แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2556

ต้องทนรวยให้เป็น!! สูตรลับมั่งคั่งสู่พอร์ตพันล้าน สไตล์เซียนหุ้นพันธุ์ใหม่ "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"


จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321277

ในยุคที่ใครๆอยากรวยเร็ว การลงทุนในตลาดหุ้นถือเป็นบันไดก้าวสำคัญที่จะตะกายสู่ความมั่งคั่งในชั่ว ข้ามคืน แต่ก็ต้องยอมรับว่า เมื่อพูดถึงตลาดหุ้น คนไทยส่วนใหญ่ยังร้องยี้ เพราะมองว่าเป็นสนามของเซียนพนัน กระนั้น ภาพลักษณ์ตลาดหุ้นไทยในช่วง 3-4 ปีมานี้ ได้รับการพัฒนาไปแบบก้าวกระโดดอย่างไม่น่าเชื่อ ส่วนหนึ่งคงต้องยกเครดิตให้บรรดาเซียนหุ้นสายพันธุ์ใหม่ ภายใต้การนำของ “แพท–ภาววิทย์ กลิ่นประทุม” หลานปู่ วัย 33 ปี ของนักการเมืองชื่อดัง “ทวิช กลิ่นประทุม” ซึ่งแจ้งเกิดจากหนังสือเบสต์เซลเลอร์ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” และแสดงฝีมือในช่วงหลังวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ สร้างความมั่งคั่งด้วยลำแข้งตัวเองจากเงินล้านสู่พอร์ตพันล้านใน 4 ปี

วงการหุ้นร่ำลือว่า “ภาววิทย์” ประสบความสำเร็จเร็วเพราะเป็นเด็กเส้น

ผม โตมาในครอบครัวนักการเมืองและนักธุรกิจ เป็นหลานปู่ของ “คุณทวิช กลิ่นประทุม” และหลานตาของ “คุณวีระ รมยะรูป” ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และมือขวาของ “คุณชิน โสภณพนิช” ส่วนคุณพ่อทำธุรกิจชิปปิ้งของครอบครัว ไม่ได้ยุ่งเกี่ยวกับการเมือง ผมยอมรับว่านามสกุลช่วยให้ได้รับการยอมรับง่ายขึ้น แต่สุดท้ายก็ขึ้นอยู่กับฝีมือเรา คนชอบผมก็มี...คนเกลียดก็เยอะ เว็บไซต์ pantip เอาผมไปยำเละตลอดเวลา

โตมาแบบลูกคุณหนูหรือเปล่า

พ่อ แม่สอนให้รู้จักใช้เงินมากกว่า ผมไม่ค่อยสปอย และไม่สนว่าที่บ้านทำอะไร ชอบลุยทำอะไรเองมาตั้งแต่วัยรุ่น ทำอะไรก็ได้ที่สร้างเนื้อสร้างตัวด้วยตัวเอง จะรู้สึกภูมิใจกว่าการใช้คอนเนกชั่น ตอนเด็กๆผมฝันอยากเป็นนักธุรกิจ อยากทำอะไรก็ได้ที่เป็นโอกาส ฝันอย่างหนึ่งคืออยากเปิดร้านอาหารเช่นฟาสต์ฟู้ดแบบแมคโดนัลด์

ก่อนเข้ามาท่องยุทธจักรตลาดหุ้น ทำอะไรมาก่อน


ผม เรียนจบปริญญาตรี คณะพาณิชยศาสตร์และการบัญชี จากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ คุณแม่ขอให้ไปเรียนต่อปริญญาโท ที่ออสเตรเลีย แต่ใจจริงอยากทำธุรกิจ พอไปถึงออสเตรเลีย ผมก็มองหาลู่ทางทำธุรกิจทันที บอกคุณแม่ว่าไม่เรียนหนังสือแล้ว และขอเอาเงินค่าเรียนมาวางมัดจำซื้อร้านอาหาร ผมเปิดร้านแรกที่นิวเซาท์เวลส์ ภายในเวลา 5 ปี ขยายร้าน 5 สาขา แต่ต้องสะดุดครั้งใหญ่ เพราะเจอวิกฤติเศรษฐกิจ เป็นช่วงก่อนเกิดวิกฤติแฮมเบอร์เกอร์ปลายปี 2008 ตอนนั้นสัญญาณเริ่มมาแล้ว ฝรั่งหยุดใช้จ่ายหมด ผลปรากฏว่า ผมขาดทุนไป 20 ล้านบาท รู้สึกแย่มาก เลยตัดสินใจเก็บกระเป๋ากลับเมืองไทยช่วงต้นปี 2008 กลับมาถึงบ้านเศรษฐกิจยังบูมอยู่เลย คนไทยไม่รู้เรื่อง วิกฤติสินเชื่อซับไพรม์ก็ยังไม่เกิด ตอนนั้น คุณแม่ฝากให้ทำงานธนาคารกรุงเทพ เป็นนักวิเคราะห์การเงินอยู่กับ “คุณโทนี่-ชาติศิริ โสภณพนิช” ช่วงนี้เองที่ทำให้ผมมีเวลาศึกษาข้อมูลเศรษฐกิจ ผมศึกษาย้อนหลังดูข้อมูลบริษัทต่างๆในช่วงนั้น พบว่าที่จริงแล้ว กลุ่มธนาคารแทบไม่ได้รับผลกระทบจากวิกฤติ แถมยังกำไรเพิ่มขึ้นด้วยซ้ำ

