แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553

ช่องว่างของเวลากับการเรียนรู้


คนทุกคนมีเวลาเท่ากันที่ 24 ชั่วโมง แต่ปริมาณการเรียนรู่ของแต่ละคนต่างกันมาก ซึ่งวัยที่รับการเรียนรู้ได้อย่างสูงที่สุดก็คือวัยเด็กหรือวัยเรียน แต่ปัญหาของการเรียนรู้ในวัยเด็กก็คือ การท่องจำ เพราะเรื่องราวต่างๆที่เรียนมักเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้น ความเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนจะน้อยมาก ซึ่งการท่องจำนี่เองที่กลายเป็นนิสัยปลูกฝังให้เด็กคิดไม่เป็น ดังนั้นเมื่อเด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ ระบบการเรียนแบบท่องจำก็จะ Block ให้เขาไม่สามารถที่จะหาความรู้ด้วยตัวเอง จุดนี้เองคือ จุดอ่อนของระบบการศึกษาแบบ Asia ซึ่งสร้าง "นักจำ" มากกว่า "นักคิด"

คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วเราจะสร้างนักคิดอย่างไร --- หลายคนบอกว่า งั้นทำไมไม่ให้ทุกคนศึกษาด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนๆนั้น ในที่สุดจะไม่ศึกษาอะไรเลย เพราะนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์คือ รักความสบาย ดังนั้น การศึกษาด้วยตัวเองจะไม่เกิดขึ้นหากเขาไม่มีระเบียบวินัยและเป้าหมายที่ชัดเจน

ตัวอย่างที่ดีของการ รักการศึกษาด้วยตัวเอง คือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในต่างประเทศ -- คนเหล่านี้จะเป็นนักอ่าน นักฟังและ นักดู ตัวยง เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าเขาหยุดศึกษาเมื่อไหร่เขาก็จะไม่ทันคู่แข่งทันที ประเด็นสำคัญที่ทำให้เขามุ่งศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ การแข่งขัน และส่วนที่สร้างแรงจูงใจ ก็คือ เป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยความอดทน

--- สรุปง่ายๆว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่โรงเรียนสอนเราคือ ความอดทนมีระเบียบวินัย และ ก็การแข่งขัน นอกจากนั้น ผมว่า Bull Shit เพราะเนื้อหาที่สอนส่วนใหญ่คือ สิ่งที่ทุกคนควรรู้ ดังนั้น แสดงว่า ความรู้ที่สอนอยู่ในโรงเรียน หรือ มหาลัย เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ --- ผมถามหน่อยว่า การที่คุณจะประสบความสำเร็จ เหนือ คนอื่น ไม่ว่า จะเป็นธุรกิจ หรือ แม้แต่การลงทุน การเล่นหุ้น ข้อได้เปรียบก็คือ คุณรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้

คำถามอีกข้อคือ ความรู้ที่ทุกคนเรียนจนถึงปริญญาโท มีอะไรที่คนอื่นไม่รู้บ้าง -- ตอบเลยว่าไม่มี ดังนั้น การเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงปริญญาโท ผมสรุปได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จเหนือคนอื่น -- มาถึงจุดนี้หลายคนคงนึกอยู่ในใจแล้วว่า คำตอบของความสำเร็จคือ ปริญญาเอก

-- ก็ไม่ใช่ เพราะปริญญาเอกสร้างนิสัยของความหยิ่งจองหอง ไม่ฟังใคร เพราะคนที่จบเอกได้ มักถือว่าตัวเอง เก่งที่สุด ดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่ฟังใคร ทำให้ เขาเหล่านั้น พัฒนาลง หรือ โง่ลงเรื่อยๆหลังจบปริญญาเอก เพราะหลังจากนั้น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรต่อเลย ส่งผลให้เขาเป็น Doctor อีกคนที่ ไม่รวย ไม่มีกิจการใหญ่โต และ ท้ายที่สุดก็มาเป็นลูกจ้างของคนที่เรียนต่ำกว่า
คำที่ว่า "เรียนต่ำกว่า" หมายถึงเรียนในระบบปริญญา แต่การเรียนรู้ในชีวิตจริงต่างหากที่ จะทำให้คนประสบความสำเร็จ --- หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เช้าตื่นมาทำงานซ้ำ ใช้แรงกาย เช่น พิมพ์ดีด ลงบัญชี ตรวจคนไข้ ต่างๆเหล่านี้สร้างได้เพียงความชำนาญ แต่มิได้สร้างให้คนนั้นฉลาดขึ้นแต่อย่างใด

