วันจันทร์ที่ 22 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2553
ช่องว่างของเวลากับการเรียนรู้
คนทุกคนมีเวลาเท่ากันที่ 24 ชั่วโมง แต่ปริมาณการเรียนรู่ของแต่ละคนต่างกันมาก ซึ่งวัยที่รับการเรียนรู้ได้อย่างสูงที่สุดก็คือวัยเด็กหรือวัยเรียน แต่ปัญหาของการเรียนรู้ในวัยเด็กก็คือ การท่องจำ เพราะเรื่องราวต่างๆที่เรียนมักเป็นเรื่องที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยเจอมาก่อน ดังนั้น ความเข้าใจในเรื่องราวที่เรียนจะน้อยมาก ซึ่งการท่องจำนี่เองที่กลายเป็นนิสัยปลูกฝังให้เด็กคิดไม่เป็น ดังนั้นเมื่อเด็กคนนั้นโตเป็นผู้ใหญ่ ระบบการเรียนแบบท่องจำก็จะ Block ให้เขาไม่สามารถที่จะหาความรู้ด้วยตัวเอง จุดนี้เองคือ จุดอ่อนของระบบการศึกษาแบบ Asia ซึ่งสร้าง "นักจำ" มากกว่า "นักคิด"
คำถามที่เกิดขึ้นคือ แล้วเราจะสร้างนักคิดอย่างไร --- หลายคนบอกว่า งั้นทำไมไม่ให้ทุกคนศึกษาด้วยตัวเอง ผลลัพธ์ที่เกิดขึ้นคือ คนๆนั้น ในที่สุดจะไม่ศึกษาอะไรเลย เพราะนิสัยดั้งเดิมของมนุษย์คือ รักความสบาย ดังนั้น การศึกษาด้วยตัวเองจะไม่เกิดขึ้นหากเขาไม่มีระเบียบวินัยและเป้าหมายที่ชัดเจน
ตัวอย่างที่ดีของการ รักการศึกษาด้วยตัวเอง คือ นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ โดยเฉพาะในต่างประเทศ -- คนเหล่านี้จะเป็นนักอ่าน นักฟังและ นักดู ตัวยง เพราะเขารู้ดีว่า ถ้าเขาหยุดศึกษาเมื่อไหร่เขาก็จะไม่ทันคู่แข่งทันที ประเด็นสำคัญที่ทำให้เขามุ่งศึกษาอย่างต่อเนื่อง คือ การแข่งขัน และส่วนที่สร้างแรงจูงใจ ก็คือ เป้าหมาย ซึ่งประกอบด้วยความอดทน
--- สรุปง่ายๆว่า สิ่งที่ดีที่สุดที่โรงเรียนสอนเราคือ ความอดทนมีระเบียบวินัย และ ก็การแข่งขัน นอกจากนั้น ผมว่า Bull Shit เพราะเนื้อหาที่สอนส่วนใหญ่คือ สิ่งที่ทุกคนควรรู้ ดังนั้น แสดงว่า ความรู้ที่สอนอยู่ในโรงเรียน หรือ มหาลัย เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่รู้ --- ผมถามหน่อยว่า การที่คุณจะประสบความสำเร็จ เหนือ คนอื่น ไม่ว่า จะเป็นธุรกิจ หรือ แม้แต่การลงทุน การเล่นหุ้น ข้อได้เปรียบก็คือ คุณรู้ในสิ่งที่คนอื่นไม่รู้
คำถามอีกข้อคือ ความรู้ที่ทุกคนเรียนจนถึงปริญญาโท มีอะไรที่คนอื่นไม่รู้บ้าง -- ตอบเลยว่าไม่มี ดังนั้น การเรียนตั้งแต่ชั้นประถมจนถึงปริญญาโท ผมสรุปได้ว่าเป็นเรื่องที่ไม่ได้ทำให้คุณประสบความสำเร็จเหนือคนอื่น -- มาถึงจุดนี้หลายคนคงนึกอยู่ในใจแล้วว่า คำตอบของความสำเร็จคือ ปริญญาเอก
