แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

ถ้าเราตกงาน จะทำอะไรต่อดี

‘ตกงาน แล้วจะทำอะไรกิน ?’

ยุคนี้เราเห็นธุรกิจปิดตัวเป็นจำนวนมาก ...มีงานดีๆ อยู่ดีๆ ก็อาจตกงานได้ ..แล้วอะไรคือ ความมั่นคงของชีวิตล่ะ ?

ต้องตอบว่า สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจให้มาก คือ Demand กับ Supply

อะไร มี Demand มีคนต้องการ ...สิ่งนั้นก็มีโอกาส มีเงินแฝงอยู่

ส่วน Supply คือ คู่แข่ง ...อะไรที่คนทำน้อย , ธุรกิจผูกขาด , มีจำนวนคนทำจำกัด - สิ่งนั้นก็สามารถทำเงินได้ดี

โอกาส มันอยู่ที่ อะไรก็ได้ที่มี Demand เยอะๆ และ มี Supply น้อย อันนี้มีโอกาสมีราคาเสมอ

- ในยุคก่อน คนทำสื่อ เสียงดัง กำไรดี ..แต่ยุคนี้ ใครๆ ก็ทำสื่อได้ ...เดี๋ยวนี้คนสนใจว่า “ใครพูด” ...คนธรรมดาเลยกลายเป็นสื่อได้ 

คนตัวเล็กเสียงดังขึ้น ...คนตัวใหญ่ ควบคุมมวลชนได้ยากขึ้น

- มีฝรั่งหัวใส สร้าง Cryptocurrency ที่ชื่อว่า Bitcoin ขึ้นมา ...ด้วยเหตุผลที่ว่า เงินในโลกนี้อย่าง Us ดอลลาร์ รัฐบาลพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ มันมี Supply ไม่จำกัด ...แต่ Bitcoin มีจำกัด ดังนั้น เขาเลยเชื่อกันว่าสิ่งนี้ระยะยาวราคาจะขึ้น ในขณะที่เงินดอลลาร์ระยะยาวมูลค่าลงตลอด ....ความตลกร้ายอยู่ที่ เมื่อมีคนเชื่อ idea นี้มากพอ ราคา Bitcoin ก็พุ่งขึ้นตาม Demand ที่มากขึ้น 

....จนถึงวันนึง คนเริ่มตั้งข้อสงสัยว่า Bitcoin สามารถขโมยได้ แม้ว่า Bitcoin จะไม่สามารถ Hack ได้ แต่ปรากฏว่า เขาปล้นจากตลาดแลกเปลี่ยนได้ ...กลายเป็น โจรสามารถปล้น Crypto แบบไร้ร่องรอย จับมือใครดมไม่ได้ แถมไม่มีคนกลางที่ช่วยเอาเงินมาคืนคุณ สรุป เงินนั้นหายไปเลย !! - ความเชื่อมั่นในสิ่งนี้จึงลดลง

ประกอบกับ ความเชื่อที่ว่า Bitcoin มี Supply ที่จำกัด ก็กลายเป็นว่า มันเริ่มไม่จริง ...เพราะถึง Bitcoin จำกัด แต่ Cryptocurrency อื่นๆ ก็เกิดเป็นดอกเห็ดแบบไม่จำกัด ...สุดท้าย Supply เพิ่มมากกว่า ดอลลาร์ แถมไม่มีตัวกลางในการบังคับ ดูแล ตรวจสอบ

ทุกวันนี้ ทุกคนเริ่มสงสัยว่า ตกลงโลกเรา ควรมี ‘คนกลาง’ หรือ ‘ไม่ควรมีตัวกลาง’ ...เราควรใช้เงินโดยไม่ต้องมีธนาคาร ดีไหม ?

แต่พอมีคนขโมยเงินเราไป หรือ เลขบัญชีหาย ..ปกติเราก็ให้ธนาคารช่วยจัดการ ...แต่ถ้าเลขบัญชี Crypto หาย เงินนั้นเอาคืนไม่ได้ ..หายไปเลย !! ...ถามหน่อยว่า เราจะเลือกแบบไหน ?

ที่เล่ามา วันนี้ยังไม่มีข้อสรุป ...มันคือ ความท้าทายที่เกิดขึ้นในปัจจุบัน

- สินค้าหลายๆ อย่าง ในอดีต คนทำน้อย ...ใครทำก็รวย ...แต่วันนี้ใครก็ทำ เช่น การเปิดร้านขายของ ในอดีต ต้องไปเช่าที่ ต้องมีทุน ...ทำเลร้านค้า จึงสำคัญ ...แต่วันนี้ แค่มี FB , Instagram ก็มีร้านได้แล้ว ...’คนขายดัง จึงสำคัญกว่า ร้านทำเลดี!!’

- คนดังในอดีต ต้องมี ผู้ใหญ่หนุนหลัง เพราะเวที เป็นของรายใหญ่ (เวทีหรือช่องทางนำเสนอในอดีต มี Supply จำกัด แต่วันนี้มันเปิดแบบไม่จำกัด) ...แต่ทุกวันนี้ เวทีคือ Youtube , เวทีคือ Social ทั้งหมด ...’ผู้ใหญ่ใจดี จึงไม่สำคัญ เท่ากับ นักแสดงที่มีฝีมือ’

- หลายๆ ธุรกิจ เดิมผูกขาด Supply จำกัด จากรายใหญ่น้อยราย เช่น ธุรกิจเหล้า เบียร์ สัมปทานต่างๆ เพราะ ในอดีตเราเชื่อว่า การมีรายใหญ่และสัมปทานสามารถเก็บภาษีได้ง่ายกว่า รัฐบาลได้มากกว่า (แต่คนก็จ่ายแพง เพราะกลไกมันผูกขาด)

...แต่จากนี้ไป เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน ...การเปิดเสรีในธุรกิจต่างๆ ที่เคยผูกขาด อาจเปลี่ยนแปลง

- เจ้าสัว ในอดีต คือ คนที่คุม Supply ..เน้นการผูกขาด 

- ลูกจ้างในอดีต คือ คนที่ทำสิ่งที่ใครๆ ก็ทำแทนเราได้ ...เมื่อตัวเรา ทำสิ่งที่ Supply ไม่จำกัด ...ก็ย่อมทำเงินได้ยาก จริงไหม ?

