แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 26 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อายุเท่าไหร่จึงจะประสบความสำเร็จ(ใช้ Compounding interest!!)


ผมว่าอายุ มันเกี่ยวข้องโดยตรงกับเป้าหมาย ผมอ่านหนังสือ ของหนูดี แล้วชอบมากที่ว่า ทุกคนมีกล่องอยู่ 1 ใบ ซึ่งกล่องก็เปรียบเสมือนเป้าหมายที่ทุกคนหวังไว้

-- ซึ่งคนที่กล่องเล็กกว่า ก็สามารถหาสิ่งต่างๆมาเติมเต็มได้ง่ายกว่า เช่น บางคนกล่องเล็ก อาจหวังแค่มีรถเก๋งดีๆสักคัน มีบ้านเล็กๆ งานธรรมดา ซึ่งก็ทำได้ไม่ยาก แต่บางคนกล่องใหญ่อยากเป็น นักธุรกิจพันล้าน ดังนั้น เวลาที่จะถึงจุดหมายก็ยากขึ้นตามมา

ผมชอบนั่งคิดว่า ทำอย่างไรถึงจะมีพันล้าน -- เริ่มจากถ้าจบจาก U top ของโลก อาจ Start เงินเดือนที่ หลายหมื่น ทำสัก 5 ปี เงินเดือนน่าจะเลย แสน -- ถ้าลองคิดว่าอยากเก็บเงินได้ปีละล้าน ต้องมีเงินเหลือ เกือบแสน ต่อเดือน นั่นหมายถึงเงินเดือนคุณ ต้องเกือบ 2 แสน

--ซึ่งในเมืองไทย การได้เงินเดือนระดับ 2 แสน ต้องทำงานไม่ต่ำกว่า 15 -20 ปีขึ้นไป -- เพื่อจะเก็บให้ได้ เงินล้านนี่ ยากจริงๆ

ในที่สุดผมก็ถึงบาง อ้อ ว่า การจะมีเป็นร้อยล้านได้ ถ้าไม่เป็นเจ้าของกิจการก็ต้องลงทุน -- การเป็นเจ้าของกิจการ ถ้าสร้างเอง ยากโคตร (ผมลองมาแล้ว แทบอวก) ..ส่วน ถ้าลงทุน มันต้องฉลาด และมันต้องมีเงินทุน -- หลังจากนั้น ผมพยายามศึกษาว่า พวกนักลงทุนที่สำเร็จ รวยเป็น Billionaire ในต่างประเทศ มัน Self made เป็นส่วนใหญ่ แล้วมันหาเงินจากไหนมาลงทุน?

OPM ไง -- Other people Money!!! เอาเงินคนอื่นมาลงทุน (แล้วทำไมคนอื่นมันไม่บริหารเอง วะ งง มาก) ก็อีกนั่นแหละ เพราะพวกมนุษย์เงินเดือนส่วนใหญ่ ทำงานตัวเป็นเกลียว จะเอาเวลาที่ไหนมาบริหารเงิน ดังนั้น ก็ต้องตกเป็นหน้าที่ของ Fund Manager ทั้งหลาย ที่ Charge ทั้ง Fee และ Capital Gain ซึ่งแพงมาก แต่ถ้าเทียบกับเงินฝากที่เกือบ 0% ผมว่าไม่ต้องมีความรู้มากก็ยังสามารถ beat เงินฝาก ไม่ยากนัก

Startegy ที่ Bull shit น้อยสุด ผมมองที่เงินต้น ประมาณ 3 ล้าน และ "ผลตอบแทน แบบ Compounding ที่ 15% ต่อปี" --ถ้าทำได้จะมี 10 ล้านเมื่อครอบ 10 ปี --จะเป็น 42.5 ล้าน เมื่อ ครบ 20 ปี ---จะเป็น 172.1 ล้าน เมื่อครบ 30 ปี ซึ่งถ้าเริ่มลงทุน จาก 3 ล้าน ตอนอายุ 30 ปี ก็จะได้ 172.1 ล้านเมื่อเกษียณนั่นเอง

แต่ถ้าลงต่อด้วย (15% Compounding เท่าเดิม) พอ 40 ปี ก็จะเป็น 696.4 ล้าน และ พอ 50 ปี ก็จะมี 2,817.5 ล้านบาท -- ตอนนั้นคุณคงอายุ 80 ปี

(ซึ่งถ้าเทียบ เทคโนโลยีการแพทย์ ในอนาคต อายุ 80 ปี อาจจะคล้ายกับคน 60 ปี ในปัจจุบัน เพราะอีก 50 ปี ผมเชื่อ ว่า Life expectency ของมนุษย์ น่าจะสูงเลย 150 ปี ไปแล้ว เท่ากับว่า เมื่อคุณเลิกลงทุนในอีก 50 ปี ข้างหน้า คุณจะเป็นแค่ วัยกลางคนอีกคนที่รวยเป็นพันล้านบาทนั่นเอง --- น่าคิดไหมครับ???)

ประเทศไทยจะรุ่งหรือจะแย่ลง


ประเด็นแรกเลย ต้องดูว่าปัจจัยอะไรเป็นสิ่งที่เป็นเครื่องชี้วัด หรือ ข้อแตกต่างระหว่างประเทศพัฒนาแล้ว กับประเทศล้าหลัง --- สิ่งที่เห็นง่ายๆ ก็คือ การบริโภคภายในประเทศ ยกตัวอย่าง Australia การส่งออกเท่าๆกับไทย แต่ GDP ต่อหัว เขามากกว่าเรา 6 เท่า --- คือ ถ้าเราต้องการให้ไทยเจริญเท่า Australia เราต้องให้คนไทยกินเยอะๆ ใช่หรือไม่? -- ถูกเผ๋งครับ -- แต่ประเด็นอยู่ที่ทำอย่างไร และ ทำไม

สิ่งที่ผมจะยกขึ้นมาคือ การมองปัจจัยที่กระตุ้นการบริโภค เช่น มือถือที่เน้นข้อมูลเช่น Blackburry และ Smartphone / internet 3G สิ่งเหล่านี้ทำให้เราต้องจ่ายต่อเดือนเพิ่ม -- ต่อมา การแข่งกีฬา ภายในประเทศ โดยทำเป็นสโมสร ต่างๆ เหมือนอย่างยุโรป

ประเด็นนี้ ทำให้เกิดการใช้จ่ายภายในประเทศเยอะมาก ไม่ว่าจะเป็นการ Sponsor การถ่ายทอดการแข่งขัน ดูอย่าง เขามีกีฬาภายในที่โตมากๆ หรือ อย่าง Australia ที่เอากีฬา ทั้งหมด รวมเข้ากับการพนันอย่างถูกกฏหมาย สร้าง TAB บ่อนเปิด ใช้พนันผลการแข่งขันกีฬา ทั่วประเทศ ซึ่งเปิดอยู่ในเกือบทุก Pub

(ซึ่ง Pub ของ Australia ที่ว่าไม่ใช่ Pub Dance ที่เอาแต่เมาเหมือนบ้านเรา แต่เป็น Pub แบบฝรั่ง แบบนั่งชิว กินเบียร์เชียร์กีฬาหลังเลิกงาน -- ลองนึกภาพ เรามี Pub อย่างที่ว่าอยู่ทุกหมู่บ้านใหญ่ๆ เอาสัก 1,000 หมู่บ้าน เท่ากับมี เป็นศูนย์กลางชุมชนที่มี network ที่ใหญ่มาก )

--- การเพิ่มราคาสิ้นค้าเกษตรให้สูง ชาวนา คือ คนส่วนใหญ่ ถ้าเขารายได้ดี การบริโภคภายในก็จะสูงขึ้น แนวคิดของคุณ ธนินท์ นี่ผมชอบมาก ยิ่งตอนนี้ CPF เริ่มสร้าง Brand อาหารสำเร็จรูป ถือ เป็นมุมมองที่ฉลาดมาก เพราะการแข่งผลิตเนื้อหมู ไก่ เป็น Commodity การแข่งมันมีแต่ Pricing อย่างเดียว นี่เป็นสาเหตที่ว่าทำไม CP ไม่เป็นครัวของโลกสักที ก็เพราะไม่มี Brand นั่นเอง ดังนั้น Margin ต่ำ แต่นับจากนี้ ลองจับตา CPF ให้ดี ผมว่าหุ้นเขาน่าซื้อนะ เพราะเขาเริ่มมาถูกทาง

กลับมาที่ไทยจะรุ่งหรือ ร่วง --ผมฟันธงไปเลยว่ารุ่ง เพราะไม่ว่าจะเป็น การขยายตลาดบริโภคภายใน - การเริ่มสร้าง Brand ไทย เริ่มจาก Red Bull มาจนถึง CPF หรือ แม้แต่มาบตราพุต ที่หลายคนมองเป็นลบ แต่ผมมองว่ามันเป็นโอกาส เพราะการที่เราเริ่มใส่ใจในเรื่องไร้สาระ(เช่น คุณภาพชีวิตของคน) เริ่มแสดงว่าเราเข้าสู่ประเทศพัฒนาแล้ว หรือ แม้แต่ไอ้ GT2000 ที่เราให้ค่าชีวิตของทหารไว้สูง ก็รวมด้วย ---ดังนั้น มันต้องดีแน่นอนครับ

