แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 31 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ต่อไปสาขาธนาคาร จะไม่มีความหาย จริงหรือ

"ต่อไปสาขาธนาคาร จะไม่มีความหมาย จริงหรือ ?"

ผมผ่านตาไปเจอบทความนึง เกี่ยวกับสาขาธนาคาร ว่า "ต่อไปจะไม่มีความหมาย และ ทยอยปิดตัวลง" ..อ้าวเฮ้ย!!  ผมในฐานะที่เป็นพนักงานในบริษัทลูกของธนาคารกรุงเทพ ..ก็เลยมานั่งคิดๆ ว่า เอ๊ะ ต่อไป สาขาของธนาคารจะหมดความหมาย แล้วผมจะไปทำอะไรกินอ่ะ ...555

ช่างเถอะ ผมว่า เรื่องผมจะทำอะไรกินไม่ใช่ประเด็น ..แต่ประเด็นมันอยู่ที่ แล้วอะไรคือ เหตุผลที่ จะทำให้สาขาธนาคาร หมดความหมาย มาวิเคราะห์กัน

1. ในมุมลูกค้า ถ้าสาขาไม่ได้สร้างประโยชน์ให้ลูกค้า มันก็จะค่อยๆ หมดความหมาย ...คนรุ่นก่อน ทำธุรกรรมการเงินต่างๆ ผ่านธนาคาร แต่คนรุ่นใหม่ทำธุรกรรมผ่าน Internet ..ดังนั้น สาขาธนาคารจะหมดความหมายไปเรื่อยๆ ในเรื่องของการให้บริการที่ทำบนออนไลน์ ...ข้อเสนอ ผมคือ "ถ้าอยากมีสาขาต่อไป ก็ต้องทำ ธุรกรรมที่ทำออนไลน์ไม่สะดวก ..พูดง่ายๆ ต้องขยายการบริการในส่วนที่ต้องเห็นหน้า ...เหมือนวันนี้เราไปร้านกาแฟ ร้านอาหาร เพราะ มันต้องกิน มันดื่มออนไลน์ไม่ได้ -- นั่นแหละ สาขาในอนาคตต้องทำที่ออนไลน์ทำไม่ได้ แล้วเกิดประโยชน์ต่อลูกค้า

2. ในมุมของต้นทุนของบริษัท ..ปัจจุบันที่ดิน และ อสังหาแพงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น การเปิดสาขา ถ้าไม่สร้างรายได้คุ้มค่า ก็จะไม่เปิด ...เหมือนร้านค้าตามห้างที่เราเห็นทยอยปิดตัวเพราะ ค่าเช่าขึ้นทุกปี ..ถ้ารายได้ไม่คุ้มสาขาก็ต้องปิด -- ผมว่าอนาคตสาขาธนาคารอาจจะเปิดน้อยลง เหลือแต่พื้นที่ที่เปิดแล้วคุ้ม ..แต่สาขาที่เปิดน่าจะเปิดให้ใหญ่ขึ้น ในที่เดินทางสะดวก ค่าเช่าไม่แพง ...เพราะ ธุรกิจการเงินแม้ธุรกรรมส่วนใหญ่ในอนาคตจะเป็นออนไลน์ แต่เรื่องความน่าเชื่อถือ สำคัญมากในธุรกิจแบบนี้ -- ดังนั้น ลดจำนวนสาขา แต่สร้าง Flagship Branch แทน ...อีกหน่อยเราจะได้เห็น สวนสนุกการเงิน , Money Town ศูนย์รวมการเงิน , พิพิธภัณฑ์การเงิน (ที่มันต้องสนุก ไม่ใช่น่าเบื่อนะ)

สรุป "สาขาธนาคารแบบเดิม จะหมดยุค แล้วค่อยๆ ปิดตัวลง" ...แต่ "สาขาธนาคารในรูปแบบใหม่ ก็มาแทน"

...สิ่งที่น่าคิดคือ

1. สาขาธนาคารในอนาคต จะเป็นอย่างไร ให้บริการอะไร และ ขายสินค้าอะไรบ้าง? (ถ้าใครรู้ว่า ธนาคารจะให้บริการอะไร และ ขายอะไร คุณอาจเตรียมเอาสินค้าคุณไปร่วมขายกับธนาคาร ...เป็นไปได้ไหม ที่ธนาคารจะเปลี่ยนเป็น 7-11 ทางการเงิน ...เพราะ วันนี้ 7-11 ก็มาทำธุรกรรมการเงินแข่งธนาคาร ...แล้วธนาคารซึ่งพนักงานมีความรู้ค่อนข้างดี อาจไปไปขายสินค้าอย่างอื่นเพิ่ม เช่น เป็นศูนย์อสังหาครบวงจร ฝาก-ขาย-กู้-บริหาร จัดการเสร็จ)

2. สาขาธนาคารในอนาคต จะตั้งอยู่ที่ไหน ? (ถ้าใครรู้ว่า ธนาคารในอนาคตจะตั้งใน Real-estate แบบไหน ไปเก็งกำไรรอเลยครับ เพราะ สาขาธนาคารทั้งอุตสาหกรรมมีเยอะมักๆ...จำเป็นหรือที่ธนาคารต้องอยู่ในห้างสรรพสินค้าที่ค่าเช้าแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ไม่มีวันลง ...ทำไมธนาคารไม่ไปตั้งในจุดที่ ค่าเช่าถูก หรือ ที่ดินที่ซื้อขาด ไกลหน่อยก็ได้ แต่จอดรถสะดวก แล้วครบวงจร ...ไปทำแบบ IKEA บางนาไปเลย เปิด BANK & Investment Center แบบสวนสนุกการเงิน ไปเลย)

ธุรกิจในอนาคต มันจำกัดแค่จิินตนาการ ...เอาแค่วันนี้ใครจะรู้ว่า "ลูกจ้างธนาคารอย่างผม วันนี้สามารถเป็นเจ้าของธนาคารได้แล้ว"

เฮ้ย!! ทำไง ...ง่ายๆ ครับ ผมก็ซื้อหุ้นธนาคารที่ผมอยากเป็นเจ้าของ ซื้อแบบ "ออมในหุ้น" แค่นี้ผมก็เป็นเจ้าของธนาคารแล้วจริงไหม (คนส่วนใหญ่ ซื้อๆ ขายๆ ..พวกนี้ไม่ใช่เจ้าของ เขามาแล้วไป ...แต่เจ้าของ ถือชั่วชีวิต)

ผมว่า นักลงทุนตัวเล็กๆ ในอนาคต จะมี Say มากขึ้น ...คือ "ช่วยธุรกิจที่เข้าไปซื้อในการคิด" ไม่ช่วยบริหาร แต่ขอช่วยคิด

 ..."คนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจ ไม่ใช่คนที่นั่งเทียนแล้วจมอยู่กับแนวทางเดิมๆ ...แต่จริงๆ คนที่เข้าใจธุรกิจและเห็นอนาคตของอุตสาหกรรม คือ ลูกค้าต่างหาก -- ถามลูกค้าซิ ..ให้ลูกค้าจินตนาการซิ ว่า เขาฝันจะให้เราทำอะไรเพื่อเขา ...คุณและผมนี่แหละ ที่จะกำหนดว่า อนาคตของธุรกิจต้องเป็นอย่างไร ...คิดในใจผู้บริโภค นั่นแหละ ชนะ!!"

