วันนี้คุณสงสัยไหมว่า "ใครอ่านหนังสือ ?" ..สถิติ คนไทยไม่ชอบอ่านหนังสือ ..ถึงอ่านก็หาอ่านฟรี เพราะ คนไทยส่วนใหญ่มองว่า การซื้อหนังสือเป็นสิ่งที่ไม่จำเป็น
ดังนั้น ตลาดหนังสือในอดีต ก็คือ ตลาดที่คนไม่อ่านหนังสือ และเต็มไปด้วยคนไม่ยอมจ่ายเงินซื้อ
ไงครับ !! สรุปข้อมูลได้แบบนี้ ก็ฟันธงได้เลยว่า อาชีพนักเขียนคือ "อาชีพไส้แห้ง"
ดังนั้น ถ้าคุณไปถามคนส่วนใหญ่ เขาก็จะพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า "นักเขียนไส้แห้ง" ..ถ้าคุณมีลูกหลาน คุณก็คงไม่อยากให้ลูกหลานคุณทำอาชีพนี้ เพราะ ทุกคนบอกว่า นักเขียนไส้แห้ง
ก็นี่แหละ ความคิดในกรอบ ที่คนส่วนใหญ่คิดตามๆ กัน คิดเหมือนกัน มองเหมือนกัน ...แต่ลองมองอีกด้านซิครับ คุณเคยเห็น "นักเขียนไส้เปียกไหม?" ...ใช่ "ใส้เปียก" อิ อิ ก็ไอ้นักเขียน ที่เขียนแล้วรวย เขียนแล้วรุ่ง ..."ลองคิดซิครับว่า นักเขียนไส้เปียก เขามีวิธีคิดอย่างไร"
มาเรามาเปิดคำภีร์ "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" กัน ...
หนึ่ง ถ้าคิดในกรอบ จะมองว่า อาชีพนักเขียน ไม่มีโอกาส ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ จะพบว่า ตลาดนี้ ไม่ใช่ Red Ocean เพราะคนส่วนใหญ่ไม่อยากเข้ามา เพราะ มองว่า อาชีพนี้จน -- "ดังนั้น คู่แข่งน้อย แสดงว่า โคตรๆ แห่งโอกาส"
สอง ลองมองซิว่า รายได้ของนักเขียนมาจากอะไร ..ซึ่งถ้ามองก็จะพบว่า รายได้นักเขียนของเมืองไทย มาจากค่าขายหนังสือ ซึ่งน้อย ..ถ้าเข้ามาเพื่อตรงนี้ แปลว่า มองในกรอบ ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ ก็ต้อง ตั้งโจทย์ว่า "นักเขียน" สามารถมีรายได้ทางอื่นนอกจากแค่ค่าขายหนังสือ หรือ ไม่ -- ตอบให้ ..วันนี้รายได้นักเขียน อาจมาจากการจัดสัมมนา , นักเขียน สามารถช่วยบริษัททำโฆษณา หาลูกค้า Online , นักเขียนสามารถทำตลาดให้บริษัทใน Social Network . นักเขียนสามารถ Package ข้อมูลขาย เรียก Info-Preneur , นักเขียนสามารถทำงานที่ปรึกษา ถ้าเรามีความรู้จริงในเรื่องที่เขียน -- พูดง่ายๆ นักเขียน คือ คนที่เก่งในเรื่องของ "การสื่อสาร" ถ้ามองตัวเองแค่ขายหนังสือ คุณก็จะตันในการหารายได้ แต่ถ้าเรามองตัวเองว่า เป็นผู้เชี่ยวชาญด้าน การสื่อสาร ..คราวนี้โอกาสเปิดกว้าง หาเงินได้ไม่จำกัด ขอให้เก่งในการสื่อสาร และ เลือกเรื่องที่เราถนัด
สาม ถ้าคิดในกรอบ นักเขียนก็จะมองว่า งานเขียนของเขาต้องขายผ่านร้านหนังสือเท่านั้น ซึ่งร้านหนังสือก็คล้ายๆ 7-11 ที่หักค่าวาง จากยอดขายประมาณเกือบครึ่ง โดยไม่สนว่าจะขายได้หรือไม่ และ ก็ไม่สนว่าต้นทุนหนังสือจะเท่าไหร่ ...ดังนั้น ถ้าคิดว่า งานเขียน ต้องขายเฉพาะร้านหนังสือก็คือ คิดในกรอบ ...แต่ถ้าคิดแหกกฏ เราก็มองซิว่า วันนี้งานเขียน ขายที่ไหนได้บ้าง เช่น ขาย Online ..ผ่านใครได้บ้าง เช่น Oakbee ..ขายให้ลูกค้าโดยตรง ผ่าน Internet ไม่ต้องพิมพ์ หรือ พิมพ์ On-Demand ที่หายอดจองแล้วค่อยพิมพ์ แล้วก็ขายได้กำไรเต็มๆ ขายน้อย แต่ขายได้แพง ...ก็สรุปได้กำไรเท่าเดิม แต่เหนื่อยน้อยลง และ ไม่ต้องมี Stock สินค้า ที่เป็นเงินจม
สี่ ไม่มีเงิน ..อันนี้คิดในกรอบ ก็ไม่ทำ เพราะ ไม่มีเงิน ...ถ้าคิดนอกกรอบ วันนี้มี Crown-Funding คือ ระดมทุนก่อน แล้วเราค่อยทำสินค้า ...บอกตรงๆ ทุกสินค้าและบริการ วันนี้ ขอให้คุณมีไอเดีย คุณหาเงินทุนได้ก่อน ...บนสมมุติฐานว่า ไอเดียคุณต้องได้เรื่อง ...ไม่ใช่มาคิดแบบง่ายๆ เช่น เปิดร้านขายของ ขายใครก็ได้ ..หรือ เปิดร้านขายขนม ขายคนที่อยากกินขนมของฉัน ...ถ้าคิดในกรอบแบบนี้ ไม่มีใครให้เงินคุณหรอก เพราะ คุณยังตอบไม่ได้เลยว่า "ลูกค้าคุณคือใคร ..."
โอเค !! ไปอ่าน หนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ....แล้วคุณจะรู้ว่า ที่เรายังไม่สำเร็จ เพราะ "ความรู้คุณไม่พอ" และ "คุณคิดในกรอบ"
...ต้องคิดนอกกรอบ แล้ว หาความรู้ให้พอ -- ความสำเร็จต้องสร้าง ไม่ใช่นั่งรอ ...เพราะ รอ ชาติหน้าก็ไม่สำเร็จ
จริงๆ นะ