วันพฤหัสบดีที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

1 วันก่อนตัดสิน ทำไงดี

ตั้งแต่เริ่มอาทิตย์นี้ ฝรั่งเริ่มเข้าซื้ออย่างต่อเนื่อง 3 วัน ยอดซื้อสุทธิ 4,370 ล้านบาท Fund Flow เข้าเยอะ ส่งผลให้ค่าเงินบาทแข็งค่าขึ้น(ผมเซ็งเป็ดมากๆ เพราะตอนนี้มีเงินต่างประเทศเข้า รอแลกก็แข็งขึ้นๆ น่าเบื่อจริงๆ) แต่ผมไม่ตกใจหรอกครับเพราะการแข็งค่าของเงินบาทสอดคล้องกับ Fund Flow ที่ไหลเข้าอย่างต่อเนื่องแสดงว่า ต่างชาติเริ่มมองบวกขึ้น --- อันที่จริงตลาดไทย ตอนนี้นับว่าถูกมากเมื่อเทียบกับประเทศเพื่อนบ้าน อีกทั้ง Dividend Yield ก็ให้ผลตอบแทนที่สูง(สูงกว่าเงินฝาก 10 ปี คือ ต้องฝากเงิน 10 ปี กว่าจะได้เท่าปันผลในตลาด --ตลกไหมทำไมคนไม่กล้าลงทุน )
ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ตอนนี้ Fund Manager ใหญ่ๆ อย่าง กบข. / ออสสิน และ กองทุนประกันสังคม ต่างเตรียมเงินสด รวมประมาณ 20,000 ล้าน รอซื้อหุ้น ถ้าเกิดหุ้นตก -- ถ้ามองอย่างนี้แล้วแสดงว่า ตลาดไม่น่าจะตกมาก ถึงตกก็น่าจะช่วงสั้น
สัญญาณการเข้าของต่างชาติที่ชอบสวนกระแส เริ่มมาตั้งแต่ตอนตลาดแตะ 600 จุด ปีที่แล้ว นักวิเคราะห์ทุกคนฟันธงให้ออกได้แล้วเพราะตลาดจะพัง ปรากฏ Fund Floe วิ่งเข้า สวนทางนักวิเคราะห์ สรุปตลาดไม่ตก เอาแต่ขึ้น ขึ้น จนไปแตะ 750 จุด (คนที่เชื่อนักวิเคราะห์ นั่งน้ำลายยืด เอ๋อไปเลย กลายเป็นขายหมู แล้วท้ายที่สุด รายย่อยก็ไปรับที่ประมาณ 700 จุด ที่ต่างชาติเทขายอย่างต่อเนื่องตั้งแต่ปลายปี 2552 จนถึงต้นปี 2553 --- ตอนนี้เข้าช่วงวัดใจอีกครั้ง ต่างชาติเข้าเก็บอย่างต่อเนื่อง -- ผมถามหน่อยว่า หุ้นจะขึ้นได้ เพราะต่างชาติ้อเท่านั้น แล้วตอนนี้ต่างชาติซื้อ งั้นสรปว่าหุ้นก็ต้องขึ้นจริงไหม (แล้วไอ้พวกที่ขายอยู่ตอนนี้ เขากำลังขายหมูหรือเปล่า ประเด็นนี้น่าคิด จริงไหม)
ส่วนตัวผมมองตลาด side way up ส่วนจะ up มากน้อย มันขึ้นอยู่กับต่างชาติว่า รอบนี้จะลากไปเชือดที่กี่จุด เพราะถ้ามองให้ดี การเข้าตลาดในช่วงนี้ของต่างชาติ ถือว่าฉลาดมาก เพราะข้อแรก กำลังจะปันผล ส่วนข้อสอง หุ้นไม่แพง ดังนั้น ต่างชาติเขาถือว่า การมาปั่นรอบนี้หากไม่สำเร็จ เขาก็ไม่เจ็บตัว แค่รอรับปันผลเฉยๆ พอสิ้นปี พอทุกอย่างเริ่มเข้าที่ ตลาดก็วิ่งได้ต่อ รับทั้ง ปันผล รับทั้ง Capital Gain พุงกางสบายจริงๆ
การวาง port ที่ save ที่สุดในขณะนี้น่าจะถือหุ้นที่ประมาณเกิน 70% แล้วถือเงินสด 30% เพราะเงินสดถือเป็น Insurance Policy คือ ถ้าตลาดพลิคคุณก็แค่ใช้เห็นสดที่มีอยู่เก็บหุ้นในราคาถูกเพิ่ม แต่หากไม่ตก หุ้นที่คุณถือ 70% ก็มากพอที่จะให้ผลตอบแทนที่เป็นกอบเป็นกำ (แต่สำหรับคนที่ใจถึงกว่าผม ผมก็ยังเชื่อว่าปี นี้น่าจะผันผวนมากกว่านี้ คือ ต้องตกกว่านี้ ส่วนตอนขึ้นต้องสูงกว่านี้ พูดแค่นี้คุณคงคิดออกว่าผมหมายความว่าอย่างไร จริงไหมครับ นักพนันใจใหญ่ทั้งหลาย)

วันพุธที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ถ้าปี 2000 คุณมีเงิน 2 ล้าน ปี 2009 คุณสามารถมี 57.6 ล้านได้ - ทำไงล่ะ


ง่ายๆครับ คือ "ซื้อหุ้นเวลาตลาดพัง" 10 ปี ที่ผ่านมา ตลาดพังแรงสุด 2 ครั้ง คือ ปี 2000 และปี 2008 --พูดง่ายๆคือ เวลาตลาดพังให้คุณซื้อหุ้นในกิจการที่มั่นคงและใหญ่ ก็คือซื้อหุ้น Blueship - SET50 นั่นเอง (ดังนั้นความเสี่ยงก็ต่ำ แต่ผลตอบแทนโคตรดี (คือ ดีเกินธรรมดา))

-- ประเด็นปัญหาคือ คุณกล้าทำสวนทางกับคนอื่นหรือเปล่า เพราะ 2 ปี ที่ตลาดแย่นั้น มีแต่คนวิ่งหนีออกจากตลาด เพราะทุกคนมองว่า โลกจะสิ้นสุดเวลานั้น ทุนนิยมจะล่มสลาย เราจะกลับไปเป็นยุคหิน --ผมถามหน่อยว่า มนุษย์เราพัฒนามาถึงขั้นนี้ ทางเดียวที่จะกลับไปสู่ยุคหิน ก็คือ น้ำท่วมหมดโลก ทุกอย่างจมอยู่ใต้น้ำลึกกว่า 5 เมตร คนที่รอดชีวิตไปรวมกันที่ทิเบต -- ไร้สาระสิ้นดี

กลับมาเข้าประเด็นว่า จะทำให้ 2 ล้าน กลายเป็น 50 ล้านใน 10 ปี ---- เริ่มจากคุณเอาเงิน 2 ล้านของคุณ ซื้อหุ้น ธนาคารกรุงเทพ ตอนปี 2000 ที่ 20 บาท แล้วคุณก็ถือไว้แล้วไปขายในปี 2007 คือ ปีที่ทุกมองว่าเศรษฐกิจดีมากๆ อนาคตกำลังรุ่งทุกอย่างน่าลงทุน ซึ่งคุณขายตอนนั้นเลย คุณจะขายได้ที่ 140 บาทต่อหุ้น รวมแล้วคุณจะมีเงิน 14 ล้านในปี 2007 จากนั้นคุณก็เอาเงินที่ได้มาฝากธนาคารเพราะตอนนั้นดอกเบี้ยสูง(สูงกว่าตอนนี้มาก)

รอจนปี 2008 ตลาดพังมหาศาล ทุกคนพูดเป็นเสียงเดียวกันว่า นี่แหละคือ จุดจบของทุนนิยม เรากำลังเกิด Great Depression ครั่งที่ 2 --ให้คุณถอนเงินออกจากธนาคารทั้งหมด 14 ล้าน แล้วไปซื้อหุ้นที่เรามองว่าดี (ลองคิดดูว่า ถ้าทุกอย่างแย่หมด อะไรจะอยู่ได้ -- ก็อาหารไงครับเพราะมันจำเป็น )

คุณเอาเงินทั้งหมดไปซื้อหุ้น CPF ที่ 3 บาท คุณจะได้หุ้นมาประมาณ 4.5 ล้านหุ้น --- จากนั้นคุณมาขายปีถัดไปคือ ปี 2009 ที่ 12.8 คุณจะได้เงินรวม 57.6 ล้านบาท --- แค่นี้เองไม่เห็นยาก แต่ที่ยากคือ รู้ไหมว่าทุกอย่างที่ผมพูดคือ การทำสวนทางกับตลาดทั้งหมด คือ คุณทำตรงข้ามกับทุกคนในตลาด คุณซื้อเวลาที่คนอื่นขาย แล้วคุณก็ขายเวลาที่คนอื่นซื้อ
รู้ไหมเคล็ดลับอยู่ตรงไหน

-- ง่ายๆครับคุณมองไปรอบๆตัวคุณซิว่า ณ เวลานั้นๆคนส่วนใหญ่ทำอะไร ถ้าเห็นว่าคนส่วนใหญ่กลัว ไม่กล้าซื้อหุ้น ให้คุณกล้าและทำสวนทาง แต่ถ้าคนส่วนใหญ่มอง Positive ทุกอย่างดี ให้คุณรีบขายแล้วก็ถือเงินสดรอ
ถ้าถามว่าปัจจุบันเป็นอย่างไร -- ลองมองดูซิครับว่า ตอนนี้ในตลาด หุ้นอะไรที่คนไม่อยากซื้อ -- ใช่แล้วครับกลุ่ม PTT ให้คุณเอาเงินทั้งหมดของคุณซื้อแล้วรอ อีกสัก 5 ปี หลังจากนั้นพอเหตุการณ์ต่างๆคลี่คลาย เศรษฐกิจกลับมาดีสุดๆอีกครั้งให้คุณขายหุ้นทิ้งทั้งหมด แล้วก็ถือเงินสด

ผมเชื่อว่า 5 ปีข้างหน้า หุ้นทุกตัวในกลุ่ม PTT จะมีราคา 2 เท่า ดังนั้น จากเงิน 57.6 ล้านที่ซื้อ PTT ที่ราคาประมาณ 220 บาท คุณจะได้หุ้น 260,000 หุ้น --อีก 5 ปี จะเป็น 114.4 ล้านบาท รวมกับปันผลที่ PTT ให้คือ 5% ต่อปี เท่ากับ 11 * 5 = 5.5 ล้าน รวมเป็นทั้งหมด 120.5 ล้านบาท

จากนั้นให้คุณขายหุ้นทั้งหมดและเอาเงินไปฝากธนาคาร ซึ่งอีกห้าปีข้างหน้า ดอกเบี้นน่าจะเกิน 4% ไปแล้ว จากนั้นคุณก็รอซื้อ เวลาตลาดพังครั้งต่อไป ผมคากว่าปี 2014 ตลาดน่าจะพัง --และเมื่อยามตลาดพังก็เป็นเวลาที่คุณจะ Double ความรวยของคุณ

-- จากสถิติที่ผ่านมา ทุก 10 ปี จะมีตลาด Crash อย่างน้อย 2 ครั้ง เท่ากับว่า ถ้าคุณทำอย่างที่ผมบอก จาก 2 ล้าน ก็จะเป็น 1,000 ล้าน ภายในเวลา 30 ปี --- แต่คุณรู้ไหมว่ามันพูดง่าย แต่ทำยาก เพราะ 1.คุณต้องฉลาด และ 2. คุณต้องมีความอดทนสูงมากๆ

-- ความอดทนที่ผมพูดถึงคือ 30 ปี มันนานมากเลยนะครับ ซึ่งในโลกนี้มีคนรอได้น้อยมาก จึงไปแปลกเลยว่า นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จอย่าง Warren Buffet มีน้อยมาก ลองนึกดู Buffet ลงทุนนานกว่า 40 ปี ดั้งนั้นกำไร ระดับ หมื่น หรือ แสนล้าน ไม่ใช่เรื่องที่เป็นไปไม่ได้ แต่มันต้องอดทน ดังนั้น การลงทุนผมมองว่ามันเหมือนการวิ่งมาราธอน การแข่งกันว่าใครอึดกว่า ซึ่งท้ายที่สุด คนที่อึดสุดก็คือ คนที่ชนะนั่นเอง

-- ผมคาดว่าหากอนาคต เมื่อมนุษย์มีชีวิตที่ยืนยาวขึ้น คือ เกินกว่าร้อยปี ดังนั้น ก็ต้องมีคนที่อึดกว่า Warren Buffet คือ อาจลงทุนตามวิธีที่ผมบอก นานกว่า 60 - 70 ปี แน่นอน คนนั้นก็คือ ผมนั่นเอง "ฮ่า ฮ่า ตลกไหมครับ แล้วเรามาดูกันว่าอีก 70 ปี ใครจะรวยกว่า Warren Buffet"

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

พลังงานแพง โลกร้อนและสกปรก


จากภาวะต่างๆ หลายคนสรุปสั่นๆว่า ระบบทุนนิยมกำลังล่มสลาย ตลาดหุ้นจะพังหมด เงินจะไม่มีค่า เราจะกลับไปเป็น ก๊อง(มนุษย์หิน) นั่นเอง เงินไม่มีค่า ยิ่งแย่งอาหารกัน ถ้าลองดูจาก ภูมิประเทศและอากาศ ปรากฏว่าประเทศเราอุดมสมบูรณ์สุดๆ แต่สงสัยไหมว่าทำไมเราไม่รวย

