แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เก็บตกสัมมนา T-01 "ป๋าปุย Rider"


วันนี้อัดไปด้วย Chart Pattern ..แท่งเทียน , สามเหลี่ยม , ธง , ลิ่ม และก็ Target Pricing จาก Trend ต่างๆ .. "มีคำถามขึ้นมาว่า ป๋าปุยครับ ..มันจะแม่นแค่ไหน"

ป๋าปุย : "Technical ก็คือ ความน่าจะเป็น ..มันก็แปลว่า มีมนุษย์ที่เขาเล่นหุ้นมาก่อน แล้วศึกษาว่ามันมี Pattern ต่างๆ -- ที่มันน่าจะเป็นอย่างนั้น"

นักเรียนลึกลับ : อ้าว!! ป๋า แล้วถ้ามันไม่เป็นล่ะ จะทำอย่างไร

ป๋าปุย : "ก็มันน่าจะเป็น แต่มันไม่จำเป็นต้องเป็น --คนส่วนใหญ่ เอา Technical ไปใช้แบบ "ต้องเป็น" เลยเจ๊ง และ เจ็บตัวหนัก เพราะเอา ความน่าจะเป็น ไปใช้แบบผิดๆ ...นี่แหละ สุดยอดแห่งความน่าจะเป็น"

นักเรียนลึกลับ : อย่างนี้ ก็ไม่มีอะไรชัวร์ ..ผมจะกำไรจากหุ้นได้อย่างไร

ภาววิทย์แทรกขึ้นมา : อะจ๊าก!! ผมว่าคำถาม มันผิดแล้ว ... ผมเห็นนักเล่นหุ้นเยอะมาก ชอบถามว่า หุ้นจะขึ้นหรือจะลง -- ผมถามหน่อยว่า คำถามแบบนี้มันจะช่วยให้คุณทำเงินได้ยังไง ..เพราะคนส่วนใหญ่ชอบถามหลังจากซื้อแล้ว -- ถ้าผมบอก "ลง" คุณจะรีบขายไหม ..น่าคิด!! -- จริงๆคำถามทำเงินควรถามว่า หุ้นจะลงเพื่อขึ้น หรือ ลงเพื่อลงต่อ ..ถ้าตอบได้ นี่แหละทำเงิน!!

ป๋ากิ้ง : ขอแทรกบ้าง..อิ อิ -- "ผมถามบ้าง ..ถ้าเจ้ามือเทขายออกมาหนักๆ คุณจะรีบเข้าไปรับไหม" -- ใช่!! คนส่วนใหญ่บอกไม่ แต่จริงๆ ชอบเข้าไปรับ ..อย่าง JAS , IVL , PTL , AJ พอเจ้าทุบปั๊บ รายย่อย รีบกระโดดเข้าไปเลย เพราะคิดว่า มันถูกมาก ..ถามจริงๆ เถอะ เจ้ามือเขาทุบ เท ทำกำไรขนาดนั้น คุณว่า เขาจะรีบลากขึ้นทันทีไหม ... ใช่!! เพิ่งเทขาย เจ้าเขาจะรีบลากทำกระดึ๋ยอะไรเล่า ...."ป๋าปุย มองหุ้นที่เจ้าทุบ ว่าจะเล่นยังไงต่อ"

ป่าปุย : ไม่ยากเลย ..ฮ่า ฮ่า "อย่างแรก นั่งดูการเชีอดรายย่อยก่อน ..ฮ่า ฮ่า มันได้อารมณ์มาก" -- เพราะแน่นอน เจ้าเพิ่งทุบ ถึงเขาเริ่มลาก เขาก็จะไม่ลากขึ้นทีเดียว เพราะถ้าทำอย่างนั้น รายย่อยก็ขายทิ้งใส่ซิ .. ดังนั้น ให้เจ้ามันลากเรียกแขกหนึ่งรอบ ...ดูมันทุบ ดูเลือด ..จากนั้น ก็ลาก Trendline -- มันก็จะได้ สามเหลี่ยม ...รอราคามัน Break ..ถ้าไม่ Break มันก็ไม่ขึ้น จะเข้าไปทำซากอะไร -- จากนั้น ถ้ามัน Break ก็เอา Chart Pattern มาวัด กิ่ง ก้าน ใบ ... แน่นอน ก่อน Peak เดิม ขายทิ้งหนึ่งรอบ ให้สาดเลือด ... ถ้ามันย่อ รอดูเลือดนองออกมา .. จากนั้น รอมัน Break ถ้า Break Peak เดิม คือ มันไปต่อ ...ตามดิ!!

นักเรียนลึกลับ : อ้าว!! แล้วถ้ามัน Break New High แล้วทำไมมันต้องขึ้นล่ะป๋า!!

ป๋าปุย : "ไอ้นี่นิ เดี๋ยวปั๊ด หลังแหวน" ก็บอกแล้วว่า Technical คือ ความน่าจะเป็น "อั๊วไม่เคยพูดเลยว่า Break New High แล้วต้องขึ้น เพียงแต่ มันน่าจะขึ้นก็เท่านั้นเอง"...

ภาววิทย์ : ดังนั้น สรุปว่า เล่น Technical ต้องมี Stop Loss ใช่ไหมป๋า!!

ป๋าปุย : "ถูก!!!" .... ขับรถก็ต้องมีเบรค แต่คนส่วนใหญ่ เรียนแต่เหยียบคันเร่ง .."มันถึงได้เจ๊งกัน เลือดสาด"

ป๋ากิ้ง : "โห!! สนุกๆจริง ..เกมเลือด สาด เท ..เลือด สาด ...เท ..."

ป๋าปุย : เคยฟังนิทานเรื่องนี้ไหม ..."มีเด็กน้อยคนหนึ่ง กำลังออกศึกษาโลกกว้าง แล้วรู้มาว่า มีเศษเหรียญอยู่บนทางด่วน"

ภาววิทย์ : ฮ่า ฮ่า ..ฮามาก "คือ เด็กคนนั้น ก็วิ่งไปเก็บเศษเหรียญบนทางด่วน ใช่ไหมป๋า ... ได้เหรียญ แต่เสียเลือด!! ... โดยสิบล้อชน แขนขาด ได้มา 3 บาท"

ป๋ากิ้ง : เอ่อ!! ผมว่า ชักจะมึนเลือดแล้ว ..ป๋าปุย สรุปสุดยอดวิชาวันนี้หน่อย!!