-- ก็ไม่ใช่ เพราะปริญญาเอกสร้างนิสัยของความหยิ่งจองหอง ไม่ฟังใคร เพราะคนที่จบเอกได้ มักถือว่าตัวเอง เก่งที่สุด ดังนั้น คนเหล่านี้จะไม่ฟังใคร ทำให้ เขาเหล่านั้น พัฒนาลง หรือ โง่ลงเรื่อยๆหลังจบปริญญาเอก เพราะหลังจากนั้น เขาไม่ได้เรียนรู้อะไรต่อเลย ส่งผลให้เขาเป็น Doctor อีกคนที่ ไม่รวย ไม่มีกิจการใหญ่โต และ ท้ายที่สุดก็มาเป็นลูกจ้างของคนที่เรียนต่ำกว่า
คำที่ว่า "เรียนต่ำกว่า" หมายถึงเรียนในระบบปริญญา แต่การเรียนรู้ในชีวิตจริงต่างหากที่ จะทำให้คนประสบความสำเร็จ --- หนึ่งวันมี 24 ชั่วโมง เช้าตื่นมาทำงานซ้ำ ใช้แรงกาย เช่น พิมพ์ดีด ลงบัญชี ตรวจคนไข้ ต่างๆเหล่านี้สร้างได้เพียงความชำนาญ แต่มิได้สร้างให้คนนั้นฉลาดขึ้นแต่อย่างใด
ผมเป็นคนหนึ่งที่นับว่า โชคดี เพราะผมผ่านทั้งงานที่ใช้แรงงาน การสร้างธุรกิจตัวเอง รวมทั้งผ่านการเป็นลูกจ้าง ซึ่งทุกอย่างล้วนมีแง่คิด และ เสริมสร้างการเรียนรู้ที่ต่างกัน --- ซึ่งประเด็นเริ่มต้นคือ ผมเป็นคนชอบเรียนรู้ ชอบอ่าน และ ชอบดู ฟัง อะไรก็ได้ ที่ผมคิดว่ามันให้ประโยชน์ ดังนั้น ในเวลาว่างผมมักมีหนังสือ ติดมือเสมอ ซึ่งหลายคนอาจมองว่า "ไอ้หนอนหนังสือ"
แต่แปลกอยู่อย่างนึงคือ ผมชอบอ่านหนังสือทุกแบบ ยกเว้นหนังสือเรียน ผมเรียนปริญญาตรี ซึ่งผมเลือกเรียนเอก การตลาด เพราะผมไม่ชอบอ่านหนังสือ ซึ่งการตลาดทำให้ผมสามารถเอาความรู้นอกตำรามาตอบได้ จึงเป็นอะไรที่ลงตัว ก็ได้สูตรเคล็ดลับ คือ ไม่ค่อยเรียนแต่ทำไมได้คะแนนดี จบได้เกียรตินิยม
--- ผมว่าไม่ว่าจะทำอะไรก็ตามหากเราหาจุดแข็งของเรา ได้เหมาะกับช่องว่างของโอกาส เราก็สามารถพาตัวเราไปสู่เป้าหมายโดยไม่ต้องออกแรงมาก --- ซึ่งจุดนี้ผมได้แนวคิด หลังจากที่ผมสอบติดมหาลัย แบบไม่อ่านหนังสือ ทุกวิชาผม ได้คะแนนห่วยหมด แต่ภาษาอังกฤษผมได้เกือบร้อย ในขณะที่คนส่วนใหญ่ได้ประมาณ 20 ซึ่งจุดนี้เองทำให้ผมสอบติด มหาลัยธรรมศาสตร์ บริหารธุรกิจ โดยที่ผมแทบจะไม่ต้องออกแรง เพียงแต่ผม รู้ว่าผมเก่งตรงไหน แล้วใช้จุดแข็งของผมให้เกิดประโยชน์