ถ้าเรากลับไปสู่ยุคหินใหม่ จะเห็นว่าเราได้เปรียบเชิงโครงสร้าง เพราะเรามีโอกาสที่จะสร้างอาหารได้อย่างมากมาย -- มาถึงจุดนี้ ทุกคนคงสงสัยว่า แล้วทำไมเราจน ในขณะที่อเมริกา หรือ ประเทศที่พึ่งพึง service Industry กลับรวย --- คำตอบก็คือ คุณ ยอมจ่ายค่ามือถือ หรือ คอมพิวเตอร์ แพงกว่าอาหารมากนัก

-- ถ้าเราต้องการให้ประเทศเรารวย เราก็ต้องกลับไปสร้างให้อาหารมันแพงมากๆ เพราะเราจะได้ประโยชน์โดยตรง --- ขั้นแรกก็ทำเหมือนญี่ปุ่นคือ ขึ้นราคาเกษตร เพิ่มอำนาจต่อรอง ทำให้ค่าครองชีพสูง

--หลายๆสมอง ลงความเห็นว่า การทำเยี่ยงนี้ ทำให้คนจนยิ่งจน แต่ผมว่าไม่ใช่ เพราะถ้าของเกษตรราคาสูง ชาวนาชาวสวนจะรวย ซึ่งเป็นคนส่วนใหญ่ของประเทศ แรงงานที่กระจุกตัวในเมืองจะย้ายกลับบ้านไปทำการเกษตร ประเทศเราจะรวยขึ้น แต่คนชั้นกลางในเมืองจะซวย แต่ผมว่ามันคุ้มเสี่ยงเพราะชนชั้นกลางในเมืองสามารถไปทำอาชีพบริการในต่างจังหวัดได้

--- การเพิ่มราคาสินค้าเกษตรจะช่วยให้คนส่วนใหญ่รวยนำมาซึ่ง ตลาดบริโภคภายในที่ขยายตัว เพราะปกติคนรวยจะไม่ใช้เงิน แต่คนจนชอบใช้เงิน ดังนั้น ถ้าคนจนรวยขึ้น การใช้จ่ายในระบบจะสูงขึ้น ซึ่งในที่สุดแล้วคนรวยก็จะรวยขึ้นในที่สุด แต่ปัญหานี้มีการเสนอแนะมากมายแต่ ไม่มีใครกล้าลอง น่าเสียดายจริงๆครับ

คนฉลาดแสร้งโง่ คนโง่อวดฉลาด


"คนฉลาดแสร้งโง่ คนโง่อวดฉลาด" ผมว่ามันโดนมากๆ ผม ไป B2S เจอหนังสือเล่มนี้เข้าที่เขียนโดยคนญี่ปุ่น มันทำให้ผมฉุกคิดว่า ความสำเร็จของคนญี่ปุ่นนั้นได้มาจากความคิดที่ไม่ธรรมดา และแถมยังต้องมีความอดทนสูง

---- ผมเคยสงสัยว่า จริงๆแล้ว ปัจจัยหลักไปสู่ชัยชนะหรือความสำเร็จ มันมาจากอะไร ซึ่งคนส่วนใหญ่มักบอกว่ามาจากความเก่ง แต่ผมว่าไม่ใช่ --- ผมว่า มันมาจากความ อดทน ต่างหาก --- จริงๆแล้วชีวิตของคนเรา ยืนยาวมาก ลองนึกดู หากคุณจะสร้างกิจการให้สำเร็จต้องใช้เวลาอย่างน้อย สิบ ปี

-- ใช่แล้วครับ 10 ปี แห่งการตั้งอยู่บน ความเชื่อที่ คนส่วนใหญ่มองว่ามัน ห่วย ผมถามหน่อยว่า คุณ สามารถมุ่งมันในสิ่งใดสิ่งหนึ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่ามัน ห่วย ได้ เป็นเวลา 10 ปี ได้หรือไม่ ถ้าคุณ ตอบว่าไม่ได้ ผมว่าคุณก็ไม่ควรเป็นเจ้าของกิจการ แม้แต่ขายเต้าฮวย ยังสำเร็จได้ยากเลย

กลับมาที่วลีเด็ด "คนฉลาดแสร้งโง่ คนโง่อวดฉลาด" ทำไมต้องแกล้งโง่ ในขณะที่เราฉลาด คุณสติแตกไปแล้วหรือ -- ไม่ใช่ครับ การแกล้งโง่ก็คือ การไม่เอาภูมิเราไปทับถมคนอื่น เพราะหากเราทำอย่างนั้นคนอื่นก็จะไม่ชอบเรา ไม่ส่งเสริมเรา

--- ผมถามหน่อยว่าอาชีพใดที่เราไม่ต้องอาศัยคนอื่น --ใช่ครับมีอาชีพเดียวคือ เล่นหุ้น เพราะคุณ สามารถรวยขณะที่คนอยู่บนเตียงได้ แต่อย่างลืมว่า 90% ล้มเหลวจากการเล่นหุ้น.. อ้าว กลับมาที่อาชีพ ปกติ ร้อยทั้งร้อย ต้องเกี่ยวข้องกับคนอื่น หากคุณเป็นคนไม่เอาคนอื่น ก็เท่ากับว่า คุณเตรียมใจที่จะล้มเหลวได้เลย

จะว่าไปแล้วสังคมไทย แสร้งโง่น้อย แต่โง่อวดฉลาดมีอยู่เต็มบ้านเต็มเมือง คุณว่าจริงไหม --- ก็ไม่จริงอีกนั้นแหละ เพราะประเทศที่มีคนโง่อวดฉลาดมากที่สุดในโลกก็คือ อเมริกา แต่ทำไมโดยรวมประเทศเขาเจริญกว่า คนเอเชีย ที่มีนิสัย คนฉลาดแสร้งโง่

--- ประเด็นนี้น่าสนใจมาก เพราะถ้ามองเป็น Individual จะเห็นว่า การที่จะเป็นที่หนึ่งชนะคู่แข่ง ต้องแสร้งโง่ ซึ่งจะทำให้คู่แข่งชะล่าใจ และเปิดโอกาสให้เราชนะได้

แต่ในภาพใหญ่ระดับประเทศ จะเห็นได้ว่า คนส่วนใหญ่ไม่ได้ ฉลาด คนฉลาดมีน้อยกว่าคนโง่ ดังนั้น การสร้างภาพต้องสร้างจากคนที่เก่งและอวดฉลาด จุดนี้อเมริกาทำได้ดี เพราะคนเก่งเพียงหยิบมือ ก็สามารถทำให้ภาพรวมดูดี หากสังคมเป็นสังคมที่อวดฉลาด

----คำถามที่เกิดคือ แล้วเราควรจะ อวดฉลาด หรือ ว่าแสร้งโง่ล่ะ ก็ตอบง่ายๆว่า ถ้าคุณเป็นคนฉลาด คุณก็ควรอวดฉลาด แต่ถ้าคุณโง่คุณก็ควรจะแสร้งโง่ เพราะคนอื่นอาจมองว่าคุณฉลาด ก็เป็นได้ ดังนั้น ผมว่า เวลาคุณเจออะไร ใครแนะอะไรคุณ คุณควรจะคิดลึกๆก่อน เพราะสังคมเรา มักสอนให้ท่องจำ แต่ว่าปัจจุบัน การท่องจำแบบนกแก้ว ไม่อาจทำให้คุณเหนือกว่าคนอื่นได้

--- สรุปว่ายิ่งแปลกยิ่งดี ใช่ไหม ก็จะว่าไปแล้วก็คือ ใช่ เพราะถ้าคุณคิดเหมือนคนอื่นคุณก็จะเป็นคนน่าเบื่อคนนึง ถ้าคุณอยากสร้างความน่าสนใจก็สวนทางมันเข้าไป ใครบอกว่า เรื่องนี้ดีอย่างนั้นอย่างนี้ คุณสวนไปเลยว่า ผมว่ามันห่วย ถ้าทำได้เยี่ยงนี้โอกาสที่คุณจะเกิดก็คงใกล้จะมาถึง ( แต่ต้องระวัง ให้เกิดจริงๆ ไม่ใช่ไปเกิดใหม่นะครับ โฮ โฮ โฮ ) คนอื่นโง่ ผมไม่โง่ ถ้าคนส่วนใหญ่ฉลาดผม โง่ เพราะว่ามันเท่ห์ไม่เหมือนใครฮะ

ช่องว่างกับการเรียนรู้(2)


การเรียนในระบบไม่ได้สอนให้เราสำเร็จ เพราะความรู้ที่เราได้เรียนมาเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ หลายคนดิ้นรนเรียนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ จนถึงโท ถึง เอก แต่กลับพบว่า สิ่งเหล่านั้นไม่ได้ช่วยให้เราประสบความสำเร็จเหนือคนอื่น และ อีกหลายๆคนก็ไม่เรียนเลย นอนอยู่กับบ้าน นั่งดูแต่ทีวี ก็พบว่าชีวิตก็ไม่ไปไหนเช่นกัน -- หลายคนพยายามเสนอทางสายกลางหรือความพอดี ก็ทำให้คนๆนั้น มุ่งสู่ความเฉี่อยชา ซึ่งก็ไม่ได้ทำให้สำเร็จเหนือคนอื่นเช่นกัน

บทสรุปจึงมาลงตัวที่ความคิดต่าง ซึ่งความคิดต่างต้องมาจากการกระทำที่ต่างเช่นกัน เพราะหากเราไม่ได้ทำต่าง เราก็ย่อมไม่ได้คิดต่างเช่นกัน คนที่ประสบความสำเร็จมีชื่อเสียงหลายคน เกิดจากการมุ่งทำสิ่งใดสิ่งหนึ่งและ สิ่งเดียวตลอดชีวิตของเขาก็ว่าได้ เช่น Tiger Woods สิ่งทั้งหมดที่เขารู้และทุ่มเทจนถึงปัจจุบันนี้ก็คือ กอล์ฟ หรือ นักประดิษฐ์ต่างๆก็ล้วนแล้วแต่เก่งด้านเดียวแต่เก่งสุด

-- คำถามคือ แล้วถ้าเราเก่งด้านเดียวแต่ไม่สุดๆ เรามีโอกาสสำเร็จไหม อันนี้ก็พูดยาก เพราะคนที่ทำด้านเดียว มุ่งด้านเดียวมีมาก แต่คนที่สำเร็จจริงๆ น่ะมีน้อย ไม่งั้น คงมีหลาย J.K Rowling หลาย Tiger หลาย ไอสไตล์ --- ยิ่งคิดก็ยิ่ง งง ว่าแล้วทำอย่างไรจะประสบความสำเร็จโดยไม่ต้องเสี่ยงมาก -- ก็ขอบอกเลยว่า ไม่มี เพราะ High Risk ถึงจะ High Return ไม่งั้นทุกคนคง รวยประสบความสำเร็จไปล้นโลกแล้ว