ป๋าปุย : ได้ เอา 2 Slide นี่ไป ท่องให้ขึ้นใจ .... Seat Belt & Air bag "มีไว้ ทำได้ ...ชนะคนกว่า 80% ทั้งตลาด"

ภาววิทย์ : จริงเหรอ ...มันคืออะไรป๋า

ป๋าปุย : อ้าวนี่ไง Seat Belt & Air Bag ก็คือ Stop Loss ...ผมเลยเอา แนวทาง Stop Loss แบบง่ายๆ มาให้ดู Seat Belt ก็คือ ราคาปิดกราฟ Day สองแท่งก่อนหน้า ถ้าราคาหลุด ราคาปิดต่ำสุด ของสองแท่งก่อนหน้า Seat Belt ก็กระตุก (นี่แหละ Trailing Stop เลื่อน Stop Loss ขึ้นตามราคาที่ขึ้น-- เฮ้ย!! แต่การเลื่อน Stop Loss เลื่อนเฉพาะเวลาขึ้นเท่านั้นนะ ถ้าขืนมึงเลื่อน Stop Loss เวลามันลง นี่ แม่เจ้า!! คุณจะกลายเป็น VI ทันที -- VI จำเป็นนะ..อิ อิ)... แต่ถ้าใจสู้ ก็รอ Air Bag ทำงาน ...ตัว Air Bag ก็คือ ราคาปิดต่ำสุด ของแท่ง Week ที่แล้ว ..ถ้าหลุด "ทิ้ง" -- Air Bag ทำงาน!!

ภาววิทย์ : โอ๊โห Get โคตร!! ... คือ ถ้ามี Seat Belt & Air bag ก็แสดงว่า ไม่มีทางเลือดสาด

ป๋าปุย : แต่นี่เพิ่งเริ่มต้น ..รอดู T02 - T04 แล้วคุณจะรู้ว่า ปวดตับ เป็นอย่างไร ..อิ อิ

จากนั้น เราก็เดินทางหากึ๋น ซึ่งสุดท้ายเราก็ค้นพบว่า ไก่เท่านั้นที่มีกึ๋น แต่ปลาดุกไม่มี ... "นี่แหละ ภารกิจ เรา หากึ๋นปลาดุก ...อะไรฟะ ..อิ อิ" --- จ๊าก!!! นิทานเรื่องนี้สอนให้รู้ว่า "จงเข้าใจว่า อย่าหาในสิ่งไม่มี เทคนิคที่ดี มี Stop Loss เพราะเราเล่นกับ ความน่าจะเป็น"

... ความแจ๋ว ก็คือ การฝึก การสังเกต และ ประสบการณ์ จะช่วยให้ความแม่นยำของเรามากขึ้น ... สุดท้ายถ้าถูกทาง Let Profit Run "อย่าพยายาม Cut Profit เหมือนคนส่วนใหญ่ เพราะมัน ไม่ Make Sense เอาเสียเลย!!"

วันศุกร์ที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แต่งงบ ตบหุ้น ลุ้นมั่ว ..มาดูกัน มันส์ๆ !!


คลิ๊ก คลิ๊ก !! ...จ๊าก ว๊าก.. ในที่สุดก็ลืมไปเข้าห้องน้ำ -- ทำไงได้ล่ะ หากคลาดสายตา อาจเปลี่ยนหุ้นเด็ด ให้กลายเป็น "หุ้นเด็ด วิญญาณแทน...หุ หุ"

เอาล่ะเข้าประเด็นเลย ...คุณรู้ไหมว่า การดูพื้นฐานหุ้น ถ้าถาม Warren Buffett ว่าตัวไหนสำคัญที่สุด ... "ไม่เคยถามอ่ะนะ ..แต่เดาเลยว่า ROE (Return On Equity) ... ทำไม!! นี่แหละที่ต้องมาดูกัน

ผมว่าคนส่วนใหญ่ ไม่ค่อยชอบตัวเลข "ดีแล้วครับ" เพราะวันนี้เราจะเอาตัวเลขมามองในมุมที่ไม่ใช่ตัวเลข ... จริงๆแล้ว Buffett ชอบหุ้นที่มี ROE สูงอย่างต่อเนื่อง -- ซึ่งจริงๆแล้วทำได้ยากมาก เพราะ ROE มันเกิดจากการเอา Net Profit / Equity ..ซึ่งหมายความว่า เอากำไรมาหารด้วยส่วนของเจ้าของ ดังนั้น ยิ่ง ROE สูงก็ยิ่งดี

แต่สิ่งที่ผมอยากให้ดู ไม่ใช่การหา ROE เพราะ ใครๆก็หาได้ แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ความสัมพันธ์ของมันต่างหาก ... เราจะเอา ROA (Return On Asset) มาดูคู่กัน ...ก่อนอื่นผมอยากให้ทราบก่อนว่า งบการเงินหรือ Balance Sheet ประกอบไปด้วย Asset = Liability + Owner Equity (คือ Asset ทั้งหมดของกิจการจะเท่ากับ ส่วนของเจ้าของ รวมกับหนี้) ---ดังนั้น ROE จะเท่ากับ ROA หากบริษัทไม่มีหนี้

ลองดูตัวอย่าง หุ้น CFRESH -- หุ้นตัวนี้ ROE กับ ROA เกือบเท่ากัน ..นั่นก็เพราะ มันแทบไม่มีหนี้เลย ..."มันมี Trick ของ Wall Street คือ ถ้าต้องการทำให้ ROE สูงๆ เพื่อที่จะได้ตบตานักลงทุนว่าแจ๋ว ..ก็ง่ายๆ เพิ่มหนี้เข้าไป ...พอเพิ่มนี้ไป ROE ก็เพิ่มง่ายๆ เพราะ ROE มันคำนวณจาก ROA(Net Income/Assets) * Leverage (Assets/Equity) ...ดังนั้น ที่เขาพูดกันว่า เพิ่ม Leverage ก็คือ สร้างหนี้นั่นเอง..ง่ายๆ --- คือ พอสร้างหนี้ ก็อาจไปซื้อเครื่องจักรเพิ่ม เพิ่มโรงงาน ถ้าขายได้ ก็จะทำให้ Net Income เพิ่ม .. "ดังนั้น การจะกระตุ้นยอดขายระยะสั้น ไม่ใช่เรื่องยาก ก็สร้างหนี้เข้าไป"