---- ปัจจุบันผมเห็นคนส่วนใหญ่มักมุ่งทำอะไรที่คล้ายกัน เช่น เรียนเหมือนคนอื่น เรียนพิเศษที่คนนิยม แต่ในสมัยผม ผมไม่ค่อยเรียน แต่ผมชอบทำกิจกรรม เหตุผลที่ผมภาษาอังกฤษ ดีกว่าคนอื่น เพราะผมสอบติด AFS ตอน ม.5 ซึ่งก่อนหน้าที่ผมสอบ AFS ผมเป็นคนที่โง่ภาษาอังกฤษ กับ เลขมาก แต่พอผมได้เป็นนักเรียนแลกเปลี่ยน ภาษาผมก็ดีขึ้น แม้ เลขผมยังห่วยเหมือนเดิม แต่ก็สามารถทำให้ผมติดมหาลัย ที่ผมเลือกไว้อันดับ 1 ได้
--- หลายคนคงสงสัย ว่าผมโง่ภาษาอังกฤษ แต่ทำไมผมสอบติด AFS ซึ่งสอบติดยาก ผมขอตอบเลยว่า ฟลุ๊ค -- ตลกไหมครับ ฟลุ๊ค ซึ่ง ฟล๊ค นี่เกิดได้กับทุกคน และ ผลของมันอาจเปลี่ยนชีวิตของคนๆนึงไปเลยอย่าง เช่นผม --- ถามว่าสิ่งใดที่ทำให้เรา ฟลุ๊ค ผมคิดว่ามันเป็นความกล้า ซึ่งคนส่วนใหญ่มักมองว่า ตัวเองไม่เก่งพอก็ไม่กล้าที่จะไปสอบแข่งกับคนอื่น แต่ผมไม่คิดอย่างนั้น ผมคิดว่า ถ้าคุณ กล้าลอง ความสำเร็จ อาจกล้าที่จะให้คุณเช่นกัน (อ่านต่อฉบับหน้า ฮ่า ฮ่า)
สมัครสมาชิก:
ส่งความคิดเห็น (Atom)
บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
หลายคนสงสัยว่า ตลาดหุ้นผันผวนสุดๆ ทำไมนักลงทุนระยะยาวถึงแทบไม่เคยดูราคาหุ้นขึ้นลงรายวันเลย ? "บ้าหรือ เงินแกว่งขึ้นลงเป็น แสน เป...
-
"ใครว่าเป็นนักธุรกิจยาก ..หากเทียบนักกีฬา เกมธุรกิจเล่นง่ายกว่าเยอะ -- เล่นแล้วรวยอีก!!" ..คิดดูนะ ถ้าเราเล่นกีฬาอะไรก็ต...
-
‘หุ้นไทย’ ไม่มีอนาคตแล้วจริงหรือ ? 1. ’ขาขึ้นรอบใหม่ มักเริ่มเวลาที่ทุกคนสิ้นหวัง’ …ก็ไม่แปลกที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยได้ซื้อหุ้นต้นรอบ 2. ’ไทยม...
-
6 ข้อ ใสใส VI รุ่นใหม่ ควรต้องรู้ ขึ้นชื่อว่า ‘นักลงทุนคุณค่า’ ก็แปลว่า เราต้องข้ามผ่าน ’ราคา’(Price) แล้วพุ่งไปที่แก่นของมันคือ ‘มูลค่า’ (...
-
7 ข้อ ที่คนปกติเขาไม่ทำกันในตลาดหุ้น 1. ’หมกมุ่นอยู่ในจุดที่คนอื่นบอกไม่มีอนาคตแล้ว‘ …ตลาดหุ้นไทยไม่มีอนาคตแล้ว ไปตลาดอื่นเถอะ 2. ’ซื้อหุ้น...
-
'ขายของอย่างไรในยุคขายยาก' คนที่จะขายสินค้าและบริการได้เก่งในยุคนี้แบบ Steve Jobs คือ สามารถสร้างสินค้าและบริการที่ 'โดน' มา...
-
วันนี้ไปเจอหนังสือเล่มนึง ที่ผมว่า เขียนได้ In-trend มากๆ ..มันเป็นแนวคิดสำหรับ คนรุ่นใหม่ที่อยาก Self-made "คนรุ่นใหม่ที่สร้างตัวด้วยต...
-
วันนี้มีโอกาสได้คุยกับ คุณ สุระ ผู้ก่อตั้ง Com7 เจ้าของ ร้านในเครือ Banana IT ..เดี๋ยวนะ อันนี้ไม่ได้เกี่ยวกับการมาเชียร์หุ้น แต่จะมาเล่ามุ...