แล้วเราทำอย่างไรให้มีโอกาสสำเร็จได้เหนือกว่าคนอื่น --- ก็คือเราต้องแสวงหาช่องว่างของโอกาสที่เหมาะกับตัวเรา ซึ่งถ้าเราประเมินว่า โอกาสที่เข้ามามันคุ้มที่เราจะเสี่ยง ก็ลองดู --- แต่ต้องไม่ลืมว่า โอกาสที่จะเข้ามาในชีวิตคนแต่ละคนมีมากมาย แต่ทุกโอกาสไม่ได้นำไปสู่ความสำเร็จเสมอไป หลายๆโอกาสนำไปสู่ความล้มเหลวและบทเรียนที่แสนแพง

-- ผมเองเป็นคนหนึ่งที่ได้รับบทเรียนอันแสนแพง จากการเข้าไปลงทุนร้านอาหารใน Australia ร้านแรก ที่เปิดเรียกได้ว่าขายดีมากๆ จนทำให้อยากเปิดร้านที่สอง และ ต่อมาถึงร้านที่สองจะขายดีน้อยลง ก็อยากเปิดร้านที่สาม ซึ่งแม้ยอดขายแต่ละร้านจะลดลง แต่ยอดขายรวมมันเพิ่ม จนในที่สุดเปิดร้านที่สี่ และ ห้า พอเปิดร้านที่ห้าเสร็จ ก็เจอวิกฤตเศรษฐกิจทันที ผลปรากฏว่า ยอดขายแต่ละร้านลดฮวบลงไป จนขาดทุน แทนที่จะขาดทุนน้อยๆ ผมกลับขาดทุน แบบคูณ ห้า

---ในที่สุด ลูกน้องก็ลาออกเพราะ กิจการย่ำแย่ จนผมต้องปิดลงทีละร้าน จนเหลือ สองร้าน ซึ่งทำให้ผมลดต้นทุน และกลับมาเป็นกำไรได้ แต่ปัญหาต่างๆก็ยังคงรุมเร้า ไม่ว่าจะเป็นหนี้ที่เกิดจากการขยายร้าน หรือ ภาษีที่ตามรังควาน เรียกได้ว่าผมใช้ 3 ปี สร้าง แต่ต้องใช้ถึง 5 ปี ตามล้างตามเช็ด กว่าจะหลุดออก จากความยากลำบาก มาเป็นกำไรต้องเสียค่าโง่ถึง 8 ปี เต็มๆ

--- จุดนี้ผม ถามว่า ถ้าคุณเป็นผมคุณจะทำไหม แน่นอนไม่ทำเพราะมันสุดจะโง่ แต่มันแฝงด้วยบทเรียนชีวิตที่เข้มข้นไม่ว่าจะเป็นปัญหาครอบครัวที่เกิดขึ้น ปัญหากับลูกจ้าง ที่จ้างมากจากเมืองไทย มาหาว่าเรากดขี่ หรือ หนี้สินที่พลุงพะลัง จนแทบไม่รอด แต่สิ่งต่างๆเหล่านี้ล้วนเป็นบทเรียน ซึ่งประกอบขึ้นมาเป็นประสบการณ์ หรือ ความเก๋าของแต่ละคน --- ปัจจุบันนี้ผมฉลาดขึ้น และมองโลกได้อย่างชัดเจนมากขึ้น แต่ก็ไม่ได้หมายความว่า คนอื่นจะฉลาดขึ้น ในทางกลับกัน ถ้าผมเลือกที่จะไม่ทำอะไรผมคงไม่ต้องลำบาก แต่โอกาสในอนาคต ก็คงจะจำกัดเช่นกัน

ผู้ยิ่งใหญ่เกือบทุกคน ผมเชื่อว่าได้ผ่านความล้มเหลวมาแล้วทั้งสิ้น แต่ตัวที่ทำให้เขาสามารถลุกขึ้นมาได้ หรือ ไม่มันขึ้นกับว่า เขาผู้นั้นพลิกวิกฤตให้กลายเป็นอะไร --บางคนพลิกวิกฤตให้เป็นหน้าผาแล้วก็กระโดดลงไปตาย อันนี้ผมไม่ Comment แต่บางคนพลิกวิกฤตให้เป็นโอกาส และนี่เองคือ นิยามเน่าๆที่หลายคนพยายามสร้าง Gimmick เพื่อมาเขียนหนังสือหาเงิน --- ไม่มีหรอกครับไอ้พลิกวิกฤตเป็นโอกาส มีแต่การแก้ไขที่เจ็บปวด กับความอดทนผ่านช่วงเวลาแล้วเริ่มใหม่ ต่างหากที่เป็นของจริง

หลายคนบอกว่าเป็นคนจริง แต่ลองเจ๊งสักนิด อาจเข็ดขยาดไม่กล้าทำอะไรอีกตลอดชีวิตก็เป็นได้ ---- สุดท้ายนี้ขอสรุปว่า การหาช่องว่างของการเรียนรู้มัน ก็คือ ความกล้าที่จะทำสิ่งที่เราเชื่อว่ามันดี ทำไปแต่อย่าให้ใครเดือดร้อน หรือ อาจพูดได้ว่า ทุกคนที่อายุยังน้อยต้องวิ่งไปหาความล้มเหลวก่อนเพราะ ความล้มเหลวเป็น บันไดที่เราจะต้องผ่านก่อนไปสู่ความสำเร็จ เพราะถ้าเราไม่เรียนรู้ที่จะลุกขึ้นมาหลังจากที่เราล้ม ผมว่าคุณก็ไม่มีทางจะสำเร็จได้อย่างยั่งยืน

--- ไม่มีใครหรอกครับที่ ชนะ หรือ สำเร็จตลอดเวลา หากแต่ถ้าโดยรวมแล้วเราสำเร็จมากกว่าล้มเหลวก็ถือว่าเราสำเร็จแล้ว -- คนที่ไม่เคยล้มเหลวก็ไม่ต่างจากคนที่ไม่เคยทำอะไรนั้นเอง (อย่าภูมิใจ) "คนจริงล้มได้ ก็ลุกได้ จริงไหมครับ"

ช่องว่างของเวลากับการเรียนรู้


คนทุกคนมีเวลาเท่ากันที่ 24 ชั่วโมง แต่ปริมาณการเรียนรู่ของแต่ละคนต่างกันมาก ซึ่งวัยที่รับการเรียนรู้ได้อย่างสูงที่สุดก็คือวัยเด็กหรือวัยเรียน แต่ปัญหาของการเรียนรู้ในวัยเด็กก็คือ การท่องจำ เพราะเรื่องราวต่างๆที่เรียนมักเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้น ความเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนจะน้อยมาก ซึ่งการท่องจำนี่เองที่กลายเป็นนิสัยปลูกฝังให้เด็กคิดไม่เป็น ดังนั้นเมื่อเด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ ระบบการเรียนแบบท่องจำก็จะ Block ให้เขาไม่สามารถที่จะหาความรู้ด้วยตัวเอง จุดนี้เองคือ จุดอ่อนของระบบการศึกษาแบบ Asia ซึ่งสร้าง "นักจำ" มากกว่า "นักคิด"

คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วเราจะสร้างนักคิดอย่างไร --- หลายคนบอกว่า งั้นทำไมไม่ให้ทุกคนศึกษาด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนๆนั้น ในที่สุดจะไม่ศึกษาอะไรเลย เพราะนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์คือ รักความสบาย ดังนั้น การศึกษาด้วยตัวเองจะไม่เกิดขึ้นหากเขาไม่มีระเบียบวินัยและเป้าหมายที่ชัดเจน

ตัวอย่างที่ดีของการ รักการศึกษาด้วยตัวเอง คือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในต่างประเทศ -- คนเหล่านี้จะเป็นนักอ่าน นักฟังและ นักดู ตัวยง เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าเขาหยุดศึกษาเมื่อไหร่เขาก็จะไม่ทันคู่แข่งทันที ประเด็นสำคัญที่ทำให้เขามุ่งศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ การแข่งขัน และส่วนที่สร้างแรงจูงใจ ก็คือ เป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยความอดทน

--- สรุปง่ายๆว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่โรงเรียนสอนเราคือ ความอดทนมีระเบียบวินัย และ ก็การแข่งขัน นอกจากนั้น ผมว่า Bull Shit เพราะเนื้อหาที่สอนส่วนใหญ่คือ สิ่งที่ทุกคนควรรู้ ดังนั้น แสดงว่า ความรู้ที่สอนอยู่ในโรงเรียน หรือ มหาลัย เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ --- ผมถามหน่อยว่า การที่คุณจะประสบความสำเร็จ เหนือ คนอื่น ไม่ว่า จะเป็นธุรกิจ หรือ แม้แต่การลงทุน การเล่นหุ้น ข้อได้เปรียบก็คือ คุณรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้

คำถามอีกข้อคือ ความรู้ที่ทุกคนเรียนจนถึงปริญญาโท มีอะไรที่คนอื่นไม่รู้บ้าง -- ตอบเลยว่าไม่มี ดังนั้น การเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงปริญญาโท ผมสรุปได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จเหนือคนอื่น -- มาถึงจุดนี้หลายคนคงนึกอยู่ในใจแล้วว่า คำตอบของความสำเร็จคือ ปริญญาเอก

-- ก็ไม่ใช่ เพราะปริญญาเอกสร้างนิสัยของความหยิ่งจองหอง ไม่ฟังใคร เพราะคนที่จบเอกได้ มักถือว่าตัวเอง เก่งที่สุด ดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่ฟังใคร ทำให้ เขาเหล่านั้น พัฒนาลง หรือ โง่ลงเรื่อยๆหลังจบปริญญาเอก เพราะหลังจากนั้น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรต่อเลย ส่งผลให้เขาเป็น Doctor อีกคนที่ ไม่รวย ไม่มีกิจการใหญ่โต และ ท้ายที่สุดก็มาเป็นลูกจ้างของคนที่เรียนต่ำกว่า
คำที่ว่า "เรียนต่ำกว่า" หมายถึงเรียนในระบบปริญญา แต่การเรียนรู้ในชีวิตจริงต่างหากที่ จะทำให้คนประสบความสำเร็จ --- หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เช้าตื่นมาทำงานซ้ำ ใช้แรงกาย เช่น พิมพ์ดีด ลงบัญชี ตรวจคนไข้ ต่างๆเหล่านี้สร้างได้เพียงความชำนาญ แต่มิได้สร้างให้คนนั้นฉลาดขึ้นแต่อย่างใด

ผมเป็นคนหนึ่งที่นับว่า โชคดี เพราะผมผ่านทั้งงานที่ใช้แรงงาน การสร้างธุรกิจตัวเอง รวมทั้งผ่านการเป็นลูกจ้าง ซึ่งทุกอย่างล้วนมีแง่คิด และ เสริมสร้างการเรียนรู้ที่ต่างกัน --- ซึ่งประเด็นเริ่มต้นคือ ผมเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบอ่าน และ ชอบดู ฟัง อะไรก็ได้ ที่ผมคิดว่ามันให้ประโยชน์ ดังนั้น ในเวลาว่างผมมักมีหนังสือ ติดมือเสมอ ซึ่งหลายคนอาจมองว่า "ไอ้หนอนหนังสือ"

แต่แปลกอยู่อย่างนึงคือ ผมชอบอ่านหนังสือทุกแบบ ยกเว้นหนังสือเรียน ผมเรียนปริญญาตรี ซึ่งผมเลือกเรียนเอก การตลาด เพราะผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ซึ่งการตลาดทำให้ผมสามารถเอาความรู้นอกตำรามาตอบได้ จึงเป็นอะไรที่ลงตัว ก็ได้สูตรเคล็ดลับ คือ ไม่ค่อยเรียนแต่ทำไมได้คะแนนดี จบได้เกียรตินิยม