http://www.thansettakij.com/2015/12/30/20404

วันพุธที่ 30 ธันวาคม พ.ศ. 2558

หลักปฏิบัติ 10 ประการเมื่อรู้ว่าธุรกิจตัวเองกำลังจะเจ๊ง


หลักปฏิบัติ 10 ประการเมื่อรู้ว่าธุรกิจตัวเองกำลังจะเจ๊ง

วันนี้อ่านบทความใน Social เห็นหลายๆคนบ่นว่าธุรกิจตัวเองกำลังจะเจ๊ง ..เอางี้ ไหนๆ คุณก็จะเจ๊ง ลองเอาหลักปฏิบัติ 10 ประการนี้ไปลองพิจารณา เผื่อว่า 'เทวดาอาจเห็นใจในความพยายาม'

จริงๆ แล้วผู้เขียนเอง เคยมีประสบการณ์เจ๊งมาแล้ว ..ซึ่งผู้เขียนเอง หนักกว่าท่านทั้งหลาย เพราะผู้เขียนสามารถเจ๊งในช่วงเศรษฐกิจโดยรวมดี เรียกว่า 'คนอื่นดี กรูก็ยังเจ๊งได้' 

อย่างไรก็ตาม 'ความเจ็บปวด และน้ำตาของผู้เขียนได้ตกผลึก ออกมาเป็น 10 ข้อดังนี้'

1. กางกระดาษมาหนึ่งแผ่น แบ่งเป็น 2 ส่วน อันนี้ได้แรงบันดาลใจมาจาก Consulting ระดับโลก เขาใช้หลัก 80/20 ..ให้ List ออกมาว่า 'สินค้าอะไรขายดี 20 % ของสิ่งที่ทำรายได้ 80% อยู่ในส่วนขายดี ..แล้ว 80% ของสินค้าที่ทำรายได้ 20% ...เขียนเสร็จก็ทยอยเลิกขายฝั่ง 80% สั่งให้น้อยลง ลดจำนวนลง เพราะของเหล่านี้ ทำให้ธุรกิจเราขี่ช้างจับตั๊กแตน (อันนี้คือ รู้เรา)

2. เขียนรายชื่อลูกค้า 20 รายแรก(20%) ที่ทำเงินให้เรามากที่สุด แล้วเอาของขวัญปีใหม่ไปกราบสวัสดีพูดคุย ..ลองฟังซิว่า คนเหล่านี้เขาอยากได้อะไร (นี่คือ Demand ของธุรกิจ)

3. เขียนรายชื่อพนักงาน 20/80 คือ List คน 20% ที่ทำรายได้ 80% ให้เรา ...'ปีนี้แจกโบนัสแบบ ก้อนสุดท้าย จัดเต็มให้เห็นความแตกต่างจากพนักงานปกติ' (นี่คือ ต้นทุนหนักๆ ที่ธุรกิจแบก)

4. เลี้ยงข้าวครั้งใหญ่ เพื่อหาข้อเสนอแนะจากพนักงาน 20% ที่กล่าวมา ..'คนเหล่านี้ เขารู้ดีว่า โอกาสรอดของธุรกิจเราคืออะไร ..จด ๆๆ แล้วเอาไปคิดให้หนัก' (นี่คือ โอกาสของธุรกิจ ที่คนส่วนใหญ่มองข้าม)

5. เตรียมตัดขา รักษาชีวิต ...อันนี้โหด แต่ต้องทำก่อนที่ธุรกิจจะเจ๊ง ให้ทำในกรณีเจ๊งชัวร์ๆละ ..ก็ทยอยเลิกขายสินค้า 80% ที่ทำรายได้น้อยที่สุด และ ก็ทยอยเลิกจ้างพนักงาน 80% ที่ทำรายได้น้อยสุด 

6. ปิดหน้าร้านซะ ..สิ่งที่หนักขึ้นเรื่อยๆ คือ ค่าเช่า ..เป็นไปได้ไหมว่า เราสามารถเข้าถึงลูกค้า 20% ที่ใช้สินค้าเรามากที่สุด โดยที่เราไม่ต้องมีหน้าร้าน ..ยังขายตรงถึงเขาได้ไหม (Location ที่ดีในปัจจุบัน อาจไม่จำเป็นต้องมีหน้าร้านเสมอไป)

7. ไม่ต้องทำ Closing Sales แต่ให้เลือกของที่ยังดี ไปสมนาคุณ ลูกค้า 20% ..เป็นของขวัญวันปิด หน้าร้าน เพื่อบริการที่ดีขึ้น และ ราคาที่คุ้มค่าขึ้นในอนาคต

8. สำรวจคนที่ทำธุรกิจคล้ายๆเรา แล้วเอากระดาษกับปากกาไปจดว่า 'ทำไมมันรอด แล้วทำไมกรูเจ๊ง' ..ถ้าคุณตั้งใจดู คุณจะสามารถตอบได้ทันที เหมือนมีที่ปรึกษาธุรกิจมาช่วย (อันนี้ ต่อยอด เรื่อง รู้เขา)

9. ขยายตลาดจากลูกค้า 20% ของเรา ...ให้เปลี่ยนวิธีทำตลาด แทนที่จะหว่านหาลูกค้า ให้เปลี่ยนเป็นหาลูกค้าจากเพื่อนของคน 20% ที่รักเรา ..อย่าใช้การแจกของ หรือลดราคา แต่ให้เพิ่มในเรื่องของการบริการให้ดีขึ้นไปอีก ..ส่งฟรี ..ซ่อมฟรี ..เปลี่ยนทันที ..และเป็นที่ปรึกษาแบบสุดใกล้ชิด Line ได้ ..โทรรับ ..ถึงตลอด !! (ทำตลาดกับคนที่รักเรา อย่าเสียเวลากับคนที่ไม่รักเรา)

10. ทุกอย่างคุยได้ ..หลายคนคิดว่า ทุกอย่างรังแกฉัน แต่โลกแห่งความจริง ทุกอย่างสามารถคุยได้ แม้แต่หนี้ธนาคาร ..ผ่อนได้ ยืดเวลาได้ ..เพราะ ยังไงก็ดีกว่า ไม่จ่ายเลย -- คำแนะนำของผมคือ 'คุยก่อน ค่อยเจ๊ง ..หรือ เจ๊งแล้วค่อยคุย ..คือ กรูไม่จ่ายแล้ว เพราะไม่มี แต่ถ้าคุณช่วยแบบนี้ ผมยังอาจจะทำธุรกิจฟรีๆ เพื่อแค่จ่ายหนี้คุณ' (ฟังดูดีกว่าเจ๊งนะ)