ที่บ้านปลูกฝังเรื่องการลงทุนและการออมเงินตั้งแต่เด็กเลยไหม

ครอบครัว ผม แค่เฟอร์นิเจอร์ในบ้านก็มีแต่ของเก่า คุณพ่อชอบของแอนทีกหมดเลย พอผ่านไป 10 ปี มูลค่าเพิ่มเป็น 10 เด้ง บ้านผมจะไม่มีทางซื้อรถสปอร์ต 10 คัน ถ้าจะซื้อรถสปอร์ตสักคันเพื่อสร้างภาพลักษณ์ก็ได้ แต่คุณจะต้องคัตลอสท์ไปเลย เพราะสุดท้ายมันจะไม่มีมูลค่าอะไร ถ้าอยากถือกระเป๋าแบรนด์เนมก็ซื้อได้ แต่ไม่ใช่ซื้อเยอะไปหมด จนสุดท้ายไม่เหลือมูลค่า

เริ่มสนใจเข้ามาลงทุนในตลาดหุ้นจริงจังเมื่อไหร่

แรก เริ่มผมช่วยดูพอร์ตการลงทุนของที่บ้าน โดยแนะนำคุณแม่ให้ขายหุ้นแบงก์กรุงเทพไปก่อน ในช่วงต้นปี 2008 ราคา 130 บาท เพราะเริ่มเห็นเค้าไม่ดีจากออสเตรเลีย ปรากฏว่า ช่วงปลายปีเกิดวิกฤติซับไพรม์ปั้ง!!...ราคาหุ้นแบงก์กรุงเทพร่วงเหลือ 59 บาท คิดดู!! ผมได้ขายไปก่อนในจังหวะใกล้ๆจุดพีคที่สุด ทำให้มั่นใจว่าเรามาถูกทางแล้ว

ฝึกปรือวิชาการลงทุนในตลาดหุ้นจากที่ไหน

ผม อ่านหนังสือเยอะมาก และศึกษาหาความรู้ แต่ครูที่ดีที่สุดคือพ่อแม่ ผมเห็นพ่อแม่ลงทุนในตลาดหุ้นมาตลอด พวกท่านไม่ใช่คนเล่นหุ้น แต่ทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤติรุนแรง พ่อแม่จะเข้าไปช้อนซื้อเยอะมาก อย่างช่วงเกิดวิกฤติต้มยำกุ้ง ซื้อแบงก์กรุงเทพตอนราคา 20 บาท แล้วเก็บยาวเลย แต่ปัญหาคือ พ่อแม่ซื้อของเก่ง แต่จับจังหวะการขายไม่เป็น พอเราทำได้ดี ก็เลยได้รับความไว้วางใจให้ดูแลพอร์ตหลักหลายร้อยล้านบาท

แจ้งเกิดในวงการตลาดหุ้นได้อย่างไร

ระหว่าง เป็นนักวิเคราะห์ที่แบงก์กรุงเทพ ผมก็ทำบล็อกของตัวเองด้วย ใช้ชื่อว่า Pawawit Stock-Comment แล้วเอาข้อเขียนตัวเองไปแชร์ตามเว็บไซต์ต่างๆ ทั้ง pantip และ stock2morrow ปรากฏว่าเจ้าของเว็บไซต์อ่านบทความแล้วชอบ เลยชวนผมทำหนังสือ เป็นช่วงเดียวกับที่ผมเริ่มดูแลพอร์ตการลงทุนของที่บ้านอย่างเต็มตัว

สร้างพอร์ตของตัวเองด้วยเงินทุนเท่าไหร่ ซื้อหุ้นตัวไหนเป็นตัวแรก

ผม เอาเงินที่เก็บสะสมได้หลักล้านมาลงทุนในตลาดหุ้น ตอนแรกเน้นเล่นแนววีไอ ซื้อแล้วเก็บยาว หุ้นตัวแรกที่ซื้อคือ แบงก์กรุงเทพ เพราะเรารู้ราคามันอยู่แล้ว ตอนที่เกิดวิกฤติซับไพรม์ ราคาลงไปถึง 59 บาท ร่วงเหมือนแบงก์จะเจ๊ง ทั้งๆที่ถ้าเปิดงบดูจะรู้ว่า แบงก์กรุงเทพไม่ได้ขาดทุนเลย แต่ปีนั้นกำไรเพิ่มขึ้นอีก ตอนนี้พุ่งไป 200 บาทแล้ว หลังจากนั้น ผมก็พยายามมองหาหุ้นที่จะเก็บเข้าพอร์ตเรื่อยๆ โดยเทคนิคของผมคือ 70% ของพอร์ตจะซื้อหุ้นไว้เก็บระยะยาว เน้นซื้อสะสมทุกครั้งที่เกิดวิกฤติ ส่วนอีก 30% เอาไว้เทรดดิ้ง ซื้อขายตามรอบ โดยใช้เทคนิคเข้ามาช่วย

หุ้นตัวไหนเป็นซุปเปอร์แมนเอาชนะทุกวิกฤติ

จริงๆแล้วมี 3 กลุ่มคือ แบงก์, พลังงาน และเทเลคอม ไม่ว่าเกิดวิกฤติอะไรสุดท้ายมันต้องกลับมา โดยเฉพาะเทเลคอม หลายคนมองว่าอิงการเมืองเยอะ แต่มันกลายเป็นพระเอกของผม!! สถิติของตลาดยึดตามสูตร 80 : 20 คือ 80% ลงทุนแล้วต้องเจ๊ง ส่วนอีก 20% คือ คนที่ได้เงินจาก 80% ประเด็นก็คือ ต้องมองตลาดให้ออกว่า ใครที่ได้กำไร คนที่อยู่ในตลาดหุ้นมีแสนกว่าคน ทุกคนคิดว่าตัวเองมีความรู้หมด และมีเป้าหมายเดียวกันหมด คือต้องการจะรวย แต่ทำไมเจ๊งถึง 80% ประเด็นคือ หุ้นขึ้นลงตามดีมานด์และซัพพลาย ซึ่งไม่ได้อยู่กับพื้นฐาน พื้นฐานคือกรอบใหญ่ที่บอกได้ว่าใน 5 ปีข้างหน้าหุ้นตัวนั้นจะเป็นยังไง แต่การขึ้นลงของหุ้นไม่เกี่ยวกับพื้นฐานเลย เกี่ยวกับว่ามีคนอยากซื้อหรือเปล่ามากกว่า เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่มองว่าหุ้นตัวนี้ดี แปลว่าหุ้นตัวนั้นแพงแล้วเสมอ จึงไม่ควรซื้อ!! แต่คนส่วนใหญ่เวลาเข้าตลาดจะซื้อหุ้นที่โบรกเกอร์เชียร์ ซึ่งแพงแล้ว คนเหล่านี้คือ 80% ของตลาดนั่นเอง มีแนวโน้มเจ๊งสูง!!