จุดนี้ถ้าดูให้ดี การเพิ่ม ROE แต่ ROA ลดลงเรื่อยๆ นั่นหมายความว่า ผลตอบแทนใน Asset มันลดลง ซึ่งอาจหมายถึง ลงทุนเพิ่ม เครื่องจักร หรือ โรงงานใหม่ แต่อาจขายของไม่ได้ หรือ ได้น้อย ..นี่แหละปัญหาของเศรษฐกิจขาขึ้น คือ กิจการต้องขยาย แต่มันจะขยายได้ถึงจุดนึงเท่านั้น พอเลยไป อาจเกินความต้องการของตลาด ในที่สุดก็กลับมากระทบ Net Income ได้ในที่สุด

ดังนั้น วิธีที่ดี คือ การมองดู ผลประกอบการแบบต่อเนื่อง ไม่ใช่ดูปีเดียวแล้วจะมาตัดสิน "มันผิดเอาง่ายๆ เพราะ อย่างที่พูดๆมา ก็คือ งบมันแต่งได้หมด ..แต่สิ่งที่แต่งยากคือ ความต่อเนื่อง"


ลองดูอีกตัว Thai Carbon Black นี่ก็ ROE กับ ROA เกือบเท่ากัน.. แสดงว่ากิจการแทบไม่กู้เลย .... ถามว่าผมยกหุ้นสองตัวนี้มาทำไม -- ก็อยากจะชี้ว่า หากเศรษฐกิจเข้าขาขึ้น กิจการเหล่านี้สามารถสร้าง ROE ให้ก้าวกระโดด ได้ไม่ยากเลย เช่น สร้างหนี้ ..ดังนั้น ที่สำคัญที่สุดคือ ความจริงใจของผู้บริหาร เราอาจจะดูอัตราการปันผล ยิ่งปันเยอะยิ่งดี ..แต่ในเศรษฐกิจขาขึ้น ก็มีข้อยกเว้นอยู่บ้างคือ ถ้าเขาไม่เอาเงินมาจ่ายปันผล เขาก็ควรเอาเงินไปลงทุนเพิ่ม ....

จากนั้นข้อสังเกตต่อไปคือ กิจการที่ลงทุนเพิ่มในขาขึ้น เช่น การซื้อกิจการอื่น การขยายโรงงาน จะส่งผลให้งบการเงิน และอัตราส่วนต่างๆทางงบ ดูดี มันก็จะส่งผลให้นักวิเคราะห์ เขามองว่า หุ้นถูกลง ..ซึ่งจริงๆไม่ใช่ มันเกิดจากการโตของยอดขาย และ ต้นทุนที่สูงขึ้น ...จุดนี้ต้องระวัง เพราะถ้าเข้าช่วงนี้ เราจะเริ่มมองว่า อุตสาหกรรมนั้นๆ เริ่มมีกลิ่นของความ Bubble โชยมาแล้ว

อย่างบ้านเรา ปิโตรปลายน้ำพวก PTL , AJ , IVL เขานำ Cycle ไปก่อน ..ซึ่งตอนนี้ตามมาด้วย ปิโตรต้นน้ำอย่าง PTT Group ... และ จากนั้น ก็จะตามมาด้วยกิจการที่แข็งแกร่งไม่มีหนี้ อย่างสองตัวที่ผมยกให้ดู ค่อยๆ ตาม Cycle ไป ... คือ ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ การลงทุนไม่ใช่มองแค่ผิวๆ เพราะเราจะเป็นแมลงเม่าเอาง่ายๆ ...ดังนั้น จำเป็นที่เราจะต้องมองลึกเข้าไปถึง เทคนิค หรือ วิธีการต่าง ไม่ว่าจะเป็นการแต่งงบ การปั่นกำไร การสร้าง ROE

เวลานี้การหาหุ้นดีๆ เริ่มยากขึ้นเรื่อยๆ ..บทความนี้ ผมอยากให้สังเกตเพิ่มตรง
หนึ่ง หนี้ของกิจการ (น้อยๆน่ะดี)
สอง เจ้าของ ยังถือหุ้นเยอะอยู่
สาม อยู่ใน Cycle ที่กำลังจะมา
สี่ Flow ของหนี้ Flow ของปันผล Flow ของ ROA , ROE และ กำไร
...ก็ดูกันไป!!

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

มุมมองเรื่อง Laggard Play ในตลาดขาขึ้น



เห็นกระพือข่าว Take Over "TTA" โดย ทุนออสซี่ ก็อดไม่ได้ ขอ Comment หน่อย ... จริงๆแล้วใน ตลาดหุ้นขาขึ้นแบบนี้ โอกาสที่ท้ายสุดหุ้นจะขึ้นทั้งตลาดก็เป็นไปได้สูง แต่คำถามคือ "ทำไมหุ้นส่วนใหญ่ขึ้น แต่คนในตลาดส่วนใหญ่ก็ยังขาดทุนอยู่ดี" ....

ช่วงนี้ผมจัดสัมมนากับ S2M และก็ได้รับเชิญให้ไปพูดเรื่องการลงทุน กับธุรกิจหลายๆองค์กร ..สิ่งที่ผมเห็นเลยคือ "คนส่วนใหญ่เข้ามาเล่นหุ้น ด้วยทัศนคติที่อันตรายอย่างมาก" คือ "เข้ามาแล้วหวังกำไรมากๆ เร็ว และ ต้องไม่ขาดทุน..ซึ่งแน่นอนใครที่มีทัศนคติแบบนี้ ผมแทบจะการันตีได้เลยว่า เจ๊งทุกราย ไม่ช้าก็เร็ว!!"

เพราะกับดักของการ "ได้กำไรเร็วๆ" ก็คือ จะเข้าข่ายไปเล่นหุ้นปั่นหมด เพราะ เจ้ามือเขารู้จิตวิทยาของรายย่อยเป็นอย่างดี ..ดังนั้น ความคิดแบบพื้นๆแบบได้กำไรเร็ว และ ขาดทุนไม่ได้ จึงเป็นทางสู่หายนะอย่างแท้จริง เพราะมันทำให้คุณกลายเป็นคนมองหาแต่หุ้นปั่นๆ และก็เข้าซื้อขายแบบกล้าๆกลัวๆ ... "หลักการเล่นหุ้นให้กำไรในภาวะตลาดผันผวนคือ เราต้องมีแนวทางที่ชัดเจน เช่น ถ้าเล่นหุ้นปั่นก็ต้องกล้า Let Profit Run และ มีจุด Cut Loss ที่ชัด ไม่ใช่กล้าๆกลัวๆ ... ส่วนถ้าอยากซื้อหุ้นถูก ก็ต้องกล้าเข้าซื้อเวลา คนส่วนใหญ่ขายออกมา"

