แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

งานในฝันของคนยุคนี้


"งานในฝันของคนยุคนี้"

อะไรคือ งานในฝัน ลอง List มาดูกัน
1. ทำงานที่ตัวเองชอบ "ชอบงาน เลยบ้างาน ..คนแบบนี้ แก่แล้วก็ยังไม่เกษียณ ยังคงทำงานอยู่" (ทำงานเพราะชอบทำ ไม่ได้ทำงานเพราะ ต้องทำ)
2. วัดงานที่ผลงาน ไม่ใช่เวลา "ขายผลงาน ไม่ใช่ขายเวลา"
3. รายได้สูง และโตตามผลงาน "รายได้สูง แถมโตได้ตามฝีมือ และ ผลงาน"
4. ถ้าได้แบบ 3 ข้อข้างบน ...ผมว่า คุณต้องเป็นลูกประธานบริษัทน่ะ จริงไหม ?

...คุณคิดแบบข้อ 4 ใช่ไหม ...ถ้าใช่ แปลว่า คุณจะไม่มีโอกาสได้งานแบบ 3 ข้อข้างบน เพราะ คุณสรุปเรียบร้อยแล้วว่า "งานในฝัน" มันต้องหล่นมาเองจากท้องฟ้า ...ต้องเกิดมารวย ถึงจะได้งานแบบนั้น -- แต่ถ้าคุณลองคิดดีๆ แล้วตั้งคำถามใหม่ ลองถามซิว่า ในโลกนี้ มีใครได้ทำงานแบบ 3 ข้อข้างบนบ้าง ที่เดิมทีไม่ได้เกิดมารวย

ลอง List ดูก็เช่น พี่เบิร์ด , พี่แอ๊ด , อ.เฉลิมชัย , สุดยอดนักข่าว , สุดยอดนักถ่ายภาพ , สุดยอดผู้กำกับ , สุดยอดนักกีฬา , สุดยอดนักชก , สุดยอดกุ๊ก , สุดยอดคนทำเค้ก .....เฮ้ย!! มันคือ คนทุกอาชีพเลยนี่ ...คน Top 10% ของทุกอาชีพ รวมทั้งลูกจ้างมืออาชีพระดับผู้บริหารของทุกบริษัทก็เข้าข่ายนี้ด้วย ....

ต้องถามต่อว่า คนเหล่านี้ เขาได้งานแบบที่ว่า เพราะ อะไร ...คำตอบคือ เขาทำทุกอย่าง เพื่อที่จะได้งานนั้นนั่นเองครับ

คำถามต่อไปคือ เขาทำอะไร จึงได้งานแบบนั้น
1. ทำงานที่คนอื่นไม่อยากทำ ..เสี่ยงกว่า ...หนักกว่า ...โหดกว่า ...บ้ากว่า ... "ข้อแรก คุณต้อง มากกว่า คนอื่น ในเรื่องใดเรื่องหนึ่งเป็นอย่างน้อย"
2. มีคนสามารถทำแทนของคุณน้อย หรือ คนอื่นทำงานแทนคุณยาก ...งานนั้นมักจะเสี่ยง ...หนัก ...โหด ...บ้ากว่า..ไม่มีแบบแผน ...
3.  ไม่ได้เป็นอาชีพยอดฮิต ที่จบมาจากคณะยอดฮิต ... หรือ ไม่คุณก็พัฒนาต่อยอดอะไรบางอย่างที่คนที่เรียนมาเหมือนๆ คุณ เขาไม่ได้ทำ ..."ข้อนี้ คือ คุณได้พัฒนา Skill บางอย่าง ในระหว่างทำงาน ที่ทำให้คุณแตกต่างจากเพื่อนร่วมงานคนอื่นๆ"

"อยากได้สิ่งที่แตกต่างจากคนส่วนใหญ่ ต้องเริ่มจาก เลือกทางเดินที่แตกต่าง ...เรียนคณะไม่เหมือนใคร ..ใช่เวลาว่างไม่เหมือนใคร ...ทำงานอดิเรกที่ไม่เหมือนใคร ...เที่ยวในที่แปลกๆ ...เดินทางแปลกๆ ...คนเราแตกต่างไม่ใช่เพราะเกิดมาแล้วสมองดีเป็นอัจฉริยะทันที ..แต่เราแตกต่างเพราะ เราเจอสภาวะแวดล้อมที่แตกต่างกัน ...วางตัวเองในจุดที่แตกต่าง ...เห็นโลกในมุมที่คนอื่นไม่เห็น ...คิดในจุดที่คนอื่นไม่คิด ...ทำในสิ่งที่คนอื่นไม่ทำ" ...ทั้งหมดที่พูดมา คือ "เหตุ" (เรียนรู้ / สั่งสม / สะสม / คิด / จำ / ทำ) ลองดูจิ !!

 -- อยากเปลี่ยนชีวิต ต้องเปลี่ยนที่ "เหตุ" แล้ว "ผลลัพธ์" จะเปลี่ยนตาม !!



เราฆ่าเวลากันอย่างไร


"เราฆ่าเวลากันอย่างไร" ...หลายคนไม่ทราบว่า คำถามนี้มีผมต่อความสำเร็จของแต่ละคนมากทีเดียว

จริงดิ!! แค่เรื่อง ฆ่าเวลา นี่นะ ..เกี่ยวข้องกับความสำเร็จ

คุณลองเอา "เวลาทำงาน" กับ "ช่วงฆ่าเวลา" มาเทียบจะพบว่า ช่วง ฆ่าเวลามันกินเวลาในแต่ละวันของเรามากที่สุด ....ลองสำรวจลึกเข้าไปอีกนิดว่า เราใช้เวลาตรงนั้นทำกิจกรรมอะไร -- นั่นแหละ "กิจกรรม" นั้นแหละ คือ สิ่งที่เราเชี่ยวชาญที่สุด

ฮึม!! ...หลับครับ , ช๊อปปิ้งครับ , ดูทีวีครับ , ฟังเพลงครับ , เล่นมือถือครับ , ดราม่าครับ , นินทาคนอื่นครับ , อ่านหนังสือ(ซุบซิบดารา) , อ่านหนังสือพิมพ์(บันเทิง กับ อาญชกรรม และ ดราม่าล่าสุด) , ดูข่าว(ข่าวดราม่า กระแสแรง ฆ่าหั่นศพ เด็กสองหัว และ ต้นไม้ให้หวย) -- ใช่!! คนส่วนใหญ่เก่งเรื่องพวกนี้แหละครับ ...นี่คือ เวลาชีวิต ที่เราทุ่มให้กับสิ่งไหน เราก็จะเก่งสิ่งนั้น

"น่าเบื่อจะตาย ...ใครจะมานั่งอ่านหนังสือ ...พัฒนาตัวเอง ...น่าเบื่อ" ...ใช่เหรอ !! "เรามองโดยเอาตัวเองไปตัดสินคนอื่นรึเปล่า" -- ถ้าคุณอยากรู้ว่าคนเรามีความสุขแตกต่างกันไหม ลองไปสำรวจห้องเรียนเด็กอนุบาล เวลาว่างของเด็กแต่ละคน เขาจะมีการเล่นที่ต่างกัน ...การเล่น หรือ ฆ่าเวลานิแหละ กำหนดชีวิตคน

ถ้าวันนี้ใครมองว่า อยากเปลี่ยนชีวิตตัวเองให้ดีขึ้น ...ลองเปลี่ยนวิธีเล่น เปลี่ยนวิธีฆ่าเวลา ...ที่จากเดิมเล่นและฆ่าเวลา สู่การเสียเงิน (จ่ายเงิน) ..สู่ความหมกมุ่น (เสพแต่ดราม่า) ...สู่ความคิดลบ (เสพแต่เรื่องนินทา) ..มันเป็น โลกด้านลบ ที่ทัศนคติถูกฝึกให้มองลบ เห็นแต่ความแย่ อิจฉา ริษยา น้อยเนื้อต่ำใจ ..ทั้งที่จริง ทั้งหมดก็คือ ตัวเราเป็นผู้กำหนด

เริ่มจากหาเรื่องสนุก เรื่องฆ่าเวลาที่เราชอบ และ มันเป็นการฆ่าเวลา และ เล่นด้านบวก ...คือ สนุกกับการเปิดมุมมอง , สนุกกับการเพิ่มความรู้ , สนุกกับการยินดีกับความสำเร็จคนอื่น , สนุกกับการหา IDOL หาแรงบันดาลใจจากคนและสิ่งต่างๆรอบตัว -- พลิกมุมคิดมาสู่ด้านบวก คุณจะเจอแต่คนแบบคุณ ..แล้วโอกาสต่างๆ จะวิ่งเข้ามาจนคุณแปลกใจว่า ทำไมก่อนหน้านี้ไม่เคยได้โอกาสแบบนี้

ยิ้มให้เก่ง ..กล่าวชมคนอื่น ...มองมุมดีของคนอื่นเพื่อเอามาเพิ่มแรงบันดาลใจ ..อ่านหนังสือที่ชอบ ก็จะเจอเพื่อที่ชอบศึกษาเรื่องนั้นๆ -- โลกเปิด โอกาสเปิด เมื่อเราเปิดใจ "คิดดี คิดบวก"

ลองซิ ..ชีวิตเปลี่ยนแน่ -- ผมฟันธง !!

เรียนเรื่องเที่ยวจากนักการทูต


'เรียนเรื่องเที่ยวจากนักการทูต'

วันนี้ผ่านไปในแผงหนังสือ เห็นหนังสือท่องเที่ยวเล่มนึงที่เขียนโดย ทูต ...เฮ้ย !! แจ๋ว น่าอ่านโคตรๆ 

ผมว่าคนนึงที่รู้จักประเทศต่างๆได้ดีที่สุด เหมือนๆเจ้าของประเทศ น่าจะเป็นทูต หรือ คนทำงานสถานทูต ...อาจจะไม่ใช่แนวเที่ยวสุดติ่ง แบบหลุดโลก แต่ผมว่าน่าจะแนวผม

 -- 'ผมชอบเที่ยวไป แล้วมองโอกาสทางธุรกิจ มองแนวคิดของคน ..เดี๋ยว!! ผมไม่ได้เครียดนะ ..คนเรามีความสุขไม่เหมือนกัน ผมสุขที่ได้เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ สุขในการพัฒนาโลกทัศน์ของตัวเอง สุขในการได้แชร์ความคิด ...มันคือ สุดติ่งแบบผม ..ใช่!! บางคนเบื่อ แต่ผมมันส์อ่ะ'

จริงๆ ผม อยากเห็นหนังสือแบบที่ว่านี้มานานแล้ว ..หนังสือเที่ยวที่เขียนด้วยทูต ..หนังสือสันติภาพที่เขียนจากทหาร ..หนังสือธรรมชาติที่เขียนจากคนในบริษัทพลังงาน ...หนังสือสุขภาพที่เขียนโดยคนทำงานในธุรกิจเหล้าหรือบุหรี่

ใช่ !! paradox หรือ ความขัดแย้งในแต่ละเรื่อง มันสอนให้เรามองโลกในมุมแย้ง ที่เพิ่มมุมมองให้เราเป็นคนโลกกว้าง ..หัดมองเหรียญสองด้านเพิ่มทั้งความสุขและความรู้

'ผมเป็นลูกจ้างโดยงานประจำ แต่ผมชอบทำธุรกิจ Start-Up ชอบลงทุนกับคน กับธุรกิจแนวๆ ..แปลกไหม ลูกจ้าง สอน SME ..นั่นแหละ Paradox ดี ..555'

ปัญหาแรงงานด่างด้าว


"ปัญหาแรงงานด่างด้าว .... ไม่ใช่อย่าที่คุณคิด ...ไม่ใช่ประเด็นการเมือง"

แต่เป็นปัญหาแรงงาน ทำงานบ้าน ...555

หลายๆ ครอบครัวช่วงหลังๆ หาคนงานทำงานบ้านยากขึ้นเรื่อยๆ ...เพราะเดี๋ยวนี้หาคนไทยมาทำงานบ้าน แทบไม่มีแล้ว ต้องพม่า ...เพราะ แรงงานเหล่านี้หันไปทำงานโรงงานกันหมด

ผมว่าเรามาวิเคราะห์กันดูว่า แรงงานมันเปลี่ยนกระทบต่อเราอย่างไร

สมัยผมเป็นนักเรียนแลกเปลี่ยนที่ออสเตรเลีย ไม่ว่าบ้านเศรษฐี หรือ รวยแค่ไหน ก็ไม่มีคนใช้ ...อย่างมาก ก็คือ มี Maid มาทำงานตามเวลา มาทำความสะอาด ซักผ้า รีดผ้า แล้วพวกนี้ก็กลับบ้าน ไม่มีมาค้างอยู่กับนายจ้างเหมือนบ้านเรา ...ผมว่า คนไทยเราคุ้นเคยเรื่องการมีบริวารในบ้าน ตั้งแต่สมัยโบราณที่แต่ละบ้านจะใหญ่มาก มีข้าทาสบริวาร ที่อยู่กินกับเจ้าบ้าน จนกลายเป็นวิถีชีวิตของคนไทยที่ พึ่งพาอาศัยกัน แล้วก็พึ่งเจ้าขุนมูลนาย

วันนี้สังคมเปลี่ยน เศรษฐกิจเปลี่ยน กลายเป็น ไม่มีใครอยากทำงานตามบ้านเพราะเหมือนถูกจำกัดอิสระ ...จึงเลือกทำงานตามโรงงาน แม้สุดท้ายเก็บเงินไม่ได้ แต่คนหนุ่มสาวก็เลือกเพราะ ได้ใช้ชีวิตมากกว่า ไม่เที่ยว มีอิสระ -- เราเห็นเลยว่า ถ้าเลือกได้ คนเลือกการใช้ชีวิตมากกว่าเงิน

ในอนาคตเราคงเป็นแบบออสเตรเลีย ที่คนทำงานบ้านมาเป็นเวลาแล้วกลับ (เพราะวันนี้คนพม่ายังหายาก แถมเข้าออกเป็นว่าเล่น) ...พูดแล้วก็เห็นอีกธุรกิจนึง น่าพัฒนาเป็น Franchise ได้เลย ก็คือ เรื่องจัดการบ้านนี่แหละ ...เขียนไปเขียนมา ก็วนเวียนอยู่ในโอกาสทำธุรกิจ เพราะ อย่างที่บอกแหละครับ

ธุรกิจคือ การแก้ปัญหา หรือ สร้างประโยชน์ให้คน

วันนี้ปัญหาเกิดแล้ว ไม่มีใครอยากทำงานบ้าน ....ลองคิดซิครับ นักธุรกิจจะทำอะไรดี

-- Franchise จัดการบ้าน ล้างรถ รีดเสื้อ เลี้ยงเด็ก ..ครบวงจร -- จะคิดทั้งทีลองศึกษา ระบบ Franchise ของต่างประเทศดู ..โลกเปลี่ยนเราต้องจับตลาดให้ทัน "รวยด้วยการแก้ปัญหา และ สร้างระบบ"

วันพุธที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เศรษฐกิจส่วนตัวเรา


'เศรษฐกิจส่วนตัวเรา'

ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจกว่า แต่คนส่วนใหญ่กลับมองข้าม แล้วใช้อารมณ์ตลาด หรือ ภาพรวมมาเหมามองทุกอย่าง

สิ่งที่ผมอยากชี้ให้หลายๆคนมอง คือ 'ทุกวิกฤตไม่ใช่ทุกคนต้องแย่ แต่ทุกวิกฤตต่างหากล่ะ ที่เป็นโอกาสที่สุดยอดในเวลาเดียวกัน'

ในวิกฤตมีสิ่งเหล่านี้
1. ธุรกิจเปลี่ยนมือ 
2. Asset เปลี่ยนมือ จากคนนึงไปอีกคนนึง
3. โอกาสวิ่งเข้าหาคนมีเปิดรับมัน 

ถูกต้อง !! วิธีเปิดรับโอกาส ท่ามกลางวิกฤตคือ

1. แยกเหตุผล ออกจาก อารมณ์
2. สำรวจจุดแข็งจริงๆ ของตัวเองและธุรกิจ (วิกฤตก็เหมือน การทำข้อสอบในชีวิตจริง ..ก็จะมีคนที่สอบผ่าน และคนที่สอบตก)
3. กลับมาพัฒนาจุดแข็งของตัวเอง 

วิกฤต คือ โอกาสสำรวจตัวเอง และ การเรียนรู้เพื่อเติบโต ในครั้งต่อไป 

(ไม่มีสงครามก็ไม่มีวีรบุรุษ ..ไม่มีบททดสอบ ก็คงไม่มีวันรู้ว่าเราคือ ของจริง!!)