จับจังหวะยังไงให้คว้าโอกาสได้ก่อนคนอื่น

เรา ต้องทำการบ้านตรงข้ามกับตลาด อะไรที่ตลาดมองว่าแย่ เราลิสต์มาเลย โดยมองเป็นกลุ่มอุตสาหกรรม แล้วมาดูรายละเอียดว่า อันไหนที่จริงๆแล้วไม่แย่ ธุรกิจยังดี แต่คนส่วนใหญ่มองว่าแย่เลยขาย เราก็เข้าซื้อ ยิ่งซื้อยิ่งลงก็ต้องซื้อเพิ่มอีก อย่าไปหวั่นไหว ผมเป็นที่ปรึกษาการลงทุนของ บลจ.บัวหลวงมาได้ปีหนึ่ง ทำให้ได้สัมผัสนักลงทุนเยอะ และได้พูดคุยกับทายาทนักลงทุนเยอะ ผมเข้าใจมุมมองเลยว่าทำยังไงถึงจะมั่งคั่ง และได้รวบรวมข้อมูลมาเขียนหนังสือเล่มใหม่คือ “ดีที่สุดในจุดที่ยืน” ถือเป็นคัมภีร์ที่บอกว่า ถ้าทำแบบนี้คุณรวยแน่

เคล็ดลับการสร้างความมั่งคั่งของคนยุคดิจิตอลแตกต่างจากยุคก่อนไหม

สมัย ก่อนพ่อแม่สอนเราให้ทำงานหนัก แล้วเก็บเงินๆๆฝากแบงก์ ผมการันตีเลยว่า ทำแบบนั้นคุณจนแน่นอน ถ้าไม่ได้รวยมาแต่กำเนิด การฝากแบงก์ได้ดอกเบี้ย 0.75% แทบไม่มีทางเพิ่มมูลค่า เพราะเงินเฟ้อตอนนี้ก็ 10% แล้ว เพราะฉะนั้น ยิ่งฝากก็ยิ่งติดลบ เงินยิ่งเก็บยิ่งด้อยค่า ถึงจะมีเงินเดือนเป็นแสนก็ไม่มีทางรวย ก่อนอื่นเราต้องมีรายได้มากกว่ารายจ่าย แล้วเอารายได้ส่วนเกินมาลงทุนเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ คำว่าแอสเซ็ตคือสิ่งที่อยู่ตรงข้ามกับเงิน ซึ่งเป็นสิ่งที่จะชนะเงินเฟ้อได้ เป็นอะไรก็ได้ที่มีจำนวนจำกัด มีมูลค่า และมีความต้องการ ยกตัวอย่างเช่น ที่ดิน ถือไปเถอะระยะยาวต้องกำไร หรือทองคำ ระยะยาวต้องกำไร หุ้นถ้าเป็นหุ้นดี ต้องไม่ใช่หุ้นปั่น ถือไปเฉยๆตรงจุดไหนก็ได้ ผ่านไป 10-15 ปี ยังไงก็ต้องกำไร แต่วัฏจักรของทองคำและที่ดินขึ้นไปเยอะแล้ว สองอย่างนี้เป็นความสำเร็จในการสร้างความมั่งคั่งของคนรุ่นที่แล้ว แต่สิ่งที่เหลือโอกาสอยู่คือ “หุ้น” มี 500 บริษัท ซึ่งคนส่วนใหญ่ไม่ได้อยู่ในหุ้นที่ดีเลย เล่นหุ้นปั่นเกือบหมด ซึ่งต้องเจ๊งแน่นอน หุ้นที่ดีคนยังไม่ค่อยซื้อเท่าไหร่

หุ้นในฝันของนักลงทุนสายพันธุ์ใหม่ต้องมีคุณสมบัติอย่างไร

สำหรับ ผม “หุ้น” เป็นเครื่องผลิตเงินอย่างหนึ่ง หุ้นที่ดีคือ บริษัทต้องเติบโตต่อเนื่อง เป็นบริษัทที่ไม่มีทางเจ๊ง ทำธุรกิจที่คนต้องกินต้องใช้ตลอด ที่สำคัญต้องปันผลดี หุ้นดีๆตามคุณสมบัติที่ว่า สามารถลิสต์ได้เลย ในตลาดมีสัก 10 บริษัท ที่ไม่มีทางเจ๊ง เช่น กลุ่ม ปตท.ยังไงก็ไม่เจ๊ง หุ้นกลุ่มธนาคารใหญ่ๆ 3-4 ตัว ก็ไม่มีทางเจ๊ง ซีพีก็ไม่มีทางเจ๊ง แต่หุ้นพวกนี้มันแพงตลอดเวลา ทำยังไงถึงจะได้เป็นเจ้าของ โอกาสที่ราคาจะถูกทางเดียวคือ เมื่อนักวิเคราะห์ทั้งตลาดบอกว่าหุ้นตัวนั้นไม่ดี ถ้าซื้อได้ราคาที่ถูกในช่วงวิกฤติ และได้ปันผลปีละ 5-10% เราอาจจะได้เครื่องผลิตเงินชั้นดีก็ได้ ทุกปีตลาดหุ้นจะมีการปรับฐานแบบไร้เหตุผล 2-3 ครั้ง นั่นแหละคือจังหวะซื้อหุ้นในฝัน คิดดูว่าถ้าเราสร้างพอร์ตได้ 100 ล้านบาท กินเงินปันผลปีละ 10% ไม่ต้องทำงานชั่วชีวิตแล้ว

