tag:blogger.com,1999:blog-23269783228110942872024-03-19T15:48:43.370+07:00Pawawit Stock-CommentBy Pawawit Klinpratoom "ภาววิทย์ กลิ่นประทุม"Unknownnoreply@blogger.comBlogger2488125tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-59725232473882153382024-03-18T09:30:00.000+07:002024-03-18T09:30:01.807+07:00 7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น<p> 7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น</p><p><br /></p><p>1. ’หมกมุ่นอยู่ในจุดที่คนอื่นบอกไม่มีอนาคตแล้ว‘ …ตลาดหุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว ไปตลาดอื่นเถอะ</p><p><br /></p><p>2. ’ซื้อหุ้นจำนวนมากๆ แบบที่ไม่น่าจะออกได้’ …หุ้นไม่มี Volume แบบนี้ซื้อแล้วจะออกยังไง เดี๋ยวก็ขายไม่ได้หรอก</p><p><br /></p><p>3. ‘ถือหุ้นตลอด ไม่ว่าตลาดหุ้นจะดีหรือแย่ก็ตาม‘ …ตลาดแย่ เอาเงินไปทำอย่างอื่นก่อน เดี๋ยวตลาดดีค่อยกลับมา</p><p><br /></p><p>4. ’ไม่เคยซื้อตามหุ้นยอดฮิตเลย’ …หุ้นที่ทุกคนต้องมี อ้าว!! ทำไมคุณไม่มีล่ะ เดี๋ยวคุยกับคนอื่นไม่รู้เรื่องนะ</p><p><br /></p><p>5. ‘ซื้อหุ้นที่เจ้าของอยากให้คุณขาย‘ …งบก็ห่วย ปันผลก็ไม่จ่าย volume ซื้อขายก็ไม่มี …เจ้าของเก็บตัวเงียบเลย …หุ้นแบบนี้ อย่าไม่ยุ่งกับเขา</p><p><br /></p><p>6. ‘ขายหุ้นในเวลาที่เจ้าของอยากให้คุณซื้อ’ …งบดีเลย volume เข้า ..เจ้าของขยันให้ข่าวดี …แบบนี้ หุ้นเปลี่ยนชีวิตแน่ๆ ….ขายทำไมวะ ?</p><p><br /></p><p>7. ‘ความไม่ปกติ มันคือคนอื่นเขาไม่ทำ‘ …แต่ถ้าคนอื่นๆ เริ่มมาทำเรื่องปกติกันเยอะๆ สิ่งนั้นมันก็จะกลายเป็นเรื่องปกติ ….ต้องระวังให้ดี </p><p><br /></p><p>’เพราะ ความปกติ มันให้แค่ผลลัพธ์ธรรมดาๆ ไม่บ้าคลั่งพอ ที่จะเปลี่ยนชีวิตเราได้นั่นเอง’ </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-56858199199865243382024-03-16T09:46:00.000+07:002024-03-16T09:46:01.213+07:006 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ควรต้องรู้<p> 6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ ควรต้องรู้</p><p><br /></p><p>ขึ้นชื่อว่า ‘นักลงทุนคุณค่า’ ก็แปลว่า เราต้องข้ามผ่าน ’ราคา’(Price) แล้วพุ่งไปที่แก่นของมันคือ ‘มูลค่า’ (Value) </p><p><br /></p><p>….เอาตรงๆ นะ ยากสุดๆ …เพราะ บางครั้ง เราดันไปทำ ‘ตรงข้าม‘ </p><p><br /></p><p>…ก็คือไปให้มูลค่า ก็เพราะราคามันแพงน่ะซิ ?!?</p><p><br /></p><p>’ของนี่ดูแพงจัง !! ….ใช่!! ดูมันตั้งราคาซิ ..แพงโคตร‘</p><p><br /></p><p>1. ’ราคาคือสิ่งที่เราจ่าย ส่วนมูลค่าคือสิ่งที่เราได้รับ‘ …อันนี้เหมือนง่าย แต่ซับซ้อน …ในหุ้น Value คือ หนึ่ง ’ให้เงินทำงาน‘ (ปันผล) และ สอง ‘ให้เงินเติบโต‘ …ทุกวันนี้ ส่วนแรกมันลดลงเรื่อยๆ แล้วไปเพิ่มที่ส่วนสอง ทำให้ยิ่งดูยากเข้าไปอีก !!</p><p><br /></p><p>2. ’อิสรภาพทางการเงิน เกิดจากการถือหุ้น ไม่ได้เกิดจากการเทรด‘ …การถือหุ้นเท่านั้น ที่เราปล่อยให้เงินทำงานแทนเราอย่างแท้จริง </p><p><br /></p><p>3. ‘การเกิดขึ้น‘ (ต้นรอบ) คือ …สิ่งใหม่ , ดูไม่แน่นอน , ดูไม่มั่นคง , ดูไม่เข้าใจ , ดูเสี่ยง , ดูไม่น่าจะเป็นไปได้ …เหมือน ‘หุ้นขนาดเล็ก‘ …แปลว่า หุ้นที่จะกำไรมหาศาล มันต้องดูไม่ได้เรื่องในวันที่เราเริ่มซื้อ …‘เสี่ยงชิบหาย - มึงบ้ารึเปล่า ?‘</p><p><br /></p><p>4. ’การตั้งอยู่‘ คือ เริ่มดูดี , มีมวลชนสนใจ , งบสวย , มีคนเริ่มเชียร์ …เหมือน หุ้นดี ของดี ที่มันดูดี …พูดง่ายๆ หุ้นที่อยู่ในช่วงนี้ มันจะดูดี แต่มันแพง !! ….แปลว่า คนซื้อหุ้นช่วงนี้ต้องซื้อแพง มีโอกาสไปต่อ แต่ต้องซื้อแพง แล้วไปขายแพงกว่า (เหมาะกับ Trader - แปลว่า คุณต้องเข้าใจเรื่องการ Stop Loss ดีๆละ)</p><p><br /></p><p>5. ’ดับไป‘ คือ มันดูดีเกินไป (Too Good Too be True) …เหมือนหุ้นมหาชน หุ้นยอดฮิต ใครๆ ก็พูดถึง , ของมันต้องมี , Volume มหาศาล เพราะ ฝูงมหาประชาชนซื้อกันหมดแล้ว ….ช่วงนี้ คือ ช่วงที่ ’เจ้ามือ’ , เจ้าของ เขาเทขายของ </p><p><br /></p><p>’การขายของที่ดีที่สุด ก็คือ ขายตอนที่ทุกอย่างดูดีที่สุด …ขายในจุดที่ใครๆ ก็อยากซื้อนั้นเอง‘ </p><p><br /></p><p>6. ’ชั่วโมงบิน คือ ความผิดพลาดที่เราเก็บสะสมไปเรื่อยๆ‘ …ในการลงทุนการผิดพลาด ไม่ใช่สิ่งผิด แต่มันคือ สิ่งที่เราต้องเจอ ทุกคน มาเรื่อยๆ …คำถามคือ ‘เราจะจัดการกับความผิดพลาดยังไง ?’ </p><p><br /></p><p>สำหรับผม </p><p>- หนึ่ง ‘เวลาพลาดต้องไม่พอร์ตระเบิด’ (ส่วนใหญ่พอร์ตระเบิด เพราะ อัดมาร์จิ้น เล่น Leverage สูงๆ)</p><p><br /></p><p>- สอง ’เวลาผิดพลาด คุณภาพชีวิตต้องไม่ลดลง‘ (เช่นปกติขับเบนซ์ แต่พอพลาดต้องมานั่งตุ๊กตุ๊ก อันนี้ไม่ใช่ละ)</p><p><br /></p><p>- สาม ’เวลาพลาด ต้องมีเงินมาเติม’ …แปลว่า เรารู้อยู่แล้วว่า เราต้องพลาด ก็เลยเตรียมเงินให้เป็น ก็อกสอง ตั้งแต่แรก (ของผม 10% ของพอร์ต ต้องเตรียมเงินสดไว้เสมอ) </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-67716484726829469752024-02-26T14:47:00.002+07:002024-02-26T14:47:32.160+07:00 6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร <p> 6 ข้อควรรู้ ‘การเร่งพอร์ตระยะสั้น‘ ต่างกับ ’ปั้นพอร์ตระยะยาว‘ อย่างไร </p><p><br /></p><p>1. ’การเร่งพอร์ตใช้การ Focus การปั้นระยะยาวใช้การ Diversify’ …การเร่งพอร์ตต้องหาโอกาส All in …แต่การสร้างพอร์ตระยะยาวคือการกระจายความเสี่ยง</p><p><br /></p><p>2. ’เร่งพอร์ตคือ เล่นตามกระแส …ปั้นระยะยาวต้องสวนกระแส‘ …ตามกระแสคือ เล่นหุ้นที่ตลาดเล่นกันเวลานี้ ตามหุ้นที่กำลังขึ้นว่างั้น …ส่วนปั้นพอร์ต ต้องทยอยเก็บที่เขายังไม่เล่นกัน</p><p><br /></p><p>3. ‘การปั่นพอร์ตยาว ต้องมองหุ้นถูกเหมือนของสะสม’ ..