...ที่เล่าเรื่อง Demand และ Supply เพื่อจะ กระตุ้นต่อมความคิดของทุกคนว่า โลกทุกวันนี้ เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน ชีวิตเราก็เปลี่ยน ...แต่สิ่งที่ไม่เคยเปลี่ยนในโลกเลยคือ หลักการของ Demand / Supply 

ลองหันมามองตัวเอง จะช่วยให้เห็นว่า อนาคต หรือ งาน เราจะดีหรือไม่ ก็ขึ้นกับหลักการเศรษฐศาสตร์ง่ายๆ นี่แหละ 

‘ให้เราเก่ง ในสิ่งที่คนอื่นทำไม่ได้’ เราจะอยู่ได้ และ รุ่งไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงไปแค่ไหนก็ตาม

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

7 วิธีคิด ของคนทำงานน้อย แต่ได้เงินมาก แบบไม่แฟร์



‘ทำไมบางคน ทำงานน้อย แต่ได้เงินเยอะ’

ถ้าตอบแบบคนทั่วไป ก็คงตอบว่า ก็เพราะโลกนี้มันไม่แฟร์

ใช่!! ตอบแบบนี้ เราไม่ได้เรียนรู้อะไรเลย ...เชื่อไหมแค่เราเปลี่ยนคำตอบ เราจะได้เรียนรู้อะไรมากขึ้นอีกเยอะเลย

ลองคิดดีๆ จะพบว่า ปกติคนทำงานหนัก มักจะได้เงินเยอะ ...นั่นปกติ ...แต่ที่ไม่ปกติ คือ ‘คนที่ทำงานน้อย ได้เงินเยอะ’

ผมมีเพื่อนหลายคนเลย ที่ทำงานน้อยได้เงินเยอะ ...และที่น่าสนใจ คือ คนเหล่านี้ไม่ใช่คนขี้เกียจ ..ส่วนไอ้ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ คนเหล่านี้ พอมันลุกขึ้นมาทำงานหนัก มันยิ่งได้เงินโคตรเยอะ (บ้าไปแล้ว!!)

ผมพอจะ สรุปวิธีคิดของคนเหล่านี้มาให้ศึกษากันดังนี้

1. ‘คนเหล่านี้จะทำทุกทาง ให้ตัวเองได้ทำงานเฉพาะที่ตัวเองถนัด’ ...คนเราใช้เวลา 80% ไปกับงานที่เราไม่ถนัด ผลลัพธ์ก็เลยน้อย ...เขาจึงทุ่มเทค้นหางานที่ถนัด เพื่อใช้เวลาไปกับสิ่งที่ทำเงินมาก และเติบโตสูง

รายได้เขาจ่ายตามความเชี่ยวชาญ ...ยิ่งทำเฉพาะที่เชี่ยวชาญ รายได้เลยยิ่งมากขึ้น 

2. ‘คนเหล่านี้ จะพยายามทำให้ตัวเองมีเวลาว่าง’ ...เพราะ เวลาที่เราจะได้คิด ได้เติบโต ได้ลองทำสิ่งใหม่ ก็คือ เวลาที่เราว่าง

แก้วน้ำที่เต็ม มันเติมน้ำเพิ่มไม่ได้ ...แก้วต้องว่าง ถึงจะใช้ประโยชน์ได้ (แต่อย่า ว่างงานแบบไม่ทำอะไรเลยนะ เพราะ นั่นคือ ซวยครับ ...555)

3. ‘คนเหล่านี้ ชอบเรียนรู้ตลอดเวลา’ ...ชอบอ่านหนังสือ ชอบเรียน ชอบคุยกับคน เพราะ มันคือโอกาสให้เรียนรู้ 

4. ‘คนเหล่านี้ ทำงานโคตรหนัก เมื่อเห็นโอกาส’ ...ความแปลกของคนแบบนี้คือ ถ้าเขาเห็นโอกาสชัดๆ วิ่งเข้ามา เขาก็พร้อมจะทำงานหนัก ..ยิ่งทำงานหนักกว่าคนปกติเสียอีก

5. ‘คนเหล่านี้ รู้วิธี Leverage ตัวเอง’ ...สร้างระบบ , สร้าง Franchise , ลงทุนหุ้น แล้วถือรับเงินปันผล (ไม่ได้สนราคาหุ้นเท่าไหร่นัก) ...พูดง่ายๆ คือ เขาจะหาทุกโอกาสเพื่อพัฒนาโอกาสให้ขยาย Passive Income ตลอดเวลา

6. ‘คนเหล่านี้ ไม่กลัวคนเก่ง’ ...และพร้อมทำงานกับคนที่เก่งกว่า ...การที่เราจะสามารถทำในสิ่งถนัดแปลว่า ต้องมีคนอื่นมาร่วมงานในสิ่งที่เขาไม่ถนัด ...การทำงานของคนเก่ง คือ แค่ทุกคนทำในสิ่งที่ถนัด แล้วมาร่วมกัน แค่นั้นเอง

