทีผมวางอยู่ในเงินฝาก ...จากนั้น ถ้าผมพอใจว่า ปันผลดีกว่าเงินฝาก ..ผมก็ต้องมาวิเคราะห์ว่า กิจการมันควรจะเติบโตหรือไม่ ..ซึ่งถ้าคำตอบคือ กิจการมันต้องเติบโตไปเรื่อยๆ นั่นแสดงว่า จุดสูงสุดของราคาหุ้นนั้นๆ ยังมาไม่ถึง ...ถ้าเข้าใจตรงนี้ การแกว่งขึ้นลงของราคา มันไม่ใช่ประเด็น ...จริงไหม!! -- ถามว่า วิธีการเล่นแบบนี้ ผมได้อะไร หนึ่ง ผมได้ผลตอบแทนที่ผมรับได้ นั่นคือ ปันผล มากกว่าดอกเบี้ย และ สอง ผมได้ Capital Gain ในอนาคตข้างหน้า เมื่อกิจการโตขึ้น (เพราะผมไม่ได้จะขายในอีกวันสองวันนี้ แต่ผมจะขายในอนาคตข้างหน้า ...คิดง่ายๆว่า ผมออมเงินในกิจการ แทนออมเงินในธนาคาร ก็เท่านั้นเอง)

ส่วนคนที่ไม่สามารถทนการขึ้นลงของราคา ก็ต้องไปศึกษาศาสตร์ของ Technical Analysis เพราะ Technical เป็น วิชา "สถิติ + ความน่าจะเป็น" ที่ศึกษาการขึ้นลงของราคา ..โดยเอา History ของราคามาศึกษานั่นเอง ...อย่างหนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ และ แกะรอยหยักสมองภาค 3 ผมก็เขียนหุ้นมาเพื่อพยายามสกัด แก่นแท้ของความคิด ว่า Technical และ Fundamental มันมีจุดไหนที่ สามารถใช้ร่วมกันได้ และ แตกต่างในเชิงความคิดอย่างไร "ซึ่งผมบอกได้เลยว่า มันจะตอบคำถาม ว่าเหตุใดคนส่วนใหญ่ เล่นหุ้นแล้วขาดทุน"

5. "อยากให้คิดให้ดีว่า การตกหรือขึ้น ของหุ้นในครั้งนี้ ไม่ว่าจะแรงหรือเบา มันไม่ใช่ครั้งสุดท้าย เพราะ History Repeat itself เสมอ ดังนั้น การตกในวันนี้ ว่าแรงแล้ว ก็จะมีแรงกว่า ...หรือ การขึ้นที่เคยว่าสูงแล้ว ก็จะมีสูงกว่านี้ ..ประเด็นที่อยากให้เราเรียนรู้จากวิกฤตคือ คุณได้ออกแบบการลงทุนของคุณให้พร้อมกับ วิกฤตและโอกาสหรือเปล่า ..หรือ คุณเพียงแค่เข้ามาเล่นหุ้นและลงทุนตามกระแส

...เพราะคิดดีๆนะครับ คนที่จะประสบความสำเร็จในระยะยาวจากตลาดหุ้น ไม่ใช่คนที่มุ่งมารวยเร็วๆ (เพราะมันเจ๊งทุกคน ..สถิติก็บอกอย่างนั้น) ..แต่คนที่สำเร็จ คือ คนที่เรียนรู้จากวิกฤต ที่เข้ามาอย่างสม่ำเสมอ และสามารถ Survive ตัวเองอยู่ในตลาดได้นั่นเอง

... การลงทุนเป็นศาสตร์ของการวางเงินให้ทำงาน ไม่ใช่บ่อนการพนัน -- และคนที่จะกำหนดว่า คุณลงทุน หรือ คุณอยู่ในบ่อน มันก็คือ ตัวคุณเอง (หากเราเปิดใจเรียนรู้จากวิกฤต มันจะเป็นอาจารย์ที่ดีที่สุด และทำให้คุณพร้อมที่จะรับโอกาสในครั้งต่อไป) ..เอาใจช่วยทุกคนครับ แต่สุดท้ายคนที่จะทำให้คุณรวยหรือจน มันไม่ใช่คนอื่น แต่มันคือ ตัวคุณเอง!!

วันพฤหัสบดีที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2554

เรากำลังเผชิญกับอะไรอยู่ !!



ปีนี้นับว่าเป็นปีที่ตลาดมีความผันผวนสุดโต่งจริงๆ แต่ก็ไม่ได้เกินความคาดหมาย เพราะเนื่องด้วยการที่ตลาดหุ้นของเราขึ้นแรง มาตลอดสองปีที่ผ่านมา ..คำถามที่เกิดขึ้น คือ มันแปลว่าอะไร -- จริงๆ ก็แปลว่า มันผันผวนเท่านั้นเอง แต่สิ่งที่เรากำลังเผชิญในภาพใหญ่ก็ยังคงเหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง

ถ้าจะท้าวความถึงปี 2008 ที่เราเจอ Sub-Prime แล้วตลาดเราร่วงลงไปที่ SET 380 จุด .. ณ เวลานั้นผมยังจำได้ว่า กูรู ทุกคนฟันธงว่า มันจะไปถึง Low เดิมเมื่อปี 1997 ที่ 200 จุด ..แต่แล้วมันก็ไม่ได้เป็นเช่นนั้น ช่วงนั้นผมจำได้ดีในช่วงที่มีการปิดสนามปิด .. Volume ในตลาด SET เหลือแค่วันละ 3 พันล้าน ..."พูดง่ายๆ ไม่มีใครซื้อขาย ..แต่ละวันก็มีแต่ข่าวแย่ๆ ..และที่แย่กว่านั้น คือ การเมืองก็ร้อนระอุ แบบที่ว่า ทั้งต่างประเทศก็แย่ ..และในประเทศก็ยิ่งแย่" ...ช่วงเวลานั้น ความผันผวนสุดขีด น้ำมันจากที่พุ่งไป 140 เหรียญ ก็ตกรูดกลับมาที่ 30 เหรียญ ..ช่วงนั้นโรงกลั่น ถึงขั้นกระอักเลือด เพราะขาดทุน Stock อย่างอาน ...ทองก็ร่วงรูด ..แต่มีสิ่งเดียวที่ดีดขึ้นมาคือ ดอลลาร์ "สรุปง่ายๆว่า ณ เวลานั้นไม่มีอะไรดีเลย มีแต่ข่าวร้าย ทุกอย่างเลวร้าย" แถมที่แย่กว่านั้น ดอกเบี้ยต่ำติดดิน ...