(มาดู TTA กัน) ..สังเกตให้ดีๆว่าก่อนหน้านี้ มีแต่ข่าวแย่ๆ ถ้าไปถามใครช่วงต้นปีก็มีแต่อยากจะขายหุ้นทิ้ง ..ดูที่ราคา หย่อนลงมาต่ำกว่า 20 บาท (คือ ต่ำกว่า Book Value ตั้งครึ่งนึง) -- แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ ในตลาดขาขึ้น มันมีวิธีการมากมายที่สามารถทำให้ ราคาเปลี่ยน หรือ แม้แต่ทำให้พื้นฐานเปลี่ยน ..เช่น การควบรวม การแตกพาร์ การซื้อหุ้นคืน

วิธีการเล่นแบบ Laggard Play ก็คือ "มองหาหุ้นที่คนอื่นขาย ..เข้าในช่วงไม่มีใครอยากเข้า ..แต่ที่สำคัญที่สุด คุณต้องแน่ใจว่า กิจการไม่น่าเจ๊ง และ ภาพใหญ่ของตลาดยังอยู่ในขาขึ้น" -- ประเด็นคือ คุณจะแน่ใจได้อย่างไรว่าเป็นเช่นนั้น "คำตอบง่ายๆ คือ สุดท้ายไม่มีใครรู้หรอก และนั่นก็คือ ความเสี่ยงซึ่งมันมีอยู่แล้ว ในการลงทุน(ต้องเข้าใจให้ถูกนะ ว่า ถ้าหุ้นมันเล่นง่าย คนส่วนใหญ่ก็ต้องกำไร ไม่ใช่เจ๊งอย่างที่เห็น)" ...ดังนั้น การเล่นหุ้น ที่พื้นฐานใช้ได้ แต่มันยัง Laggard ก็สามารถช่วยให้เราซื้อหุ้นได้ในราคาถูก

"เรื่องการซื้อหุ้นถูกนี่ หลายๆคนไม่เข้าใจ ..คือ หุ้นถูกที่คุณซื้อในช่วงราคาถูก แปลว่า เวลานั้นคนส่วนใหญ่ขาย ..ดังนั้น -- หุ้นแนวนี้ ยิ่งซื้อ ก็ยิ่งลง !! -- เพราะมันจะมีแค่คุณและเจ้ามือเท่านั้น ที่จะซื้อเวลาที่หุ้นถูกได้ .. แต่ในความเป็นจริง คุณก็ไม่สามารถจะแน่ใจได้เลยว่า แล้วจริงๆ เจ้ามือซื้อพร้อมคุณหรือไม่!!" ... ก็นี่แหละครับ ที่มันเป็นความยาก แต่มันเป็นความยากที่เข้าใจได้ เพราะเมื่อคุณทำอะไรที่สวนทางคนส่วนใหญ่ เช่น ซื้อหุ้นในขาลง (เพราะคนส่วนใหญ่ในเวลานั้นๆขาย หุ้นถึงลง ..ดังนั้นไม่ต้องไปถามหรอกว่า คนส่วนใหญ่ทำอะไร ดูง่ายๆ ถ้าหุ้นขึ้น ก็คือ เวลานั้นๆในตลาดส่วนใหญ่ซื้อ ..เวลาหุ้นลง ก็คือ เวลานั้นส่วนใหญ่ขาย ..มันก็แค่นั้นเอง)

อย่าง TTA ก็สรุปได้ว่า ก่อนหน้านี้ที่คนส่วนใหญ่กลัวๆ และขายทิ้งออกมา ที่ราคาต่ำกว่า 20 บาท ก็กลายเป็นช่วงที่กลุ่มทุนออสซี่ เข้ามาทยอยเก็บหุ้น ....


ว่าแล้วผมก็ลองไปดูกิจการที่ขาขึ้นสุดๆอย่าง BANPU กลายเป็นว่า Free Float ปาเข้าไป 85% แล้ว (นั่นแปลว่า เจ้าของเขาทยอยปล่อยขายหุ้นออกมา เกือบ 85% แล้ว)..."ถามจริงๆเถอะ ถ้าคุณเป็นเจ้าของกิจการ คุณจะขายหุ้นเวลาไหน(ถ้าคุณอยากทำกำไร) ..ถูกต้อง!! ขายเวลาที่กิจการอยู่ในขาขึ้นสุดๆนั่นเอง (เพราะขาขึ้นสุดๆ มันมี Volume ซึ่งเป็นโอกาสเดียวที่เจ้าของจะขายหุ้นจำนวนเป็นพันๆหมื่นๆล้านได้ ..ขืนทำในช่วงขาลง หุ้นคงลงติด Floor ทุกวัน..จริงไหม!!)" ...แต่ประเด็นคือ ถึงแม้เจ้าของขายออกมาแล้ว มันก็ไม่ได้หมายความว่าหุ้นจะเข้าสู่ขาลง เพราะคนที่ซื้อหุ้นต่อจากเจ้าของ ก็คือ "เจ้ามือ" ..อย่าง BANPU ลองเปิดผู้ถือหุ้นรายใหญ่ จะเห็นๆเลยว่า "ฝรั่งก็คือเจ้ามือ"... ดังนั้น ตราบใดที่เพลงยังบรรเลง จงเต้นกันต่อไป..หุ หุ

ฮึม!!งั้นฝากประเด็นเรื่อง Free Float ไปศึกษากันดู ..การที่หุ้นจะเด้งแบบ ระเบิดเถิดเทิง สาเหตหลักๆก็คือ มี"เจ้าของ"ถือหุ้นใหญ่ จากนั้น ก็ส่งไม่ต่อให้ "เจ้ามือ" ในยุคที่สอง ...จับตา Free Float ของกิจการไว้ครับ ..มันเป็นการช่วยย้ำภาพความเป็น Laggard Play ได้อย่างสบายใจขึ้น "ตราบใด เจ้าของยังอยู่ ราคายังถูก ปันผลยังดี ..ก็ชิวไป" เพราะ พอ"เจ้าของ"ออก หุ้นก็จะไปต่อ เนื่องจากเปลี่ยนเป็น"เจ้ามือ" ... แต่เมื่อไหร่ที่หุ้นอยู่ในมือรายย่อยเป็นส่วนใหญ่ Free Float แบบเกือบ 100% ..เมื่อนั่นแหละ ช่วงห่วยแตกจะมาถึง --- จากนั้น วัฎจักรก็วนเวียนมาเป็นแบบ TTA คือ เริ่มใหม่ ..โดยเจ้ามือใหม่

