แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 25 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

8 ข้อ สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง

 สอนลูกให้เป็นนักลงทุน ให้พาเขาไปซื้อของมือสอง !!


'ใช้เงินให้รวยขึ้น ต้องซื้อของมือสองให้เป็น' ..พ่อผมสอนว่า ถ้าอยากจะเป็นคนรวยต้องรู้จักวิธีจ่ายเงินให้รวยขึ้น


คนซื้อ ส่วนใหญ่ยิ่งใช้เงินก็ยิ่งจน เพราะซื้อของก็ขาดทุน เก็บสะสมของนั้นก็มูลค่าลดลงจนกลายเป็นขยะ


สิ่งที่ผมเรียนรู้จากพ่อคือ 'วิถีของนักสะสม'  ดังนี้


1. 'ถ้าอยากรู้ว่าของสะสมอันไหนเป็น สินทรัพย์ (Asset) หรือเป็นขยะ (Junk) ให้ซื้อของมือสอง' เพราะเราจะรู้ก็ต่อเมื่อ สิ่งนั้นขายต่อแล้วยังมีราคา


2. 'คนซื้อของมือสองเป็น จะได้ส่วนลดอย่างมาก'


3. 'คนซื้อของมือสอง ต้องมีความรู้ในสิ่งที่จะซื้อมากกว่า' ..เหมือนบังคับให้เราต้องศึกษา ให้มีความรู้ ในสิ่งที่เราจะซื้อ


4. 'ซื้อของมือสอง ได้ฝึกทักษะการต่อรอง' นี่คือทักษะที่สร้างเศรษฐี


5. 'ซื้อของมือสอง ได้เรียนรู้จากพ่อค้า' ..บางครั้งการโดนหลอก ก็เป็นส่วนนึงของการเรียนรู้ ..สุดท้ายเราก็จะเชี่ยวชาญในสิ่งที่เราเก็บสะสม 


6. 'เมื่อเราเชี่ยวชาญ เราจะเริ่มกำไรตั้งแต่วันแรกที่จ่ายเงิน' ..พ่อผมใช้เวลากว่า 20 ปี ในการเข้าใจการซื้อของเก่า ..พ่อเล่าว่าของเหล่านี้เราต้องกำไรตั้งแต่วันแรกที่ซื้อ 


7. 'พ่อค้าคือคนที่นำกำไรมาให้เรา' ..คนส่วนใหญ่มักมองว่า พ่อค้าของมือสอง จะพยายามที่จะหลอกเรา ..จริงๆ ถ้าเราเป็นผู้เชี่ยวชาญในสิ่งที่เราสะสม - พ่อค้าต่างหากที่เสาะแสวงหาของดีมานำเสนอให้เรา


8. 'ความรู้เพิ่มคือกำไรที่เพิ่มขึ้น' ..คุณค่าของนักสะสมอยู่ที่ความรู้ ยิ่งเราหาความรู้ในสิ่งที่สะสมมากเท่าไหร่ เรายิ่งได้กำไรเป็นผลตอบแทน


9. 'สะสมสิ่งที่รัก' ..มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลยหากเราเป็นนักสะสมเพื่อหวังแค่กำไร ..มันจะดีกว่า ถ้าเราได้ซื้อ ได้ใช้ในสิ่งที่เรารัก แถมได้กำไรจากมันเป็นผลพลอยได้ 


10. 'ของสะสมคือมรดก' ..พ่อบอกว่า สิ่งที่พ่อสะสม สุดท้ายมันคือของเอ็ง ..พ่อไม่ได้มีที่ดินหรือมรดกแบบของคนอื่น แต่พ่อจ่ายและสะสมในสิ่งที่พ่อรัก ...ของเหล่านี้เป็นสินทรัพย์ที่ยิ่งมีราคาเพิ่มขึ้น และคุณค่าเพิ่มเมื่อเวลาผ่านไป


...ใช่!! พ่อบอกว่า 'มรดกที่กูจะให้คือ ความรู้ ..ส่วนของสะสมเหล่านี้ถ้าอยากขายก็เปลี่ยนเป็นเงินได้ทุกเมื่อ ก็แล้วแต่เอ็ง'


'พ่อผม โคตรแนว ..ให้ทั้งวิธีคิด วิธีดำเนินชีวิต ที่ไม่ตามใคร!!'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 เรื่องที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตมากขึ้น

 “8 เรื่อง ที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น”


คิดเหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ..ตีลังกาคิด ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง !! ...”เราสามารถให้โอกาสชีวิต ด้วยการตีลังกาคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเรา”


1. ‘คำว่า ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค มันไม่มีเส้นแบ่งแล้ว’ ...คนเสพเพลง เสพคอนเทนต์ วันนี้สามารถลุกขึ้นมาสร้างเพลง สร้างวีดีโอ สร้างคอนเทนต์ ได้ทันที - จากคนเสียเงิน เปลี่ยนเป็นคนสร้างเงินได้ทันที


...


2. ‘คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันก็แทบไม่เหลือเส้นแบ่ง’ ...เดิมทีนายจ้างคือ คนที่ใช้สมองเยอะ ออกแรงน้อย ..ส่วนลูกจ้าง คือ คนที่ใช้สมองน้อย ออกแรงเยอะ ...แต่วันนี้ลูกจ้างที่หนึ่ง ก็สามารถเป็นนายจ้างอีกที่หนึ่ง ...ออนไลน์เปิดกว้างให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองได้ ถ้ามีความสามารถ


...