หลักการคือ ทยอยซื้อหุ้นถูกโดยไม่สนใจว่า เมื่อไหร่มันจะมา แค่เก็บสะสมไปเรื่อยๆ</p><p><br /></p><p>4. ’การเร่งพอร์ตต้องขายตามรอบ …แต่การปั้นแค่ขายบางส่วนเวลาหุ้นแพง’ …พูดง่ายๆ ถ้าจะปั้นพอร์ต ก็ต้องพยายามสะสม แค่ขายบ้างเวลาหุ้นแพง เพื่อจะได้เงินมาเก็บเพิ่มเวลาหุ้นถูก</p><p><br /></p><p>5. ‘การเร่งพอร์ตสามารถใช้ Margin แต่การปั้นพอร์ตควรใช้เงินสด‘ …การใช้ Margin ควรใช้แค่ช่วงเวลาสั้นๆ ไม่ควรใช้ระยะยาว</p><p><br /></p><p>6. ’การปั้นพอร์ต ต้องสร้าง Mindset ของเจ้าของกิจการ’ …นั่นคือ การเติบโตไปกับหุ้น(ที่เราเลือกแล้วว่าเป็นธุรกิจที่ดีและเติบโต) …และอยู่กับหุ้นนั้นๆ ทั้งขาขึ้นและขาลง </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-80591315923042167972024-02-23T15:48:00.002+07:002024-02-23T15:48:57.360+07:007 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)<p> 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับ Money Game (เกมกล คนรวย)</p><p><br /></p><p>1. ’รายได้จากเงินเดือน สู้รายได้จากสินทรัพย์ไม่ได้’ …เงินเดือนค่าจ้าง มีข้อจำกัดที่เวลาและแรงของเรา …แต่รายได้จากสินทรัพย์ไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น</p><p><br /></p><p>2. ‘สินทรัพย์ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา แค่เรามีความสามารถบริหารสำคัญกว่า‘ …สินทรัพย์มีอยู่มากมาย ไม่จำเป็นต้องเป็นของเรา ขอแค่เรามี ‘ความสามารถในการบริหาร’ โอกาสก็จะเกิดขึ้น</p><p><br /></p><p>3. ’หุ้นเป็นการสร้างมูลค่าอย่างก้าวกระโดดให้ธุรกิจ‘ …แต่ก่อนคนจะสนใจแค่บริหารธุรกิจ โดยไม่สนใจหุ้น …ทั้งที่จริงๆ แล้วโอกาสร่ำรวยก้าวกระโดดอยู่ในหุ้น ซึ่งต่อยอดมาจากตัวธุรกิจ</p><p><br /></p><p>4. ’การเอาหุ้นเข้าตลาดมีความยาก แต่เป็นตัวปลดล็อคความมั่งคั่งอย่างแท้จริง‘ …Wealth คือ ได้ทั้งเงิน + ได้ทั้งเวลา …การนำธุรกิจเข้าตลาด จะให้ระบบ ทำให้เจ้าของมีเวลา มีเงินทุน และโอกาสในการขยายแบบก้าวกระโดด</p><p><br /></p><p>5. ‘การเข้าใจ P/E ในตลาดหุ้น จะทำให้เราเพิ่มความรวยอย่างรวดเร็ว และก้าวกระโดด‘ …ทุกๆ บาท กำไรที่เพิ่ม มันเพิ่มทวีคูณ ตาม P/E ที่นักลงทุนยอมจ่ายเพื่ออนาคต </p><p><br /></p><p>6. ‘การ M&A เป็นตัวเร่งการโตครั้งใหญ่‘ …โอกาสสำคัญของธุรกิจในตลาดหุ้น คือ M&A ก็คือ ใช้เงินคนอื่น มาซื้ออนาคต</p><p><br /></p><p>7. ‘ใช้หุ้นเป็นหลักประกัน เอาเงินมาใช้ต่อยอด‘ …หุ้นที่ดี ก็สามารถเป็นหลักประกัน ให้เราได่เงินต่อเงิน เพิ่มเข้าไปอีก</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-16201249364265027352024-02-09T09:44:00.002+07:002024-02-09T09:44:26.535+07:00 ‘ข้อมูล’ แบบไหน ในการเล่นหุ้น ที่เราควรให้ความสำคัญ<p> ‘ข้อมูล’ แบบไหน ในการเล่นหุ้น ที่เราควรให้ความสำคัญ</p><p><br /></p><p>ยุคก่อนใครมีข้อมูล คนนั้นได้เปรียบ …แต่ทุกวันนี้เต็มไปด้วย Fake News และข้อมูลที่ล่อลวงเรา …ดังนั้น ความสามารถในการ เลือกข้อมูลที่จำเป็นกลายเป็นเรื่องที่สำคัญกว่า </p><p><br /></p><p>1. ‘ข้อมูล ข่าวดี ที่ใครๆ ก็รู้‘ …อันนี้ส่วนใหญ่จะสะท้อนไปในราคาแล้ว …สมมุติว่าทุกคนรู้ว่าบริษัทนี้จะดีมาก หุ้นจะแพงไปก่อนแล้ว …ทำให้ข้อมูลแบบนี้ เราไม่ควรซื้อตาม เพราะ อาจดอย หรือได้ของแพง …ที่เราเห็นบ่อยๆ คือ Sell On Fact </p><p><br /></p><p>2. ‘ข้อมูล ร้าย ที่ทุกคนรู้แล้ว‘ …ส่วนใหญ่ราคาจะลงแรงไปก่อนแล้ว …แบบนี้ก็มักจะไม่ใช่จุดขาย หรือ จุด Cut Loss ในหุ้น …บางครั้งการเล่นสวน แบบหวังเด้งสั้น ก็อาจทำได้ด้วยซ้ำ </p><p><br /></p><p>3. ’ข้อมูล ที่เราคิดว่าเป็น Inside’ …แบบว่า เพื่อนพูดว่า อันนี้เจ้าของหรือคนวงในบอกมา …ต้องไปดูที่ราคาว่า ราคามันไปหรือยัง …ส่วนมาก กว่าข้อมูลจะมาถึงเรา ราคามันวิ่งไปไกลแล้ว อันนี้ต้องระวัง …เพราะ ข้อมูล inside รายย่อยมักจะกล้าซื้อเยอะ เวลาพลาดเลยเจ็บหนัก</p><p><br /></p><p>4. ’ข้อมูล ที่เรารู้ แต่ยังไม่สะท้อนในราคา’ …อันนี้ต้องมาดูก่อนว่า ราคาหุ้นก่อนหน้านี้อยู่ในขาขึ้นหรือขาลง …จากนั้นดู Volume ว่ามีการซื้อขายเยอะไหม …ถ้าการซื้อขายเยอะ เราต้องระวังให้มาก </p><p><br /></p><p>5. ‘ไม่มีข้อมูลเลย แต่เริ่มมีคนเข้ามาเก็บหุ้น‘ …อันนี้ดูได้จาก เริ่มมี Volume เข้ามาซื้อหรือขาย หลังจากที่หุ้นมี Volume มันแห้งมานาน …อันนี้น่าสนใจ เพราะ อาจเป็นจุดเริ่มรอบใหม่ หรือ จุดเปลีี่ยน</p><p><br /></p><p>6. ’ข่าวดีเต็มไปหมด แต่มี Volume ขายไม้ใหญ่ๆ’ …อันนี้สัญญาณไม่ดี มันแสดงถึง การเปลี่ยนแปลงในอนาคตที่อาจเปลี่ยน Trend ของหุ้นได้ …หลายๆ ครั้งคือ หมดรอบขาขึ้น แล้วกำลังจะลง</p><p><br /></p><p>สรุป อย่าซื้อขายหุ้นเพียงเพราะ ข้อมูลที่เราได้รับ …ต้องเอากลับมาวิเคราะห์ กับ ’ราคาหุ้น’ , Volume และ Trend ของหุ้นตัวนั้นๆ ประกอบด้วย</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-23243094023481017912024-02-03T16:06:00.001+07:002024-02-03T16:06:12.180+07:00 6 ข้อ หลักการ ‘ถูกหวย‘ ในตลาดหุ้นไทย (ในเวลาที่หุ้นอะไรๆ ก็ดูถูก)<p> 6 ข้อ หลักการ ‘ถูกหวย‘ ในตลาดหุ้นไทย (ในเวลาที่หุ้นอะไรๆ ก็ดูถูก)</p><p><br /></p><p>1. ‘ซื้ออย่างเดียวไม่ขาย‘ …การถูกหวยคือ ต้องได้กำไรเป็นหลายๆ เด้ง …และการถือทน คือ ทางเดียวของผลจอบแทนหลายๆ เด้งนั่นเอง</p><p><br /></p><p>2. ’ซื้อหุ้นแบบ แบ่งเงินซื้อหวย’ …แบ่งเงินที่ เสียได้ …แล้วโยนลงไป แบบเสียได้ แล้วชีวิตไม่พัง</p><p><br /></p><p>3. ‘หุ้นนอกกระแส เท่านั้นที่ให้ผลตอบแทนหลายๆ เด้ง‘ …ไม่ใช่หุ้นใหญ่ ไม่ใช่หุ้นยอดฮิต ไม่ใช่หุ้นที่อยู่ในกระแสที่คนอื่นซื้อกัน</p><p><br /></p><p>4. ’เลือกหุ้นที่ฐานต่ำ ราคาอยู่ข้างล่าง‘ …หุ้นที่ฐานต่ำ หากกลับตัวจะขึ้นได้มาก …และ ความเสี่ยงก็ไม่สูง</p><p><br /></p><p>5. ‘ไม่เอาหุ้นที่มีหนี้เยอะ‘ …บริษัทที่หนี้เยอะ ต้องหลีกเลี่ยง เพราะ มันอาจมีปัญหาต่างๆ ซุกซ่อนเอาไว้ เราไม่ควรไปยุ่ง</p><p><br /></p><p>6. ’ซื้อแล้วถือลืม’ …เงินต้องเย็น ซื้อแล้วถือลืมๆ ไป …วันนึงเวลาเขาเล่น เดี๋ยวเราก็รวยเอง …ต้องใจเย็น รอได้</p><p><br /></p><p>ใช่แหละ !! ‘อยู่ให้เป็น เย็นให้พอ รอให้ได้‘ </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-1872345217941536762024-02-03T11:28:00.003+07:002024-02-03T11:28:39.226+07:00‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ?<p> ‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ?</p><p><br /></p><p>1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ</p><p><br /></p><p>2. ’ไทยมีความยืดหยุ่นในการทำธุรกิจ จนจีนสนใจใช้เป็นฐาน‘ …ฐานผลิตอีวี ซึ่งเป็นหนึ่งในเรือธงหลักของจีน</p><p><br /></p><p>3. ’อุตสาหกรรมใหม่ ยังอยู่ในช่วงเริ่มต้น‘ …ความงาม , สุขภาพ , ท่องเที่ยว , สัตว์เลี้ยง และ บันเทิง …ธุรกิจที่น่าสนใจใหม่ อยู่ในช่วงเริ่มต้น ต้องใช้เวลาในการเข้าสู่ช่วงเติบโต</p><p><br /></p><p>4. ‘ตลาดหุ้นอยู่ในช่วงหลัดใบ สู่นักลงทุนรุ่นต่อไป‘ …รุ่นเก่าถอดใจ ก็ต้องมีรุ่นใหม่ ที่คิดแตกต่างจากรุ่นเก่า เช่น นักลงทุนใหม่ของอเมริกา สนใจการเติบโต ไม่สนใจหุ้นถูก ไม่สนใจปันผล …พูดง่ายๆ หุ้น Superstock แต่ละยุคมันไม่เหมือนเดิม</p><p><br /></p><p>5. ’ไทยเป็นส่วนนึงของโลกใหม่’ …โลกเก่าคือ โลกตะวันตกเดิม …ส่วนโลกใหม่คือ โลกตะวันออก นำโดย จีน อินเดีย …ซึ่งเกี่ยวข้องกับไทยอย่างลึกซึ้ง …แต่ก่อนแค่มาเที่ยว จากนั้นซื้อบ้านลงทุน แล้วก็เอาลูกหลานมาอยู่ มาเรียน มาตั้งรกราก</p><p><br /></p><p>6. ‘การกระตุ้นเศรษฐกิจครั้งใหญ่ กำลังจะเริ่มขึ้น’ …จากนี้เราจะเห็นการกระตุ้นเศรษฐกิจในทุกรูปแบบ …ถ้าเทียบก็เหมือนไพ่ใบสุดท้าย ต้องเด็ดว่างั้น</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-83452788063454602702024-01-28T10:03:00.001+07:002024-01-28T10:03:07.333+07:00โอกาสดีกว่า ทำสิ่งใหม่ในเวลาที่ยังไม่บูม<p> โอกาสดีกว่า ทำสิ่งใหม่ในเวลาที่ยังไม่บูม</p><p><br /></p><p>1. ‘การทำสิ่งใหม่ อึดอัดเสมอ แต่ดี‘ …เพราะเราต้องเรียนรู้ใหม่ …การทำอะไรใหม่ ทำให้ตัวเราไปเป็นนักเรียน เป็นมือสมัครเล่นใหม่ นั่นแหละ ช่วงที่เรียนรู้และเติบโตที่สุดในชีวิตเรา</p><p><br /></p><p>2. ‘เวลาเริ่มที่ดีสุด คือเวลาที่ยังไม่บูม‘ …อย่าไปเริ่มอะไรเวลาสิ่งนั้นฮิต เพราะ นั่นคือปลายรอบ …ถ้าอยากเริ่มให้รอคนเลิกฮิต คนเสียหาย เจ็บตัว แล้วก็จะถึงเวลาที่เราควรเข้าไป</p><p><br /></p><p>3. ‘สิ่งใหม่ ออกแรงไม่เยอะ แต่ผลลัพธ์มาก’ …เหมือนตอน social media เกิดใหม่ๆ ช่วงแรงๆ จะหาเงินง่าย ดังง่าย แต่พอคนเข้ามาเยอะ ยากและ (ถ้าสงสัยว่า ทำไมสิ่งที่เราทำอยู่ ออกแรงเยอะผลลัพธ์น้อย …ใช่!! เราทำสิ่งเก่า โบราณ เอ้าท์แล้ว นั่นเอง)</p><p><br /></p><p>4. ‘ไม่มีใครชัวร์ ไม่มั่นคง นั่นแหละการเติบโต‘ …ยุคนี้งานที่มั่นคง เป็นทางตันของคนรุ่นใหม่ เพราะ พื้นที่มั่นคงด้านบนมีคนรุ่นก่อนจับจองอยู่แล้ว …เก้าอี้นั้นไม่ใช่ของเราหรอก</p><p><br /></p><p>5. ‘เมื่อสบายต้องออกเดินทาง’ …เวลาที่เราสบายแปลว่า เราต้องเริ่มเดินทางครั้งใหม่ได้แล้ว …เพราะชีวิตคือการเคลื่อนไหว เคลื่อนที่ และ การเดินทาง</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-30503697266224865092024-01-27T11:06:00.003+07:002024-01-27T11:06:40.222+07:00 ยุคนี้ 2024 รวยเร็วสร้างได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้<p> ยุคนี้ 2024 รวยเร็วสร้างได้ ถ้าเข้าใจเรื่องนี้</p><p><br /></p><p>1. ‘กล้าแสดงตัวตน ในสื่อสาธารณะ‘ …เอาง่ายๆ คนดังสร้างตัวง่ายกว่าไม่ดัง …ดังนั้น ขั้นแรกต้องลองแสดง ’ตัวตน‘ ในสื่อ ดู คัลแลนกับพี่จอง ก็ได้</p><p><br /></p><p>2. ‘จริงใจ ไม่ต้องปรับแต่ง‘ …สมัยก่อนคนที่เป็นดาราต้องสร้างภาพ ’หน้ากาก‘ เพื่อให้คนอื่นเห็นเฉพาะสิ่งที่ดีเท่านั้น แต่ยุคนี้ไม่ใช่ …ต้องจริงใจ เป็นยังไง โชว์ไปตรงๆ </p><p><br /></p><p>3. ‘ทำสิ่งใหม่ ทำงานเสี่ยง‘ …ถ้ารุ่นน้องมาถาม ผมมักแนะนำว่า เลือกทางที่เสี่ยงกว่าเสมอ …สิ่งเก่าต้องใช้ผู้เชี่ยวชาญ แต่งานใหม่ๆ มือใหม่อย่างเราก็มีโอกาสสบายๆ </p><p><br /></p><p>4. ‘พลาด พัง ก็แค่ลุกขึ้นมาใหม่’ …ยุคนี้ไม่มีใครอดตายแล้ว …ถ้าพลาดก็ร้องไห้ให้เต็มที่ ปล่อยโฮให้สุด แล้วก็ผ่านไป ลุกขึ้นมาใหม่ …เดี๋ยวมันต้องมีวันของเรา</p><p><br /></p><p>5. ‘ไม่มีงานเดียว ไม่มีอาชีพที่มั่นคง ไม่ใช่ก็ก้าวต่อไป‘ …รุ่นพี่ยุคมืออาชีพ ล้าสมัยแล้ว โลกมันเปลี่ยน ..ยุคนี้ปรับตัวให้เร็ว รับสิ่งใหม่ ลองไปเรื่อยๆ …คิดง่ายๆ ของใหม่ คู่แข่งน้อย โอกาสอาจเป็นเราก็ได้</p><p><br /></p><p>6. ‘อย่าพยายามเป็นที่รักของทุกคน ขอแค่คนรักมากๆ กลุ่มเล็กๆ ก็พอ‘ ….อันนี้ใช้ได้ทั้ง คน ทั้ง Product …คิดดูสิ สินค้าที่ทำมาเอาใจทุกคน มันไม่ work แล้ว</p><p><br /></p><p>7. ’กล้าได้ กล้าเสีย’ …คนจะกล้าได้ แปลว่า เขากล้าเสียได้ …เอาตรงๆ ถ้าไม่กล้าเสีย กล้าเสี่ยง ก็ไม่มีโอกาสชนะครั้งใหญ่ในชีวิต</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><div><br /></div>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-60805795074297247382024-01-20T09:03:00.004+07:002024-01-20T09:56:07.579+07:00 โอกาสของ เศรษฐกิจคนแก่ ที่เราควรเข้าใจ<p> โอกาสของ เศรษฐกิจคนแก่ ที่เราควรเข้าใจ</p><p>‘หนุ่มสาวควรทำงานที่เสี่ยง …ส่วนคนแก่ควรทำงานที่มั่นคง แล้วใช้เงินเสี่ยงแทน‘ </p><p>1. ‘คนแก่ เหมาะกับงานมั่นคง‘ …หลายบริษัทอยากจ้างคนแก่ เพราะ ทำงานนานไม่ไปไหน …ต่างกับหนุ่มสาวที่เป็น Job Hopper (เปลี่ยนงานบ่อยๆ)</p><p><br /></p><p>2. ’คนแก่ ควรใช้แรงงาน’ …การใช้แรงงานสำหรับคนสูงอายุถือเป็นการออกกำลังกาย ได้ขยับร่างกายและขยับสมอง</p><p><br /></p><p>3. ‘งานที่ปรึกษา ใช้ความเก๋า‘ …ในยุคที่ธุรกิจเน้นความใหม่ ความเร็ว และ การเปลี่ยนแปลง การ ‘มองหลัง’ สำคัญอย่างมาก</p><p><br /></p><p>4. ‘ซื้อของแพง ของเล่น กล้าใช้ขึ้น‘ …คนแก่ยุคนี้ กล้าซื้อของให้ตัวเอง ของเล่น เช่น ของแบรนด์ ของสะสม</p><p><br /></p><p>5. ’ผันตัวเป็นนักลงทุนที่ซับซ้อนมากขึ้น’ …คนกลุ่มนี้มีเงิน แล้วรู้จักการวางเงินทำงานมากขึ้น …มีการแบ่งเงินลงในสิ่งที่เสี่ยงมากๆ อย่าง Hedge Fund , PE , VC ..