ผมเป็นคนหนึ่งที่นับว่า โชคดี เพราะผมผ่านทั้งงานที่ใช้แรงงาน การสร้างธุรกิจตัวเอง รวมทั้งผ่านการเป็นลูกจ้าง ซึ่งทุกอย่างล้วนมีแง่คิด และ เสริมสร้างการเรียนรู้ที่ต่างกัน --- ซึ่งประเด็นเริ่มต้นคือ ผมเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบอ่าน และ ชอบดู ฟัง อะไรก็ได้ ที่ผมคิดว่ามันให้ประโยชน์ ดังนั้น ในเวลาว่างผมมักมีหนังสือ ติดมือเสมอ ซึ่งหลายคนอาจมองว่า "ไอ้หนอนหนังสือ"

แต่แปลกอยู่อย่างนึงคือ ผมชอบอ่านหนังสือทุกแบบ ยกเว้นหนังสือเรียน ผมเรียนปริญญาตรี ซึ่งผมเลือกเรียนเอก การตลาด เพราะผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ซึ่งการตลาดทำให้ผมสามารถเอาความรู้นอกตำรามาตอบได้ จึงเป็นอะไรที่ลงตัว ก็ได้สูตรเคล็ดลับ คือ ไม่ค่อยเรียนแต่ทำไมได้คะแนนดี จบได้เกียรตินิยม

--- ผมว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามหากเราหาจุดแข็งของเรา ได้เหมาะกับช่องว่างของโอกาส เราก็สามารถพาตัวเราไปสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องออกแรงมาก --- ซึ่งจุดนี้ผมได้แนวคิด หลังจากที่ผมสอบติดมหาลัย แบบไม่อ่านหนังสือ ทุกวิชาผม ได้คะแนนห่วยหมด แต่ภาษาอังกฤษผมได้เกือบร้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ได้ประมาณ 20 ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผมสอบติด มหาลัยธรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจ โดยที่ผมแทบจะไม่ต้องออกแรง เพียงแต่ผม รู้ว่าผมเก่งตรงไหน แล้วใช้จุดแข็งของผมให้เกิดประโยชน์

---- ปัจจุบันผมเห็นคนส่วนใหญ่มักมุ่งทำอะไรที่คล้ายกัน เช่น เรียนเหมือนคนอื่น เรียนพิเศษที่คนนิยม แต่ในสมัยผม ผมไม่ค่อยเรียน แต่ผมชอบทำกิจกรรม เหตุผลที่ผมภาษาอังกฤษ ดีกว่าคนอื่น เพราะผมสอบติด AFS ตอน ม.5 ซึ่งก่อนหน้าที่ผมสอบ AFS ผมเป็นคนที่โง่ภาษาอังกฤษ กับ เลขมาก แต่พอผมได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ภาษาผมก็ดีขึ้น แม้ เลขผมยังห่วยเหมือนเดิม แต่ก็สามารถทำให้ผมติดมหาลัย ที่ผมเลือกไว้อันดับ 1 ได้

--- หลายคนคงสงสัย ว่าผมโง่ภาษาอังกฤษ แต่ทำไมผมสอบติด AFS ซึ่งสอบติดยาก ผมขอตอบเลยว่า ฟลุ๊ค -- ตลกไหมครับ ฟลุ๊ค ซึ่ง ฟล๊ค นี่เกิดได้กับทุกคน และ ผลของมันอาจเปลี่ยนชีวิตของคนๆนึงไปเลยอย่าง เช่นผม --- ถามว่าสิ่งใดที่ทำให้เรา ฟลุ๊ค ผมคิดว่ามันเป็นความกล้า ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่า ตัวเองไม่เก่งพอก็ไม่กล้าที่จะไปสอบแข่งกับคนอื่น แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมคิดว่า ถ้าคุณ กล้าลอง ความสำเร็จ อาจกล้าที่จะให้คุณเช่นกัน (อ่านต่อฉบับหน้า ฮ่า ฮ่า)

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