7. ‘คนเหล่านี้ ชอบสอนลูกน้อง’ ...ไม่กลัวที่จะสอนคนอื่น ไม่กลัวที่คนอื่นจะเก่งกว่า ...สุดท้ายเราจะสบาย ถ้าเรารายล้อมด้วยคนเก่ง ...ลูกน้องเก่งเราจะสบาย ลูกน้องเจริญ เรายิ่งโคตรสบาย

ใช่!! ‘ทำงานน้อย เงินเยอะ’ มันเป็นวิถีที่ทุกคนพัฒนาได้ ...โลกนี้น่ะแฟร์ แค่เราค่อยๆ พัฒนาตัวเราให้ไปอยู่ในจุดที่แฟร์ ก็แค่นั้นแหละ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความมั่งคั่ง อยู่ที่ไหน



‘อะไร ทำให้เรามั่งคั่ง ?’ ...ผมได้เรียนรู้อะไร

แต่ละปีผมเดินทางเยอะมาก ได้เจอนักธุรกิจและเศรษฐีทั้งในประเทศและต่างประเทศ ..บางครั้งก็สัมมนาใหญ่ บางครั้งก็เจอกลุ่มย่อย

แน่นอน ผมไม่ได้ให้ความรู้ฝั่งเดียว ..ผมได้ความรู้ด้วย ดังคำพูดที่ว่า ‘When you teach , you learn’ : “เมื่อคุณสอน คุณก็ได้เรียนรู้เช่นกัน” 

1. การสอนคนอื่น ทำให้เราได้ทบทวนความรู้ที่สอนในตลอดเวลา 
2. เราได้เรียนรู้จาก คำถามและการพูดคุยกับคนฟัง 

แต่!! มีข้อแม้ว่า ‘เราต้องเปิดใจรับฟัง’ ...

เคล็ดลับที่ผมได้เรียนรู้เกี่ยวกับ การสร้างความมั่งคั่ง ก็คือ 

1. ‘การเดินทาง’ ...

ทุกครั้งที่เราคิดอะไรไม่ออก นั่นเพราะ เราอยู่ที่เดิม อยู่กับกรอบความคิดเดิมๆ ..การเดินทางจะทำให้เรา เจอกับสภาพแวดล้อมที่ต่างไป ...เจอคนที่มีวิธีคิดไม่เหมือนเรา และ นั่นคือ โอกาสที่ทำให้เราได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 

ตั้งแต่อดีต จนถึงปัจจุบัน เราจะเห็นเลยว่า ประเทศไหนก็ตาม ที่เดินทาง และ เปิดใจเรียนรู้ ...ประเทศนั้นจะมั่งคั่ง และ ร่ำรวย ...เช่น ในอดีต อังกฤษเริ่มเดินทางไปทั่วโลก ติดต่อ และ ค้าขาย จนกลายเป็นมหาอำนาจในยุคนั้น

ต่อมาอเมริกา รับไม้ต่อ เดินทาง และ ค้าขายทั่วโลก จนกลายเป็นผู้นำโลกในยุคต่อมา

วันนี้จีน จากประเทศที่เคยปิดประเทศ แล้วยากจน ..เขาเพิ่งเปิดประเทศ และ เดินทางค้าขายทั่วโลก ...แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ที่คนจีนเริ่มเดินทาง เขาเปลี่ยนจากประเทศยากจน เป็นประเทศที่มั่งคั่ง อันดับ 2 ของโลก และ มีมหาเศรษฐีอายุน้อยมากที่สุดในโลก

...การเดินทาง ทำให้เรา ‘รู้เขา’ คือ เข้าใจ คนอื่น ..เมื่อเข้าใจคนอื่น ก็เห็นโอกาส เข้าใจตลาด ทำการค้าได้ สร้างความมั่งคั่งได้

2. ‘การสะสมสินทรัพย์’ ...คำพูดนึงที่แรงแต่จริง คือ ‘คนจนคือคนที่ทำงานทั้งชีวิตเพื่อเก็บเงิน แต่คนรวยคือคนที่ทำงานเพื่อเก็บสะสมสินทรัพย์’

เคล็ดลับมันก็คือ สินทรัพย์เพิ่มมูลค่า ในขณะที่เงินลดมูลค่า ...เราจึงเห็นคนรวย ก็เลยยิ่งรวย ...ส่วนคนจนก็ยิ่งจน เพราะ เงินที่สะสม มันมีแต่ลดมูลค่า

ใช่!! ใครได้ฟังเรื่องนี้ ก็มักจะแย้งผมว่า ‘ก็คนจนซื้อสินทรัพย์ ไม่ได้นี่’ ...อันนี้ไม่จริง ...ใครๆ ก็ซื้อสินทรัพย์ได้ แต่ต้องมีความรู้ก่อนว่าอะไรคือ สินทรัพย์

ยกตัวอย่าง คนเงินน้อย อาจไม่สามารถซื้อที่ดินหรือสินทรัพย์ราคาแพง แต่เขาก็สามารถซื้อและสะสมสินทรัพย์อย่างหุ้น ที่เริ่มจากใช้เงินน้อย หลักพัน หลักหมื่น ค่อยๆ สะสม 

พอเวลาผ่านไป หุ้นที่สะสม ก็สามารถโตเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า ได้ ..เงินน้อยๆ ที่ลงทุนในหุ้น ก็สามารถกลายเป็นเงินใหญ่ได้ในวันนึง 

แต่ปัญหาก็คือ ‘คนส่วนใหญ่ เล่นหุ้น ..ซื้อมาขายไป สั้นๆ ...ไม่ได้ออมหุ้น ไม่ได้ซื้อสะสมเหมือนสินทรัพย์ ...สุดท้ายก็เลยไม่รวย’