พอร์ตโตขนาดไหนแล้วทะลุพันล้านหรือยัง

ผม เล่นหุ้นตั้งแต่ปลายปี 2008 เริ่มจากหลักล้าน ทุกวันนี้โตขึ้นเฉียดพันล้านแล้ว จังหวะเข้าดีด้วย ช่วงแรกพอร์ตโตจากหุ้นตัวเล็กๆพวกหุ้นเทรดดิ้งซะมาก แต่ความท้าทายคือ พอตลาดขึ้นไปถึงจุดหนึ่ง คุณจะสามารถรักษาความมั่งคั่งได้ไหม ยิ่งพอร์ตโตเท่าไหร่จะยากขึ้นเรื่อยๆ ซึ่งสุดท้ายเราก็ต้องกลับมาเน้นหุ้นกลุ่มบลูชิพ

ถ้าหุ้นขึ้นลงแรงๆตั้งสติยังไงไม่ให้หวั่นไหว

เรา ไม่ได้ไปเล่นกับมัน ถ้าเกิดวิกฤติใหญ่ๆ ผมก็ไม่สนใจ เพราะหุ้นในพอร์ตทั้งหมดเป็นหุ้นที่เลือกมาอย่างดีแล้ว ถ้ามีเงินแล้วหุ้นถูกก็จะซื้อเพิ่มอีก คือ พอร์ตใหญ่ 70% จะไม่แตะไม่ยุ่งเลย ซื้ออย่างเดียวไม่ขาย ส่วนพอร์ต 30% ก็ใช้เป็นเครื่องมือทำกำไรชดเชย แล้วนำมาซื้อหุ้นดีๆกลับเข้าพอร์ต การรีอินเวสต์ทำให้พอร์ตโตแบบอัตราเร่ง

หลายคนโจมตีว่า “ภาววิทย์” อีโก้และหลงตัวเอง

ผม เป็นคนมีจุดยืนมากกว่า นักลงทุนที่ดีต้องมีอีโก้และมีจุดยืนที่ชัด ส่วนคนโลเล, ไม่ใฝ่รู้ และไม่รู้จักตัวเอง ก็ไม่ควรเข้ามายุ่ง สำคัญที่สุดคือ ต้องรู้จัก “ทนรวยให้เป็น” ถ้าหุ้นที่ถืออยู่มั่นใจว่าดีก็ต้องถือไปยาว ส่วนใหญ่ไม่มีความอดทนตอนขาขึ้น แต่เวลาขาลงจะอึดมากกอดหุ้นไว้แน่น อีกอย่างต้องรู้จักล็อกความเสี่ยงให้เป็น ตั้งคัตลอสท์ขายตัดขาดทุนที่ 10-15% ถ้ามีวินัยรับรองไม่เจ๊ง!!

แนะนำกลยุทธ์รวยหุ้นยั่งยืนแบบ “ภาววิทย์” หน่อยสิคะ

ถ้า ทำตามความสบายใจตัวเองไม่มีทางรวย!! ต้องทำสวนทางกับคนส่วนใหญ่ ถ้าลงทุนในสิ่งที่ปลอดภัย ก็มักไม่ให้ผลตอบแทน หรือถ้าลงทุนในอะไรที่ดีก็มักจะแพง ตอนขายก็มักขายเวลาเดียวกับที่คนอื่นอยากขาย คือซื้อแพงขายถูกตลอด ก่อนอื่นเราต้องถามตัวเองว่าอยากจะเป็นคนรวยจริงๆหรือเปล่า ถ้าอยากรวยจริงๆต้องรู้จักคิดต่าง คิดอย่างเดียวไม่ได้ต้องทำต่างด้วย แนะนำให้ทำลิสต์หุ้นที่อยากซื้อไว้ ตลาดปรับฐานแรงเมื่อไหร่ค่อยซื้อตัวที่ราคาลง สไตล์ของผมคือ ในกลุ่มอุตสาหกรรมที่คนยี้ ก็ยังมีหุ้นดีๆให้ซื้อเสมอ ตรงกันข้าม อะไรที่คนชอบๆกันก็แปลว่าคนที่อยากซื้อได้ซื้อไปหมดแล้ว เหลือแต่คนอยากขาย ถ้าเมื่อไหร่ได้ยินข่าวดีเยอะๆในหุ้นที่เราซื้อ น่ากลัวแล้ว เพราะถ้ามีข่าวร้ายนิดเดียว เวลาลงจะลงเละเลย สิ่งที่ยากคือ ความอดทน บางครั้งเราอยากประสบความสำเร็จเร็วมาก จนขาดความอดทน ซึ่งทำให้ไม่มีวันสำเร็จ ถ้าเราเข้าใจว่าการลงทุนเหมือนปลูกต้นไม้หนึ่งต้น กว่าจะโตไม่ใช่แค่เวลาข้ามคืน ต้องเริ่มจากต้นกล้าก่อน ก็ปลูกต้นกล้าเยอะๆในหลายๆอุตสาหกรรม ลองอดทนซะอย่าง เดี๋ยวมันก็โตงอกงามเอง.