--- เป็นเช่นนี้แล เป็นวัฎจักร ขอให้เราตามเขาให้ทันก็จะไม่เจ็บตัวครับ เพราะ "History Repaet itself จริงๆ"...อิ อิ

วันอาทิตย์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

แง่คิด จากหลังห้องเสวนา Money Expo 2011


และแล้ว!! งานเสวนา Financial Freedom งาน Money Expo ก็ผ่านพ้นไปด้วยดี ..รึเปล่า !! สาระ พอมีบ้าง แต่สาระแนโชว์ มากกว่า...ฮ่า ฮ่า "วันนี้ผม ปะทะ คุณนึก ...ผู้บริหารหนุ่มผู้สร้างเครื่องมืออย่าง I-excel มาเขย่าตลาด -- งานนี้ บล.บัวหลวง ไม่มีน้อยหน้าเรื่องเครื่องมือ ..ก็ขุด Gadget กันมาโชว์ "แต่เท่าที่วิเคราะห์รู้สึกผู้ฟัง จะไม่ค่อยสนใจ Gadget แต่มารอฟังหุ้นร้อนมากกว่า..อิิ อิ"

ผมกระซิบ คุณนึกว่า "บอกหุ้นรายตัวได้ไหม ..คุณนึกบอกว่า บอกได้ เพราะมี License นักวิเคราะห์" ...เท่านั้นแหละ ผมก็เริ่มที่ Indian Theme เลย

คุณนึก : "อะไรฟะ Indian Theme ใช่หนังแขก แบบวิ่งไปร้องเพลงไปอะเปล่า"

ภาววิทย์ : หุ หุ ..คุณนึกไม่ต้องไขสือเลย หุ้นแขกอ่ะ พวก IVL , PTL รู้สึก บล.บัวหลวงจะเชียร์ตั้งแต่ IVL 10 บาทเลยนะ "ใช่ไหมล่ะป๋านึก!!"

คุณนึก : ใช่ๆ เราเชียร์ ให้ซื้อตั้งแต่สิบบาท

ภาววิทย์ : "แล้วไงล่ะ ..ลูกค้าแห่ซื้อที่ 10 บาทเลยไหมล่ะ!!"

คุณนึก : เออ!! ไม่อ่ะ ส่วนใหญ่แห่ซื้อที่ 60 บาท "จากนั้นก็สาดเลือด กันอย่างที่เห็นล่ะพี่น้อง!!" พอราคาหย่อนก็กระโดด รับมีด ที่ร่วงลงมาอย่างเฮฮา ..มันก็เป็นประการละชะนี้ พี่น้อง !!... จ๊าก!! เจ็บปวดแทน...

ภาววิทย์ : ฮึม!! ผมเข้าใจคุณนึกดี .. "มันเป็นความรอบคอบน่ะ ..คือ คนส่วนใหญ่จะรอก่อน รอให้ราคามันขึ้น พอมันใกล้ๆดอยนี้ จะอยากเข้ามาก ..พอเข้าปั๊บ Indian Theme ทันที!!

คุณนึก : "อะไรอ่ะ Indian Theme ผมเห็นคุณแพ้ท พูดมาหลายรอบแล้่ว"

ภาววิทย์ : ก็นี่ไง เทคนิคแขก ..เวลาเริ่มธุรกิจก็ใช้เครื่องจักรเก่าๆ พอหุ้นขึ้นก็ เทขายหุ้นมาซื้อเครื่องจักรใหม่ ...จากนั้น ก็รับขาขึ้นเต็มๆของ Cycle โดยการเข้าไปช้อนเมื่อต่ำ แล้วโต้คลื่นไปกับ Trend ขาขึ้นของอุตสาหกรรม และ เครื่องจักรใหม่ -- Indian Theme เขาฝากมา ขอบคุณนักลงทุน "เงินคุณน่ะ (บนยอดดอย) ทำให้บริษัทสามารถซื้อเครื่องจักรใหม่ และขยายกิจการ"

คุณนึก : เฮ้ย!! อันนี้มันเทพจริงๆ เดี๋ยวผมจะรีบไปซื้อ หน่อย เดี๋ยวตก Indian Theme

ภาววิทย์ : "อย่าเลยคุณนึก" ตอนนี้ Indian Theme มันหมดยุคแล้ว วันนี้เขาขับ Jass กันแทน ...ไม่ต้องอื่นไกล เพื่อนผมนี่แหละ แหกโค้ง Jass ตั้งแต่มันสร้างแท่งแดงทะลวงใจ เมื่อสัปดาห์ก่อน ... จากนั้น มามีแต่ข่าวดีนะ ..โห!! กิจการถูกมาก รีบเข้าไปซื้อเลย (จากนั้น ภาววิทย์ก็เปิด www.set.or.th แล้วเอาวิธีการวิเคราะห์หุ้นถูกแพงขึ้นมาแสดงต่อสาธารณชน) ..อุ๊!! แม่เจ้า ตกลงทุกคนเห็นภาพไหมว่า Jass จริงๆ มันถูกหรือแพง ..อิ อิ "อันนี้ขอเก็บไว้ ระหว่าง ผมคุณนึกและ ผู้ฟังในวันนั้น"

คุณนึก : นี่มันตำนานชัดๆ

ภาววิทย์ : อ๋อ!! ผมเข้าใจแล้ว คุณนึกกำลังจะวกเข้าเรื่องการเมืองใช่ไหมครับ

คุณนึก : อ้าว!! พูดอย่างนี้ เสียวแล้วซิ .. มันจะเสี่ยงไปไหม คุณแพ้ท

ภาววิทย์ : โถ่!! คุณนึก การเมือง ใครๆก็เดาออก

คุณนึก : จริงเหรอ!! คุณแพ้ท เดาออกหรือว่า มันจะออกมารูปแบบไหน

ภาววิทย์ : ใช่ซิครับ!! ลองดูนโยบายทุกพรรคซิ ไม่ต้องเดาเลย ..คือ ไม่ว่าพรรคไหนเข้ามา ต้องประชานิยมแบบกระจาย "เทกระจาด แบบนี้ ขึ้นค่าจ้างขั้นต่ำ ลดภาษี ..ให้กู้บ้านฟรี" ... อ่านยังไง ผมว่า มันจบที่เงินเฟ้อ กระจายน่ะ ...