3. ‘คำว่า เกษียณ หมดอายุไปแล้ว’ ...ยุคผมจะฮิต เรื่องเกษียณเร็ว แต่พอผมได้คุยกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เขาสวนกลับมาว่า


 ‘แทนที่จะทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วรีบๆ เกษียณ ...ทำไมไม่สร้างงานที่เราชอบจริงๆ แล้ว ทำมันด้วยความรักและความสนุกชั่วชีวิต’ 


....แม่งโคตรโดน!! (จริง!! คนจน คนไม่สำเร็จ มองงานเป็นความทรมาน ความทุกข์ ...คนรวย คนสำเร็จ เขาสร้างงานที่สนุก แล้วทำตลอดไป)


...


4. ‘คำว่า คนรวย กับ คนจน ไม่ได้วัดจากเงิน’ ..ยุคนี้เงินไม่ได้หายาก เพราะคนที่หาเป็นจะหาได้แทบไร้ขีดจำกัด ..แปลว่า เงินไม่ได้จำกัด ...สิ่งที่ทุกคนมีจำกัดคือ เวลาต่างหาก ...ดังนั้น รวยหรือจน ในยุคนี้ วัดกันที่ ‘ความสามารถในการเลือกใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ’ 


(คนจน ต้องใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบ อันนี้เรียกว่า จน ...คนรวย เลือกใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ชอบ ..ไม่ได้เกี่ยวเลยว่า มีเงินล้นฟ้า แต่วัดกันที่ความฉลาดในการเลือกใช้เวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด อย่างมีความสุข 


- คนที่ฉลาดใช้เวลา จะมีของแถมในชีวิต คือ ได้สร้างผลงาน และ ตำนาน ที่ฝากเอาไว้เป็น แรงบันดาลใจ และ สร้างประโยชน์แก่คนรอบๆ ตัว)


...


5. ‘คำว่า เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ไม่ได้ใช้อายุวัดอีกต่อไป’ ...สมัยก่อนคนอายุน้อยคือเด็ก อายุเยอะคือผู้ใหญ่ ...ซึ่งยุคนี้ คนเราไม่ได้เติบโตตามอายุที่มากขึ้น ...คนจำนวนมากในยุคนี้ที่อายุเยอะ แต่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย


สิ่งที่ใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ คือ การยอมรับข้อผิดพลาด เรียนรู้ และเติบโตทางความคิด จากมัน ...ใช่!! ความกล้าหาญทางปัญญา คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างจากเด็ก


...


6. ‘คำว่า ผู้นำ และ ผู้ตาม ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นตัววัด’ ...อันนั้นเรียกว่า หัวโขน ...พอออกจากตำแหน่งเมื่อไหร่ ทุกคนเลิกให้ความสนใจ โดนเหยียบย่ำ นั่นแปลว่า สิ่งนั้นคือ หัวโขน 


แต่การเป็นผู้นำ คือ การแสดงความกล้าหาญ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ...กล้าพูดความจริง ..กล้ายอมรับความจริง ...กล้าที่จะแก้ไขความคิดและความเชื่อที่ล้าสมัย 


จริงอยู่ โลกเรา ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง ...มันขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา 


ดังนั้น ผู้นำ คือ คนที่กล้าเลือก กล้ายืนหยัด และ กล้ายืดหยุ่นที่จะเรียนรู้และเติบโต 


...


7. ‘คำว่า ผู้ให้ กับ ผู้รับ สามารถสลับกันได้ตลอดเวลา’ ...ไม่มียุคใดในโลก ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ให้ได้อย่างง่ายดายเท่าโลกยุคนี้ ...ผู้รับยุคนี้ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ได้ทันที


ให้แรง ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้ความสนุก 


เคล็ดลับของผู้ให้ ก็คือ คนที่จะก้าวไปเป็นผู้นำ ผู้ได้รับโอกาส ความสำเร็จ และ ได้รับความสุข


...


8. ‘คำว่า สำเร็จเร็ว หรือ ช้า ไม่ได้มีความหมายจริงๆ กับชีวิต’ ...ยุคนี้เราให้ความสำคัญกับความเร็ว ..สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ทุกอย่างเร็ว โดยลืมคิดไปว่า ชีวิตเราจริงๆ เป็นวงกลม เป็นวัฏจักร ไม่ได้เป็นเส้นตรง


ไม่ว่าคนรวย คนจน คนมีชื่อเสียง คนไม่มีชื่อเสียง ก็ล้วนมี ปัญหา และ ความสุข ในแบบของตัวเอง


คนที่ไม่มีความสุขเลย คือ คนที่พยายามเอาวัฏจักรชีวิตของตัวเรา ไปเทียบกับคนอื่น เพราะ โอกาสและข้อจำกัด ในแต่ละช่วงชีวิต ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน


ลองเปิดใจ แล้วทำความเข้าใจ วัฏจักรโอกาส และข้อจำกัด ชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่า เราใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เราสนุกและเราสำเร็จ ในแบบของเราเอง


ไม่มีคนเก่งที่สุด - ไม่มีคนรวยที่สุด - ไม่มีคนทุกข์ที่สุด - ไม่มีคนสุขที่สุด - คนที่อำนาจสูงสุด ก็คือ คนไร้อำนาจที่สุดในเวลาเดียวกัน ...หากเข้าใจ เราจะเลือกใช้ชีวิต ด้วยปัญญา ในจุดดีที่สุด ในจุดที่เราเลือกยืน !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 นิสัยพาจน อย่าหลงกลทำตาม

 6 นิสัยพาจน อย่าได้หลงกลทำตาม 


1. ‘ซื้อของชอบผ่อนจ่าย’ ..การผ่อนจ่าย จะสร้างนิสัยการซื้อของที่เกินฐานะตัวเอง ...คนรวยส่วนใหญ่จะซื้อเงินก้อน แล้วต่อรองเอาส่วนลด - จ่ายสดลดเท่าไหร่ ?