ทั้ง 10 ข้อนี้ ไม่มีก่อนหลัง ดูจังหวะเอาเอง ..ก็คิดซะว่า ลองคิดๆ ทำๆ ดู เผื่อจะไม่เจ๊ง ...แต่ถ้ายังเจ๊ง ก็ให้รู้ว่า เราได้พยายามสุดความสามารถแล้ว ..เพราะหลักการต่างๆนี้ พวกที่ปรึกษาแพงๆ เขาก็ใช้กัน -- เอาว่า คุณลองทำตัวเป็นที่ปรึกษา Consulting Me - Change Me ด้วยตัวเองดู

เอาใจช่วยครับ ...ผ่านแล้วรวย !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 

หลักการขึ้นเงินเดือน 10 ข้อ ในยุคสมัยนี้


หลักการขึ้นเงินเดือน 10 ข้อ ในยุคสมัยนี้

ฮึม!! ใครบ้างไม่อยากให้เงินเดือนขึ้น ..อยากซิครับ ..แต่มันมีทางเลือกอยู่ 2 ทาง คือ หนึ่ง  สายดวง ใช้การเปลี่ยนตำแหน่งวงโคจรตามดวงดาว จากนั้นนั่งรอให้เงินเดือนค่อยๆ ขึ้นเอง วิธีนี้มหัศจรรย์มาก แต่ไม่เคยเกิดกับผมเลย ผมจึงต้องเลือกทางที่สอง / สอง สายสองมีหลัก 10 ข้อ ใครทำครบ แล้วเงินเดือนไม่เพิ่มแนะนำให้กลับไปใช้ทางสายแรก ..555

มาดูกันหลัก 10 ข้อ สร้างทางสู่การขึ้นเงินเดือน

1. เรียนปริญญาสูงขึ้น มุขนี้เปลือง ใช้เงินและเวลาเยอะ คนใช้กันมาก เคย work ในอดีต แต่ประสิทธิภาพลดลงเรื่อยๆ ในปัจจุบัน

2. เรียนภาษาอังกฤษ อันนี้ Upgrade Status เพราะคนพูดภาษาอังกฤษได้ เท่ห์ขึ้น แล้วมีโอกาสได้งานที่มีอนาคตเงินมากกว่า ..แต่คนพูดภาษาอังกฤษได้เยอะขึ้นจนแทบไม่สร้างความแตกต่าง

3. เรียนคอม ..ดี แต่ยาก เพราะคนส่วนใหญ่ไม่เก่งคอม และ ข้อเสียคือ Out เร็วมาก ..ข้อแนะนำ ก็ดีกว่าไม่เป็น

4. เรียนหุ้น ..อันนี้ต้นทุนสูง ผ่านแล้วรวย แต่ต้องเสียค่าครูก่อน ..ค่าครูคือ โดนรับน้อง เพราะทุกคนก่อนจะเล่นหุ้นเป็น ล้วนเคยเสียหายก่อน ..เข้าสูตร สตางค์หาย สติเกิด ปัญญาจึงตามมา

5. ทำงานเกินความคาดหมาย ..อันนี้พูดง่ายทำยาก เพราะแค่ทำงานตามสั่งก็ยังแทบจะไม่รอด ..อันนี้ต้องทำเกินสั่ง 'มนุษย์เกิน'

6. คิดบวกเฟ่อร์ ..สร้างประจุบวกให้คนรอบข้าง คิดบวก พูดบวก แสดงบวก ..ในทางปฏิบัติอาจดู Fake เฟคมาก เพราะ จิตใจแท้จริงเต็มไปด้วยประจุลบ ..โอววว ไม่!!

7. สร้างตนเป็น Net IDOL ..ยุคนี้ปั้นตัวเองได้ แต่ก็ไม่ง่าย เพราะต้องมีความแปลก ..ถ้าไม่แปลกเกิดยาก ...แปลก !!

8. ฝึกพูดในที่สาธารณะ ..อันนี้ดี แต่หาเวที และสถานที่ฝึกฝนยาก ..หาให้ได้ซิ

9. หารายได้ที่สองตรงๆเลย ..มีตั้งแต่เปิดร้านออนไลน์ , เอาของไปขายตามตลาด , ขายตรงฝึก Skill การขาย ...ฝึกขาย อันนี้ยากตอนเริ่ม แต่พอเป็นแล้วจะพริ้วขึ้นเรื่อยๆ คิดแบบว่ายน้ำนั่นแหละ

10. อาสาทำงานยากๆ งานแปลกๆ งานบ้าๆ ..อาจจะดูเสี่ยงในความคิดเรา แต่ยุคนี้ไม่เสี่ยงคือแป๊ค (งานเรื่อยๆ ดูมั่นคง แบบไร้อนาคต) ..การเข้าสู่เสี่ยงแหละที่ไม่เสี่ยง

ถ้าทำได้เกิน 7 ข้อ ...เงินเดือนน่าจะเพิ่มแล้ว เพราะทั้งหมดมันคือการลงทุนในตัวเอง

'มีคนถามผม ถ้าเงินน้อยๆ จะลงทุนยังไงให้ได้ผลคุ้มค่าที่สุด ..ตอบ ก็ลงทุนพัฒนาตัวเองไง' 

...สูตรลงทุนพัฒนาตัวเอง มันให้ 10 เด้ง ..อยากรวย อย่าไปเสี่ยงดวง อันนั้นเจ้ามือรวย ..อยากรวยให้จ่ายเงินให้ตัวเอง แล้วตัวเองจะเปล่งแสง แสดงฝีมือ ยกระดับตัวเอง 10 เด้ง นั่นเองจ๊าาาา !!

สิ่งที่น่าใจหาย แห่งปี 'เราจนลง'


'สิ่งที่น่าใจหายแห่งปี ..ธุรกิจ ปากท้อง โอวว'

วันนี้อ่านผ่านตาเห็นการปิดตัวของอีกหนึ่งนิตยสารใหญ่ 'เปรียว' ..เห็นแล้วตกใจอ่ะ

นิตยสารเปรียวเป็นผู้นำในวงการแฟชั่นมากว่า 35 ปี ซึ่งการปิดตัวครั้งนี้ บก.ถึงกับกล่าวว่า 'หมดยุคสื่อสิ่งพิมพ์และนิตยสารเรียบร้อย' 

(เลิกอ่านผ่านกระดาษ คนเราจะอ่านผ่านหน้าจอ แล้วฟรี ..ทุกอย่างฟรี ..อ้าว เฮ้ย!! ..ไม่เป็นไร ..555)

ผมก็มานั่งทบทวนดูว่า 'เรากำลังอยู่ท่ามกลางการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจครั้งใหญ่ในประวัติศาสตร์อีกครั้งเลยก็ว่าได้' 

...ครั้งก่อนที่เปลี่ยนแบบใหญ่ๆ ก็สมัยปี 1997 ยุคเปลี่ยนแปลงค่าเงินครั้งใหญ่ พาธุรกิจประเทศไทยเป็นประเทศส่งออก 'เย่!! ประเทศโรงงานนรก (เพราะค่าเงินถูก เราถึงผงาดขึ้นเป็นโรงงานนรกของเอเชียได้ พ่วงมาด้วยการท่องเที่ยว เพราะมันถูก)