ลองฝึกเปิดรับโอกาสให้ตัวเองดูครับ ...แล้วคุณจะพลิกชีวิตตัวตัวคุณเองนั่นแหละ !!

บทเรียนจากผู้แพ้

"บทเรียนจากผู้แพ้" 

ไม่ใครอยากแพ้หรอกครับ ..ไม่มี ..แต่มันหนีไม่พ้น
ในชีวิตเราตั้งแต่ เรียนหนังสือ จนทำงาน จนมีครอบครัว ...ทุกช่วงของชีวิต มีแพ้-ชนะ ตลอด

แต่คนส่วนใหญ่จะคิดว่า "คนแพ้" คือคนพลาด ชีวิตจะแย่ ...ใช่หรือไม่ ?

จริงๆ มันเป็นตรงข้าม ...คุณลองสังเกตคนที่ประสบความสำเร็จ ผู้นำสังคม หรือ คนรวย ...ส่วนใหญ่คนเหล่านี้ "ล้มเป็นว่าเล่น" ...ชีวิตมันก็เหมือนเหรียญสองด้าน การที่เราต้องการความสำเร็จที่สูงเท่าไหร่ สิ่งที่แลกมาก็คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่รับไม่ได้เช่นกัน 

หลายคนอาจไม่ทราบว่า Billionaire หลายๆ คน เคยล้มละลาย ..อย่าง โดนัลด์ ทรัมป์ เจ้าพ่อสังหา ก็ล้มละลายหลายรอบ กว่าจะมาถึงวันนี้ ...สงสัยล่ะซิครับ ว่า "ล้มละลาย" แล้วกลับมาได้ไง -- คุณไม่รู้ล่ะซิ ..ผมก็ไม่รู้ เพราะ ถ้ารู้ผมก็เป็น โดนัลด์ ทรัมป์ เป็น Billionaire ไปแล้วซิ ...555

ผมไม่ได้ตลกนะ !! จริงๆ ....ผมเคยล้ม เคยแพ้ เคยผิดหวัง หลายครั้ง ทั้งชีวิต , การเงิน และการงาน ..พอผมตัดสินใจลุกขึ้นมา แล้วเรียนรู้ ผมก็พบบทเรียนที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เช่น ความรู้สึกเวลาเอาเงินทั้งหมดของตัวเองมาเจ๊งธุรกิจ ,​ การทำลายความเชื่อมั่นของคนที่เรารัก ทำให้พ่อแม่ผิดหวัง , เสียศรัทธาในชีวิต , เสียความมั่นใจแบบสุดๆ , ท้อแท้หาโอกาสไม่ได้เลย , โดยเพื่อนหลอกให้ลงทุนด้วย , เจ๊งหุ้น , ติดหุ้น ...ใช่​!! ก็โดนหมดนั่นแหละ -- คนทำอะไรเยอะ ก็โดนเยอะเป็นธรรมดา ...แต่ขออย่างเดียว ให้เอาความล้มเหลวนั้นเป็นบทเรียน จากนั้นร้องไห้สักนิด ปาดน้ำตา พอน้ำตามันหมด ก็ลุกขึ้นซิ เดินต่อซิวะ -- ชีวิตแม่งก็แค่นี้ แพ้บ้าง ชนะบ้าง ก็เดินต่อไป 

คนสุดยอด มันต้องแผลเต็มหลัง ...เท่ห์จะตาย ...ผ่านความล้มเหลว พอมองย้อนก็เรื่องตลก เรื่องเล่าสนุกๆ และ สีสันชีวิต ...อย่าไปท้อ แค่นั้นแหละ 

"เวลาล้ม เราได้บทเรียนที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยรู้ ...นั่นแหละ จุดแข็ง !!!! -- เปลี่ยนจุดอ่อน เป็นจุดแข็ง ..เปลี่ยนสิ่งแย่ เป็นสิ่งดี" 

เดินไปครับ ...สู้ต่อไป ...ผมก็เดินแบบนี้เหมือนคุณแหละ ...แผลเต็มหลัง ....555 "มันส์สัดๆ ...ฮ่า ฮ่า" 

ประเทศไทยวันนี้ต้องลงทุนให้หนัก


'ประเทศไทยวันนี้ต้องลงทุนให้หนัก'

ช่วงนี้ผมเดินทางดูงานเยอะ สิ่งที่ผมพบคือ ประเทศที่เจริญล้วนต้องกล้าลงทุน ...การลงทุนในที่นี้ ไม่ใช่แจกเงินคอรับชั่น หรือ ประชานิยมนะครับ ...แต่คือ การลงทุนใน Mega Projects โครงสร้างพื้นฐานของประเทศ

ก่อนพูดภาพใหญ่ ผมถอยมาคุยภาพเล็กก่อน ..ถ้าผมถามว่า 'ถ้าคุณเป็นเจ้าของธุรกิจ คุณจะขยายธุรกิจตอนไหน ? ระหว่าง หนึ่ง ขยายตอนที่ทุกคนขยายกันคือ ในช่วงเศรษฐกิจดี กับสอง ขยายในช่วงที่ทุกอย่างมันแย่ เศรษฐกิจแย่'

ถ้าเป็นผม ..ผมเลือกข้อสอง -- ผมจะขยายธุรกิจของผม ลงทุนหนักๆ ตอนที่ทุกอย่างดูแย่ ..คนส่วนใหญ่อาจจะมองว่าบ้ารึเปล่า ? ..ไม่เลยครับ ..ผมมีวิธีคิดแบบนี้

1. เวลาเศรษฐกิจแย่ ไม่มีใครลงทุน เราจะสร้างอะไรก็ราคาถูกกว่า ..แถมผู้รับเหมาต้องมาง้อเรา เพราะเขาไม่มีงาน ดังนั้น การขยายธุรกิจในเศรษฐกิจจะเป็นการขยายที่ได้ของดีราคาถูก

2. เวลาเศรษฐกิจแย่ มันไม่ใช่แย่ตลอดไป พอมันแย่สุดเดี๋ยวมันก็จะกลับไปดี ..การขยายธุรกิจตอนแย่ ทำให้เราพร้อมที่จะโกยกำไร ในขาขึ้นรอบต่อไป ..คิดดูซิ คู่แข่งอาจไม่กล้า แต่เรากล้า เราจึงได้เปรียบในสมรภูมิครั้งนี้

3. ข้อสามผมว่าแจ๋วสุด คือ คนที่กล้าลงทุนในเวลาที่ทุกอย่างแย่ หรือ กล้าทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ขาดกลัว ...คุณคือ แรงบันดาลใจ  คุณคือ ความกล้า ..คุณคือแสงสว่าง -- ถ้าเวลาแย่ เวลามีสงคราม แล้วทุกคนกลัวหมด จะมีใครเป็นฮีโร่ล่ะครับ ...ผู้นำ เกิดจากวิกฤต โลกเรามีคนเก่งมากพอแล้ว แต่ขาดคนกล้า !! ...โลกผันผวนบ้าบอยุคนี้ อยากได้คนกล้า คนดี คนมั่นใจ คนคิดเผื่อคนอื่น

ใครทำธุรกิจไหน ลงคิดดูครับ ...เวลาที่คุณควรขยายธุรกิจที่สุด ก็คือ เวลาที่ไม่มีเหตุผลให้ขยาย

ส่วนภาพใหญ่ ประเทศเรา ผู้นำต้องกล้าลงทุน ...จัดไป !!!

ผมก็จะลงทุนในจุดเล็กๆ ที่ผมยืนให้ดีที่สุด ..ใครอยู่จุดไหน ก็ลองพิจารณาจุดของคุณดูครับ

วันอังคารที่ 28 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คุณสายอาร์ตหรือเปล่า


'คุณสายอาร์ตหรือเปล่า'

ไม่มีโลกยุคไหนจะให้รางวัล คนสายอาร์ตได้เท่ากับยุคนี้อีกแล้ว !!

พูดแบบนี้หลายคนอาจสงสัยต่อว่า 'แล้วยุคนี้ มันคือยุคไหน อธิบายหน่อยจิ ?'

ครับ!! ยุคนี้คือ ยุคแห่งการเปลี่ยนแปลง ..มันเปลี่ยนทุกอย่างตั้งแต่ การเรียน การทำงาน การทำเงิน การใช้ชีวิต การเกษียณ การออม ...เปลี่ยนแบบตีลังกา!!

ยกตัวอย่างใครยังคิดว่า เรียนแบบเดิมแล้วจะปรับใช้กับโลกที่เปลี่ยนแปลงแบบบ้าคลั่งยุคนี้ อาจต้องคิดใหม่ เช่น บางคนเรียนการบริหารสื่อมา แต่พบว่าสื่อปัจจุบันเปลี่ยนแบบ 360 องศา ...หรือ บางคนวางแผนเกษียณแต่ลืมไปว่ายุคนี้ตายช้า แล้วเงินออมมันไม่โต มันต้องออมใน Asset เช่น ออมในหุ้น มันถึงจะพอสู้กับเงินเฟ้อและอายุที่ยืนยาวได้

สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นคือ ยุคนี้มันเป็นยุคของพวก 'อาร์ตตัวพ่อ'

สายอาร์ตก็คือ 

1. ชอบสร้างผลงานที่แตกต่าง มีความ Original ..งานศิลปะ คือ การสร้างผลงานขึ้นมาใหม่จากจินตนาการ ไม่ใช่การวาดภาพตามแบบ หรือ วาดรูปตามขั้นตอน 1-2-3 ..งานอาร์ตคือ ความแตกต่าง & Original

2. ชอบสร้างผลงานเป็นที่จดจำ ..ถ้างานจากโรงงานอุตสาหกรรมคือการผลิตของมากๆ ให้ต้นทุนต่ำ ..แต่งานอาร์ตคือ ผลิตน้อย เน้นคุณภาพ และ ต้องเป็นที่กล่าวขานและจดจำ ภาษาอังกฤษใช้คำว่า Remarkable (งานแบบ Talk of the Town มันขายตัวมันเอง เหมาะสำหรับยุคสื่อหลักไร้พลังในยุคนี้มากๆ)

3. ผลงานในโลกอุตสาหกรรม คือ 'เป๊ะ' วัดผลได้ แต่งานศิลปะ มันคือ 'อารมณ์ & ความรู้สึก' ไม่สามารถวัดผลเป็นตัวเลขเป๊ะๆได้ เช่น ซื้อกระเป๋าหนังใบละแสน วัดผลไม่ได้ แต่รู้สึกดีที่ได้ซื้อ มันคือ คุณค่าทางความรู้สึก ..ของที่อาร์ตแบบนี้ แพงโคตรๆ และ คนก็อยากซื้อใจจะขาด (เฮ้ย!! พวกสายอุตสาหกรรมทำโรงงานนรกแทบตายผลิตของถูกท่วมโลกไม่มีใครอยากซื้อ เจอสายอาร์ต ผลิตไม่กี่ชิ้น กินทั้งปี)

4. งานสายอาร์ตคือ การเชื่อมต่อ ..เราเรียกว่า Connection ..ผลงานศิลปะจะเชื่อมระหว่าง ผลงาน กับ มนุษย์ ...คนสายอาร์ตจะมุ่งสร้างสิ่งที่เป็น Asset (ซึ่งเป็นวิธีการตีลังกาคิดจากโลกอุตสาหกรรมที่เน้น Mass สร้างของถูก เน้นปริมาณ สุดท้ายคือ ผลิตขยะ นั่นเอง)

นี่คือ วิธีคิดโลกสายอาร์ตเบื้องต้น ...บอกเลยใครมาสายนี้ ทำงานติส รักงานที่ทำ นิสัยโคตรแนว และ ก็ดีสุดในจุดที่เลือกยืน ..ไม่เน้นแข่งกับใคร แต่เน้นเปลี่ยนตัวเองให้สุดยอด เพื่อเปลี่ยนโลก 

(ไม่มีใครเปลี่ยนโลกได้หรอก มีแต่คนที่เปลี่ยนตัวเอง แล้วใช้ความแนวของตัวเอง Inspire ให้คนรอบข้างเปลี่ยนตัวเองบ้าง ..ผมว่านั่นแหละ นิยามการเปลี่ยนโลกที่จับต้องได้)

 -- วันหลังมาคุยอาร์ตกันต่อ ..555

พ่อสอนลูกเป็นนักลงทุน

ช่วงนี้น้องผม 'ดร.พลอย' ไปปฎิบัติธรรม ..พ่อและแม่เลยตามไปด้วย ..และพ่อผมก็ตัดสินใจบวชช่วงสั้นๆ ระหว่างนั้นเลย

วันนี้เลยอยากเขียนสิ่งที่พ่อผมสอนในการเป็นนักลงทุนแชร์กัน

จริงๆ พ่อผมไม่ค่อยเล่นหุ้น แต่เป็นนักลงทุน ก็คือ พ่อผมจะเก็บของเก่า Antiques 'เป็นนักสะสม Asset' 

สิ่งที่พ่อทำ มันเป็นการสอนให้เป็นนักลงทุนทางอ้อม เพราะทุกอย่างที่พ่อผมสะสมมีหลัก 2 อย่างคือ

1. สิ่งนั่นเขาต้องชอบ (มาก) ..พ่อผมชอบเดินตลาดของเก่า และร้านของเก่า เรียกได้ว่า Passion !!

2. สิ่งที่สะสมต้องเป็น Asset (มนุษย์ต้องการ / มีจำนวนจำกัด / ระยะยาวมูลค่าเพิ่ม)

3. ซื้อ Asset นั้นๆ ในเวลาที่ หนึ่ง คนอยากขายมากกว่าคนอยากซื้อ Demand น้อยกว่า Supply หรือ ของเก่า ให้ซื้อตอนเขาแบ่งมรดกกัน 'มีของดีราคาถูกตลอด' / สอง ซื้อเวลาวิกฤต เงินฝืด Asset จะถูก 

จริงๆ วิธีคิดของ 'นักสะสมของพ่อ' สามารถปรับใช้กับ 'ออมในหุ้น' ผมเป็นอย่างดี คือ

1. หุ้นที่ผมซื้อต้องเป็น Asset (ทำธุรกิจจริงๆ ที่คนต้องบริโภค / จำเป็นต่อคนจำนวนมาก / ธุรกิจกำไรต่อเนื่อง และ ปันผลตลอด) ..เอาแค่ข้อหนึ่งคน 80% ในตลาดก็ไม่เอาแล้ว เพราะหุ้นที่ผมพูดถึง มันมักเป็นบริษัทใหญ่ บริษัทดี คนก็มองว่าถือแล้วรวยช้าไป ..เลยเล่นหุ้นซิ่งแทน

2. เราต้องเข้าใจธุรกิจที่เราซื้อหุ้น เหมือนเราเป็นเจ้าของ ต้องมี Passion สนใจธุรกิจนั้นๆ

3. ซื้อหุนนั้นในวิกฤต ของบริษัท หรือ วิกฤตของอุตสาหกรรม แล้วทนถือให้นานที่สุด ...ทนรวย !!

เอา 3 ข้อนี่ผ่าน ผมเชื่อว่า คุณกำลังเริ่มมีวิธีคิดแบบนักลงทุนที่ดีครับ 


วันจันทร์ที่ 27 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผมจะเหนื่อยโพสบทความฟรี ให้คนอ่านเพื่ออะไร


"ผมจะเหนื่อยโพสบทความฟรี ให้คนอ่านเพื่ออะไร"

ช่วงก่อนมีกระแสโจมตีผม และ คนที่โพสบทความใน Internet ค่อนข้างเยอะ ...ตอนนี้ดราม่าเริ่มลด ก็เลยมาเล่าสู่กันฟัง

ผมอยากจะเล่าให้ฟังว่า เดิมทีผมก็เป็นคนที่ล้มเหลวในชีวิต เมื่อ 7 ปีก่อน ผมเคยไปทำธุรกิจต่างประเทศ แล้วกลับมาเมืองไทย ไม่เหลืออะไรเลย ...เงินก็เสีย ความมั่นใจก็ไม่เหลือ เหลือแต่คนเสีย Self โง่ๆ คนนึงชื่อ ภาววิทย์ (ที่วันนั้นไม่มีใครรู้จักมันเลย) ...ซึ่งแน่นอน วันนั้นเสียความมั่นใจ จนสัญญากับตัวเองว่า "ผมจะไม่ขอเงินพ่อแม่อีก เพราะ เอาเงินเขาไปทำธุรกิจเสียแบบโง่ๆ เยอะมากๆ"

จากจุดนั้น ผมใช้เวลา 7 ปี คืนเงินที่เอาไปเสียให้พ่อแม่ เปลี่ยนตัวเอง โดยเริ่มจากลูกจ้างธรรมดาคนนึง แล้วใช้ Social Network วันนั้นคือ Blog และ ก็เว็บบอร์ดที่ต่างๆ สมัย Facebook ยังไม่มี ...แล้วก็ทำต่อมาเรื่อยๆ ..ใครอ่านสิ่งที่ผมโพสตั้งแต่ก่อนถึงวันนี้จะเห็นว่า ผมเปลี่ยนไป -- ก็เรารู้อะไรเพิ่มขึ้น ก็เปลี่ยนวิธีคิด ผมเรียนรู้คร่าวๆ ดังนี้

1. ธุรกิจไม่ได้เริ่มจากเงิน ถ้าเรามี Know-How (ความเชี่ยวชาญ) และ มี Know-Who (Connection) ..เดี๋ยวเงินวิ่งเข้ามาเอง "ใครๆ ก็อยากร่วมธุรกิจกับคุณ" ...มันถึงต้องเริ่มทุกอย่างจากตัวเอง อย่าเริ่มที่เงิน (ถ้าเงินยังไม่มา แปลว่า Know-How & Know-Who เรายังกระจอก ...ต้องพยายามเข้าไปอีก!!)

