แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

คอมเมนต์คมๆ จากป๋ากิ้ง ..ถึงแกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด

" แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด "

ทุกคนย่อมมี ปมชีวิต !!
เมื่อมีปม ก็มีทางเลือกสองทาง คือปล่อยให้เป็นปมต่อไป หรือจะ " แกะ "

ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว ก็ล้วนมาจากเหตุผลใด เหตุผลหนึ่ง
ความรู้สึกขาดอิสระภาพ ก็เกิดจากปม

การลงทุนก็เช่นกัน …
ผมมีโอกาสได้เห็นหลายๆคนที่เก่งแสนเก่งในด้านความรู้
ไม่ว่าจะแม่นยำในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแบบปึ๊กๆ
หรือจะเป๊ะในการดูเทคนิคฯ ดูกราฟ
แต่ก็เห็นบ่อยที่คนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จซักที และนับวันดูยิ่งไกลเป้าหมาย

เหตุผลมันคืออะไร ?
หรือนั่นคือเกิดจากปม ??

" แพ้ท " ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ในฐานะนักเขียนนักลงทุนชื่อดัง มาพร้อมกับ " ดร. ต้อง " ดร. พงษ์รพี บูรณสมภพ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะปมชีวิตผู้คน นั่นเป็นความน่าสนใจ

เมื่อนักลงทุนที่ผ่านทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ มาคุยกับผู้ที่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของแต่ละสิ่งที่เป็นต้นเหตุแบบที่เรา อาจจะคิดไม่ถึงในบางครั้ง

ความรวย อาจจะไม่ใช่มาจากเงิน
ความสำเร็จ อาจจะไม่ได้มาจากการดิ้นรนสุดชีวิต

เงิน , บ้าน , งาน และความรัก มันมีอะไรลึกๆซ่อนอยู่แบบที่เราไม่เคยนึกถึง

ก่อนหน้านี้มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้น ที่เข้าใจในประเด็นเหล่านี้
แต่หลังจากนี้ไป คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ น่าจะมองเห็นความเป็นจริงที่เมื่อก่อนดูลึกลับเหล่านี้ออก

ด้วยเจตนาที่ดีของ ดร. ต้อง ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้อันเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ จึงเป็นการกำเนิดโปรเจคต์หนังสือเล่มนี้
โดยการร่วมดำเนินเรื่องด้วยภาษาที่สนุกน่าอ่าน ของแพ้ท นักแกะรอยหยักสมอง ที่พลิกบทบาท 180 องศา มาเป็นแกะรอยหยักชีวิต

สมอง กับ ชีวิต
แนวคิด กับ ความสำเร็จ

หนังสือเล่มนี้จะสร้างความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ต่อหลายๆคนที่เคยสับสนในชีวิต
ลองอ่าน แล้วมาตั้งโจทย์ชีวิตกันใหม่ … แล้วผมเชื่อว่า ความสำเร็จที่ไม่เคยเห็น จะมาปรากฏครับ

ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา
สำนักพิมพ์สต็อคทูมอร์โรว์

อย่าแห่ตามกัน ..คนส่วนใหญ่มองไปตลาดไหน เรามาอีกทางดีกว่า !!


เอาตลาดยุโรป DAX เยอรมันมาให้ดูว่า ..."ภาพนี้จะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่คิด มันผิด !! .. ตอนที่คนส่วนใหญ่ขาย จริงๆ คือ เวลาที่น่าซื้อ ..และ ตลาดจะผ่านจุดต่ำสุดของแต่ละรอบก็ตอนข่าวร้ายที่สุด ดูแล้วเลวที่สุดนั่นแหละที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าซื้อ (จริงๆ เวลาแบบนั้นแหละที่ควรซื้อ ไม่ใช่ขาย..แปลกไหม?) ..ซึ่งกว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่า ตลาดน่าซื้อ ก็จะเข้ามาจุดที่ใกล้ๆดอยของรอบใหม่อีกครั้ง ...บ้าไหมครับ!! -- ลองดูตลาด DAX จุดที่น่าซื้อคือ ช่วงวิกฤตยุโรป จำได้ไหมครับปลายปี 2011 (ช่วงน้ำท่วมใหญ่บ้านเรา) เวลานั้น นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทุกคน ออกมาฟันธงว่ายุโรปจะต้องพัง เริ่มจาก Greece ไปเรื่อยๆ ตอนนั้น ทุกคนแห่ขายหุ้นยุโรป หนีตาย แต่จริงๆ แล้วจุดนั้นแหละที่น่าซื้อ เพราะมันคือ Low ที่สุดของรอบ !!!! ...จากนั้นก็ไม่มีใครมองว่ายุโรปจะฟื้นได้จริง ข่าวร้ายก็มีมาตลาด แต่ตลาดหุ้นก็ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าซื้อ (มีแต่นักลงทุนรายใหญ่เท่านั้นแหละที่ซื้อ) ..จากนั้นก็มาถึงจุดปัจจุบัน วันนี้รายย่อยเริ่มอยากออกไปซื้อตลาดยุโรป อยากออกไปซื้อตลาดอเมริกา ...บ้าป่ะ !! ผิดมันทุกรอบ เจ็บก็ไม่เคยจำ ..ซื้อในเวลาที่น่าขาย แล้วก็ขายในเวลาที่น่าซื้อ ..ซวยมันทุกครั้งเพราะรายย่อยไม่เคยศึกษา "รอบ" ของตลาดไงครับ -- ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ ปีนี้ผมให้ Theme การลงทุนที่ผมพยายาม Educate ให้ความรู้รายย่อยผ่านงานที่ปรึกษาการลงทุนของหลักทรัพย์บัวหลวง ..คือ ผมมองว่า ปีนี้คือ Theme ออมในหุ้น ในตลาด SET ของเรา ...แปลว่า ปีนี้น่าลงทุนระยะยาว สำหรับรายย่อย ..คุณต้องเข้าใจตลาดจริงๆ เข้าใจ Demand & Supply และ เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ผิดเสมอ ...ก็ฝากเอาไว้ครับเพื่อนๆ ลองเข้าไปศึกษาว่า ทำไมปีนี้ผมถึงคุยเรื่องการออมในหุ้น ไม่ใช่อยู่ดีๆก็โดดมามั่วๆ ..ผมทำการบ้านครับ / ผมศึกษา Fundamental ดูมูลค่าจริงๆ ของหุ้น / ผมศึกษา Technical อ่านรอบตลาดครับ ถึงเกิดเป็นคำแนะนำและ Theme ต่างๆ ที่พยายามให้ความรู้กับนักลงทุนรายย่อย ...อยากให้เพื่อนๆ นักลงทุน ศึกษาให้มากครับ "ปีนี้ขอบอกว่า ในวิกฤต คือ โอกาสที่ยิ่งยวด" ..เข้าไปศึกษาเรื่องออมในหุ้น ได้ที่ www.facebook.com/savestock (เชื่อเถิดว่า ปีนี้ใครทำการบ้านดีๆ เปิดใจเรียนรู้ และ มีความกล้าทำในสิ่งที่เชื่อ และ มีความอดทนเพียงพอ ..รวยแน่นอนครับ ..สู้ สู้ !!)

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ถ้าคิดได้ก่อนจะสร้างหนี้ ก็คงไม่มีใครจน ..แล้วทำไมไม่คิดและทำให้ได้ล่ะ


-- ในระบบทุนนิยมเราหาเงินมาแลกเปลี่ยนของ 3 อย่าง 1.จำเป็น 2.ไม่จำเป็น(แต่เราจ่ายเยอะ) 3.เป็นกับดัก (อันนี้คนเรา งง สุด เพราะมันคือกับดัก ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่คนเราสับสน เพราะของเหล่านี้ผูกกับ EGO และความรู้สึกทั้งหมดของเขา)
-- มาดูกัน อันแรก คือ ปัจจัย 4 แบบไม่ปรุงแต่ง อาหารธรรมดา , ค่ายาปกติ , เสื้อผ้าธรรมดา , บ้านพ่อแม่หรือหอพักธรรมดา ..เดี๋ยวนี้เพิ่มค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทาง อันนี้ถ้าใช้แค่นี้แบบพื้นๆ ส่วนมากเงินเดือนขั้นต่ำข องคนชั้นกลางครอบคลุม
อันที่สอง ก็คือ เอาข้อแรกมาใส่ความไฮโซลงไป เช่น อาหารดีๆ , เสื้อผ้ามียี่ห้อ , กาแฟ Starbuck ,โทรศัพท์รุ่นฮึต , กระเป๋า รองเท้า ยี่ห้อ ..ของเหล่านี้ถ้าใช้มากๆจะเกินเงินเดือน เริ่มสร้างหนี้บัตรเครคิต (เริ่มเป็นทาสในเรือนเบี้ย)
ส่วนที่สามเป็นกับดัก คือ บ้าน กับ รถยนต์ อันนี้เป็น Major Expense คือ รายจ่ายหนี้ระยะยาว ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วชีวิตจะเปลี่ยน  ..ถ้าเป็นคนจีนจะซื้อบ้านหลังจากรถยนต์ เพราะบ้านไม่เกี่ยวกับงาน ..ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะมาพร้อม หนี้บ้าน และ หนี้รถยนต์ อย่างในต่างประเทศเขาขมวดรวมให้คุณผ่อนชั่วชีวิต (อันนี้เป็นทาสจริงๆเลย)
-- คนเราจะรวยจนอยู่ที่การบริหารการใช้จ่ายในข้อ 2 และ 3 ...วิธีการคิดง่ายๆ ต้องรู้ก่อนว่า โลกทั้งใบเล็กกว่าความอยากของมนุษย์ ดังนั้น เงินที่เราหามา ไม่มีทางมากกว่าความอยาก -- คนที่ต้องการวางแผนรวยต้องเริ่มจากการวางแผนและบริหารความอยากตามเหตุผล โดยเงินเดียวที่จะซื้อข้อ 2 และ 3 ห้ามมาจากเงินเดือนโดยตรง แต่ควรเป็นเงินที่มาจากการลงทุน ที่เขาเรียกว่า Passive Income นั่นเอง ...การสร้าง Passive Income ที่ง่ายสุด ได้จากการออมเงินใน Asset ที่มีรายได้ หรือ ปันผล ....เงินที่เราเอามาใช้ได้ก็เฉพาะปันผล แล้วเหลือเท่าไหร่ ก็เก็บไปออมใน Asset เพิ่ม ...ทำแบบนี้ 10 ปีจะเห็นผลเป็นรูปธรรม ...เมื่อ Passive Income โตจนผ่อนรถได้สบายๆ ก็ค่อยซื้อรถ ..และเมื่อมันโตจนผ่อนบ้านได้ก็ค่อยซื้อบ้าน
-- เรื่องนี้เหมือน common sense แต่จริงๆ มันไม่ง่าย ถ้าใครทำได้ ไม่มีจน ..หัวใจมันอยู่ที่การลงทุนสร้าง Passive Income และ การบริหารจัดการความอยากแบบเป็นระบบ ...ก็ลองไปคิดวางแผนกันดูครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เปิดผนึกหนังสือเล่มใหม่ของภาววิทย์ ..แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด



"หนังสือเล่มใหม่ของภาววิทย์ ...'แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด' -- เป็นหนังสือแนวทางใหม่ของการจับคนสองขั้วความคิดมาเจอกัน ระหว่าง หนึ่ง ภาววิทย์ ในขั้วของ Money Machine 'ตัวละครแทนคนรุ่นใหม่ที่อยากมีอิสระในชีวิตด้วยแนวทาง Self-made การดึงตัวเองจากความผิดพลาดของชีวิตแล้วกลับมายืนใหม่ สร้างความมั่งคั่งจากสมองและสองมือ' ปะทะ ดร.ต้อง ชายลึกลับ อดีตนักเรียนทุนภูมิพล เกรดเฉลี่ย 4.00 ตั้งแต่ปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอกถึง 3 ใบ สามสถาบัน ผู้เดินในสายของการให้ !! ทำงานด้านพัฒนาเยาวชนร่วมกับ ดร.โจเซพ มาร์แชล (Nobel Prize Candidate) และ ตำแหน่งอดีตเลขา ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน -- ศึกษาแรงจูงใจของมนุษย์ที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งพบว่า 'ความสำเร็จของคนอยู่ที่การตั้งธง และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งงานวิจัยบวกประสบการณ์ ของทั้ง ดร.ต้อง ในสาย Human Potential & Personal Growth ผนวกกับ ประสบการณ์พัฒนา นักลงทุนและมนุษย์สายการเงินของภาววิทย์ ในงานที่ปรึกษาของหลักทรัพย์บัวหลวง พบว่า คนเรามีธง ความสำเร็จ 5 ด้านด้วยกันคือ 'เงิน/งาน/บ้าน/ความรัก/เวลา' -- คุณตั้งธงชีวิตอย่างไร?
หนึ่ง เงิน (คนส่วนใหญ่ที่ตั้งเป้าหาเงิน จะไปไม่ถึง เพราะตั้งธงผิด!! ..คิดง่ายๆ ธง ของใครตั้งเป้าความสำเร็จคือเงิน จะไม่รวย ..แต่จะจบด้วยครอบครัวแตกแยก) 
สอง งาน (คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าเรื่องงานว่าเป็นคุณค่าของคน ซึ่งผิด!! ..ใครที่ตั้งธงงานว่าเป็นคุณค่า จะหลุดจากการเป็นลูกจ้างไม่ได้ , พอเกษียณจะจิตตกเจียนตาย และ มองข้ามคุณค่าของตัวเอง ..ใช่!! ต้องเปลี่ยนมุมมองและตั้งธง ใหม่)
สาม บ้าน (คนส่วนใหญ่มีภาพบ้านในฝัน ..ซวยแล้วครับ !! ..เพราะคุณจะติดกับดักผ่อนบ้านเป็นหนี้ชั่วชีวิต จิตตก เป็นทาสของทุนนิยม ..ลูกๆไม่กลับบ้าน และตัวเองติดอ่าง(อบ นวด และ บ้านน้อยในที่สุด) เพราะตั้ง ธง เรื่องบ้านผิด!!)
สี่ ความรัก (คนส่วนใหญ่ตั้งสเป๊กชายในฝัน หญิงในฝัน ..ใครตั้งธงแบบนี้ ถ้าไม่ขึ้นคาน ก็แต่งงานแล้วก็ต้องเลิก ..ไม่แปลกที่สถิติหย่าร้างสูง และการขึ้นคานสูงทะลุเพดาน -- ใช่ตั้ง ธง ผิด !!)
ห้า เรื่องเวลา ..การฆ่าเวลาในช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็น Norm ของคนรุ่นใหม่ ทั้งๆที่เวลาคือ สิ่งเดียวที่มนุษย์มีจำกัดไม่ว่าจะจนหรือรวยแค่ไหนก็ตาม ..การตั้ง ธง เรื่องเวลาผิด ก็คือ หายนะของชีวิต!!)
...ครับ หนังสือเล่มนี้เป็นการมุ่งปรับ Mindset ของคุณให้มีอิสรภาพทางการเงิน และเข้าใจการตั้งธง ชีวิตให้ถูกต้อง ..ซึ่งผมและดร.ต้อง เชื่อว่า การรวมตัวของประสบการณ์ของเราทั้งสอง เพื่อถ่ายทอดลงหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในการปรับทัศนคติ เข้าใจโลกยุคใหม่ และตั้ง ธง ชีวิตให้เหมาะกับเป้าหมายของตัวเองได้ :: "ถ้าอ่านแล้วชอบ ขอให้คุณแบ่งหนังสือเล่มนี้ให้คนที่คุณรักอ่านต่อไปนะครับ ..เชื่อผมเถอะว่า ยิ่งคุณคิดให้ คุณจะยิ่งได้ จริงๆครับ" (อ๋อ !! เนื้อหาหนังสือ เราวาง Layout แนวใหม่ คือ ในส่วนของผม จะเปิดจากปกหน้าไปหลังปกติ ..แต่เนื้อหาในส่วน ดร.ต้อง เรื่อง Filter กรองมุมมองชีวิต และการตั้งธง จะเปิดจากปกหลังมาหน้าแบบญี่ปุ่น แล้วเนื้อหาทั้งสองขั้วจะมาจบ บรรจบที่หน้ากลาง ..ครับ อ่านหน้าไปหลัง ..แล้วก็ค่อยอ่านหลังมาหน้า ..มาจบลงที่ตรงกลาง ..ก็ลองอ่านกันดูครับ)..จัดหนัก!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ระบบเชื่อมต่อและการเปลี่ยนโลก !!