คุณนึก : "ฮึม!! เห็นด้วย เอ้า!! ผมจะยก Chart เงินเฟ้อ มาให้ดู"


ภาววิทย์ : ฮึม!! นี่มันเงินเฟ้อ ที่เขาเอา ราคาน้ำมัน ราคาข้าว ราคาน้ำมันปาล์ม และ LPG มาคำนวณใช่ไหมล่ะ ..มิน่าเล่า ทำไมรัฐบาล พยุงสินค้าเหล่านี้ จนหลังแทบแอ่น !! ... "เงินเฟ้อจริงๆ ตอนนี้เหรอ ..ผมว่าดูราคาอาหารของใช้จำเป็น ..นุ่นเกิน 10%" -- ส่วนหลังเลือกตั้ง ผมว่าไม่ต้องคิด นุ่น Hyper Inflation ++

คุณนึก : "อย่างนี้ต้องลงทุน"

ภาววิทย์ : ถูกต้อง อย่างนี้มันต้องเอาเงินมาทำงาน และนี่คือ ความชำนาญของพวกเรา ....วิ้ง ๆ ๆ ปล่อยแสง!! ...เอาล่ะ วันนี้โม้เพียงเท่านี้ เดี๋ยวอาทิตย์หน้าโม้ต่อ วันเสาร์ที่ 21 พฤษภาคม เวลา 13.00 - 17.00 น. ...งาน Financial Freedom ร่วมกับ Stock2morrow , บล.บัวหลวง และ ตลาดหลักทรัพย์ ..ใครจองไว้ เจอกัน ที่ตึกธนาคารกรุงเทพชั้น 30 ครับ

"งานเสวนาแบบ รายย่อยกวนอารมณ์อย่างทีม S2M ประทะคารม นักวิเคราะห์ชั้นเซียน มิได้มีกันบ่อยๆครับ...หุ หุ"

... เจอกันเด้อ!!


ปล. ป๋าปุยลากกราฟ Indian Theme มาฝากกัน..ลองดู!!


"Pragasit Thitaram
มาดูกันว่า Indian Theme .. ของแขก มันทำอะไร ไว้
มัน ยังไม่ขึ้นหรอก ตอนนี้ แต่ มันวิ่ง อยู่ในช่อง ซึ่งสามารถ วิ่ง ขึ้นได้ถึง ขอบบน แต่อาจจะใช้เวลานาน กว่า ตอนมันเทลงมา จ้า"

วันจันทร์ที่ 9 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เก็บตกสัมมนา B-01 "จุดวัดใจ"


"ตลาดหุ้นมันมีจุด วัดใจ ที่เกิดขึ้นเสมอ" ...และจุดวัดใจนี่เอง ที่เป็นจุดที่หลายๆคน "ติดดอย หรือ ขายหมู" ...ผมถึงย้ำเสมอว่า คนที่เล่นหุ้นได้กำไรต้องเข้าใจตัวเอง .."ฟังดูโคตรจะน่าเบื่อ แต่มันเป็นเช่นนั้นจริง !! ..เล่นหุ้นก็ไม่ต่างจากธรรมชาติ ...ถ้ามองหุ้นเป็นน้ำ เวลาน้ำจะขึ้นได้ คุณต้องตบน้ำลงมันถึงจะขึ้น .. และก่อนน้ำลง มันจะต้องขึ้นสูงที่สุด ก่อนลงเสมอ!! -- และหลักการ น้ำ นี่แหละ เป็นที่มาของ Dow Theory "ที่เป็นต้นกำเนิดของ Technical Analysis ของทุกตำราทั่วโลก"

คอร์ส B-01 ของผม จริงๆ เป็นพื้นฐานเพื่อให้เรารู้แนวทางและหาแนวทางของตัวเองให้เจอ ... จริงๆหลักๆ ในโลกนี้ การเล่นหุ้น มีแค่ 2 หลัก -- ถ้าไม่ Fundamental ก็ Technical ... ส่วนพวกที่ซื้อตามแห่ ซื้อตามเพื่อน ซื้อตามหุ้นร้อน ซื้อตามเซียน ..เออ!! ฟันธง เจ๊งทุกราย (บางคนบอก ฮ่า ฮ่า.. ยังไม่เจ๊ง .. เดี๋ยวก็เจ๊ง..หุ หุ)

ดังนั้น ขั้นแรกของการเล่นหุ้น คือ "ต้องหาตัวเองก่อน" ... แล้วทำยังไง!! ...ผมบอก เปิดพอร์ต แล้วซื้อเลย ... แต่!! ให้ซื้อน้อยที่สุด แล้วมองการเปิดพอร์ตครั้งแรกของคุณ เสมือน การขี่จักรยาน ..."ถูกต้อง!! ขี่จักรยาน ..ทุกคนต้องล้มนี่!! ..งั้นไม่ขี่ได้ไหม ..ได้ ก็ไม่ต้องลงทุนซิ ..มันแค่นั้นเอง ... ดังนั้น จะขี่จักรยาน ..อยากรู้ว่า "การทำเงินให้ทำงาน" มันทำอย่างไร -- ก็ต้องขี่จริง เจ็บจริง .." -- มันเจ็บไม่มากหรอก หากคุณรู้ว่า ยังไงมันต้องล้ม ..ถึงขี่เป็นโปร ก็ยังต้องล้ม ...แต่เขารู็วิธีล้ม และเขามีเครื่องป้องกัน (เครื่องป้องกันตัว ในการเล่นหุ้นก็คือ Fundamental และ Technical ที่ศึกษา อย่างรู้แก่นแท้ของมัน)

"ผมไม่อยากให้มือใหม่ เข้ามาเป็นหมู ..เพราะเงินใคร ใครก็รัก ... แต่พูดก็พูด ทุกคนยอมเรียน 4 ปี ในมหาวิทยาลัย เพื่อเรียนรู้ การทำงานเพื่อเงิน หมื่นกว่าบาทต่อเดือน .. ใช่!! ต้องเรียน ..แต่พอมา Step ที่สอง คือ เมื่อมีเงิน แล้วจะสร้างให้เงินทำงาน กลับไม่ให้ความสำคัญ ... ผมพูดตรงๆ การเรียนรู้ วิธีการลงทุน หรือ การสร้างเงินให้่ทำงาน มันเป็น Step ที่สร้างให้คนมั่งคั่ง ..แต่คนส่วนใหญ่ผ่านมันไม่ได้ !!