--- ผมว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามหากเราหาจุดแข็งของเรา ได้เหมาะกับช่องว่างของโอกาส เราก็สามารถพาตัวเราไปสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องออกแรงมาก --- ซึ่งจุดนี้ผมได้แนวคิด หลังจากที่ผมสอบติดมหาลัย แบบไม่อ่านหนังสือ ทุกวิชาผม ได้คะแนนห่วยหมด แต่ภาษาอังกฤษผมได้เกือบร้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ได้ประมาณ 20 ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผมสอบติด มหาลัยธรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจ โดยที่ผมแทบจะไม่ต้องออกแรง เพียงแต่ผม รู้ว่าผมเก่งตรงไหน แล้วใช้จุดแข็งของผมให้เกิดประโยชน์

---- ปัจจุบันผมเห็นคนส่วนใหญ่มักมุ่งทำอะไรที่คล้ายกัน เช่น เรียนเหมือนคนอื่น เรียนพิเศษที่คนนิยม แต่ในสมัยผม ผมไม่ค่อยเรียน แต่ผมชอบทำกิจกรรม เหตุผลที่ผมภาษาอังกฤษ ดีกว่าคนอื่น เพราะผมสอบติด AFS ตอน ม.5 ซึ่งก่อนหน้าที่ผมสอบ AFS ผมเป็นคนที่โง่ภาษาอังกฤษ กับ เลขมาก แต่พอผมได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ภาษาผมก็ดีขึ้น แม้ เลขผมยังห่วยเหมือนเดิม แต่ก็สามารถทำให้ผมติดมหาลัย ที่ผมเลือกไว้อันดับ 1 ได้

--- หลายคนคงสงสัย ว่าผมโง่ภาษาอังกฤษ แต่ทำไมผมสอบติด AFS ซึ่งสอบติดยาก ผมขอตอบเลยว่า ฟลุ๊ค -- ตลกไหมครับ ฟลุ๊ค ซึ่ง ฟล๊ค นี่เกิดได้กับทุกคน และ ผลของมันอาจเปลี่ยนชีวิตของคนๆนึงไปเลยอย่าง เช่นผม --- ถามว่าสิ่งใดที่ทำให้เรา ฟลุ๊ค ผมคิดว่ามันเป็นความกล้า ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่า ตัวเองไม่เก่งพอก็ไม่กล้าที่จะไปสอบแข่งกับคนอื่น แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมคิดว่า ถ้าคุณ กล้าลอง ความสำเร็จ อาจกล้าที่จะให้คุณเช่นกัน (อ่านต่อฉบับหน้า ฮ่า ฮ่า)

วันอังคารที่ 16 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

มาดู History ของ SET กัน.............


- จากปี 1987(2530) เราเจอกับ Black Monday ตลาดเริ่มต้นปีที่ 200 จุด วิ่งไปสุดที่ 450 จุด แล้วเจอ Black Monday กลับลงมาที่ 250 จุด ถือว่าเป็นปีที่ผันผวนแรงมากคือเกิน 100%
- ปี 1988(2531) แน่นอนหลังจากตลาดตกแรงปีนี้ตลาดก็เริ่มฟื้นตัว ตลาดวิ่งจาก 250 ขึ้นไปปิดที่ 450 จุดปลายปี ถือว่าเป็นปีที่ให้ผลตอบแทนที่งดงาม และเป็นจุดเริ่มต้นของ Asian Miracle กับฝันเสือตัวที่ 5 แห่งเอเชีย
- ปี 1989(2532) ธุรกิจ Real estate และ เงินทุนหลักทรัพย์เริ่มบูม ตลาดวิ่งจาก 450 จุด ไปปิดที่ 900 จุดปลายปี
- ปี 1990(2533) ปีนี้เกิดสงครามอ่าวเปอร์ซียอิรักบุกคูเวต ตลาดเริ่มที่ 900 จุด วิ่งไป Peak ที่ 1150 จุด ก่อนที่จะตกลงมาที่ 550 ในปลายปี คือ ต้องพึงสังวรไว้ว่าถ้าปีที่แล้วดี ปีนี้ต้องระวัง และนี่ดีมา 2 ปี ติดกัน ทำให้ปีนี้ต้องมีอันซวยเป็นธรรมดา "สัจธรรม พึงสังวร"
- ปี 1991(2534) จากสงครามอ่าว สู่พฤษภา พมิฬ นับว่าผีซ้ำ เหยียบเรา ต้นปี ตลาดวิ่งจาก550 ขึ้นไปสุดที่ 900 จุด ก่อนที่จะอ่อนลงมาปิดที่ 700 จุดปลายปี คือ ปีนี่ แย่ + แย่ ตลาดหุ้นจึงไม่แย่มาก "อย่า งง จงพึงสังวรครับ"
- ปี 1992(2535) ปีนี้ประเทศเรา เริ่มมี VAT โดย อานันท์ เข้ามาแก้ปัญหา สุจินดาทมิฬ ปีนี้ผันผวน เปิดที่ 700 จุด ขึ้นๆลงๆ ไปปิดที่ 850 จุดปลายปี
- ปี 1993(2536) หลังจากแย่มาหลายปี ติดต่อกัน ปีนี้ตลาดก็กลับมาดี "สัจธรรมมาอีกแล้วครับท่าน" ตลาดเริ่มบูม เข้าสู่ยุคทองคำของตลาดเงิน ตลาดวิ่งจาก 850 จุดไปสูงสุดที่ 1750 จุด( ปีนี้ใครซื้อหุ้นจะรวยมาก) แต่อะไรถ้าดี ก็มีความเสี่ยง ซึ่งปีนี้เป็นปีที่แมลงเม่าเข้าตลาดมากมาย และผลก็คือ ปีต่อมา แมลงเม่าก็ต้องตาย -- คุณสงสัยไหมว่าทำไมพวกแมลงเม่าถึงไม่เข้าตลาดตอน Black Monday แล้วถือยาว น่าคิดไหมครับ
- ปี 1994(2537) ปีนี้ตลาดเริ่มเผาแมลงเม่า จาก 1750 จุด มาปิดที่ 1250 จุด
- ปี 1995(2538) ปีนี้เริ่มเผาแมลงเม่า อย่างหนัก ความเน่าในตลาดเรื่องการเงินเริ่มออกอาการ ตามใจ ขำภโต แห่งกรุงไทย ถูกจำคุก 20 ปี ปีนี้เริ่มเปิดเสรีธุรกิจประกัน ตลาดเริ่มจาก 1250 จุด ลงไปที่ 1100 จุด กระโดดขึ้นไป 1450 จุด แล้วลงมาปิด 1200 จุด ปลายปี เห็นไหมว่า ถ้าเงินนอนคุณไม่เสียอะไรเลยแต่ถ้าเป็นMargin มีแต่ตายกับตาย
- ปี 1996(2539) ปีนี้สหรัฐถล่มอิรัก ตลาดจาก 1400 จุด ลงมาปิด 800 จุด ปลายปี ปัญหาต่างๆเริ่มถมเข้ามา เช่น ปิ่น จักกะพาก กับ เอกธนกิจ เริ่มมีปัญหา / ปัญหา บีบีซี / 1,000 บริษัทในตลาดหลักทรัพย์กำไรลด 20% / บ้านเริ่ม Over supply เพราะสร้างมากเกินไป
- ปี 1997(2540) เริ่มเผาทุกชีวิต ปีแห่งต้มยำกุ้ง สถาบันการเงินล้มระนาว Realestate พังกระจาย ตลาดจาก 800 จุด ลงมาปิดที่ 350 จุด ปลายปี
- ปี 1998(2541) เผาจริง เผาต่อ ไหม้กันทั้งหมด ตลาดจาก 350 จุด ลงมาต่ำสุดที่ 200 จุด ก่อนจะวิ่งไปปิดที่ 300 จุด ปลายปี
- ปี 1999(2542) หลังจากเผามานาน 2 ปีเต็ม ก็ต้องกลับมาดีขึ้น แม้เหตุการณ์ต่างๆยังแย่อยู่ ตลาดวิ่ง จาก 300 จุด ไปปิดที่ 500 จุดปลายปี "ดังนั้นจงจำไว้ว่า ถ้าต่ำสุดๆเมื่อไหร่ให้เข้าตลาด" -- ปีนี้คือ หุ้นกระทิงใน เศรษฐกิจหมี คล้ายกับปี 2009 ยังไงยังงั้นเลยนะเนี่ย ---ปีนี้เริ่มหวั่น Y2K
- ปี 2000(2543) ปีนี้ยังแย่ต่อ หนี้รัฐแตะ 64% ของ GDP สูงกว่าปี 2010 อีก ปีนี้ตลาดรวมดีขึ้นแต่หุ้นกลับแย่ลงวิ่งจาก 450 จุด กลับมาที่ 300 จุด -- ถึงจุดนี้เราเริ่มเสียวแล้วว่าปี 2010 หุ้นอาจกลับมาแย่ใหม่ ตรงนี้ใครดีใครได้
- ปี 2001(2544) ซวยต่ออีก "9/11" จีนเข้า WTO /ทักษิณ เป็นนายก /กำเนิด Harry Potter ตลาดไม่ไปไหน จาก 300 ลงไป 250 วิ่งไป 340 ลงมา 270 แล้วไปปิดที่ 320 สรุปว่าตลาดไม่ไปไหนเลย
- ปี 2002(2545) มือถือ Orange เข้ามาในไทย /แอ๊ด เปิดตัว คาราบาวแดง / เริ่ม RMF - LTF ลดภาษี / Game Online เริ่มฮิตในเมืองไทย Asiasoft ตลาดวิ่งจาก 320 จุด ไปสูงสุดที่ 420 จุดกลางปีและลงต่ำที่ 320 จุด ก่อนมาปิดที่ 370 จุดปลายปี
- ปี 2003(2546) ปีนี้ Roynet เจอปิดเพราะแต่งบัญชี / ซาร์ส ระบาด โรงแรมซวยกันหนัก - ก่อตั้งกองทุนวายุภักษ์พยุงหุ้น / เริ่มบ้านเอื้อาทร / หวยบนดิน ล้างใตเดิน / ครัวไทยสู่โลก /รัฐตั้งกองทุนพยุงราคาน้ำมัน / สินค้าจีนทะลักเข้าไทย หลังเปิด เอฟทีเอ / ไข้หวัดนกกระหน่ำต่อ แต่สรุปตลาดดี จาก 350 จุด วิ่งไปปิดที่ 700 จุด ปลายปี
- ปี 2004(2547) ปีนี้ IPOD เริ่มตีตลาด / orange ทิ้งตลาดไทย / เริ่มวิกฤตราคาน้ำมัน / สุวรรณภูมิดันราคาที่ดินพุ่ง / สึนามิถล่มไทย สรุปหุ้นผันผวนมาก จาก 700 จุด ลงมาต่ำที่ 590 จุด วิ่งไปปิดที่ 680 จุดปลายปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2005(2548) ปี นี้วุ่นวานตามปกติ เจริญ ซื้อ โออิชิ / น้ำมันเริ่มแรง บอนด์น้ำมันขายดี เริ่มกระแสพลังงานทดแทน / เกาหลี ฟีเวอร์ถือกำเนิด หุ้นจากต้นปี 680 จุด วิ่งไปที่740 ลงมาต่ำที่ 640 จุด กระโดดไป 720 จุด ลงมา 680 สิ้นปี วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2006(2549) ทักษิณขายหุ้นเลี่ยงภาษี เปิดตำนาน เสียค่าโง่ประวัติศาสตร์ โดน รัฐประหาร -- ปีนี้หุ้นจาก 680 วิ่งไป 780 จุด ลงมาที่ 650 จุด ก่อนไปปิดที่ 620จุด วิ่งไปวิ่งมา ไม่ได้อะไรเลย ฮ่า ฮ่า
- ปี 2007(2550) ปีนี้นำมันแพงสุดๆ ทำให้กลุ่มพลังงานกำไรมหาศาล -- จตุคามแรงมากปีนี้ หุ้นจาก 650 จุด วิ่งไปสูงสุดที่ 900 จุด ก่อนที่ลงมาปิดที่ 800 จุด ปลายปี (ปีนี้พวกแมลงเม่าเริ่มวิ่งเข้าน้ำมัน และ โรงกลั่น และ นี่ก็คือ สัจธรรม ปีถัดมา มันตายหมดครับท่านผู้ชม)
- ปี 2008(2551) ปี เผาแมลงเม่าน้ำมัน ตลาดกลับไป peak อีกทีที่ 900 จุด ก่อนเผาลงมาปิดที่ 420 จุด เรียกได้ว่าตายกันถ้วนหน้า
- ปี 2009(2552) อีกแล้วครับท่าน เมื่อตลาดต่ำ ย่อมต้องเด้งกลับ จาก 400 จุด วิ่งกลับไปที่ 700 จุดปลายปี --- ลองทำนายซิครับว่าปี 2010(2553) จะเป็นอย่างไร