คิดง่ายๆ เราเห็น สินทรัพย์อย่างที่ดิน จากราคาถูกๆ ในอดีตที่ดินไร่ละไม่กี่หมื่น กี่แสน ..เดี๋ยวนี้ไร่ละเป็น ล้าน ..สิบล้าน ..ร้อยล้าน

ขึ้นเป็นร้อยเท่า !! ...แต่ถ้าเราไม่ได้ถือยาว เราก็ไม่รวยอยู่ดี

ผมแค่อยากจะชี้ว่า ‘คนเราจะรวยมากๆ จากการถือสินทรัพย์ยาวๆ ..ไม่ได้รวยจากการซื้อมาขายไป’

สรุป ‘การเดินทาง’ และ ‘การสะสมสินทรัพย์’ มันเกี่ยวข้องกันอย่างไร ?

มันคือ 2 องค์ประกอบ ที่สร้าง 

1. ‘สร้างโอกาส’ ..เมื่อเดินทางมาก เจอคนมาก ก็เข้าใจคนอื่น และ สามารถเห็นโอกาส ...เพราะโอกาสทางธุรกิจ เกิดจากการแก้ปัญหา และ การสร้างประโยชน์ให้คนอื่น จนกลายเป็นธุรกิจนั่นเอง

2. ‘การเข้าใจตัวเอง’ ...การลงทุนเป็นศาสตร์ และ ศิลป์ ที่ทำให้เราเข้าถึงตัวเอง และ เข้าใจตัวเอง มากที่สุด ...การเป็นนักลงทุนคือ การสู้กับจิตใจของตัวเอง

ความยากของการลงทุนให้ร่ำรวย ...หลายๆ คนคิดว่า คือ แค่มีความรู้ เดี๋ยวก็รวย แต่ไม่ใช่ ...ต้องมีความเข้าใจด้วย

ต่อให้คนที่มีความรู้มากแค่ไหน แต่ปราศจาก ‘ความเข้าใจ’ ก็ไม่สามารถรวยจากการลงทุนได้เลย

...ลองกลับมาทบทวน สิ่งที่เราทำ เราจะเข้าใจตัวเองมากขึ้น

- “เดินทาง เพื่อเห็นโอกาส ...สะสม สินทรัพย์ เพื่อให้ชีวิตมั่งคั่ง”

 ...ใช่!! ความร่ำรวย ทุกคนเริ่มสร้างเองได้ เมื่อเรามองให้ถูก แล้วเปิดใจลงมือทำ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 17 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

มองอนาคตไม่ออก ไม่มีปัญหา



มองอนาคตไม่ออก ไม่มีปัญหา’

ทุกวันนี้ทั้งมืออาชีพ มือสมัครเล่น ต่างทำตัวเป็น ‘หมอดู’ ทำนายอนาคต ว่า จะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้

ในเรื่องการลงทุน ..ตลาดหุ้นเป็นสิ่งที่คนจำนวนมาก พยายามฟันธง - ‘ปีหน้า ลงแรงแน่ ..อีกคนก็สวนว่า ไม่จริง !! ...ปีหน้าขึ้นแรงชัวร์ๆ’ ...ถามจริงๆ ว่า เราได้อะไรจากการฟันธง ของกูรูเหล่านี้ ?

สารภาพตรงๆ ว่า ..สมัยที่ผมเริ่มเล่นหุ้นใหม่ ก็พยายามทำตัวเป็น หมอดู ฟันธง เหมือนกัน ...ผลปรากฏว่า ‘ถูกบ้าง ผิดบ้าง ...ถ้าถูกก็ดี คนเอาไปแชร์ ถ้าผิดก็โดนด่าบ้าง ว่ากันไป แต่พอเวลาผ่านไป ก็กลับมาถามตัวเองว่า ...แล้วมันได้อะไร?’

คำตอบ คือ ‘มันไม่มีประโยชน์’

คำพูด โดยเฉพาะในตลาดหุ้น ผมว่า ไม่มีประเด็นเลย ...สิ่งที่สำคัญกว่าคือ ‘คนพูดน่ะ เขาทำอะไร’ ...เช่น บางคนปากบอกว่า หุ้นนี้ดีมากๆ แต่ตัวเอง ทยอยขาย ...หรือ บางคน ใส่แต่ข่าวร้าย แต่ตัวเองกลับทยอยซื้อ

‘การกระทำ จริงๆ มันย้อนแย้งกับคำพูด’ 

ที่เล่ามายืดยาว เพราะ อยากจะแชร์ สิ่งที่พวกเศรษฐีหุ้น เขาทำกันในการลงทุนในหุ้น 

จะสังเกตว่า พวกเศรษฐีหุ้น เขารวยทุกสภาวะ ไม่ว่าตลาดขึ้นหรือลง ในขณะที่รายย่อย กลับซวยทุกสภาวะ ด้วยหลักการ 8 ข้อดังนี้

1. ‘ซื้อหุ้นที่แข็งกว่าตลาด แล้วขายหุ้นที่อ่อนกว่าตลาด’ ...เพราะ หุ้นที่แข็งกว่าตลาด มีแนวโน้มจะขึ้นต่อ ..ส่วนหุ้นอ่อนกว่าตลาดมีแนวโน้มจะลงต่อ

2. ‘ซื้อขายหุ้นโดยดูต้นทุน รายใหญ่ ไม่สนใจข่าวลือ’ ...ต้นทุนรายใหญ่ เปิดกราฟ ก็รู้แล้ว ...กราฟ Month บอกต้นทุนระยะยาว ...กราฟ week บอกต้นทุนตามรอบการทำกำไร ...ส่วนกราฟ Day เอาไว้สับขาหลอกรายย่อย