2. ‘นิสัยผลัดไปอีกวัน’ ..คำพูดที่ว่า เดี๋ยวพรุ่งนี้ค่อยทำ แปลว่า ยังไงก็ไม่ทำ ...เดี๋ยวพรุ่งนี้จะออกกำลังกาย แปลว่า ชาตินี้จะไม่ได้ออกกำลังกาย ...ถ้าจะทำ ต้องทำวันนี้เลย !!


3. ‘นิสัยชอบซื้อของเตรียมไว้ใช้ในอนาคต’ ...ขยะส่วนใหญ่ที่กองไว้ในบ้าน คือ สิ่งที่เราซื้อเตรียมไว้ใช้ในอนาคต แต่ไม่เคยได้ใช้ ...ถ้ายังไม่ได้ใช้วันนี้ อย่าซื้อมาเผื่อไว้ เพราะยังไงก็ไม่ได้ใช้ 


4. ‘นิสัยชอบทำงานง่าย’ ...กินอยู่แบบง่ายๆ เป็นเรื่องดี แต่ถ้าทำงานต้องเลือกทำตรงข้าม คือ ทำงานยากๆ ..เพราะงานยากเป็นงานที่ทั้งเงินดี และคู่แข่งน้อย ...อย่างน้อยคนที่เลือกทำงานยาก แม้จะยังไม่สำเร็จทันที แต่ก็จะได้เห็น ได้มีประสบการณ์ที่ไม่เหมือนใคร 


5. ‘ชอบผูกความสุขกับการใช้เงิน’ ..นิสัยคนจนคือ ชอปปิงแก้เครียด ..เพราะ ความสุขอยู่ที่การจ่ายเงิน ...แต่นิสัยคนรวย คือ มีความสุขกับการหาเงิน ...คนส่วนใหญ่จะคุยกับเพื่อนว่า วันนี้จะซื้ออะไรดี ...แต่คนที่มีความสุขจากการหาเงิน จะคุยกับเพื่อนว่า เราจะทำธุรกิจอะไรดี - คนนึงคิดแต่จะใช้เงิน อีกคนติดแต่จะหาเงิน 


6. ‘นิสัยหมั่นไส้คนรวย’ ...คนจนจะรวมกลุ่มเพื่อเกลียดชัง และต่อต้านคนรวย ...แต่สิ่งที่ควรทำมากกว่าคือ ศึกษาแล้วค้นหาว่า เขาคิดอย่างไร เขาทำอย่างไร จะได้เอามาปรับใช้ ปรับปรุงตัวเรา


ลองสำรวจ 6 ข้อนี้ แล้วประเมินนิสัยเราเองว่า เราใกล้รวย เท่าใดแล้ว ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน

 10 เรื่อง ที่เศรษฐีสอนลูกเรื่องเงิน


ถ้าอยากโดนต่อยหน้า ให้ออกไปต่อยหน้าคนอื่น ..ถ้าอยากได้ความรัก ให้ออกไปให้ความรักคนอื่น ...แล้วถ้าอยากได้เงินล่ะ ? ...ให้เราเอาเงินออกไปแจกคนอื่น ใช่หรือไม่ ?


ไม่ !! ถ้าอยากได้เงิน ให้เรา ‘รับใช้ และ แก้ปัญหา’ ให้คนอื่น 


- หากวันนี้เราได้เงินน้อย แปลว่า ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหาให้คนอื่น ไม่ได้เรื่อง (ความสามารถเราน้อยเกินไป ..รู้น้อย เรียนน้อย ก็เพราะเรามีความพยายามน้อยนั่นแหละ)


- หากอยากได้เงินเยอะ ...ให้เริ่มที่พัฒนา ความสามารถในการรับใช้ และ แก้ปัญหา ให้ผู้คน


1. ‘ชีวิตอิสระในยุคนี้เริ่มจากมีเงิน’ ..คนที่ไม่มีเงินต้องยอมขายเวลาตัวเอง แลกกับเงินน้อยนิด ทำงานที่ตัวเองไม่อยากทำ ...การสร้างอิสรภาพในชีวิต ต้องเรียนรู้วิธีหาเงิน


2. ‘อย่ารอให้จบปริญญาแล้วเพิ่งเริ่มหาเงิน’ ...ทุกคนเริ่มหาเงินได้ทันที เพียงแค่ขายแรงงานและเวลาของตัวเอง แล้วตั้งใจทำงาน ..ขั้นแรกของการหาเงิน ให้เริ่มฝึกจากการขายแรงงาน !!