"คุณทราบไหมว่า จำนวนคนใช้มือถือทั่วโลกประมาณ 5 พันกว่าล้านคน จากประชากรโลก 6 พันล้านคน ..เอาเฉพาะเมืองไทยจำนวนมือถือมากกว่าจำนวนประชากรแล้ว ..สิ่งที่น่าสนใจคือวันนี้คนใช้ Smartphone ก็เริ่มมีจำนวน 1 พันกว่าล้านคนแล้ว ซึ่งเดี๋ยวนี้ด้วย Appication ต่างๆ มันทำให้มือถือกลายเป็นคอมพิวเตอร์บนมือ ซึ่งดีกว่าคอมพิวเตอร์ในการเข้าถึงคนรายตัว หรือ การชี้ตัวเช่นการใช้ลายนิ้วมือ ..อีกไม่ช้าการซื้อของกับลายนิ้วมือ การจ่ายเงินค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริการต่าง การใช้ธนาคารออนไลน์แบบเป็นธรรมดา -- และถ้าการเลือกตั้งสามารถทำผ่านมือถือ เราจะประหยัดภาษี 3 พันกว่าล้านต่อการเลือกตั้ง ..น่าคิดจริงๆ ..มันน่าคิดว่ามือถือกำลังสำคัญขึ้นเรื่อยๆ" (Microsoft Window ส่วนแบ่งตลาดลดเหลือ 30% ในปัจจุบัน มาแทนด้วย iOS และ Android เข้ามาแบ่งหน้าจอไป ..เกมยังไม่จบ แต่เราแค่เห็นการขับเขี้ยว ระหว่าง Microsoft , Apple และ Google ในการชิงความเป็นเจ้า Software ..ในตลาด Smart Phone ตัว Andriod เป็นเหมือน Window คือ ใครๆ ก็ใช้ Platform แต่ ของ iOS และ Microsoft ก็เล่นเกมของ Apple ในอดีตคือ ทำเองทุกอย่าง ..น่าสนใจว่าด้วยการผลิตแบบ Super Mass Production ได้ในปัจจุบัน ระบบปิด กับ ระบบเปิดใครจะชนะ ?) ..ก็ดูกันต่อไปครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ทางที่ไม่เสี่ยง จริงๆแล้วอาจเป็นทางที่เสี่ยงสุดก็ว่าได้ !!


โจทย์ที่หนึ่ง เงินที่ตัดได้ มีเท่าไหร่ ..อันนี้คือเงินที่เหมาะจะมาใช้ในการออมในหุ้นมากที่สุด เพราะ Port การออมในหุ้นในช่วง 5 ปีแรกของการสร้าง Port สามารถขึ้นลงได้เกิน 50% นั่นหมายความว่า มูลค่าของ Port ที่ออมในหุ้นในช่วง 5 ปีแรกอาจขาดทุนได้สูงกว่า 50% ..แต่ในระยะยาว มูลค่า และ ปันผล จะค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เสมือน การปลูกต้นไม้ยืนต้นนั่นเอง 
โจทย์ที่สอง เงินที่ออมในหุ้น ควรเป็นเงินที่เป็น Cash Flow หรือ เงินที่เข้ามาแบบสม่ำเสมอ เช่น แบ่งบางส่วนจากเงินเดือนทุกเดือนมาออมในหุ้น 
โจทย์ที่สาม ยากสุด มันคือ ความอดทน (ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่มี หรือ มีน้อยมาก) และ ความศรัทธา ผมใช้คำว่า Believe เพราะมันคือ การกล้าที่จะเสี่ยงความมั่นคงในชีวิตกับสิ่งที่เชื่อ
-- แต่เชื่อหรือใหม่ว่า คนส่วนใหญ่เลือกทางเดินชีวิตรวมทั้งการลงทุนในแบบที่เขาคิดว่าไม่เสี่ยง เช่น วางเงินทั้งหมดในเงินฝาก หรือ ตราสารหนี้ ...แต่สุดท้ายทางเลือกที่ไม่เสี่ยงมันเป็นทางที่คนส่วนใหญ่เลือก ก็เลยได้ผลลัพธ์เหมือนคนส่วนใหญ่ คือ เสี่ยงสุด และก็ไม่รวย (ใครๆก็ทราบว่า คนส่วนใหญ่ ไม่รวย) -- ใช่!! การไม่เสี่ยง จริงๆ คือ เสี่ยงที่สุด เพราะคุณหมดโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาข้างหน้าน่ะซิ 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

เป็นลูกจ้าง ..เป็นนายจ้าง ..ให้ดีที่สุดกับตัวเรา !!


"ลูกจ้าง กับ นายจ้างคุณว่าต่างกันตรงไหน ..ผมว่าต่างกันที่ความกล้า(เสี่ยง) เพราะความฉลาด คนเรามันไม่ได้ฉลาดไปกว่ากันเท่าไหร่หรอก ...แต่ที่ต่างกันมากๆ อีกอย่างคือผลลัพธ์ของชีวิต -- ลูกจ้างพอเกษียณเขาก็เลิกจ้าง ส่งคุณไปเลี้ยงหลานแม้ว่าคุณจะไม่ได้อยากอยู่บ้านเลี้ยงหลานก็ตาม ..แต่นายจ้างหรือเจ้าของ เขาเลือกได้ว่าจะทำงานต่อหรือไม่ก็ได้ ถ้าเลือกไม่ทำก็แค่หยุดรับเงินเดือน หรือ จะตั้งตำแหน่งประธานพิเศษรับเงินเดือนต่อหลังเกษียณก็ทำได้ หรือไม่ก็แค่รับปันผลจากธุรกิจทุกปีไปเรื่อยๆจนตาย ('นายจ้างทุ่มชีวิตให้ธุรกิจ ธุรกิจก็เลยเลี้ยงเขาไปจนตาย' -- 'ลูกจ้างบางคนก็ทุ่มชีวิตให้ธุรกิจ แต่หลังเกษียณก็ได้เงินก้อนเล็กๆ ก้อนนึงไปทำขวัญ จากนั้นช่างหัวคุณ' ..เฮ้ย!! ไม่แฟร์ ..แฟร์ดิ นายจ้างเขาเสี่ยง แต่ลูกจ้างไม่เสี่ยงไง ..ก้มรับชะตาไป!!) -- ดังนั้น ผมอยากจะเตือนลูกจ้างทั้งหลายให้คิดถึงตัวเองบ้าง ..ถ้าไม่อยากเปิดธุรกิจตัวเอง ก็ต้องเอาเงินเดือนแบ่งไปลงทุนซื้อหุ้นเป็นเจ้าของกิจการที่จะเลี้ยงเราหลังเกษียณ คือ หุ้นที่เราควรลงทุนซื้อถือเป็นเจ้าของคือกิจการที่มั่นคง มีปันผลสม่ำเสมอ และ เราเข้าใจธุรกิจนั้นๆ ...ครับ!! โลกทุกวันนี้ ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง หลังเกษียณก็ไม่มีใครดูแลคุณหรอกครับ -- แบ่งเงิน ไปลงทุนยาวๆบ้าง ให้การลงทุนมันดูแลคุณตลอดไป 'ต่อไปถึงยุคที่เราต้อง ออมเงินใน Asset แล้วครับ อย่าประมาท' ...เราเท่านั้น ที่ต้องดูแลตัวเราเองให้ได้" ..ลูกจ้างดีเด่นกินไม่ได้ครับ แต่นักลงทุนดีเด่น รวยครับ ชิว !!! ..ถึงเป็นลูกจ้างก็น้องฝึกเป็นนักลงทุน 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

หนังสือเล่มใหม่ ภาววิทย์ ปี 2014 -- "แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด"


ตรุษจีนนี้เจอกัน !! ...หนังสือ เล่มใหม่ของผม "แกะรอยหยักชีวิต : Filter ความคิด" วางแผงทุกสาขา SE-ED ภายในวันศุกร์ที่ 31 มกราคมนี้ครับ ...พบกับรูปแบบหนังสือแนวใหม่ กระชากมุมมอง 2 ด้านทั้งชีวิตและการมองเงินในรูปแบบใหม่ !! -- การ Design เปิดจากหน้าไปหลัง แล้วจากหลังมาหน้า มาจบหน้ากลาง (ใช่!!) ...มันแปลก!! ..ผมต้องการสื่อสารมุมนี้กับคนรุ่นใหม่มานานแล้ว ...ผมเชื่อว่าความคิดทั้งหมดที่ถ่ายทอดมันเปลี่ยนชีวิตผม ซึ่งผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆนักลงทุน และคนรุ่นใหม่ทุกคน ..จัดหนักครับ !! :: ("แกะรอยหยักชีวิต :: Filter ความคิด" โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม) ..อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ http://www.pawawit.com/2014/01/filter.html

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ปู่ผมเคยขับแท๊กซี่ ไม่ได้จบปริญญา ยังสร้างตัวเป็นเศรษฐีได้เลย แล้วผมล่ะเรียนรู้อะไรบ้าง ?


"เรื่องของชายหนุ่มคนขับแท๊กซี่น่ะ ก็คือปู่ผม 'คุณ ทวิช กลิ่นประทุม' ตอนหนุ่มๆ ท่านขับแท๊กซี่ แล้วก็ทำงานทุกอย่าง คือ ไม่ได้เรียนสูง ไม่มีการศึกษา แต่อาศัยโรงเรียนชีวิตนี่แหละ ทำทุกอย่างไม่เกี่ยงเงินน้อยหรืองานต่ำ เพื่อเรียนรู้นั่นแหละ ..จุดเปลี่ยนชีวิตของคนสู้ชีวิตคนนี้ก็คือการได้ไปทำงานชิปปิ้ง เขาก็เรียนทุกอย่าง ทำงานแบบไม่เกี่ยงเงิน จนวันนึง เขาก็สามารถเปิดบริษัทขนส่งเล็กๆ เริ่มรับงานจากชิปปิ้งที่ท่าเรือ ..จากคนจน ไม่ได้มีปริญญา อาศัยโรงเรียนชีวิตและการทำงานหนักสร้างอาณาจักรขนส่งท่ีใหญ่ที่สุดแห่งนึงในยุคนั้น จากนั้นก็เข้ามามีบทบาทในการเมือง จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานนักธุรกิจ นักการเมือง ฉายาเจ้าบุญทุ่ม จากดินสู่ดาวในยุคของท่าน ..นั่นแหละครับ Legacy ของท่านที่ผมเอามาเป็นแบบอย่าง การใช้โรงเรียนชีวิตเป็นโอกาสในการศึกษาไม่รู้จบ / การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองโดยการไม่โทษคนอื่น รับผิดแก้ไขเรียนรู้แล้วโตขึ้น / การให้ก่อนรับ / การทำงานหนัก / การตั้งเป้าหมายที่สูงกว่าแค่เงิน / และการให้อภัย อยู่ร่วมกันได้แม้คิดต่างของนักการเมืองยุคนั้น ....สิ่งต่างๆและหลักความสำเร็จในยุคปู่ผม ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่วิธีการมันเปลี่ยน ..วันนี้ถ้าคุณไม่มีการศึกษา แล้วเริ่มจากใช้แรงงานในโรงงานนรก คุณก็จบชีวิตที่โรงงานนรกนั้นแหละ หรือ วันนี้เริ่มขับแท๊กซี่ แล้วรับแต่ฝรั่ง คงต้องขับแท๊กซี่จนตาย -- ประเด็นมันคือ ด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน คุณเรียนรู้อะไรบ้าง จากงานที่คุณทำในชีวิตประจำวัน คุณยอมทำงานหนักเพื่อเรียนรู้ทุกหน้าที่ในงานของคุณโดยไม่เกี่ยงเงินรึเปล่า เพื่อที่ว่าวันนึงคุณจะสามารถคิดหาวิธีปรับปรุงอาชีพของคุณ หรือแม้กระทั่งปรับปรุงทั้งอุตสาหกรรมที่คุณทำงานอยู่ ให้ดีขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีมากขึ้น ...ที่เราเป็นลูกจ้าง เพราะมันเปิดโอกาสให้เรียนรู้ธุรกิจ รู้อุตสาหกรรม และรู้ว่าสิ่งเดิมๆที่เขาทำๆกันอยู่มันคืออะไรไง จากนั้นคือ เราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เราจะทำให้ธุรกิจ หรือทั้งอุตสาหกรรมดีขึ้นอย่างไร ? ...นั่นแหละครับโอกาส คือเราใหญ่ได้มากกว่าที่เราเป็น แค่เราตอบโจทย์สิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา โดยการตอบโจทย์สังคม ตอบโจทย์ชีวิตที่ดีขึ้นของคนอื่น ให้มีความสุขมากขึ้น ตอบโจทย์ให้กับคนที่ใช้สินค้าและบริการของเรา" ...เมื่อคุณคิดให้ คุณก็ย่อมได้รับความมั่งคั่ง และความสำเร็จ 'คิดยิ่งให้ เลยยิ่งได้' -- กฎความสำเร็จนี้มีมาตั้งแต่ยุคปู่ผมจนถึงผม ไม่เปลี่ยนแปลง ..ถ้าคุณอยากรวย ตอบให้ได้ซิว่า คุณจะสร้างอะไร ทำอะไรให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นบ้างล่ะ ? ...จัดไป ตอบดู ตอบโดน ทำได้ สำเร็จชัวร์ครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

ตาบอดคลำช้างกับคนขับแท๊กซี่ !!


"มีชายคนนึงไปสัมภาษณ์คนพิการคนนึงที่ตาบอด ..ชายคนนี้ถามคนพิการที่ตาบอดคนนั้นว่า "คุณมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร ผมดูชีวิตคุณมันน่าเจ็บปวดมากนะ?" ...คุณรู้ไหมว่าคนพิการตาบอดตอบว่าอะไร -- เขาถามชายคนนั้นกลับว่า แล้วตัวคุณล่ะ ชีวิตคุณน่ะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ? ...ชายคนนั้นยืนนิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็ครุ่นคิดถึงคำถามที่คนตาบอดถามอย่างหนัก !! เพื่ออะไร ? -- (ชายคนนี้มีอาชีพขับแท๊กซี่ ..ส่วนคนพิการตาบอดคนนี้เป็นนักพูดและให้แรงบันดาลใจ) ...คนตาบอดคนนี้บอกว่า เขาใช้เวลานานพอสมควรเพื่อที่จะพบว่า ที่เขาเกิดมาพิการและตาบอดมันคือของขวัญจากฟ้าที่ส่งเขามาเกิดไม่เหมือนใคร เขาเกิดมาเพื่อให้กำลังใจคนอื่นๆ และช่วยให้คนอื่นๆมีพลังและมีชีวิตที่ดีขึ้น ...คนตาบอดยังสอนชายคนนี้อีกว่า ในโลกนี้มีจุดที่ดีที่สุดในจุดที่ยืนให้กับคนทุกคน ...ขอให้คนๆนั้นไม่ย่อท้อที่จะค้นหาว่าเขาทำอะไรได้ดีที่สุด -- มีแต่พวกขี้แพ้เท่านั้นแหละที่เอาแต่บ่น กล่าวโทษคนอื่น โทษดวง โทษโชคชะตา ...ถ้าคนพิการและตาบอดอย่างผมยังมีจุดดีที่สุดได้ คนตาดีอย่างคุณก็มีได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ? -- หลังจากนั้น 3 ปีคนขับแท๊กซี่คนนี้ ไปทำงานชิ๊ปปิ้งทั้งที่ตัวเองไม่ได้เรียนด้านนี้มาเลย อาศัยการไม่เกี่ยงงานหนัก แล้วค่อยๆเรียนทุกอย่างของเรื่องชิ๊ปปิ้ง "ท่องอย่างเดียวว่าเขาต้องรู้ทุกอย่างและจะทำโดยไม่เกี่ยงค่าจ้าง" หลังจากนั่นเขาเปิดบริษัทขนส่งส่วนตัว แล้วทำจนกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ท่าเรือ และกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองไทยในที่สุด ...เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าคิดจริงๆ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ผู้ได้เปรียบสูงสุดในระบบทุนนิยมปัจจุบันคือ New Landlord ซึ่งมันสร้างได้ !!