วันศุกร์ที่ 11 มกราคม พ.ศ. 2556

All Dream come true ..ฝันที่เป็นจริง



การเริ่มต้นของปีนี้ ผมรู้สึกถึงความร้อนแรงของตลาดทุน ...ซึ่ง Week นี้ ผมได้พบผู้บริหารระดับสูงของทั้งบริษัทจดทะเบียนหลายๆบริษัท และ ผู้บริหารตลาดหลักทรัพย์ ..ทุกคนเริ่มให้ความสำคัญกับประเด็นเรื่องตลาดหุ้นมากขึ้นเรื่อยๆ ..วันนี้ที่เขียนบทความ การซื้อขายของตลาดทะลุ 40,000 ล้านบาท ต่อวัน -- คือ พูดเป็นนัยๆ ว่า การที่เงินจำนวน 40,000 ล้านบาท เคลื่อนตัวเปลี่ยนมือในวันๆนึง สามารถสร้างความมั่งคั่งให้คนหลายๆคนได้เลย และ นั่นเป็นทั้ง โอกาส และ กับดัก ที่ทำให้ปีนี้นักลงทุนหน้าใหม่เข้าสู่ตลาดมากมาย

ถ้าผมจะเล่าว่าปีนี้ ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุนของหลักทรัพย์บัวหลวง ซึ่งเป็น Broker รายใหญ่พอสมควรในตลาด ปีที่ผ่านมา 2012 ลูกค้าใหม่ของบริษัทโตเท่าตัว ..คือ พูดง่ายๆ ว่า มีลูกค้ามาเปิดบัญชีใหม่ อีกเท่าตัว ซึ่งการขยายตัวของตลาดทุนขนาดนี้เรียกว่าเยอะมาก ..นอกจากฝั่งคนที่อยากเข้ามาลงทุนจะขยายตัวมหาศาลแล้ว อีกฝั่งที่เป็น บริษัทที่อยากเข้ามาขายหุ้นก็มากขึ้นจริงๆ 

ยกตัวอย่างผมเอง ได้รับโทรศัพท์จากเพื่อนเก่าหลายๆคน ที่ไม่ได้คุยกันมานานมาก โทรหาผมว่า "แพ้ทกรูอยากเอาบริษัทเข้าตลาด"

คำถามแรกคือ "เข้าทำไมฟระ!!"

"ก็ตลาดมันบูมขนาดนี้ ไม่เข้าตอนนี้จะเข้าตอนไหน" 

ก็จริงนะ ผมว่า เวลานี้ มุมมองทั้งในฝั่งคนอยากเอาบริษัทตัวเองมาขาย มันเข้ามาสอดคล้องกับคนที่อยากลงทุนซื้อกิจการ 

โอเคกลับมาที่คำถามเมื่อกี้ คือ "คนขาย" ต้องการขายให้แพงที่สุด เพราะ แท้จริง ไม่มีใครโง่พอที่จะเอาบริษัทที่ตัวเองสร้างมากับมือ มาขายทิ้งให้คนอื่นในราคาถูก หากบริษัทนั้นๆ มีอนาคตที่ดี ..ดังนั้น สิ่งสำคัญคือ เราต้องเข้าใจว่า การที่บริษัทเข้ามา IPO แล้วระดมทุนในตลาด ไม่มีทางที่เขาจะเอาบริษัทเข้ามาขายถูกๆ แต่สิ่งที่เราต้องดูคือ เราต้องแน่ใจว่า การมาระดมทุน ขายบางส่วนของกิจการให้คนอื่นร่วมเป็นเจ้าของแสดงว่า เจ้าของเดิม อยากได้เงินลงทุนเพิ่มเติม ซึ่งเงินนั้นควรจะกลับเข้าไปลงทุนใน Project ที่จะทำให้กิจการเติบโตแบบก้าวกระโดด มิเช่นนั้น พูดได้เลยว่า ไม่น่าสนใจ

"การดูกิจการ ที่ดี ต้องมองอย่างไร" 

ไม่ยากครับ ..การเลือกลงทุนในกิจการที่ดี ใช้ Common Sense เป็นหลักก่อนเลยว่า บริษัทที่เราอยากลงทุน เขาทำธุรกิจอะไร แล้วเขามี "จุดแข็ง" ที่ดีกว่าคู่แข่งอย่างไร ซึ่งทั้งหมดนี้ จะตอบได้ว่า กิจการเขาจะเติบโตและมีกำไรต่อเนื่องหรือไม่ เพราะ แท้จริงแล้ว การเข้ามาซื้อหุ้น มันก็คล้ายๆ กับว่า เราเข้ามาซื้อส่วนนึงของการเป็นเจ้าของธุรกิจนั้นๆ เราต้องแน่ใจว่า กิจการควรดีและเติบโต ..เพราะ การเติบโตของยอดขายและกำไร สุดท้ายจะสะท้อนมาที่ "ราคาหุ้น" ที่จะเพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆ และ นั่นคือ เป้ามหายของนักลงทุนที่เข้ามาเก็งกำไร

โอเค สรุปง่าย "หุ้น" ไม่มีหุ้นถูก ถ้ากิจการไม่มีวิกฤต ดังนั้น คนที่หาหุ้นถูก ก็คือ ต้องหาที่วิกฤต แล้วเข้าไปดูว่า บริษัทนั้นๆจะผ่านวิกฤตไปได้ จึงสามารถเข้าซื้อเก็งกำไร หรือ เก็งการ Turnaround ...