2. วันนี้หลัก "ยิ่งให้ ยิ่งได้" สำคัญ (ไม่ใช่พูดหล่อๆ) ...ผมเป็นคนนึงที่เขียนบทความฟรี และ แชร์ความรู้ฟรี มากที่สุดบนเน๊ต เพราะผมรู้ว่า ยิ่งผมให้เท่าไหร่ ผลลัพธ์ก็จะกลับมาเป็นเท่าทวีคูณ ...ดังนั้น ถ้ามีโอกาสผมจะพยายามแชร์ความรู้ให้มากที่สุด ..แต่ที่ผมพูดว่า "ของฟรีไม่มีในโลก" เพราะ ส่วนใหญ่ของฟรีมักจะตามมาด้วยการขายของ ...การหาแต่ของฟรี เลยมักเสียเวลามาก ..เพราะ คนรุ่นใหม่ขาด Focus การพยายามรู้ทุกสิ่ง กลับทำให้สำเร็จช้าลง ...เรื่องการ Focus คือ การยอมจ่าย ซึ่งก็คือ จ่ายเวลา และ ก็เงิน ในสิ่งที่เราอยากเชี่ยวชาญ ...ซึ่งการจ่ายมาจาก หนึ่ง การเรียน สอง การปฏิบัติ ...ซึ่งผมเองจ่ายค่าปฎิบัติเยอะ เจ๊งธุรกิจ โดนหลอกซื้อหุ้น โดนทุกคนแหละ (จ่ายค่าโง่) มากน้อยขึ้นกับความมั่นใจ ..Self มากก็โดนหนัก ...นี่มัน "ธรรมมะ" ชัดๆ ....ก็ลองปฏิบัติให้มาก ลงเงินให้น้อย นั่นแหละ ของ On the Job Learning ...อย่างโครงการ The Stock Master ก็ออกแบบมาให้คุณเล่นจริงเจ็บจริง ..."เงินคุณเองซิ ถึงจะ Get ...เข้าใจแบบสุดๆ" ..ใช่!! "ของฟรีไม่มีในโลก" ..เพียงแต่จ่ายด้วยอะไรเท่านั้นเอง ...ใช้สติให้ดี มองหาสิ่งที่ใช่ ..เรื่องที่นี้เป็นศิลปะ -- หลายคนชอบบอกคนรวยโง่ ชอบซื้อของแพง ...เดี๋ยวพอคุณมีเงิน คุณก็คิดแบบเขาแหละ เพราะ สิ่งต่างๆ มันไม่ได้อยู่ที่ "ราคา" แต่มันอยู่ที่ "มูลค่า" ต่างหาก (คนรวยทุกคน เขาคือ ผู้เชี่ยวชาญด้านมูลค่า "Value Collector" ..แต่คนทั่วไป เป็นผู้เชี่ยวชาญด้านราคา "Price Collector" คือ Junk Collector นั่นเอง)

3. "การเป็นอาจารย์ ทำให้ชีวิตดี" ...แต่ก่อนผมคิดว่า ยิ่งมีเงินมาก ชีวิตยิ่งดี ...แต่พอมีเงินแล้วพบว่า มันไม่จริง ..เงินซื้อได้แค่ความสบาย ..เช่น ขึ้นเครื่องบิน คุณนั่งสบายกว่า แต่ถึงที่หมายเหมือนกัน ..เครื่องบินตกก็ตายเหมือนกัน ...แต่เงินมันทำให้เราเสียงดัง มีความหมาย ซึ่ง จุดสูงสุดในชีวิตของคน คือ "ต้องการมีความหมาย" We're all Searching for Meaning .....และ ความหมายของคนก็คือ การให้ -- การให้ที่ดีที่สุด ไม่ใช่ให้เงิน ..เหมือนขอทาน หรือ คนด้อนโอกาส ถ้าเราให้เงินก็เลี้ยงได้มื้อเดียว แต่ถ้าให้ความรู้ดีๆ ผมว่า เปลี่ยนชีวิต ...ที่ประเทศเราขาดคือ โรงเรียนดีๆ ที่เข้าใจธุรกิจ เข้าใจทุนนิยม และ สอนที่แก่น ไม่ใช่สอนท่องจำกับความรู้เดิมที่มันตกยุคไปแล้ว -- ผมว่า คนเก่ง ทุกคนควรถ่ายทอดความรู้ตัวเอง ...จะฟรี หรือ เก็บเงิน ก็แล้วแต่เลือก ...เลือกกลุ่มเป้าหมาย ...ผมเคยคุยกับบัวหลวงครั้งแรกว่า ถ้าผมมีความรู้ดีมาก แต่ผมไปยืนสอนในตลาดนัด ก็คงไร้ความหมาย ...อันนี้คือ ศาสตร์ของการเลือกกลุ่มคนฟัง ..ก็ไม่ต่างจาก Starbucks หรือ Hermes ที่ไม่ได้เลือกให้ทุกคนเป็นลูกค้านั่นแหละ -- เอาเถอะครับ ใครมีความรู้ ก็พยายามแชร์ให้คนอื่น แสดงจุดยืนให้ชัด ถ้าจะเขียนจะพูด ใช้ชื่อตัวเอง ยอมรับในสิ่งที่พูดที่เขียน อย่าใช้ชื่อสมมุติ ชื่อโดเรมอน อันนั้นเสียเวลาคุณเอง ..."แสดงจุดยืน แสดงตัวตน และ ก็แชร์ความรู้ความคิด ...นี่แหละการสร้างโอกาสในโลกยุคนี้"

4. "โลกเปลี่ยนไปยังไง แต่ผู้นำก็รวย" ..วันนี้ค้าขาย คนทำธุรกิจเครียด เรื่องเศรษฐกิจ ..ลองคิดงี้ครับ ถ้าระบบการเงินมันพังทั้งโลก แล้วเปลี่ยนระบอบการปกครอง ยึดทุกอย่างเข้ารัฐ เปลี่ยนค่าเงิน เปลี่ยนทุกอย่าง ...ใครจะซวย และ ใครจะได้ประโยชน์ ...ผมว่าการล้างกระดานมีให้เห็นทุก Generation ซึ่งมักเกิดเมื่อคนรวย รวยเกินไป คนจน จนเกินไป ...แล้วถ้าคนรวยไม่รู้จักแบ่ง ...สุดท้ายก็จะมีการล้มกระดาน เหมือน เมืองจีนตอนเกิดพรรคคอมมิวนิสต์ ..เมืองไทยก็มีล้างกระดาน ตอนปี 1997 สมัยที่ลดค่าเงิน เละทั้งประเทศแล้วเริ่มต้นยุคเศรษฐีใหม่จนถึงปัจจุบัน -- คุณสังเกตไหม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปยังไง ...ตั้งแต่ยุคหิน ยุคเหล็ก ยุคอุตสาหกรรม ยุคต่างๆ ...คนที่รวยและสบายที่สุด คือ "ผู้นำ" -- อยากบอกว่า คนรุ่นใหม่อย่าไปมุ่งแต่เงิน เพราะ เงินมันมาแล้วไปง่ายๆ แต่สิ่งที่ต้องมุ่งคือ "สร้างความเชี่ยวชาญ เลือกจุดยืน และ เป็นผู้นำในจุดที่ยืน" ...ถ้าทำได้ อะไรเปลี่ยนก็ไม่สำคัญ -- คุณสำเร็จแน่นอน !!

5. "เพื่อนดีสำคัญที่สุด คุณจะเห็นเขาในวิกฤต" ..เพื่อนมี 2 แบบ หนึ่ง เพื่อนชั่ว ไอ้พวกนี้คอยเกาะหาผลประโยชน์ รอเวลาคุณล้มเพื่อเหยี่ยบซ้ำ ..พวกนี้ในวิกฤต หรือ เวลาคุณมีปัญหา มันจะแสดงตัวออกมา ..เลิกคบมันซะ พวกนี้สันดานชั่ว ..มันไม่มีทางเจริญ คนแบบนี้ /สอง เพื่อนดี พวกนี้อยู่กับเราทั้งสุขและทุกข์ เวลาวิกฤตจะเห็นว่าคนเหล่านี้อยู่กับเรา ...คนแบบนี้เจริญ เพราะ โลกนี้อยู่ด้วย Trust ..."ความเชื่อใจ คือ สกุลเงินของโลกยุคใหม่" ...คนแบบไหน ก็จะเกาะกลุ่มกับคนแบบนั้น (Law of Attraction) ...ไม่แปลกที่บางกลุ่มเห็นแต่โอกาส แต่บางกลุ่มเห็นแต่ความแย่ -- ถ้าอยากเปลี่ยนกลุ่ม ต้องเปลี่ยนตัวเอง "เป็นคนดี ส่งเสริมคนรอบข้าง เพราะเมื่อคนรอบข้างดี เดี๋ยวเราก็ดีเอง ...คนที่ยกแต่ตัวเอง เหยียบหัวคนรอบข้าง สุดท้ายตัวเองพุ่งขึ้นไป ก็โดนฟ้าผ่า ระวังให้ดี" ....การทำอะไรต้องทำเป็นกลุ่ม แบ่งปันโอกาส แบ่งปันสิ่งที่มี ...ได้ดี แล้วก็ช่วยเหลือคนรอบข้าง ให้เงิน ให้โอกาส ให้ความรู้ แล้วเราจะไม่มีวันจม

ผมเรียนรู้ประมาณนี้ในช่วง 7 ปีที่ผ่านมา ...ตลาดหุ้นและธุรกิจไทย สอนผมว่า ยุคนี้คนดีเจริญขึ้นเรื่อยๆ ..มีจุดยืน สร้างจุดยืนให้ชัดเจน ....ทำให้คนอื่นดีขึ้น รอบตัวคุณดีขึ้น ...แล้วเดี๋ยวชีวิตมันดีเอง ...โอกาสมันวิ่งเข้ามา ทุกอย่างมันตามมาหมด

ผมแทบไม่เคยคิดว่า เด็กล้มเหลวแบบผม ต้องซมบานกลับมาเป็นลูกจ้างธรรมดาๆ จะได้รับโอกาสครั้งใหม่ ที่มันสอนอะไรผมมากมาย "มันสอนว่า ทุกอาชีพรวยได้หมด ...โอกาสวิ่งเข้าหาผู้ให้ในทุกอาชีพ ...และผู้นำคือ ผู้ให้ ..ไม่รวย ก็ให้สิ่งที่มี เช่น ให้ความรู้ ..ผมเข้าใจเรื่องพวกนี้จากการปฎิบัติ และ ก็อยากให้เพื่อนๆ ทุกคนได้ลองสู้ดู"

 ...เวลาล้ม ก็พยายามลุก เดี๋ยวก็ลุกได้ครับ ....ล้มเหลวได้ แต่อย่าล้มเลิก

ทะเยอทะยานในการเป็นคนดี ....ผมจะดีที่สุดในจุดที่ยืน และ จะแบ่งต่อๆ ไป !!



ฝรั่งบอกว่าหนังสือพิมพ์ยังไม่ตาย


เรื่องนี้ต้องขยาย ' ฝรั่งบอกว่าหนังสือพิมพ์ยังไม่ตาย'

คุณคิดว่าไง ...ต้องถามว่า วันนี้มีใครซื้อหนังสือพิมพ์บ้าง อันนี้คำถามแรก

คำถามที่สอง คนที่รับหนังสือพิมพ์อยู่ มีใครอยากจะยกเลิกรับบ้างครับ ?

เจอไปสองคำถาม ผมว่า "เสี่ยงละ" ... เอาง่ายๆ ไม่ใช่แต่เฉพาะหนังสือพิมพ์ในยุคนี้ที่เสี่ยง แต่ผมว่า ทุกธุรกิจเสี่ยงหมดแหละ เพราะ Internet และ "การขนส่ง" ปัจจุบัน มันเปลี่ยนวิธีการซื้อขายของคน ..อย่างในเมืองจีนที่ระบบค้าปลีกไม่แข็ง ...กลายเป็นว่า ระบบการค้าหลักในปัจจุบันของจีน คือ Online ไปแล้ว ...และ ระบบการเงิน กำลังจะเปลี่ยนมาเป็น Online เช่นกัน

จะเห็นได้จาก Alibaba เป็นเว็บค้าขายบนเน๊ตที่ใหญ่ที่สุดในโลก ..แต่มูลค่าจริงๆ อยู่ที่ Alipay ก็คือ ระบบการเงินบนเน๊ตของคนจีนที่ใหญ่มาก --- เรียกได้ว่าวันนี้คนจีน เห็นสินค้าอะไร ที่ไหน ไม่สำคัญ ...สุดท้ายเขาซื้อบนเว็บ เพราะ สะดวกที่สุด ถูกที่สุด

คุณว่า พฤติกรรมแบบนี้จะออกสู่ทั่วโลกเมื่อไหร่ ...สมมุติคุณไปเดิน Shopping ลองสินค้าเรียบร้อยที่ห้าง แต่ไม่ซื้อ มาคลิ๊กซื้อบนเน๊ต เพราะถูกกว่า ..."ผมว่า มาแน่ ..รออย่างเดียว รอระบบการเงินที่คนเชื่อถือเมื่อไหร่ ผมว่าการค้าบนเน๊ต กระฉูด ...วันนี้เมืองไทยเหลือเรื่องเดียว คือ คนส่วนใหญ่ไม่เชื่อมั่นระบบการจ่ายเงินเท่านั้นเอง"

พูดแล้วโอกาสหมื่นล้าน ถ้าใครทำแบบ Alipay ได้ ...ระบบการเงินบน Internet ที่ทุกคนเชื่อมั่น ..."ใครทำได้ คุณเป็น Mark Zuckerberg เมืองไทย ..โอกาสใหญ่มาก แต่งานนี้ไม่ง่ายครับ ...แค่ทำได้ ก็รวยสุดขีด..ใครลองทำดูซิครับ ...เดี๋ยวผมรอซื้อหุ้นบริษัทคุณ เอาใจช่วย...มีเงินรอลงทุนด้วย..อิ อิ"

ที่เล่ามากลับมาเรื่อง หนังสือพิมพ์ที่วันนี้ผมไปดูใน TED เขาบอกว่า แค่เปลี่ยน Design การวาง การออกแบบหนังสือพิมพ์ ก็ทำให้ยอดขายเพิ่มมหาสาร ไม่สำคัญว่า สินค้านั้นจะตายแล้วหรือกำลังจะตาย ...เพียงแค่เปลี่ยนการออกแบบให้โดนใจคน -- ก็จะกลับมาขายได้ดีอีก

ผมว่าจริงครับ ...วันนี้คนไม่ได้ซื้อสินค้าเพื่อบริโภค แต่ซื้อเพื่อเสพแทน

คุณไม่ได้กินกาแฟ แก้ง่วง แต่กินเพราะ Starbucks แสดงตัวตนของคุณ , คุณไม่ซื้อของ Brandname เพราะ อยากให้บริษัทมันรวย แต่คุณซื้อเพราะ ต้องการแสดงออกถึงความภูมิใจและความสำเร็จในจุดที่คุณยืน -- มันคือ เสพ ซึ่งลึกกว่า บริโภค ไปอีกขั้น

วันนี้โจทย์ของคนรุ่นใหม่ คือ ต้องศึกษาและเข้าใจการเปลี่ยนแปลง ...เพราะโอกาสรวยอยู่ที่สิ่งใหม่รอบตัว ...อย่ามัว งม หาในสิ่งเก่า ...โอกาสอยู่ในสิ่งที่ใหม่ที่คนอื่นยังไม่ทำ หรือ มองว่าทำไม่ได้ หรือ มองว่า ไม่มีตลาด

มีครับ ...ตลาดรอสิ่งใหม่ที่ดีกว่า โดนกว่า

....อย่าคิดรวยจากการทำสิ่งเดิมให้ถูกกว่า -- ให้มองหาโอกาสจากการทำสิ่งใหม่ ที่โดนใจลูกค้า "แพงก็ซื้อ ..ขอให้โดนใจ แสดงออกซึ่งตัวตน ทรงคุณค่า คุ้มในมุมของฉัน"

ฮวงจุ้ยสำคัญมากในฮ่องกง


'ฮวงจุ้ยสำคัญมากในฮ่องกง'

ไกด์บอกว่า ที่นี่เขาแคร์เรื่องฮวงจุ้ยมากๆ ทำให้อาชีพซินแสรวยมากๆที่นี่ (เมืองไทยก็คล้ายๆกันนะ)

เขาชี้ไปที่ตึกของ ธนาคารเซี่ยงไฮ้ที่สร้างตึกเป็นรูปมีด แล้วก็ตึกข้างๆของ HSBC ที่อยู่ข้างๆ แล้วทำตึกมีปากกระบอกปืนชี้ใส่มีด จนกลายเป็นคดีกันก่อนหน้านี้ ...ซีเรียส !!