3. ‘การเพิ่มทักษะ จะทำให้เราขายแรงงานได้ราคาสูงขึ้น’ ...อยากได้เงินเดือนเพิ่ม ให้พัฒนาทักษะที่เรามีให้เหมาะสมกับเงินที่อยากได้ (ทักษะสูง = เงินเดือนสูง)


4. ‘ถ้าอยากรวย อย่าขายแรงงานแลกเงิน’ ...ให้สร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงิน ...เมื่อเรารู้วิธีขายแรงงานแลกเงินแล้ว ให้เริ่มเรียนรู้การสร้างสินทรัพย์เพื่อหาเงินแทนเรา (คนรวยไม่ขายเวลาแลกเงิน แต่เขาจะสร้างสินทรัพย์เพื่อทำเงินแทน)


5. ‘อย่าเก็บเงินไว้เฉยๆ เพราะมูลค่ามันลดลงตามกาลเวลา’ ...ให้เปลี่ยนเงินเป็นสินทรัพย์ หรือ สิ่งอื่นมูลค่าเพิ่มขึ้นเมื่อเวลาผ่านไป (สินทรัพย์ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่เพิ่มขึ้น / ขยะ คือ สิ่งที่เราถือไว้แล้ว มูลค่ามีแต่ลดลง ...รถยนต์ ทีวี ตู้เย็น ...ของส่วนใหญ่ ที่คนยุคนี้สะสมก็คือขยะ)


6. ‘ต้องเก็บเงินซื้อของด้วยตัวเอง’ ...อย่าซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่อยากได้ เพราะ มีเงินเท่าไหร่ก็ไม่มีทางพอ ...ถ้าอยากได้อะไร อย่าเพิ่งซื้อ ให้เก็บเงินให้ครบจำนวนก่อน แล้วค่อยตัดสินใจซื้อ ..เวลาจะช่วยบอกเราเองว่า เราอยากได้สิ่งนั้นจริงๆ ...เวลาจะช่วยคัดของที่ควรซื้อจริงๆ 


7. ‘เวลาเริ่มธุรกิจให้คิดแบบคนไม่มีเงิน’ ...คนส่วนใหญ่เริ่มธุรกิจจากจ่ายก่อนรับ แต่ยุคนี้เราสามารถสร้างธุรกิจที่รับก่อนจ่าย ...ฝึกคิดจากข้อจำกัด เพื่อจะได้เข้าใจโอกาสธุรกิจที่แท้จริงของโลกยุคใหม่


8. ‘อย่าให้เงินฟรี แก่ลูก เพราะในโลกจริงๆ ไม่มีเงินฟรี’ ...ต้องสอนให้ลูกรู้ว่า เงินทุกบาท ต้องแลกด้วยการทำงานบางอย่าง ...คนส่วนใหญ่สอนให้ลูกใช้เงิน แต่ไม่เคยสอนว่าหาเงินยังไง 


9. ‘ไม่ว่าเด็กหรือผู้ใหญ่ ทุกคนต้องบริหารรายรับ และรายจ่ายด้วยตัวเอง’ ...ถ้าคุณสอนลูกว่า อยากได้เงินเท่าไหร่ก็ให้มาบอก แปลว่า คุณกำลังสอนให้เขาเป็นผู้ด้อยโอกาสทางการเงิน


10. ‘ไม่มีโอกาสทางการเงินที่ดี ที่วิ่งมาหาเรา’ ...โอกาสที่วิ่งเข้ามาหาเราเกือบทั้งหมด เป็นสิ่งหลอกลวง แชร์ลูกโซ่ หลอกให้ลงทุนในสิ่งที่ได้เงินง่าย ได้เงินเร็ว ...โอกาสจริงๆ จะวิ่งเข้ามา เมื่อเรามีความสามารถพอ ...ดังนั้น เลิกหวัง แต่ให้ตั้งใจพัฒนาความสามารถและความรู้แทน


‘ทักษะที่เพิ่ม ความรู้ที่สั่งสม’ ก็คือ เครื่องสร้างโอกาส ที่เราค่อยๆ สร้างมันขึ้นมาเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 สิ่งที่ต้องรู้ หากอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า

 6 สิ่งควรรู้ ถ้าอยากมีรายได้เพิ่ม 10 เท่า


โดยเฉลี่ยฝรั่งรายได้มากกว่าเรา ..ยกตัวอย่าง ค่าจ้างขั้นต่ำคนไทย 300 บาทต่อวัน ..แต่ฝรั่งเขา 300 บาทต่อชั่วโมง ...ทำไม ? - นี่คือ สิ่งที่ควรรู้


1. ‘รายได้จะเพิ่มตาม Productivity’ ...ถ้าคนนึงเย็บเสื้อ 1 ชั่วโมงได้ 1 ตัว ..เทียบกับอีกคนที่เย็บเสื้อได้ 10 ตัวใน 1 ชั่วโมง ..คนที่เย็บได้มากกว่า ก็จะมีรายได้มากกว่า ...สิ่งนี้เรียก Productivity 


...พนักงานเสริฟฝรั่ง ใช้คนน้อยกว่า ดูแลลูกค้าที่มานั่งกินกาแฟ ดีกว่า พนักงานบ้านเรา ที่ยืนจับกลุ่มคุยกันไม่สนใจลูกค้า หลบมุมไปโทรศัพท์ ...ก็ไม่แปลกที่ขนาดพนักงานเสริฟฝรั่ง ยังทำรายได้มากกว่าเรา 10 เท่า


2. ‘รายได้เพิ่ม จากหนึ่งคน ทำได้หลายหน้าที่’ ...ถ้าเป็นโรงงานจะเน้นหนึ่งคนทำหนึ่งอย่าง ..เพราะไม่ต้องสอนมาก คนทำก็ไม่ต้องมีความรู้ ...งานแบบนี้รายได้จะต่ำ แล้วอนาคตจะไม่มีเพราะเครื่องจักรทำงานแทนได้เลย 


ถ้าเป็นเมืองนอก ขนาดพนักงานขับรถบัส เขาทำหน้าที่พูดเป็นไกด์ด้วย ช่วยลูกค้ายกของด้วย ..แปลว่า ขนาดคนขับรถ ยังต้องมีความรู้ ต้องศึกษาเพิ่มเติม ไม่ใช่รู้แค่ขับรถ แล้วนั่งบ่นว่า ทำไมไม่เห็นรวยซักที 