วันจันทร์ที่ 15 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อะไรสำคัญที่สุดในการวิเคราะห์หุ้น


ผมว่า ภาพใหญ่หรือ Cycle ใหญ่สำคัญ สุด การมอง Cycle ใหญ่คือ การดูว่าปีไหนควรเล่นหุ้น ปีไหนไม่ควรเล่น

จริงๆแล้วภาพเล็กๆผมว่ามันไม่สำคัญเลย เพราะภาพเล็กก็เหมือนการพนัน

คุณไม่สามารถรู้ได้หรอกว่าพรุ่งนี้หุ้นจะขึ้นหรือลง เพราะจริงๆแล้วหุ้นมันไม่ได้ขึ้นลงตามพื้นฐาน แต่จะขึ้นลงสวนความรู้สึกต่างหาก เพราะการที่หุ้นขึ้น แสดงว่าคนซื้อเยอะ

และการที่คนซื้อเยอะแสดงว่าคนส่วนใหญ่มองว่าดี ซึ่งการซื้อในช่วงที่กล่าวมา ถือว่าเสี่ยงเพราะโอกาสที่หุ้นตกมีมาก กลับกันหากทุกคนมองว่าหุ้นไม่ดี ก็จะเทขายออกมา ทำให้ราคาหุ้นลง ซึ่งราคาหุ้นลงก็ทำให้โอกาสที่หุ้นขึ้นในอนาคตมีสูง ดังนั้นจะเห็นได้ว่า ราคาจะวิ่งสวนทางกับความรู้สึก

----สรุปว่า ถ้าคุณไม่เข้าใจจุดนี้ ผมว่า คุณไม่ควรเล่นหุ้น เพราะคุณจะเข้ามาเป็นแมลงเม่าอีกตัวหนึ่งซึ่งผมว่า ไม่ได้เรื่อง เพราะหลักการง่ายๆที่ผมกล่าวมา มันสวนความรู้สึก ยิ่งคุณมีการศึกษาสูงเท่าไร คุณยิ่งไม่เข้าใจมากขึ้นเท่านั้น
สรุปว่า แมลงเม่าคือ คนที่มีการศึกษาสูง ตลกไหมครับท่าน............

Property Fund ในเพลานี้...หรือ ธนทวี ดีกว่า


ตอนนี้ Property Fund นับเป็นการลงทุนทางเลือกที่น่าสนใจ ในระยะกลาง ผมขอเน้นว่าในระยะกลาง ซึ่งความกลางนี้คือ ไม่เกิน 5 ปี เพราะจริงๆแล้ว Property Fund มีการขึ้นลงที่สอดคล้องกับหุ้น กล่าวคือ เมื่อหุ้นขึ้นก็ขึ้นตาม เมื่อหุ้นตกก็ตกตาม

สำหรับตัวผม ซึ่งนิยมการเล่นหุ้นผม ไม่ชอบเพราะเวลาได้ก็ได้น้อยเช่นกัน ไม่สะใจโก๋อย่างผม ฮ่า ฮ่า แต่เวลาที่หุ้นลง Property Fund ก็ลงเช่นกัน ดังนั้น หากมองในแง่ของการ Hedging Port คุณ ก็ถือเป็นการลดความเสี่ยงที่ใช้ไม่ได้เลย

อีกมุมหนึ่งที่ต้องดูคือ Property Fund ในบ้านเราจะเป็น Leased Hold คือไม่มีสิทธิในความเป็นเจ้าของใน Property ดังนั้น การลงทุนเป็นเพียงการลงทุนในแบบเช่า ซึ่งในที่สุดเมื่อหมดสัญญาเช่า มูลค่าของสินทรัพย์ก็จะเป็นศูนย์ เช่น CPNRF แต่ก็มีบางกองที่เป็น Free Hold คือ ซื้อขาดเป็นเจ้าของใน Property เช่น TFUND --แต่แน่นอนถ้าดูผลตอบแทนเงินปันผล Leased Hold จะได้ผลตอบแทนสูงกว่า แต่ท่านจะต้อง หักลดมูลค่าของเงินต้นที่ลงทุนตามระยะเวลาด้วย (ตรงนี้ต้องดูให้ดีก่อนลง!!)

การลดความเสี่ยงที่ดีนั้น ผลตอบแทนของ Instrument นั้นๆจะต้องสวนทางกับหุ้น --- คำถามคือแล้ว Instrument อะไรที่ไม่ขึ้นลงตามหุ้นล่ะ --- ครับก็ เช่น เงินสด, กองทุนรวมธนทวี ที่ซื้อขายได้ทุกวัน แต่ข้อเสียของ Instrument ที่ว่ามาคือ ไม่มีดอกเบี้ย หรือ ดอกเบี้ยต่ำ ในทางปฏิบัติจึงไม่ควรถือไว้นาน ซึ่งการถือ ก็ต่อเมื่อคุณ รู้สึกถึงความเสี่ยงหรือความสยองในตลาด

ดังนั้น ถ้าคุณมองว่าหุ้นอาจตก คุณก็ควรขายหุ้นบางส่วนและมาถือ ธนทวี ซึ่งวิธีนี้เป็นการซื้อ Insurance ให้แก่ Portfolio ของคุณนั่นเอง เพราะถ้าหุ้นตกลงมาจริงๆ หุ้นก็สามารถช้อนซื้อหุ้นด้วยเงินสดที่มี เป็นการลดความเสี่ยงได้อย่างดีทีเดียว แต่ถ้าหุ้นไม่ตกคุณก็ไม่ได้เสียอะไร เพราะ Port ส่วนใหญ่ของคุณก็ยังเป็นหุ้นอยู่ดี ดังนั้น อัตราส่วนของการถือ ธนทวี ควรขึ้นกับความเสี่ยงที่คุณมอง เช่น ในเวลานี้ผมมีหุ้น 70% และ ธนทวีอยู่30%

----แต่ถ้าคุณมองว่าไม่อยากเสี่ยงเท่าผม คุณอาจใช้ 50/50 ก็ได้ --- แต่จุดที่ต้องคิดคือ Style ของคุณนั่นเอง เพราะท้ายสุดการลงทุนก็คือ "High Risk - High Return / Low Risk - Low Return" นะครับ

ปล. "ธนทวี" ก็คือ กองทุนที่ลงทุนในตราสารหนี้ที่มีความมั่นคง อย่างเช่น พันธบัตรรัฐบาล และ ตราสารหนี้ที่มีความเสี่ยงต่ำ ..แต่ข้อดีของธนทวีคือ สามารถซื้อขายได้คล่อง "คือสั่งขายได้วันรุ่งขึ้น"จุดนี้ทำให้มีสภาพคล่องเกือบเท่าเงินสด มีความเสี่ยงน้อยมาก แต่ให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝากปกติ "ผมเองจะไม่มีเงินฝากเลย จะใส่ในรูปของ ธนทวี หรือ ไม่ก็ หุ้นเลย" (ธนทวี เป็นของธนาคารกรุงเทพ ..ถ้าใครสนใจก็ลองศึกษาดูได้ "ผมว่าได้ประโยชน์ครับ!!"

กลุ่ม PTT update


จากปัญหามาบตราพุตที่ยืดเยื้อ ทำให้แผนการควบรวมยืดออกไปอีก ดังนั้นการประกาศควบรวมจะเลื่อนไปเป็นปลาย Quarter 3 ซึ่งหมายความว่า ต้องผ่านครึ่งปีไปแล้ว ซึ่งถ้าให้มองตอนนี้กลุ่ม PTT จะไม่สร้างราคา ดังนั้น การปันผลของทั้งกลุ่มในครึ่งปีแรกจะไม่ดี ที่ปันไปแล้วอย่าง PTTEP จะเห็นได้ว่าปันผลน้อยมาก จุดนี้ผมมองว่าเขาปันน้อยเพื่อดึงราคาไมให้สูง

จากนั้นรอจนถึงปันผลปลายปี จะปันมากเพื่อปั่นราคาหุ้นหุ้น จากนั้นเมื่อประกาศควบรวม ราคาก็จะวิ่งขึ้นไปอีก ดังนั้น การประกาศ ควบรวมต้องหลังปันผลครั้งที่สองไปแล้ว ซึ่งราคาน่าจะขึ้นไปอีกเยอะ

ดังนั้น การซื้อหุ้นที่จะควบรวมอย่างเช่น PTTAR / IRPC / TOP และ PTTCH ไม่ต้องรีบครับ ให้รอซื้อ ตอนใดก็ได้ที่ตลาดตกมาก ให้ก่อนจ่ายปันผลครั้งครึ่งปีหลังเป็นใช้ได้ รับรอง ถ้าคุณจังหวะดี ต้องรับเละแน่นอน โชคดีครับ