ผมก็มาคิดว่าจริงเลย ฮวงจุ้ยสำคัญมาก แต่ ดรามาสำคัญกว่า ..555 -- ขนาดผมมาเที่ยว ไกด์ยังเล่าเรื่องตึกทั้งสองให้ผมฟัง คือ ขนาดผมไม่สนใจตึกยังรู้เรื่องเลย ...แล้วตึกไหนดัง ก็ขายที่เช่าง่าย 'เจ้าของรวย เพราะใครๆก็รู้จัก'

อย่างผ่านไปตึกสูงที่สุด เขาบอกว่าตึกนี้หุ้นกันระหว่างเศรษฐีอันดับ 2 และ 3 ลงขันกันสร้าง ...ฮึม!! ผมว่า ฮวงจุ้ยดี -- เพราะตึกสูงที่สุด ใครๆก็ต้องพูดถึง ...คนรู้จักโดยแทบไม่ต้องโฆษณา

ผมว่าเราปรับเรื่องฮวงจุ้ยการค้ามาใช้กับธุรกิจได้ เพราะแต่เดิมคือการก่อสร้าง เช่น ใหญ่สุด , สูงสุด , สวยสุด, แปลกสุด ..พวกนี้มันคือ Landmark คือ คนพูดกัน บอกต่อกัน แบบดังและขายของง่าย อันนี้แหละ ฮวงจุ้ยดี !!! 

(ทำเลขายดี ต้องเป็นที่รู้จัก ค้าขายคล่อง ..เข้าตำราเลย)

ถ้าใช้กับคนก็ 'หาจุดที่ตัวเองยืนแล้วเด่น คนพูดถึง ..เลือกทำงานที่ไม่ค่อยมีใครทำ แต่เราเชี่ยวชาญ แล้วทำจนคนนึกถึงหน้าเรา เวลาใครพูดถึงเรื่องนี้' ..นี่แหละคุณสมบัติของ  'จุดยืน' ที่ฮวงจุ้ยดี


'โอกาสจากเมืองใหญ่ ..เรื่องเล่าจากฮ่องกงตอนที่ 2'


'โอกาสจากเมืองใหญ่ ..เรื่องเล่าจากฮ่องกงตอนที่ 2'

ดูเหมือนเราต้องแลกชีวิตกับหลายๆอย่างในการอยู่ในเมืองใหญ่ ..แล้วทำอย่างไรจึงรุ่งในเมืองนี้ล่ะ ..น่าคิดจริงๆ

วิธีรุ่งในเมืองใหญ่ แบบ ลีกาชิง

ในฮ่องกง คนที่รวยที่สุดคือ ลีกาชิง ชายผู้นี้เกิดมาจากครอบครัวที่ยากจนในเมืองจีน ..ย้ายมาฮ่องกงเพื่อหาโอกาสในชีวิต เริ่มจากลูกจ้างแล้วผันตัวสร้างธุรกิจเล็กๆ ที่เกาะฮ่องกง (ขีวิตก็คล้ายๆ เรื่องราวเจ้าสัวพันธุ์มังกรของไทย แบบจีนโพ้นทะเล)

ผมว่าอยากเป็นแบบ ลีกาชิง ในการหาโอกาสในเมืองใหญ่ ต้องมีวิธีเริ่มดังนี้

1. ศึกษาสมรภูมิการค้า ..การที่คุณจะไปรบ หรือ สร้างตัวที่ไหน คุณต้องเชี่ยวชาญสมรภูมิ  ..คุณต้องเข้าสู่การค้าขายโดยตรง ถ้าอยากเป็นเถ้าแก่ ...ให้เป็นลูกจ้าง ทำงานขาย ติดต่อลูกค้า โดยอาศัยเครือข่ายของธุรกิจเดิมเพื่อเรียนรู้ 1. คน /2. การค้า/3. โอกาส ..เริ่มฝึกขายเลย (เส้นทางนักขาย ใกล้ผู้ประกอบการที่สุดแล้ว)

2. ศึกษาสิ่งใหม่ๆ ..ท่องไว้เลย อะไรที่ทำให้คนอื่นรวย จะไม่ทำให้คุณรวย ..คนรวยจะรวยจากสิ่งใหม่ (ยกเว้นพ่อมันรวย อันนั้นยกเว้น..55) ...ต้องเรียน และทำสิ่งใหม่ จนเราเชี่ยวชาญเรื่องนั้นๆกว่าใคร -- อย่าไปสนใจว่า เริ่มต้นมันหาเงินได้น้อย ..'คนรวยไม่ได้รวยจากหาเงิน แต่เขารวยจากหาโอกาส(ใหม่ๆ) '

3. เริ่มธุรกิจเล็กๆ ที่ใช้เงินน้อย ...ยุคนี้บอกเลย คุณโชคดีกว่า ลีกาชิง เพราะการเปิดธุรกิจส่วนตัววันนี้ใช้เงินน้อยมาก ขายผ่าน Online หรือ ที่ใดก็ได้ที่เปิดท้ายให้คุณเจอคน ในต้นทุนที่ไม่อยู่ในห้าง ..ถ้าต้นทุนคุณแพงเหมือนร้านค้าอื่นๆ อย่าหวังรวย (ไม่มีเศรษฐีคนไหน ที่ทำเหมือนคนทั่วๆไป คิดดีๆ)

ข้อ 4. รอไรอยู่อ่ะ ?!? ...ไปวางแผนเลย ...เริ่มจากจุดที่คุณยืนที่แหละ ดูซิ จะรู้จักลูกค้าได้อย่างไร -- ทุกธุรกิจมีลูกค้า คือ 'ตลาด' และคือ 'โอกาส' ที่เราต้องรู้จัก (ถ้างานที่คุณทำไม่เกี่ยวกับลูกค้า ..พยายามทำให้เกี่ยวครับ เพราะลูกค้าคือ หัวใจของทุกธุรกิจการค้า) ...จากนั้นเชื่อมโยงโอกาสตามข้อ 1-3 

...เริ่มเลยครับ


ตึกใหญ่ใช่สบาย


'ตึกใหญ่ใช่สบาย ..เรื่องเล่าจากฮ่องกง'

ไปฮ่องกงทุกครั้งเห็นการเปลี่ยนแปลงที่รวดเร็ว ..สนามบิน ..สะพานเชื่อมไปมาเก๊า และ สิ่งปลูกสร้างที่นับวันจะใหญ่และสูงขึ้นเรื่อยๆ

แต่สิ่งที่น่าคิดคือ ตึกสูงใหญ่ ...ระหว่างที่ไปวัด ผมมองขึ้นไปเห็นตึกเก่าๆมากมาย ...ก็รู้สึกว่า นี่คือวิถีเมือง ..พอเมืองพัฒนาขึ้นเรื่อยๆ คนที่จะเข้ามาอยู่ในที่เล็กลง จากเดิมที่มีทุ่งนาเป็นเพื่อน วันนี้ก็มาอยู่ในกล่องแทน

เราแลกความอิสระและธรรมชาติ กับ ความสะดวกสบายและความหรูหรา

ผมก็มาฉุกคิดว่า เราแลกอะไรบ้างกับชีวิตเมือง

1. 'กล่องเล็กๆ นี้ขอเป็นหนี้ 30 ปี' ..เราแลกการอยู่กับธรรมชาติมาอยู่ในตึก จากเดิมใครๆก็มีบ้าน แต่ในเมือง ห้องเล็กๆ ต้องเป็นหนี้ 30 ปี

2. 'นักเดินทาง กระเป๋าสตางค์รั่ว' ..จากชีวิตนอกเมืองที่อยู่กันในหมู่บ้านไม่ค่อยเดินทาง มาอยู่เมืองซึ่งเอื้อให้เราเป็น World Traveller...'ห้องเล็ก ไปเที่ยวดีกว่า 'ประสบการณ์เพิ่มแต่เก็บเงินยาก -- ใช้หมด!!'

3. 'อยู่ท่ามกลางคน แต่ไม่รู้จักใคร' ..แปลกดีเมืองยิ่งใหญ่ เรากลับต้องปากกัดตีนถีบมากขึ้น ..มันคือการต่อสู้ การดิ้นรน ทำให้เราต้องเอาแต่ตัวเอง ...อย่าขอความช่วยเหลือจากคนในเมือง

4. 'เมืองยิ่งเจริญ คุณยิ่งไม่มีรถ' ..ที่ฮ่องกงรถไม่ค่อยติด เพราะ ไม่มีที่จอดรถ ...ผมว่าเป็นความคิดที่ดี ถ้ากรุงเทพไม่อยากรถติดก็ให้ตึกต่างๆ เปลี่ยนที่จอดรถเป็นออฟฟิส ไม่งั้นจะเก็บภาษีที่จอดรถ ...พอรถไม่มีที่จอด ทุกคนก็ต้องใช้รถไฟฟ้าแทน (ถ้ากรุงเทพทำแบบนี้ ผมจะไปซื้อหุ้น BTS ก่อน ..555 -- แต่เผอิญยังไม่มีใครคิดแก้รถติดแนวๆแบบนี้)

5. 'เจ้าของที่ดินรวย ในเมืองใหญ่' ..เมืองยิ่งใหญ่ ยิ่งเจริญ เจ้าของที่ดินไม่ต้องทำอะไร แต่รวยขึ้น รวยขึ้น ..จะเห็นว่าคนรวยในฮ่องกง ทำ 2 เรื่อง นี้ คือ หนึ่ง อสังหาและที่ดิน สอง หุ้น ...ทั้งหมดก็คือ Asset  Developer & Asset Manager นั่นเอง




วันพฤหัสบดีที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ภูมิใจในอาชีพ จะทำให้เราสำเร็จมากขึ้น

"ภูมิใจในอาชีพ จะทำให้เราสำเร็จมากขึ้น" ...เชื่อไหมครับ ?

เมืองไทย เรียก "กรรมกร" ..ฝรั่งเรียก Builder ...คนทำงาน Builder ต้องมีความรู้เรื่องการสร้างบ้าน รู้เรื่องเครื่องทุ่นแรงต่างๆ ในการสร้างบ้าน ต้องเรียนเหมือนคนจบปริญญาทางด้านการก่อสร้าง และ ที่สำคัญต้องมีประกาศนียบัตรอาชีพ Builder

ที่เด็ดกว่านั้น คือ Builder ในต่างประเทศ มีรายได้มากกว่า พนักงานบริษัทเสียอีก ...เรียกได้ว่า อาชีพที่เมืองไทยมองว่าเป็นกรรมกร ในต่างประเทศเป็นหนึ่งในอาชีพที่มีเกียรติ มีความรู้ และ ก็รวยได้

ความรวยของ Builder ขึ้นกับว่า คนๆนั้นใช้ความรู้ความสามารถในการก่อสร้างให้ลูกค้าพึงพอใจแค่ไหน ...พูดง่ายๆ ว่า ความสำเร็จ และ ความรวยของ Builder ขึ้นกับฝีมือจริงๆ

อีกอาชีพนึง เมืองไทยเรียก "คนผัดข้าว" ...ฝรั่งเรียก Chef ...คนทำงาน Chef ต้องเรียนในเรื่องอาหารในแขนงต่างๆ เหมือนเรียนปริญญาทางด้านอาหาร ...แถมต้องมีประกาศนียบัตร ซึ่งการจะได้มาต้อง ฝึกงานในสถานที่จริง เช่น โรงแรม , ร้านอาหาร ต่างๆ

ทีเด็ดคือ Chef ที่รวยเป็นพันล้าน เช่น Jamie Oliver หรือ Chef Ramsay 'Hell Kitchen' ก็คือ คนที่เอาอาชีพ Chef มาต่อ ยอด ให้เกียรติในอาชีพตัวเอง ..ยกระดับให้มันเป็นงานศิลปะ ...ยกระดับให้มีความรู้ ความเชี่ยวชาญ

ที่ยกตัวอย่างมาแค่ 2 อาชีพ คือ กรรมกร กับ คนทำอาหาร ....จริงๆ อาชีพไหน ก็รวยได้หมด ไม่มีอาชีพชั้นต่ำ เหมือนเมืองไทย ...สิ่งที่อยากจะชี้คือ จริงๆ ไม่มีอาชีพชั้นต่ำ มีแต่ตัวเรา ให้เกียรติอาชีพของตัวเองแค่ไหน ...เราเรียกสิ่งนี้ว่า การสร้าง Identity ให้กับ อาชีพของตัวเอง

วิธีการสร้าง เกียรติ สร้างศักดิ์ศรี สร้างความสำเร็จให้ อาชีพที่เราทำ ..เริ่มทำได้ดังนี้

1. ศึกษาในเรื่องนั้นๆ ให้เชี่ยวชาญ ทั้งแนวกว้างและแนวลึก (ถ้ามีโอกาสได้ ศึกษาในสถาบันการศึกษา หรือ ฝึกงานในสถานที่จริง ยิ่งทำให้เรามีคุณค่ามากขึ้น)

2. สร้างผลงานตัวเองให้เป็นงานศิลปะ ให้คนอื่นเห็นค่าบ้าง เช่น Jamie Oliver มีหนังสือ การทำอาหารแนวของตัวเอง , มีรายการทีวีของตัวเอง และ มีโรงเรียนทำอาหาร รวมทั้งร้านอาหารของตัวเอง ที่ทำอาหารชั้นยอด ...คำว่ายอด คือ "เราทำด้วยใจ ใส่ใจ ใส่ความรู้ ใส่วัตถุดิบที่สุดยอด ..สร้างการรับรู้ และ นั่นแหละ งานศิลปะที่เราสร้างเอง"

จุดเริ่มต้น ก็คือ ยกระดับ ความรู้ในอาชีพที่ทำ ..ใช้ Technology ใหม่ ๆ และ นำเครื่องทุ่นแรงมาใช้ ...จากนั้น ก็เผยแพร่ความรู้ที่ตัวเองมีในวงกว้างมากขึ้น สร้าง "จุดยืน" ในสิ่งที่เราทำ

"ไม่ง่าย ..แต่ฝรั่งเขาก็ทำมันได้ ทุกอาชีพ ...ตั้งแต่ กรรมกร , ไอ้คนผัดข้าว , นักเขียนไส้แห้ง , ศิลปินเตะฝุ่น , ช่างประปา , คนส่งของ -- ทุกอาชีพที่พูดนี่ ฝรั่งเขาเปลี่ยนเป็น ธุรกิจและ Franchise เงินล้าน ได้หมดแหละ"

 ....เริ่มที่ความรู้ และ รู้จุดยืนของตัวเอง -- ลองดูซิครับ !!

เมื่อไหร่จะมี Elon Musk เมืองไทย


"ชายคนนี้ IDOL มักๆ ...เป็น Self-Made เศรษฐีตั้งแต่ยังวัยรุ่น ...ร่วมก่อตั้ง Pay Pal เพื่อสร้างระบบการเงินใหม่ท้าทายระบบการเงินเดิมของโลก ก่อนจะถูก Ebay ซื้อไป ...จากนั้นทำ SpaceX บริษัทปล่อยจรวด ทำจริงจังจน NASA เลิกทำระบบปล่อยจรวดเอง มาจ้าง SpaceX ทำแทน เพราะ ดีกว่า ถูกกว่า ...ทำ Solar ก็จะสร้าง Grid เอง แบบไม่พึ่งพิงระบบไฟฟ้าแบบเดิม บ้าไหมล่ะ ? ....วันนี้ทำ TESLA รถไฟฟ้า ไม่เอาระบบเครื่องแบบเดิมเพราะบอกว่ามอเตอร์เร็วกว่า และ work กว่า และที่สำคัญไม่ใช้น้ำมัน ใช้ไฟฟ้า ...เอาเข้าไปครับ !!