"หลายคนอ่านถึง ตรงนี้ อาจเริ่มสงสัยว่า ตกลง การเข้ามาสร้างความรวยในตลาดหุ้นมันง่ายแบบที่คนอื่นบอกหรือไม่ ...ตอบเลยว่า ไม่ เพราะ ตลาดหุ้นไม่มีใครโง่ ดังนั้น อย่าคิดจะมี Free Lunch ..ทุกอย่างที่อยู่ในตลาดหุ้น มันมีเหตุมีผลของมันเสมอ ...อย่างหุ้นที่ดี ราคาย่อมแพง หุ้นที่แย่ ราคาย่อมถูก ...การหาโอกาสก็คือ การวิเคราะห์หาของดีในวิกฤต จริงๆ มันก็แค่นั้นหากเข้าใจ ..ดังนั้น สิ่งสำคัญสำหรับการลงทุนคือ การเปิดตา มีสติ และ ศึกษาให้เยอะ ...ผมเชื่อว่าโอกาสเกิดจากการที่เราเข้าใจในสิ่งหนึ่งๆมากกว่าคนอื่น และ เรามีความเชื่อมั่น และ อดทนในการลงทุนเพียงพอ ..สุดท้ายเราก็จะได้ดอกผลแห่งการลงทุน

พูดมาซะยาว ยังไม่ได้เล่าเรื่อง All Dream Come True ของ ดิสนีย์แลนด์เลย ..ผมเชื่อว่าเด็กส่วนใหญ่รู้จัก Walt Disney .."หนูหูดำ ..ฮ่า ฮ่า ก็ Mickey Mouse นั่นแหละ" ...ปลายปีที่ผานมา ผมไปเที่ยวญี่ปุ่น ก็แวะไปเที่ยว Disneyland อีกครั้ง ประมาณว่า ลื้อฟื้นความทรงจำในวัยเด็ก ...วันนี้ผมรู้เลยว่า มุมที่เรามองมันเปลี่ยนไป ..ผมรู้สึกตื่นเต้นมากขึ้น ไม่ใช่ตื่นเต้นที่ต้องยืนรอเครื่องเล่น แต่ละเครื่องเป็นชั่วโมง (เรื่องปกติของญี่ปุ่น) ..แต่ผมตื่นเต้นใน Concept ที่เขาบอกว่า "สถานที่ทั้งหมดนี้ มันเริ่มจากความฝัน"

"ก็จริงนะ!!" ..เพราะ ไม่ว่าจะเป็น Mickey Mouse และ ตัวการ์ตูนทั้งหมด มันถูกเขียนขึ้นมาจาก จินตนาการ คือ ไม่มีตัวตนจริงๆ ..และ สุดท้ายเขาก็เอาตัวการ์ตูน มาสร้างเป็นสวนสนุก  ให้เด็กๆ ทั่วโลกจับต้องได้ ...คือ มันคิดแล้ว เทพมากๆ กับ การสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตนให้มีตัวตน แล้วเปลี่ยนเป็น Final Destination ของเด็กๆ ทั่วโลก

"หลอกเด็ก!!" ...ฮึม นายแน่มาก ...ฮ่า ฮ่า

จาก Disneyland ถึง ตลาดหุ้น ...ถามจริงๆ คุณว่า การสร้างสิ่งที่ไม่มีตัวตน ให้มีตัวตน มันแทบไม่ต่างกัน

หนึ่งใน Concept ที่น่าสนใจของตลาดหุ้น และ เรื่องหุ้น ผมว่าตอบโจทย์หลายข้อ ..เอาเรื่องการแบ่งมรดกก่อน ..เดิมที "กงสี" ของครอบครัว มันแบ่งเงินกันยาก เพราะ การตีค่าของสิ่งต่างๆ มันไม่ชัดเจน ดังนั้น หลายๆ ครอบครับ ที่มีกิจการใหญ่พอ ก็ใช้วิธีการกิจการเข้ามาขายในตลาดหุ้น แล้วแบ่งมรดกให้ลูกเป็นหุ้นแทน ..ซึ่งหยุดการฆ่าล้างตระกูล เพื่อชิงมรดก

อีกเรื่องสำคัญคือ การสร้าง "มูลค่า" ...เดิมทีกิจการ ที่เราเป็นเจ้าของ ก็จะมีรายได้จากการทำธุรกิจ ขายสินค้า หรือ บริการแล้วได้กำไร ...และ นั่นก็คือ "มูลค่า" ...แต่การที่เอาบริษัทมาจดทะเบียนแล้วระดมทุนในตลาด ก็ก่อให้เกิดการตีมูลค่าของกิจการออกมาเป็นราคาหุ้น ดังนั้น เราสร้างสิ่งที่ไม่เคยมีมาก่อนคือ "มูลค่าของกิจการ จากการคำนวณราคาหุ้น"

"หลายคนถามผมว่า แล้วเจ้าของ บริษัทในตลาดหุ้น เขารวยจากอะไร??"

โอ้โห ..เขารวย จากหลายเด้ง ที่แน่ๆ คือ เขารวยจาก "ราคาหุ้น" ...ซึ่งวิธีการคิดความรวยของเขามันยิ่งง่ายขึ้น ก็โดย เอาจำนวนหุ้นที่เขาถือ คูณ กับ ราคาหุ้น ก็จะได้ "มูลค่าความรวยแบบทันตาเห็น" ... ก็นี่แหละคร่าวๆ ว่า มุมมอง ความมั่งคั่ง ของคนแต่ละคน ต่างกัน ก็ทำให้ความรวย และ การสร้างตัวแตกต่างกัน ...คนที่มีธุรกิจอยู่นอกตลาด ก็อาจชินกับการสร้างธุรกิจ ทำกำไร แล้วพยายามหลบภาษี แล้วรวยจาก รายได้ และ กำไร ของธุรกิจ ...แต่คนที่เป็นเจ้าของธุรกิจในตลาดหุ้น อาจมองตรงข้าม ตรงที่พยายามสร้างให้ธุรกิจกำไร จากทั้งการกู้ และ จ้างมือโปรเข้ามา สร้างให้กิจการเติบโต ..ตัวเองก็รวยจาก ราคาหุ้นที่เพิ่มขึ้น โดยที่ตัวเอง ทำงานหนักน้อยลง เพราะ มีมืออาชีพมาทำงานแทน