จากนั้นตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา SET ก็วิ่งจาก 380 จุด ขึ้นมา 1,000 จุด ...อย่างที่เห็น .. "มาถึงตอนนี้ ทั่วโลกกำลังวิตกว่า หนี้ยุโรป และ สหรัฐ จะไม่รอด" ก็ทำให้หลายๆคน คาดการณ์ว่า โลกเราอาจจะกลับไปสู่ Double Dip เหมือนอย่างปี 2008 เหมือนเดิม

"ผมขออธิบายในเรื่องของเงินดอลลาร์ นิดนึงว่า ..ณ ปัจจุบัน เงินดอลลาร์ก็ถือเป็นสิ่งที่คนวิ่งหาเป็นอันดับหนึ่งเวลาเกิดวิกฤต นั่นเป็นการอธิบายปรากฏการณ์ของปี 2008 ที่เมื่อเกิด Sub-Prime ทั่วโลกทิ้งทุกอย่างแล้ว กระโดดเข้าถือ ดอลลาร์ ..แต่นั่นเป็นแค่ช่วงสั้นๆ เพราะแท้จริงแล้วในภาพใหญ่ ดอลลาร์ลดมูลค่าในอัตราเร่ง (ตั้งแต่ปี 1971 หลังจาก US ถอดค่าเงินดอลลาร์ออกจาก Gold Standard คือ เรียกว่า สามารถพิมพ์เงินโดยไม่ต้องมีทองมารองรับ ..และที่แย่กว่านั้น คือ ธนาคารกลางทั่วโลก สามารถถือดอลลาร์เป็น Reserve แทน "ทองคำ" ได้ ...ถ้าคุณไปเปิดบัญชี Foreign Reserve ของประเทศต่างๆดู คุณจะตกใจว่า ประเทศอเมริกาและยุโรปเอง ไม่ได้ถือ ดอลลาร์เป็นเงิน Reserve แต่ถือ "ทอง"(ฮึม!! โคตรชั่วเลย..ดูในภาพครับ) ... ส่วนประเทศที่ถือ ดอลลาร์เป็น Reserve มากที่สุด คุณคงพอจะเดาได้ ..ใช่!! จีน ..ตามมาด้วย พวกอาหรับ และก็ ASEAN นี่แหละ

(ประเด็นคือ ประเทศอเมริกา ค้าขายขาดดุลตลอด แต่ประเทศเอเชีย และก็อาหรับ เราก็ยอมรับดอลลาร์แต่โดยดี ..ปัญหาคือ ดอลลาร์มันลดมูลค่าในอัตราเร่ง เพราะตั้งแต่ 1971 เป็นต้นมา อำนาจการซื้อของเงินดอลลาร์ ลดลง 90 กว่าเปอร์เซ็นต์ -- ดังนั้น ไม่น่าแปลกที่ในอีกไม่ถึง 10 ปี ข้างหน้า เงินดอลลาร์ อาจลดอำนาจซื้ออีก 10% ที่เหลือ ...แต่แน่นอน เงินดอลลาร์เป็น 0 ไม่ได้ เพราะมันเป็นสกุลเงินที่ใช้เป็นสื่อกลางในการค้าขาย อยู่ในปริมาณ 70% ของทั้งโลก ..มันเป็นเงินของโลก ดังนั้น ดอลลาร์ยังต้องใช้อยู่ ..เพียงแต่มูลค่ามันจะยิ่งลดลงในอัตราเร่ง เท่านั้นเอง)

สิ่งที่หลายๆคนสงสัยคือ เมื่อดอลลาร์ลด แล้วอะไรเพิ่ม ..ก็ Asset ต่างๆนี่แหละครับ ที่จะเพิ่ม

สิ่งที่สะท้อนเงินเฟ้อได้เห็นชัดที่สุดคือ "ราคาทอง" ในปี 1971 ตอนที่ Nixon ยกเยิก Gold Standard ตอนนั้นทองมีมูลค่า 35 เหรียญต่อ 1 oz. แต่ปัจจุบันทะลุ 1,800 เหรียญไปเรียบร้อย (คิดดีๆว่า จริงๆแล้ว อำนาจการซื้อของทอง มันแค่ไม่ได้ลดลง แต่เงินดอลลาร์มันลดมูลค่า ..เราจึงเห็นราคาทองพุ่งกระฉูด แต่ทองหนึ่งก้อนเมื่อ 30 ปีแล้ว ใช้ซื้ออะไรได้ ปัจจุบันมันก็ยังคงซื้อได้เท่าเดิม ... แต่เงินคุณต้องเอามากองเท่าภูเขา ถึงจะซื้อของได้เท่ากับเมื่อ 30 ปีก่อน) -- นี่คือ ภาพที่เกิดขึ้น และทวีความรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ

ครับ!! สิ่งที่ เรากำลังเผชิญ อยู่ในปัจจุบันคือ "เงินเฟ้อ" ...จริงๆแล้ว หุ้น และ Asset ต่างๆ รวมทั้งทอง เป็นเพียงหนึ่งใน Instrument ที่ช่วยให้เรา สามารถพยุงความโหดร้ายของสงครามการเงินในครั้งนี้ ..เพราะอย่างน้อย เมื่อเงินลดมูลค่า ..สิ่งที่เพิ่มมูลค่าก็คือ Real Asset ..."ซึ่งตรงนี้มันอยู่ที่แต่ละคนแล้ว ว่ามีความชำนาญในการลงทุนใน Asset ใด ..สิ่งนั้นก็จะช่วยแต่ละคนอยู่รอดได้ดีนั่นเอง"


ตัวผมเอง ชอบหุ้น เพราะผม ศึกษา Fundamental แล้ว สามารถหาค่าว่า ผลตอบแทนที่ผมรับได้คืออะไร เมื่อเทียบกับการลงทุนที่อื่น เช่นในเงินฝาก ...ดังนั้น เมื่อผมเห็นราคาและความเสี่ยงที่รับได้ ผมก็แค่เอาเงินวางในหุ้นในเวลาที่ดี ก็สามารถให้ผลตอบแทนที่ดีได้ ในระยะยาว

ปัญหาของอเมริกาในเวลานี้ คือ "ค่าเงินมันแพงไป" ..ทำให้ นำเข้า มากกว่า ส่งออก ...ทางแก้คือ De-value ค่าเงิน แต่ถามว่า "จีน" จะยอมหรือ ..ไม่มีทาง เพราะถ้าจีนยอมให้ US ลดค่าเงิน การส่งออกของจีนจะเน่า ..อเมริกาจะดีทันที เพราะ เมื่อค่าเงินดอลลาร์อ่อนมากๆ การส่งออก US ก็จะดี ..อัตราการว่างงาน ซึ่งเป็นหัวใจของวิกฤตที่แก้ไม่ตกในครั้งนี้ ก็จะได้รับการเยียวยาทันที .."แต่ มันไม่ได้ง่ายเช่นนั้น เพราะ ทั่วโลก ก็ยังคงผูกค่าเงินไว้กับดอลลาร์อยู่ดี ..." -- ดังนั้น ภาพใหญ่ที่เกิดขึ้น ก็คือ ค่าเงินทั่วโลก กอดคอกันตาย ... ส่ิงที่ต้องพุ่งมหาศาลนั้นคือ Asset ต่างๆ ...

ภาพใหญ่คือ พื้นฐานเศรษฐกิจในเอเชียเรายังดี เพราะ อย่างที่บอกว่า การค้าขาย เราส่งออกมากกว่านำเข้า ซึ่งจะส่งผลให้ "ค่าเงิน" ของเรา ดูดีกว่า อเมริกาและยุโรป ...อัตราการว่างงาน อย่างในประเทศไทยเอง เรามีอัตราการจ้างงานเกือบ 100% นั่นแปลว่า เรามีเศรษฐกิจพื้นฐานที่อเมริกาและยุโรปอิจฉา ...สิ่งที่เราส่งออกไปยุโรปและอเมริกาส่วนมากก็ไม่ใช่ของ Luxury แต่เป็นสินค้าอุปโภคบริโภคที่ต้องกินต้องใช้ ..ดังนั้น ถึงอเมริกาและยุโรปแย่เพียงใด ก็ไม่สามารถหยุดบริโภคทั้งหมด(ส่วนที่ขายไม่ได้ ก็บริโภคกันเอง!!).. ในส่วนของ ASEAN และจีนเอง ก็เริ่มพัฒนาจาก Inside-Out คือ ตอนนี้เริ่มเน้นการบริโภคภายใน ..นั่นหมายความว่า ถ้านโยบายเหล่านี้สำเร็จ เราจะกลายเป็น Consumption Engine ของโลก เพราะด้วยประชากรของ ASEAN เอง ก็ 600 ล้านคน รวมกับ BRIC อีก 3,000 ล้าน เท่ากับว่า ..การเติบโตของโลกในอีก 10 ปีข้างหน้า ต้องมาจาก ซีกโลกตะวันออก อย่างแน่นอน