สรุป ทุกอย่างที่ Elon Musk ทำ ต้องท้าทายสิ่งที่คนส่วนใหญ่ทำอยู่ ...เขาต้องการจะบอกว่า ด้วย Technology เขาสามารถสร้างโลกที่ดีกว่า ประหยัดกว่า และ คนสร้างรวยกว่า ด้วย วิธีคิดไม่เหมือนใคร

ครับ!! ผมตามศึกษาวิธีคิด และ สิ่งที่ Elon Musk ทำ นี่น่าทึ่งมาก ...เร็วๆ นี้ เขาออกมาพูดเรื่องระบบการขนส่งมวลชนแบบใหม่ ที่เร็วกว่าเครื่องบิน แถมถูกกว่า คือ ส่งคนตามท่อ

นึกสนุกๆ ว่า ถ้า Elon Musk เกิดเมืองไทย วันนี้เขาจะไปได้ถึงไหน ?

คนไทย ถ้าคุณคิดต่าง "คุณผิดครับ"
ถ้าคุณทำดี แล้วมันเด่น ดัง "หมั่นไส้ครับ ...เขาจะทำทุกวิถีทางเพื่อ Dis-credit คุณ" (ถามว่าทำไปทำไม ...คงสะใจดี -- แต่ลืมไปว่า ทุกสิ่งที่ทำ ตัวเขาเองจะได้รับผลนั้นในที่สุด)

คนไทยเก่งๆ เยอะครับ แต่ส่วนใหญ่เอา ความเก่ง และ เวลา ของตัวเอง ไปใช้ในด้านลบ ...เอาไปขัดขาคนอื่น แทนที่จะสร้างประโยชน์ ...สุดท้าย คนทำแบบนี้ ก็ไม่ได้อะไร ..แม้แต่คนรอบข้างของเขาสุดท้ายก็จะเห็นความใจแคบของคนเหล่านี้ แล้วถอยห่างในที่สุด

หลายคนไม่รู้หรอกว่า "การที่เราเป็นในสิ่งที่เราเป็นวันนี้ มันก็คือ ผลจากการกระทำในอดีต" (มันไม่ได้เกี่ยวกับโชคชะตา อะไรหรอก)

บางคนบอกว่า "ชีวิตไม่เคยได้รับโอกาส ไม่เคยได้เวที" ...ถามจริง ๆ เพราะ อะไร -- เพราะ เขาไม่ขวนขวายพอหรือเปล่า ....การได้เวที หรือ โอกาส ทำง่ายๆ ดังนี้

1. เลือกเรื่องที่เราอยากจะเก่ง แล้วเอามันเก่ง พยายาม ทำให้สุด เราเรียกว่า "FOCUS"
2. คนที่ Focus จะกลายเป็นคนเก่ง หรือ ผู้เชี่ยวชาญ เรื่องนั้นๆ ...นี่แหละ โอกาสจะเข้ามา เพราะ ใครๆก็อยากเป็นเพื่อนกับคนเก่ง ..และ ใครๆ ก็อยากถาม อยากคุยกับคนเก่ง

จริงๆ ครับ ...คุณจะได้รับผลจากสิ่งที่คุณทำ ...ถ้าอยากได้ดี จงพยายาม "ให้" ...ถ้าอยากได้สิ่งร้ายๆ จง "คิดลบ ...คิดลบ จะเห็นแต่ปัญหา แม้ว่าจะอยู่ท่ามกลางโอกาส ...คิดริษยา จะมองร้ายต่อคนอื่น ..พาตัวเองสู่พวกคิดแย่ คนคิดแย่ๆ ซึ่งคนเหล่านี้จะมืดมิดในโอกาส ..จะเจอแต่เรื่องเลวร้าย" -- กฏแรงดึงดูด จะพาคนแบบเดียวกันมาเจอกัน ...คนคิดลบ จะเจอแต่คนคิดลบ จะมองไม่เห็นโอกาส นั่นแหละ ที่เขาบอกว่า ทำไมบางคนชีวิตมืดมน -- "มันคิดลบ คิดแย่ คิดอิจฉา"

อ้าว!! แล้วพวกที่เจอแต่โอกาส เจอแต่เพื่อนดี ...ก็เขาคิดดี ต่อเพื่อน จริงใจ ...พวกนี้เพื่อนรัก เลยเจอแต่คนดี มีคนหยิบยื่นโอกาสดีๆให้ ...ก็เขาคนดี ชีวิตเขาเลยดี
(กฏต่างๆ มันคือ เหตุ และ ผล ...ตรงๆ แค่นั้นเอง)

ธรรมมะ จริงๆ คือ "การได้รับในสิ่งที่เราทำ ในชาตินี้แหละ" ...คนที่อยากเป็นผู้นำ ต้องให้ ..มีแรงให้แรง ..มีความรู้ ให้ความรู้ ..มีเงิน ให้เงิน ..มีโอกาส ให้โอกาส ... จัดเลยครับ !!

การท้าทายในสิ่งที่คนส่วนใหญ่คิดว่าทำไม่ได้ ...ก็คือ Elon Musk ...นั่นเอง

 ...ลองดู อาจรวย และ มันส์มาก !!

ดีที่สุดในจุดที่ยืน ..น่าคิดนะ


"ดีที่สุดในจุดที่ยืน ..น่าคิดนะ"

เด็กเดี๋ยวนี้เกิดมา มีแต่การแข่งขัน ...แข่งกันเข้าโรงเรียนอนุบาล แข่งกันเข้าประถม ..แข่งเข้ามัธยม ...แข่งกันเข้ามหาวิทยาลัย แข่งกันเข้าทำงานบริษัทดังๆ

เหนื่อยมากครับ ...เพราะ การแข่งขัน มีคนชนะ ก็ย่อมมีคนแพ้ -- และหลายๆครั้ง คนแพ้ ก็คือ เรา ...โคตรเศร้า จริงไหม ?

ผมมาเจอหลักการนึง เท่ห์มาก เขาเรียกว่า "ดีที่สุดในจุดที่ยืน" ...แปลคือ

1. เลือกจุดยืน (ทำสิ่งที่เราชอบ และทำได้ดี ...ถ้ามีตลาด มีคนยอมจ่ายเงิน ยิ่งง่ายใหญ่ ..แต่ถึงไม่มีก็สร้างได้ ...ก่อนมนุษย์เราใส่เสื้อ เราก็เคยไม่ใส่เสื้อ ...ก่อนมนุษย์เราใส่รองเท้า เราก็เคยไม่ใส่รองเท้า ...ก่อนมนุษยืมีแว่นกันแดด เราก็เคยไม่มีแว่นกันแดด)

2. ทำให้ดีที่สุด ในสิ่งที่เลือกว่า เราชอบแล้ว ...คุณรู้ไหมว่า ถ้าเราเลือกแล้ว เราควรไม่มีข้ออ้างว่า ทำไมต้องทำงานหนักจัง มันต่างจากงานที่เราเลือกไม่ได้ ทำเพราะต้องหาเงินกินข้าว

ทางสายนี้มีปลายทางคือ "สำเร็จ"(ทำสิ่งที่รัก อย่างมุ่งมั่น นานพอ ก็สำเร็จทุกคนแหละครับ) มีระหว่างทางคือ มีความสุข (ทำสิ่งที่ชอบ ไม่เอาเงินมาเป็นข้ออ้าง) 

ปัญหามาเลยว่า หลายคน เงินกินข้าวยังไม่มีเลย จะมานั่ง ดีที่สุดในจุดที่ยืนได้อย่างไร ?

"ก็แปลว่า เขายังไม่พร้อมไง" ...ก่อนเลือกจุดยืน ต้องดูก่อนว่า ตัวเราพร้อมในจุดไหน

คนที่พร้อมต้องสร้าง Passive Income เงินไหลโดยไม่ต้องทำงาน เดือนละอย่างต่ำ 1 หมื่นบาท (นี่ไม่ใช่อิสรภาพทางการเงิน แต่คือ เงินที่ไหลเข้ามาให้เราไม่อดตายเท่านั้นแหละครับ) ...เพื่อจะมีข้าวกิน จากนั้น ถึงจะสามารถเลือกทำงานในแนว ดีที่สุดในจุดที่ยืน ได้

โจทย์แรก ที่หลายๆ คนไม่เคยมองเลยคือ การเริ่มสร้าง Passive Income (ตัว Passive Income นี่แหละที่จริงๆ ทุกคนสร้างเองได้ เพียงใช้เวลาไม่เกิน 10 ปี เงินก้อนนี้จะเริ่มโต คนที่ชอบอ้าวว่าไม่ได้เงินมารวย เรื่อง Passive Income นี่แหละ ที่ลูกเศรษฐีมี แต่คนธรรมดาไม่มีตอนเกิด -- เฮ้ย!! แต่เราก็สร้างมันได้ครับ)

 ....วันนี้ทุกคนมี Active Income(เงินจากขายเวลาแลกเงิน) ..ลองมองเรื่องเริ่มสร้าง Passive Income ดูครับ ..เริ่มจากน้อยๆ หลัก ร้อย มาหลักพัน มาหลักหมื่น ...ค่อยๆ ศึกษา แล้วค่อยๆ เดินไป

ลองศึกษาดูครับ ...มันคือ ชีวิตทางเลือกที่คนส่วนใหญ่ไม่เคยคิดจะเข้าใจด้วยซ้ำ !!


ออมในสินทรัพย์ กับ ออมในเงินสด ยิ่งวันยิ่งห่าง


"ออมในสินทรัพย์ กับ ออมในเงินสด ยิ่งวันยิ่งห่าง"

เคยเปรียบเทียบไหมครับ ถ้ามี คนสองคน
คนแรก ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ซื้อทองเก็บ ...จะใช้อะไรก็ค่อยขายทองมาใช้
คนที่สอง ได้เงินเดือนเท่าไหร่ ก็ฝากธนาคาร ...จะใช้เงินก็ถอนเงินมาใช้

ถ้าสองคนนี้ เริ่มเก็บเงินตั้งแต่เริ่มทำงาน ทำไปจนเขาเกษียณ ...คุณลองเดาซิว่า คนไหนสุดท้ายจะมีเงินมากกว่า รวยกว่า

ใช่ครับ !! นี่คือ ความแตกต่างระหว่าง ความคิด คนรวย กับ ความคิดคนทั่วไป ...จริงๆ ต่างกันนิดเดียว คือ คนรวยเขามีเงินเท่าไหร่ ก็จะเปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ Asset แล้วเก็บ ...ของเหล่านี้ราคามีแต่เพิ่มในระยะยาว สุดท้ายยิ่งเก็บก็ยิ่งรวย

นอกจากนี้ หากคุณเก็บเป็น Asset คุณก็จะไม่อยากใช้ เพราะ ยกตัวอย่างว่า เก็บเป็นทอง ถ้าจะใช้ต้องขายทอง ...ใครๆ ก็ไม่อยากขาย ก็เลยใช้เงินยาก ..ต่างกับคนเก็บเงินสด ใครๆ มีเงินสด ก็อยากจะใช้ สุดท้ายก็เก็บไม่ได้ -- คนนึงเก็บง่าย ใช้ยาก ของที่เก็บมูลค่ามีแต่เพิ่ม ...กับอีกคน เก็บยาก เพราะเงินสดใช้ง่าย แถมมูลค่ามีแต่ลด

ไม่ต้องแปลกใจว่า สุดท้าย ทำไมคนรวยยิ่งรวย ...แต่คนจนยิ่งจน

นี่คือ วิธีคิด ที่ส่งผลให้ชีวิตของคนแตกต่างกัน

ลองไปปรับใช้ดูครับ ....เก็บทอง ก็ได้ ..จะใช้ค่อยขายมาใช้ ...หรือ จะออมหุ้น ก็ว่ากันไป !!

วันพุธที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ยุคนี้ เป้าหมาย สำคัญ พอๆกับ ความสามารถ


"ยุคนี้ เป้าหมาย สำคัญ พอๆกับ ความสามารถ"

สมัยก่อนคนเรียนสูง อาจได้เปรียบในชีวิต แต่ยุคนี้ หมดยุคนั้นแล้วครับ ...ยิ่งประเทศอย่างยุโรปที่เขากำลังเจอวิกฤตเศรษฐกิจ คุณจบอะไรมาก็หางานไม่ได้ครับ ...บางทีคุณไปกินอาหาร คนเสริฟ ระดับปริญญานะครับ บางคนเป็นผู้บริหารเก่า แต่บริษัทปิด เลยมาเสริฟชั่วคราว

ฟังดูแปลกๆนะ ...ถ้าเราทำงานเก่ง จนได้เป็นผู้บริหาร แต่พอบริษัทเจ๊ง เราซวยตาม ...มันดูเป็นชีวิตที่ควบคุมไม่ได้นะ เหมือนเอาตัวเราไปผูกกับคนอื่น ซึ่งในที่นี้ก็คือ เอาตัวเราไปผูกกับบริษัท ผูกกับนายจ้าง ...แต่เราไม่รู้นี่ ว่าบริษัทที่ดูมั่นคงอย่าง Nokia หรือ Kodak จะเป็นอย่างวันนี้ได้

วันนี้เลยมีหลายๆคนเริ่มมาหาคำตอบว่า "ตกลงเราต้องผูกชีวิตกับอะไร ถึงจะดีที่สุด ?"

คำตอบคือ "ผูกกับตัวเองแหละ ดีที่สุด"

การผูกชีวิตกับตัวเอง ก็คือ "การตั้งเป้าหมายที่ชัดเจนในชีวิต ว่าเราชอบจะทำอะไร แล้วตั้งใจทำเป้าหมายนั้นให้เกิดเป็นผลงานจริง ...เพราะ งาน คือ การแสดงตัวตน -- คนที่สร้างตัวตนชัดเจนในยุคนี้ จะสามารถมีชีวิตที่มั่นคง!!"

"ไม่เข้าใจ?" ...ผมขออธิบายดังนี้ ...วันนี้งานทุกอย่างในโลก อุตสาหกรรม คือ งานที่แทนด้วยเครื่องจักร หรือ หุ่นยนต์ได้ทั้งหมด ...มันเป็นงานที่บริษัทพยายามให้ลูกจ้างเป็นเหมือนเครื่องจักร ...หน้าที่คุณ ใครทำแทนก็ได้ ...นี่คือ เป้าหมายของบริษัท คือ ทำให้ งานทุกตำแหน่ง ไร้ความหมาย ไม่มีตัวตน ...ทำให้ตำแหน่งเป็นเหมือนหัวโขน ที่พอคุณไม่ทำ เขาก็เอาหัวโขนนี้ไปใส่ให้คนอื่นแทน -- นี่แหละ ความไม่มั่นคงในโลกยุคอุตสาหกรรม ที่เจ้าของธุรกิจเขาฉลาดพอที่จะทำให้ทุกงานไร้เป้าหมายของตัวเอง แต่เปลี่ยนเป้าหมายของทุกงานให้มองที่เงิน ...."เอาเงินไป นั่นคือ เป้าหมาย ...ทำให้หนัก เดี๋ยวให้เงินมากขึ้น -- โอมมม ๆ ๆ ๆ  จง ใช้เงินเป็นเป้าหมาย"

คุณรู้ไหม วันนี้คนหลายๆคน ยิ่งทำงาน ยิ่งรู้สึกเครียด เพราะ มองตัวเอง ไม่มีคุณค่า ...ยิ่งถ้าเครื่องจักรจะมาแทนงานตัวเองยิ่งจิตตกหนักเลย

"คุณค่าของคน คือ การทำสิ่งที่มีความหมาย ...ความหมายของแต่ละคนไม่เหมือนกัน ...ดังนั้น เราต้องกำหนดความหมายและเป้าหมายของตัวเอง ...เช่น นักวาดภาพคนหนึ่ง อยากสร้างผลงานให้ทั่วโลกยอมรับฝีมือคนไทย นี่คือเป้าหมายที่ชัดเจน -- ถ้านักวาดภาพคนนี้ทำได้ สร้างผลงานที่โลกยอมรับ(ตัวอย่างชัดๆ ก็ อ.เฉลิมชัย) เขาก็จะมีตัวตน มีความหมาย มีเป้าหมาย และ มีเงินตามมา ....เงินมันกระจอกสำหรับเขา ไม่ได้มีอะไร เพราะ มันแค่ผลลัพธ์ที่เข้ามาตามสิ่งที่ทำก็เท่านั้นเอง

ลอง Focus ให้ถูกที่ ...คนวิ่งหาเงิน มักเหนื่อย และไม่ได้เงิน ....แต่คนวิ่งหาเป้าหมาย และ ความหมาย นี่แหละ ที่เงินและโอกาสวิ่งเข้าหาเขาแทน -- แปลกไหมที่คนส่วนใหญ่ ตั้งเป้าหมายผิด แค่นั้นเอง

ลองคิดดีๆครับ ผมว่า เราทุกคนยังเปลี่ยนได้ทัน !! 