ก็ว่ากันไป เดี๋ยวนี้ ทางเลือกมันเปิดมากขึ้น สำหรับคนรุ่นใหม่ ..อย่างแรก เราต้องเข้าใจก่อนว่า เป้าหมายที่เราต้องการจำไปถึงคืออะไร เราต้องการทำทุกอย่างเอง หรือ เราอยากเอามืออาชีพมาบริหาร ..ต้องการกำไรสุด หรือ ต้องการ Leverage แล้วสร้างการเติบโต ซึ่งสุดท้ายมันขึ้นกับตัวเราเองว่า เราต้องการประสบความสำเร็จเป็นอะไร เป็นใคร และ ยืนที่จุดไหนของสังคม

....ไว้โอกาสหน้าเดี่ยวจะมาเล่าให้ฟังกันต่อถึงมุมมอง การสร้างตัวของคนรุ่นใหม่ในรูปแบบต่างๆ ละกัน ..โย่ว!!

วันพฤหัสบดีที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2556

ทักทายกันแนว "ดีที่สุดในจุดที่ยืนปี 2013" กับ ภาววิทย์

 
 
ก็ต้องสวัสดีปีใหม่ทุกท่าน หลังจากหยุดยาว รวมทั้งผมด้วย ..ฮ่า ฮ่า แอบไปเที่ยวญี่ปุ่น ...ถือเป็นการ Recharge batt เพื่อกลับมาต่อสู้ใหม่

"เดี๋ยวนี้ผมดังไปถึงญี่ปุ่น!!" ... จริงๆ ไม่ได้โม้ แต่ไม่ใช่คนญี่ปุ่นรู้จักนะ ก็คนไทยนี่แหละครับ ..ช่วงปีใหม่จะบอกว่า คนไทยไปเดินชนกันที่ญี่ปุ่นตรึม และ ที่แน่ๆ แฟนหนังสือผมหลายๆท่าน ก็เดินทางไปญี่ปุ่น และไป Flight เดียวกันด้วย ...ก็อะนะ หุ้นขึ้นแบบนี้ ไม่รวยได้ไง ..."ก็ชิวกันไปครับ"

เอาเป็นว่า ผ่านไปสำหรับปี 2012 ซึ่งขอนิยามว่า เป็นปี แห่ง "Side Way และ หุ้นจิ๋ว" ...สรุปทั้งปีตลาดก็ขึ้นไปอีกตั้ง 30% ...จริงๆ บอกตรงๆว่า ผมไม่ Surprise เลยที่ตลาดหุ้นจะร้อนแรงขนาดนี้ เพราะถ้าเราคิดแบบ Common Sense แบบไม่ต้องซับซ้อน คิดหลัก Demand & Supply ปกติ จะเข้าใจเลยว่า ทุกอย่างมันมีเหตุผล มีที่มาที่ไป ไม่ใช่อยู่ดีๆจะเกิดขึ้นแบบคาดการณ์ไม่ได้ ..มันถึงมีการพูดกันว่า วิสัยทัศน์สร้างเงินไง

ครับ จากนี้ไป วิสัยทัศน์ จะยิ่งสร้างเงิน ...เพราะ ยุคของการทำการหนักๆ เก็บเงินๆ มันหมดยุคแล้ว ด้วยปัจจัยแวดล้อมที่เปลี่ยนแปลงไป

ปีที่แล้ว มีน้องคนนึง เขาลาออกจากงานที่ทำ แล้วมาศึกษา ตลาดหุ้นเต็มตัว ...จริงๆ น้องคนนี้ เคยเล่นหุ้นแล้วเจ๊งมารอบนึงแล้ว ..รอบนี้เรียกว่า ขอ Come back แต่เปลี่ยนแนวทางตัวเองทั้งหมด โชคดีที่เขามาเจอกับเซียนอย่างพี่หมอหลายๆท่านใน Stock2morrow มันทำให้แนวทางการลงทุนเขาเปลี่ยนไป ...ซึ่งถ้าจะให้จำกัดความของการเล่นแนวใหม่ของน้องคนนี้ก็แนว System Trade หรือ "ระบบ" นั่นเอง ..ผมแค่อยากจะเกริ่นว่า ชีวิตของน้องคนนี้ น่าทึ่ง และ น่าจะเอามาเป็นแบบอย่างสำหรับคนรุ่นใหม่ ที่อยากสร้างตัวจากศูนย์ เพราะ เขาเริ่มจากเงินแสน แถมบ้านไม่ได้มี Background อะไรโดดเด่น ..แต่จุดที่น่าสนใจคือ เขามีความตั้งใจ มุ่งมั่น และ นิสัยดี ...ถามว่าอะไรสำคัญที่สุด ผมว่า "นิสัยดี" มันเปิดประตูให้ ใครๆ ก็รัก อยากถ่ายทอดความรู้ และ วิชา ...วันนี้ Port ของน้องคนนี้แตะ 8 หลัก ..ไม่ธรรมดาแน่นอน ..ซึ่งหลายๆคนอาจมองว่า ฟลุ๊ค ผมว่า จังหวะมากกว่า ...คือ ที่เกริ่นมา เพราะปีนี้ทางสังคมนักลงทุนอย่าง Stock2morrow หรือ อย่างหลักทรัพย์เอง เช่น หลักทรัพย์บัวหลวง ..กำลังปั้นกิจกรรมต่างๆ เพื่อรองรับ เสริมสร้างความรู้ ...ก็ให้เพื่อนๆ นักลงทุนที่สนใจ เข้าสู่โลกของการหาเงิน สร้างเงิน ในรูปแบบใหม่ได้สัมผัสกัน

แล้วปีนี้เอาไงต่อ!!