"ถามว่าอเมริกา และยุโรป ต้องการให้เอเชียเราขึ้นมายิ่งใหญ่ไหม ..แน่นอน ไม่ต้องการ จึงพยายาม สร้างความวุ่นวายในโลกการเงิน ..และพยายามลด Credit Rating ต่างๆ ..พูดง่ายๆว่า ถ้าเตะสกัดขา เอเชียได้ก็จะทำทุกวิถีทาง"..แต่อย่างไรก็ตาม ภาพใหญ่ที่เกิดขึ้น มันก็คงไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะสุดท้ายพื้นฐานมันก็จะสะท้อนราคาที่แท้จริง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลาเสมอ !! ...อย่างปี 2008 แน่นอน หุ้นร่วงทั้งโลก แต่หลังจากนั้นไม่นาน เอเชียเราก็เด้งกลับมาอย่างรวดเร็ว ... รอบนี้ ผมไม่รู้ว่าจะร่วงขนาดไหน(อาจแรงมากก็ได้) แต่สุดท้าย เวลาเด้งกลับมา เราก็จะเป็นพระเอกเช่นเดิม "ดังนั้น ในแต่ละรอบ ก็สร้างเศรษฐีเอเชียรุ่นใหม่เสมอ ..เพราะในวิกฤต มันมีโอกาสไง!!"

การเพิ่มขึ้นของ การบริโภคของ ซีกโลกตะวันออก จะเป็นการสร้างกลุ่ม Middle Class ขึ้นมาจำนวนมาก ซึ่งสิ่งที่สำคัญคือ คนชั้นกลางจะบริโภค Commodity และ อาหารในปริมาณที่สูง ..ประกอบกับ Global Warming เราจะเจอภาวะการผลิต Supply หดตัว ...และนั้นจะเป็นตัวกระตุ้นในอีกด้านของราคา Commodity และ อาหาร ที่จะเป็นตัวกระตุ้น เงินเฟ้อ ในอีกด้าน!!

นี่แหละครับ จุดเริ่มต้นของ Asean Miracle 2 "มันกำลังเกิดขึ้น ... 10 ปีจากนี้ Asset ที่ดี จะเป็น The Winner และคนที่เข้าใจ จะเห็นโอกาสการลงทุน ..ส่วนเงินเฟ้อจะกระฉูดสุดๆ"

"เตรียมตัวกันให้ดีนะครับ เพราะ เรากำลังสู้กับ โลกที่เงินเฟ้อสุดโต่ง ในไม่ช้า" ...สู้ สู้ครับ ...

วันอังคารที่ 20 กันยายน พ.ศ. 2554

ภาวะเยี่ยงนี้ "กระอักกระอ่วม!!"



ณ วันที่เขียน 20 กันยายน 2011 ..."รายงานภาวะสด ตอนนี้อารมรณ์ของตลาดในเวลานี้ Bearish มากๆ เรียกได้ว่า เวลานี้ หมีเริ่มตระปบ กระทิงคว่ำไปแล้ว ...มันเป็นอารมณ์ที่คนส่วนใหญ่ เริ่มกลัวว่าหนี้ยุโรป และ วิกฤตสหรัฐ จะเข้าสู่ภาวะ Double Dip อีกครั้ง"

ผมมีสัญญาณต่างๆที่อยากให้ดู

1. Volume การซื้อขายในตลาดเริ่มเบาบางลง ... แปลง่ายๆว่า คนที่อยากขาย ได้ขายไปเยอะแล้ว ..ส่วนคนที่จะซื้อ ก็ยังไม่กล้าซื้อ "ทุกคนรอเชิงกันอยู่!!"

2. หุ้นที่มีเจ้า (ไอ้ที่มันแรงๆน่ะ) ..ตอนนี้เจ้า ไม่กล้าทำอะไรกับหุ้นตัวเอง ทำให้ Volume มันน้อย แต่ราคาดิ่งลง ..."พูดง่ายเจ้าเขาชัก Bid ออก ก็เหลือแต่รายย่อยที่ Offer ต่ำลงเรื่อยๆ" ...ราคาก็เลยไหล ลง ไหล ลง "จนรายย่อยอึดอัด ถึงขีดสุด.. สุดจ๊าก!! ว่างั้น"

3. ในส่วนของ Technical ราคาของ SET เองติดอยู่ที่ประมาณเส้น EMA 233 วัน (คือจะหลุดไม่หลุดแหล่ ..คำถามคือ ถ้าหลุดอะไรจะเกิดขึ้น ... ก็ง่ายๆ จะมีนักเทคนิค ขา Short ที่รอ อัดเต็ม ..คือ ถ้าหลุด ก็ได้ลงแรงกันอีกระรอก!!)..แต่ถ้าไม่หลุด ก็ไม่หลุด "ก็แค่นั้น ..จะเป็น Technical แล้วมาทำนายการขึ้นลงของราคาก็บ้าดิ ..เจ๊ง!! (ต้อง Trend Following อย่างมีวินัยเท่านั้น ..."ตลาดขึ้น ตู Long ตาม ..ตลาดลง ตู Short ตาม" ..กินตามน้ำ)"

4. ในส่วนของพื้นฐาน ราคาหุ้น Blue Chip หลายๆตัว ลดลงมาอย่าง "ถูก" ..โดยเฉพาะกลุ่ม พลังงาน และ ธนาคาร ซึ่งเป็นหุ้นที่ฝรั่งเล่นเป็นส่วนใหญ่ ..ดังนั้น พอฝรั่งขายหนีตายเอาเงินกลับไปอุดวิกฤตบ้านตัวเอง เขาก็จำใจทิ้งทุกราคา -- นี่แหละเป็นเหตุให้ราคาของหุ้นกลุ่มนี้ ตกลงมาจน "ถูก"

5. "หุ้นถูก ไม่ได้แปลว่า ซื้อแล้วต้องขึ้น ..อันนี้เป็นประเด็นที่รายย่อยมือใหม่ ไม่เข้าใจ ..นึกว่าซื้อหุ้นถูก จะต้องขึ้น ..ไม่ใช่!! ไม่ใช่เลย ..การซื้อหุ้นถูก คือ ซื้อหุ้นขาลง ..ดังนั้น ซื้อแล้วลง ถ้าทำใจไม่ได้ "อย่าซื้อ" ...ให้ไปศึกษา Technical จากนั้นรอซื้อเมื่อขึ้นแล้ว (ดูกราฟที่ผมลาก) ..จะซื้อแล้วลุ้นว่า ซื้อแล้วอาจขึ้นเลย ก็ต้องซื้อเมื่อราคาเลยเส้นแดงไปแล้ว -- "จ๊าก!! แม่เจ้า พี่ครับ ..ถ้าซื้อเส้นแดง มันแพงกว่า ซื้อตอนนี้ตั้งเกือบ 40 บาท ทำไมไม่ซื้อตอนนี้เลยล่ะครับพี่ครับ!!" --- คำถามนี้โลกแตก ..ตอบง่ายๆ คือ ถ้าซื้อตอนนี้ คุณได้หุ้นราคาถูกจริง แต่คุณก็ต้องทนได้ หากซื้อแล้วลงต่อ (ซึ่งมือใหม่ ส่วนใหญ่ ไม่เข้าใจ คือ ดันซื้อตอนนี้ พอลงต่อ ก็ทนไม่ไหว ก็ไปขายต่ำกว่าที่ซื้อ ก็เจ๊งดิ!!) ...ดังนั้น คนที่ซื้อแล้วอยากลุ้นว่า ซื้อแล้วขึ้นเลย ..ไม่ใช่ซื้อเวลานี้ ..ต้องรอให้ราคามันขึ้นก่อน แล้วขึ้นไปทะลุเส้นแดง แล้วยืนได้ .."นั่นแหละที่นัก Technical เขาเล่นกัน ... คิดดีๆครับ นัก Technical เขารอซื้อหุ้นแพง แต่ซื้อแล้วก็ลุ้นขึ้นเลย"