แต่ละครอบครัว ผมเชื่อว่า มีคนรุ่นนึงแหละ ที่ทำให้ครอบครัวรวยหรือไม่ .. อย่างครอบครัวผม คุณปู่ ท่านสร้างตัวจากศูนย์ .."คุณรู้ไหม ก่อนที่ ปู่ผม ทวิช กลิ่นประทุม จะเป็นนักธุรกิจ และนักการเมือง ที่โด่งดัง ...ปู่ผมเริ่มจากขับแท๊กซี่ ..ทำร้านซักรีด ... จากนั้นก็มาวิ่งชิปปิ้ง เป็นลูกจ๊อก ในท่าเรือ" ... ทุกคน และทุกเรื่องราวความยิ่งใหญ่ มันเกิดจากคน และคนที่ยิ่งใหญ่ ก็คือ คนที่มีความพยายามกว่าคนอื่น ..คนที่ล้มแล้วลุกขึ้นมาใหม่ !!

จุดเด่นของ Stock2morrow น่ะเหรอ ..เราคัดคนแบบนี้มาเป็น อาจารย์สอนหุ้นคุณไง ..."คนที่เดินเข้ามาแล้วบอกว่า ผมสำเร็จตลอดชีวิต ..เราเชิญกลับไปเลย --แม่งไม่จริงใจ ขี้โม้ !!-- คนจริง ต้องจริงใจ ตรงๆ และกล้าถ่ายทอด ..สิ่งนี้แหละที่สร้างความสำเร็จให้กับคนแต่ละคน"

"เวลาคุณล้มสุดๆ น่ะเหรอ ..อย่าหวังเลยว่า ณ จุดนั้น จะมีใครยื่นมือมาช่วยคุณ ... จุดที่ต่ำที่สุดในชีวิตของคุณ คุณจะต้องยืนขึ้นมาเอง ... และโอกาสต่างๆ ที่มันเข้ามาในชีวิต ..มันก็มาจากที่คุณสร้างเอง ... โอกาสมันเกิดจากความพยายาม ความใฝ่รู้ และ การพัฒนาตัวเอง.. " -- จริงๆ ในโลก ไม่มีใคร นั่งอยู่เฉยๆ แล้วโชคดี ..ผมเห็นคนที่มีโอกาสเข้ามามากๆ และ "หล่อเลือกได้..หุ หุ" ..ก็เพราะเขาสร้างมัน จากตัวของเขาเอง

(จากนั้น ภาววิทย์ ก็เอามือ ตบบ่า หนุ่มพีร์ ..แออ กูเข้าใจมึง .. แล้วป๋ากิ้ง , ป๋งหยง , ป๋าปุย ..ก็ตบบ่า ภาววิทย์ ..แออ กูก็เข้าใจมึง ) ..นี่แหละรสชาติของชีวิต "เหมือนขี่จักรยาน ..ล้มได้ ก็ลุกได้" ..แต่มันโหดกว่า เพราะเวลาขี่จักรยาน จะมีคุณพ่อคุณแม่ คอยประคอง คุณตอนเริ่ม .. แต่ชีวิตจริง -- มึง!!! ตัวเองครับ !!!

ขออย่างเดียวอย่าคิดสั้น !! "ผมก็เกือบแล้ว แต่ก็ผ่านมานั่งโม้ อย่างทุกวันนี้ได้" ... คนเราเกิดมาจากศูนย์ ..อย่าไปกลัว ถ้าเราจะเสียศูนย์บ้าง เพราะท้ายสุด มันสร้างขึ้นมาได้ใหม่เสมอ .. ทุกครั้งที่เราล้ม เราจะเก่งขึ้น เราจะแกร่งขึ้น ... ชีวิตก็คือธรรมชาติ มันหนี Cycle ไม่ได้ มีขึ้น ย่อมมีลง มีลง ย่อมมีขึ้น ..ขอเพียงคุณเข้าใจ และพยายาม .. บันไดสู่ความสำเร็จ ต้องผ่านจุดล้มเหลวเสมอ และนั่นคือ ความกลัวที่เป็นกำแพง แบ่งระหว่าง คนรวย และคนจน ... คนที่เกิดมารวย ช่างแม่ง!! ถือเป็นบุญของมัน ..แต่ชีวิต เกือบร้อยปีของคน .. คนรวยก็ตกอับได้ ..คนจนก็เป็นเศรษฐีได้ ..และมันจะน่าภูมิใจ สักเพียงไหนล่ะ หากความรวยของคุณ "คุณเป็นคนสร้างมันเอง" ...เท่ห์ชมัด!!

"โม้ไปไกล ..กลับมาที่จุดวัดใจ" .. ผมบอกเสมอว่า เล่นหุ้นน่ะ (โดยเฉพาะปีนี้นะ เพราะหุ้นขึ้นมาเต็มๆสองปี ตอนนี้มือใหม่จำนวนมากมาย เพิ่งเข้ามาเล่น ..ปีนี้จึงกลายเป็นปีปรับฐาน -- เพื่ออะไรน่ะเหรอ ..ก็เพื่อวัดใจคุณไง!!) ... สังเกตให้ดีครับ ว่าปีนี้ "ใจ" คุณทนได้ไหม ... และจุดที่คุณขายมันคือ จุดที่ไม่น่าขายที่สุดหรือไม่ ... และถามตัวเองอีกที จุดที่คุณซื้อ มันคือ จุดที่ไม่น่าซื้อที่สุดหรือเปล่า

จบปีนี้ไป ..ผมเชื่อว่า มือใหม่ที่โดดเข้ามา ในตลาดส่วนใหญ่ ก็จะล้มเลิกความตั้งใจ .."เพราะผ่านจุดวัดใจไม่ได้" ซึ่งไม่แปลก ..สถิติของตลาดหุ้น ไม่เคยหลอกใคร!! "ตลาดที่คนฉลาดและรวยที่สุดของประเทศมารวมกัน ..ประชากร 60 ล้าน ..คนที่เล่นหุ้นคือ Top ของประเทศ ไม่กี่แสนคน ...แต่คนที่สำเร็จจริงๆ ไม่เกิน20%" --- หลักการกำไร คือ ซื้อถูก ขายแพง ..."มันง่ายจริงหรือไม่ ..." คำตอบนี้ "ใจ" คุณคือ คำตอบ

"จบคอร์ส B-01 ..ธรรมมะ แห่ง การเล่นหุ้น ....ฮ่า ฮ่า" ....สู้ สู้ !!

วันศุกร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2554

เงื่อนงำ ESSO และ TOP รวมกันบิน บิน !!