"ใครได้เปรียบที่สุดในระบบทุนนิยม ? ...บริษัทไงได้เปรียบ เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า Asset มีค่ากว่าเงินในระบบทุนนิยม แล้ว Asset ที่มีค่ามากที่สุดคือ คน ...ลองนึกดูซิว่า บริษัทก็คือ องค์กรที่รวบรวมทั้งคน ทั้ง Asset คือ แรงงาน , ที่ดิน , โรงงาน , สินค้าและบริการ ...และถ้าจะได้เปรียบกว่านั่นต้องเอาบริษัทเข้าตลาด เพราะบริษัทเข้าตลาดต้องสร้างระบบ ก็เทียบง่ายๆ ว่า บริษัทที่อยู่นอกตลาด ต่างกับ บริษัทในตลาดหุ้นตรง ระบบ System นี่แหละ ..ดังนั่น เรามองง่ายๆ เราว่า บริษัทในตลาดหุ้นก็คือ เครื่องผลิตเงินในระบบทุนนิยม ที่ใช้สมองเจ้าของ และแรงงานลูกจ้าง ใช้เงินของมหาชน และ สามารถสร้างหนี้ได้ถูกที่สุด ..ยิ่งเงินเฟ้อ บริษัทสร้างหนี้ยิ่งได้เปรียบ เพราะต้นทุนเงินต่ำ ความเสี่ยงก็ต่ำ"..กลไกของการใช้บริษัทเป็นตัวแทนเราในการลงทุนและทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี !! สุดยอดได้เปรียบครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

นักล่าอาณานิคมยุคใหม่กล่าวว่า ปัญญามีค่ามากกว่าเงิน !!


"ประเทศจะรวยหรือจน ในระบบทุนนิยม หลายๆคนคิดว่า ขึ้นกับว่าประเทศนั้นรวยทรัพยากร มีน้ำมัน มีทองมากกว่าก็รวยกว่า แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย !! ...ประเทศยิ่งมีทรัพยากรมากยิ่งซวย เช่น แอฟริกา ..เพราะทุนนิยมก็จะติดสินบนผู้นำทหาร ให้อาวุธ ด้วยเงินที่จริงๆแล้วดอลลาร์พิมพ์จากลม แล้วก็ให้ผู้นำทหารคนนั้น ขนทรัพยากรประเทศมาแลก กดขี่คนในชาติ ..ผลก็คือ ผู้นำเผด็จการทหารกับพรรคพวกของตนที่จะรวยล้นฟ้า ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่จน ปืนใช้คุมประเทศ ..ประเทศที่โชคดีคือ ไม่มีทรัพยากร เช่น สิงคโปร์ เพราะอเมริกาไม่รู้จะไปขโมยอะไรเพราะมันไม่มีทรัพยากร ..ผลก็คือ ลีกวนยู พัฒนาความรู้ของคนสิงคโปร์ ให้เข้าใจกลไกของทุนนิยม ที่มีความรู้ในการสร้างสินค้าและบริการสนองตอบความต้องการของมนุษย์สามารถสร้างมูลค่ามากที่สุด จากนั้นสิงคโปร์ก็เดินตามรอยอเมริกา โดยการออกล่าอาณานิคม ด้วยการหาทรัพยากรจากประเทศต่างๆ มาผลิตสินค้าและบริการ สร้างผลกำไร เก็บเป็นความมั่งคั่ง แล้วเป็นสิงคโปร์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี่เอง" ..ตัวเราก็เรียนรู้จากตรงนี้ได้ ประเทศมีทรัพยากรเป็นคำสาบ ครอบครัวต่างๆ ก็มี มรดกเป็นสาบเช่นกัน -- ใช่!! ต้อง Focus ที่การพัฒนาความรู้และปัญญา จึงจะเป็นคนที่พัฒนาอย่างรู้เท่าทันระบบทุนนิยมปัจจุบัน
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ตัวคุณมีค่าเพราะคุณเข้าใจการกำหนดราคาของเวลา และคุณขายคนที่อยากซื้อจริงๆ !!


"อะไรคือ Asset ที่มีค่ามากที่สุดในโลก ? ..จริงๆ คือ มนุษย์ เพราะ Asset ทุกอย่างบนโลกนี้ที่มีราคาก็เพราะมนุษย์เป็นคนให้ค่ามัน เช่น ทองคำ มีค่าในสายตามนุษย์ แต่สัตว์อื่นๆ ไม่ให้ค่าทองคำแต่อย่างใด ..เอากล้วย กับ ทอง ยื่นให้ลิง คุณเชื่อไหมว่าลิงเอากล้วย ..555 -- ใช่!! หลายคนคงเริ่มคิดต่อไปว่า ในเมื่อมนุษย์มีค่ามากที่สุด แล้วอะไรมีค่ามากที่สุดต่อมนุษย์ ...ครับ !! เวลา ไง ..เวลาคือ สิ่งที่มีค่าที่สุดต่อชีวิตทุกคน เพราะเรามีจำกัด -- คนสามารถหาเงินได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่ไม่สามารถอยู่นานกว่าร้อยปี ...แต่แปลกไหมที่เรากลับเอาเวลาเรามาขายแลกเงินในราคาที่ถูกมากๆ ...เวลาของเด็กจบใหม่ คือ 15,000 บาทต่อเดือน ..เวลาของแรงงานไทย 300 บาทต่อวัน ..แรงงานพม่าก็ต่ำกว่านั้นอีก ...ตกลง คุณเข้าใจไหมว่า ทำไมเวลาของแต่ละคนถึงมีค่าต่างกันทั้งๆที่เวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ? -- ถ้าคุณเข้าใจ ความแตกต่างของราคาของเวลาของคนแต่ละคน คุณจะเข้าใจกลไกของทุนนิยม ที่สร้างระบบทาสขึ้นมาใหม่ ผ่าน 3 สิ่ง คือ หนึ่ง เงิน สอง Asset และ สาม หนี้ ...ทาสในระบบทุนนิยมคือ คนที่เป็นหนี้ ทุ่มเวลาทั้งหมดของชีวิตทำงานที่ไม่อยากทำ เพียงเพื่อต้องการผ่อนหนี้ เพื่อให้ครอบครัวของตัวเองมีบ้าน และมีรถยนต์ ...ใช่หรือ ? บ้าน และ รถยนต์ แลกกับ เวลา ทั้งชีวิตของเรา -- คุณลองตีค่าของเวลาใหม่ซิ คุณแปลกใจไหมว่า บางคนทำไมเขาสามารถขายเวลาของตัวเองได้แพงมากๆ แล้วบริษัทใหญ่ก็ยอมจ่าย ในขณะที่ทำไมแรงงานคุณมันถูกจริงๆ ...ยิ่งคุณเป็นเจ้าของกิจการ ลองหารคำนวณดูซิว่า เวลาคุณยิ่งถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียอีก ...กุญแจไขความลับของกลไกเรื่องค่าแรงที่แตกต่างกันนี้ต้องเข้าใจเรื่องของ Demand & Supply ในทุกๆอย่าง ...คือ แรงงานที่ราคาถูกเพราะความสามารถของเขาเอาใครทำก็ได้ ..แต่แรงงานราคาแพง คือ งานของเขามีคนทำแทนได้นัอย ..ครับ!! งานที่ค่าจ้างแพงทำแล้วรวยสบายในระบบทุนนิยม ต้อง Supply น้อยๆ และ Demand มากๆ นั่นเอง"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ก่อนจะทำธุรกิจส่วนตัว ซ้อมให้มือเชื่องซะก่อนครับ !!


"อยากเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) แต่ยังไม่กล้าลาออกจากงานประจำ ทำไงดี ? ...ก็เป็น Intrepreneur ก่อนซิ ..ก็คือฝึกตัวเองเป็นผู้ประกอบการโดยยังไม่ต้องลาออก ..ให้เรามองโอกาสขององค์กร ว่าสามารถทำให้ดีขึ้น แตกต่าง โดยลองคิดนอกกรอบดู จากนั้นก็ลองคุยกับหัวหน้า ถึงโอกาสในการทำ ..เรื่องนี้เมืองไทยอาจไม่คุ้นเคย แต่องค์กรสมัยใหม่อย่าง Google ส่งเสริมให้พนักงานใช้เวลา 20% ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำเลย ..ผลก็คือ Google สามารถสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ...กลับมาดูบ้านเรา อาจไม่เปิดโอกาสให้คิดนอกกรอบ แต่เราก็สามารถคิดแล้วลองทำนอกเวลางานได้ -- จริงๆ คุณรู้รึเปล่าว่า ประสบการณ์ของคุณมีค่ามาก เพราะก่อนที่เราจะคิดต่อยอดและเห็นโอกาสใหม่ๆ มันต้องเริ่มจากการเข้าใจข้อจำกัดของสิ่งเก่าๆ ที่ทำๆกันอยู่ก่อน ...เมื่อคุณลองฝึกคิดในมุมของผู้ประกอบการระหว่างที่ยังอยู่ในองค์กร มันสามารถลดความเสี่ยง ลอง Idea ใหม่ และหัดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ในความเสี่ยงที่จำกัด จากนั้นวันใดที่คุณพร้อม ก็ออกไปลุย ..แต่เชื่อหรือไม่ว่าการคิดสิ่งแปลกใหม่ให้องค์กร มันก็เป็น Fast Track หรือ Shortcut ของคุณสู่ตำแหน่งผู้บริหารในเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย ...เดี๋ยวนี้ใครๆก็เก่ง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าติดต่าง คิดนอกกรอบ -- ก็ลองใช้มุมนี้สร้างจุดเด่นให้ตัวคุณดูครับ" ...Intrepreneur จัดไปครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

เรากำลังโดนหลอกให้ทำและตั้งเป้าให้ทำ ในสิ่งที่มันไม่ได้มีจริงๆหรือเปล่า


"โรงเรียนที่การันตีเงินเดือนหลักแสนเมื่อเรียนจบ ตั้งอยู่ที่ไหน ? ..ทำไมล่ะ -- ก็ฉันจะส่งลูกไปเรียน ...ถ้าใครจำ Harry Potter ได้ จะจำได้ว่าชานชาลาที่จะพาไป Hogwarts โรงเรียนเวทมนต์ คือ ชานชาลา 9 เศษ 3/4 ..นักเรียนต้องวิ่งทะลุกำแพงเข้าไปตรงนั้นถึงจะสามารถไปขึ้น Hogwarts Express ที่จะนำท่านไปสู่ Hogwarts ได้ -- โรงเรียนแนวนี้แหละที่สามารถการันตีเงินเดือนแสนแก่คนเรียน ..เฮ้ย!! มันเป็นนิยายไม่ใช่หรือ ? ...ใช่ไง คุณทราบไหมว่าคนเขียนเรื่อง Harry Potter นาง J.K.Rowing เขาคือคนนึงที่ผ่านโรงเรียน Hogwarts มาเหมือนกัน เพียงแต่มันเป็น Hogwarts ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีตัวละครเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างคุณและผมนี่แหละ ..ครับ!! ในโลกแห่งความจริงผมเชื่อว่าใครๆก็อยากได้เงินเดือนสูงๆทั้งนั้นแหละ ..อย่างตัวผมเอง เมื่อวันแรกที่เริ่มเป็นลูกจ้าง ผมตั้งเป้าทันทีว่า ผมต้องได้เงินเดือนแสนให้เร็วที่สุด ..แต่ประเด็นคือ จะทำอย่างไร ในเมื่อวันนี้เงินเดือนคุณ 15,000 บาท และพอมองขึ้นไปในองค์ก็เห็นคนที่มีประสบการณ์มากมายที่ยืนกันอยู่อย่างแออัด ..เขาเปรียบเทียบองค์กรในยุคนี้ว่าเหมือนลิฟท์ที่แต่ละชั้นมีคนยืนเต็มอย่างแออัด ยิ่งชั้นสูงขึ้นก็เต็มไปด้วยคนอาวุโสที่ยังคงยึดตำแหน่งและเก้าอี้ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น ..ใช่!! ไม่มีที่ว่างให้คุณโตหรอก ..ทำใจซะเถอะ คุณเข้าประตูมาตรงไหนก็ออกไปทางนั้นเสียเถิด ..อ้าว!! เฮ้ย!! แล้ว Hogwarts ที่ผมเกริ่นมาล่ะ มันคืออะไร ไม่เห็นมันเกี่ยวกับเงินเดือนแสนเลย ...พูดจริงๆนะครับพี่ ผมยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของชีวิตผมเลย ...วันนี้เรียนจบมาก็ขยันทำงานสุดๆ ผลงานก็ดี ..วันนี้มีเมียมีลูก ก็กู้ซื้อบ้านหลังเล็กอยู่ชานเมือง แล้วก็มีรถ Eco car คันเล็กๆ ที่เพิ่งถอยออกมา ...ว่าไปแล้วผมก็ฉลาดนะ ผมใช้ Eco car ก็ประหยัดน้ำมัน ...หลังจากนั้นไม่นาน ชายผู้นี้ก็ได้รับซองขาวจากบริษัทที่เขาทำงาน เชิญให้ออก ...ออก!! คุณว่าไงนะ !! ผมโดนไล่ออก ..แล้วหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน ค่าเรียนลูก กับ ภรรยาอ้วนๆของผม ใครจะเลี้ยงล่ะ ...ผมจะทำอย่างไร ผมเครียดจริงๆ -- ว่าแล้วชายผู้นี้ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยาย Harry Potter เขาเริ่มพลิกอ่านด้วยความรวดเร็ว ความสนุกเริ่มครอบงำ เขาลืมความเจ็บปวดของการโดนไล่ออกจากงานไปชั่วขณะ ..ทันใดนั้นเอง เขาพลิกอ่านมาถึง ชานชาลาที่ 9 เศษ 3/4 ...ตรงที่ Harry Potter กำลังจะพุ่งเข้ากำแพงไป Hogwarts โรงเรียนในตำนาน ...อ่า!! ถึง Climax ของเรื่องนี้พอดี ชายหนุ่ม คนขยัน รักครอบครัว มาถึงทางตันของชีวิต แล้วเขาน่าจะพบทางออกที่ซ่อนความลับไว้ในนิยาย Harry Potter ..แต่ไม่ใช่เลยครับ ในชีวิตจริงมันไม่ได้มี Happy Ending เหมือนอย่างละครน้ำเน่าที่เราชอบดูกัน ..จุดจบของเรื่องนี้คือ สุดท้ายสามีภรรยาทะเลาะกัน ลูกไปติดยา บ้านและรถโดนยึด สามีไปติดเหล้าและการพนัน ผันตัวไปทำงานรับจ้างทั่วไป ...ผมอยากจะบอกคุณว่า เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องปกติของครอบครัวชั้นกลางที่ลืมวางแผนการเงินตั้งแต่เริ่ม ..จุดพลาดคือ จุดที่เริ่มต้นนั่นแหละครับ -- หากคุณจะแก้ Plot เรื่องนี้ มันต้องแก้ตั้งแต่ตอนที่ชายคนนี้อยู่โรงเรียน เขาต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าเขาเหมาะกับทำอะไร ...คุณว่าแปลกไหมที่คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไรหรืออยากเป็นอะไร -- คุณลองคิดให้ดีซิครับว่าเคล็ดลับของรายได้เป็นแสนเป็นล้านมันเริ่มจากแค่เราตอบคำถามง่ายๆที่ว่า เขาเก่งอะไร เพราะถ้าเรารู้ว่าเราเก่งอะไร เราจะได้เลือกทำสิ่งนั้น ซึ่งเราก็จะทำได้ดี และสุดท้ายก็จะได้เงินดี -- (ตัวอย่าง Steve Jobs / Bill Gates / Henry Ford / Mark Zuckerberg / Sam Walton / Richard Branson คนเหล่านี้ตอบชัดว่าตัวเองเก่งอะไร แล้วก็ทำในสิ่งนั้น ..มีคนพูดว่า คนเก่งในอเมริกามี 2 ทางให้เลือก คือ หนึ่ง ถ้าเขารู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เขาจะไป Silicon Valley แล้วมุ่งทำไปตามฝัน ..และสอง ถ้าเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เขาจะไป Wall Street ไปหาเงิน ..คนทั้งสองประเภท ระดับความฉลาดไม่แตกต่าง แต่เป้าหมายต่างกันมาก ..ผลลัพธ์คือ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์เงินเดือนกับ เศรษฐีผู้เปลี่ยนโลก) ...ใช่!! ก่อนที่จะเดินต่อไปแบบ งงๆ ชีวิต ..ลองตอบคำถามง่ายๆนี้ก่อนว่า คุณเก่งอะไร และเหมาะจะทำอะไร" ..ตอบได้ ก็เท่ากับว่าคุณเป็นส่วนน้อยในประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจน และมีโอกาสรวยและประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนทั่วไปครับ -- ลองตอบดู !! (แปลกไหมล่ะ เด็กๆเรารู้ชัดเจนเลยว่าเราเก่งอะไร แล้วโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร ...แต่ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไร แล้วจริงๆเราอยากทำอะไร ..หนักกว่านั้น วันนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้แล้วว่าจริงๆ เขาอยากที่จะทำอะไรด้วยซ้ำ!!  ...คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้จักตัวเอง -- ครับ!! ก็เพราะเราโดนหนี้ และภาระต่างๆ เข้าครอบงำ ..ทางแก้คือ หยุดคิดสักนิดแล้วลอง List ออกมาดูซิว่าวันนี้อะไรที่เราต้องทำ ..(เยอะเนอะ) ..ลองตอบซิว่าไอ้ที่ต้องทำ คุณทำไปเพื่ออะไร ..(ทำไมเราต้องทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่เราไม่ได้อยากได้จริงๆ) ...ถ้าเราค่อยๆตัดเป้าหมายที่ไม่จำเป็นออกไป ชีวิตและเป้าหมายคุณจะดีขึ้น ชัดเจนขึ้น และเหนื่อยน้อยลง) ...เราตอบสนองความอยากที่เกินความจำเป็น นั่นเอง ..ลดได้ ชีวิตจะฉลาดขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้น ..เรื่องเงินเดือนแสนมันเป็นเป้าหมายหลอก เพราะเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ ..'ชีวิตเรามีฝัน มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่เงินและสิ่งของที่เราอยากได้คิดดีๆ!!' ..คนที่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของตัวเองได้ เขารวยกว่านั้น เก่งกว่านั้น และมีความสุขมากกว่านั้น!! 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เราจะเริ่มตั้งสติกับชีวิตเมื่อไหร่กันดี ? ..เมื่อมีลูก เมื่อพร้อม ?