วันนี้น่าจะเป็นอีกครั้งที่จะเปลี่ยนแปลงแบบมโหฬาร ...มาดูกันซิว่า อะไรกำลังจะมา

1. ยุคแห่งผู้สร้าง The Producer Era..ยุคนี้ใครๆก็เป็นนักร้องได้ เป็นนักเขียนได้ เป็นดาราได้ ปั้นตัวเองได้ ..ไม่มียุคใดในโลกที่คนธรรมดาสามารถเป็น Producer แล้วปั้นผลงานตัวเองให้คนอื่นได้รู้ ...ดังนั้น ยุคนี้ใครมัวแต่เป็นผู้บริโภคอย่างเดียว ไม่ Producer บ้าง อาจซวย (เพราะ Consumer เอาแต่จ่ายให้คนอื่นรวย ..แต่คนที่เป็น Producer ด้วยจะมีรายได้หลายทาง ..ชิวได้ ..สนุกด้วย)

2. ยุคปั้นธุรกิจใช้เงินนิดเดียว ..เดี๋ยวนี้ทำธุรกิจ มีมือถือเครื่องเดียว ก็เปิดร้านออนไลน์ได้แล้ว ..วันนี้ใครทำงานประจำ แล้วไม่มีร้านออนไลน์น่าจะอยู่ยาก เพราะเจ้าของร้านออนไลน์ที่เห็นรวยเร็ว อินเทนด์ อายุน้อยร้อยล้าน ก็คือ เพื่อนในออฟฟิสคุณและผมนี่แหละ ..รีบคิดหารายได้เพิ่มซะ ก่อนเพื่อนๆจะแซงคุณไปหมด

3. ชีวิต Slow Life มาเยือนคุณแล้ว ...คนรวยยุคนี้ ไม่ใช่พวกมีสิบล้าน ร้อยล้านหรอกนะ ..แต่เป็นมนุษย์ที่เขาเลือกชีวิตของตัวเองได้ต่างหากที่เรียกว่ารวย !!

ชีวิตคนเราตั้งแต่เด็กจนเรียนจบ มันไม่มีทางเลือก 'ก้มหน้าตั้งใจเรียนไป เพราะเป็นหน้าที่'  แต่พอถึงวันที่เริ่มเลือกได้ คนส่วนใหญ่ก็ก้มหน้าทำงานไปวันๆ หวังว่าวันนึงนายจ้างคงใจดี เลื่อนเราให้เป็นเศรษฐี (โลกสวยไปป่ะ)

ฮึม!! นั่นละครครับ ..'คุณไม่มีทางแบบว่า อยู่ดีๆ ก็เพิ่งมาทราบว่า ที่แท้ยายของเราเป็นเจ้าหญิง มีสมบัติแสนล้าน และวังรอเราอยู่ ..เฮ้ย!! นั่นละคร น้ำเน่าด้วย' -- ชีวิตจริง ถ้าไม่วางแผน เริ่มงานตรงไหน ก็จบตรงนั้นแหละ

ยุคนี้ต้องเริ่มจากหนึ่ง หาประสบการณ์เป็นลูกจ้าง ให้รู้จักโลกจริงๆ ..จากนั้น พัฒนาตัวเอง หาลู่ทางจากอาชีพที่ใช้ตัวเราน้อยทำไปด้วย เช่น ธุรกิจออนไลน์ , ขายของ , ทำอาชีพที่สองให้รู้ว่า 'ทำเงิน มันต่างกับทำงาน ยังไง'

'หนึ่ง รู้จักทำงาน สอง รู้จักทำเงิน แล้วสาม ...เดี๋ยวเราจะเริ่มรู้จักตัวเอง ..สี่ เจอ Passion ห้า โชคดีที่เราสร้างเอง กำลังจะวิ่งมาหาเรา'

'ชีวิตจริง ของผู้ประกอบการ ก็คือ คนทำงาน 24 ชั่วโมง ..นี่แหละความรับผิดชอบจริงๆ ของเจ้าของกิจการ' ...ถ้าใครเดินทาถึงขั้นนี้ อย่าเพิ่งถอดใจ คุณมาถูกทาง

หาจุดขายให้เจอ ใช้เวลา 20% ของเรา ให้สร้างรายได้ 80% แล้วค่อยๆ ขยับขยายจากจุดนั้น ...อย่า อึด ถึก ทน มันหมดยุคทาสมานานแล้ว ..สมองพาคุณไกลกว่ากล้าเนื้อของคุณ

ใช่!! โลกมันกำลังเปลี่ยน ...ผมว่า นิตยสารเปรียว เขาสอนอะไรบางอย่างให้เราไม่ประมาทแล้ว ขนาดเบอร์ต้นๆ ของธุรกิจในอดีต ยังพลาดได้เลย ...คนตัวเล็กอย่างเรา ต้องหาจุดยืนให้ได้

'ยุคมืด ผมว่า เรายิ่งมองเห็นดวงดาวนะ ..เปิดใจ ลองสิ่งใหม่ๆ กล้าออกจากจุดเดิมๆ'

เหมือนโฆษณาเลย ...เอ้า จัดไป คิดแล้วทำเลย !!



วันอังคารที่ 29 ธันวาคม พ.ศ. 2558

ปี 2016 โปรดลงทุนอย่างมีสติ !!


ปี 2016 โปรดลงทุนอย่างมีสติ!!

'ปี 2016 Goldman Sachs คาดราคาน้ำมันจะร่วงไปถึง 20 เหรียญ ..หรือไป 15 เหรียญ ...ตลกดี !! ไม่ได้ตลกว่าราคาน้ำมันจะร่วงหรือขึ้น แต่ตลกกับพฤติกรรมนักลงทุนที่บินว่อนไปตามข่าวและกระแสที่ยักษ์ใหญ่ของโลกสร้างขึ้น'

 (ถ้าลงจริง คนเหล่านี้คงซื้อ Option ที่ได้ประโยชน์จากการลงของราคาเรียบร้อย)

ทุกครั้งที่มีเหตุการณ์ร้าย มันสอนให้ผมเข้าใจการเป็นนักลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ ..ยิ่งเจอร้ายเท่าไหร่ เรายิ่งเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้นเท่านั้น

- ช่วงก่อนวิกฤต 2008 ทุกคนในโลกกลัวน้ำมันจะหมดโลก ราคาน้ำมันพุ่งไปเกือบแตะ  200 เหรียญ ก่อนจะพังลงมาที่ 30 เหรียญในปี 2008 

- วันนี้มาอีกรอบ ปี 2016 น้ำมันจะล้นโลก ราคาจะไปแตะ 20 เหรียญ(หรือ 15 เหรียญ จนแขกผูกคอตาย..55) อะไรก็พูดกันไป 

- เงินดอลลาร์ปี 2008 ทำ QE พิมพ์จากลม จนแทบเป็นขยะ แต่วันนี้นักลงทุนทุกคนแย่งกันสะสมดอลลาร์จนเงินดอลลาร์แข็งสุด ราวกับว่า ดอลลาร์เป็นทองคำ ที่พิมพ์จากลมไม่ได้ 