6. "กองทุน" ในเวลานี้ ก็กล้าๆกลัวๆ เพราะ ไม่มีใครชัวร์ว่า อะไรจะเกิดขึ้น ..จึงอยู่ในภาวะ เตรียมตัว แต่ไม่ Action ... แต่ถ้าตลาดเริ่มมา ..สัญญาณว่าอาจจะกลับตัว พวกพี่กอง ก็จะ "จัดเต็ม" ..ตรงนี้เป็นการอธิบายว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ที่รอซื้อหุ้นต่ำสุด ไม่เคยได้ซื้อ -- ถูกต้อง!! พี่กอง ..เขาซื้อก่อนคุณอยู่แล้ว ...จากนั้นพอพี่กองซื้อ ราคามันก็กระชากขึ้นแรง ...รายย่อย ก็จะร้องออกมาว่า "รู้งี้....!!!!!"

7. เขียนข้อสังเกตมาตั้ง 6 ข้อ ก็น่าจะช่วยให้เพื่อนๆ นักลงทุนเห็นภาพอะไรชัดเจนขึ้น .... เพราะสุดท้ายอย่างที่ผมพูดเสมอคือ จะเล่นแนวไหน มันก็เล่นได้ทั้งนั้น แต่ที่สำคัญกว่า คือ คุณเข้าใจแก่นของแต่ละแนวทางของตัวเองมากน้อยเพียงใด ...และที่สำคัญกว่านั้น คือ คุณต้องแน่ใจว่าแนวทางการลงทุนนั้นๆ มันเหมาะกับ จริต หรือ นิสัย ของตัวคุณเองหรือเปล่า -- นั่นแหละสำคัญที่สุด

ก็ฝากเอาไว้ ให้คิด ให้มีสติ ...ตลาดหุ้นมีสองด้านเสมอ ... "เวลาคุณขายก็มี อีกคนซื้อ -- เวลาคุณซื้อ ก็มีอีกคนขาย" ... และอย่าคิดว่า คนที่อยู่ฝั่งตรงข้ามของคุณโง่ ..เพราะสถิติบอกมาว่า 80% ของตลาด เล่นหุ้นแล้วเสียเงินเสมอ ..นั่นแปลว่า ไอ้คนที่อยู่อีกฝั่งนึงของคุณ มันก็คือ 20% ที่ได้เงินจากตลาดหุ้น

"ให้เวลา และ โอกาส ในการศึกษาตลาดและตัวเอง ... ผู้ที่จะสร้างให้คุณมั่งคั่ง หรือ เจ๊ง!! --- ไม่ใช่เพื่อนคุณ ไม่ใช่ Broker แต่มันคือ ตัวคุณเอง" --สุดท้าย ฝากวลีเด็ดที่สุดในตลาดหุ้น ให้ไปคิดกัน

....รู้อะไรไม่สู้ ..."รู้งี้ !!!!!" (แม่เจ้า -- มัน Classic ตลอดกาล)

วันอาทิตย์ที่ 18 กันยายน พ.ศ. 2554

เวทีที่คุณสร้างเอง (เก็บตกสัมมนา)


"สัปดาห์ที่ผ่านมา เป็นสัปดาห์ที่ผม งานเข้า!! อย่างหนัก"... จะว่าไปแล้วปีนี้ ถือเป็นปี ที่ผมเดินสายเป็นวิทยากรให้กับองค์กร และ มหาวิทยาลัยต่างๆมากมาย แต่ความเจ๋ง มันไม่ใช่การ ยืนทำหล่อ แต่มันเป็นการ "ให้และรับ" ..ถูกต้อง!! ทุกครั้งที่ผมให้ความรู้คนอื่น ผมก็รับ ในเวลาเดียวกัน

Hi-Light ของ week ที่ผ่านมามี 2 งาน -- งานแรก คือ "ผมได้รับเชิญให้เป็นวิทยากรภายใน ให้กับธนาคารกรุงเทพของผมเอง ..แต่ที่ทำให้ผมภูมิใจ เพราะกลุ่มคนที่ฟังผมพูดไม่ใช่คนธรรมดา แต่เป็นผู้บริหารระดับสูงของธนาคาร 40 คน ..แน่นอน!! หนึ่งในนั้นมี แม่ของผมด้วย ซึ่งท่านก็เป็น หนึ่งในผู้บริหารระดับสูงขององค์กรแห่งนี้" ...การพูดในครั้งนี้ ได้รับคำชมอย่างดีเยี่ยมจากท่านผู้บริหารระดับสูงหลายๆท่านว่า "ภาววิทย์ คุณเยี่ยมมาก!!" ...มันทำให้ผมย้อนคิดทบทวนเลยว่า ผมก้าวมาถึงจุดนี้ได้อย่างไร -- ฮึม!! ใช่ ผมมุ่งสร้างและทำในสิ่งที่ผมชอบ นั่นคือ "การลงทุน" และผมทำให้ความสามารถของผมนี้ ได้รับการยอมรับจากคนภายนอก ..จากนั้นเมื่อคนภายนอกยอมรับ ..มันถึงเข้าสู่ Step ที่คนภายใน ถึงจะยอมรับ -- อุ๊แม่เจ้า!! ฟังแล้วเหนื่อย แต่มันเป็นวิธีการ "ป่าล้อมเมืองที่ใช้ในตำราพิชัยสงคราม มาไม่รู้ก็ยุคกี่สมัยแล้ว"

งานที่สอง เป็นงานภายนอก ..นั่นคือ การที่ผมได้รับเชิญจาก มูลนิธิไทคม ให้เป็นตัวแทนของอาชีพนักลงทุนที่ไป "พูดสร้างแรงบันดาลใจให้กับนักศึกษาที่เชียงใหม่ งาน This's my Future" ...ผมเลือกเอา กฏความลับเหนือจักรวาล แห่งความสำเร็จที่สอนกันมานับพันๆปี ..."นั่นคือ คือ อิทธิบาท 4 ... ทางแห่งความสำเร็จ ที่ยังคงทันสมัย ไม่แปรเปลี่ยนตามกาลเวลา"