"คนเราจะทำงานหนักไปทำไม ..สงสัยไหมครับ ? -- เพื่อลูกไง อ้าว!! แล้วถ้าไม่มีลูก ..ก็เพื่อพ่อแม่ ..แล้วถ้าพ่อแม่เขาดูแลตัวเองได้ แต่เรายังเอาตัวไม่รอด และก็เป็นภาระ ? ...ก็ไม่รู้ซิครับ ..อ้าว!! แล้วตกลงเราทำงานหนักเพื่อใครกัน ...โอเค ผมว่า หนึ่ง เอาตัวเองให้รอด คือ สมดุลย์กิเลส โดยวางแผนจาก รายรับต้องมากกว่ารายจ่าย ถ้าทำไม่ได้ก็ลดกิเลสลงไป ..รายได้มากเท่าไหร่ก็ไม่พอความอยากของมนุษย์ ดังนั้น อย่างแรกลดที่ความอยาก ...เงินน้อยก็ใช้น้อย ตอนเด็กขอเงินพ่อแม่ยังใช้น้อยเลย แต่ทำไมมีเงินเดือนแล้วใช้ไม่พอ -- 'หยุดเลย การเปรียบเทียบ ก็ชอบเทียบคนอื่นว่าเราไม่มี ลองเทียบคนที่เขามีน้อยกว่า เราจะรู้ว่าเราน่ะโอเคแล้ว' -- ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ให้รู้จักตัวเอง รู้จักอดทน รู้จักรอ รู้จักลดความอยาก ทั้งหมดนี้คือ หลักเบื้องต้นของคนที่จะมีเงินเก็บ ....และพอมีเงินเก็บ ก็ค่อยเอาไปลงทุน -- ที่เล่ามาผมเชื่อว่าขัดความรู้สึกคนส่วนใหญ่ ที่เริ่มทำงานจะต้องมีรถ มีกระเป๋าหรู มี iPhone รุ่นล่าสุด มีหนี้บัตรเครคิต มีหนี้ผ่อนคอนโดที่โคตรไกล รวมค่าเดินทางไปที่ทำงาน ..ฮึม !! ออกเถอะ รายจ่ายมันสูงกว่า ก็เพราะเราเลือกเอง จริงๆ ลองคิดดีๆ มันมีทางออก เช่น อยู่กับพ่อแม่ไปก่อน (ฝึกขันติ และฝึกความกตัญญู ..555)  , เช่าที่พักไม่แพงใกล้ที่ทำงาน , ซื้อของไม่จำเป็นให้น้อย ...นี่แหละเบื้องต้นเลย เพราะบางคนบ่นว่าโลกนี้กดดัน จริงๆ มันคือเราที่เลือกจะกดดันตัวเอง -- ลองถอยหลังมองชีวิตสักนิดจะเห็นเลยว่า ปัญหาทั้งหมด เกิดจากที่เราเลือกผิดๆ ซื้อของในเวลาที่ไม่พร้อม ...ทำเบื้องต้นนี่ได้จะเริ่มมีเงินเก็บมาลงทุน -- ใช่!! บางคนโชคดีมีเงินลงทุนเลย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะลงทุนอย่างฉลาด ส่วนมากโง่(ตามสถิติ มือใหม่ลงหนักแค่ไหน เจ๊งเท่านั้น++) ..แต่คุณถ้าเริ่มจากไม่มี แล้วสร้างให้มีด้วยปัญญาและความอดทน -- คุณน่ะของจริง ถ้ารวยได้ จะรวยยั่งยืน !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันจันทร์ที่ 20 มกราคม พ.ศ. 2557

จิ๋ว ล้ม ยักษ์ ..มวยรองสู้แบบไม่กลัวแพ้ มันก็ดีนะ


"วันนี้ผมผ่านไปร้านหนังสือที่สนามบิน เห็นหนังสือเล่มใหม่ ของนักเขียนคนโปรดคนนึง Malcolm Gladwell ชื่อว่า David & Goliath ..เห็นชื่อก็นึกภาพนิทานโบราณเรื่องนี้เลย ..Malcolm ได้นำเสนอเรื่องราวของ ความได้เปรียบของคนด้อยโอกาส และ ความเสียเปรียบของคนที่มีพร้อมทุกอย่าง -- มันเป็นมุมคิดบวกที่สร้างแรงบันดาลใจอย่างยิ่ง ว่าจริงๆ แล้วหากเรารู้จุดอ่อนและเปลี่ยนจุดนั้นเป็นจุดแข็ง มันก็ทำให้เราสามารถสร้างจุดยืนให้ตัวเองสามารถคว้าโอกาสในชีวิตแบบก้าวกระโดดได้ ..คนส่วนใหญ่จะยึดติดเกี่ยวกับชาติกำเหนิดแล้วใช้จุดนี้เป็นข้อแก้ตัวชั้นดีว่า ก็ผมมันแค่ลูกชาวนาจะลืมตาอ้าปากคงไม่ได้ ..จริงๆ ก็เป็นข้ออ้างที่ดีที่ทำให้ชีวิตไม่ต้องพยายามอะไรมากมาย ..หรือ บางคนบอกว่าเกิดมาไม่เก่ง อะไรก็ว่าไป ...แต่จุดที่ Malcolm ชี้มันโชว์ให้เห็นว่า เกิดมาจนสุดๆก็ขึ้นมายืนได้ หรือ คนโง่ก็ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ได้ มันเป็นการเข้าในจุดยืนของ Underdog หรือ มวยรอง ที่ต่อยแบบทุกการต่อสู้เดิมพันด้วยชีวิต แต่การล้มเหลวในธุรกิจหรือชีวิตในปัจจุบัน มันแค่ทำให้เราเก่งขึ้น นั่นแหละเคล็ดลับของมวยรอง หรือ ผู้แพ้ที่ไม่เคยหยุดสู้ -- คุณรู้ไหม บางครั้งเราก็แค่มีชีวิตอยู่บนโลกนี้เพื่อที่จะรู้ว่า ไม่มีอะไรได้มาโดยที่เราไม่เสียอะไรไป และจุดที่เรายืนในวันนี้คือ ผลลัพธ์จากการกระทำทั้งหมดในอดีตของเรา ไม่ได้เกี่ยวกับชาติตระกูลแต่อย่างใด" ...คุณสูงศักดิ์ก็เพราะคุณประพฤติปฎิบัติน่าเคารพยกย่อง ..คุณร่ำรวยก็เพราะคุณขยันอดทนและไม่เคยล้มเลิกความตั้งใจในเป้าหมาย ..คุณเป็นนายคนอื่นเพราะคุณเสียสละ ...คุณเป็นครูเพราะคุณให้ความรู้คนอื่น -- ...ที่คุณเป็น ก็เพราะคุณทำ !! 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอาทิตย์ที่ 19 มกราคม พ.ศ. 2557

ทางเดินสู่ความมั่งคั่งต้องผ่านมุมมองความเชื่อในอดีตของการกอบโกยเข้าตัวให้มาก


"คนส่วนใหญ่มองเรื่องการสร้างความร่ำรวยว่าเป็นเรื่องของการค้าขายให้กำไรและสร้างเครือข่ายให้ผูกขาด ..อันนั้นคือกลยุทธ์ในอดีต ..แต่ปัจจุบันที่โลกพัฒนาไปมากด้านความสะดวกสบายรอบๆตัวที่เรียกว่าครบ รวมทั้งสินค้าและบริการที่มีอยู่บนโลกมันผลิตมากกว่าความต้องการใช้ของมนุษย์เสียอีก -- คุณว่าแล้วอะไรคือทางสู่ความสำเร็จในโลกปัจจุบันที่เราต้องให้ความสำคัญ ? -- ครับ!! ผมว่ามันคือ Wisdom & Research and Development ...'ในส่วน Wisdom คือ การค้นความรู้ที่สูงกว่า Knowledge ที่มองแต่ภายนอก (คือ Wisdom = ปัญญา) มาเพิ่มการมองภายในตัวเราเข้าไปด้วย หลายๆ ปัจจัยแห่งความสำเร็จในปัจจุบัน มันกลับมาที่เรื่อง ความพอดี การใช้อย่างฉลาด และ ความอดทน ..ทั้งหมดนี้ประกอบเป็น ปัญญา ที่จะสร้างความแตกต่างให้คนในยุคนี้อย่างแท้จริง ..ใช่!! กินเกินจนอ้วน หรือ ใช้มากจนป่วย ก็ผิดประเด็น ..เก็บเงินจนเกิน ไม่เคยใช้ ก็ไม่ใช่เหมือนกัน ..แต่การสมดุลย์อย่างมีปัญญาเช่นการ Give & Take กลับทำให้คนๆนั้น รวยเพิ่ม และ มีความสุขมากขึ้นไปอีก' ....'ในส่วน Research & Development ..ผมว่ามันเป็นสิ่งเดียวที่จะสร้างความแตกต่างให้องค์กรในยุคนี้ เพราะทุกอย่างมันมีหมดแล้ว ดังนั้น การคิดสิ่งใหม่ก็ต้องอาศัย R&D เราเรียนรู้สิ่งนี้ได้จาก Samsung ที่เขาเปลี่ยนจากองค์กรคร่ำครึเป็นบริษัทนวัตกรรมด้วยการทุ่ม R&D มากที่สุดในอุตสาหกรรม'..เชื่อซิ ทุกอย่างมีโอกาสที่จะทำให้ดีขึ้นได้!! -- เหนือกว่าที่สุดคือ เหนือกว่า!! มันคือการพัฒนาแบบไม่หยุดยั้ง  คนสุดยอดคือคนที่เก่งกว่าเดิมทุกๆวัน แค่นั้นเอง"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันศุกร์ที่ 17 มกราคม พ.ศ. 2557

ความพอดีของแต่ละคน ไม่เท่ากันเลย !!..ทำไมล่ะ


"ความพอดีของแต่ละคนเท่ากันป่ะครับพี่ ผมสงสัยจัง !! ...ไม่เท่าดิ ธรรมชาติต้นไม้ ยังสูงต่ำไม่มีเท่ากัน จะให้ทุกคนมีฐานะเท่ากันได้ไง ดังนั้น ความพอดีของแต่ละคนจะวัดยังไงล่ะ ? -- คุณคิดดูนะ วันนี้ถ้ามีใครสักคนที่ได้เงินก้อนแบบถูกลอตเตอรี่ (หรือได้มรดก) คุณว่าสิ่งแรกในหัวเขาเลยคืออะไร ..ใช่!! จะซื้ออะไรดี คือ คิดแต่เรื่องใช้ ยังไงเงินก้อนก็ต้องหมด แล้วกลับไปจนเหมือนเดิม -- ที่ถูกต้องมันต้องถามว่าเอาเงินก้อนนี้ไปลงทุนให้เกิด Passive Income เช่น ทำหอพัก , ซื้อหุ้นเอาปันผล , เอาไปซื้อเครื่องหยอดเหรียญ , เปิดแฟรนไซส์ อะไรก็ว่าไป ..แล้วเงินที่เอามาใช้ ตั้งกฏว่าห้ามใช้เงินก้อนโดยตรง ต้องเป็นเงินที่เกิดจากผลการลงทุนเท่านั้น ที่เราเรียกว่า Passive Income นั่นแหละ ...ครับ!! ไอ้ตัว Passive Income ของแต่ละคนนี่แหละที่เอามาวัดความพอดี ง่ายๆ ถ้าอยากซื้อของฟุ่มเฟือยที่อยากได้ เช่น ผู้ชายอยากซื้อรถสปอร์ต , ผู้หญิงอยากซื้อกระเป๋า -- เราก็ตั้งกฎว่า ซื้อได้ แต่ห้ามใช้เงินก้อน ต้องเป็นเงินที่ได้มาจาก Passive Income เท่านั่น ..สิ่งที่เพิ่มเข้ามาในสมการนี้ก็คือ เพิ่มสมอง และ ความอดทนเข้ามา ..ยกตัวอย่าง นาย เอ อยากขับ Ferrari ก็ต้องคิดว่าจะลงทุนอะไรที่สามารถสร้าง Passive Income ที่สามารถเอามาซื้อและผ่อนรถในฝันของเขาได้ ซึ่งแน่นอนเขาไม่สามารถซื้อได้ทันทีที่มีเงิน แต่ต้องเอาไปลงทุนโดยใช้เวลาพอสมควรกว่าจะบรรลุเป้าหมาย ...ดังนั้น ความพอดีไม่ใช่ใช้ให้น้อยสุดๆ ประหยัดโคตรๆ แต่งตัวแย่ๆ ไม่ใช่เลย -- ความพอดีแบบคนรุ่นใหม่ คือ รู้จักหาเงิน แล้วเอามาลงทุนสร้างเครื่องผลิตเงิน จากนั้นก็ดูความเหมาะสม ระหว่าง รายรับ กับ รายจ่าย ..แบบนี้ชีวิตก็ได้ใช้ และ ก็ไม่ได้จนด้วย คือ 'รวย แต่ฉลาดหา ฉลาดใช้' นั่นเอง"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพฤหัสบดีที่ 16 มกราคม พ.ศ. 2557

อาชีพอะไรที่มีอนาคต ?..ทำอะไรดีอ่ะ


"อาชีพที่มีอนาคตคือ อาชีพที่ตอบโจทย์ความต้องการของคน ...ไม่ใช่อาชีพที่เรียกว่าอาชีพเดิมที่มีอยู่แล้ว ..ถ้าคุณมีอาชีพเป็นสถาปนิก คุณได้เลือกวางตัวเองสู่การแข่งขันที่รุนแรงทันที เพราะในตลาดมีสถาปนิกอีกมากมายรวมทั้งทีกำลังจะเรียนจบใหม่ ..ถ้าคุณจะเป็นเชฟก็จะมีเชฟอีกมากมาย ..จะเป็นหมอก็มีหมออีกมากมาย ..จะเป็นช่างซ่อมรถก็มีคู่แข่งในอาชีพอีกมากมาย -- วิธีสร้างความแตกต่างคือ เอาลูกค้าเป็นที่ตั้ง แล้วมองว่า เขาต้องการอะไร และเรามีความสามารถตอบโจทย์ตรงนั้นได้หรือเปล่า ? ..หากคุณมีความสามารถตอบสนองความต้องการตรงนั้นๆของลูกค้า ก็จะเกิดอาชีพใหม่ เช่น ผมมองว่าลูกค้าต้องการคนช่วยเหลือเรื่องการบริหารเงินส่วนตัว นั่นคือ 'ตลาด Target Market' จากนั้นผมก็วาง Position ของตัวเองเพื่อสนองความต้องการตรงนั้นของตลาด จากนั้นผมก็พัฒนาจุดแข็งของผมให้ชัดขึ้นเรื่อยๆ คือ เป็น Coach การลงทุน ..จะเห็นได้ว่ามันเป็นอาชีพตรงกึ่งกลางระหว่าง นายธนาคาร , Broker และ ก็อาจารย์ -- ดังนั้น ผมก็สร้างอาชีพใหม่ที่แตกต่างขึ้นมาแล้ว ก็คือ ภาววิทย์ มีอาชีพ เป็นโค๊ชการลงทุน เป็นการรวมตัวระหว่าง Banking + Broker + Teacher ...ข้อดี คือ ผมก็สร้างตลาดขึ้นมาใหม่ให้อาชีพตัวเอง ซึ่งก็เหมือนการออกสินค้าขึ้นมาใหม่ ถ้าโดนใจลูกค้า ผมก็จะกลายเป็นเจ้าตลาดของ Categories นี้ที่ผมสร้างขึ้น ..ข้อเสีย คือ คุณต้องเข้าใจคน และ สร้างตลาดตรงนี้ขึ้นมาให้ได้ ซึ่งการทำอะไรใหม่ๆ มันจะมีแรงต้านเยอะ ซึ่งไม่ง่าย ...ลองมองรอบๆ ตัวซิครับ คุณจะเริ่มเห็นว่าสังคมกำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง ตวามต้องการของคนก็กำลังเปลี่ยนอย่างรุนแรง ..นั่นแหละโอกาสของอาชีพใหม่ๆ ที่จะเกิดมากมายในอนาคต -- มันขึ้นกับว่าคุณจะเลือกเป็นผู้นำ เป็นคนสร้างอาชีพใหม่นั่นเอง หรือ คุณจะเลือกเป็นผู้ตามก็เลือกกันไป ...ลองจัดดูครับ !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