</p><p><br /></p><p>6. ‘นักท่องเที่ยว และเดินทางตัวยง‘ …เมื่อมีเงินมีเวลา ก็ต้อง ท่องเที่ยว นี่คือ กลุ่มสำคัญของอุตสาหกรรมท่องเที่ยว</p><p><br /></p><p>7. ‘สุขภาพและ Fitness’ …คนที่ลุกขึ้นมาเข้าฟิตเนส วิ่งมาราธอน ออกกำลังกายมากที่สุด ก็คือ คนกลุ่มนี้ </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-14639686188055983892024-01-20T05:36:00.003+07:002024-01-20T09:54:56.492+07:00 หลักการ ‘ใช้เงินทำงาน‘ ให้ชีวิตเราสบายขึ้น<p> หลักการ ‘ใช้เงินทำงาน‘ ให้ชีวิตเราสบายขึ้น</p><p><br /></p><p>‘การทำงานหนักในช่วงหนุ่มสาว เป็นเรื่องที่ถูกต้อง …แต่ถ้าคุณอายุเยอะแล้วยังทำงานหนัก มันมีอะไรบางอย่างที่ไม่ถูกแน่ๆ’ </p><p><br /></p><p>ใช่ ..จะใช้เงินทำงานก็ต้องมีเงิน ..แต่ถ้าไม่วางแผนให้ดี ยิ่งมีเงิน กลับยิ่งเหนื่อย </p><p><br /></p><p>1. ‘การใช้เงินทำงานเป็นเรื่องวิธีคิด’ ..ถ้าคิดแต่หาเงิน ก็ยากที่จะวางให้เงินทำงาน …ต้องเข้าใจว่า การให้เงินทำงานไม่ใช่เรื่องของคนขี้เกียจ แต่เป็นอีกหนึ่งในวิธีหาเงิน</p><p><br /></p><p>2. ’ทำงานเพื่อเงิน ในงานที่้เราอยากเรียนรู้เพิ่มเท่านั้น’ …ถ้าไม่มีอะไรอยากเรียนรู้เพิ่มจากงานนั้น ต้องทำงานให้น้อยลง ให้เงินทำงานมากขึ้น</p><p><br /></p><p>3. ’เรียนรู้ความแตกต่างระหว่าง คนลงแรง และ คนลงเงิน’ …คนลงแรง จะต้องทำงานเป็นหลัก ส่วนคนลงเงิน ก็ต้องหาเงินมาเป็นทุน ซึ่งทำงานเบากว่า</p><p><br /></p><p>4. ’เข้าใจความเสี่ยงของ คนลงเงิน‘ …ความเสี่ยงก็คือ เสียเงินนั่นแหละ ดังนั้น การกระจายความเสี่ยงเป็นหัวใจของการวางเงินทำงาน</p><p><br /></p><p>5. ’ฝึกเป็นนักลงทุนในหุ้น’ …นักลงทุนในหุ้นแบบถือยาว จะเข้าใจ การขึ้นลง และ วัฏจักรธุรกิจ เพราะ เราจะได้ถือทั้งขาขึ้นและขาลง</p><p><br /></p><p>6. ’เงินปันผล เป็นเพียงส่วนนึงของทั้งหมด‘ …เราต้องเข้าใจว่า บางช่วงของการให้เงินทำงาน เราอาจไม่ได้เงิน ..เราต้องผ่านช่วงนั้นไปให้ได้ …ใช่!! ทนผ่านช่วงที่ธุรกิจไม่ดีให้ผ่านไป</p><p><br /></p><p>7. ‘เรียนรู้และมองหาโอกาสในธุรกิจอย่างต่อเนื่อง‘ …แม้เราไม่ชอบออกแรง แต่ต้องหาความรู้และคอนเนคชั่นอย่างต่อเนื่อง</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-49066188584547099892024-01-01T14:05:00.002+07:002024-01-01T14:05:46.227+07:00 6 สิ่ง ที่ผมเรียนรู้จากการพัฒนาของประเทศจีน<p> 6 สิ่ง ที่ผมเรียนรู้จากการพัฒนาของประเทศจีน</p><p><br /></p><p>1. ‘เริ่มจากงานหนักเงินน้อยเพื่อเรียนรู้’ …จีนเริ่มจากการเป็นโรงงานของโลก คือ ยอมทำงานหนักเงินน้อย เพื่อจะได้เรียนรู้ </p><p><br /></p><p>2. ‘การพัฒนาต่อยอด ไม่ใช่แค่ทำตาม’ …จีนไม่ได้หยุดแค่เรียนรู้ แต่เขาเป็นประเทศที่เน้น R&D สูงมาก …เพื่อพัฒนาต่อยอดให้เกิดนวัตกรรมใหม่ของตัวเอง …อย่างเรื่อง App จีน พัฒนาไปสู่ Super App ที่ขนาดอเมริกายังอยากเลียนแบบ</p><p><br /></p><p>3. ’กล้าลงทุนในระยะยาว‘ …จีนลงใน infrastructure เยอะมาก เช่น ถนน , รถไฟความเร็วสูง , พลังงานนิวเคลียร์ …ซึ่งแทบไม่คุ้มการลงทุนในระยะสั้นเลย …แต่สิ่งเหล่านี้แหละ ที่ทำให้จีนได้เปรียบในระยะยาว (ทุนนิยมแบบสุตโต่ง จะยึดติดกะบระยะสั้น เพราะต้องโชว์กำไรตลอดเวลา)</p><p><br /></p><p>4. ’กล้า All-in ในอุตสาหกรรมใหม่‘ …เช่น รถยนต์จีน ก้าวผ่านสันดาปไป EV เลย เพราะ รู้ว่าเขาไม่มีทางชนะในอุตสาหกรรมสันดาป ดังนั้น การ All-in ไป EV เป็นทางเลือกที่มีโอกาสชนะได้มากกว่า </p><p><br /></p><p>5. ’คนจีนมีความอดทน และ มีความยืนหยุ่นสูงมาก‘ …ในช่วงที่เศรษฐกิจผันผวนสูงแบบในปัจจุบัน …เราต้องการคนที่มีความยืดหยุ่น และ พร้อมปรับตัว ซึ่งคนจีนทำสิ่งเหล่านี้ได้ดีมาก </p><p><br /></p><p>6. ’เลือกธุรกิจที่กำไรน้อย เพื่อให้คู่แข่งไม่สามารถเข้ามาได้‘ …หลักการทำธุรกิจของคนจีนคือ ไม่เอากำไรเยอะ แต่กินยาวๆ เพราะ เขายอมลด Margin จนไม่มีใครอยากเข้ามาแข่ง …สุดท้ายเลยกินรวบทั้งตลาด </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-24729722887979512322024-01-01T13:33:00.000+07:002024-01-01T13:33:08.149+07:005 หลักการหา S Curve ใหม่ เพื่อโอกาสที่ใหม่ใหญ่ขึ้น<p> 5 หลักการหา S Curve ใหม่ เพื่อโอกาสที่ใหม่ใหญ่ขึ้น</p><p><br /></p><p>1. ‘S Curve คือ ความบังเอิญ ไม่ใช่การวางแผน’ …พูดง่ายๆ ทุกสิ่งที่เปลี่ยนชีวิตครั้งใหญ่ มันมักจะไม่ได้เกิดตามแผน …มันมักจะเกิดนอกแผน …เพราะถ้าทุกอย่างเกิดตามแผน มันจะไม่มีธุรกิจใหม่เลย …ข้อที่หนึ่ง ‘นอกแผน‘ </p><p><br /></p><p>2. ‘สิ่งใหม่เกิดจากมือรอง’ …มือหนึ่งมักถูกวางให้ทำเรื่องเก่าที่ชัวร์ …ทำให้สิ่งใหม่ หรือ การเปลี่ยนแปลง ถูกให้มือรองทำ …ดังนั้น เราต้องทำตัวเป็นมือรอง รับอาสาทดลองเรื่องใหม่</p><p><br /></p><p>3. ‘ใช้ทุนน้อย และทุกอย่างจำกัด’ …การเกิดของโอกาสครั้งใหม่ มักไม่ได้เกิดจากทุน แต่เกิดจากไอเดีย ..