3. ‘กระจายความเสี่ยง แบบไม่มีทางเจ๊ง’ ...ไม่มีหุ้นตัวไหนที่ทุ่มน้ำหนักลงมากไป เพราะ จะทำให้เสี่ยงแบบรายย่อย ...รายใหญ่เขากระจายน้ำหนัก เพราะ เขารู้ว่า การกระจายน้ำหนักลงทุนหรือหัวใจในการพาพอร์ตรอดแล้วรวยในทุกสภาวะตลาด

4. ‘หุ้นดี ถือตลอดไป’ ...การจะมีหุ้นเปลี่ยนชีวิต ที่ขึ้น 10 เด้ง ..100 เด้ง ..มีเหตุผลเดียวคือ ซื้อแล้วถือตลอดไป ...รายย่อยไม่เคยมีความคิด ถือหุ้นตลอดชีวิต ก็เลยรวยจำกัดเสมอ

5. ‘เพิ่มน้ำหนักการลงทุน ในบรรยากาศที่น่ากลัว’ ...คนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม ..เพิ่มน้ำหนักการลงทุนเมื่อทุกอย่างดูดี ก็ถึงได้ติดดอยกันเป็นประจำ

6. ‘มีความสามารถในการทนขาดทุน ในหุ้นที่ดี’ ...อันนี้คนส่วนใหญ่ทำตรงข้าม เพราะ สามารถทนขาดทุนในหุ้นที่ห่วย ...สุดท้ายหุ้นที่ดี ถึงลงไปแค่ไหน สุดท้ายก็จะกลับมาใหม่ได้เสมอ 

7. ‘มีเงินส่วนใหญ่ วางในสินทรัพย์ตลอดเวลา’ ...คนส่วนใหญ่จะวางเงินในเงินสด แล้วเข้าซื้อหุ้นตอนที่ตัวเองกล้า แต่เศรษฐีหุ้นเหล่านี้ มักวางเงินส่วนใหญ่ในหุ้นตลอดเวลา อาจมากกว่า 70-90% ของพอร์ตในหุ้นตลอดเวลา

8. ‘ปันผลจากพอร์ตหุ้น โตอย่างสม่ำเสมอ’ ...สิ่งที่วัดว่า เราปั้นพอร์ตหุ้นได้ดีสำหรับระยะยาวหรือไม่ ให้วัดกันตรงที่ การเติบโตของปันผล ...ไม่ใช่วัดที่การโตของราคา เพราะ ราคาผันผวน แต่สิ่งที่แน่นอนกว่าคือ ปันผลที่ค่อยๆ โตจนเราไม่ต้องทำงานในที่สุด

ลองสำรวจดูว่า เรามีกี่ข้อแล้ว

‘พอร์ตหุ้นที่ดี ต้องสามารถถือผ่านวิกฤต แล้วยังมีปันผลต่อเนื่อง แล้วโตขึ้นเรื่อยๆ ...ส่วนพอร์ตหุ้นสุดยอด คือ พอร์ตที่ให้ปันผล มากกว่า ค่าใช้จ่ายของเรา ...นี้แหละ อิสรภาพทางการเงินอย่างแท้จริง’

อย่าทำงานให้หุ้น ...แต่ให้หุ้นทำงานให้เรา !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


6 เรื่อง ที่ไม่เปลี่ยนแปลงในโลกยุคใหม่



6 เรื่อง ที่ไม่เปลี่ยนแปลง ตามโลกยุคใหม่


บางเรื่อง ไม่เคยเปลี่ยน แม้เทคโนโลยีและโลกจะก้าวหน้าไปเพียงใดก็ตาม ...นั่นแปลว่า ยิ่งเราเข้าใจสิ่งที่ไม่เปลี่ยน เราก็จะเข้าใจว่าอะไรคือ ความมั่นคง และ มั่งคั่ง ในอนาคต


1. ‘ผู้นำ ร่ำรวยเสมอ’ ...การเรียนที่ทำเราการันตีความสำเร็จ คือ การเรียนรู้การเป็นผู้นำ (Leadership) ...แต่ปัญหาคือ วิชาการเป็นผู้นำไม่ได้เรียนรู้จากการท่องจำและทำตาม เพราะนั่นคือ ผู้ตาม


2. ‘การเรียนรู้สิ่งใหม่ คือ การเรียนรู้การฝึกนำตัวเองในเรื่องความคิด’ ...ถ้าเราจะวัดว่า เด็กคนนึงมีความเป็นผู้นำในตัวเองหรือเปล่า ให้เฝ้าสังเกตการเรียนรู้ที่เขาเลือกเอง ...เด็กที่กระหายความรู้ จะผันตัวเองเป็นผู้นำได้ในที่สุด


3. ‘การช่วยเหลือคนอื่น คือ นิสัยของผู้นำ’ ...คนที่ใครๆ ก็รัก และ อยากติดตาม คือคนที่ใส่ใจคนอื่น และ หมั่นช่วยเหลือคนอื่นอยู่เสมอ 


4. ‘คนที่มีเป้าหมาย แน่วแน่ จะดึงดูดคนเก่ง’ ...การทำงานกับ เป้าหมายและความแน่วแน่ คือ การทำงานที่เต็มไปด้วยแรงบันดาลใจ ...คนแบบนี้จะดึงดูดคนเก่ง คนเปลี่ยนโลก


5. ‘คนที่มองไกล ร่ำรวยกว่าเสมอ’ ...ถ้าใครวางแผนรวยระยะสั้น มักวิ่งเข้าหาการพนันและการเสี่ยงโชค ..ถ้าวางแผนรวยระยะยาว ต้องใช้การวางแผน