- ราคาทองคำร่วงสุดๆ ยังหาจุดต่ำสุดไม่ได้ ..คำถามคือ จะดีไหมที่วันนี้ทิ้งทุกอย่างแล้ววิ่งเข้าถือดอลลาร์ ..555 

- วันนี้บริษัท Start-Up ที่ยังไม่มีรายได้ มีมูลค่ามากกว่าบริษัทที่สร้างรายได้จริงๆ ไม่รู้กี่เท่าตัว ..มันเหมือนภาวะ .com bubble ก่อนปี 2000 ก่อนที่ทุกอย่างจะ แตก!! แล้วทุกคนก็มามีสติ แล้วรู้ว่าอะไรคือของจริง อะไรคือของปลอม

ที่เล่ามา เพื่อจะบอกว่า เราอยู่ในช่วง Bubble อีกลูกนึง ของความไม่สมเหตุ สมผล ทั้งการทำธุรกิจ การลงทุน และ การสร้างรายได้ ซึ่งสุดท้าย Cycle ของทุกอย่าง ทั้งสมเหตุสมผล และ ไร้เหตุผล อย่างในปัจจุบัน ก็จะต้องปรับสู่สมดุลย์ในที่สุด

'เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป'

บทเรียนที่ผมอยากจะแชร์ คือ

หนึ่ง ราคาของทุกสินทรัพย์ขึ้นกับ Demand & Supply ..ไม่ได้ขึ้นกับพ่อมดการเงินและหมอดู ..ราคาข้าว น้ำตาล ยาง น้ำมัน ล้วนขึ้นกับความต้องการใช้ และ ผู้ผลิต ..อ่านเกมออกก็ลงได้ ไม่ได้มีอะไรซับซ้อน

สอง ราคาของสินทรัพย์ วิ่งขึ้นลงเป็นรอบเสมอ ทั้งสมเหตุสมผล และ ไร้สาระ ก็ยังคงอยู่ภายใต้ กฏไตรลักษณ์ ...คนซื้อสินทรัพย์ในข่าวดี มักจะซวย ..แต่คนซื้อสินทรัพย์ในข่าวร้ายอาจกลายเป็นดี -- 'เกิดขึ้น ตั้งอยู่ ดับไป'

สาม นักลงทุนยิ่งมองยาวยิ่งรวย ..ยิ่งมองสั้นยิ่งซวย เพราะ นักลงทุนคือคนที่ออมในสินทรัพย์ และในระยะยาวสินทรัพย์คือสิ่งที่ขึ้น สวนทางกับเงินปลอมๆ ที่มนุษย์สร้างขึ้นให้ลดมูลค่าไปเรื่อยๆ ในระยะยาว -- 'เงินลด มูลค่า ส่วนสินทรัพย์เพิ่มมูลค่า ในระยะยาว'

สี่ ข่าวในสื่อปัจจุบันที่รายย่อยเข้าถึง ไม่เป็นประโยชน์ต่อรายย่อย เพราะมันสร้างขึ้นเพื่อเป็นประโยชน์ต่อรายใหญ่ และเจ้ามือ -- 'เสพข้อมูล ข่าวสารอย่างมีสติ ..ยิ่งใช้มันเล่นตรงข้าม จะมีสติกว่า'

ห้า ความกลัว คือ ศัตรูที่ทำให้นักลงทุนไม่รวย ไม่สำเร็จ ..การทำลายความกลัว ไม่ใช่กล้าบ้าบิ่น แต่ใช้ 'สติ และ ความรู้' เช่น นักลงทุนระยะยาว ลดความเสี่ยงด้วยการกระจายการลงทุนในข่าวร้าย ..นั่นคือ วิธีกระจายความเสี่ยงซื้อของถูกที่ผลตอบแทนโดยรวมดีกว่าล็อตเตอรี่ แต่ต้องมี 'ความรู้ สติ และ ความกล้า'

หก 'ของจริง' ธุรกิจจริงๆ ดูที่รายได้ กำไร และการเติบโตจริงๆ ไม่ใช่ข่าว ...สินทรัพย์จริงๆ คือ สิ่งที่คนต้องการ บริโภค ใช้จริง / จำนวนจำกัด / มูลค่าเพิ่มในระยะยาว 

ประมาณนี้ 6 ข้อ 'ลงทุนแบบมีสติ' ..จะปีใหม่แล้ว ขอให้เมืองไทยมีนักลงทุนรุ่นใหม่ ที่รวยด้วยตัวเอง สร้างความรู้ แล้วค่อยๆ รวยด้วยความรู้ สติ และ ความกล้า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น

http://www.bloomberg.com/news/articles/2015-12-22/extreme-oil-bears-bet-on-25-20-and-even-15-a-barrel-in-2016

วันอาทิตย์ที่ 27 ธันวาคม พ.ศ. 2558

"วางเงินทำงาน ออมในหุ้น เปลี่ยนชีวิตผม" ตอนที่ 1


"วางเงินทำงาน ออมในหุ้น เปลี่ยนชีวิตผม" ตอนที่ 1

มีคำถามนึงที่ทำให้ผมฉุกคิดมากๆ คือ "อะไรที่เปลี่ยนชีวิตผม" ...ใช่!! เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ผมทำธุรกิจล้มเหลว ขาดทุน หมดกำลังใจ ...แล้วอะไรล่ะ ที่เปลี่ยนชีวิตผม ..."ผมนั่งคิดอยู่นานว่า อะไร ...ดวง หรือ ความโชคดี ...เอ๊ะ !! ก็ไม่น่าใช่ เพราะ ถ้านั่งเฉยๆ ชีวิตคงไม่เปลี่ยน"

"ตลาดหุ้น" ...ถูกต้อง !! เมื่อ 7 ปีที่แล้ว ผมเปลี่ยนจากผู้ประกอบการมาเป็นลูกจ้างเป็นครั้งแรกในชีวิต ...มันอาจจะสวนทางคนส่วนใหญ่ ที่มักเริ่มจากเป็นลูกจ้างแล้วเห็นโอกาส ก็ค่อยผันตัวเองไปเป็นผู้ประกอบการ -- ของผมเท่ห์กว่า คือ ผมเริ่มจากผู้ประกอบการเลย เรียนจบปั๊บเริ่มทำธุรกิจส่วนตัวเลย พอเจ๊งปั๊บ ก็เลยต้องคลานกลับมาเป็นลูกจ้าง ...ฮึม!! เท่ห์ดี แนวดี

วันนี้ผมกลับมาย้อนดูเส้นทางการเปลี่ยนชีวิต เผื่อแนวทางของผม อาจมีประโยชน์ต่อคนอื่นๆ ไม่มากก็น้อย

สิ่งที่หลายๆ คนไม่รู้ก็คือ "ทุกครั้งที่เราเจอปัญหา ชีวิตเจอวิกฤต ..มันเป็นเวลาที่เราจิตตก ท้อถอยก็จริง แต่เวลานั้นแหละ ที่เป็นจุดเริ่มต้นของโอกาสครั้งใหม่" ...เดี๋ยว!! นี่ไม่ใช่ บทความให้กำลังใจ แต่ผมเล่ามันจากประสบการณ์จริง