ความท้าทายในอาทิตย์ข้างหน้า

การต่อสู้ทางการเมืองยังคงเข้มข้น แต่คำถามคือ ที่ผ่านมา การเมืองในประเทศมีผลต่อตลาดหุ้นมากน้อยเท่าใด จะว่าไปแล้วถ้าไม่ใช่การฆ่าล้างเผ่าพันธ์อย่าง 14 ตุลา ล้วนแล้วแต่ไม่กระทบต่อตลาดมากนัก คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วอะไรที่ทำให้กระทบตลาดล่ะ --- ก็คือ เหตุการณ์ต่างประเทศ อย่าง Subprime ที่ผ่านมา บ้านเราแทบไม่กระทบแต่ตลาดหุ้นหล่นไปเกือบครึ่ง ดังนั้น การมองไปข้างหน้าจะพบกับ หนึ่ง ยึดทรัพย์ทักษิณ และ อีกอย่างคือ Concern เรื่อง Double-dip ของ US economy ซึ่งประเด็นแรกไม่น่าทำให้ตลาดตกมาก แต่ประเด็นหลังเรื่อง Double-dip ถ้าเกิดขึ้น เราจะเจอกับ New Low ของตลาดอีกครั้ง แต่การที่ Us จะเจอ Double-dip น่าจะผ่านครึ่งปีไปแล้ว สรุปว่าครึ่งปีหลังมีลุ้น หุ้นถูกๆ
อย่างไรก็ตาม การปันผลของตลาดในระดับนี้ ผมว่าซื้อตอนไหนก็ไม่ขาดทุนในระยะยาว ระยะยาวที่ผมพูดถึงคือ ถ้าคุณมีเงินนอนระดับห้าปีขึ้นไป ซื้อตอนไหนก็กำไรทั้งนั้น --- ตัวเด็ดๆ ที่ผมรอซื้ออีก ก็คือ ADVANC ตัวนี้ถ้า Dip เมื่อไหร่ให้กระโจนเข้าใส่ทันที เพราะ การที่ทุกคน Predict side way ของตลาดในระยะยาว การซื้อหุ้นปันผลสูงๆ ที่มีโอกาสได้ Capitalด้วย น่าจะเป็นการลงทุนในภาวะนี้ที่ฉลาดที่สุดครับ

วันศุกร์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

หุ้น IPO ใหม่ๆน่าลงทุนไหม


  ตอนนี้หุ้นน้องใหม่ เช่น IVL อินโดรามา หุ้นปลายน้ำของของสายปิโตรเครมี จริงๆแล้วผมเป็นคนไม่ค่อยชอบหุ้น IPO because it stand for "IPO = It proberbly over Value" คือส่วนมากมันไม่ใช่หุ้นถูก

แต่หุ้นพวกนี้ตอนเข้าตลาดใหม่ๆจะมีคนคอยปั่นราคา ดังนั้นการเล่นหุ้นพวกนี้ต้องเร็ว ไม่ต้องคอยกำไรมากเพราะ เดี๋ยวอาจติดได้ ตัวชี้วัดหลักที่จะเห็นได้ว่าหุ้นพวกนี้แพงก็คือ PE จะสูงกว่าหุ้นที่อยู่ในสาย ปิโตรเคมีด้วยกัน รวมทั้ง P/BV ก็สูงด้วย

เพราะถ้าพิจารณาให้ดีแล้ว ธุรกิจอย่าง IVL เป็น Commordity ดังนั้น Strategy ในการแข่งขันต้องใช้ Economic of Scale ดังนั้น ต้นทุนสูงแต่กำไรต่ำ นั่นย่อมหมายถึงความเสี่ยงสูงเช่นกัน

   หุ้นตัวนี้จะเอาเทียบกับ กรุงเทพประกันชีวิตไม่ได้ เพราะอยู่คนละ สถานะ อย่าง BLA ถ้ามองให้ดีเป็นกึ่งผูกขาด Brand BBL ซึ่งมี Loyalty ค่อนข้างสูง

ดังนั้น จะได้เปรียบเพราะการระดมทุนจะสร้างฐานให้แข็งแกร่ง ประกอบกับการได้ BBL ช่วยเหลืออย่าง ออกนอกหน้า ทำให้กลายเป็นหุ้นที่ดีไปโดยปฏิยาย

---- กลับมาที่ประเด็นว่า ควรซื้อหุ้น IPO ไหม ผมว่าถ้าคุณเป็น Trader ซื้อเร็วขายเร็ว ผมว่าไม่น่ามีปัญหา แต่ถ้าคุณเป็นประเภทลงทุนยาวแบบ Value Investor ผมว่าไปซื้อตัวอื่นอย่างเช่น PTT / PTTEP / PTTAR จะเวิร์คกว่าครับ

ยิ้มทั่วหน้า ADVANC ปันผล 8.3 บาท

   ฮ่า ฮ่า ฮ่า แจ๋วมากหุ้น ADVANC ผมชอบหุ้นตัวนี้มาก ถือมาตั้งนานแล้ว ทำกำไรให้ผมเป็นล้านบาท ปีที่แล้ว ส่วนปีนี้ก็เริ่มส่อแวว ดูดีเพราะประกาศว่าจะปันผล 8.3 บาท จากที่ผ่านมาผมว่าผู้บริหารของบริษัทนี้แน่มาก ตั้งแต่ปีที่แล้วที่แอบปลดพนักงานลดต้นทุน จากนั้นก็มาเพิ่มเงินปันผล ผมว่าสาเหตุหลักๆ ที่ผู้บริหารเข้าใจปั่นราคาหุ้นเพราะเขาได้ ESOP คือได้หุ้นบวกกับเงินเดือน ดังนั้นถ้าเขาสร้างให้หุ้นราคาดี เขาก็จะได้ประโยชน์จาก Capital Gain จะเห็นได้ว่า บริษัทนี้ปันผลอย่างจุใจ ปีนี้ก็ราวๆเกือบ สิบเปอร์เซ็นต์ เรียกได้ว่าคุณต้องเอาเงินไปฝากธนาคาร สิบปี ถึงเท่าเงินปันผลของ ADVANC หนึ่งปี ไง ล่ะ งง...งง กันใหญ่ ไม่ต้อง งง หรอกครับเพราะระหว่างที่ งง ผมว่าให้ท่านๆไปซื้อหุ้นตัวนี้มาแล้วรับแต่ปันผล ท่านก็จะเริ่มหาย งง เพราะมันจะ มันส์แทน    ---- จะว่าไปแล้วหุ้นที่ตรงข้ามกับ ADVANC ในตลาดบ้านเรามีเยอะ ส่วนใหญ่เป็นธนาคารใหญ่ๆบ้านเรา จะเห็นได้ว่า ปันผลสุดต่ำ สุดท้ายราคาก็ไม่ไปไหน Price per Book ไม่เคยถึง 2 ผู้บริหารก็คือ เจ้าของ และเขาก็ไม่เคยได้รับประโยชน์จากการที่หุ้นราคาขึ้น เพราะเขาไม่เคยขาย แต่อาศัยธนาคารเป็นฐานสำหรับกิจการอื่น ตรงนี้นักลงทุนต้องระวังเพราะการที่เป็น Price per Book ต่ำ ก็อยากวื้อ นึกว่าตัวเองเป็น Value Investor ระวังหุ้นที่ซื้อราคาจะไม่ไปไหน แถมปันผลก็แย่ แต่ถ้าให้ผมแนะนำลองลง ธุรกิจกาฝากที่เขาปั่นดูซิครับ ราคาวิ่งเป็นจรวด ตั้งแต่ IPO ราคาขึ้นมาเป็นเท่าตัวแล้ว ไม่ต้องสงสัยก็ กรุงเทพประกันชีวิตไงล่ะครับ ตัวนี้ถ้าราคาหย่อนลงมาเข้าเก็บได้เลย ถ้าไม่ถึง 30 เจ้าของเขายังไม่เริ่มปล่อย ดังนั้นมี Room ให้สำหรับ Trader ใจถึงครับ 

วันอังคารที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

การลงทุนในคอนโด น่าลงทุนไหม


เวลานี้ตลาดคอนโดในเมืองกำลังรุ่งมากๆ อย่าง LPN / AP / SPALI รับไปเต็มๆ ขนาด PS ยังเข้ามาแจมเลย
ในความเห็นของผม การซื้อคอนโดในมุมมองของผมคือไม่น่าลงทุนในระยะยาว

เพราะคอนโด ในระยะยาวตึกจะเสื่อมสภาพ ดังนั้นถ้าเทียบกับที่ดินจะต่างกัน เพราะในระยะยาวที่ดินจะมีราคาเพิ่มในขณะที่สิ่งปลูกสร้างมีราคาลดลงและต้องทุบทิ้งในที่สุด

ดังนั้น คอนโดหรูขนาดใหญที่มีเจ้าของร่วมนับพันคน บนที่ดินไม่กี่ไร่ ก็เท่ากับว่าคุณเป็นเจ้าของที่ดินจริงๆไม่กี่ ตารางเมตร

ในฮ่องกงซึ่งมีการสร้างคอนโดมานาน ก็เริ่มมีปัญหาและรือถอนอาคารเก่าๆ แล้วสร้างใหม่

ซึ่งในจุดนี้ประเทศไทยยังเพิ่งสร้างตึกไม่นานมาก จึงยังไม่มีปัญหาตึกเสื่อมสภาพต้องรื้อทิ้ง ดังนั้น ในระยะยาวเรื่องพวกนี้รวมทั้งกฏหมายกรรมสิทธิ์ของคอนโดในเมืองไทย อาจเกิดปัญหาได้

---- สรุปแล้วพวกที่จ่ายที 5 -10 ล้านซื้อคอนโดหรูๆ ผมว่าต้องคิดให้ดีนะครับ ผมว่าจะให้ดี ซื้อห้องเล็กไม่แพงเอาไว้อยู่ใกล้ที่ทำงาน ส่วนบ้านก็ซื้อมันไกลๆ เอาไว้พักผ่อนวันหยุด อย่างนี้ผมว่า บ้านตากอากาศคุณจะมี Capital Gain อย่างมากในอนาคต เพราะตัวที่ดินนั่นเองครับ

ตลาดจะBottom รอบนี้ที่ไหน


ผมจะยึดเงิน Fund Flow ของฝรั่งเป็นหลัก คือ ณ เงินทุนฝั่งที่เข้ามาปีที่แล้วตอน 30,000 ล้าน SET อยู่ที่ 640 จุด

แต่เวลานี้ที่เงินเท่ากัน SET อยู่ที่ 680 จุด --- แสดงว่าตลาดยังมี room ตกได้อีก ประมาณ 40 จุด ----และที่ประมาณการของผมที่ Fund flow อยู่ที่ 20,000 ล้าน ถ้าเทียบกับปีที่แล้วคือ 609 เอา Room 40 จุด บวกเข้าไป แสดงว่ารอบนี้น่าจะมี bottom ที่ประมาณ 649 จุดนั่นเอง

ซึ่ง 649 จุดนี้ ผมขอทำนายว่าเป็น Bottom ของปี 2553 นี้ ซึ่งถ้าจุดสูงสุดอยู่ที่ 900 จุด คือ มี Upside Gain ได้ประมาณ 40% นับว่าน่าสนใจมาก สำหรับการลงทุนในปีนี้ครับ

สัปดาห์สองของเดือนกุมภา-น่ากลัวไหม?