6. ‘ถ้าเรารับใช้เทคโนโลยีเราจะจนลง แต่ถ้าเราเรียนรู้เอาเทคโนโลยีมาใช้ เราจะรวยขึ้น’ ....อย่ากลัวเทคโนโลยี แต่ให้เรียนรู้และปรับใช้เทคโนโลยีให้มีประโยชน์กับเราอย่างสม่ำเสมอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันอังคารที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2561

อะไรคือ สิ่งที่เสี่ยงที่สุดที่เคยทำมาในชีวิต



อะไรคือ สิ่งที่เสี่ยงที่สุดที่เคยทำมาในชีวิต 


ถามแบบนี้ วัดความบ้า ของมนุษย์แต่ละคนได้ดีเลย


ถ้าใครตอบว่า ‘ไม่เคย’ ...อันนี้น่าเสียดายสุด เพราะ จะพลาดโอกาสการเรียนรู้ หรือ การเติบโตในชีวิตแบบก้าวกระโดดไป


ผมได้มีโอกาสสัมภาษณ์ และ คลุกคลีกับคนที่ประสบความสำเร็จในชีวิตจำนวนมาก ..คนเหล่านี้มีสิ่งนึงที่เหมือนๆ กัน ก็คือ ‘ความบ้า ในอดีต’ 


...ทุกครั้งที่เราคุยกับคนเหล่านี้ เราจะพบว่า ‘ทำไปได้อย่างไร’ 


ซึ่งถ้าคิดดีๆ แล้ว มันเป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว ที่เราควรจะมีความกล้า ความบ้า และทดลองสิ่งใหม่ๆ เมื่ออายุน้อยๆ เพราะ สิ่งที่ทุกคนต้องเจอในชีวิต ก็คือ ความล้มเหลว 


‘ความล้มเหลว’ นี่แหละ ที่จะกำหนด โอกาส และ ความสำเร็จในชีวิตของแต่ละคน


พ่อแม่หลายๆ คนมองว่า สิ่งที่ทำให้ลูกสำเร็จคือ โรงเรียน แต่เอาเข้าจริง ผมว่า สิ่งที่สอนให้คนแกร่ง และ เห็นโอกาส รวมทั้งสอนบทเรียนที่หาเรียนไม่ได้ อย่างการรู้จักตัวเอง ก็คือ ความล้มเหลว


ยิ่งใครก็ตาม ที่เจอความล้มเหลวครั้งใหญ่ แล้วผ่านไปได้ คนๆ นั้น ก็มีโอกาสสำเร็จในชีวิตได้มากกว่า


เรามาทำความรู้จักกันดีกว่า ว่า ‘ความล้มเหลว ที่ผมพูดถึง มันคืออะไร ?’


1. ‘ล้มเหลว เพราะเชื่อคนอื่น’ ...อันนี้มักเกิดกับคนอายุน้อย ที่ถูกชักจูงโดยคนที่เขาคิดว่าเก่ง สุดท้ายก็โดนหลอก ..บ้างชวนไปขายแชร์ลูกโซ่ ก็ว่ากันไป


2. ‘ล้มเหลว เพราะศรัทธา’ ..อันนี้จะหนักกว่า แบบแรก เพราะ เป็นความเชื่อ และ ความศรัทธาคนอื่นแบบขาดสติ ...อันนี้มักเกิดในเวลาที่เราอ่อนแอ ...ใครล้มเหลวแบบนี้ จะเจ็บหนัก แบบเสียศูนย์ 


3. ‘ล้มเหลว เพราะขาดประสบการณ์’ ...อันนี้ผมว่าเจอทุกคน ในทุกเรื่องที่เราทำ ...ถ้าผ่านตรงนี้ไปได้ คุณจะคุมความเสี่ยงเป็น ...เพราะ คนมีประสบการณ์ ต่างจากคนไม่มีประสบการณ์ ก็คือ ความเข้าใจในเรื่องความเสี่ยงนี่แหละ 


4. ‘ล้มเหลว เพราะเชื่อมั่นในตัวเอง’ ...อันนี้วิกฤตวัยกลางคน และ มักเกิดกับคนเก่ง ที่ผ่านประสบการณ์มาพอสมควร 


5. ‘ล้มเหลว ไม่เข้าใจตัวเอง’ ...อันนี้มักเกิดกับคนเก่งที่ประสบความสำเร็จ แต่ไม่เคยมีความสุข เพราะไม่เคยพอ ...ปัญหาหลักคือ คนเหล่านี้ ชนะได้ทุกอย่าง แต่แพ้ใจตัวเอง 


ไม่มีใครได้ทุกอย่างหรอก ...หากเราต้องการมีความสุข เราก็แลกด้วยการทำในสิ่งที่เราไม่มีความสุข 


เมื่อเราเข้าใจว่า ‘ความล้มเหลว’ ก็คือ ส่วนนึงของ ‘ความสำเร็จ’ มันมาด้วยกัน เพียงแต่ เราต้องรับ ความล้มเหลว แล้วผ่านไปได้ ถึงจะเจอ ความสำเร็จ และ ความสุข


...แล้วเราก็จะเจอความล้มเหลว ครั้งต่อไป ...ใช่!! กลัวอะไร แค่เข้าใจ แล้วสนุกไปกับมันก็พอ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