คนมากมายคิดว่า คนที่จะประสบความสำเร็จต้องมีพื้นฐานที่ดี ต้องเรียนเก่ง ต้องหน้าตาดี ต้องมีพ่อแม่ช่วยเหลือ ...ก็มีส่วนอยู่บ้าง แต่ไม่ใช่แก่น ...เพราะ "แก่น" ของความสำเร็จของแต่ละคนมันอยู่ที่ตัวเราเอง

ใช่!! ผมรู้ว่า หลายๆ คนอาจจะยังไม่เข้าใจที่ผมพูดว่า "ตัวเรา" มันจะทำอะไรได้ ..เรียนก็ไม่เก่ง พ่อแม่ก็ไม่ได้รวย เงินเริ่มต้นก็ไม่มี แถมมีหนี้สินที่ก่อขึ้นมาโดยที่ไม่ได้ตั้งใจ ...ทุกอย่างที่เราพูดมาจริงๆ คือ "ข้ออ้าง" เพราะ คนที่ประสบความสำเร็จ เศรษฐีโลก ดาราดัง นักธุรกิจระดับโลก ที่เริ่มจากไม่มีอะไรเลย หลายๆคนเริ่มจากติดลบ หลายๆ คนเริ่มจากความกดดัน หลายๆ คนเป็นเด็กกำพร้า อย่าง Steve Jobs ...พูดง่ายๆ ว่า ทุกอย่างที่เราอ้างว่า ทำให้เราชีวิตแย่ มันเป็นเพียงข้ออ้าง เพราะ แท้จริงแล้วทุกอย่าง เราสามารถสร้างได้เองทั้งหมด

วันนี้ผมจะเกริ่นให้ฟังเรื่องของ "โลกทุนนิยม" ก่อนว่า ..."ปัญหาใหญ่ของโลกวันนี้ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เครียด ชีวิตมืด เพราะ เรื่องเงินสำคัญที่สุด แต่ไม่มีโรงเรียน หรือ มหาวิทยาลัยไหนสอนหาเงินตรงๆ เลย ...อ้อมมาก !! ..โดยมาก สอนให้คุณเรียนไปเกือบ 20 ปี ก่อนที่คุณจะเริ่มหาเงินจริงๆ ...แปลกไหมล่ะ?"

คุณเคยถามไหมว่า "ในเมื่อเงินสำคัญที่สุดในชีิวิต ทำไมไม่สอนให้เราหาเงินตั้งแต่อนุบาลเลยล่ะ ...พอเรียนจบจะได้หาเงินเก่ง ...เพราะ นี่เรียนอ้อมโลก เรียนไป 20 ปี เริ่มหาเงินได้หมื่นห้า ...กว่าจะหาเงินได้เดือนละห้าหมื่น ก็เริ่มแก่ ..เฮ้ย!! สอนกรูหาเงินให้เร็วกว่านี้ไม่ได้หรือ ?"

ถ้าสอนให้ฉันหาเงินเป็นตั้งแต่ชั้นประถม ..พอมัธยม ฉันของเริ่มหาเงินเก่งขึ้น ...พอมหาวิทยาลัยฉันน่าจะเริ่มเป็นผู้เชี่ยวชาญ ...พอจบปริญญาก็จะไม่มีปัญหาเรื่องการหาเงินแบบที่เป็นอยู่จริงไหม?

โอเค !! เรามาเริ่มบทเรียน "การหาเงินกันเลยว่า จริงๆ ในโลกมนุษย์ ใบนี้ เขาหาเงินกันอย่างไร" ...หลายคนคิดว่า ต้องไปเรียน 20 ปี แล้วค่อยมาเริ่มหาเงิน ...ไม่ใช่!! นั่นคือ ทางของคนส่วนใหญ่ ซึ่งไม่ผิด ดีแล้ว เรียนก็ดีกว่าไม่เรียน เพียงแต่ มันจะดีกว่าไหม ..ที่เรียนวิธีหาเงินแบบตรงๆ ไปด้วย เพื่อเป้าหมาย พอได้ปริญญา ก็ควรจะเป็นผู้เชี่ยวชาญเรื่องการหาเงินไปพร้อมๆ กัน

(เกริ่น บทเรียนที่หนึ่ง ...ให้รู้ว่า เราควรเรียนวิธีหาเงินด้วย ..ไม่ใช่เรียนแต่วิธีทำงานเฉยๆ) 

วันเสาร์ที่ 26 ธันวาคม พ.ศ. 2558

10 เรื่อง ตลาดหุ้นสอนอะไรให้เราฉลาดขึ้น


10 เรื่อง ตลาดหุ้นสอนอะไรให้เราฉลาดขึ้น
โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ที่ปรึกษาการลงทุนบริษัทหลักทรัพย์บัวหลวง

1. ไม่มีหุ้นที่ขึ้นไม่มีวันลง และก็ไม่มีหุ้นที่ลงแบบไม่มีวันขึ้น ..ยกเว้นหุ้นนั้นมันเจ๊ง

2. คนส่วนใหญ่เจ็บปวดจากตลาดหุ้นเพราะเขาแย่งกันซื้อหุ้นดีในข่าวดี ..หุ้นดีในข่าวดี ไม่ควรลงทุนระยะยาว แต่อาจเล่นสั้นๆได้ ถ้าเราเข้าใจเรื่องการจำกัดความเสี่ยงทุกครั้งที่ลงทุน

3. จุดที่หุ้นดีๆ จะราคาถูกได้ แปลว่า ต้องมีข่าวร้ายเกี่ยวกับหุ้นตัวนั้น หรือข่าวร้ายเกี่ยวกับอุตสาหกรรมที่หุ้นตัวนั้นๆอยู่

4. ข่าวและข้อมูลที่รายย่อยเข้าถึง เป็นประโยชน์ต่อคนที่ซื้อขายตรงข้ามกับรายย่อยเสมอ

5. อย่ารอซื้อหุ้นถูกที่สุด เพราะจุดนั้นไม่มี ..ถ้าอยากซื้อหุ้นถูกให้จัดสรรเงินแล้วซื้อหุ้นในข่าวร้ายและจุดที่น่ากลัว ที่สุดของหุ้นตัวนั้นๆ

6. ถ้าอยากขายหุ้นให้แพง ให้รอขายหุ้นนั้นๆ ในช่วงที่หุ้น หรืออุตสาหกรรมนั้นๆ มีแต่ข่าวดีๆ ..เพราะจุดนั้นรายใหญ่ก็ขายทำกำไรเช่นกัน

7. ข้อมูล Inside คือ ข้อมูลที่อันตรายที่สุด ..เพราะข้อมูลนี้จะทำให้เรากล้าซื้อหุ้นเน่า ในจังหวะที่หุ้นเน่านั้นๆแพงเกินจริงมากที่สุด

8. เงินที่มีโอกาสสร้างผลตอบแทนในระยะยาวสูงที่สุดในการลงทุนคือ 'เงินเย็น' ..ถ้าเทียบแล้วเงินเย็นสามารถชนะเงินเยอะ ..คนเงินน้อยก็แบ่งเงินเย็นมาลงทุนได้ การบอกว่าไม่มีเงินเย็นลงทุนจึงเป็นเพียงข้ออ้างเท่านั้นเอง