3. ‘รายได้เพิ่ม จากความตั้งใจในการทำงาน’ ...ดูเชฟญี่ปุ่น เทียบกับคนทำกับข้าวบ้านเรา ..ความพิถีพิถันต่างกัน ...ความภูมิใจในสิ่งที่ทำ แสดงออกมาด้วยการแต่งตัวที่สะอาด ...การตั้งใจทำสุดยอดเมนู ....ความตั้งใจที่มาก ทำให้เชฟเหล่านั้น หมั่นศึกษาพัฒนาความรู้ และทักษะจนเป็นเชฟกระทะเหล็ก , Naked Chef หรือ Hell Kitchen 


ถ้าเราทำงานแค่ให้เสร็จไปวันๆ เฝ้ารอแต่วันหยุด จดจ่อแต่วันท่องเที่ยว ..แล้วจะหวังได้เงินเยอะ มันใช่หรือ ?


4. ‘รายได้เพิ่ม จากการลงทุนในเครื่องมือทำมาหากิน’ ...มีดของเชฟญี่ปุ่น อันเป็นหมื่น ใช้เหล็กซามูไร ...ส่วนบ้านเรา ไปเอามีดมาจาก Big C ...หรือ ช่างไฟบ้านเรา ไขควงยังบิดเบี้ยวๆ เทียบกับ ช่างไฟต่างประเทศที่เขาต้องมี License มีรถ มีอุปกรณ์ที่ต้องลงทุนศึกษา ลงทุนในเครื่องมือ 


นี่คือ ความมืออาชีพในเครื่องมือทำมาหากินที่ทำให้เขามีรายได้มากกว่าเรา 10 เท่าไง


5. ‘รับผิดชอบ ในสิ่งที่ขาย’ ...คุณไปซื้อนาฬิกาสวิส เขาการันตีกันชั่วชีวิต รับประกันคุณภาพให้ตายกันไปข้างนึงเลย ปู่ซื้อ ส่งเป็นมรดกถึงพ่อ ต่อด้วยหลาน ...ไม่แปลกที่เขาสามารถขายได้แพงมหาศาล เพราะ เขารับผิดชอบในสินค้าที่เขาขาย


แต่ลองไปซื้อนาฬิกาจีน ...ถ้าคุณแค่ก้าวออกจากร้าน อย่าหวังจะสามารถเปลี่ยนได้ 


อันนึงซื้อแล้วสบายใจ แพงหน่อยก็ยอมจ่าย อีกคนซื้อขาย เหมือนแลกเปลี่ยนยาบ้า ..ขายแล้วห้ามเปลี่ยนคืน (อะไรของมรึง ?)


6. ‘สิ่งแวดล้อมในการขาย’ ...เปิดร้านอาหารในเมืองนอก ต้องขอใบอนุญาต ต้องสร้างร้านได้สะอาด ถูกหลักอนามัย ต้องให้หน่วยงานมาตรวจตลอดเวลา ...ร้านอาหารเขาขายจานละ พันบาท ก็เรื่องปกติ เพราะ คุณภาพ ความสะอาด และ สภาพแวดล้อม


แต่บ้านเรา เอาเตาไป ผัดริมถนน ..ขยะทิ้งลงท่อ ..แมลงสาบ และ หนู เยอะ เรื่องปกติ ...แล้วเราจะขายจานละพันบ้าง อันนี้น่าคิด เพราะลูกค้าไม่ได้โง่


สภาพแวดล้อมในการทำธุรกิจ ต้องลงทุน ...ถ้ากล้าลงทุน แปลว่า คุณจะทำจริง ทำยาว ไม่ใช่แค่ตีหัวเข้าบ้าน


จะเห็นได้ว่า ถ้าอยากรายได้เพิ่ม ไม่ใช่คิดเอาแต่ได้ ...อยากได้แต่ทำเหมือนเดิม ก็คงไม่มีทางได้ 


...อยากรายได้เพิ่ม 10 เท่า เราต้องลงทุน ใส่ใจ เพิ่มผลผลิต ใส่คุณภาพ เพิ่มความรู้ เปลี่ยนสภาพแวดล้อม ...แล้วเราจะได้เพิ่มเกิน 10 เท่าในที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

กฎ 5 ข้อของ เงิน ที่เราควรรู้

 'กฏ 5 ข้อ ของเงินที่เราควรรู้' 


1. 'เงินจะชอบวิ่งเข้าไปหาคนที่เล่นตัวกับมัน' เล่นตัวไง ทำเป็นไม่สนใจไง ...มีเชิงหน่อย !! ..ยิ่งเล่นตัว เรายิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเงิน


2. 'เงินจะวิ่งเข้ามา ในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องใช้' ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งใช้ ถ้าใช้เพราะแค่อยากใช้ มีเท่าไหร่ก็หมดตูดครับ


3. 'เงินไม่ชอบเป็นนายใคร แต่เงินเป็นลูกน้องที่ดี' ..ใครใช้เงินทำงานเป็น เงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปอาศัยใบบุญของผู้นั้น


4. 'เงินรวมตัวกันเมื่อไหร่ หายนะเกิด' ..คนฉลาดจะแบ่งเงินให้ทำงานหลายๆที่ ไม่ให้มันมารวมตัวกัน ..เอ๊ง!! ไปทำงานตรงนุ๊น ส่วนก้อนนี้มาทำงานตรงนี้


5. 'เงินที่วางไกลตัว มักทำงานหนักที่สุด' ..ถ้าเราหลงๆ ลืมๆ วางเงินให้มันทำงานในสินทรัพย์เช่น ที่ดิน หรือ หุ้น ..ยิ่งวางลืมๆ มันยิ่งทำงานหนัก โตเร็วอย่างน่าตกใจ


ทำได้ 5 ข้อนี้ ก็รวยแล้วล่ะ ..555


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 มุมมองของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ

 8 มุมมอง ของ ‘เงิน’ ที่เราควรเข้าใจ


เงินคือ สิ่งที่ทุกคนอยากได้ แต่มีคนน้อยมากที่เข้าใจว่า แท้จริงแล้วเงินคืออะไร ?