ครับ!! ผมเชื่อว่า ทุกปี มีโอกาส ..เมื่อกี้เล่าแล้วว่า มี Hero รุ่นใหม่เกิดขึ้นมากมาย และ น้องคนนั้นที่ผมเล่า ก็เป็นหนึ่งในผู้ที่สร้างผลงานแบบโดดเด่นมากๆ ในปีที่ผ่านมา ..คำถามที่น่าสนใจ คือ คนอื่นทำได้ แล้ว ตัวเรา จะทำได้อย่างไร ...อย่างแรก ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า เกมการลงทุน มันไม่ใช่เรื่องง่าย ..ไม่มีความสำเร็จ ที่ได้มาแบบมั่วๆ เพราะ คนที่มั่วๆ แล้วเกิดฟลุ๊คได้เงินมาในตลาดหุ้น จะไม่สามารถรักษาเงินนั้นได้นาน -- "มันเป็นคำสาบของ Fast Money ไง"

สิ่งที่ผมอยากให้เพื่อนๆ นักลงทุน จับตามองให้ดีคือ

หนึ่ง "ตัวเราเอง" ..อันนี้ต้องเริ่มจากเรามี สติ อย่าไป หวือ หวา หรือ โลภ ตามเพื่อน เพราะ ตอนนี้ถ้าพูดแบบไม่เกรงใจ บอกเลยว่า "หุ้นปั่น" และ "เจ้ามือ" วิ่งชนกันทั้งตลาดหุ้น ..เงินที่ไม่เคยเข้าตลาด ก็เตรียมเข้ามา แบบทะลัก ...แต่เงินเหล่านี้เป็นเงินเร็ว มาเร็วไปเร็ว ต้องระวัง ..."ระวังว่า หุ้นที่คุณเล่นตาม อาจเจ๊ง ในไม่กี่วัน.."

สอง "เงินเฟ้อ" ..เงินเฟ้อ เป็นกรอบกำหนดทิศทางของตลาดในภาพใหญ่ ว่า "หุ้นในภาพใหญ่ มันควรจะขึ้น แต่ระหว่างทางขึ้น มันไม่ใช่ทุกคนรวย ..มันมีทั้งรวยและคนที่เจ๊ง ดังนั้น คิดให้ออกว่า คุณจะเป็นคนที่รวยยังไงหากภาพใหญ่ มันขึ้น" ..เพราะ ไอ้ที่เจ๊ง หุ้นขึ้นทั้งตลาด สลับกันไป แต่ตัวเอง ดันไปซื้อหุ้นปั่น ติดราคาแพง แล้วขายถูก ขาดทุนตลอด ..อันนี้ คิดดีๆ เพราะ ไม่มีใครช่วยคุณได้ ..มันเป็น "วิถีแมลงเม่า" -- คำเตือน คือ อย่าเป็นแบบนั้น

สาม "เรื่องราว และ โอกาสเต็มตลาด" ..ในขาขึ้น ของตลาดหุ้น ให้ระวัง Story เพราะ เวลาตลาดบูม บริษัททำอะไรนิดหน่อยก็กระตุ้นยอดขายได้สบาย ดังนั้น การสร้างฝัน เป็นเรื่องที่ทำได้ง่าย เพราะ สุดท้ายพื้นฐาน ไม่มีทางขึ้นเร็วเท่าราคาที่วิ่งขึ้น ต้องระวังว่า เราจะโดนหลอกเข้าไปในกลไกของการทำราคา ...ปี 2013 ผมว่าจ่ะจะเป็นปี ของ Money Game ที่กำหนด แล้วสร้างความตื่นเต้น พร้อมสร้างราคาหุ้น ...แต่คิดเยอะๆ ว่า เราคือ ส่วนหนึ่ง ต้องฉลาดเล่น และ เข้าใจเกม มิเช่นนั้น ให้อยู่ห่างๆ

สี่ "การลงทุนที่ทุกคนเห็นว่าดี คือ ไม่ดี" ...ฟังดูขัดๆ แต่เชื่อผมเถอะว่า นั่นคือ การลงทุน ...การลงทุน ที่ดี คือ การทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ ..อะไรที่ทุกคนคิดว่าดี แปลว่า คนส่วนใหญ่ที่อยากซื้อ เขาน่าจะซื้อหมดแล้ว เท่ากับว่า สิ่งที่เราอยากจะลงทุน มันไม่ได้ถูกเลย ...ดังนั้น อะไรที่คนส่วนใหญ่มองว่าดี ให้ท่องไว้เลยว่า มันน่าจะแพง ...

ลองสำรวจตัวเอง ว่าปีนี้ คุณอยากซื้ออะไรบ้าง ... อ๊ะ!! อยากได้รถใหม่ อยากได้บ้านหลังแรก หลังที่สอง สาม ...อยากได้หุ้นปั่น ...อยากนั่นอยากนี่ ...

"โอกาสของจริง!!" ...ครับ โอกาสของจริงของปี 2013 มันอยู่ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม ... ถ้าทุกคนมองว่าตลาดดี การปรับฐานครั้งใหญ่ หุ้นลงแรง จะมาถึง(หลักง่ายๆของ Demand & Supply) ... ปีนี้มันส์แน่ ..เดี๋ยวเรามาหากิจกรรมทำร่วมกัน ...ร่วมคิด เริ่มเดิน ...สวัสดีปีใหม่ครับ เพื่อนๆ นักลงทุน

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