สิ่งที่จะช่วยเราเมื่อเงินเฟ้อท่วมโลกก็คือ เราต้องเข้าใจ Asset ให้ทะลุ


"มีหลายคนมาถามให้ผมขยายความคำว่า Asset ให้เข้าใจ เพราะโลกจากนี้ไปเราจะเข้าสู่ภาวะเงินเฟ้อสุดโต่ง และสิ่งเดียวที่ถือแล้วไม่จนลง แต่กลับรวยขึ้นคือต้องถือ Asset ...ขยายความเกี่ยวกับ Asset ก็อย่างที่บอกครับว่า พิจารณาจาก หนึ่ง สิ่งนั้นมนุษย์ต้องการ สอง มีจำนวนจำกัด และ สาม สิ่งนั้นในระยะยาวจะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (มันอยู่ตีงข้ามกับเงินเฟ้อนั่นเอง ถือยิ่งยาวยิ่งรวยไง) ..ส่วน Super Asset ผมว่าต้องมีข้อที่สี่ คือ มีปันผลระหว่างถือ ..อะไรก็ตามเข้าข่าย 3 ข้อที่ผมกล่าวมาถือว่า มันคือ Asset สิ่งที่จะช่วยให้คุณรอดพ้นจากยุคเงินเฟ้อสุดโต่งที่กำลังเกิดขึ้น (มันกำลังเกิดขึ้นแล้วนะ อย่าชะล่าใจ) ..Asset ก็เหมือนเรือโนอาน่ะ เงินเฟ้อก็เหมือนน้ำที่จะท่วมโลก เราต้องเกาะเรือที่คิดว่าดีที่สุด แล้วอย่าโดดไปมาบ่อย เดี๋ยวจะพลาดแล้วจมน้ำคนแรก"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 15 มกราคม พ.ศ. 2557

ระหว่างฝันกลางวัน กับการวางแผน คือ คุณต้องจับปากกาเขียนมันออกมา ..ไปเขียนเร็วครับ!!



"มีน้องๆ ถามว่า ใครๆ ก็บอกว่าคนเราจะยิ่งใหญ่ต้องมีฝัน ..ฮึม!! แล้วการสร้างฝันเป็นรูปร่างมันทำยังไงล่ะ ?  ...ดูสถาปนิกซิ เป็นตัวอย่างที่ดี ของงานที่ทำจากความฝัน ..ใช่!! จริงๆ ทุกอาชีพหากคุณอยากก้าวหน้า อยากเป็นผู้นำในสายอาชีพของคุณ ต้องกล้าฝัน จากนั้นทำแบบสถาปนิกก็คือ เขียนฝันลงกระดาษ นั่นแหละขั้นแรกเลย ..อย่าปล่อยให้ฝันมันล่องลอย ..คิดและวาดให้ได้เสมือนเป็นสถาปนิกในอาชีพที่คุณทำ รับรองคุณจะเป็นคนก้าวหน้าและล้ำสมัยในงานที่คุณทำ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 14 มกราคม พ.ศ. 2557

ยุคหลัง QE อะไรคือ Paper Money อะไรคือ Real Money


"ระบบการเงินของโลกทุกวันนี้วางอยู่บน Paper Money ไม่ใช่ Real Money ...มันคือกระดาษที่อเมริกาพิมพ์เท่าไหร่ก็ได้ ยิ่งพิมพ์มูลค่ายิ่งลดลง ค่าครองชีพ สินค้าต่างๆ และ Asset ก็จะยิ่งมีราคาเพิ่มขึ้น ..นี่แหละคือเงินเฟ้อ ...วันนี้ QE คือ นวัตกรรมการพิมพ์เงินของรัฐบาลทั่วโลก ผลที่จะตามมา ไม่ว่าจะหยุดพิมพ์แล้วก็คือ เงินต่อไปจะเฟ้อรุนแรงมาก ....ทางเดียวที่คุณและผมจะรักษา Wealth ที่เองมีคือ ลงทุน เช่น ออมใน Asset อย่างหุ้น ที่ดิน ทอง ...แต่ไม่ใช่ออมในธนาคาร เพราะ เงินสดปัจจุบันก็คือ Paper Money คือกระดาษ ยิ่งถือ ยิ่งลดมูลค่า ...ไอ้ที่เป็น Real Money วันนี้คือ Asset นั่นเอง (ที่ดิน , หุ้นดี , ทอง , ...) วิธีดูว่าอะไรเป็น เงินกระดาษ หรือ เงินจริงๆ ต้องดูว่าสิ่งนั้น หนึ่ง มีจำนวนจำกัด สอง มนุษย์ต้องการต้องใช้มัน และสาม ยิ่งถือราคายิ่งเพิ่มในระยะยาว ...เลือกออมใน Asset เพราะมันคือ Real Money ..ไม่ใช่เงินกระดาษที่ยิ่งเก็บมูลค่ายิ่งหาย !!" -- ระวัง !!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันจันทร์ที่ 13 มกราคม พ.ศ. 2557

ให้คุณลาออกจากงานประจำของคุณซะ ..ฮึม!! เมื่อพร้อมเงิน เงินพร้อม


"ลาออกจากงานของคุณซะ !! ...ใช่ ผมสนับสนุนแนวคิดให้คุณเริ่มคิดการวางแผนสู่การเป็นเจ้าของธุรกิจ แต่!!!! ..แต่ไม่ใช่อยู่ดีๆเดินไปลาออกเลย อันนั้น บ้าไป..555 -- จะทำอะไรมันต้องวางแผนเตรียมการก่อน ถ้าไม่มีงานประจำ ต้องตอบตัวเองให้ได้ก่อนว่า แล้วเงินเดือนประจำจะมาจากไหน ...ผมยกตัวอย่าง นักลงทุนอย่างผม ผมมีเงินเดือนประจำ 2 ทาง หนึ่ง มาจากงานประจำที่ผมเป็นลูกจ้าง (จะเรียกว่า ที่ปรึกษา หรืออะไรก็ตาม หากคุณเอาเวลาและแรงงานคุณ แลกเงิน มันคือ อาชีพ ลูกจ้าง !!) สอง เงินเดือนประจำ ที่ได้จาก ปันผล และ ดอกเบี้ย (อันนี้เรียก Passive Income ก็ได้นะ คือ เงินที่ไม่ได้มาจากแรงงานโดยตรง) ...ครับ รายได้ทางที่ 2 พวก Passive Income นี่แหละ ที่คุณต้องพยายามเพิ่มให้มากที่สุดก่อนจะลาออก ..อย่างผม เงินผมได้เท่าไหร่ ผมทยอยเปลี่ยนเป็นหุ้นปันผลเก็บเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ถ้าใครมีความสามารถมากกว่างานประจำที่ทำ ลองใช้เวลานอกงาน คิดว่าจะทำอะไรจากความสามารถที่คุณมี คือ บอกตรงๆนะ ช่วงสร้างตัว เลิกคิดเรื่อง Hobby ไปเลย แต่ให้มาคิดว่า จะทำงานเสริมรายได้อะไร อย่างผม ก็มีงานเขียนหนังสือ งานสัมมนา งานรับจ้างอื่นๆ พวกนี้ก็จะได้รายได้เพิ่ม แล้วก็เป็นตัว Check ว่า คุณสามารถสร้างรายได้เหนือกว่างานประจำเท่าไหร่ ...เงินเสริมทั้งหมดรวมกับรายได้ประจำ ผมก็เอา 70 % มาออมในหุ้นทั้งหมด ...นี่แหละ หลักการสร้าง Passive Income ของผม -- มันเริ่มจาก งานประจำ แลกด้วยเหงื่อทั้งนั้นแหละ ...จากนั้นเมื่อคุณรู้สึกว่า คุณเก่งเรื่องไหนจริงๆ ก็สามารถเปิดบริษัทของตัวเองได้ในอนาคต (การหาจุดแข็งของตัวเองให้เจอก่อน จะลดความเสี่ยงของการเริ่มธุรกิจแบบที่มีแต่ความฝันแต่ไร้ฝีมือ) ...คือ ผมเชื่อในการทำงานหนัก แล้วก็พัฒนาหาจุดแข็งค่อยๆสร้างตัว ผมไม่เชื่อเรื่องการเสี่ยงดวงหรือรวยเร็วบ้าบอ -- ชีวิตมันคือการทำงานในสิ่งที่รัก พิสูจน์คุณค่าของตัวเอง วันนึงเมื่อคนเห็นค่าคุณ มันก็ถึงเวลาที่ความมั่งคั่ง และความภูมิใจในตัวเองจะปรากฏ !!".. ก็ลองดูครับ ลองหาจุดแข็งของตัวเอง แล้วค่อยๆ ต่อยอดไปครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

คนรอบข้างคือกระจกสะท้อนตัวคุณ หากคุณหงุดหงิดทุกคนรอบข้างมันสะท้อนว่าคนที่มีปัญหาจริงๆมันคือตัวเราเองหรือเปล่าเพราะชีวิตของเราคือโลกที่เราสร้างขึ้นเอง


"คุณเคยสงสัยไหมว่าทำไมวันนี้คนรุ่นใหม่รู้สึกเหนื่อยขึ้นเรื่อยๆ เดิมทีเรียนจบปริญญาตรีก็โอเคแล้ว เดี๋ยวนี้อย่างน้อยต้องโท ..ถ้าจะให้ดีต้องโท Top University ซึ่งต้องการประสบการณ์ทำงาน และ Connection เพื่อแนะนำเราเข้าไป ค่าเรียนก็สุดจะแพง 'ขายนายังไม่พอค่าเรียน' เรียนจบก็ควรหาโอกาสฝึกงานในองค์กร หรือ บริษัทระดับโลก ..ทุก Step ที่ผ่านมาใช่ว่าง่าย ไม่ชิว กดดันโคตร ทั้งการแข่งขัน และ สภาพแวดล้อมที่กดดันสุดๆ ...ทั้งหมดเพื่อจะกลับมาเป็นตัวเลือกในฐานะคนคุณภาพคนนึงที่มีโอกาสประสบความสำเร็จคนนึงในสังคมในเรื่องของหน้าที่การงานและครอบครัวที่ดีต่อไป ...คนที่ดูดี ก็ควรแต่งตัวดีมี Brandname ขับรถยนต์ที่สมฐานะ และเตรียมวางแผนซื้อบ้านหรือคอนโดที่เสริมความสำเร็จ ที่กำลังจะมา (แต่ยังไม่มา) ..ทั้งหมดคือ การลงทุนที่มหาศาล เพราะนอกจากเงินลงทุนที่ใช้ลงทุนในชีวิตจะเยอะ ต้องลงแรง ความพยายาม และ แน่นอน ชีวิตโคตรเครียด ..'พนันไหมว่า คุณยิ่งเก่งและยิ่งมีอนาคตแค่ไหน คุณยิ่งเครียดเป็นเท่าทวีคูณ' -- ครับ!! ขอต้อนรับคุณสู่ New Elite คนคุณภาพอีกคนที่สติใกล้แตกแล้ว ...เคยถามตัวเองไหมว่าทุ่มเทขนาดนี้เพื่ออะไร ..คุณมีความสุขครั้งสุดท้ายเมื่อไหร่ ..และคุณรู้รึเปล่าว่านอกจากต้องการดูดีในสายตาคนอื่นแล้ว ความสุขที่แท้จริงของคุณมันคืออะไร ? ...เป้าหมายของทุกชีวิตคือ ความสุข แต่โลกยุคปัจจุบันเราถูกขับด้วย EGO ของพ่อแม่ที่ตัวเองทำไม่ได้ แล้วให้ลูกทำแทน และ EGO ของตัวคุณเองที่พูดว่า 'คุณรู้ไหมว่าผมเป็นใคร!!' ที่มันทำให้คุณวิ่งออกห่างคำว่า ความสุขมากขึ้นเรื่อยๆ ..แต่สิ่งที่จำกัดเหมือนเดิมคือ เวลาในชีวิตคุณ การเกิด แก่ เจ็บ ตาย ..เน้นช่วง เจ็บ ที่เดี๋ยวนี้ต้องยินดีกับโลกที่พัฒนา การแพทย์ในปัจจุบัน สามารถยืดช่วง เจ็บ ให้ยาวนานได้เท่ากับเงินมหาศาลที่คุณจะจ่ายได้ เพื่อที่จะได้ตายหลังจากเจ็บ ...อ๋อ มีช่วงแก่ด้วย ที่วันนี้สามารถชะลอให้คุณใกล้จะแก่ได้นานเท่าที่จะดึงหน้าของคุณได้ ซึ่งเป้าหมายเชื่อได้เลยว่า ในไม่ช้าเราจะถึงยุคที่มนุษย์ตายหน้าตึง เพราะไม่แก่เลย -- เกิด แล้วไป เจ็บ แล้ว ตายเลย ...เหนื่อยนะ !! ...วิถีชีวิตนี้คือ โลก ที่คุณสร้างให้กับตัวคุณเอง ..มันโหดร้ายก็เพราะเราออกแบบให้มันโหดร้าย และเมื่อถึงวันที่คุณตาย โลกใบนี้ที่คุณสร้างขึ้นก็จะหายไปพร้อมๆ กับคุณนั่นเอง ..ใช่!! ผมอยากจะบอกคุณว่า คุณสามารถออกแบบโลกของคุณให้สนุกขึ้น มีความสุขมากขึ้น ทำสิ่งที่คุณอยากทำมากขึ้น ไม่ใช่ออกแบบให้คนอื่นดู อยู่เพื่อสร้างแค่เงิน สางปมความไม่มีในอดีต ..คุณรู้ไหมว่า เมื่อคุณยิ้มให้คนอื่นเขาก็จะยิ้มให้คุณ เมื่อคุณหวังดีและจริงใจกับคนรอบข้าง เขาก็จะตอบสิ่งนั้นให้คุณ เมื่อคุณเห็นใจคนที่คุณรัก คนที่คุณรักก็จะเห็นใจคุณ เมื่อคุณช่วยเหลือและให้โอกาสคนอื่น คนอื่นก็จะให้ความช่วยเหลือและให้โอกาสคุณ ..มันคือโลกใหม่ที่คุณออกแบบ ..เราคือผู้ออกแบบ เพราะทุกชีวิต คือ กระจกสะท้อนซึ่งกันและกัน เมื่อเราคิดจะรักและหวังดีกับทุกคนด้วยความจริงใจ ..โลกใบนี้ของคุณจะสว่างสดใส และอบอุ่น -- เพราะคุณสร้างสิ่งที่ดี..คุณก็จะได้สิ่งที่ดี"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ความไร้สาระที่มีสาระ ..กับจินตนาการที่เปลี่ยนชีวิตคนทั้งโลก