ถ้าไม่เข้าใจ ‘เงินจะกลายเป็นนายเรา’ แล้วเราก็จะเป็นทาสของเงิน ...แปลกไหมล่ะ ?


‘เงิน สิ่งใกล้ตัว ที่ไม่ค่อยมีใครรู้จัก’ 


1. ‘ถ้ามองเงิน เป็นนาย’ ...เราจะอยู่ภายใต้อำนาจการสั่งการของเงิน ..คนมองเงินเป็นนาย จะทำงานหนัก แล้วเก็บเงินไม่ค่อยได้ 


2. ‘ถ้ามองเงิน เป็นอำนาจต่อรอง’ ...คนที่มองแบบนี้ ส่วนใหญ่ เป็นคนรวย ...เขาจะพยายามทุกวิถีทางเพื่อสะสมเงินให้มากที่สุด เพราะ เขารู้ดีว่า ยิ่งเขามีเงินเท่าไหร่ เขายิ่งได้สิทธิพิเศษต่างๆ เหนือคนอื่น ...คนรวย จ่ายถูกกว่า ได้ส่วนลดมากกว่า ได้ของแถมเยอะกว่า 


3. ‘ถ้ามองเงินเป็น ลูกน้อง’ ..เราจะศึกษาวิธีการ ที่จะวางเงินทำงานแทนเรา ...เช่น เรียนรู้เรื่องการลงทุน , ลงทุนในอสังหา และ ลงทุนในหุ้นปันผลระยะยาว ...คนที่มองเงินเป็นลูกน้อง ส่วนใหญ่ในระยะยาว มักจะรวย เพราะ เขาพัฒนาทักษะ ที่สำคัญที่สุดของคนรวย - ทักษะ วางเงินทำงาน !!


4. ‘ถ้ามองเงิน สิ่งที่แลกเปลี่ยนความสุข’ ...คนเหล่านี้จะ พยายามหาเงิน มาเพื่อซื้อของ ...หาเท่าไหร่มักใช้เก่งกว่า อันนี้คือ คนส่วนใหญ่ของโลก 


5. ‘ถ้ามองเงินเป็น ถ้วยรางวัล’ ...คนเหล่านี้จะหาเงิน แต่ไม่ยอมใช้เงินเลย เพราะ อาจจะเคยลำบากในวัยเด็ก ทำให้เขาไม่ว่าจะหาเงินได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่กล้าใช้เงินอยู่ดี 


6. ‘ถ้ามองเงิน เป็นความสะดวกสบาย’ ...คนแบบนี้ จะใช้เงินในการแก้ปัญหา ซึ่งการใช้เงินแก้ปัญหา มักดี ในมุมธุรกิจ แต่มักล้มเหลว ในเรื่องของความสัมพันธ์และครอบครัว


7. ‘ถ้ามองเงินเป็น สิ่งชั่วร้าย’ ...ก็จะเกลียดคนมีเงิน แล้วหาทาง ที่จะไม่มีเงิน 


8. ‘ถ้ามองเงิน เป็นเครื่องมือ’ ...เงิน ในมุมของเครื่องมือ ก็คือ สิ่งที่ช่วยให้คนๆ นึง สามารถแก้ปัญหา ที่ใหญ่ขึ้น และ ท้าทายขึ้น ...นักธุรกิจใหญ่ มักใช้เงินเป็นเครื่องมือ ในการเอาชนะปัญหาใหญ่ๆ เช่น Elon Musk อยากแก้โจทย์ การไปอยู่บนดาวอังคารของมนุษย์ 


...โจทย์ที่เล็กที่สุดของคนเรา ก็คือ แก้ปัญหาให้เราไม่หิว ไม่อดตาย ...เมื่อใดที่ใครชนะโจทย์นี้แล้ว เขาก็มักจะอยากแก้ปัญหาที่ใหญ่ ..โจทย์ที่ใหญ่ขึ้น


- แก้ปัญหา แค่ตัวเอง มักได้ เงินน้อย

- แก้ปัญหา เพื่อคนอื่น มักได้เงินมากกว่า

- แก้ปัญหาสังคม มักเป็นเศรษฐี

- แก้ปัญหาประเทศ มักเป็นผู้นำ 

- แก้ปัญหาโลก มักเป็น Billionaire!!