งานนี้ผมเล่าให้น้องๆฟังว่า ผมเป็นคนที่มีอาชีพอยู่ 4 อาชีพ และก็ยังคงทำอยู่ทุกอาชีพ ...สองอาชีพแรก เป็นอาชีพที่เริ่มจากฐานของครอบครัว ..ใช่!! การที่ผมไปเปิดร้านอาหาร และ โรงงานกระจกในออสเตรเลีย มันเป็นแนวคิดของลูกคนรวยทั่วๆไป ที่คิดว่า ธุรกิจมันต้องเริ่มจาก มีเงินหนึ่งก้อน แล้วก็วิ่งไปหาโอกาส ..ครับ!! ผมวิ่งไปหาโอกาส ของธุรกิจถึง ออสเตรเลีย และผมก็เจอโอกาส .. มันคือ โอกาสในการสร้างกิจการร้านอาหารไทย ซึ่งใช้เงินครอบครับผมเอง ในสัดส่วนที่มาก อย่างน่าเขกกระโหลกตัวเอง "ไร้ประสบการณ์ แต่กล้าเปิดขยายร้าน ใหญ่โต ไปถึง 5 สาขา ในเวลาเพียงไม่ถึง 5 ปี ... ผมมองตัวเอง ว่า กูจะต้องเป็น แมคโดนัลด์ แห่งอาหารไทยเป็นแน่แท้" ...แต่แล้วโลก แห่งความจริง(อันโหดร้าย) ก็สอนให้ผมให้ผมรู้ว่า โลกนี้ มันมี Cycle ..."มีขึ้น ย่อมมีลง ...ธุรกิจมีขาขึ้น และ ก็มีขาลง -- ถูกต้อง!! พวกมนุษย์ไร้ประสบการณ์ ชอบขยายและเปิดธุรกิจใน Cycle ขาขึ้น ..ส่วนมนุษย์ที่มีประสบการณ์ จะรอให้ธุรกิจเข้าขาลง แล้วค่อยมาซื้อกิจการ หรือ เซ้งกิจการต่อจาก มนุษย์ไร้ประสบการณ์ อีกต่อนึง"

วันนั้นทำให้ผม รู้ว่า ในโลกนี้ มันมีคนที่นั่งอยู่บนหัวของนักธุรกิจอีกทีหนึ่ง "ถูกต้อง.. มันคือ นักลงทุนนั่นเอง ... เพราะนักธุรกิจ ยิ้มแย้มเวลาธุรกิจขาขึ้น และก็นั่งน้ำตาไหล เวลาธุรกิจเข้าขาลง ... แต่พวกนักลงทุน ไม่ใช่ ..พวกนี้ ทำกำไรทั้งขาขึ้นและขาลง ..แถมที่มันเด็ดกว่านั้น มันเป็นธุรกิจที่รวยจากเงินคนอื่น OPM (Other People Money) และที่เด็ดกว่านั้นอีก!! -- มันเป็นโลกสมบูรณ์แบบของภาพจำลอง ของระบบทุนนิยม เพราะเกมของ OPM มันคือ The Winner Take All !! ..ผู้ชนะ กินทั้งโต๊ะ .."ใช่!! คนที่บริหารเงินเก่งที่สุด ก็จะได้รับการไว้วางใจจากเงินทั้งหมด และ นั่นทำให้ผม คลิ๊ก!! ว่า ..ใช่แล้ว ..ผู้ชนะในโลกของการลงทุน ก็คือ ผู้ที่พัฒนาตัวเองให้เป็นสุดยอดของ การลงทุนนั่นเอง .."

"จากนั้น ผมกำมือแน่น และเดิน เข้าไปในความมืด... " (ครับ!! ผมเดินทางสู่ อาชีพที่สอง ..อาชีพที่เกิดจาก Connection ของครอบครัว ... อาชีพ Banker (ลูกจ้างธนาคารกรุงเทพนั่นเอง) ...หลายคนอาจดูว่า ..โห!! เซ็งเป็ด ทำมาสองอาชีพแล้ว ก็เริ่มจากฐานของครอบครัวทั้งนั้น

...ใช่!! สองอาชีพแรก ผมอาศัยฐานของครอบครัวเต็มๆ และก็คิดแบบเด็กๆ .. นั่นคือ คิดว่า โอกาสมันเป็นสิ่งที่เราต้องวิ่งไปหา แล้วต้องใช้เงินมากๆ ของตัวเอง แล้วเสี่ยงสุดๆ เพื่อที่จะสร้างธุรกิจ ...

"จากนั้น อาชีพที่ 3 และ 4 ของผม ก็เร่ิมขึ้น .. มันคือ อาชีพ นักเขียน และ นักลงทุน" ... ผมใช้เวลาคิดอยู่นาน หลังจากผ่านมรสุมของชีวิต จนคิดได้ว่า ...ความสำเร็จ มันต้องเกิดจาก "อิทธิบาท 4" คือ เร่ิมจาก "ฉันทะ" คือเริ่มจากสิ่งที่เรารัก ..และต้องมี "วิริยะ" คือ ต้องมีความอดทน ในงานที่รัก เพราะความสำเร็จ ไม่มี Overnight Success ..มันต้องอาศัยเวลาและความอดทน .. จากนั้นต้องมี "จิตตะ" นั่นคือ ความหมกมุ่นในสิ่งที่ทำ ..ฝรั่งใช้คำว่า Passion ...ซึ่งตามหลักพุทธศาสนา หากคุณทำอะไรอย่างมี Passion เหมือนอย่างเจ้าของ Starbucks ที่กล่าวว่า การชงกาแฟแต่ละแก้วของเขา ก็คือ Pour Your Heart into it !! นั่นแหละคือ Passion ที่ก่อให้เกิดสมาธิ ... และเมื่อรวมกับข้อสุดท้าย "วิมังสา" ก็คือ การมุ่งค้นหาเหตุผลในสิ่งที่ทำ ..ในจุดนี้ มันก็คือ การที่เราต้องรู้จริงในสิ่งที่ทำ ..ข้อนี้คือ การค้นหาคำตอบในสิ่งที่ทำด้วยตัวเอง จนเกิดสิ่งที่เรียกว่า "ปัญญา"

ทั้งหมดที่กล่าวมา รวมเรียกว่า "อิทธิบาท 4" และนั่นก็คือ ความลับสุดขอบฟ้า ที่เราชาวพุทธ ควรยึดถือปฏิบัตินั่นเอง

ครับ!! อาชีพใหม่ สองอาชีพ นั่นก็คือ อาชีพนักเขียน และ นักลงทุน เป็นสิ่งที่ผมค้นพบ ว่าผม ชอบ ..และ ผมหมกมุ่น ..ผมอยากทำให้ดี ..และที่สำคัญผมมุ่งศึกษา อย่างจริงจังในทุกแนวทางของการลงทุน ทั้ง Fundamental และ Technical ..จนผมรู้ว่า แท้จริงแล้ว การค้นหาตัวเอง ให้เหมาะสมกับ แนวทางการลงทุน เป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด และสิ่งนี้ก็เป็นสิ่งเดียวที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ไม่เคยให้ความสำคัญเลย ... ทุกคนที่เข้ามาลงทุน มุ่งจะหาแต่ทางที่รวยเร็ว ...ซึ่งมัน ไม่มี !! .. เพราะถ้าเปรียบการลงทุน มันก็ไม่ต่างจากการปลูกต้นไม้สักต้น .. ซึ่งกว่าเราจะปลูกให้ต้นไม้นี้โตพอที่จะออกดอก ออกผล ก็ต้องอาศัยเวลาที่ยาวนาน -- แต่คนส่วนใหญ่ กลับมองไปที่การเร่งให้โตไวๆ ให้ออกลูกไวๆ ..หรือ แม้แต่ เด็ดทั้งต้นมากินเลย ..มันช่างเหมือนการ ปลูกถั่วงอกสิ้นดี !!