-
ในหนังสือ สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ ...มีอยู่บทนึงที่พูดถึง การหาตัวตนของเราให้เหมาะกับงาน ...ซึ่งก็คือ การรู้ว่า "จริตการทำงาน" ขอ...
ย้อนรอย SET จัดทำเพื่อย้ำเตือนของคำพูดที่ว่า "History Repeat itself!!"
- ภาพใหญ่หุ้นไทย ปี 1987 - 2009
- ย้อนรอย SET ปี 1987 - 1990(จาก Black Monday ไปแตะ 1,000 จุด)
- ย้อนรอย SET ปี 1991 - 1993 ( 3 ปีสู่ยอดดอย )
- ย้อนรอย SET ปี 1994 - 1996 ( 3 ปี แห่งการ "เผาหลอก" )
- ย้อนรอย SET ปี 1997 - 1999 ( 3 ปี "เผาจริง"แตะ Bottom แล้วเด้งขึ้น )
- ย้อนรอย SET ปี 2000 - 2008 ( 9 ปี แห่งการ "พายเรื่อในอ่าง" )
- ย้อนรอย SET ปี 2009 (Do you Remenber?)
"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ
-
จาก หนังสือพิมพ์ ไทยรัฐ หน้า 20 - วันอาทิตย์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2556 : Link ที่ Thairath Online http://www.thairath.co.th/content/life/321...
-
10 เรื่องที่ต้อง "รู้งี้" ก่อนจบปริญญา ... 1. "ใบปริญญามีวันหมดอายุ" ..หลายคนคิดว่า ใบปริญญาไม่มีวันหมดอายุ พอเรียนจ...
-
ในตลาดจริงๆ มีหุ้นอีกมากมายที่เรามองข้าม ..หลายคนก็กลัวว่าซื้อแล้วหุ้นจะไม่ขึ้น แต่ลองมองอีกมุมนึงว่า ถ้าหุ้นนั้นๆ ให้ปันผลในระดับ 5 -10% ต...
-
ตลาดหุ้นไทย จะไปอย่างไรต่อ!! -- เป็นคำถามที่ตอบยากมากที่สุดคำถามนึง เท่าที่ผมเจอมาตลอด..อิ อิ (จริงๆ ภาพ Chart อันนี้ ก็ตอบเกี่ยวกับ ทิศทาง...
-
'คำทำนาย ที่ว่าโลกหลังปี 2017 จะเกิด ..ธุรกิจเล็กจะใหญ่ ธุรกิจใหญ่จะเล็ก!!' ยุคนี้รายใหญ่ก็ตายได้ ..รายเล็กก็เกิดได้ ..นี่อ่านข...
-
วันนี้มาดอนเมือง ผมได้ชิมกาแฟมวลชน จุดเริ่มของ All Cafe ของ 7-11..วันนี้เกมค่าปลีกแข่งดุ เนื่องจากค่าเช่าแพงขึ้นตามราคา Asset ที่พุ่งกร...
-
เราค้างเรื่องของ "จิตอิสระ" กับ "จิตทาส" เอาไว้ว่า มันแบ่งระหว่าง คนที่จิตเป็นทาส ย่อมเป็นทาสตลอดไป ไม่ว่าระหว่างทางใน...
-
Luxury คือ เงินเฟ้อ!! เศรษฐกิจไม่ดี ทำไม ของแพงขึ้น ค่าครองชีพสูงขึ้น ..คนธรรมดาทำไมอยู่ยากขึ้นทุกวันล่ะ ? ก็เพราะ เราไม่รู้ว่า 'ความห...
-
วันนี้ฟังรายการ "คุยกับ อาจารย์ วีระ ธีรภัทร ช่อง FM 96.5" ...ไปสะกิดกับคำถามนึง คือ มีพี่ผู้หญิงท่านนึงเขาโทรเข้ามาแล้วระบายให้...
-
(อันนี้ยกขึ้นมาให้ดูเล่นๆนะครับ ..ไม่ได้จะบอกว่ามันดีหรือไม่ เพียงแต่ มาดูกัน "แปลกดี") ประเด็นแรก ผมชอบหุ้นปันผล แต่ตัวนี้ถ้ามอง...
ไม่มีความคิดเห็น:
แสดงความคิดเห็น