ให้โฟกัสไปที่ไอเดีย ไม่ใช่ที่ทุน</p><p><br /></p><p>4. ‘เกิดในสภาพแวดล้อมใหม่’ …ลองนึกภาพการปลูกต้นไม้ ถ้าปลูกที่เดิม ดินเดิม ทุกอย่างเดิม ผลลัพธ์ก็เหมือนเดิมชัวร์ …ดังนั้น ต้องสภาพแวดล้อมใหม่ แยกออกไป ไม่ใช่ที่เดิม </p><p><br /></p><p>5. ‘ผู้นำที่มีวิสัยทัศน์ สำคัญมาก‘ …เกิดจากความบังเอิญ โดยมือรอง ที่มีทุนจำกัด และ ทำในสภาพแวดล้อมใหม่ แล้วถ้ามันเริ่มใช่ ต้องใส่ทุนเพิ่ม เติมให้สุด …ตรงนี้แหละสำคัญ คือ ถ้าใช่ ต้องกล้าใส่ให้สุด</p><p><br /></p><p>ใช่!! ทั้ง 5 ข้อ ขัดความรู้สึก โคตรๆ …เราเลยไม่ค่อยเห็น S Curve ใหม่นั่นเอง </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-69272662966852090982024-01-01T13:15:00.000+07:002024-01-01T13:15:06.268+07:00 6 ข้อ ที่เราได้เรียนรู้ เวลาที่พอร์ตขาดทุนหนัก<p> 6 ข้อ ที่เราได้เรียนรู้ เวลาที่พอร์ตขาดทุนหนัก</p><p><br /></p><p>1. ‘เราจะอยากขายเวลาที่พอร์ตยิ่งขาดทุน’ …พูดง่ายๆ เวลาที่พอร์ตขาดทุนน้อยๆ เราไม่อยากขาย (ทั้งที่บางครั้งมันเป็นจุด Stop Loss ที่ดีมาก …ราคาลงไม่แรง Volume รับเยอะๆ) …เราจะอยากขายเวลาที่จริงๆ ไม่น่าขายแล้ว </p><p><br /></p><p>2. ’เราไม่กล้าซื้อหุ้นเพิ่ม ทั้งที่มีหุ้นถูกมากมาย’ …เรายังจำภาพความเจ็บปวด เลยไม่กล้าเข้าไปหาโอกาสครั้งใหม่ ทั้งที่เราก็ยังมีเงินเหลืออยู่ (การซื้อเมื่อทุกอย่างแย่ มันมักจะดี จนถึงดีมาก หลังจากนั้นเสมอ แต่เราก็ไม่กล้าซื้อเยอะอยู่ดี)</p><p><br /></p><p>3. ’หุ้นที่พื้นฐานดีกลับลงหนักกว่าหุ้นที่พื้นฐานไม่ดี’ …อันนี้ย้อนแย้ง แต่อธิบายได้ ก็คือ หุ้นที่พื้นฐานแย่ มันลงมาก่อนแล้ว ลงจนทุกคน Cut ทิ้งไปหมดแล้ว หุ้นก็เลยไม่ลงต่อ …แต่หุ้นพื้นฐานใช้ได้ คนส่วนใหญ่ยังทนถือ มันก็เลยลงต่อนั่นเอง</p><p><br /></p><p>4. ‘ครั้งหน้าที่พอร์ตกำไรเยอะ ต้องทยอยขายให้มากขึ้น’ …แปลง่ายๆ ว่า เราไม่ควรหวังกำไรสูงสุดในทุกๆ รอบ …เมื่อกำไรก็ควรค่อยๆ ทยอยขาย แม้ไม่ได้กำไรสูงสุด แต่ก็จะไม่เสียรอบ เสียโอกาส</p><p><br /></p><p>5. พอขาดทุนเยอะๆ เราจะพยายามหาทางชดเชย อยากรีบเอาคืน‘ …ซึ่งเอาตรงๆ มันแทบไม่ได้ช่วย และอาจทำให้มันหนักขึ้นไปอีก …บางครั้งการหยุดเพืีอทบทวนจะเพิ่มโอกาสการได้คืนได้รอบต่อไปมากกว่า</p><p><br /></p><p>6. ’โอกาสในรอบต่อไป มักอยู่ในจุดที่ยังดูไม่ดี’ …แต่พอเราเสียหาย เราจะไปมองหาว่าอะไรยังดี แล้วเข้าไปซื้อ ซึ่งโดยมากจะซวยมากขึ้น …พอเราตามไป มันก็ถึงเวลาลงพอดีเป๊ะ !! - (วิธีการที่ดีกว่า คือ หาวิธีการใหม่ ที่ยังไม่ดีก่อนหน้านี้ …เพราะจากนี้มันมีโอกาสจะดีมากกว่า)</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-5803146410295622332024-01-01T11:16:00.002+07:002024-01-01T11:16:34.600+07:003 ประสบการณ์ดี และ 3 แย่ ในปีที่ผ่านมาคือ ?<p> 3 ประสบการณ์ดี และ 3 แย่ ในปีที่ผ่านมาคือ ?</p><p><br /></p><p>เริ่มจากแย่ก่อน </p><p><br /></p><p>1. ’โดนหุ้นไทยต้มกบ’ …ต้นปี 2023 ดูเหมือนหุ้นไม่น่าจะลงเยอะ …แต่มันลงลึกขึ้นเรื่อย โดยเฉพาะหุ้นเล็กหนักสุด …เต็มข้อ ว่างั้น (เมื่อเราคิดเหมือนคนส่วนใหญ่ เราจะทำผลตอบแทนได้เหมือนคนส่วนใหญ่)</p><p><br /></p><p>2. ’มอง New S Curve ไม่ออก‘ …มองไม่ออกว่าจะพัฒนาตัวเองให้เจอจุด S Curve ใหม่ได้ยังไง (ถ้ามองออก มันคงไม่ใช่ S Curve …ขาขึ้นครั้งใหญ่ จะเริ่มจากจุดที่ Impossible เสมอ)</p><p><br /></p><p>3. ‘การลดลงของพอร์ต ทำให้เข้าใจสัจธรรมของตลาดหุ้นมากขึ้น’ …จริงๆ ผมเตรียมพร้อมอยู่แล้วว่าตลาดต้องปรับฐาน …แต่ครั้งนี้มันสอนว่า หลังจากขึ้นเยอะ ก็หนีไม่พ้นลงเยอะแค่นั้นเอง (บทเรียน ก็คือ การลงทุนที่สบายที่สุด ต้องไม่มองหาการทำกำไรสูงสุด แต่ต้องหาจุดสมดุลย์ตลอดเส้นทาง)</p><p><br /></p><p>ส่วน 3 ประสบการณ์ดี คือ </p><p><br /></p><p>1. ’กลับมาตีกอล์ฟกับครอบครัว‘ …การกลับมาทำกิจกรรมพร้อมกันทั้งบ้าน ก็ทำให้ได้คุยกันมากขึ้น (จากหนัง Analog Squad กล่าวไว้อย่างโดนว่า ‘คนที่คุยด้วยยากที่สุด ก็คือ คนในครอบครัวเราเองนี่แหละ‘)</p><p><br /></p><p>2. ’เริ่มยกเวท สร้างกล้ามเนื้อ’ …สำหรับคนวัย 40 กว่าอย่างผม มันถึงช่วงถดถอยทุกอย่างของสุขภาพ …การที่ได้มายกเวท ช่วยให้ได้เข้าใจอะไรหลายๆ อย่าง มากขึ้น (เข้าใจ คำว่า ‘วิกฤตวัยกลางคน’ ..มันเริ่ม เมื่อเราตระหนักว่า หลังจากจุดนี้ เรามีแต่เสื่อมถอย เช่น ร่างกาย …เราก็เลยพยายาม ไม่ถอย พยายามดูเด็ก โชว์ว่ายังวัยรุ่น …แต่มันก็ยิ่งดูแก่ แต่อยากเด็ก หนักเข้าไปอีก)</p><p><br /></p><p>3. ‘การมองหารายได้แบบ Passive มากขึ้น‘ …พูดเหมือนคนที่เริ่มมองหาการเกษียณ เช่น ลงทุนหาปันผลมากขึ้น , ทำธุรกิจในส่วนลงเงิน ไม่ลงแรง …ใช่!! ผมเริ่มเตรียมการจริงจัง เกี่ยวกับการจัดการเงินในแบบน้ำซึมบ่อทรายมากขึ้น </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-6924355087409902972023-12-31T16:09:00.006+07:002024-01-09T10:46:37.793+07:008 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงครั้งนึงของโลก<p> 8 สิ่ง ที่ได้เรียนรู้จากการขึ้นดอกเบี้ยรุนแรงครั้งนึงของโลก</p><p><br /></p><p>1. ‘การขึ้นดอกเบี้ยครั้งนี้ อเมริกา ได้ประโยชน์กว่าจีน’ …เพราะ อเมริกาประคองเศรษฐกิจได้ ขณะที่หุ้นขึ้นเรื่อยๆ …ส่วนจีนจมดิ่งสู่วิกฤติอสังหาครั้งใหญ่ ลามไปถึงตลาดหุ้นย่ำแย่</p><p><br /></p><p>2. ‘จีนพยายามสู้ โดยกดให้ค่าเงินตัวเองอ่อนค่า‘ …เพื่อให้การส่งออก และขายสินค้าได้ดี …แต่การลงทุนและเงินจะไหลออก ส่งผลให้การเงินและการลงทุนอ่อนแอ</p><p><br /></p><p>3. ’การขึ้นดอกเบี้ย ทำให้มูลค่าลดลงหายไปอย่างรวดเร็ว โดยเฉพาะสินทรัพย์เสี่ยง‘ …เริ่มจากตลาดคริปโตลงแรง ตามมาด้วยตลาดหุ้นลงแรง …ถ้าดอกเบี้ยยังสูง สินทรัพย์เสี่ยงก็ยังจะไม่ดี </p><p><br /></p><p>4. ’คนในโลกเป็นหนี้เยอะกว่าที่คิด พอดอกเบี้ยขึ้น การใช้จ่ายก็หายไปอย่างรวดเร็ว‘ …เศรษฐกิจการบริโภค จากทึ่ดูเงินเฟ้อกลับไปเงินฟืดได้เร็วมาก โดยเฉพาะ Emerging Markets ที่ตลาดโดน 2 เด้ง …คือ ทั้งค่าเงินอ่อน และ หนี้เพิ่มขึ้น</p><p><br /></p><p>5. ’ภาพระยะสั้นดอลลาร์น่าจะแข็ง แต่ระยะยาวน่าจะอ่อน‘ …ระยะสั้นเงินไหลไปอเมริกาจากดอกเบี้ยสูง เพื่อเข้าไปลงทุน แต่เมื่อการลงทุนเสร็จพอถึงช่วงการส่งออก ดอลลาร์น่าจะอ่อนตัวลง</p><p><br /></p><p>6. ‘ตลาดจะผันผวนมากขึ้น แต่ระยะยาวสินทรัพย์ที่ดีจะเป็นขาขึ้นครั้งใหญ่’ …เหมือนทุกครั้งที่ผ่านมา สุดท้ายเงินดอลลาร์และเงินอื่นๆ จะมูลค่าลดลง ในขณะที่สินทรัพย์ที่ดี ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ </p><p><br /></p><p>7. ‘ประเทศพวก Emerging Market พึ่งพิงดอลลาร์มากกว่าที่คิด’ …สังเกตได้จากการขึ้นดอกเบี้ย ส่งผลให้ค่าเงินประเทศเหล่านี้อ่อนตัวเร็วมาก …ทำให้เงินไหลกลับอเมริกา</p><p><br /></p><p>8. ’ให้เตรียมตัวกับสิ่งที่เราไม่คาดคิดเสมอ’ …ถ้าทุกคนว่าดี ให้เตรียมตัวรับวิกฤติที่เราไม่คาดฝัน …การมีเงินสดส่วนนึงเสมอ รอซื้อเวลาวิกฤติ ยังคงใช้ได้เสมอ </p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-72020788507291252642023-12-24T20:16:00.002+07:002023-12-29T11:36:06.932+07:007 ข้อ วิเคราะห์โอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2024<p> 7 ข้อ วิเคราะห์โอกาสลงทุนในตลาดหุ้นไทย ปี 2024</p><p><br /></p><p>‘ดอกเบี้ยขึ้น ตลาดหุ้นแย่‘ …แล้วทำไมตลาดอเมริกาดี แล้วตลาดไทยแย่ ?