"ในงานสัมมนา ผมได้พูดถึง การลงทุนของคนส่วนใหญ่ ที่ไม่ Make Sense เอาเสียเลย ... เพราะถ้าว่ากันจริงๆแล้ว การเล่นหุ้น มันง่ายกว่าการแทงสูงต่ำเสียอีก เพราะมัน มีแค่ "ขึ้นกับลง" ... เพียงแค่เราเอาสถิติของคนเล่นหุ้นมาดู ก็จะพบว่า คนส่วนใหญ่ นั่นคือ 80% ของคนที่เข้ามาลงทุน ขาดทุน ก็เพียงพอที่จะรู้ว่า คนส่วนใหญ่ เขาก้าวไม่ผ่าน "Mind Trap" มันคือ กับดักทางความคิด

... คือ ถ้าคิดง่ายๆ ว่าคน 80% ที่ขาดทุน ถ้าเขาเล่นหุ้นให้ฉลาดกว่าที่เขาเล่น ......คือถ้าเขาเปลี่ยนมาเล่นหุ้นแบบโยนหัวก้อย ..โอกาสความสำเร็จ ยังได้ตั้ง 50% เลย ..ถูกต้อง!! มันดีกว่าสถิติตลาด ที่ 80% ขาดทุน ... ตรงนี้มันชี้ให้เห็นว่า คนส่วนใหญ่ ซื้อหุ้นในเวลาที่ควรจะขาย ..และขายหุ้นในเวลาที่ควรจะซื้อ "ฟังดูบ้า ..แต่มันคือของจริง!!"

จากการจัดสัมมนาที่ Stock2morrow ผมจะให้ความสำคัญ กับ "Mind Set" เป็นอันดับแรก เพราะ ถ้าคุณไม่เข้าใจตัวเอง ..จะลงทุนอีกกี่ชาติ ก็เจ๊ง!! -- ฮ่า ฮ่า นี่เป็นเหตุผลที่ ผมได้เขียนหนังสือ การลงทุน ที่ดีที่สุดในประเทศ 4 เล่ม...555 (เริ่มฮากันทั้งงาน This's my Future) นั่นคือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านภาค 1 และ 2 ที่เจาะสมอง Value Investor ..ส่วน แกะ 3 และ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ มันเป็นการ เจาะสมอง Mind Set ของ Technical Analysis

ฮึม!! อ่ะนะ ..ด้วยความเป็นนักการตลาดในสายเลือด ผมไม่วายปิด งาน Talk Show ด้วยการ ขายหนังสือ และ สัมมนา ...แต่สิ่งที่สำคัญที่ขาดไม่ได้ของนักธุรกิจ ผมว่า มันคือ สินค้า "เพราะสุดท้าย Product & Service มัน Speak For Itself ...สินค้าที่ดี คือ ผู้บริโภค จ่ายเงิน แล้วรู้สึกคุ้มค่าเงิน -- คือสิ่งที่เขาได้รับ มันมากกว่าเงินที่เขาจ่ายไป ..นั่นแหละ win-win และยั่งยืน" ....วันนี้สังคมเปลี่ยนไป ..ผู้ที่จะประสบความสำเร็จในชีวิต ไม่ใช่ผู้กอบโกย ฝ่ายเดียวอย่างที่เคยเป็น ..แต่ผู้ที่จะรวยและประสบความสำเร็จมหาศาล ในโลกอนาคต คือ คนที่ยืนอยู่บนหลักการของ "ยิ่งให้่ ยิ่งได้"

ครับ!! คนที่จะรวยมากๆ ก็คือ คนที่สามารถสร้างประโยชน์ให้ผู้อื่นได้มากนั่นเอง .. ยิ่งถ้าคุณสามารถสร้าง สินค้า หรือ บริการ ที่สร้างประโยชน์จนถึงขั้นเปลี่ยนชีวิตคน ... "นั่นแหละ ทางแห่งความสำเร็จแบบสุดๆ" .... คนที่จะรวยและสำเร็จ ..จงมุ่งสร้างประโยชน์ และเปลี่ยนชีวิตผู้คน ในทางที่ดีขึ้น

(ก่อนจบการสนทนา ผมได้ฝากประโยคนึงไว้ว่า) .."การที่ผมได้มายืนในจุดนี้ เวทีนี้ ไม่ใช่เขาเลือกใครก็ได้ ..แต่เป็นเพราะผม สร้างให้ตัวเอง เหมาะสมที่จะถูกเลือกให้ขึ้นมาอยู่บนเวทีนี้ต่างหาก ... โอกาส ไม่ได้เกิดจากความฟลุ๊ก ..แต่โอกาสมันเกิดจาก การที่เราพัฒนาความสามารถของเราให้เก่งที่สุด ในสิ่งที่เรารัก และทำมันให้ดีที่สุด ..และนั่นก็คือ โอกาสที่ผมสร้างเอง!!" .... คนที่ยืนอยู่บนเวที กับ คนที่อยู่ข้างล่าง -- คุณรู้ไหมว่า มันคนละความรู้สึก ..แต่ให้นึกเสมอว่า เวที มันมีจำกัด เพราะผู้ให้ ย่อมมีน้อยกว่าผู้รับเสมอ ..จึงไม่แปลกที่ ผู้ให้ ก็คือ ผู้นำ และ ผู้นั้น ก็คือ ผู้ที่จะประสบความสำเร็จ .... ผมขอฝาก หลักการประสบความสำเร็จ อีกข้อ ให้ใช้กัน "ยิ่งให้ คุณก็ยิ่งได้ครับ" !!

-- การสร้างโอกาส ก็คึือ การพัฒนาความรู้ของตัวเอง จนเกิดปัญญา!!


วันอาทิตย์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2554

ความเข้าใจที่ผิดพลาด หายนะของผู้เริ่มต้น



"ช่วงนี้ ผมได้เดินสายไปให้ความรู้ตามสถานศึกษาต่างๆ ..ก็รู้สึก In มาก" ... เพราะ สิ่งที่ผมว่า มันสามารถเปลี่ยนชีวิต และสร้างความมั่งคั่งอย่างแท้จริงให้แก่เรา -- เริ่มที่ "Mind Set"

... วันนี้ไปหยิบนิตยสารเล่มนึงมาดู ..เขาลงเรื่องของ องค์กรธุรกิจต่างๆ เช่น CP ,Nation ,Central เริ่มเข้ามาเปิดหลักสูตร หรือ มหาวิทยาลัยเอง เพราะมองว่า "การศึกษาในระบบไม่ตอบโจทย์" ...อันนี้ผมเห็นด้วยครึ่งเดียว เพราะจริงๆ การศึกษาทุกที่ สอนให้ "อดทน" ซึ่งเป็น ปัจจัยเบื้องต้น ที่ผู้ประสบความสำเร็จทุกคนพึงมี .. แต่หลังจากนั้น ผมมองว่า มันอยู่ที่ตัวของนักศึกษาเอง ที่จะต้องเอา ความรู้ ไปลองผิดลองถูก ดูว่า "ความรู้นั้นๆ เหมาะกับตัวเองหรือไม่"

-- และจุดนี้เอง ที่ผมสนใจ อยากเข้ามามีส่วนร่วม -- นั่นก็คือ การให้ Mind Set ที่ถูกต้อง สู่ความสำเร็จในอาชีพต่างๆ ..แน่นอน "การลงทุน" เป็นเพียงอีกอาชีพหนึ่ง แต่ที่น่าสนใจคือ มันเป็นอาชีพ ที่สามารถเลือกได้ว่า "เราจะทำงานเพื่อเงิน และก็ ให้เงินทำงาน ได้พร้อมๆกันตามที่เราต้องการ.. ซึ่งมีน้อยอาชีพนักที่สามารถเลือกได้เช่นนี้.. และก็เป็นอาชีพเพียงไม่กี่อาชีพ ที่ทำงานได้ไม่มีเกษียณ แถมยิ่งแก่ยิ่งเก๋า !!