‘เงิน’ เป็นเครื่องมือ ที่ทรงพลังที่สุด ที่มนุษย์คิดค้นขึ้นมา ....เพราะเงิน เป็นตัวแทนของหลายสิ่งหลายอย่าง หรือ อาจจะพูดได้ว่า เงิน ในยุคปัจจุบันเป็นตัวแทนของทุกสิ่ง ทุกอย่าง ที่มนุษย์อยากได้และครอบครอง


แต่ข้อจำกัด ของเงิน ก็คือ ‘ความสามารถในการทำลายล้าง’ 


ดังคำพูดที่ว่า ‘สิ่งใดที่มีคุณอนันต์ สิ่งนั้นก็ย่อมมีโทษมหันต์ ...เงินก็เช่นกัน’


- เงิน สามารถทำให้พี่น้อง เพื่อนรัก ฆ่ากันตายได้ ...อยากให้ครอบครัว แตกแยก โยนมรดกลงไป งงๆ วงแตกเสมอ


- เงิน ทำให้คน และ สังคมแตกแยกได้ ...ประเทศพัฒนา สามารถทำลายประเทศด้อยพัฒนา แค่โยนเงินเข้ามาแล้วดึงกลับอย่างรวดเร็ว ...ผลคือ เศรษฐกิจพัง , สังคมวุ่นวาย ความแตกแยก 


- เงิน ใช้แก้ปัญหา และ ใช้ทำลายล้างได้มหาศาล 


ข้อแนะนำ คือ ‘เราต้องศึกษา ให้รู้เท่าทันของเงิน ..เข้าใจเงินในบทบาทต่างๆ ...แล้วหมั่นตรวจสอบว่า มุมมองของเราที่มีต่อเงิน มันคืออะไร’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 19 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น

 6 ตัวเลข ทางการเงินสำคัญที่ใช้ทำนายราคาหุ้น


1. ‘EPS เติบโต กำหนดค่า P/E’ …EPS ยิ่งโต ก็จะส่งให้ P/E แพงขึ้นได้ เรียกได้ว่า คนซื้ออาจจะได้กำไรแบบก้าวกระโดด


2. ‘D/E น้อย ลดความเสี่ยงการเพิ่มทุน’ …การช้อนซื้อหุ้นถูก ต้องระวังบริษัทที่ D/E สูง เพราะ อาจโดนล็อคเพิ่มทุนได้ ..ซวยไป 


3. ‘Net Profit Margin สูง เป็นดาบสองคม’ …คมแรกคือดี แปลว่า ขายของกำไรดี มี Competitve Advantage …อีกคมไม่ดี เพราะ แต่งงบง่าย (ใช่!! ยอดขาย แต่งยาก / กำไร แต่งไม่ยาก)


4. ‘Investment Cashflow ติดลบ’ …ดีเพราะ แปลว่า บริษัทลงทุนเพิ่มเพื่ออนาคต 


5. ‘% Free float’ …ถ้าน้อยแปลว่า หุ้นเบา หุ้นอยู่ในมือรายใหญ่เยอะ หรือ หุ้นยังไม่ช้ำ …ดูประกอบกับ ‘ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ว่า ถือเยอะแค่ไหน’ 


6. ‘Market Cap.’ …มูลค่าของหุ้นทั้งบริษัท มาจาก ราคาหุ้น คูณ ด้วย จำนวนหุ้นทั้งหมด …ดูความหนักเบาของหุ้น …ยิ่งเยอะ หุ้น ก็ยิ่งหนัก 

(ดูร่วมกับข้อ 5 เพื่อให้ภาพที่ครบมากขึ้น)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 12 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ ประสบการณ์จากการเล่นหุ้น inside

 6 ข้อประสบการณ์อยากบอก จากการเล่นหุ้น inside


ใครๆ ก็อยากเป็น inside อยากได้ข้อมูลวงใน …อันนี้ผมอยากเอาประสบการณ์ตรงจากการเล่นหุ้นวงในมาเล่าให้ฟัง 


1. ‘คุณไม่ใช่ inside จริง’ …ส่วนใหญ่ทุกข่าวลือก็มาในรูปของข้อมูล inside ทั้งนั้นแหละ …เอาตรงๆ ให้ระวังไว้ก่อนเลยว่า ข้อมูลนั้นโคตร Outside ไปแล้ว 


2. ‘เวลาซื้อด้วยข้อมูล inside เราจะซื้อเยอะ แล้วเสียหนัก’ …ปกติคนเล่นหุ้นก็ไม่มั่นใจในตัวเอง แต่จะเชื่อคนอื่นมากกว่า ยิ่งเราคิดว่านี่คือ inside เราจะจัดหนัก ..สุดท้ายเลยจบด้วยเสียหนักๆ


3. ‘หุ้นที่มีข้อมูล inside ส่วนใหญ่เป็นหุ้นที่ไม่มีพื้นฐาน’ …พูดง่ายๆ หุ้นไม่ได้มีพื้นฐาน หรือ พื้นฐานแย่ ขาดทุนเละเทะ แล้วมีข่าวว่าจะกลับมา นี่แหละ น่ากลัวสุดๆ 


4. ‘หุ้น inside มักมี Volume ไม่สม่ำเสมอ ถ้าติดก็ยาว’ …หุ้นพวกนี้ไม่ได้เหมือนหุ้นใหญ่พื้นฐานที่มี Volume ตลอดเวลา จะซื้อขายได้ตลอด ..แต่หุ้น inside จะเล่นเป็นรอบๆ ถ้าหมดรอบ ก็ไม่มี Volume เหลือ ใครดอย ก็ยาววววว !!!


5. ‘เจ้ามือ inside ก็พลาดเองได้’ …เจ้าติดหุ้นตัวเอง นี่ก็เห็นบ่อยๆ โดยเฉพาะในยุคนี้ ที่รายย่อยเก่งขึ้น ดังนั้น 

ถึงแม้เราได้ inside จริง แต่ก็อาจซวยอยู่ดี เพราะ เจ้ามือก็พลาดได้ 


6. ‘เอากราฟ และ เอาเรื่องรอบมาช่วย จะลดความเสี่ยงได้เยอะมาก’ ..สุดท้ายเขาจะเล่นหุ้นยังไง มันก็ต้อง ‘มีรอบ’ ให้เราเห็น …เอากราฟมาประกอบ จะช่วยเราได้เยอะเลย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

6 ข้อ แตกต่างระหว่าง พอร์ตหุ้นไม่โต กับ พอร์ตหุ้นเติบโต

 6 ข้อ ความแตกต่างระหว่าง ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต’ กับ ‘พอร์ตหุ้นที่เติบโต’ 


ดูง่ายๆ ในตลาดหุ้น …คนส่วนใหญ่พอร์ตไม่ค่อยโต กับ มีคนพอร์ตโตเอา โตเอา …ก็นั่นแหละ …พอร์ตแบบโตเอา ๆ มันต้องแตกต่าง ยังไง ?