วันนี้อ่านข่าวที่ TOP จะควบรวม ESSO ก็ "ทำให้ผมฉุกคิดว่า ตกลงมูลค่าหุ้นโรงกลั่นที่ Trade กันอยู่ในตลาด มันถูกกว่า ความเป็นจริงหรือ !! ..ทำไม EXXON ถึงจะขาย แพงกว่าราคาตลาดปัจจุบัน ที่ 11 บาท 2-3 เท่า ...ซึ่ง TOP เองก็บอกว่าคงต้องเตรียมเงินมากกว่า 50,000 ล้านบาท ซื้อหุ้น 65% ที่อยู่มือของ EXXON -- ฮึม!! ทั้งที่มูลค่า ทั้งหมดแค่ 38,000 ล้านบาทเท่านั้นเอง"

จะว่าไปแล้ว โรงกลั่น ESSO เป็นโรงกลั่นที่ ค่อนข้างล้าสมัย ..คือประมาณว่า ถ้าจะปรับปรุงให้ทันสมัยแข่งขันได้ ต้องใช้เงินลงทุนกว่า 3,000 ล้าน ซึ่ง EXXON บริษัทแม่ของ ESSO ไม่อยากจะจ่าย ...สาเหตุหลักๆ เพราะตลาดพลังงาน ของประเทศเราผูกขาดโดย PTT ดังนั้น โรงกลั่น ESSO ก็เหมือน ปลาซิว ในหมู่ฉลาม..หุ หุ

ข้อดีของ TOP ในการซื้อ ESSO เพราะสามารถ Book Income ได้เลย จะคล้ายกับ Case ของ IVL ที่ เฮียอาลก แกวิ่งซื้อโรงงาน PET และ โพลีเอสเตอร์ จากปลาซิว ที่โดนการแข่งขันบีบ จนยอมขายโรงงานออกมาถูกๆ ... ถ้าดูดีๆ ยุคนี้ ในธุรกิจของ โรงกลั่นและปิโตรเคมี มันเป็นเกมของ Economic of Scale ที่ปลาใหญ่กินปลาซิว ... "การได้โรงกลั่นของ TOP ทำให้ไม่ต้องลงทุนสร้างโรงกลั่นใหม่ ที่ใช้เวลาในการสร้างประมาณ 5 ปี ..เรียกได้ว่่า ซื้อปั๊บ รับขาขึ้นของ Cycle ของน้ำมันได้เลย" ....ประกอบกับโรงกลั่นน้ำมันของ TOP ทันสมัยอยู่แล้ว ทำให้สามารถได้สองเด้ง คือ รวมกันซื้อวัตถุดิบ แบ่งกันกลั่น แล้วรวมกันส่งเยอะๆ -- จุดนี้ทำให้ TOP ได้ประโยชน์จากโรงกลั่นของ ESSO ที่โรงงานอยู่ติดกันมากถ้าควบรวม ในขณะที่ EXXON แทบไม่ได้อะไรจาก ESSO ก่อนหน้านี่เท่าไหร่

ถ้าดีลนี้สำเร็จ TOP จะเป็นโรงกลั่นที่ใหญ่ที่สุดในประเทศ ที่กำลังการกลั่นกว่าครึ่งล้านบาร์เรลต่อวัน ..แม้จะเล็กกว่า ยักษ์ใหญ่ Reliance ของอินเดีย แต่นับว่าใหญ่ใน ASEAN ..."ประเด็นนี้น่าสนใจ ทั้งในแง่ของ อำนาจต่อรองทางการค้า และ การผูกขาดตลาด"

จะว่าไปแล้ว PTT ในรอบนี้ เดินเกมไม่ธรรมดา ในการรับขาขึ้นของพลังงาน หลังจาก สะดุดช่วงปี 2008 ...แต่ปัจจุบัน ทั้งการควบรวมในกรณีของ PTTCH และ PTTAR ก็เป็นอีก Arm ในขาปิโตรเคมีที่สุดขั้วจริงๆ

ทั้งหมดนี้ มันก็ชี้ให้เราเห็นได้ว่า ใน Cycle ขาขึ้นของ ตลาดหุ้น มันสร้าง Option ต่างๆให้กับธุรกิจ ที่สามารถเอากลไกของตลาดมาสร้างความได้เปรียบ ...แต่สิ่งที่สำคัญคือ รายย่อยอย่างพวกเราต้องอ่านเกมพวกนี้ให้ขาดว่า การเดินเกมของแต่ละกิจการ ใครได้ประโยชน์ .... ยกตัวอย่าง การเดินเกมที่ บริษัทได้ประโยชน์ ก็ลองดู TRUE ..นั่นเรียก ปั่นราคา แล้วมัดมือชก เพิ่มทุน "แปลเกมง่ายๆ ว่าแมลงเม่า โดนบังคับซื้อหุ้นเพิ่มทุนว่างั้น..ฮ่า ฮ่า"

.... "อย่างในส่วนการเดินเกมของบริษัทแขก(พันธุ์โรตี) อย่าง IVL , PTL พวกนี้ ก็เป็นการ ใช้เงินผู้ถือหุ้น ขยายกิจการ ...เขาซื้อเครื่องจักรฟรี และซื้อกิจการ ก็มาจากเงินแมลงเม่าอย่างพวกเรานี่แหละ ....ซึ่งแน่นอน ระยะยาว หลังจากเครื่องจักรใหม่ และซื้อโรงงานเพิ่มแล้ว มันย่อมทำให้กิจการเติบโต แต่ระหว่างทางมันก็ต้องดูว่า รายย่อยจะเลือดสาดแค่ไหน..ที่แน่ๆเจ้าของเขานอนยิ้มล่ะ -- เทพโคตรๆ ....หุ หุ"

ประเด็นการควบรวม หรือ การออก Warrant ..แตกพาร์ แตกหุ้น ..พวกนี้ต้องดูดีๆ เพราะ การทำอะไรในตลาดหุ้น มันมีเหตุผลเสมอ "ไม่มีอะไร ในตลาดหุ้นที่เกิดขึ้น โดยไม่มีวัตถุประสงค์แอบแฝง..." ...ดังนั้น สิ่งที่ผมให้ความสำคัญมาก ก็คือ เจ้าของ เขามองอย่างไร กับผู้ถือหุ้น ... และนี่เป็นส่วนนึง ที่ผมชอบกลุ่ม PTT เพราะผู้ถือหุ้นคือ กระทรวงการคลัง ซึ่งการที่เรานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับกระทรวงการคลัง ก็ถือเป็นความอุ่นใจในระดับนึงเลยทีเดียว

-- เอาเป็นว่า เกมนี้ มันส์ ...จับตาดูกันให้ดีครับ !! --(นี่แหละเกม ตลาดหุ้น "ตาต่อฟัน" .. คือ ตาเราโดนเจ้ามือเอาฟันกัด ...ฮ่า ฮ่า) ...สู้ สู้ ครับ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