..สังคมที่สร้าง Trader อย่างสิงคโปร์ และญี่ปุ่น จึงเป็นสังคมแห่งโอกาส ที่ผมมองตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ที่พูดว่า คนแก่คือ "ภาระ" -- แต่เขาลืมไปว่า คนแก่ที่เป็นนักลงทุน ไม่ใช่ภาระ แต่เป็นตู้ทองคำเคลื่อนที่ และเป็นตู้ทองคำ ที่บรรจุตำราแห่งการเรียนรู้ สู่เส้นทางเศรษฐีที่เยี่ยมยอดนั่นเอง"

... น้องๆนักศึกษาเกือบทุกที่ ที่ผมไปบรรยาย มักจะถามผมว่า "ต้องรอให้รวยมากๆ ถึงจะลงทุนได้ใช่ไหมพี่" -- เป็นความคิดที่ผิด!! เพราะนั่นเป็นการ ผลัดวันประกันพรุ่ง หรือ เป็นข้ออ้างให้เราไม่ต้องศึกษา ..และวันนึงเมื่อคุณมีเงินแล้ว กระโจนเข้ามา มันก็เป็นวันที่เงิน ทั้งชีวิตที่คุณเก็บสะสม จะมาเสียหายให้ตลาด -- มันคือ วันปล่อยหมูนั่นเอง!!

.. การลงทุน ก็เหมือนกีฬา ผมเปรียบเทียบเสมอว่า มันเหมือน "การขี่จักรยาน" ...คนจน คนรวย ก็ขี่ได้ ..คนจน จักรยานอาจเก่าหน่อย แต่ก็ใช่ว่า จักรยานเก่าๆ หรือ เงินน้อยๆ จะไม่สามารถให้ทักษะ และความรู้ ที่จะทำให้คุณเป็นเซียนได้ (เป็นเศรษฐี)

... "ก็บอกตรงนี้เลยว่า ปัจจัยความสำเร็จของการลงทุน ไม่ใช่จำนวนเงินมากน้อย ..แต่มันคือ ทักษะ และ ความเข้าใจในเรื่องของเทคนิคการลงทุน ที่เหมาะกับตัวเรา (VI หรือ Technical)... หุ้นไม่ว่าคุณจะซื้อ 100 หุ้น หรือ ล้านหุ้น มันไม่ได้ทำให้คุณฉลาดขึ้นแตกต่างกันในแง่ของสติปัญญา ..ประเด็นมันอยู่ที่ คุณได้เปิดใจ ที่จะเรียนรู้กับการฝึกขี่จักรยานครั้งนี้ต่างหาก ที่สำคัญกว่า!!

-- "ส่ิงแรกที่เราต้องพัฒนาในการเข้ามาในตลาดหุ้น ไม่ใช่การเร่งขยาย Port แบบโง่ๆ แบบได้เงินเร็วๆ เพื่อที่จะเสียทั้งหมดในเวลาต่อมา ...แต่มันเป็นการพัฒนาตัวเอง -- การลงทุนเพื่อที่จะ "เข้าใจตัวเอง" ...ผมสอนคนเรื่องการลงทุนมานับพันคน ทำให้ผมเห็นเลยว่า ..ไม่มีใคร ที่รับความเสี่ยงได้เท่ากันเลย !!!

..ทุกคนมีจุดยืนและรูปแบบการลงทุนที่เป็นเอกลักษณ์เฉพาะของตัวเอง ..แต่ก็ใช่ว่าทุกคนจะมี(คนส่วนใหญ่ แม่งมั่ว!! ว่างั้นเถอะ)

"เอาเป็นว่า ผมขอบอกตรงนี้เลยว่า คนที่จะประสบความสำเร็จในการลงทุนระยะยาว ต้องเป็นผู้ที่พัฒนาเอกลักษณ์การลงทุน ที่เข้ากับความเสี่ยงที่ตัวเองรับได้ ..จากนั้น ก็มีวินัย ในการลงทุนที่สม่ำเสมอในแนวทางของตัวเองที่ชัดเจน ..นี่แหละ George Soros ..นี่แหละ Warren Buffet ..(สองคนนี้ คิดตรงข้ามกันแบบสุดขั้ว แต่สุดท้าย รวยโคตรๆทั้งคู่ ..แปลกไหม!!)"

และการที่เราไปถามคนอื่นว่า "พี่ครับ" ผมจะซื้อหุ้นตัวไหนดี มันก็ผิดตั้งแต่เริ่มถามแล้ว เพราะ หุ้นที่พี่เขาซื้อ ..คุณว่า คุณซื้อในราคาที่พี่เขาซื้อหรือเปล่า และที่สำคัญ หุ้นตัวนั้น มันอาจเป็นหุ้นที่ห่วยที่สุดใน Port ของพี่เขาก็ได้ จริงไหม!! -- "คุณรู้ไหม คนไหนที่ควรถามมากที่สุด"

ใช่!! ตัวคุณเองไง ...เพราะถ้าคุณศึกษาอย่างเข้าใจ ใน Asset (หุ้น , ทอง , ที่ดิน , Commodity) ที่คุณลงทุนอย่างลึกลึ้ง ผมว่า มันแทบจะไม่มีคำถามใดที่คุณไม่สามารถตอบตัวคุณเองได้ -- นั่นแหละจุดเร่ิมต้นของนักลงทุน ที่จะรวยหุ้นหมื่นล้าน ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..แม่เจ้า เว้ย!!


วันเสาร์ที่ 10 กันยายน พ.ศ. 2554

สงครามค่าเงิน และวิธีการเอาตัวรอดของเรา!!



"ดอลลาร์ ก็คือ เงินสื่อกลางการค้าขายและการแลกเปลี่ยนกว่า 70% ของการค้าโลก(เงินบาทเป็นเสี้ยวเล็กๆของเงินโลก ไม่ถึง1% ด้วยซ้ำ)" ... เมื่อไอ้กัน พิมพ์เงินเพิ่ม -- มูลค่ามันก็ลดลงเป็นธรรมดา !!! .."เงินดอลลาร์ลดมูลค่า ก็แปลว่า เงินโลกมันลดมูลค่าลง -- คือ แม่งปล้นเรานี่หว่า ..คุณเข้าใจไหม!! ...แม่งปล้นกันแบบซึ่งๆหน้า

...และนั้นเป็นเหตุผลที่ ทำไมธนาคารกลางทั่วโลก(ทั่วโลก) แย่งกันซื้อทอง แล้วลด Reserve ที่เป็นเงินดอลลาร์ลง (จริงๆมูลค่าการซื้อของทองมันเท่าเดิม แต่มูลค่าของดอลลาร์มันลดลง เราจึงเห็นราคาทองมันขึ้น -- ซึ่งจริงๆทองไม่ได้ขึ้นเลย!! ดอลลาร์มันลดลงต่างหาก)

....ก็เพราะเมื่อดอลลาร์ลดมูลค่า ก็แปลว่า เงินทั่วโลกมัน "เฟ้อไง!!" ... "เงินเฟ้อ!!" (เรากำลังอยู่ในโลกของ เศรษฐกิจห่วยแตก บวกกับเงินเฟ้อ ... ถ้าเรามีสติ ก็ต้องวางเงินให้ถูกที่จริงไหมครับ)

...ใครสามารถเลือก Asset ได้ถูกตัว ถูกจังหวะ ...คุณจะอยู่รอดในโลกที่บ้าคลั่งในปัจจุบัน!!