จาก เซเปี้ยน ถึง AI



จาก เซเปี้ยน ถึง AI 

วันนี้ไปตามแผงหนังสือ จะพบความแรงของหนังสือ Sapien ..ซึ่งต้องยอมรับว่าเป็น หนังสือที่เนื้อหาโคตร Niche คือ คนเขียนโคตรติสต์ ...ลองนึกภาพ ศาสตราจารย์ในมหาวิทยาลัยที่ประเทศอิสราเอลมาเขียนหนังสือ ที่อิงประวัติศาสตร์ หนาระดับที่ว่า คนธรรมดา ผมฟันธงว่า ไม่มีทางอ่านจบ

แต่ปรากฏว่า หนังสือเล่มนี้ ขายดีระดับโลก ..หนังสือเขาแปลไป 40 ภาษาทั่วโลก ขายไปกว่า 12 ล้านเล่ม

แน่นอน!! ผมต้องซื้อมาอ่าน เพราะอยากรู้ว่า ‘ทำไมขายดี ?’ ...อาจจะต่างจากคนอื่น ที่ซื้อมาอ่านเพื่อจะรู้ว่าความรู้เด็ดคืออะไร ..ไม่!! ผมสนใจว่า ทำไมขายดี ?

พออ่านไปพบว่า

1. ‘คนเขียนเป็นนักเล่าเรื่องชั้นยอด’ ...คนเราชอบดูหนัง แต่ไม่ชอบดูหนังสือ ก็เพราะ มันน่าเบื่อ ..ประเด็นหลักที่คนสนใจคือ วิธีการเล่าเรื่อง ...ถ้าคุณฝึกวิธีเล่าเรื่องให้สนุก คุณจะใส่เนื้อหาอะไรมันก็สนุก ...ตัวอย่าง ชัดๆ ที่เด็กนักเรียนชอบเรียนพิเศษ เพราะ ติวเตอร์สอนสนุก ตลก ทั้งที่เนื้อหาเหมือนที่โรงเรียนเป๊ะ !! 

2. ‘คนเขียนชอบเปรียบเทียบจนเห็นภาพ’ ..เขายกตัวอย่างว่า สิ่งที่มนุษย์เหนือสัตว์อื่น เพราะ ‘ความเชื่อ!!’ ..ถ้าพูดแค่นี้เราก็ไม่เห็นภาพ ...แต่เขายกตัวอย่างให้เห็นว่า “คุณไม่สามารถหลอกลิง ให้แบ่งกล้วยให้คุณ โดยหลอกมันว่า ถ้าลิงแบ่งกล้วยวันนี้ พอมันตายไป จะมีกล้วยบนสวรรค์ลิง กินแบบไม่มีหมด”

คุณหลอกลิงไม่ได้ แต่คุณหลอกคนได้ ...เพราะ คน มีความเชื่อ !! ...ความเชื่อของคนนี่เอง ที่ทำให้ เผ่าพันธุ์มนุษย์สามารถ แบ่งปันทรัพยากร อย่างคุ้มค่า และ สร้างอำนาจให้แก่มนุษย์

3. ‘วางแผนการเขียน อย่างดีเยี่ยม’ ...คนปกติ กว่าจะเขียนหนังสือได้เล่มนึงก็กลั่นมาจากประสบการณ์ทั้งชีวิต แต่นี่คนเขียน วางแผนเขียน แบบซีรี่ย์ เริ่มจาก เล่มแรก เล่าอดีต ตั้งแต่ มนุษย์ลิง จนครองโลก ..เล่มที่สอง เล่าเรื่อง อนาคต เทคโนโลยี และ การเปลี่ยนแปลง ..เล่มที่สาม เล่าเรื่อง ปัจจุบัน

4. ‘นักเขียนที่ดี ต้องเป็นคนทันสมัย’ ...การเล่าเรื่องอดีต จะน่าเบื่อมาก ถ้ามันไม่เกี่ยวกับปัจจุบัน ...การรู้จักนำเรื่องราวมาเชื่อมโยง จนคนธรรมดาเข้าใจได้นี่แหละ ที่จะสร้างเสน่ห์ให้เรื่องที่เล่า 

คุณไม่อยากรู้เหรอว่า เราชาวลิง Sapien จะถูกแทนด้วย AI เมื่อไหร่ ...เริ่มจากไหน แล้ว สุดท้ายลูกหลานเราจะไปทำอะไร ?

5. ‘หนังสือที่ดี ต้องสร้างแรงบันดาลใจ’ ...ลองสังเกตดูซิครับ ว่า หนัฃสือขายดีทั้งโลก ต้องอ่านแล้วมีพลัง ...ถ้าอ่านแล้วหลับ รับรองขายไม่ได้ ...หนังสือดี กับ หนัฃสือขายดี จึงไม่เกี่ยวกัน ...ถ้าคุณไม่อินในเรื่องที่เขียน ก็ไม่มีทางที่จะเขียนออกมาได้มีพลัง

6. ‘ความชัดเจน’ ...หลายคนเข้าใจว่า ความชัดเจนคือ ทำนายอนาคตแม่นยำ รู้ทุกอย่าง ...ผิดเลย !! ความชัดเจน คือ มีเป้าหมายชัดเจนในการนำเสนอ ...ถ้าเป้าหมายคือ อยากให้คน งง ...ความ งง ก็คือ สิ่งที่ต้องนำเสนอให้ชัดเจน ...อ่านจบ ทั้ง งง ทั้ง กลัว ..งั้นเตรียมอ่าน เล่ม 2 จะได้ งง เพิ่ม 

7. ‘ไม่มีใครอยากเสียเวลาอ่านหนังสือที่ไม่รู้จักคนเขียน’ ...การเขียนหนังสือ คือ การถ่ายทอดความเชื่อ ...เราคงไม่เชื่ออะไรก็ตาม ที่ไม่รู้ว่า ใครเป็นคนเล่า ..การสร้างตัวตน โดยการเชื่อมโยงกับคนอ่าน ทำได้ง่ายในยุคปัจจุบัน ...อันนี้แหละ คือ การเริ่มต้นทำสิ่งแรก ถ้าเราอยากจะเป็นนักเขียน นักคิด