 …มาแคะแกะเกาดูกัน


1. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ ซื้อหุ้นยอดนิยม’ …’พอร์ตที่โต คือ ซื้อหุ้นที่คนอื่นเขาไม่ซื้อกัน’ 


2. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ อยากได้เงินเร็วๆ’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต เพราะถือหุ้นเป็นเจ้าของ’ 


3. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต เพราะ เวลาวิกฤตไม่เคยได้ซื้อหุ้นเลย’ …‘พอร์ตหุ้นที่โต คือ เขาได้ซื้อเพิ่มเวลาวิกฤต’ 


4. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ หุ้นที่ซื้อเยอะขึ้นน้อย หุ้นที่ซื้อน้อยขึ้นเยอะ มันก็เลยไม่โตไง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต หุ้นที่ซื้อเยอะ ขึ้นเยอะ’ (เคล็ดลับคือ การเพิ่มน้ำหนัก ซื้อเพิ่มในหุ้นที่ซื้อน้อย และ ลดจำนวนหุ้นที่มั่นใจลง)


5. ‘พอร์ตหุ้นที่ไม่โต คือ พอร์ตที่ไม่กล้าเสี่ยง’ …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ พอร์ตที่ดูเสี่ยงในสายตาคนอื่น’ (ผลตอบแทนในยุคนี้ อยู่ในจุดที่เสี่ยงเสมอ)


6. ‘พอร์ตที่ไม่โต คือ รวยแล้วเลิก’(ส่วนใหญ่ เจ๊งแล้วเลิก) …’พอร์ตหุ้นที่โต คือ ยังไงก็ไม่เลิก’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2566

7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา

 7 ข้อควรรู้ เกี่ยวกับหุ้นสีเทา


ก็ว่าช่วงนี้มีแต่ข่าวเทาๆ …เทานุ่น เทานี่ …แล้วหุ้นสีเทามันมีหน้าตาเป็นอย่างไร ?


จากประสบการณ์มองโลกแบบจริงๆ ไม่เอาโลกสวย เราก็ต้องมาทำความเข้าใจกัน 


1. ‘หุ้นที่พื้นฐานกับราคาหุ้นไม่สัมพันธ์กัน มีแนวโน้มจะเทาละ’ …ทำไม? เพราะ บางครั้ง ถ้า P/E สูงเกินจริงมาก มันก็ล่อตาล่อใจ ให้รายใหญ่มาหาผลประโยชน์ได้ 


2. ‘หุ้นที่ธุรกิจ ไม่มีอนาคต ไม่เติบโต ก็อาจจะมีแนวโน้มเทาได้’ …ธุรกิจที่ดีมีการเติบโต เจ้าของเขาแค่ถือเฉยๆ ก็รวยแล้ว …แต่ถ้าธุรกิจไม่เติบโต อันนี้น่าคิดตั้งแต่เขาเอาเข้าตลาดแล้ว …ว่าเข้ามาเพื่อ ?


3. ‘หุ้นที่ผู้ถือหุ้นรายใหญ่ ถือหุ้นน้อย ทยอยขายไปเรื่อย’ ….การขายหุ้นออกไป ก็เท่ากับว่า ไม่อยู่ในชื่อตัวเองแล้ว …จะทำอะไรก็ไม่ต้องรายงาน


4. ‘หุ้นสีเทา มักขึ้นแรงกว่า ส่วนเวลาลงก็ลงแรงกว่า’ …คิดง่ายๆ รายใหญ่ ที่เขาคุมเกม เขาสนใจแต่เรื่องราคา ทำให้การขึ้นก็ขึ้นแรงกว่า เพื่อเรียกแขก ..ส่วนลงก็ต้องแรง ไม่งั้นก็ออกของไม่หมดซิ


5. ‘หุ้นสีเทา ต้องระวังการเพิ่มทุน’ …ก็แน่ละ ธุรกิจมันไม่ดี หรือ แทบไม่มีอยู่แล้ว …การเพิ่มทุน ก็มักเป็นหนึ่งในกลยุทธ์ที่ให้รายย่อยช่วยกันเติมเงินแบบฟรีๆ 


6. ‘หุ้นแนวนี้ ไม่ได้มี Volume ตลอด …มีเฉพาะช่วงที่เขาเล่นเท่านั้น’ ….แปลว่า ถ้าซื้อช่วงที่เขาเล่น ต้องระวังว่า ช่วงที่เขาไม่เล่น อาจไม่มี Volume ให้ขายเลย ต้องระวังให้ดี 


7. ‘อย่าพยายามเล่นตามข่าวกับหุ้นสีเทา เพราะ มันสร้างมาหลอกรายย่อยเสมอ’ …ช่วงที่ซื้อหุ้นเหล่านี้ได้ คือ ช่วงที่ไม่มีข่าว …ส่วนช่วงที่ขายหุ้นแบบนี้แล้วกำไรดี คือ ช่วงข่าวดี งบสวย แค่นั้นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