"ชีวิตคือสิ่งมีสาระ แต่เชื่อไหมว่า เรื่องไร้สาระมันใหญ่กว่าชีวิตจริงๆ !! ..ทันทีที่ผมก้าวขาเข้าสู่ Disneyland ผมก็รู้เลยว่า ชีวิตที่มีสาระของผม มันช่างมีคุณค่าน้อยนิดเมื่อเทียบกับอาณาจักรของ Walt Disney ที่ทุกอย่างที่เกิดขึ้นที่นั่นล้วนเกิดจากจินตนาการและความฝัน ..บางครั้งคนเรามองตัวเองมีสาระ มีคุณค่าเสียเหลือเกิน แต่ลืมไปว่าที่มองมันคือความคิดของเราเอง ...โลกเราจริงๆ ให้ค่ากับสิ่งที่เรียกว่า Art หรือ ศิลปะ -- มันคือ จินตนาการ มันคือความฝัน และความหวังของชีวิต" ..บางครั้งเราก็ต้องพักบ้าง ให้เวลากับสิ่งที่เราเคยมองว่าไร้สาระบ้าง เพราะบางครั้งสิ่งนั้นอาจเปลี่ยนคุณทั้งชีวิตก็ได้ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันศุกร์ที่ 10 มกราคม พ.ศ. 2557

ในตลาดหุ้น ไม่ได้มีที่ยืนให้คนที่คิดและทำเหมือนๆกัน


"ในตลาดหุ้นหลายคนสงสัยว่า ทำไมเราต้องทำอะไรสวนความรู้สึกคนส่วนใหญ่ถึงจะกำไรได้ ซึ่งมันยากจริงๆ เพราะ การที่เราจะทำสวนทางคนส่วนใหญ่ มันย่อมหมายถึง เราต้องทำสวนใจตัวเราเอง เช่น เวลาอยากซื้อ จริงๆ มันควรเป็นจังหวะที่เราต้องทยอยขาย , หรือ เวลาที่เรากลัว เราอยากขาย จริงๆ มันควรเป็นจังหวะที่เราต้องเริ่มทยอยซื้อ ? ...อธิบายง่ายๆแบบนี้ คุณลองนึกภาพนะว่า ถ้าวันนี้ มีคนทำแบงค์พันตกอยู่ ถามหน่อย คุณว่ามันจะอยู่นานไหม ? ...แน่นอน ใครเห็นก็จะหยิบแล้วหันมองซ้ายขวา เพื่อดูว่าของใครจะรีบเอาไปคืน(จริงดิ) แต่พอดูแล้วไม่มีใคร ก็เลยเป็นของเรา ..คือ ผมจะเทียบให้เห็นว่าโอกาสที่จะมีเงินวางอยู่ในตลาดหุ้นให้เราซึ่งอ่อนประสบการณ์ มาสอยออกไปจากตลาดหุ้นแล้วรวยข้ามคืน ถามจริงๆ เถอะ มันจะง่ายขนาดนั้นเลยเหรอ ? ..คุณคิดดูดีๆนะ ถ้าคุณเห็นเงินตกอยู่ในตลาด ในขณะที่คนส่วนใหญ่ก็เห็นเหมือนๆคุณ เชื่อไหมว่า นั่นคือ เบ็ดล่อเหยื่อ มันไม่ใช่โอกาส -- ดังนั้น ถ้าอะไรที่คนส่วนใหญ่มองไปทางเดียวกันว่าดี ให้สันนิษฐานเลยว่า จริงๆมันไม่น่าจะดีแล้ว ...หรือ เวลาที่คนส่วนใหญ่มองไปทางเดียวกันว่าไม่ดี ให้สันนิษฐานเลยว่า มันต้องมีโอกาสดีๆ อยู่แน่นอน ...ให้ใช้หลักคิดของ No Free Lunch เป็นเข็มทิศนำทางให้คุณมีสติ แล้วคุณจะประสบความสำเร็จจากตลาดหุ้นที่คนส่วนใหญ่บอกว่ายาก ..แต่เราทำได้ไง เพราะเรามีเข็มทิศนำทางเรา ..ใช่!! ท่องไว้เลยว่า คนส่วนใหญ่ผิด ๆ ๆ ๆ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

อย่าเหมือนใคร แต่ให้คนอื่นอยากเหมือนเรา


"บริษัท Ford สมัยยุค Henry Ford เป็นผู้นำการผลิตแบบใหม่ เช่น การนำระบบสายพานการผลิตเข้ามาใช้ ซึ่งในยุคนั้น การคิดที่จะให้แต่ละคนมีหน้าที่ชัดเจนและทำในจุดที่ตัวเองถนัดให้ได้ผลงานมากที่สุด หรือ การแบ่งกะการผลิตถี่ขึ้น ลดความผิดพลาดและเพิ่มผลผลิต ..การนำระบบ Just in time เข้ามาใช้ ..ผลก็คือ โรงงานของ Ford ในยุคนั้นสามารถจ้างคนงานได้แพงกว่าโรงงานอื่นๆ หลายเท่าตัว ทั้งๆที่ Ford ในเวลานั้นยังเป็นบริษัทเล็กๆ ...ในที่สุดด้วยความกล้าและความแตกต่าง ทำให้ผลผลิตทำได้มากกว่าโรงงานทั่วไป ของเสียน้อยกว่า พนักงานได้เงินมากก็มีความสุขมากกว่า แถมหักลบจริงๆ กลายเป็นโรงงานมีต้นทุนรวมที่กลับต่ำลง แม้จ่ายค่าแรงสูงที่สุดในอุตสาหกรรมก็ตาม นั่นเป็นยุครุ่งโรจน์ของ Detroit เมืองนวัตกรรมยานยนต์ของโลกที่เกือบจะกลายเป็นเมืองร้างในปัจจุบัน (เพราะ Henry Ford ตายไปแล้วไง ถ้ายังอยู่ Detriot จะเป็นอย่างไร) -- สิ่งเหล่านี้มันเกิดจากกระบวนการคิดที่พยายามหาจุดยืนของตัวเอง แตกต่าง แต่ต้องอาศัยความกล้ามหาศาล เพราะสิ่งเหล่านี้ไม่มีในตำรา คือไม่เคยมีใครทำมาก่อน ...การฝึกคิดแบบนี้ ไม่มีสอนที่ใด มันจึงไม่ง่ายที่จะคิด ..แล้วใครก็ตามที่คิดได้ก็เชื่อได้เลยว่า เขาจะเป็น Henry Ford คนต่อไป ที่รวยมหาศาล สร้าง Idea เล็กๆที่แตกต่างที่เปลี่ยนทั้งโลก !!" ..อย่าทำอะไรธรรมดาๆ ตามตำรา หรือเลียนแบบคนอื่น เพราะผลลัพธ์ก็ไม่น่าจะแตกต่างหรือโดดเด่น (เสียเวลาชีวิต) ..ดังนั้น ถ้าจะเสียเวลาทำอะไรสักอย่าง ทำให้ต่าง แปลก ดูบ้าบิ่น แต่ลุ่มลึกในกระบวนการคิด ..นั่นแหละ จัดไป!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ความเสี่ยงของการออมในหุ้น


"คนใกล้เกษียณ ออมในหุ้นเสี่ยงไปไหม ? ..เป็นคำถามที่ดีมาก ผมถามกลับ คุณมองความเสี่ยงว่าคืออะไร -- เอางี้ สมมุติคุณซื้อหุ้นที่ปันผลสูงสม่ำเสมอ ปันทุกปี เช่น เทียบเงินที่ซื้อได้เงินปันผลคืนปีละ 5% + บริษัทก็ดีมีโอกาสเติบโต ...ถามหน่อยว่าความเสี่ยงอยู่ตรงไหน ? -- ตอบตรงๆ เลยก็คือ ความเสี่ยงมันอยู่ที่เงินลงทุนต้องเป็นเงินเย็นเท่านั้นเอง เพราะเงินเย็นแปลว่า ไม่ว่าราคาจะแกว่งขึ้นลงบ้าบอแค่ไหน คุณก็ไม่ต้องสนใจ ..สนใจอย่างเดียวคือ แต่ละปีหุ้นมันปันผลให้คุณ แล้วพอเวลาผ่านไป ปันผลก็เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ (มูลค่า Port ก็โตไปเรื่อยๆ) ...ผมว่าดีกว่าซื้อพันธบัตรรัฐบาลอีก เพราะพันธบัตรรัฐบาลดอกเบี้ยต่ำจะตาย ยิ่งฝากธนาคาร เงินฝากนี่ไม่มีดอกเบี้ยเลย แถมเวลาผ่านไปพันธบัตรก็ไม่ได้มีมูลค่าเพิ่ม คือ ซวยครับ ...ดังนั้น จริงๆ คนเกษียณถ้าเงินเย็น การออมในหุ้นในเวลาที่ปันผลสูงๆ อย่าง 5% ขึ้นไป ผมว่ามันเป็น เครื่องผลิตเงินเลี้ยงคุณหลังเกษียณได้ทั้งชีวิตนะ (กระซิบให้ก็ได้ แม่ผมท่านเกษียณแล้ว ผมก็จัด Port ออมในหุ้นให้ท่าน วันนี้ท่านบอก ได้มากกว่าเงินเดือน แถมไม่เหนื่อย ปีๆ เอาปันผลมาใช้ ชิวๆ ..ผมบอกแม่ นี่แหละเครื่องผลิตเงินของแม่ครับ ..บริษัทเหล่านี้คนเก่งๆ ทำงานเพื่อปลายปีจะมีปันผลมาจ่ายแม่ ดีสุดๆ -- วันนี้แม่ผมเป็นเจ้าของ บริษัท มือถือ , พลังงาน , ส่งออก , อาหาร ...ใช่!! แม่ผมลงทุนกับประเทศไทย ไทยเจริญ แม่ผมก็สบาย ..ก็สบายอยู่แล้วล่ะ นี่ไม่ได้หวงนะ คุณเอาแนวคิดการวาง Port แบบนี้ไปใช้ได้เลย) ...ส่วนตัวผมก็ทำ เงินที่ผมหาได้ผมแบ่ง 70% ออมในหุ้น ..ยิ่งทำตั้งแต่อายุน้อย คุณยิ่งเกษียณได้เร็ว นี่แหละที่เขาเรียกอิสรภาพทางการเงินของจริง "มีธุรกิจส่วนตัวเครียดจะตาย แต่ผมมี CEO ระดับประเทศทำงานเลี้ยงผม ..มั้นคงโคตรๆ ครับ" ..Truely Financial Freedom !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพฤหัสบดีที่ 9 มกราคม พ.ศ. 2557

หุ้นลงเยอะสุดได้ 100% แต่ขึ้นได้เยอะสุดมากกว่านั้นเยอะ ..เหมือนต้นไม้ !!


"มีคนถามเรื่องการโตของหุ้น คือ สงสัยว่า หุ้นมันจะโตเป็นร้อยเท่า มัน Over ไปหรือเปล่า ? ...เรื่องนี้มันคือ เราต้องเอาข้อมูล Fact มาดู แล้วเอาอารมณ์ความรู้สึกออกไป -- ให้นึกภาพที่ดิน คนที่รวยจากท่ีดินจริงๆ คือ Landlord เจ้าของที่ ไม่ใช่นายหน้าที่ซื้อมาขายไป 'Broker หรือ Trader ยังไงก็รวยน้อยกว่าเจ้าของ ทั้งๆที่ตัวเองมีข้อมูลได้เปรียบทุกอย่าง พยายามซื้อถูกขายแพงทุกๆรอบ แต่สุดท้ายก็รวยน้อยกว่าเจ้าของ ก็เพราะขาดความเข้าใจและ Mindset ที่ถูกต้องของการโตจริงๆของมูลค่าของสรรพสิ่ง' ..ใช่!! เจ้าของที่ดินดีๆ ยิ่งถือยิ่งรวยเป็นร้อยๆเท่า คนไทยรวยจากที่เยอะแยะ เพราะถือมันนานพอ (ไม่ขายนั่นแหละ) -- มาดูหุ้นดีๆ ในตลาดเรา 30 กว่าปีที่ผ่านมา คุณย้อนไปดูซิ หุ้นดีๆขึ้นเป็น 100 เท่าทั้งนั้น อย่างปูนซีเมนต์ไทยนี่ขึ้น 400 เท่าใน 30 ปี ..หลายคนก็บอก แล้ว PTT มันขึ้นมาแค่ 10 เท่าเอง ..ก็เพราะ PTT เพิ่งเข้ามา 10 กว่าปี ..ไปดู PTTEP อันนี้ก็ขึ้นเป็นร้อยเท่า ...แต่เห็นไหมล่ะว่าคนส่วนใหญ่ไม่ได้รวย ก็เพราะถือไม่นานพอ ขึ้นนิดหน่อยก็ขายแล้ว จะรวยได้ไง ...ถ้าถือแบบที่ดิน ซื้อที่ดีแล้วเก็บให้ลูกไม่ขาย ..ถ้าทำแบบนี้ในหุ้นดีๆ พวก Blue Chip หรือ พวก SET 100 นี่เลย (ไม่เอาตัวยอดฮิตนะ เพราะตัวยอดฮิตจะมีจังหวะหักเหลี่ยมโหดรายย่อย ไล่แมงเม่า ทุบๆ ๆ ให้รายย่อยกำไรหาย ขาดทุน ทนไม่ไหว ขายทิ้ง แล้วถึงจะขึ้นจริง ..ถ้าชอบหุ้นฮิต รอให้มันเลิกฮิต คนส่วนใหญ่ซวย ก็ค่อยเข้า)...แค่นั้นแหละ ต้องปรับ Mindset แล้วให้เวลา รวยแน่นอน !!"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 8 มกราคม พ.ศ. 2557

บางครั้งการเอาชนะ อาจไม่ใช่การเข้าไปแข่งขัน แต่เป็นการเปลี่ยนเกมต่างหาก


"สมัย ที่ Window เป็นเจ้าตลาด ผมมองไม่ออกเลยว่า จะมีใครในโลกมาท้าทาย Microsoft ในธุรกิจคอมพิวเตอร์ได้ ..นับเป็นเวลากว่าสิบๆปีที่คนเก่งๆ พยายามสร้าง Operating System ให้ดีกว่า Window แต่ก็ไม่มีใครทำได้ ...วันนี้พอ Steve Jobs ออก iPhone มาและเปลี่ยนโลกของมือถือ กลายเป็น วันนี้เราใช้มือถือ Smart Phone มากกว่าเปิด Computer อีก ..มันทำให้ผมถึงบางอ้อเลยว่า ที่สมัยก่อนทุกคนคิดจะชนะ Microsoft โดยการทำ OS ให้ดีกว่า Window มันเป็นการมองโลกของคนที่โลกทัศน์ แคบ แต่ Steve Jobs เขามองคนละด้าน เขามองว่า ถ้าจะชนะ Microsoft ก็ต้องไม่เล่นเกมเดิม ต้องสร้างเกมใหม่ สร้างกฎการแข่งขันใหม่ 'Game Changer' ..ใช่เลย!! เกมใหม่ วันนี้จำนวนคนใช้ Smartphone เลย Computer ไปแล้ว การเข้าถึงคนมากกว่า และด้วย Touchscreen และความเร็ว วันนี้การครอบคลุมไปได้ดีกว่า เหนือกว่า และ ให้ประโยชน์กับผู้ใช้มากกว่า -- เปลี่ยนเกมการแข่งขัน นี่แหละสุดยอด ...วันนี้ Facebook ท้าทาย Google ไม่ใช่เพราะเขาพยายามทำ Search Engine ให้ดีกว่า แต่เขาเปลี่ยนการแข่งขันไปเลยต่างหาก ....ลองคิดลึกๆ จะพบว่า วันนี้ทุกอุตสาหกรรม ทุกอาชีพกำลังถึงจุดที่จะเปลี่ยน แปลงครั้งใหญ่ และ ผู้นำคนต่อไปก็คือ Game Changer ของแต่ละอุตสาหกรรมนั่นเอง -- คิดให้เยอะ เพราะคนที่ว่านั้น อาจเป็นคุณหรือผม ก็ได้นะ !!"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน


พัฒนาตัวเองจากขายแรงงานสู่ขายสมอง ถึงจะรุ่งครับ !!


"ใน บริษัทมีพนักงานอยู่สอบแบบ หนึ่ง ดูเหมือนทำงานน้อย แต่เงินเดือนเยอะ ..สอง ดูเหมือนทำงานหนัก แต่เงินเดือนน้อย -- ไม่แฟร์ รึเปล่า !!! -- จริงๆ ไม่ใช่ มันต่างกันตรงประเภทของงาน พวกที่ดูทำงานน้อย คือ งานประเภทคิดนอกกรอบ งานสร้าง Value ให้บริษัทในการขยายและเติบโต คือ 'เป็นสมอง'นั่นเอง ...ส่วนประเภทที่เหมือนงานหนักตลอด แต่มันเป็นงาน Operation ที่ใครๆก็ทำได้ คือ 'เป็นแรงงาน'นั้นเอง" ..ลองคิด และวางเป้าดูว่าอนาคตเราอยากทำงานแบบไหน ..ไม่แปลกที่เริ่มแรกทุกคนล้วนต้องผ่านการทำงานแบบซ้ำๆ เป็น Routine แต่หลังจากนั้นเราต้องก้าวต่อไป ..ใช่!! ตั้งเป้าแล้วต้องเริ่มวางแผนตั้งแต่วันนี้ -- ลุย ต้องเป็น สมอง ให้จงได้ !!