9. ประสบการณ์การขาดทุน จะสอนความเข้าใจ และสอนให้เรารวยได้ดีกว่า ประสบการณ์กำไร ...ใช้ความผิดพลาดเป็นเชื้อเพลิงความสำเร็จในรอบถัดไป

10. อย่าใจร้อน ..Port เราจะโตตามความรู้และประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ...โตเป็นรอบๆ ..ไปเรื่อยๆ ...นักลงทุนที่ประสบความสำเร็จจึงเป็นนักลงทุนชั่วชีวิต ไม่มีวันเลิกนั่นเอง

เคล็ดลับสุดๆ ของตลาดหุ้น และทุกตลาดสินทรัพย์ (Asset) ก็คือ 'เวลา' ..ผู้ใดก็ตามถือครองสินทรัพย์ได้นานเท่าไหร่ เขาและครอบครัวก็จะรวยเป็นเท่าทวีคูณ

-- เพราะเงินสดอาจลดมูลค่าเมื่อเวลาผ่านไป แต่สินทรัพย์เพิ่มค่าสวนทางเมื่อเวลาผ่านไป

กลไกของเจ้า ในตลาดหุ้น คือ แบบนี้นั่นเอง


"กลไกของเจ้ามือ ในตลาดหุ้น คือ แบบนี้นั่งเอง" ...ต้องเข้าใจอย่างแรกว่า "เจ้า" เป็นใครก็ได้ จะเป็น ฝรั่ง เป็น กองทุน เป็น รายใหญ่ หรือ เป็นใครก็ได้ ...ไม่สำคัญ ..ที่สำคัญคือ คนนั้นคือ คนที่ซื้อหุ้นตัวนั้นๆ มากที่สุด นั่นแหละ ผู้กำหนด การขึ้นลงของหุ้นแต่ละตัว ...เอ้ามาวิเคราะห์กัน
"คนที่กำหนดการขึ้นลงของตลาดหุ้น แบบแม่นยำที่สุดคือ Demand & Supply ของแรงซื้อและแรงขาย" ...วันนี้ผมเอาสถิติการซื้อขายของผู้เล่นในตลาดทั้งหมดมาให้ดูกัน

ตลาดหุ้นไทยมีผู้เล่นหลักๆ อยู่ 4 กลุ่ม -- 1. ฝรั่ง (ตอนนี้ขายมา 3 ปีติด ยอดขายสะสมสูงกว่าปี 2008 วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์) 2. สถาบัน (สามปีที่ผ่านมา สวนฝรั่งตลอด คือ ซื้อสะสมสูงสุด เป็นคนพยุงตลาดนั่นเอง ..คำถามคือ สถาบันเอาเงินมาจากไหน -- ก็เงินคุณและผม ที่ซื้อกองทุนไง ...ฮ่า ฮ่า) 3. ป๊อบเทรด (เงินจาก Broker เอามาเทรด) 4.รายย่อย (ในรายย่อยมีรายใหญ่แอบอยู่ด้วย เสี่ย เจ้าของ เจ้า ..อยู่ในรายย่อยหมด)

ถามว่าใครมีน้ำหนัก กำหนดทิศทางมากที่สุด ต้องตอบว่า ฝรั่ง แม้เม็ดเงินที่ซื้อขายในตลาดรายย่อยจะมากที่สุด แต่ฝรั่งมีทิศทางชัดที่สุด(ซื้อก็ซื้อติดกันหลายปี - เวลาขายก็ขายติดกันหลายๆปี) ทำให้เขาสามารถกำหนดทิศทางตลาดในภาพใหญ่

คนที่มีน้ำหนักกำหนดทิศทางของตลาดรองจากฝรั่งก็คือ สถาบัน ซึ่งช่วย พยุงตลาดหุ้นไทยมา 3 ปีแล้ว แต่ตอนนี้เริ่มไม่ค่อยไหว เพราะ สุดท้ายเงินมาจากรายย่อยไทยนี่แหละ

สิ่งที่ชี้ให้เห็นในเกมการเงินนี้ คือ Money Game มันต้องหาจุดดีที่สุดในจุดที่ยืนของตัวเอง ...ยิ่งดูสถิติยิ่งชี้ให้เห็นว่า ตลาดหุ้นทั่วโลก ถูกฝรั่งปั่นให้ฟู แล้วก็ทิ้งให้พัง ...จากนั้นพอพังฝรั่งค่อยกลับมาเก็บถูกๆ แล้วก็ปั่นให้ฟูใหม่ ...เป็นอย่างงี้ เป็นรอบๆ ไปเรื่อยๆ

(เวลาฝรั่งออก ค่าเงินบาทจะอ่อนตาม ..เพราะ เวลาเขาออก เขาขายต่อเนื่องหลายปี ..ส่วนเวลาเข้า ค่าเงินก็จะแข็งด้วย เพราะ เขาเข้าต่อเนื่องเช่นกัน ..ทำให้ทุกครั้งที่ฝรั่งเข้าซื้อเขาได้ 2 เด้ง คือ หนึ่ง ซื้อหุ้นถูก และ สอง ได้กำไรค่าเงิน ...โคตรได้เปรียบเลย เพราะ เขาเล่นเกมนี้ในภาพใหญ่)

แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ หุ้นที่ซื้อ และ วิธีการซื้อ ...รายย่อยจริงๆ เม็ดเงินมากที่สุด(60% ของเม็ดเงินทั้งหมด) แต่ไม่เคยกำหนดทิศทางตลาดเลย เพราะ ซื้อสะเปะสะปะ ไม่มีทิศทาง ..แต่วันใดก็ตามที่รายย่อย เริ่มจับทางตัวเองได้

ผมว่า วันนึงเราก็จะสามารถกำหนดทิศทางตลาดได้ เช่น ถ้ารายย่อยมีแนวทางของตัวเอง สมมุติฝรั่งซื้อแต่ หุ้นใหญ่เพราะเขาต้องการเข้าออกง่าย ..รายย่อยอาจซื้อหุ้นเล็ก(ไม่เล่นหุ้นที่ฝรั่งเล่น) เอาเติบโตและปันผลสม่ำเสมอ แล้วเข้าออกยาก สภาพคล่องน้อยฝรั่งไม่ซื้อ ก็แปลว่า รายย่อยสะสมหุ้นอินดี้ ไม่ขึ้นกับฝรั่งแต่ขึ้นกับเราแทน ...กองทุนอาจเลือกกลุ่มที่เล็กกว่า(กลุ่มที่ฝรั่งไม่ซื้อ เพราะขนาดเล็กไป) เน้นที่ปันผล และ เก็บยาวมาก ...พูดง่ายๆนะ (ที่ฝรั่งเขากำหนดทิศทาง เพราะเขาเป็นคนที่ซื้อขายมากที่สุดในหุ้นที่เขาซื้อ) แต่ถ้าแต่ละกลุ่มเป็นรายใหญ่ที่สุดของหุ้นตัวเอง เรานั่นแหละ คือ ผู้กำหนด Demand & Supply ของหุ้นตัวนั้นๆ