ตราบเท่าที่ดอลลาร์อ่อน .. Asset ทุกอย่างจะเพิ่มมูลค่าขึ้นเรื่อยๆ ... เราเกิดปัญหาอย่างนี้ตอนปี 1997 ตอนนั้นเศรษฐกิจเราดีเกิด Asian Miracle 1 "เงินบาทแข็งเกินไป คือ 25 บาท ต่อ 1 ดอลลาร์ ..ผลที่เกิดขึ้นคือ เราค้าขายขาดดุล นำเข้ามากกว่าการส่งออก ...คือ เราพึ่งจมูกคนอื่นหายใจ!!"

..วิธีแก้ ก็คือการ Devalue ค่าเงิน ..."คนไทย จนลงครึ่งนึง" แต่ผลคือ ...เราเริ่มส่งออก มากกว่านำเข้า ..ค้าขายกำไร ไม่เสียดุลการค้า

วันนี้..."อเมริกา ดอลลาร์ต้องอ่อน ..อ่อนจนดุลการค้า กลับมา เพราะตอนนี้มันยังไกลจากจุดนั้นมาก ..แถมอเมริกาใช้การยื้อ แทนที่จะแก้ปัญหา ... ถ้าเราเข้าใจภาพที่เกิดขึ้นจริงๆ ก็ฟันธงไปเลยว่า ดอลลาร์จะต้องอ่อนต่อไป .."ถึงเมื่อไหร่.. ก็เมื่อไหร่ก็ได้ ที่การค้าอเมริกา เริ่มกลับมาสมดุลย์ ไม่ใช่ขาดดุลแบบเละเทะ ขนาดนี้" (ยุโรป ก็ปัญหาเดียวกัน) ...เอเชีย คือ ทวีปเดียวที่แข็งแกร่งเพราะเราค้าขายเกินดุล "ส่งออก มากกว่านำเข้า" (หรือ อีกนัยนึง คือ ค่าเงินเอเชีย โดย เฉพาะ "หยวน" มันอ่อนเกินไป -- แปลว่า ดอลลาร์ต้องลดลง หรือ ไม่หยวนก็ต้องเพิ่มขึ้น)

‎ในเวลานี้ "ถ้าเราไปเก็บดอลลาร์ ก็เสียค่าโง่อเมริกา" ..สิ่งที่ต้องทำคือ คิดตรงข้าม คือ เราต้องเก็บ Asset ที่เป็น Prime Asset ของอเมริกา .."ลองนึกถึง GE Capital เข้ามาซื้อ NPL บ้านเราตอนปี 1997 ในราคาถูกๆนั่นแหละ"

..แต่ปัญหาคือ อเมริกา ไม่ยอมเสียเปรียบใครในโลก จึงพยายามยื้อค่าเงินให้ค่อยๆลดลง..แทนที่จะ Devalue ค่าเงิน(ทันที แบบที่ใช้ IMF มาบีบบ้านเราตอนนั้น) ที่จะเสียหายมากกว่า -- ดังนั้น ถ้าไปซื้อ Prime Asset อเมริกาเวลานี้ ก็เท่ากับว่า ยังไม่ถูก เพราะเงินเรา(เอเชีย)แข็งได้อีก !!

..เมื่อเงินเอเชีย แข็งได้อีก ก็แปลว่า ในอนาคต เรายิ่งซื้อ Asset ในอเมริกาได้เพิ่มขึ้น ...ประเทศจีน ไม่โง่ จึงพยายามตุน ทอง ตุน Commodity เพื่อลดความเสียหาย จากมูลค่าดอลลาร์ที่ลดลง เนื่องจากจีน ถือหนี้ที่เป็น US มากที่สุดในโลก

... ดังนั้น เวลานี้ องค์กรใดทิ้งทอง ก็จะมีอีกองค์กร หรือ อีกประเทศ จ้องจะเข้ามาซื้อแทน ..เพื่อสุดท้าย เมื่อ Process การแก้ปัญหาเศรษฐกิจด้วยการใช้ "เงินเฟ้อ"ของอเมริกาจบ .."ราคา Asset พวกนี้ ย่อมราคาขึ้นในอัตราเร่งมากกว่า Prime Asset ของ US เอง -- จีนก็แค่ เปลี่ยนของพวกนี้ ขายในราคาสูง แล้ว ไป Take Over Prime Asset ของไอ้กัน" ...คือ คนหรือประเทศที่ฉลาด ต้องทำตัวเหมือน GE Capital ที่เขมือบไทยตอนปี 1997 ยังไงยั่งงั้นเลย!!

(ที่ผมมานั่งเชียร์ให้ศึกษาการลงทุน "ผมไม่ได้บ้าบอ" แต่ผมเห็นสิ่งที่กำลังมา ..และผมอยากให้คนไทยที่มีสติ -- แน่นอน!! ไม่ใช่ทุกคนที่จะรอดจากวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ ..แต่คนที่รอด ..เขาจะเป็นผู้นำประเทศไทยในยุคต่อไป ที่จะสร้างชาติ ครั้งใหม่ให้คนไทย ไม่แพ้ใครในโลก -- "ผมเชื่อเช่นนั้น!!")



(มีเพื่อนๆ ถามว่า ..เมื่อเป็นเช่นนี้แล้วผมแบ่ง Port ของตัวเองแบบไหน) ..ก็มาดูกัน -- ผมมี ที่ดิน .. มี Antique คือของสะสม .. ผมมี ทองอยู่บ้าง ...มีพันธบัตรรัฐบาลบางส่วน ที่ดอกเบี้ยเกิน 6% ไม่ใช่ซื้อตอนนี้ ...เงินสดมีน้อยมาก ...เพราะเงินสดเปลี่ยนเป็นหุ้น ในจังหวะที่หุ้นตกหนักๆ ..ผมสะสมหุ้น Blue Chip ตั้งแต่ปี 2009 เป็นต้นมา .. ตอนนี้ Port ส่วนใหญ่อยู่ใน Blue Chip ...ซึ่งให้ปันผลดีมากๆ ..ผมก็นำปันผลที่ได้ เก็บสะสม แล้วเข้าซื้อหุ้น Penny Stock ที่เสี่ยงมากขึ้น ...ตรงนี้ผมมองว่า High Risk ก็เพื่อ เพิ่มพลังการโตของ Port ให้ก้าวกระโดด ... ส่วน Port เล็กๆ ก็แบ่งมา Trade ศึกษาหาความรู้ เรื่องรอบ และ การขึ้นลงของหุ้น และ Futures ... พวกนี้คือ Asset ที่เราต้อง หาสมดุลย์ของตัวเอง ซึ่งแต่ละคน ผมว่า ไม่มีใครเหมือนกัน

แล้วถ้าถามว่า เมื่อไหร่ผมจะขาย !!... "บอกได้อย่างเดียวว่า ตอนนี้ยังไม่ใช่เวลาขายของ Port ใหญ่ ..เพราะวิกฤตเศรษฐกิจ ที่เราเจออยู่ตอนนี้ มันพึ่งเริ่มต้น เท่านั้นเอง ... ตัวผมเอง ไม่สามารถบอกได้หรอกว่า อะไรจะดีที่สุด ..แต่ที่แน่ๆ Asset ชนะ แบงค์กงเต็ก ในระยะยาวแน่นอน" ... ศึกษาให้มาก มีสติ ..และค่อยๆ บริหารความมั่งคั่งของตัวเอง อย่างมีปัญญา ..ผมเชื่อว่า ทุกคนก็รวยได้ครับ!!

...ส่วนรถเบนซ์ หรือ ของหรูหรา Brand Name ..ซื้อได้ แต่ซื้อแล้ว คุณ Cut Loss ไปเลย เพราะมันไม่ใช่ Asset !!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