8. ‘ไม่มีอะไรใหม่ ในโลกนี้ แต่เราต้องไม่ตามใคร’ ...ถ้าคุณเป็นหนอนหนังสือแบบผม จะรู้ว่า จริงๆ แล้ว ไม่มีความรู้ใหม่ในโลกใบนี้ ...สิ่งที่เกิดขึ้นในสมัยนี้ ก็เคยเกิดขึ้นแล้วในสมัยฉินซี หรือ สมัยโรมัน ...ขออย่างเดียว ว่า อย่าทำตามใคร คิดตามใคร และ เขียนตามใคร ...คุณต้องเล่าเรื่อง ในแบบของคุณ ด้วยวิธีการของคุณ และ ต้องมีจุดยืนไม่เหมือนใคร

ผมเขียนมา 8 ข้อแล้ว เพื่อจะชี้ให้เห็นว่า ...มนุษย์ลิง Sapien อย่างเรา จะไม่มีทางถูกทดแทนด้วย AI ตราบเท่าที่ เรามีชีวิต มีพลัง และเลือกเดินในแบบของเราเอง

...ทุกวันนี้เราเครียดกันมากขึ้น เพราะ ด้วยเทคโนโลยีที่เปลี่ยนแปลง มันมากระทบ งานและ อนาคตเราอย่างรวดเร็ว บางคนตกงาน บางคนรายได้ลด ...แต่สิ่งที่แน่นอน คือ ความสามารถในการปรับตัวของมนุษย์ ...ให้คิดบวก ให้อดทน ให้เรียนรู้ และ ให้เปลี่ยนแปลง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อยากชีวิตดี มีคำแนะนำไหม



‘อยากชีวิตดี มีคำแนะนำไหม’


ต้องถามว่า ‘อยาก’ แค่ไหน 


เคยได้ยินคำพูดนี้ไหม ว่า ‘เมื่อเราอยากมากพอ สิ่งนั้นจะปรากฏ’


เรามาดู พลังของความอยากเป็นลำดับขั้น ดังนี้


1. ‘อยาก แต่ไม่ทำอะไร’ ..อันนี้คือ คนส่วนใหญ่ เช่น อยากผอม แต่ไม่ทำอะไรเลย ...ไม่ลดอาหาร ไม่ออกกำลังกายเลย ...ถ้าแปลตรงๆ ‘ความอยาก’ แบบนี้ คือ ความอยากเทียม ..ของปลอม ..ก็ไม่ได้อยากได้จริงๆ 


2. ‘อยาก แล้วเริ่มศึกษา’ ...อันนี้คือ คนที่อยากทำอะไร แล้วเริ่มจากการศึกษาหาความรู้ อันนี้ดีกว่าขั้นแรก ที่อยากเฉยๆ แต่ไม่ทำอะไร ...ข้อเสียของ ‘ความอยากแบบนี้คือ มักท้อก่อนสำเร็จ ...พูดง่ายๆ ว่า ถ้าเรียนอย่างเดียวโดยไม่ได้ลงมือทำ มันไปถึงฝั่งฝันยาก ...หลักๆ เพราะ เราไม่ได้ลิ้มรสความสำเร็จระหว่างทาง’ ...จะบอกว่า ความสำเร็จเล็กๆ ระหว่างทางที่เดิน สำคัญที่สุดต่อความสำเร็จระยะยาว


3. ‘อยาก จนลงมือปฏิบัติ’ ..คนแบบนี้ คือ อยากทำอะไร ก็กระโดดเข้าไปทำเลย ..ถ้าสำเร็จก็เปรี้ยงเลย แต่โดยมากจะล้มหนัก ...ข้อเสียคือ เจ็บหนัก แล้วอาจลุกไม่ขึ้น


แล้วแบบไหนดีกว่ากัน ?


ตอบเลย แบบ 2 กับ แบบ 3 ดีกว่า ...เพียงแต่สิ่งที่สำคัญกว่า คือ เตรียมใจล่วงหน้ากับทางที่เราเลือก


และต้องเข้าใจด้วยว่า ‘ความสำเร็จ’ ในชีวิตจริง ไม่มีสูตรสำเร็จ ...คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า ถ้าเราเดินตามแนวทางของคนที่สำเร็จ แล้วจะสำเร็จตาม 


แต่ที่แน่ๆ คนที่ ชีวิตดี ...มันเป็นผลมาจาก ‘ความลำบาก และ อดทน ในอดีต’


ถ้าลำบากมากพอ เดี๋ยววันหน้า จะดีเอง 


...ถ้าวันนี้ คุณออกกำลังกายมากพอ ..วันหน้าจะทั้งหุ่นดีและ สุขภาพดี


...ถ้าวันนี้ คุณทำงานหนัก ..ใช้เงินน้อย ไม่ซื้อของหรูหราตามใจตัวเอง ...หมั่นสะสมสินทรัพย์ ด้วยความอดทน เป็นเวลานานพอ ...อนาคตคุณก็จะร่ำรวย 


แปลกตรงไหน ? ...มันแปลกตรงที่คนส่วนใหญ่ คิดว่า ทำอะไรเหมือนเดิม ไม่ต้องพยายามเพิ่ม เรียนรู้แบบเดิม แล้วหวังว่า อนาคตจะดี ...ถ้าคิดและทำแบบนี้แล้วสำเร็จ ผมว่า มันแปลกจริงๆ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