วันอังคารที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ตำนาน The Stock Master อีกครั้ง


" ตำนาน The Stock Master อีกครั้ง "

กำลังจะกลับมาอีกครั้ง ...ครั้งนี้ The Stock Master 4 (SM4) ขออุปรายละเอียดไว้ก่อน ...จะเล่าที่มาก่อนว่า The Stock Master เริ่มมาเกือบ 4 ปีแล้ว ....มันเกิดจากอะไร ทำทำไม มาแล้วไปไหน ?

โอ้ว้าว เหมือนปัญหาโลกแตก ....ทำไปทำไม ...เป้าหมายคืออะไร ?

สังเกตไหมครับ คำถาม Why ? เป็นคำถามที่เราตอบยาก ...ทำไมอย่างนั้น ...ทำไมอย่างนี้ ....ทำไมฉันทำ ในสิ่งที่ทำอยู่ ....ทำไม ทำไม ทำไม -- แต่ลองคิดดีๆ ว่า "ใครก็ตามที่ตอบคำถาม Why ในทุกสิ่งที่ทำ ...ส่วนใหญ่มักจะประสบความสำเร็จ ก็เพราะ เขาให้ความหมายในสิ่งที่ทำ ....พอเข้าใจความหมาย รู้ว่าทำไปเพื่ออะไร ก็จะสามารถทำมันต่อไป จนสำเร็จ ...ต่างจากคนที่ถูกบังคับให้ทำอะไรสักอย่าง พอเจออุปสรรค เขาก็จะ งง แล้วถามว่า กรูทำสิ่งนี้เพื่ออะไรฟระ ?.. นั่นแหละที่คนส่วนใหญ่ล้มเลิก"

ล้มเลิก หนักกว่า ล้มเหลว ตรงที่ ล้มเหลว สามารถลุกขึ้นมาใหม่ แต่ล้มเลิกคือ จุดจบ สิ้นสุด หยุดทำ ...."ผมไม่กลัวความล้มเหลว (เพราะกรูล้มมาหลายทีละ...ฮ่า ฮ่า เดี๋ยวก็ผ่านไป) แต่ที่น่ากลัวคือ ล้มเลิก เพราะ มันคือ การถอดใจในเป้าหมายของชีวิต ...นั่นแหละ ล้มของจริง"

กลับมาเรื่อง The Stock Master ปีนี้จะเป็นปีที่ 4 ...มันมีที่มาจาก พวกเราอยากจัดสอนหุ้นที่มันเป็น Reality คือ "ใช้เงินจริง ของจริง" ซึ่งย้อนไป 4 ปีที่แล้ว ...ไม่มีใครกล้าจัด เพราะ ทุกคนกลัวว่าถ้าลูกค้าเสียหาย อาจโดนด่า ...เราก็มานั่งคิดว่า แล้วมันต่างกับคนเล่นหุ้นปกติยังไง เพราะ สุดท้ายทุกคนก็ต้องเล่นเงินจริง ...คำตอบ คือ "ก็อย่ามาเสียในมือฉัน เพราะ ฉันไม่อยากรับผิดชอบ"

นั่นแหละ โอกาส !! ....งั้นพวกเรามาเริ่มโครงการบ้าๆ เรียนและทำจริง เงินจริง ...ถ้าเจ๊ง ก็เจ๊งแล้วมีโค๊ซ เดินไปด้วย ...เจ๊งก็มีเพื่อน ...แค่นั้นแหละ ... มีคนถามว่า ถ้าเรียนแล้วจะไม่เจ๊งใช่ไหม ? ...ตอบเลยไม่ใช่ !! ....ทุกคนต้องเคยเจ๊งในตลาดหุ้นอันนี้หนีไม่พ้น แต่เวลาเจ๊ง ส่วนใหญ่เลิกเล่น (ก็คน 80% ที่เปิดบัญชีแล้วเจ๊งใน 6 เดือนนั่นแหละ) ...แต่คนที่เจ๊ง แล้วลุกขึ้นมาใหม่ ส่วนใหญ่จะกลายเป็นเซียน เป็นมืออาชีพ

มันจะดีแค่ไหน หากเวลาที่คุณเจ๊ง หรือ เสียเงิน มีคนสอนคุณไปด้วย ....นั่นแหละ The Stock Master

เฮ้ย!! Concept มันแปลกๆ นะ .....ก็นี่แหละชีวิตจริง ....อยากทำอะไรเป็น ก็ต้องเรียนรู้ ...ถ้าจะเรียนรู้เร็ว ก็ต้องลงสนามจริง ...ก็นี่แหละ ลงสนามจริง พร้อม "กูรูบัวหลวง" เดินไปข้างๆ ...The Stock Master

ใกล้จะเปิด The Stock Master 4 แล้ว ....ใครสนใจโครงการนี้ ...รอติดตามรายละเอียด ...เร็วๆนี้ครับ จัดไป !!!! (ติดตามรายละเอียดของการสมัครใน Facebook และ Line Official ของผม เร็วๆนี้ครับ)

วันจันทร์ที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

Robot อาจทำให้เราตกงาน ต้องสู้ยังไง


"Robot อาจทำให้เราตกงาน ต้องสู้ยังไง"

เราได้ยินกันหนาหูขึ้นเรื่อยๆ ว่า อีกหน่อย Robot จะทำให้คนตกงาน ...ถามจริงๆ คุณเชื่อไหม ?

ผมไม่เชื่อ ...เพราะ ไม่ใช่ทุกอย่างที่ Robot จะสามารถทำได้ดีกว่าคน

ยกตัวอย่าง

1. Robot เก่งทำอะไรที่ซ้ำ มีวินัย ...ดังนั้น Robot แทนคน Art ๆ ติสแตก แนวๆ ไม่ได้ -- หนึ่ง คนประเภทติส Robot ทำงานแทนเขาไม่ได้

2. Robot สามารถทำงานจำนวนมาก ได้อย่างแม่นยำ และทำพร้อมๆกัน ผมว่ายุคอุตสาหกรรมเครื่องจักรสามารถผลิตของจำนวนมาก แม่นยำ แต่ส่วนใหญ่ของแบบนั้นคือ "ขยะ" ...ดังนั้น คนประเภทที่สร้างผลงานชิ้นเอก งานศิลปะ Asset อันนี้ Robot แทนเขาไม่ได้ -- สอง คนประเภทที่เป็นศิลปิน ที่มุ่งสร้างงาน Master Piece "สร้างผลงานชิ้นเอกในสิ่งที่เขาทำ" เช่น แต่งเพลง , ประพันธ์หนังสือ , สร้างหนัง , สร้างงานศิลปะ พวกนี้หุ่นยนต์ทำไม่ได้ครับ

3. Robot ทำงานตามเป้าหมาย แต่ไม่มีความทะเยอทะยาน ...ดังนั้น งานทะเยอทะยาน ต้องใช้มนุษย์ "ผมต้องการเปลี่ยนโลก ด้วยสมองและสองมือของผม" -- สาม คนประเภททะเยอทะยาน ตั้งเป้าแล้วกัดไม่ปล่อย ทำในสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปไม่ได้ คนแบบนี้ Robot แทนคุณไม่ได้

4. Robot บริโภคพลังงานเป็นอาหาร ...แต่มนุษย์ใช้เงินเป็นอาหาร -- สี่ คนประเภทที่เหนือเงิน จะเหนือ Robot เพราะ หุ่นยนต์อยู่ใต้พลังงาน

...งง อ่ะ ?!? -- อธิบายว่า หุ่นยนต์ทำงานด้วยพลังงานที่คนจัดหา ...แต่คนมีพวกที่ทำงานตามเงิน กับบางคนที่จัดหาเงินให้คนอื่นทำงาน ...แปลกดีนะ โลกนี้มีคนเข้าใจเรื่องเงินในมุมกลับ ก็คล้ายหุ่นยนต์ หรือ เครื่องจักรที่สามารถจัดหาพลังงานให้ตัวเองได้

ใช่!! Robot เป็นแค่เครื่องทุ่นแรงของมนุษย์ ..เราไม่จำเป็นต้องแข่งกับ Robot เพียงแต่เราต้องรู้ว่า เราควรเอา Robot มาช่วยทุ่นแรงในเรื่องใด ให้ได้ผลงานดีขึ้น ก็เท่านั้นเอง

เหนือ Robot -- จัดไป !!

ตลาดหุ้นวันนี้แพงไปหรือยัง ?


"ตลาดหุ้นวันนี้แพงไปหรือยัง ?"

นี่คือ คำถามยอดฮิต ..และ ก็คนมักจะถามต่อว่า แล้วซื้อหุ้นตัวไหนดี ?

คุณว่า คำตอบจะเปลี่ยนชีวิตคุณไหม ...

"ไม่น่าเปลี่ยน" ....แต่มาดูกันซิว่า จริงๆ มันเป็นอย่างไร

ทุกครั้งที่ตลาดมีแต่ข่าวดี แปลว่า หุ้นส่วนใหญ่แพง ...แต่วันนี้ตลาดมีแต่ข่าวร้าย มันแปลตรงๆ ว่า หุ้นส่วนใหญ่ถูก ....อย่างงี้ มีคำถามต่อว่า ถูกแปลว่าอะไร ...แล้วถูกแค่ไหน ?

ถ้าถามลึกแบบนี้ ต้องถอยมาดูว่า ตลาดหุ้น มันมี Cycle อย่างไร ...ถ้าดู Cycle ใหญ่ที่สุด -- หุ้นส่วนใหญ่จะราคาถูกเมื่อ RSI Month วิ่งแตะ Oversold ซึ่งวันนี้มันแค่ RSI Week แตะ Oversold ก็แปลว่า ถูกในระดับ Week แต่ไม่ถูกในระดับ Month นั่นเอง

ผมจะอธิบายตลาดให้ฟัง ตามสถิติเป็นแบบนี้ ตลาดหุ้นในภาพใหญ่ คือ Cycle Month เราใช้ RSI Month ดูรอบใหญ่ ....อันนี้มันจะวิ่งจาก Oversold ไป Overbought แล้วกลับมาแตะ Oversold ในช่วงเวลาประมาณ 10 ปี -- แสดงว่า ใครดูภาพนี้ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป ...เพื่อจะได้รวยครบรอบ

แต่ถ้าใครดู Cycle Week มันจะวิ่งจาก Oversold ไป Overbought แล้วกลับมาแตะ Oversold ในช่วงเวลาประมาณ 3 ปีครั้ง -- แสดงว่า ใครดูภาพนี้ต้องถือหุ้นอย่างน้อย 3 ปีขึ้นไป

แต่ถ้าใครดูภาพ เล็กกว่านี้ เช่นดูภาพ Day มันจะมีรอบที่เร็วมาก คือ ทุกๆ ปี มันจะวิ่งมาแตะ Oversold ประมาณ 3 ครั้ง

สรุปง่ายๆ คือ วันนี้ตลาดแพงในภาพ Month แต่ถูกในภาพ Week นั่นแปลว่า ในภาพ Week ตลาดมีโอกาสขึ้นต่อก็ประมาณไม่น่าจะเกิน 3 ปี ....จากนั้น ตลาดจะแพงในภาพ Month ..แล้วมีโอกาสปรับฐานใหญ่ แบบปี 1997 หรือ 2008

ลองเอาเรื่อง Cycle มาดู หุ้นรายตัวของคุณ เพราะ Cycle ของตลาด กับหุ้น รายตัว ไม่จำเป็นต้องวิ่งในรอบที่เหมือนกัน ...สิ่งที่มันบอกเราคือ ทุกๆ วิกฤต มีโอกาสให้เราลงทุนได้เสมอ -- คำถามคือ เราเห็นโอกาสนั้นหรือไม่ก็เท่านั้นเอง

สำหรับผม ทุกวิกฤตคือ โอกาส ....ผมหาจังหวะ การลงทุนเสมอในทุกครั้งที่มีวิกฤต แล้ว RSI Oversold -- มันดูเหมือนเป็นการมองตลาดแบบง่ายๆ แต่มันใช้ได้ดีทีเดียว -- ลองไปปรับใช้กับ Port การลงทุนของคุณดูครับ

มาเลี้ยงข้าวเด็กพิการซ้ำซ้อน


'มาเลี้ยงอาหารเด็กพิการซ้ำซ้อน'

น้องสาวผม ดร.พลอย เป็นอาจารย์สอนวิชาการเงินอยู่ที่ประเทศอังกฤษ เธอจะมาเยี่ยมบ้านทุกปี ..ผมก็ถือโอกาสหยุดงานมาหาน้อง ..ก็ถามว่า กลับมาเที่ยวนี้น้องอยากทำอะไร ?

เธอตอบว่า จะมานั่งสมาธิ(ที่เชียงใหม่ วัดพระธาตุจอมทองกับหลวงปู่) และก็ไปทำบุญ ..วันนี้เลยพาครอบครัวไปเลี้ยงอาหารเด็กพิการซ้ำซ้อน

เจ้าหน้าที่บอกว่าที่นี่ มีเด็กพิการซ้ำซ้อนอยู่ 450 คน ..ก่อนจะถึงเวลาเลี้ยงข้าวกลางวันน้องๆ เจ้าหน้าที่ก็พาพวกเราไปดูว่า เด็กพิการเหล่านี้เขาฝึกอาชีพกันอย่างไร ..เด็กเหล่านี้ประมาณครึ่งนึงพออายุถึง 18 ปี ก็ต้องออกจากบ้านไปอยู่ในสังคม -- ผมก็มานั่งนึกว่าขนาดคนธรรมดาที่ไม่พิการวันนี้อยู่ในสังคมยังยากเลย แล้วเด็กพิการเหล่านี้คงอยู่ยากกว่าพวกเรามากเลย

อย่างเรามาเลี้ยงอาหารกลางวัน ก็เลี้ยงได้แค่มื้อเดียวเอง ..พอเลี้ยงข้าวเสร็จน้องๆ ก็ร้องเพลง Happy Birthday ให้พวกเรา ..เราก็ งง ว่า นี่ไม่ใช่วันเกิด แต่ก็รู้สึกดี แล้วคิดต่อไปว่า ถ้าในวันเกิดของเราครั้งต่อไป แทนที่จะไปจัดงานเลี้ยง เรามาเลี้ยงข้าวน้องๆเหล่านี้ มันได้ความสุขทางใจมากกว่าจัดงานเลี้ยงอีก

โพสนี้จริงๆ ไม่มีอะไร เพียงแต่เขียนมาแชร์ว่าบางครั้งเงินเล็กๆน้อยๆ มื้อนี้ 8,500 บาท เงินนี้เปลี่ยนชีวิตเราไม่ได้ แต่ผมว่า ถ้าทุกวันเกิดของเราหลายๆคน เรามาเลี้ยงอาหารคนด้อยโอกาส หรือ ช่วยเหลือออกแรง(ในกรณีไม่มีเงิน เราก็ออกแรงช่วยแบบ อาสา) -- ผมว่าสิ่งเล็กๆ ที่เรามอบให้คนอื่นโดยเฉพาะคนด้อยโอกาส มันเปลี่ยนชีวิตเขาได้

และสุดท้ายมันเปลี่ยนจิตใจของเราให้สุขขึ้น ...ผมรู้สึกดี น้องผมรู้สึกดี ..ก็แนะนำกันเพื่อใครอยากลองแบ่งปันสิ่งเล็กๆน้อยๆ เพื่อเปลี่ยนชีวิตคนอื่น ..จัดไป!!