แล้วสุดท้ายตลาดก็จะมีประสิทธิภาพเพราะ ผลตอบแทนจริงๆ คือ การเทียบระหว่างเม็ดเงินที่ลงทุน เทียบปันผลที่ได้รับว่า คุ้มหรือไม่ ..ส่วนกำไร คือ การซื้อตามรอบของอุตสาหกรรม ซื้อตอนแย่ ขายตอนดี

ที่เล่าให้ฟัง เพราะ ตลาดหุ้นถูกลากขึ้นลง ตาม Money Supply นั่นเอง !! ...นั่งดูเม็ดเงิน ของการซื้อขาย พร้อมเทียบการขึ้นลงของตลาด ก็เลยเอามาเล่าสู่กันฟังครับ

วันศุกร์ที่ 25 ธันวาคม พ.ศ. 2558

รู้งี้เป็นนักถ่ายภาพ"ทางความคิด"นานแล้ว ...ยังไงดี


"หลักการเป็นนักถ่ายภาพทางความคิด เคล็ดลับความสำเร็จในยุค Information Age"

คลิ๊ปสัมภาษณ์ ต่อเนื่อง
'การค้นหาโอกาสในตลาดหุ้นวันนี้ ..อยากได้เงินเรื่อยๆ อย่าไปถือหุ้น รอบมาชัดตาม ล็อคจุดขาดทุน วันนี้เครื่องมือมี อย่างบัวหลวง มี Robot ให้รายย่อยใช้ ..อยากจำกัดขาดทุนเท่าไหร่ตั้งไว้ -- เล่นแนวนี้ได้เงินเรื่อยๆ โบรคชอบ ..555 ..ส่วนถ้าอยากรวยก็ ออมในหุ้น ศึกษาว่า คว้าวิกฤตในโอกาสทำไงในตลาด จังหวะ และ ความอดทนสำคัญ

..เงินน้อยไม่เป็นไรขอให้มันเย็น อันนี้แนวออมแล้วรวย ..อย่าหมิ่นเงินน้อย เพราะ เงินหมื่นโตสิบเท่า ร้อยเท่า มันก็คือโต -- ที่ดิน สร้างคนรวยในอดีตอย่างไร ..อนาคตหุ้นดี ก็ออมได้ไม่ต่างกัน !!

..คนส่วนใหญ่ ที่ถือหุ้นไม่รวย ก็เขาไม่ได้ออม (3 เดือน ขาย ทนรวยไม่ได้ สถิติรายย่อย จะรวยยังไง)
..แล้วส่วนใหญ่ติดหุ้นปั่น ..หุ้นก็ผิดประเภท เหมือนถือพระสมเด็จ แต่พระปลอม ออมนานก็ไม่รวย -- มันผิดประเภท !!

..ผมใช้หลัก ว่า มองตัวเอง 'ผมไม่ใช่คนเก่ง' ..การทำธุรกิจ หรือลงทุน ผมดูเลย ว่าธุรกิจนี้หรือลงทุนแนวนี้คนส่วนใหญ่ทำหรือเปล่า ..ถ้าคนส่วนใหญ่ทำ ผมไม่ทำ

'คนไม่เก่งต้อง หาแนวที่คนส่วนใหญ่ไม่ทำ ..เพราะถึงเจ๊ง เราก็ได้องค์ความรู้ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ เอามาใช้เป็นเชื้อเพลิงแห่งความสำเร็จครั้งต่อไป'

ปัญหาไม่ใช่สิ่งน่ากลัว ..ทุกปัญหาตรงหน้าเรา เวลาผ่านไป มันเรื่องขี้ประติ๋วทั้งนั้น ..กลัวอะไร สู้ไปซิ อย่างมากก็ได้เรียนรู้

'วันนี้ผมคือ นักถ่ายภาพ ..คือ ถ่ายภาพความคิด วันนี้ผมเขียนหนังสือมา 13 เล่ม เจอคนเก่งมากมาย ..เล่มล่าสุด ปั้นธุรกิจติดลมบน ..ผมถ่ายภาพความคิด ปั้นเงินจากอากาศของเจ้าพ่อ creative พี่เมฆ ...นี่คือ การเรียนรู้ของผม เรียนของจริง'

...คนเก่งมีไว้ให้เราศึกษา เราอย่ามองว่าวันนี้เขาเป็นอย่างไร มันต้องมองที่มา ว่ามาได้อย่างไรต่างหาก 'ศึกษาวิธีคิด'

ฟังสัมภาษณ์ตัวเต็มในคลิ๊ปนี้ครับ
http://youtu.be/Vc-AyF_njys

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2558

เปิดแนวคิดจากการปั้นธุรกิจติดลมบน

เทปสัมภาษณ์ Nation TV .."แนวคิดเบื้องหลังการปั้นธุรกิจติดลมบน" 

การทำธุรกิจไม่ได้เริ่มจากเงินมาก ..เริ่มจาก 1 แสน ทำยังไง ?

"การแก้หนี้ อย่าใช้เงิน" ...เพราะ เอาเงินไปจ่าย เดี๋ยวก็กลับมาเป็นหนี้ ดังนั้น ตั้งสติใหม่ แล้วคิดใหม่ 

"คนรวย ทำงานทั้งชีวิต" ...ไม่ใช่เพราะเขาต้องทำงาน แต่เขาเลือกที่จะทำในสิ่งที่ชอบ นั่นคือมันส์ !! ไม่ใช่ความทุกข์ !!

"อย่าเลียนแบบ IDOL" เพราะ เราจะเป็นได้แค่เงา แต่ให้เราเอาเขาเป็นแรงบันดาลใจ เอาเขาเป็นบทเรียนต่างหากล่ะ

"ล้มเหลวแต่เด็ก" ..เป็นเรื่องดี มันสอนให้เด็กเป็นผู้ใหญ่ ...

"คนเงินเดือนหมื่น จะไม่เกษียณมีเงินเป็นแสน ...คนเงินเดือนแสน จะไม่เกษียณมีเงินเป็นล้าน ..ตามกฏ 10 เท่า ...เงินเดือนมีการแบ่งชั้น ..ถ้าเข้าใจวิธีหาของแต่ละชั้น เราจะกระโดดฐานรายได้ขึ้น 10 เท่า ทันที" ...เหมือนโม้ แต่จริง เพราะ รายได้ไม่ได้ขึ้นกับโชคชะตาเหมือนถูกหวย ...รายได้ขึ้นกับ วิธีคิดของคนๆนั้นต่างหาก ..เมื่อผ่านด่านหมื่น คุณจะไปด่านแสน ..เมื่อผ่านด่านแสน คุณจะไปด่านล้าน ...คนส่วนใหญ่ที่ติดอยู่กับด่านหมื่น ไม่เคยเชื่อเรื่องนี้ ก็แปลว่า ชีวิตนี้เขาผ่านแค่ด่านแรก ...ชีวิตเราทุกคนแค่เลือกเอง 

เกมชีวิต การผ่านด่าน เป็นของเราเอง !! ...ข้างล่างเป็น คลิ๊ปสัมภาษณ์ครับ
 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