</p><p><br /></p><p>- จริงๆ ช่วงที่ดอกเบี้ยอเมริกาเริ่มขึ้น ปี 2021 นั้น ตลาดหุ้นอเมริกาพังเละ หุ้นอย่าง Facebook ลงแรง จากหุ้นราคาเกือบ 400 เหรียญ ลงมาต่ำกว่า 100 …เละ !! </p><p><br /></p><p>- พอปี 2022 หุ้นอเมริกาก็ขึ้นกลับมา ทั้งๆ ที่อัตราดอกเบี้ยยังไม่ลง (แค่ทรงๆ ไม่ขึ้น แต่นักลงทุนคาดกันว่า ดอกเบี้นน่าจะ Peak แถวๆ นี้) ..หุ้นอย่าง Facebook ก็ขึ้นจาก ไม่ถึง 100 วิ่งขึ้นไปเกือบ 400 เหรียญ</p><p><br /></p><p>บทเรียนนี้ สอนเราว่า …เวลาที่ทุกอย่างดูแย่ ให้ซื้อหุ้นและสินทรัพย์ …พูดง่ายๆ ใครซื้อหุ้นอเมริกาปลายปี 2022 ถึงต้นปี 2023 ก็จะกำไรสบายๆ …ส่วนตลาดไทยดอกเบี้ยขึ้นช้ากว่าอเมริกาเกือบ 1 ปี …ดังนั้น ตลาดเราจึงแย่ในปี 2023 ..และถ้าดูตัวอย่างจากอเมริกา ตลาดหุ้นไทยปี 2024 จึงน่าจะเป็นปีที่ดี</p><p><br /></p><p>—————————————————-</p><p><br /></p><p>คำถามต่อไปคือ เวลานี้ ที่ไหนดูแย่ จะได้เป็นโอกาส เข้าซื้อ …ส่วนที่ไหนมันดีแล้ว ก็อาจทยอยขายทำกำไรนั้นเอง</p><p><br /></p><p>1. มาดูตอนนี้ ตลาดหุ้นไทยเวลานี้ดูแย่มาก จึงน่าจะเป็นโอกาสในการเข้าซื้อ เพื่อจะทำกำไรในปีหน้า</p><p><br /></p><p>2. ตลาดอเมริกา ปีนี้ดี และเหมือนจะดีกว่าความเป็นจริง อาจจะมองได้ว่า มันขึ้นเพราะคนซื้อไปเผื่อว่าอนาคตจะดีเรียบร้อยแล้ว …เวลานี้จึงน่าจะเป็นช่วงเวลาที่ทยอยขายทำกำไร (อาจจะไม่ต้องขายหมด แต่ควรเอากำไรบางส่วนออกมา เพื่อไม่ให้เราเสียจังหวะ หากตลาดปรับฐานนั่นเอง) </p><p><br /></p><p>3. ดอกเบี้ย คนส่วนใหญ่มองว่า มันจะหยุดขึ้นแล้วลงในไม่ช้า …ถ้าเป็นแบบนี้ แปลว่า ตลาดมองบวกมากเกินไป …ดังนั้น เราควรมองลบในเรื่องนี้ มองว่า ดอกเบี้ยอาจจะขึ้นต่อ หรือ ไม่ลงอีกนานกว่าที่คนส่วนใหญ่คาด </p><p><br /></p><p>4. ธุรกิจที่หนี้เยอะ ยังต้องระวัง และควรหลีกเลี่ยง …การบริโภคน่าจะยังไม่ดี ..ธุรกิจที่ดี คือ ธุรกิจพวก B2B มากกว่า B2C …หรือธุรกิจที่เกี่ยวเนี่องกับการกระตุ้นเศรษฐกิจโดยภาครัฐบาล …กับธุรกิจที่มีลูกค้าระดับบน ที่ไม่กระทบในเศรษฐกิจ</p><p><br /></p><p>5. สิ่งที่หวังคือ นโยบายและเงินกระตุ้นจากภาครัฐต่างๆ …รวมทั้งการออกมาตรการ ช่วยเหลือลูกหนี้ …การกระตุ้นตลาดทุน …รวมถึงการลดภาษีในด้านต่างๆ (พูดง่ายๆ ภาครัฐ ต้องสร้างหนี้เพิ่ม เพื่อกระตุ้นเศรษฐกิจ)</p><p><br /></p><p>6. Emerging Market อย่างไทย มีปัญหาเงินฝืด (ทำให้เราไม่สามารถขึ้นดอกเบี้ยแบบอเมริกา ส่งผลให้เงินไหลออก) …ค่าเงินอ่อน ซึ่งตรงข้ามกับ อเมริกาที่มีปัญหาเงินเฟ้อและค่าเงินแข็งเกินไป …โอกาสคือ ธุรกิจส่งออก และ การเข้ามาลงทุนโดยต่างประเทศ เช่น กลุ่มรถยนต์ EV …โอกาสจะอยู่ที่ เงินไหลกลับ เพราะ เงินไหลออกไปก่อนหน้านี้ </p><p><br /></p><p>7. การหาโอกาสการลงทุนในช่วงแย่ของตลาดหุ้นไทย …หุ้นใหญ่ หุ้นปันผล น่าทยอยเก็บ เพราะ มั่งคงและโดดเด่นในเรื่องเงินปันผล …หุ้นเล็ก ..เก็งรอบการเก็งกำไร ซึ่งเวลาเงินไหลกลับ หุ้นเล็กจะวิ่งแรงกว่า ไปไกลกว่า แต่ก็ต้องเข้าใจเรื่องของการกระจายความเสี่ยงดีๆ (ลงกระจาย ดีกว่าลงกระจุกในเวลานี้)</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-66435417657064034932023-12-16T18:23:00.001+07:002023-12-16T18:23:14.693+07:00 8 ข้อ เรื่อง Short Sell ที่รายย่อยควรรู้<p> 8 ข้อ เรื่อง Short Sell ที่รายย่อยควรรู้</p><p><br /></p><p>1. ‘การ Short Sell คือ การเก็งกำไรขาลง’ แปลว่า ยิ่งหุ้นลงก็ยิ่งกำไร </p><p><br /></p><p>2. ‘รายย่อยต้องเปิดบัญชี Margin กับทางโบรคเกอร์‘ …การจะ Short Sell ได้ต้องเปิดบัญชี Margin กับโบรคเกอร์เพื่อทำการยืมหุ้น</p><p><br /></p><p>3. ’จากนั้นทำการยืมหุ้นมาขาย โดยเสียดอกเบี้ยในการยืม‘ …การ Short Sell คือ ยืมหุ้นมาขาย จากนั้นก็ลุ้นว่า หุ้นจะราคาลงไปอีก เพื่อที่คนยืมจะได้ไปซื้อหุ้นในราคาที่ถูกลงเพื่อเอามาคืนโบรคเกอร์ </p><p><br /></p><p>4. ‘ความเสี่ยง คือ หุ้นไม่ลง‘ …ถ้าคนยืมหุ้นมาขาย แล้วราคาหุ้นไม่ลง ก็คือ ซวย เพราะ นั่นแปลว่าต้องไปไล่ซื้อหุ้นแพงกว่าที่ขายไป …ก็คือ ขาดทุนนั่นเอง</p><p><br /></p><p>5. ’การ Naked Short รายย่อยไม่สามารถทำได้‘…การ Naked Short คือ ขายหุ้นโดยที่ตัวเองไม่มีหุ้น ส่วนใหญ่จะอาศัยช่องว่างสั้นๆ เช่น ขายเช้า พอได้เงินสดมา ก็เอาเงินสดไป ช้อนซื้อหุ้นตอนบ่าย ในราคาที่ถูกลง (จริงๆ เรื่องนี้ผิดกฏ กลต.)</p><p><br /></p><p>6. ’ในช่วงที่ตลาดไม่ค่อยมี Volume มักเป็นช่วงที่หุ้นเสี่ยงโดน Short Sell’ …ช่วงที่ไม่ค่อยมี Volume ก็คือ ไม่ค่อยมีคนซื้อ ดังนั้น ถ้ามีการ Short Sell จำนวนมาก ก็จะทำให้หุ้นลงแรง ลงเร็วนั่นเอง (หุ้นเวลาโดน Short มักทำให้ราคาลงแรง จนอาจต่ำกว่าพื้นฐาน)</p><p><br /></p><p>7. ’หุ้นที่โดน Short Sell มากๆ หลังจากนั้นอาจเด้งขึ้นแรงในเวลาสั้นๆ’ ….