เราเกิดมาไม่พิการก็ถือว่าโชคดีแล้ว ...ยิ่งเราทุกๆคน แบ่งโอกาสเล็กๆน้อยๆ ที่เรามี เช่น เงิน และ แรง ...ผมว่านี่แหละยิ่งใหญ่

 -- 'สิ่งเล็กๆ ของคนหลายๆคน มันยิ่งใหญ่ครับ ..เริ่มที่ไหน ผมว่า เริ่มที่เรานั่นแหละ' 

...ถ้าถามว่าใครควรเริ่มแบ่งปันสิ่งเล็กๆก่อน ผมว่าเริ่มที่ฉันนี่แหละ ..จัดไป 'ฉันก่อนเลย'

วันเสาร์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

เส้นทางที่สร้างตัว ตอนที่ 1


"เส้นทางที่สร้างตัว ตอนที่ 1" 

ปีนี้ผมเดินสายพูดให้กับนักศึกษาเยอะ ...ก็เจอคำถามเดียวกัน คือ "เขารู้นะว่า สมัยก่อนเศรษฐีเขาสร้างตัวกันอย่างไร เพราะมีหนังสือให้อ่านเยอะ แต่มายุคนี้ น้องๆ เขา งง มาก เพราะ ทุกอย่างมันเปลี่ยนไป ...เขาเลยถามว่า พวกเขาจะเรียนหนังสือจบแล้ว ต้องทำยังไงดี"

"ผมถามน้องๆ ว่า จะเอาจริงหรือไม่" 

เขาก็สงสัยว่า ผมถามแบบนี้ทำไม ...ผมก็บอกเขาว่า "สิ่งที่สำคัญที่สุดที่ทำให้คนนึง ประสบความสำเร็จ มีหน้าที่การงานที่ดี มีเงิน และ ได้รับการยอมรับ ...น้องๆ ต้องสู้นะ ...และ ต้องทำงานหนักด้วย -- จะยอมไหมล่ะ ?" 

ถ้าสู้ก็มาดูกัน 

ยุคก่อน การสร้างตัว อาศัย เริ่มจากทำงานหนัก หานายที่เก่ง เรียนรู้จากนาย แล้วค่อยๆ เก็บประสบการณ์ ค่อยๆ รู้จักคน สร้างเครือข่าย ...จากนั้นเมื่อถึงเวลาที่เหมาะสม คือ "Know How พร้อม และ Know Who 'Connection' พร้อม ก็ออกมาเสี่ยงโชคสร้างธุรกิจด้วยตัวเอง" 

...อ้าว!! แล้วยุคนี้ล่ะ ...ไม่เห็นโอกาสเลย -- บอกตรงๆนะ ยุคนี้ การสร้างตัวง่ายกว่าสมัยก่อนอีก แต่ยุคนี้ยิ่งดึงดูดให้เราหยุดเป้าหมาย หลุด Focus มันเอยะกว่าสมัยก่อน 

คิดดูนะ ในยุคก่อน จะหาเงิน ถ้าไม่ใช้เงินตัวเอง ก็ต้องใช้เงินธนาคาร ..ซึ่งธนาคารมองอย่างเดียวคือ หลักทรัพย์ค้ำประกัน ..แปลว่า ถ้าคุณไม่ได้มีเงิน หรือ มีที่ดิน ก็ยากที่จะกู้เงิน มากสร้างธุรกิจ ซึ่งสมัยก่อน การทำธุรกิจต้องสร้างโรงงาน ผลิตสินค้ามาก่อน โดยที่ไม่รู้ว่าจะขายได้หรือไม่ ...พูดง่ายๆ คือ โคตรเสี่ยง ....แต่ข้อดีอย่างเดียวในสมัยก่อน คือ ถ้าใครทำแล้วรุ่งจะรวยมากๆ 

แต่ยุคนี้การหาเงินมันเปิดมากขึ้น มีทั้งการระดมทุนจากรายย่อยด้วยกันเอง เช่น Crowd Funding ...ระดมเงินจากคนรวยๆ เช่น Venture Capital ซึ่งวันนี้เมืองไทยก็เปิดหลายกองแล้ว หรือ แม้แต่บริษัทอย่าง AIS หรือ DTAC ก็สนับสนุนเรื่อง Start-Up ธุรกิจ ...เรียกได้ว่า ยุคนี้ เรื่องเงินทุนเริ่มธุรกิจมันมาง่ายขึ้นกว่าสมัยก่อน -- คำถามคือ แล้วเราต้องมีอะไรถึงจะได้เงินมาเริ่มธุรกิจ 

เอาตรงๆ เลยนะ ยุคนี้สิ่งสำคัญที่สุด คือ "ตัวคุณ" ...เพราะ เดี๋ยวนี้การที่คนๆนึงจะได้เงินทุน และ การสนับสนุน เขาจะถามคำถามแรกเลยว่า "คุณคือใคร ?" ...มันสำคัญกว่าสิ่งที่คุณจะทำอีก 

เพราะ คนที่เอาเงินมาให้เราลงทุน เขาต้องการรู้ว่า "คุณน่ะไว้ใจได้ไหม ...เพราะ ถ้าไม่ได้ นี่ไม่ต้องคุย ..เพราะ ไม่ว่า Idea จะดีแค่ไหน ก็ไม่สำคัญแล้ว ...คุณไว้ใจไม่ได้ !!" 

ใช่ครับ!! สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องพัฒนามากที่สุด คือ "พัฒนาตัวเอง ให้มีตัวตน ...ภาษาฝรั่ง เขาเรียกการสร้าง Identity ..เพราะ มนุษย์แต่ละคนเมื่อเกิดมา ก็เท่ากัน ไม่มีใครรู้จัก แต่พอเขาโตขึ้น แต่ละคนก็สร้างผลงาน ได้รับการยอมรับ ตั้งแต่โรงเรียน ไปจนมหาวิทยาลัย ไปจนที่ทำงาน" -- ผมอยากให้คุณลองคิดดูซิครับ การที่คนๆนึงจะสร้าง Identity หนึ่ง เขาต้องเริ่มที่ไหน และ สอง เขาต้องทำอย่างไร ?

หนึ่ง การสร้าง Identity เริ่มที่ไหน ?
1. เริ่มที่ทำงาน อันนี้คือ การทำงานแล้วหัวหน้าและเพื่อนๆ ยอมรับในผลงาน
2. เริ่มที่สาธารณะ ก็ตามสถานที่สาธารณะ พวกเวทีประกวด การแข่งขัน ...อันนี้จะเห็นว่าเด็กบางคน ชอบแข่งขัน ชอบประกวด และ ล่ารางวัล (เดี๋ยวนี้มี Online เพิ่มขึ้นมา)

จะเห็นได้ว่า ทั้งสองที่นี้ ยากทั้งหมด แต่ก็อยากชี้ให้เห็นว่า ไม่มีความสำเร็จใดๆ ได้มาอย่างง่ายดาย จริงไหม ?

สอง เขาต้องทำอย่างไรในการสร้าง Identity ?
 ตอบ ..ต้องสร้างผลงาน ..จริงๆ ไม่จำเป็นชนะในเวทีประกวด หรือ ในการแข่งขัน ...แต่สิ่งที่คุณต้องชนะ คือ ชนะใจคนดู ...ที่เขาเรียกว่า "มิตรรักแฟนเพลงนั่นแหละ" ยุคนี้เรียก Fan Club นั่นเอง

เคล็ดลับการสร้าง Identity หรือ การสร้างตัวตน คือ "ชนะใจคนดู" นั่นก็คือ 
"ต้องเป็นในที่สิ่งที่คนดูอยากเป็น หรือ คนดูทำไม่ได้" ...เวลาเราดู Thailand Got Talent เราจะชอบในสิ่งที่เราทำไม่ได้ และ นั่นแหละที่คุณต้องฝึก 

ขั้นที่หนึ่ง ฝึกในสิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากทำ แต่ทำไม่ได้ ...ลองไปดูซิครับ ว่า คุณทำอะไรได้ดี คุณชอบทำ และคนอื่นทำไม่ได้ ...ฝึกสิ่งนั้นให้เก่งขึ้นไปอีก ...พูดง่ายๆ คุณต้องสร้าง Wow Factor คือ สิ่งที่น่าตะลึง

เอาละ ผมขอสรุป "เส้นทางการสร้างตัว ตอนที่ 1" คือ การเริ่่มสร้าง Identity ..สร้าง "ตัวตน" ให้คุณเอง ...ต้องให้คนอื่นรู้ว่า "คุณคือใคร" และ "คุณเก่งอะไร" ...ความชัดเจน ตรงนี้จะนำโอกาสมาให้คุณในขั้นต่อไป 

(ครับ!! จะเห็นว่า ไม่มีทางลัด ...ความสำเร็จชั่วข้ามคืนแบบถูกหวย เพราะ สิ่งนั้นจะมาเร็วและไปเร็ว ไม่ยั่งยืน ...คนเรามี 2 ส่วน คือ หนึ่ง Form "เปลือก หรือ การนำเสนอ" และ สอง Essence "แก่น" ...ชีวิตของคนเรามีโอกาสเข้ามาเป็นระยะ แต่มักมาในเวลาที่เราไม่พร้อม ...ตัว Form ของเราจะดึงโอกาส หรือ เวทีให้เข้ามาหาเรา ...แต่ Essence หรือ แก่น จะเป็นตัวชี้วัด เมื่อเวทีมาถึง ว่าตัวเรามีความสามารถจริงๆ หรือไม่) ...ไว้คราวหน้า ผมจะมาคุยเรื่อง Form & Essence มากขึ้น ...สิ่งนี้คือ ศาสตร์แห่งการสร้างตัว เพื่อดึงโอกาสและความสำเร็จ ...ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ -- ชีวิตจะสำเร็จจนคุ้ม !!!    

 

วันอังคารที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

การสร้างความมั่งคั่งจากข้อจำกัด


'การสร้างความมั่งคั่งจากข้อจำกัด'

เรื่องนี้คนไทยไม่ค่อยได้เจอ เพราะ ประเทศเราอุดมสมบูรณ์ มีน้ำ มีอาหาร ไม่เคยขาด (วันนี้กรณียกเว้น ขาดน้ำทำน้ำประปา ..ต่างชาติคง งง ว่า ไทยแลนด์นี่นะขาดน้ำ ..555)

ในโลกเรามีประเทศอยู่สองแบบ คือ 
1. ประเทศที่กันดาร คือ น้ำก็ขาด แห้งแล้ง ไม่มีทรัพยากร เช่น อิสราเอล , ญี่ปุ่น แต่แปลกไหมที่ 'ความไม่มี และ ความลำบาก' มันสร้างให้คนในประเทศนั้นต้องสู้กับธรรมชาติ ต้องเรียนรู้การทำสิ่งที่มันเป็นไปไม่ได้ให้เป็นไปได้ เช่น เอาน้ำทะเลมาทำน้ำจืด , เอาทะเลทรายมาปลูกพืช , เรียนการจัดการน้ำในประเทศที่แทบไม่มีน้ำ 

2. ประเทศอุดมสมบูรณ์ ..ไทยเราก็เป็นหนึ่งในนั้น ที่มีทุกอย่างจน 'ชิว' ..ผมว่าข้อดีมันเลยสร้างข้อเสีย แบบว่า 'ไม่ต้องเตรียมพร้อม เดี๋ยวก็มีน้ำ มีอาหาร ..เอ้า!! ใช้ไปเลยเต็มที่ พรุ่งนี้ยังไงเราก็มี' ...ปัญหามันเกิดคือ 'แล้วเวลาไม่มี เราดันไม่ได้เตรียมพร้อม'

ทางแก้คือ เรียนจากประเทศกันดาร เรียนรู้ว่า ทำไมต้องซื้อเสื้อกันหนาวในฤดูร้อน ..ทำไมต้องซื้อร่มในวันที่ไม่มีฝน

อย่างการปลูกพืชแบบไฮโดรโปนิกส์ ..ใช้ที่น้อย ไม่ใช้ดิน ดีมากเพราะสร้างผลผลิตในเนื้อที่จำกัด และเราคุมปัจจัยต่างๆได้มากกว่า

 แต่ข้อเสียคือ ต้นทุนสูงกว่าปลูกพืชแบบปกติมาก -- 'แล้วเราควรทำ หรือ ไม่?'

ผมว่านี่เป็นคำถามที่ดี ...แต่ถ้าคิดให้ไกล ผมว่าคนไทยน่าศึกษาและทำ 
1. ถ้าต้นทุนสูง ต้องปลูกพืชผักที่ขายได้ราคา -- อันนี้แก้ปัญหาประเทศปลูกพืชที่ขายได้ถูก ยิ่งปลูก ยิ่งจน ..ต้องทำในสิ่งที่คนยอมจ่าย !!
2. แก้ปัญหาเรื่องฤดูกาล ไม่ต้องรอหน้าฝน ปลูกได้ตลอดปี -- เหมือนต้นทุนสูง แต่ถ้าเพิ่มผลผลิต ก็ทำให้ต้นทุนลดในระยะยาวได้
3. ควบคุมปัจจัยต่างๆ ..เปลี่ยนจากพึ่งพิงเทวดา มาพึ่งตัวเองมากขึ้น -- ชีวิตเรากำหนดเอง ดีจะตาย !!

แต่!! 'ก็ฉันไม่มีเงินนี่ จะเริ่มยังไง'

อย่าเพิ่งเอาเงินมาเป็นข้ออ้าง ให้เริ่ม

หนึ่ง ศึกษาให้เชี่ยวชาญในเทคโนโยลีที่จะทำ  สร้าง Know-How ให้คุณเก่ง (เริ่มจากตัวเอง)

สอง สร้างเครือข่าย รู้จักคนที่เก่งด้านนี้ สร้าง Know-Who

เดี๋ยวเงินวิ่งเข้ามาเอง ....ลองศึกษาเลยครับ อย่านั่งรอโชคชะตา ...เพราะโชคดี เกิดจากเราเริ่มทำข้อหนึ่งแล้วตามด้วยข้อสอง -- จัดไป !!

วันจันทร์ที่ 13 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

ผู้บริโภคยุคใหม่จ่ายเงินให้กับอะไร

"ผู้บริโภคยุคใหม่จ่ายเงินให้กับอะไร"

คำถามนี้น่าสนใจมาก สำหรับคนที่อยากมีธุรกิจส่วนตัว หรือ คนที่กำลังหาโอกาสขยายธุรกิจ

วันนี้สิ่งที่เปลี่ยนแบบสุดๆ คือ พฤติกรรมการซื้อของลูกค้า และ ที่น่าสนใจกว่านั้นคือ พฤติกรรมการซื้อลูกค้าวิ่งไปทาง แต่นักการตลาดนักขายวิ่งไปอีกทาง -- โอกาสเลยเกิดกับผู้ประกอบการที่เข้าใจคนรุ่นใหม่ !!

ยกตัวอย่าง Nokia เขาผิดอะไรล่ะ ...? ...Nokia ทำมือถือที่คุณภาพดีสุดๆ และ ก็ราคาถูก -- แล้วทำไมเจ๊งล่ะ ?

ผิดตรงไหนครับ ...ทำของดี และ ก็ราคาถูก ...แต่ทำไม ลูกค้าหนี ไม่ซื้อ ไปซื้อโทรศัพท์ที่แพงกว่า เช่น Apple กับ Samsung

ผมพยายามตั้งคำถามว่า Nokia มีอะไรที่ไม่เหมือน Apple กับ Samsung ...ซึ่งบอกได้เลยว่า บริษัทระดับโลกเหล่านี้มีเหมือนกันหมดแหละ ..มีทั้งเงิน ..มีทั้งสื่อ ...มีทั้ง Market Research ...มี Marketing ระดับโลก ..โรงงานระดับโลก ..พนักงานหัวกระทิ ...ที่ปรึกษาธุรกิจมีระดับโลกเหมือนกันหมด

แต่ทำไม Nokia เจ๊ง ...แต่ Apple รุ่ง ?