ตอนนี้ย่างเข้า week 2 ของเดือน กุมภา ตอนนี้ตลาดเริ่มเข้าขาลง แต่ในมุมมองของผม คิดว่าเป็นขาลงที่เป็นโอกาสให้เราเข้าซื้อหุ้นในราคาถูก เพราะ ถ้ามอง Alternative investment อื่นๆ ในตลาด ก็ไม่เห็นมี ตราสารหรือการลงทุนใดที่ให้ผลตอบแทน(ในระยะยาว) ได้ดีกว่าหุ้น

ที่นิยมอยู่ตอนนี้ก็เช่น ธนทวีของ BBL ที่ให้ผลตอบแทนไม่เสียภาษีและซื้อขายได้ทุกวัน แต่ผลตอบแทนไม่ถึง 1 % นับว่า แย่ แต่ก็ดีกว่าเงินฝาก เพราะให้ผลตอบแทนดีกว่า ถ้ามองถึงกองทุน mutual Fund ต่างๆ ก็ให้ผลตอบแทนส่วนใหญ่ไม่ได้เรื่อง เพราะถ้าคิดง่ายๆ คือ เราจ่ายเงินให้คนไปซื้อหุ้นให้เราแล้วเขาก็คิดค่าแรง รวมทั้งคิดเปอร์เซ็นต์จากผลกำไร ผมถามหน่อย คุณไปซื้อหุ้นเองไม่ดีกว่าหรือ (เพราะ Performace ที่ออกมาก็ไม่ได้ชนะตลาดแต่อย่างใด ไม่รู้จะไปจ่ายเงินให้พวกนี้ทำไม) ต่อไปก็พวก Bond และ หุ้นกู้ พวกนี้ผลตอบแทนประมาณ 5% แต่ปัญหาอยู่ที่สภาพคล่องต่ำ

---- สรุปได้ว่ามองไปทั้วตลาดก็ไม่มีอะไรชนะหุ้นที่ผลตอบแทน Dividend อยู่ที่ 5%(แล้วแต่ตัว เช่น ADVANC 7%/ PTT 5% / TOP 6%) บวกกับ Capital Gain ประมาณ 50% ในระยะเวลา 5 ปี เท่ากับว่าคุณได้ผลตอบแทนเฉลี่ยจากหุ้นที่ซื้อเวลานี้เท่ากับ 15% ต่อปี เป็นเวลาห้าปี (คือประมาณว่าถ้าต้องการผลตอบแทนขนาดนี้ต้องฝาก Fix ที่ธนาคารประมาณ 75 ปีคร๊าบ.....)

ช่วงเวลาจากนี้ไป จนถึงการตัดสินยึดทรัพย์คุณ ทักษิณ เป็นช่วงวัดใจ ตอนนี้ผมก็เป็นคนนึงที่หาจังหวะเข้าเพิ่ม แต่ใครดีใครได้ครับเพราะผมไม่รู้ว่า Bottom ตรงไหน เพราะถ้าร่วงไปนี้อีกสักหน่อย อาจทำให้ Port โดยรวมให้ผลตอบแทนเกิน 15% ก็เป็นได้ครับ (ตอนนี้ฝรั่งขายทั้ง รายย่อยเข้าซื้อ จริงๆแล้วดูไม่ค่อยดี เพราะฝรั่งขายทิ้งทีไร ตลาดก็ไปไม่ไหวเพราะเงินหลักๆก็มากจากฝรั่งทั้งนั้น ตอนนี้จากต้นปีถอนไป หมื่นล้านแล้ว แต่ผมมองว่าที่ Bottom ฝรั่งคงถอนออกไปไม่เกิน 2 หมื่นล้าน ดังนั้น ต้องจับตัวเลขเข้าออกของ Fund Flow ให้ดี -- แต่ถ้าแตะ Bottom ของรอบนี้เมื่อไหร่ ตลาดจะเด้งขึ้นแรงทันที (หอมหวานสำหรับ Trader ใจถึงมากๆครับ)

วันพุธที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

อยากได้กำไรระยะสั้น ทำไงดี


ตอบง่ายๆว่า ท่านต้องเสียง ---คำถามต่อมาคือ เสี่ยงหุ้นตัวไหน -- ตอบ ง่ายว่า แล้วแต่คุณ ฮ่า ฮ่า ฮ่า ผมล้อเล่น จริงแล้วผมแนะนำคือ หุ้นเตรียม M&A หรือ ควบรวม เวลานี้มีเห็นๆ คือ SCIB กับ PTT --หลายคนสงสัยว่า ตัวไหนดีกว่า ---อันนี้ผมตอบไม่ได้

แต่ถ้าถามว่าตัวไหนเสียงน้อยกว่า บอกได้เลยว่า PTTAR เสียงน้อยกว่า เพราะ PTTAR ตั้งแต่เข้าตลาดมาสองปี ราคาหุ้นยังไม่ได้กลับไปแตะราคา IPO ที่ 40 กว่าบาทต่อหุ้นเลย นั่นแสดงว่า การเข้าไปซื้อเวลานี้คุณไม่ได้ซื้ออยู่บนดอย ประเด็นที่สอง การปันผลของ PTTAR ค่อนข้างดี ประเด็นที่สามคือ แนวโน้มการควบรวมที่จะ ผลักดันราคาหุ้นให้เข้าใกล้ราคา IPO เผื่อว่าผู้บริหาร PTT ที่เสียเงินกันไปถ้วนหน้าตอน IPO จะได้ถอนทุนคือ ดังนั้นไม่ต้องสงสัยว่า ถ้าคุณเป็นผู้บริหาร PTTAR ที่เสียเงินตอน IPO คุณ จะทำอย่างไร

--- วิเคราะห์ง่ายๆคือ คุณก็จะต้องปันผลดีๆ ตอนมีนาเพื่อดังราคาหุ้นให้ขึ้นสูงก่อนการประกาศ ควบรวม และพอประกาศควบรวมกับ IRPC ราคาก็จะขึ้นต่อไป ยิ่งเข้าไปใกล้ 40 บาท เท่าไหร่ยิ่งดี

สรุปว่าคุณได้สองเด้งในระยะเวลาประมาณ 2 เดือน คือ ทั้ง ปันผล และ Capital Gain ---ใครใจถึง เราไปเจอกันที่ความรวยแบบทันใจ -- จะได้มากน้อยขึ้นกับความสามารถส่วนตัวของคุณ ที่จะซื้อ PTTAR ได้ราคาต่ำเท่าใด เพราะจากเวลานี้ ไปจนตัดสินคดีคุณทักษิณ มีโอกาสที่จะได้ของถูก อันนี้ขึ้นกับ "เกมวัดใจคุณแล้ว" -- โชคดีคร้าบ.............

เดือนเดือด การเมืองเสียว ทักษิณทั้งเดือดทั้งเสียว


เข้าเดือนกุมภาแล้ว แต่ต่างชาติยังวิ่งออกจากตลาดหุ้นไปอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้ต่างชาติขายหุ้นออกไปเกือบ 9 พันล้านแล้ว -- ถ้าเทียบจากยอดการซื้อสุทธิปีที่ผ่านมา 2552 ต่างชาติ ซื้อสุทธิแค่ 38,000 - 9,000 = 29,000 ล้านบาท กลุ่มสถาบันขายสุทธิ 5,000 ล้าน กลุ่ม Broker ขายสุทธิ 1,000 ล้าน ส่วนนักลงทุนในประเทศยังขายสุทธิ 20,000 ล้านบาท

สรุปว่า ยอดเงินที่เข้าตลาดสุทธิตั้งแต่ต้นปี 2552 ถึง ปัจจุบัน เท่ากับ 29,000 ลบกับ 5,000 + 1,000 + 20,000 ได้ยอดเงินเข้าตลาดรวม แค่ประมาณ 3,000 ล้าน แต่ SET Index เพิ่มจาก 400 จุด มาที่ 700 จุด Market cap รวมเพิ่มขึ้น กว่า 2 ล้านล้านบาท

คำถามคือ เงินเข้ามาในตลาดเพิ่มขึ้น 3 พันล้าน แต่ทำไม Market Cap. หรือ มูลค่าของบริษัทถึงเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ---- ฮ้า...งง งง กันใหญ่ครับ... ก็ตอบง่ายๆครับว่า มูลค่าของหุ้นจริงๆแล้ว มิได้สะท้อนภาพรวมทั้งหมดของตลาด เพราะการที่หุ้นมีราคาปิดขึ้นลงมันเกิดจากการ เปลี่ยนมือของหุ้นส่วนน้อย(ปริมาณเล็กๆเมื่อเทียบกับทั้งตลาด) นั่นหมายความว่า ผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ก็ยังคงถืออยู่เช่นเดิมไม่ได้เปลี่ยนแปลง ดังนั้น เจ้าของบริษัทใหญ่ๆ เช่น ตระกูลดังๆ เขาก็ยังถือหุ้นเหมือนเดิม ไม่ว่าหุ้นจะขึ้นหรือลง เขาก็ยังคงถือหุ้นเหมือนเดิม

--- แต่เมื่อเวลาผ่านไปพอตลาดสงบ พวกตระกูลใหญ่เหล่านั้นก็รวยขึ้น ตามราคาหุ้นที่ดีขึ้น โดยที่เขาไม่เห็นต้องออกแรงอะไรเลย (บรรดา Day Trader ผู้ที่ซื้อขายเอากำไร วันละเล็กๆทุกวัน คง งง ว่าแล้วสิ่งที่เขาทำกันอยู่มันดีจริงหรือไม่ -- ก็คิดง่ายๆว่า พวกที่อยู่เฉยๆ หรือ ตระกูลใหย่ๆเขารวยเอารวยเอา(คนรวยรวยขึ้น) ขณะที่คนเล่นหุ้นทั้วๆไปประมาณ 80% ขาดทุน)

--- ดังนั้น คำพูดที่ว่าคนรวยยิ่งรวยขึ้น และคนจนยิ่งจนลง มันมีคำอธิบาย จากการเล่นหุ้น คุณว่าจริงไหม (ใครกล้าๆกลัว ก็จะเสีย ส่วนพวกที่ไม่กลัว ก็มักจะได้กำไรสูงในระยะยาว ) ตลกดีนะครับพูดง่ายทำยาก เลยไม่ค่อยมีใครรวยมากๆ

ย้อนกลับมาที่ประเด็นเริ่มต้นคือ เงินเข้ามาในตลาดสุทธิแค่ 3,000 ล้าน แต่มูลค่ารวมเพิ่มขึ้น 2 ล้านล้านบาท ถามว่าราคาหุ้นตอนนี้แพงหรือไม่ ตอบเลยว่าแพง(เพราะผู้ถือหุ้นส่วนใหญ่ซื้อถูกกว่าเรา)

--คำถามต่อไปคือ แล้วหุ้นจะขึ้นต่อหรือไม่ ก็ตอบเลยว่า จะต้องขึ้น เพราะท้ายที่สุดราคาหุ้นก็จะสะท้อนมูลค่าการเติบโตที่แท้จริงของกิจการ ตอนนี้มูลค่าสะท้อนที่แท้จริงอยู่ที่ SET พันกว่า จุดใน Scope ใน 10 ปี ดังนั้น ผลตอบแทนหลักหลังการเข้าซื้อในเวลานี้คือ Dividend บวกกับ Capital Gain ปีละประมาณ 10 กว่าเปอร์เซ็นต์ สรุปว่า ผลตอบแทนรวยที่คุณจะได้ หลังจากตลาดผ่านไปอีกสิบปีข้าหน้าก็ประมาณ 15% ต่อปี

คือ ถ้าคุณลงทุน 10 ล้านในวันนี้ คุณก็จะได้ 40 ล้านในอีก 10 ปี --ตกปีละ 4 ล้าน(จากการคิด 15% compounding นั่นเอง) ถ้าปีไหนคุณได้มากกว่านั้น คุณต้องระวัง Bubble ให้ดี แต่ถ้าคุณไม่กลัวก็ให้ถือยาว แล้วไปพบกันที่ปลายทาง 10 ปีข้างหน้า กับเศรษฐีคนใหม่ คือ คุณไงครับ ฮ่า ฮ่า

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