นั่นก็เพราะ คนที่ Short เขาขายออก จากนั้นเขาต้องกลับมาซื้อเพื่อเอาหุ้นมาคืนโบรคเกอร์ …ภาวะนี้เรียก Cover Short </p><p><br /></p><p>8. ‘การ Short Sell ไม่ควร Let Profit Run’ …ไม่เหมือนการเล่นหุ้นขาขึ้นที่เราสามารถถือยาว …ในขาลงหุ้นจะลงแรง ลงเร็ว จากนั้น พอคนขาย Cover Short มันก็มีโอกาสเด้งแรง ทำให้ขาดทุนหนักและเร็วนั่นเอง</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-6586444531900220282023-12-07T17:09:00.001+07:002023-12-07T17:09:43.244+07:00 ‘The Law of Diminishing Returns.. ในตลาดหุ้น ..ทำไมทำงานหนักขึ้น แต่ผลลัพธ์แย่ลง‘<p> ‘The Law of Diminishing Returns.. ในตลาดหุ้น ..ทำไมทำงานหนักขึ้น แต่ผลลัพธ์แย่ลง‘ </p><p><br /></p><p>1. การเทรด …การเทรดเร็วขึ้น ในช่วงแรกก็มีโอกาสได้เงินมากขึ้น …แต่พอเทรดเร็ว เราจะเข้าไปเทรดใน Time-Frame ที่เล็กลง ทำให้ความผันผวนมากขึ้น สุดท้ายโอกาสเสียหายก็เพิ่ม เลยอาจไม่รวยขึ้น</p><p><br /></p><p>2. การแกะงบ …การแกะงบลึกขึ้น ทำให้เราเข้าใจธุรกิจมากขึ้น แต่ยิ่งลึกเรายิ่งมั่นใจ และ สุดท้ายอาจตกเป็นเหยื่อของการแต่งงบ …สุดท้าย เจ้าของ ย่อมเห็นงบก่อนรายย่อยเสมอ ต้องจำไว้ให้ดี</p><p><br /></p><p>3. การทำงาน …การทำงานหนักขึ้นก็มักทำงานได้มากขึ้น แต่ถ้าทำหนักเกินไปเราจะใช้ ’ความยุ่งเป็นข้ออ้าง ไม่คิดนอกกรอบ’ สุดท้าย ผลลัพธ์จะแย่ลง เพราะ เราแค่ทำสิ่งเดิมแค่นั้นเอง</p><p><br /></p><p>4. ผลลัพธ์ของการลงทุน จะเยอะมากในต้นรอบ ที่มีแต่ข่าวร้าย ดูไม่น่าลงทุน แต่พอเรามั่นใจ ข่าวดีมีเยอะ เราใส่เงินมาก กลับเป็นจุดที่ ’ความเสี่ยงเยอะ แต่ผลตอบแทนน้อย‘ </p><p><br /></p><p>5. ผลตอบแทนที่เยอะจะมาในช่วงที่เราทำสิ่งใหม่ สิ่งแตกต่าง หรือ Innovation …พอผ่านช่วงนี้ไปคู่แข่งก็จะเยอะ ผลลัพธ์ก็จะน้อยลงไปเรื่อยๆ </p><p><br /></p><p>6. กฎของ 20 ชั่วโมง คือ ถ้าเราทำอะไรจริงจัง หรือเรียนรู้สิ่งใหม่ใน 20 ชั่วโมงแรก จะทำให้เราเก่งกว่าคนทั่วไปอย่างมหาศาล </p><p><br /></p><p>7. ในระบบเศรษฐีและธุรกิจ การหา New S-Curve คือการหา New Diminishing Returns นั่นคือ ช่วงแรกคือช่วงที่หอมหวน และกำไรสูงสุด …สรุป ธุรกิจต้องพยายามหา New S-Curve ตลอดเวลา</p><p><br /></p><p>8. ในชีวิต เราจะมีจุดสูงสุดแค่หนึ่งครั้ง …เราต้องเตรียมตัว ให้พร้อม เมื่อเราเจอจุดทึ่ดี ต้องพยายามเค้นให้สุด แล้ววางแผนระยะยาวต่อ เช่น สร้าง Passive Income จากรายได้ที่เราหามา</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-10853620666672100712023-11-18T11:13:00.002+07:002023-11-18T11:13:45.218+07:008 เรื่องอะไร ที่ AI ยังไม่เหนือเรา<p> 8 เรื่องอะไร ที่ AI ยังไม่เหนือเรา</p><p><br /></p><p>‘คุยกับเพื่อนเรื่อง AI มันเก่งจนทำให้คนตกงาน’ …แล้วอนาคตจะเหลืองานอะไรให้คนทำอยู่ ?</p><p><br /></p><p>เครื่องจักรในอดีตมาทนแทนแรงงานทำให้มนุษย์มีเวลาว่างขึ้น …วันนี้ AI มาทดแทนสมอง จะทำให้คนมีเวลาเอาสมองไปคิดอะไรสนุกๆ ไร้สาระมากขึ้น </p><p><br /></p><p>1. ‘งานที่ไม่ทำอะไรซ้ำๆ’ …งานไม่ซ้ำ ส่วนใหญ่เป็นงานแก้ปัญหา</p><p><br /></p><p>2. ‘งานไร้สาระ จะเริ่มมีราคาและคุณค่า’ …แต่ก่อนการไปทำไร่ไถนา คือ ทำมาหากิน (มีสาระ) …ส่วนการร้องเพลง คือ เต้นกินรำกิน (ไร้สาระ) …ทุกวันนี้อาชีพที่ร่ำรวยส่วนใหญ่ ไร้สาระทั้งนั้น …เป็น Gamer , นักร้อง , นักแสดง , Youtuber</p><p><br /></p><p>3. ‘งานตั้งโจทย์’ …ทุกวันนี้เราเรียนไปสอบ ไปตอบโจทย์ แต่อนาคต AI ตอบโจทย์ได้ดีกว่าเรา …อนาคตต้องฝึกการตั้งโจทย์</p><p><br /></p><p>4. ‘งานบริการ และงานแก้ปัญหาลูกค้า’ …การบริการที่แพง ต้องการ Human Touch …รวมทั้งเวลาเรามีปัญหา เราก็อยากคุยกันคน ไม่อยากคุยกับหุ่นยนต์ หรือ AI</p><p><br /></p><p>5. ‘งานอดิเรก คือ การทำงานรูปแบบใหม่’ …เลี้ยงสัตว์ , แคมปิ้ง , ท่องเที่ยว , ออกกำลังกาย …งานรูปแบบใหม่ ไม่ได้เน้นปากท้อง แต่เน้นกิจกรรมและความสนุก</p><p><br /></p><p>6. ‘ความหรูหรา คือ ขุมทรัพย์’ …ธุรกิจในอดีตเน้นประสิทธิภาพและความคุ้มค่า …ส่วนอนาคตจะเน้นความหรูหรา ความพิเศษ และ ความพอใจ</p><p><br /></p><p>7. ‘ความงาม และ สุขภาพ’ …แต่ก่อนสวยหล่อ สุขภาพเป็นความโชคดี แต่ทั้งหมดนี้ ในอนาคต เปลี่ยนแปลงให้ดีขึ้นได้หมด ด้วยเงิน</p><p><br /></p><p>8. ‘นักลงทุน’ …นักลงทุน 2.0 ต้องเป็น Creative Finance ไม่ใช่แค่นักเก็งกำไรเฉยๆ </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p><p><br /></p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-61023657661343605202023-11-18T10:34:00.000+07:002023-11-18T10:34:50.986+07:008 ข้อ ‘ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น เราจะรวยขึ้นรึเปล่า ?’<p> </p><p>8 ข้อ ‘ถ้าคนเรามีอายุยืนยาวขึ้น เราจะรวยขึ้นรึเปล่า ?’</p><p><br /></p><p>ช่วงร้อยปีที่ผ่านมา อายุขัยของมนุษย์เพิ่มขึ้นเกือบเท่าตัว เพราะ การแพทย์และสุขอนามัยที่ดีขึ้น …คำตอบคือ คนที่รวยขึ้น ก็จะรวยขึ้นไปอีก …ส่วนคนที่จนลงเมื่ออายุมากขึ้น ก็จะยิ่งจนลงไปอีก …เพราะอะไร ?</p><p><br /></p><p>…อะไรคือ ความแตกต่าง ระหว่าง ‘อายุเพิ่มแล้วรวยขึ้น’ กับ ‘อายุเพิ่มแล้วจนลง’ </p><p><br /></p><p>1. รายได้ ต้องมากกว่า ค่าใช้จ่ายเสมอ</p><p><br /></p><p>2. เก็บเงินสดและความมั่งคั่ง ในรูปสินทรัพย์ (เพราะในระยะยาว สินทรัพย์จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ)</p><p><br /></p><p>3. ไม่สร้างหนี้ที่ไม่ก่อให้เกิดรายได้ </p><p><br /></p><p>4. ซื้อสินทรัพย์เพิ่มทุกครั้งที่ตลาดเกิดวิกฤต</p><p><br /></p><p>5. พยายามหาโอกาสสร้างรายได้ ที่ไม่ใช่ค่าจ้าง</p><p><br /></p><p>6. ลงทุนในเทคโนโลยีใหม่ๆ และ นวัตกรรม</p><p><br /></p><p>7. ลงทุนเน้นการเป็นเจ้าของ ไม่ใช่แค่เก็งกำไร </p><p><br /></p><p>8. เป็นนักสะสมบางสิ่งที่เราชอบ (Value & Knowledge = Passion)</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-17594765699771304902023-11-12T15:50:00.002+07:002023-11-12T15:50:35.369+07:00 6 สิ่งลวง ในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้<p> 6 สิ่งลวง ในตลาดหุ้นที่นักลงทุนต้องรู้</p><p><br /></p><p>1. ‘การการันตีผลตอบแทน’ …ยิ่งช่วงเศรษฐกิจไม่ดี คนยิ่งมองหาการลงทุนที่การันตีผลตอบแทน …ส่วนมากจะไม่จริง และ การการันตีส่วนใหญ่ทำไม่ได้จริงในการลงทุน …เหตุผลหลักๆ ก็เพราะการลงทุนมันมีวัฏจักรขาขึ้นขาลงนั่นเอง</p><p><br /></p><p>2. ‘ช่องทางรวยเร็วที่ยั่งยืน’ …ใช่!! ทุกช่วงเวลามีวิธีการรวยเร็ว แต่ไม่มีวิธีการไหนที่ใช้ได้ตลอดเวลา …นั่นทำให้คนที่กำไรเยอะในช่วงนึง มักขาดทุนเยอะในเวลาต่อมา …เป็นสิ่งที่หลีกเลี่ยงได้ยากมากๆ</p><p><br /></p><p>3. ‘ความกลัวที่มากเกินไป’ …ในตลาดหุ้นจะมีช่วงความกลัวที่มากเกินไป เช่น ขายล้างพอร์ตเพื่อถือเงินสด …จริงๆ ช่วงเวลาที่เรากลัวมากเกินไป คือช่วงที่เราต้องเริ่มเก็บหุ้นรอขาขึ้นรอบใหม่</p><p><br /></p><p>4. ‘ความมั่นใจที่สุดโต่ง’ …คนในตลาดหุ้นมักจะมั่นใจเกินเหตุในเวลาที่เราคิดว่าเราชนะบ่อยๆ จนคิดว่าเราเป็นเซียน … แต่คนที่เสียหายหนักสุดๆ ที่มักมาจากความมั่นใจเกินไปนั่นแหละ </p><p><br /></p><p>5. ‘เจ้ามือก็เจ๊งได้’ …ถ้าเล่นตามรายใหญ่มักจะได้เงิน แต่ก็ไม่เสมอไป เพราะ บางครั้งรายใหญ่ก็เจ๊งได้เหมือนกัน …อย่าลืมว่ารายใหญ่เวลาเขาเสียหาย แต่เขาก็ยังมีเงินเหลืออีกเยอะ แต่เราไม่ใช่ !!</p><p><br /></p><p>6. ‘ความจริงในตลาดหุ้นที่ทุกคนเข้าใจตรงกัน’ …ความจริงมันขึ้นกับช่วงเวลา …ในช่วงเวลาหนึ่งความจริงอันนี้ก็อาจจะถูกต้องเสมอ แต่เมื่อช่วงเวลาเปลี่ยนไปความจริงที่ทุกคนเข้าใจตรงกันว่าถูก อาจผิดก็ได้ </p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-42643994602141876292023-11-05T10:20:00.002+07:002023-11-05T10:20:44.536+07:00 6 ลักษณะ หุ้นเบาหุ้นเด้งสูงสุดหากตลาดกลับตัว <p> 6 ลักษณะ หุ้นเบาหุ้นเด้งสูงสุดหากตลาดกลับตัว </p><p><br /></p><p>พูดถึงหุ้นเวลานี้ ใครๆ ก็มองว่าเสี่ยง …แต่ถ้าจะเสี่ยงกว่านั้น ลองดู หุ้นเบา กันไหม </p><p><br /></p><p>1. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ Market cap. ไม่สูง’ …คือ มูลค่าธุรกิจต้องไม่เยอะ ..เพราะ มูลค่าเยอะมันก็ยิ่งต้องใช้เงินเยอะใครการเคลื่อนราคา</p><p><br /></p><p>2. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ไม่อยู่ในกระแส’ …ถ้าหุ้นอยู่ในกระแส คนติดเยอะ มันหนัก …พอรายย่อยติดเยอะ หุ้นจะมีแต่ลง เพราะ รายย่อยแย่งกันขาย</p><p><br /></p><p>3. ‘มี Volume การซื้อขาย เบาบาง’ ….ถ้า Volume การซื้อขายเยอะ ก็แปลว่า หุ้นยังหนักอยู่</p><p><br /></p><p>4. ‘ธุรกิจไม่ได้มีหนี้เยอะ’ …ถ้าหนี้เยอะ ต้องระวังการลากเพื่อเพิ่มทุน (พูดง่ายๆ ถ้าหนี้เยอะ เวลาตลาดมา เขาก็ลากตามนะ แต่สุดท้ายลากให้รายย่อยไปเติมเงิน เพิ่มทุน)</p><p><br /></p><p>5. ‘พื้นฐาน Support’ …ทุกวันนี้หุ้นปั่น มันเอ้าท์ เพราะ หลอกรายย่อยยาก แต่ถ้าพื้นฐานดีด้วย อันนี้ยังเล่นกันได้อยู่ …หุ้นจะขึ้น พื้นฐานต้องค่อยๆ ดีขึ้นด้วย</p><p><br /></p><p>6. ‘หุ้นอยุ่ในมือรายใหญ่ เพราะรายย่อยขายไปแล้ว’ …จุดที่หุ้นจะกลับตัวก็คือ รายย่อยที่ติดหุ้นยอม Stop loss ขายทิ้งแล้ว</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-28595512067821551002023-10-28T11:01:00.003+07:002023-10-28T11:01:54.045+07:00 6 ข้อ ทำไมเวลาตลาดถูก เราถึงไม่เคยซื้อหุ้นได้เยอะพอ …ถ้าได้ซื้อหุ้นเยอะเวลาตลาดถูก เราก็รวยไปแล้ว !!<p> 6 ข้อ ทำไมเวลาตลาดถูก เราถึงไม่เคยซื้อหุ้นได้เยอะพอ …ถ้าได้ซื้อหุ้นเยอะเวลาตลาดถูก เราก็รวยไปแล้ว !!</p><p><br /></p><p>1. ‘เพราะเราพยายามรอจุดต่ำที่สุดของตลาด’ …การรอจุดต่ำสุด เลยทำให้เราไม่ได้ซื้อหุ้นสักที …ทางที่ดีกว่าคือ ทยอยซื้อเมื่อตลาดถูก</p><p><br /></p><p>2. ‘เราเสพแต่ข่าวร้าย เวลาตลาดถูก’ …พอเราดูแต่ข่าวร้ายก็จะมีแต่ความกลัว …ต้องพยายามค้นหาข่าวดีในช่วงตลาดแย่</p><p><br /></p><p>3. ‘เรายังมีความรู้พื้นฐานไม่แน่นพอ’ …ถ้าพื้นฐานเราไม่แน่น ถึงรู้ว่าตลาดถูก เราก็ไม่กล้าซื้อเยอะ</p><p><br /></p><p>4. ‘เรายังไม่ลืมความเจ็บปวดของการติดดอยครั้งล่าสุด’ …ความเจ็บปวดนี่แหละ ทำให้เราตกรถในรอบต่อไป </p><p><br /></p><p>5. ‘เรายังกระจายความเสี่ยงไม่มากพอ’ …จริงๆ ตลาดดีต้องซื้อเน้นๆ แต่พอตลาดแย่ต้องซื้อกระจาย …แต่เรายังอยากซื้อเน้นๆ ในจุดต่ำสุด ซึ่งมันไม่มีจุดนั้นในตลาดขาลง</p><p><br /></p><p>6. ‘เรายังมองไม่ออกว่า เหตุผลอะไรที่ทำให้หุ้นกลับตัวเป็นขาขึ้น’ …จริงๆ จุดที่มองไม่ออกเลยว่าหุ้นจะกลับตัว มันคือ สัญญาณที่ดีในการเก็บหุ้นที่พื้นฐานไม่ได้แย่</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0tag:blogger.com,1999:blog-2326978322811094287.post-71420023229615906362023-10-22T10:23:00.003+07:002023-10-22T10:23:56.316+07:008 ข้อ ถาม-ตอบ อุ่นเครื่องก่อนคอร์สใหญ่ประจำปี The Stock Master 12<p> 8 ข้อ ถาม-ตอบ อุ่นเครื่องก่อนคอร์สใหญ่ประจำปี The Stock Master 12</p><p><br /></p><p>1. ทำไมคนส่วนใหญ่จึงซื้อหุ้นตอนแพง แล้วขายหุ้นตอนมันถูก ?</p><p><br /></p><p>2. เราจะแก้ไขอย่างไร ให้เราสามารถทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ ?</p><p><br /></p><p>3. การเล่นสั้น กับถือหุ้นยาวพร้อมกันอย่างไร ไม่ให้มันตีกันจนมั่ว ?</p><p><br /></p><p>4. การ Stop Loss ที่ดี ไม่ใช่ขายแล้วหุ้นเด้ง ต้องทำอย่างไร ?</p><p><br /></p><p>5. การ Let profit Run หรือการทนรวย อย่างไรจึงจะทำได้ดีที่สุด ?</p><p><br /></p><p>6. เราจะดูยังไงว่า หุ้นมันเริ่มไปต่อไม่ไหวแล้ว ควรขายทิ้งไป ?</p><p><br /></p><p>7. มีวิธีการดูยังไงว่าหุ้นลงจะสุดแล้ว เราควรเริ่มเข้าซื้อได้แล้ว ?</p><p><br /></p><p>8. เคล็ดลับในการปั้นพอร์ตให้เติบโตระยะยาว คืออะไร ?</p><p><br /></p><p>#ภาววิทย์กลิ่นประทุม</p>Unknownnoreply@blogger.com0