คำตอบ คือ Nokia ไม่มี Steve Jobs ไง ...ฮ่า ฮ่า

จริงนะ ...ผมมานั่งคิดว่า Steve Jobs เขาทำอะไร ทำไมเขาสามารถเปลี่ยน Apple จากบริษัทที่ใกล้ล้มละลาย ให้กลับมาเป็นบริษัทยิ่งใหญ่ที่สุดในโลกได้ในเวลาไม่กี่ปี

ผมว่า Steve Jobs คือ ตัวแทนของลูกค้า ...ทั้งๆ ที่เขาแทบไม่สนลูกค้าด้วยซ้ำ แต่เขามองว่า เขาเองนั่นแหละคือลูกค้า ...เขาทำสินค้าที่เขาอยากจะใช้ ...พอมองมุมนี้มันทำให้ผมเข้าใจเลยว่า การคิดสร้างสิ่งที่เราอยากได้จริงๆ มันคือ โอกาสทางการตลาด ...ดังนี้

1. สินค้าและบริการที่ดี คือ สิ่งที่เจ้าของต้องโคตรอยากใช้เอง ...ไม่ใช่บริษัททุกวันนี้ ใครขายรถญี่ปุ่น แต่ตัวเองขับรถยุโรป , ขายหมู แต่ไม่กินหมู , ขายไก่ แต่ไม่กินไก่ -- ที่ไม่ใช้เพราะ มันไม่ดีพอ ...ทำสินค้าให้ดีจนเราอยากใช้ นั่นคือ โอกาสเริ่มต้นเลย

2. ถ้าจะให้สินค้าดีกว่าข้อหนึ่ง ต้องสร้างสินค้าที่เจ้าของเทิศทูน สร้าง Master Piece ของสิ่งที่เราทำ .... เราชอบมันมาก ...เรารักมันมาก ...มันสุดยอด จนเราอดไม่ได้ ที่จะบอกทุกคนว่ามันดี ...มันดีจริงๆ ...และ ของดีขนาดนี้แหละ ที่จะได้รับการกล่าวขวัญให้เป็น Viral -- ครับ!! ของดี มันขายตัวมันเอง ....เจสสส !! รู้อย่างนี้ ซื้อสินค้าอันนี้มาใช้นานแล้ว !!!

ผมว่า การสร้างสินค้าตามที่กล่าวมาสองข้อให้ได้ ไม่ใช่เรื่องง่าย เพราะ ถ้าทำได้ มันการันตี ความสำเร็จ เพราะ มันคือการทำตรงข้ามกับโลกยุคอุตสาหกรรม Industrial Age ที่สร้างสินค้าให้มาก เน้นจำนวน คุณภาพช่างมัน ลูกค้าใช้ ฉันไม่ใช้ ...ผลิตให้มาก ให้เยอะ ขายให้ถูก

ผมว่าจบแล้วล่ะ ยุค Industrial Age ...เราจะเข้าสู่ ยุคของจริง Information Age ยุคที่คุณหลอกลูกค้าไม่ได้ ...ของที่ขายต้องดีจริง ...โฆษณาไม่ Work ดังนั้น ของต้องดีจริงๆ และ มันต้องทำด้วยความตั้งใจที่ดี ...ยุคนี้ ทัศนคติ คนขาย มันสำคัญ ...คุณหลอกคนไม่ได้ ...ต้องจริงใจ ...ต้องให้ ก่อนรับ

ยากไหมล่ะ ....ต้องฝึกครับ

ยุค ยิ่งให้ ยิ่งได้ ...เกิดขึ้นแล้ว คนที่สำเร็จในยุคนี้ ต้องของจริง ...ทำจริง ...จริงใจ ...ไม่ Fake !!

คนรวยผู้น่าเกลียดน่ากลัว

"คนรวยผู้น่าเกลียดน่ากลัว"

จริงเหรอ ...คนรวยน่าเกลียดน่ากลัว เอาเปรียบ ... แล้วถ้าให้เลือกระหว่าง เป็นคนรวย กับ จน คุณจะเลือกอะไร ?

อ๋อ!! แน่นอน ...ต้องเลือกเกิดมารวยซิครับ

หมายความว่า "คุณอยากได้แค่ผลลัพธ์ คือ รวยสำเร็จรูป ...ใครเกิดมารวย ก็คือ จบแล้ว รวย ...ส่วนใครเกิดมาจน ก็จนตลอดไป จน ...แค่เนี้ยเหรอ ...คนเราเปลี่ยนชีวิตไม่ได้ใช่ไหม ? -- เกิดมาผิด ต้องหายใจทิ้ง แล้วรอตายไปเกิดใหม่ ...จริงเหรอ ???"

"ไม่ได้ เปลี่ยนไม่ได้ ...ถ้าเกิดมาจน ก็คือ จนตลอดชีวิต ...ถ้าเกิดมารวยก็รวยตลอดไป ...เปลี่ยนไม่ได้"

เอ่อ !! พี่ครับ ...พี่อาศัยอยู่ในดาวเคราะห์ไหนหรือ ...เดี๋ยวนี้มันเปลี่ยนได้หมด ...ถ้าเป็นสมัยโบราณ ยุคยังไม่เลิกทาส นั่นดิเปลี่ยนไม่ได้ ใครเกิดมาเป็นทาสก็เป็นตลอดไป ...แต่นี่มันยุคหลังเลิกทาสมาตั้งนานแล้ว ...ยุคนี้สร้างตัวเองได้ครับ แต่ต้องรู้วิธี และ ต้องทัศนคติดี ไม่ใช่ทัศนคติปิด โลกแคบๆ อันนั้นยากที่จะเปลี่ยนแปลงตัวเอง

ชีวิต เรากำหนดเองครับ ...ยุคนี้ ถ้าจะเปลี่ยนฐานะ มันมีวิธีคร่าวๆ ดังนี้

1. การศึกษา อันนี้คือ การศึกษาในระบบให้ได้ใบปริญญา ..ใครมีปริญญาก็สามารถเริ่มเป็นลูกจ้างได้ 
2. ประสบการณ์ ..คนเราพอเป็นลูกจ้าง ถ้ามีความมุ่งมั่น ก็จะทำงานหนัก เรียนรู้จากนายจ้างเยอะๆ แล้วมองหาลู่ทางว่า ตัวฉันในอนาคตจะทำอะไรเป็นของตัวเองได้บ้าง ...ระหว่างเป็นลูกจ้างต้อง หนึ่ง หาประสบการณ์ (สร้าง Know-How) สอง หาเครือข่าย (สร้าง Know-Who) ...พอมีสองอย่างนี้ครบ ก็มองหาโอกาสที่จะไปทำธุรกิจเอง
3. หาเงินทุน ..ทุนอาจมาจาก หนึ่ง นายจ้างเรา (ถ้าเราเก่งแล้วเราอยากทำธุรกิจเอง ..นายจ้างบางครั้งจะให้เงินเรา ขอร่วมทุนด้วย ดีกว่าเสียเราไปเลย ..มาเป็นหุ้นส่วนเราแทน) สอง ทุนจากครอบครัวและเพื่อน (ถ้าเราเก่งพอ เพื่อนๆ ก็อยากเอาเงินมาลงกับเรา) สาม เงินเก็บเราเอง (ถ้าคิดจะมีธุรกิจ ต้องรู้จักเก็บเงิน ..แล้วเดี๋ยวนี้เริ่มธุรกิจ ใช้เงินไม่มาก)
4. "ไม่อยากใช้เงินตัวเอง กลัวเจ๊ง -- ได้ไหม ?" ...ได้ซิ พอเรามี Know-How & Know-Who จากที่ทำงานเดิม จริงๆ ก็เหมือนมีโอกาสเริ่ม ...เราอาจจะเริ่มทำธุรกิจขายตรง เครือข่าย ขายประกัน ขายนุ่นนี่ ...ขายทำไมอ่ะ ? ....ที่ให้ไปขาย ไม่ใช่ต้องขายให้รวย แต่เพื่อฝึกทักษะ "ขาย" (เพราะ ถ้าขายไม่เป็น อย่าคิดเปิดธุรกิจ ...เพราะ การขายสำคัญที่สุดครับ)

ผมว่า ถ้าใครลองทำ 4 ข้อนี้ได้ ..ก็น่าจะเริ่มเห็นทาง

ใช่!! ถ้าคนเรา ทำอะไรจริง มันก็จะเห็นทาง ..."ทางสู่ความสำเร็จ ที่เปิดประตูให้เรา"

คนเราเปลี่ยนชีวิตได้ ...ถ้าอยากเปลี่ยน

"เรากำหนดชีวิตตัวเราเองครับ"

เรียนรู้จากครูสอนพิเศษ


"เรียนรู้จากครูสอนพิเศษ"

คนส่วนใหญ่ชอบอ้างว่า ที่เขายังจน ก็เพราะ "ไม่ได้เกิดมารวย" ..ผมอยากให้คนเหล่านี้เรียนรู้จาก ติวเตอร์ ว่าจริงๆ ธุรกิจไม่จำเป็นต้องเริ่มจากเงิน แต่เริ่มจาก "ความรู้" ก็ยังรวยได้

วันนี้ ติวเตอร์ เป็นธุรกิจร้อยล้าน พันล้าน ...ซึ่งจุดเริ่มก็คือ เริ่มจาก อาจารย์คนเดียว ...และ อาจารย์คนนั้น ก็เริ่มจากการศึกษาหาความรู้ จนเชี่ยวชาญจริงๆ ในวิชานั้นๆ

สูตรสร้างธุรกิจจากตัวเอง แบบติวเตอร์ คือ

1. เลือกเรื่องที่จะเชี่ยวชาญ "เรื่องที่เรารัก" จากนั้นก็ศึกษา ค้นคว้าให้รู้จริง ..ให้ความรู้นั้นใช้ได้จริงๆ
2. ฝึกถ่ายทอด ...ส่วนใหญ่ติวเตอร์ร้อยล้าน พันล้าน ก็เริ่มจากเริ่มฝึกสอนเด็กไม่กี่คน ...ฝึกสอน แล้วดูว่านักเรียนคนนั้นเข้าใจที่เราสอนไหม ...นี่คือ ตัวตัดสินว่า "เราสอนรู้เรื่องไหม" -- ถ้าสอนดี ก็แปลว่า เรามี สินค้า Product ดีละ
3. หาช่องทางในการจัดจำหน่ายสินค้า ...ซึ่งในธุรกิจติวเตอร์ ก็คือ เริ่มจากหาห้องเล็กๆ ในการสอน (สอนที่ร้านกาแฟก็ได้ แต่ดูให้แน่ว่า เขาจะไม่เก็บค่านั่งนะ ...555)

หลายคนถามว่า จะหาลูกค้า หรือ คนเรียนอย่างไร
ตอบตรงๆ นะ ...ถ้าคุณสอนดี สอนแล้วนักเรียนได้ดี เขาก็จะแนะนำเพื่อน แนะนำคนอื่นๆ มาเรียนเอง ...ดังนั้น Key Success Factor ของธุรกิจที่เริ่มจากตัวเองเหล่านี้ ..ต้องมีสินค้าที่ดี ...สอนดี ...แล้วเดี๋ยวลูกค้ามาเอง ...จบ !!

นี่แหละ ธุรกิจง่ายที่สุด เริ่มจากตัวเอง สินค้าคือ ความรู้ ...และ โอกาสสำเร็จ คือ แก้ปัญหา และ สร้างประโยชน์ให้ลูกค้า

มีบางคนถามอีกว่า ..แล้วถ้าฉันไม่มีความรู้ จะทำไง -- "ไอ้บ้าเอ้ย !! เอ๊งจะไม่พยายามอะไรในชีวิตเลยหรือ ...ไม่มีใครเก่งออกมาจากท้องแม่หรอก ...ถ้าไม่พยายาม เอ๊ง จง จน ต่อไปครับ" ...ธุรกิจไม่ได้ต้องเริ่มจากเงินเสมอไป เริ่มจากตัวเอง เริ่มจากความรู้ก็ได้

ไปอ่านหนังสือ ไปศึกษาซะครับ ไปเรียนเรื่องที่ชอบ เอาให้เก่ง "เก่งจริงๆ" แล้วเดี๋ยวโอกาสในธุรกิจในชีวิตจะเข้ามาเอง

ขยะก็คือเงิน


"ขยะก็คือเงิน"

ใช่!! แล้ว ..ขยะ ก็คือ เงิน ... หลายคนไม่เข้าใจว่า จริงๆ แล้ว สิ่งที่คนไม่เห็นค่าแท้จริงแล้วก็มีค่าเช่นกัน

ในโลกเราทุกอย่างมีสองด้าน ..คือ ในวิกฤตมีโอกาส ..ในโอกาสก็มีวิกฤต

แต่คนส่วนใหญ่วิ่งเข้าหาแต่ธุรกิจตามกระแส สุดท้ายไม่มีโอกาสให้หยิบ ดันหยิบวิกฤต เลยซวย

ช่วงนี้หนึ่งในธุรกิจที่เริ่มเป็นกระแสในบ้านเราก็คือ ธุรกิจเปลี่ยนขยะเป็นไฟฟ้า เปลี่ยนขยะเป็นน้ำมัน

"พูดง่ายๆ ก็คือ คนรวยได้จากการเอาขยะมาเปลี่ยนเป็นเงินนั่นเอง"

ผมเริ่มรู้เรื่องธุรกิจขยะเมื่อได้ศึกษาเรื่องราวของ ดร.สมไทย ผู้ก่อตั้ง "วงษ์พาณิชย์" ..ผู้เปลี่ยนขยะเป็นเงินจนร่ำรวยมหาศาล ...แล้ววันนี้ก็ได้เห็นว่า จริงๆ แล้วคนรวยในเมืองไทย รวยจากขยะเยอะมาก ...และโดยมากคนที่ควบคุมขยะก็คือ คนรวยที่มีอิทธิพล ...ถูกต้อง !! ขยะที่คนส่วนใหญ่ทิ้งไม่เห็นค่านี่แหละ สามารถเปลี่ยนเป็นเงิน ทั้งเอากลับมาใช้ใหม่ ..เอาไปผลิตกระแสไฟฟ้า และ เอาไปทำน้ำมัน

แต่ผมไม่ได้แนะนำให้ท่านผู้อ่านวิ่งไปทำธุรกิจขยะตามกระแสบ้างนะครับ เพียงแต่อยากชี้ให้เห็นว่า "การทำธุรกิจไม่ได้เริ่มที่เงินมหาศาล แต่มันเริ่มจากเรามองเห็นโอกาสในสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เห็น นั่นคือ โอกาสครับ"

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ คือ โอกาส

สิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าทำ นั่นคือ โอกาส

ผมว่า "เงิน" อยู่ใกล้ตัว ...ศึกษาให้มาก แล้วหามันให้เจอ -- ธุรกิจเริ่มจากความรู้ครับ !!

วันศุกร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2558

คนเราควรกำจัดจุดอ่อน หรือเสริมจุดแข็ง


'คนเราควรกำจัดจุดอ่อน หรือเสริมจุดแข็ง'

ถ้าเวลาชีวิตคนมีจำกัด แล้วทุกคนไม่ได้เกิดมาเพื่อเก่งทุกอย่าง ...มันจะดีไหมที่เรา เก่งให้สุดด้านใดด้านหนึ่ง แล้วหาหุ้นส่วนมาเติมจุดอ่อน 

ใช่!! ผมหมายความว่า ธุรกิจที่ดี มันเกิดจากคนตั้งแต่ 2 คนขึ้นไป เอาจุดแข็งสุดๆ ของตัวเองมารวมกัน เพื่อสร้างความสมบูรณ์แบบ

'คุณว่าทำไม ธรรมชาติ ถึงประกอบไปด้วยสิ่งมีชีวิตที่หลากหลาย และก็มีหน้าที่ไม่เหมือนกัน ...นี่แหละคำตอบครับ -- เสริมจุดแข็งให้โดดเด่น ทุ่มให้เด่นที่สุด'

สำหรับคนที่ไม่เห็นด้วยกับการ 'เสริมจุดแข็ง' ผมอยากจะแชร์ประสบการณ์  กำจัดจุดอ่อนที่ผมเรียนรู้จากของจริง ซึ่งมันสอนอะไรหลายๆอย่างให้ผม

เดิมทีผมเป็นเด็กขี้อาย กลัวการพูดหน้าชั้น เกลียดการพูดต่อหน้าคนอื่น ...แต่จุดเปลี่ยนคือ การต้องพูดให้แฟนคลับหนังสือฟัง ..จากการพูดที่ห่วยมาก ก็ค่อยๆ ห่วยน้อยลง จนวันนี้การพูดคือจุดแข็งในอาชีพของผม (ผมพูดบนเวทีมาเจ็ดปีครับ จากห่วยก็เก่งได้ เชื่อผมซิ ..ทำมัน 7 ปีน่ะ เก่งแน่ ..555)

ใช่!! ผมเปลี่ยนจุดอ่อนเป็นจุดแข็ง ...ถามว่าผมได้เรียนรู้อะไร ?

ผมรู้เลยว่า ไม่มีอะไรที่มนุษย์ทำไม่ได้ถ้าเราจะเอาจริง -- คนส่วนใหญ่มันไม่เอาจริงไง เจออุปสรรคหน่อยก็ถอยแล้ว

ผมว่าคุณลองดูเลยครับ

 ..อยากข้ามความกลัว ก็ลองกำจัดจุดอ่อน 

...แต่ถ้าอยากสำเร็จเร็ว ก็พัฒนาจุดแข็ง

'ชีวิตน่ะ เราเลือกกำหนดเอง !!' ...ทำเลย !!

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