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ออมในหุ้นต้องเริ่มวันนี้ กับปีม้า 2557 เป็นม้าที่น่าขี่จริงๆ


"วันนี้หลายคนถามผมว่า ทำไมปี 2557 มีแต่คนมองตลาดหุ้นแย่ แต่ทำไมผมถึงแนะนำให้ออมในหุ้น ...จริงๆ เราก็รู้กันอยู่แล้วว่าหุ้นขึ้นหรือลงขึ้นกับ Demand&Supply คือ แรงซื้อแรงขาย ดังนั้น ถ้าอยากเก็บหุ้นราคาถูกๆก็ต้องกล้าซื้อเวลาคนอื่นขาย ..ดังนั้น เวลาที่คนส่วนใหญ่มองลบก็เป็นเวลาที่ดี แต่สิ่งที่ต้องใช้ประกอบการตัดสินใจ ไม่ใช่จะมองแต่สวนตลาด ไม่ใช่!! มันต้องมีข้อมูลพื้นฐานประกอบด้วย ก็คือ ต้องใช้การวิเคราะห์ทั้ง Technical และ Fundamental ประกอบกัน ซึ่งวันนี้ Technical ก็เห็นว่า Trend ลงเพราะคนส่วนใหญ่ขาย ส่วนคนที่รอซื้อก็ยังไม่กล้า ราคามันถึงลงเยอะ ทั้งๆ ที่ Volume ไม่มาก ...สิ่งที่ทำให้ผมมองว่าไม่น่ากลัวก็คือ พื้นฐานเศรษฐกิจต้องดูที่ความแข็งแกร่ง ของธนาคาร ถ้ามันจะพังเละ แบบต้มยำกุ้ง หรือ Sub-prime อเมริกา ถึงจะเละจริงๆ อันนั้นถ้าเกิดขึ้นต้อวล้าง Port แล้วตัวใครตัวมัน ...แต่วันนี้ลองดูความแข็งแกร่งของธนาคารเราซึ่งแข็งมาก ดีกว่าอเมริกา ยุโรป เสียอีก ดังนั้น มันแทบจะฟันธงเลยว่า ยังไงพื้นฐานก็ยังไม่พัง ...แต่การลงแรงมันก็ขึ้นกับความกลัวของนักลงทุนเองนั่นแหละครับ ..โอกาสแบบนี้มันคือ โอกาสของการรอจังหวะคนตกใจ แล้วทยอยซื้อเก็บยาว ออมในหุ้นนั่นเอง" ..ฮ่า ฮ่า ถามนิดเดียว อธิบายกันยาวเลยว่า ทำไมต้องมองหาจังหวะซื้อ จังหวะออมยาว มากกว่าจังหวะขาย !! (จริงๆ จังหวะขาย มันต้องมองใน Cycle ดีๆ แล้วทยอยออกในตัวที่ Over Value กับ Technical Overbought มากๆ ซึ่งปีนี้มันเลยจังหวะขายที่ดีไปนานแล้ว จนมันเข้าสู่จังหวะน่าเล็งซื้อ แต่รายย่อยเพิ่งจะมาอยากขาย คุณว่าตลาดมันแปลกไหมล่ะ)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 7 มกราคม พ.ศ. 2557

Social Network มีดเล่มใหม่ที่ปักกลางใจคนล้านๆ คน


"มีด จะเอามาใช้ประโยชน์ หรือ จะเอามาทำร้ายคนอื่น มันขึ้นกับว่า ใครเป็นผู้ใช้ ใช้เป็นไหม ใช้เพื่ออะไร ...ลองมาดูนวัตกรรมล่าสุดที่เปลี่ยน โลกอาหรับ วันนี้มันกำลังเปลี่ยนทั้งโลก รวมทั้งเปลี่ยนประเทศไทย ..ครับ!! มันคือ Social Media ..มีดเล่มใหม่ ที่คนส่วนใหญ่ยังหากันอยู่ว่า คืออะไร ใช้ทำอะไร และมันได้อะไร น่าคิดจริงๆ ..การติดต่อสื่อสาร โลกใกล้กัน ก็จะรักกัน และ เข้าใจกันมากขึ้น หรือ จริงๆ มันตรงกันข้าม ? -- ใช่!! แล้วที่เราคิดว่า เรารู้จักผู้อื่นมากขึ้น แต่เรารู้จักเขาแค่มุมที่เขาอยากให้เราเห็น ..นั่นแปลว่า เราจะไม่รู้จักคนอื่นจริงๆ แต่รู้จักแค่ด้านที่เขาแสดงให้คุณ ดู คือ ดูดี มีแต่สุข กินดี ใข้ของดี เที่ยวดี งานดี ซึ่งเราเห็นก็ยิ่งจิตตก ..ตกอย่างแรกคือ อิจฉาที่เราไม่มีอย่างเขา และ ตกอย่างที่สอง คือ เราก็ยังไม่รู้ว่า จริงๆ เราต้องการอะไรอยู่ดี ..สรุปคือ อนาคต มนุษย์เราผ่าน Social Media จะมีความสุขน้อยลงเรื่อยๆ ทุกข์มากขึ้นเรื่อยๆ อิจฉามากขึ้น เห็นใจคนอื่นน้อยลง เพราะแท้จริงคือในอนาคตเราจะไม่รู้จัก คนอื่น และ เราก็ไม่รู้จักตัวเอง ...แย่จัง !! -- ทางแก้คือ หันกลับมามองเครื่องมือ อย่าง Social Media ใหม่ ว่าจริงๆ มันเป็นเครื่องมือสื่อสารที่เอามาเชื่อมโยงและสร้างองค์ความรู้ แบ่งปันกันง่ายขึ้น ..เขาออกแบบมีดมาให้ใช้ประโยชน์ อย่าเอามีดมาฆ่ากันเอง -- ลองใช้ Social Media ในการแบ่งปันมุมมอง สาระ , องค์ความรู้ , ประสบการณ์ดีๆ และ แรงบันดาลใจ ..เราจะได้ใช้มีดมาหั่นผัก หั่นเนื้อ บ้างก็ได้ -- วันนี้โลกแห่ง Social Media เพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง มันจะถูกใช้ให้เป็น อาวุธ หรือ สิ่งอำนวยประโยชน์ ก็ขึ้นกับ ผู้ใช้อย่างคุณและผมจะช่วยกันออกแบบ ..ท้าทายจริงๆ"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ผมเกษียณเพื่อไปเปลี่ยนโลก ...ว่าแต่เปลี่ยนทำไมฟระ !!


"เป้าหมายของการ เกษียณ หรือ การมีอิสรภาพทางการเงิน มันเพื่ออะไร ? ..คุณรู้ไหมว่าหลายๆคนเข้าใจเรื่องนี้ผิดพลาดอย่างมาก เขานึกว่าคนเราเกษียณเพื่อที่จะนั่งเฉยๆ อยู่บ้าน แคะขี้มูก นอนกระดิกเท้า กินนอน กินนอน ..ฮึม!! ไม่น่าจะใช่ ..ไอ้สิ่งที่ว่านั่นไม่ใช่เกษียณ แต่มันคือ Vacation หรือ การพักผ่อน ถ้าทำตลอดมันก็เบื่อ แต่ถ้าทำเพื่อพัก อันนั้นโอเค -- ลองถามตัวเองซิครับว่า คุณค่าของคุณมันอยู่ตรงไหน คนเราผมเชื่อว่า จิตใจสำคัญที่สุด สำคัญกว่าร่างกายอีก เพราะมันเป็นตัวกำหนดความสุขให้กับเรา ..ตัวเราถ้าท้องอิ่ม เราก็อยากจะให้คนที่เรารักท้องอิ่ม มีความสุข เพราะเราอยากจะให้คนที่เรารักภูมิใจในตัวเรา คือ เราอยากมีค่าในสายตาคนที่เรารัก เพราะเขามีความหมายต่อใจเราไง หากเกษียณมันทำให้คุณไร้ค่าในสายตาคนที่คุณรัก มันจะสร้างความสุขได้อย่างไร ...คุณรู้ไหมสิ่งแรกที่คุณต้องตอบให้ได้ว่าอะไรคือคุณค่าของตัวคุณ มันคือ สิ่งที่เราทำแล้วรู้สึกว่ามันเป็นตัวตนของเรา นั่นแหละงานหลังเกษียณ งานที่ทำโดยไม่ได้สนเงินตอบแทน แม้ว่าเรามีอิสรภาพทางการเงินแล้ วก็ยังคงทำอยู่ เพราะเป็นงานที่เรารักจะทำ มันแสดงคุณค่าของตัวเรา และมันคือความสุขที่ได้ทำ ...คุณรู้ไหมว่า งานแบบนี้ถ้าเราทำแล้วมันได้เงินด้วย มันเรียกว่าสองเด้ง เพราะมันทำให้เราได้ทำในสิ่งที่เรารัก พร้อมๆกับการเดินไปสู่อิสรภาพทางการเงินพร้อมๆกัน" ...เรามีค่าเพราะเรามีค่าต่อคนอื่น ถ้าอยากโชคดีต้องหาสิ่งที่เรารักจะทำให้ได้ก่อน อย่าตั้งโจทย์เป็นเงินเหมือนคนส่วนใหญ่ ทางนั้นคือทางตัน ..ตั้งโจทย์เป็นงานที่สร้างและขยายคุณค่าของตัวเรา เมื่อเราทำได้ดี เงินตามมาเอง"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ผู้ชายต้องการ 3 อย่าง ..ใครครองแหวน ผู้นั้นครองภิภพ !!


"เกิด เป็นลูกผู้ชาย ต้องการ 3 อย่าง ..หนึ่ง ต้องการเงิน ..สอง ต้องการผู้หญิง ..และสาม ต้องการยอมรับ ...ตรงๆ ใช่ป่ะ ? -- ถ้าใช่จะเอาไงดี เมื่อชายทุกคนมีเป้าหมายเดียวกัน ..ทำงานหนักๆ ..ใช่ไหม ? -- ไอ้ทำงานหนัก มันต้องทำอยู่แล้ว แต่ประเด็นคือ คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด ดันคิดว่าสิ่งแรกที่ต้องทำหลังเรียนจบคือ หาเงินให้มากและให้เร็วที่สุด ...ฮึม!! ใครตั้งโจทย์เหมือนๆคนอื่นแบบนี้ การันตี ไม่ได้เลยสักข้อที่หวัง เงินก็ไม่ได้ แฟนก็ไม่ได้ (ยกเว้นจะมีหญิงใดใจงาม ยอมมากัดก้อนเกลือกินกับชายคนจนอย่างพี่ 'ถึงกูไม่หล่อ แต่กูก็จน และขี้เกียจด้วย เอาป่ะ!!') และ การยอมรับก็ไม่ได้ .....ทางเดินที่ถูกต้องสู่จุดหมายทั้งสาม ต้องไม่เอาเงินเป็นโจทย์ตั้งต้น เพราะชายใดก็ตามที่ได้เงินจำนวนมากมาในเวลาที่เขาไม่พร้อม เงินจะเปลี่ยนเป็นอาวุธทำลายคนๆนั้น ทันที (ฟังแล้วน่ากลัว ถ้าอยากดูเป็นหนัง แนะนำ Boiler Room และ The Wolf of Wall-Street ไปลองดูจะเข้าใจ) ...ดังนั้นสิ่งแรกที่ต้องหาไม่ใช่เงิน แต่คือ ความรู้ (ความรู้ที่เป็นแก่นของอาชีพที่เราจะทำ ไม่ใช่หาจากแค่ห้องเรียนและตำรา แต่ต้องหาจากประสบการณ์ชีวิตเป็นสำคัญ ..ความรู้ที่จำเป็นต่อเป้าหมายเราเรียกว่า ปัญญา ซึ่งหาได้จากการทำงาน การเป็นลูกน้อง การเรียนรู้ความอดทน การเข้าใจการขึ้นและลงของสรรพสิ่ง การเรียนรู้บทเรียนจากความล้มเหลวแล้วการเรียนรู้วิธีการลุกขึ้นมายืนด้วยตัวเองหลังจากผิดพลาดในชีวิต 'คุณเจอแน่นอน ไม่มีใครหนีความล้มเหลวรุนแรงหากคุณอยากประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แต่ถ้าไม่ ก็ใช้ชีวิตชิวๆได้ ไม่ต้องเครียดเพราะเราเลือกได้') ...เมื่อหาความรู้และฝึกวิชาพอควร แล้ว (ใช้เวลาอย่างน้อย 10 ปีขึ้นไป ถ้าเร็วกว่านั้น ผมว่าคุณยังรู้แค่ผิวๆเกินไป) ก็ออกท่องยุทธภพได้ ..เคยดูหนังจีนไหม เคยเห็นพระเอก แบบเกิดมาแล้วเก่งเทพเลยไหม -- ไม่มีครับ !! พระเอกต้องโง่ก่อน จากนั้นต้องตกเขา (เจอวิกฤตชีวิต) แล้วเจออาจารย์ (เรียนจากข้อผิดพลาด) จากนั้นก็ตกผลึกทางปัญญา ฝึกวิชาจนเก่ง แล้วก็ขึ้นจากเขา ถึงจะกลายเป็นจอมยุทธ์ แล้วถึงท่องยุทธภพ สร้างสำนักของตัวเองในที่สุด --- ใช่!! ชีวิตก็เหมือนหนังจีนนี่แหละ ใครยังไม่ตกเขา แสดงว่า คุณยังไม่ได้ฝึกวิชาจากชีวิตจริงๆ เลยต้องเป็นเสี้ยวเอ้อ หรือ ศิษย์ชั้นปลายแถวของสำนักต่างๆ ....หากคุณอยากเป็นจอมยุทธ์ ลองคิดซิว่าจะตกเขา แล้วเจออาจารย์ แล้วฝึกวิชาพิเศษได้อย่างไร .....ที่เล่ามานี่มันเพิ่งเริ่มขั้นหาความรู้จริงๆ ที่เรียนเพิ่มจากห้องเรียนและตำราเท่านั้นเอง คือ ถ้าเรามุ่งหาเงินเลยตั้งแต่ยังไม่มีวิทยายุทธ ก็เป็นได้แค่เสี่ยวเอ้อ , เป็นลูกศิษย์ชั้นปลายแถวของสำนักต่างๆ หรือ ก็เป็นได้แค่พ่อค้าเล็กๆ คุณจะเป็นพระเอกไม่ได้ เดี๋ยวไว้ค่อยมาเล่าขั้นต่อไป ..555"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

10 คาถา หลักการพัฒนาตัวเองในแบบคนรุ่นใหม่ จริงๆ ไรจิง !!


10 คาถา สู่การพัฒนาตัวเองแบบคนรุ่นใหม่ หลักการข้อที่หนึ่ง ท่องไว้ "ยิ่งใหั ยิ่งไดั" อันนี้คือแนวคิด Pay it Forward หรือ Give and Take นั่นเอง ...เราเชื่อว่า ในยุคนี้เวทีมีอยู่เต็มไปหมด การได้โอกาสขึ้นเวทีจึงไม่ได้สำคัญเท่ากับ ตัวผู้ส่งสาร ซึ่งก็คือ คุณภาพของคน ..ในอนาคต คนคุณภาพ ยิ่งมีโอกาสในการแสดงออกมากขึ้น ดังนั้นสิ่งที่ต้องให้ความสำคัญมากที่สุดคือ ต้องตอบให้ได้ว่า ตัวเราหรือสิ่งที่เราสื่อ มันจะให้ประโยชน์แก่ผู้รับมากที่สุด ..ยิ่งสร้างประโยชน์เท่าไหร่ ก็เรียกว่าเราได้เปิดเวทีแห่งโอกาสให้ตัวเราเอง ..อนาคตการให้ก่อนรับเป็นสิ่งเบื้องต้นที่จะต้องมีของผู้จะเป็นผู้นำหรือประสบความสำเร็จ
ข้อ 2.เขียน Blog ยิ่งเขียน เรายิ่งตกผลึกทางความคิด
ข้อ 3.หา 1 แรงบันดาลใจ แล้ว Post ลง FB ทุกวัน ..ความเครียดมันเยอะ ความท้อมันจึงเกิด การสร้างแรงบันดาลใจให้ตัวเองและคนรอบข้างจึงเป็นสิ่งสำคัญ
ข้อ 4.ขยันอ่าน ..ถ้าไม่มี Input จะมี Output ที่ดีได้อย่างไร -- ต้องอ่านให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ ..ยังไม่เคยเห็นใครอ่านหนังสือจนตาย ดังนั้น จัดให้หนัก อ่านทุกอย่าง เรื่องอะไรก็ได้ ให้เริ่มจากเรื่องที่ชอบ
ข้อ 5.เที่ยวที่แปลกๆ การเที่ยวก็เหมือนอ่านหนังสือ มันสร้างประสบการณ์ สร้างแรงบันดาลใจ และ กระตุ้นความคิดสร้างสรรค์
ข้อ 6.คบเพื่อนแปลก ..คบคนแปลกที่ดีนะ ไม่ใช่คบคนเลว เพราะคนแปลกมันให้เราได้เจอมุมมองแปลกๆ ..ครับ!! เพื่อนรอบข้างผมทุกคน โคตรแนว ไม่ใช่มนุษย์ธรรมดา ..ลองมองคนรอบข้างคุณ 5 คนรวมกัน นั่นแหละตัวคุณและอนาคตคุณ
ข้อ 7.ทำงานที่แปลก ..ทำงานธรรมดา ก็เป็นคนชั้นกลาง Middle Class มนุษย์เงินเดือนธรรมดา ..ถ้าอยากได้โอกาสใหม่ๆในชีวิต งานที่เราทำต้องแตกต่าง เปลี่ยนวงการ และนั่นแปลว่า เราเป็นกลุ่มคนเปลี่ยนโลก เปลี่ยนอุตสาหกรรม
ข้อ 8.ลองเล่นหุ้น แล้วทำทุกอย่างขัดใจตัวเอง ...เล่นหุ้นให้กำไรในระยะยาวมันโคตรยาก เพราะคน 80% เจ๊ง ...ถ้าคุณรวยจากการเล่นหุ้นระยะยาวได้ คือ คุณไม่ธรรมดาแน่นอน
ข้อ 9.สอนคนอื่น (ทำไม่ได้ ใช้ YouTube) ..เราจะเรียนรู้อะไรจริงๆ ก็เมื่อเราสอนคนอื่นได้ ..คนที่เป็นอาจารย์จึงเก่งไง
ข้อ 10.ผัดวันประกันพรุ่งความอยาก ..ลดกิเลสลง ไม่ซื้อสิ่งที่อยากซื้อ เอาเงินมาลงทุนก่อนใช้ ทำให้เป็นนิสัย สร้างอิสรภาพทางการเงินจากการลงทุนให้ได้ภายใน 10 ปี ต้องมุ่งมั่น และมีวินัย
ทั้ง 10 ข้อคือ สิ่งที่ผมจะฝึก OIC (Online Investment Coach) ให้ทำเป็นหน้าที่ ต้องคิดได้ และ ต้องทำได้ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ฉีกกฎมนุษย์เงินเดือน ไม่มีเงินก้อนก็รวยจากวิธีออมในหุ้นได้เหมือนกันนะ !!



"คำถามนี้น่าสนใจคือ ตามหลักการออมในหุ้น แบบมนุษย์เงินเดือน รวยได้เป็นร้อยเท่า อันนี้ทำได้จริงๆหรือ ? ..แต่หลายคนจะสงสัยว่า แล้วอะไรที่มันสำคัญ ? ..มองแบบนี้ครับ -- หลายคนคิดว่า ตัวหุ้น สำคัญว่า ตัวไหน จริงๆ ไม่ใช่ ตัวหุ้นสำคัญน้อยกว่า …ที่สำคัญคือ การหาจังหวะ แล้วเลือกหุ้น Focus ไปที่ ปันผลมากๆ เป็นหลัก เติบโตโอเค จะมี Volume หรือ ไม่มีก็ได้ เพราะ เราสนที่ปันผลและการเติบโตของ Port เราไม่ได้สนที่การเก็งกำไร ทำรอบ ดังนั้น ซื้อเก็บอย่างเดียว แทบไม่ต้องสนเรื่องการขายเลย สิ่งสำคัญมันกลับมาที่ ปันผลเป็นหลัก ดังนั้น ถ้าเรายิ่งได้หุ้นที่ปันผลสม่ำเสมอ 5% ขึ้นไป (บางตัวเกิน 10% ) ก็เท่ากับว่า เราเร่ง Return เงินคืนได้เร็วมากๆ อันนี้แหละ คือ การ Compounding โตแบบทบต้นของ Port เพราะ เราอาศัยเงินปันผลที่ได้ บวกกับเงินที่เหลือเก็บจากเงินเดือน หาจังหวะ กลับเข้าไปซื้อ โดยการใช้จังหวะ Technical ประกอบ …ดังนั้น หนึ่ง สำคัญที่วินัยของเรา ว่าเราเชื่อมั่นในวิธีการออมในหุ้น /สอง เราเลือกเน้นที่ปันผลสูง และ เติบโตดี ไม่สนว่าหุ้นตัวไหน /สาม เราทำไปเรื่อยๆ ..สุดท้ายจะพบว่า เรามักซื้อหุ้นที่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ซื้อ และ จังหวะที่เราซื้อมักจะเป็นจังหวะที่คนส่วนใหญ่กำลังกลัว หรือ Panick มีแต่ข่าวร้าย -- วิธีการแบบนี้ มันคือ ปลูกวินัย สร้างนิสัย ซึ่งไม่ง่าย เพราะมันขัดความรู้สึกสุดๆ แต่ใครทำได้ก็คือ คนรวยนั่นเอง …คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ก็เลยไม่รวยไง ไม่ได้เกี่ยวว่า เป็นมนุษย์เงินเดือนไม่มีเงินก้อนจะรวยไม่ได้ อันนั้นไม่ใช่ เพราะ วิธีนี้ ถ้าทำเกิน 10 ปี Port มันจะโตในอัตราเร่ง รวมทั้งความรู้ความเข้าใจเราก็จะพัฒนาในอัตราเร่งตาม (ตัวเลข 10 ปีขึ้นไป มันมาจากการเติบโตแบบ Fundamental Shift ในภาพใหญ่ของธุรกิจหรืออุตสาหกรรมหนึ่งๆ ที่พื้นฐานจะโตก้าวกระโดด) ..สุดท้ายมันสามารถรวยได้เป็นร้อยเป็นพันเท่าของเงินเริ่มต้น นี่แหละคือเคล็ดลับ!!"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

หุ้นดีสุดท้ายมันก็ขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่าทั้งนั้น ประเด็นไม่ใช่ตัวไหนแต่มันอยู่ที่ระยะเวลาต่างหากที่สำคัญกว่า


"นักลงทุนมักถามผมว่า บอกหุ้นมาตัวเดียว ซื้อแล้วรวย เดี๋ยวซื้อเลย ? ...เอาจริงๆ เถอะ ผมว่า คนถามยังไม่เข้าใจคำถามเลย สมมุติคุณได้หุ้นปั่นเด็ดๆไปตัวนึง ซื้อปั๊บ กำไร 50% รวยชั่วขณะ แล้วยังไงล่ะ ..ก็ได้กำไรมา ก็มาหาหุ้นเด็ดตัวต่อไป ..เชื่อไหม ไม่ว่าคุณจะเก่ง หรือ inside แค่ไหนก็ต้องมีพลาด แล้วก็มักจะเสียหายหนัก ..นี่มันวงเวียนอยากรวยเร็ว หาหุ้นเด็ดแบบแมงเม่า คือ เล่นไปสนุกไปลุ้นไปได้บ้างเสียเยอะหน่อย สุดท้าย Port มันไม่โต ..คือ อยากรวยเร็วแต่ดันเสียเวลาไร้สาระกับหาหุ้นเด็ดไปวันๆ -- เอางี้ดีกว่า เอาเงินที่จะลงทุนแบบนั้นมาซื้อหุ้นดีๆ ที่มีปันผล บริษัทมั่นคงแล้วโตทุกปี ซื้อหุ้นแบบนี้แล้วไม่ขาย ..เก็บปันผลกินไปเรื่อยๆ แค่นี้ก็รวยสุดๆ เพราะไปย้อนดูเลยหุ้นดีๆเกือบทุกตัวถ้าถือเป็นสิบๆปี มันจะขึ้นเป็นสิบๆเท่า ปันผลก็โตขึ้นมหาศาล ...แล้วหุ้นตัวไหนล่ะ ? ก็นี่ไง 1. หุ้นดีที่อยู่ในรอบแย่ๆ อย่างพวก Blue Chip เอายกตัวอย่างก็เช่น กลุ่ม PTT 'น้ำมัน ,ปิโตร , โรงกลั่น' วันนี้ก็ใช่ เพราะมัน Oversold ในกราฟ แต่ถ้าคุณถามใครเขาก็บอกรอก่อน (รอเมื่อไหร่ รอแพงค่อยซื้อแล้วจะรวยยังไง?) 2. หุ้นที่ปันผลสูง เช่น 5% ขึ้นไป แล้วบริษัทเติบโตดี 3. หุ้นที่คุณไม่อยากซื้อ (รายย่อยไม่ชอบ นั่นแหละดี เพราะหุ้นที่รายย่อยฮิต จบไม่สวยทุกตัว หรือ ซื้อในจังหวะที่แพงสุดๆแล้วติดดอย)" ...คำตอบ คือ หุ้นดีเยอะแยะ แต่ต้องถือเก็บให้มันขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่านั่นแหละถึงจะรวย -- ประเด็นคือทนได้ก็รวย!!

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันจันทร์ที่ 6 มกราคม พ.ศ. 2557

เราเรียนปริญญากันเพื่ออะไร มันก็คือบัตรผ่านประตู


"เราเรียนให้ได้ปริญญาเพื่ออะไรเหรอ ? -- อ๋อ!! ก็เพื่อจะได้มีความรู้และใบเบิกทางสู่อาชีพที่เราอยากทำไงล่ะ ..ถูกต้อง!! เพื่อความรู้ และ ใบเบิกทาง ...แต่คุณรู้ไหมว่า คนส่วนใหญ่คิดว่า ความรู้ และ ใบเบิกทางสู่อาชีพและความสำเร็จ ต้องมาจากสถานศึกษาเท่านั้น ...จริงๆ ไม่ใช่ ..โลกทั้งใบนี้ต่างหากที่เป็นโรงเรียนที่ใหญ่ที่สุด ..ถ้าเราไม่จำกัดโอกาสแห่งการหาความรู้ ทุกสิ่งรอบๆ ตัวก็จะสอน และให้ความรู้เรา ..หนังสือ , คนที่เราพบเจอ , ความผิดพลาด , ธรรมชาติ , การเดินทาง , หนัง , งาน -- ใช่!! ทุกอย่างคือครู หากเราเปิดใจที่จะเรียนรู้ เราจะมีโอกาสเก่งแบบไร้กรอบ ...และใบเบิกทางที่ดีที่สุดคือ ตัวเรา ไม่ใช่กระดาษที่เรียกว่าใบปริญญา ..ถ้าเราให้ค่าตัวเราเหนือกระดาษ คนอื่นก็จะมองข้ามกระดาษและเห็นตัวตนที่มีคุณค่าของคุณจริงๆ -- ใช่!! เราไม่ได้เรียนเพื่อติดกรอบ แต่เราเรียนเพื่อหลุดกรอบ แล้วเติบโตทั้งความคิดและจิตวิญญานต่างหาก 
..ฮึม!! แต่ก็อย่าเพิ่งเลิกเรียนปริญญานะ ถ้าคุณสามารถทำได้ก็จงคว้ามันมา เพราะมันก็ยังคงเป็นใบเบิกทางทางหนึ่งที่ดี ...เราแค่รู้ว่าทางเดินสู่เป้าหมายมันไม่ได้มีเส้นทางเดียวเหมือนที่คนส่วนใหญ่คิด มันมีเส้นทางสู่เป้าหมายอีกมากมายที่เปิดรอให้คุณเลือกเดินเช่นกัน 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

อาชีพอะไรที่รายได้มั่นคงในเวลาที่ไร้ความมั่นคงในปัจจุบัน


"มีคำถามนึงน่าสนใจมาก คือ น้องคนนึงเข้ามาถามผมว่า พี่แพ้ทว่าต่อไปอาชีพอะไรที่มั่นคง เพราะเดี๋ยวนี้ทุกอย่างมันเปลี่ยนเร็วเหลือเกิน กลัวว่าทำๆงานไปกลายเป็นโดนไล่ออก Lay off ก็ซวยดิครับพี่ !!! ...ฮึม!! น่าคิด 'อาชีพมั่นคง?' -- ผมว่าไม่มีอ่ะ ทุกอาชีพเกษียณที่ 60 ปี แต่วันนี้เรามีชีวิตอยู่ต่ออีกนาน แค่นี้ก็ไม่มั่นคงแล้ว ..ผมว่าที่มั่นคงคือ เราต้องเป็นนักลงทุนระยะยาวไปพร้อมๆกับการทำอาชีพอะไรก็ได้ เพราะการสร้าง Port การลงทุนระยะยาวเราเน้นหุ้นปันผล ซื้อแล้วเก็บไม่มีขาย ..พอเราเกษียณ ไอ้หุ้นพวกนี้ที่เราเก็บสะสมนี่แหละที่จะยังคงให้ปันผลเลี้ยงเราจนตาย ..คือ ถ้าอยากมันส์ก็เล่นหุ้นปั่น ซื้อๆขายๆลุ้นมันส์สะบัด ..แต่ถ้าอยากมั่นคง ก็ซื้อออมในหุ้นปันผล ห้ามขายชั่วชีวิต (ห้ามขาย) ..จริงๆ ตั้งโจทย์แบบนี้ คิดง่ายเลยว่า มีหุ้นไม่กี่ตัวหรอกที่เรากล้าออมชั่วชีวิต เลือกได้ 10 ตัวก็หรูแล้ว ..สรุปเลย อาชีพอะไรก็ทำไปเถอะ แต่ที่ต้องทำไปด้วยคือ เป็นนักลงทุนระยะยาว เราถึงจะมีชีวิตมั่นคง ไม่ต้องกลัวว่าจะอดตาย หรือ ไม่มีใครเลี้ยงยามแก่ ...ปัดโถ่ !! ซื้อหุ้นดี ตั้งแต่หนุ่ม ถือไปจนแก่ หุ้นมันขึ้นเป็น 100 เท่าตัวแล้ว ..ย้อนไปดูสถิติตลาดซิ แค่ 30 ปีที่ผ่านมาหุ้นดีๆ ขึ้นเป็นร้อยๆเท่าเยอะมาก ...ถ้าคุณกล้าออมในหุ้น ตอนแก่คุณก็รวยแบบน้องๆ Warren Buffett น่ะ -- ต้องถาม มรึงกล้ารวยจริงรึเปล่า ..อิ อิ" -- ออมในหุ้นดิครับ !!

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

สร้างเงินไหลมีใช้ไม่หมดสิ้น ..ลงทุนสร้าง Cashflow


"เงินเฟ้อจริงๆเป็นเรื่องใกล้ตัวมากที่คนส่วนใหญ่มองข้าม สุดท้ายคนที่เกษียณแล้วมีเงินก้อนซวยที่สุดในระบบ ...อ้าว!! นึกว่ามีเงินก้อนแล้วดี -- ไม่เลย ที่ดีต้องมี เงินไหล (เงินที่เป็นรายได้จาก Asset ที่เราถือครอง จากค่าเช่า จากปันผล จากส่วนแบ่งรายได้ จากค่าลิขสิทธิ์ เป็นต้น ..เพราะนอกจากเราจะได้รายได้ไม่รู้จบแล้ว ราคาของ Asset ที่เราถือครองก็จะมีมูลค่าเพิ่มขึ้นตามเงินเฟ้อ) ...เรียกได้ว่า การลงทุนออมเงินไว้ใน Asset ที่มีรายได้ มันช่วยให้เราไม่ซวยจากเงินเฟ้อ แถมทำให้เรารวยขึ้นอีก จากราคา Asset ที่เพิ่มขึ้น -- คือ ชีวิตชิวโคตร เพราะมีความรู้การลงทุน ..ครับ !! การออมในหุ้นก็เป็นหนึ่งใรทางเลือกที่ฉลาด สำหรับชีวิตที่มั่นคงและมั่งคั่ง (แต่ต้องมีความรู้นะ แล้วมีเพื่อนร่วมเดินทาง เพราะ เส้นทางนี้อาศัยความ เก่ง กล้า และ อดทน รวมกัน ..เหมือนง่ายแต่ยากที่เข้าใจ และ การเอาชนะใจตัวเอง)"

: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