อนาคตที่ยังมาไม่ถึงคือความหวังอันแสนหวาน 'วีไอหนุ่ม' ฝากความมั่งคั่งทั้งหมดไว้ที่ 'ตลาดหุ้น' และหุ้น 'บิ๊กแคป' ที่เขาลงทุน
โดยมีเป้าหมายว่าอีก 20 ปีข้างหน้า 'ข้าจะรวยมหาศาล'
ในหนังสือของเขา "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เชื่อว่าตลาดหุ้นจะเกิด Super Bull Market ขึ้นอีกครั้งดังเช่นปี 2536 นักลงทุนต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle หรือ "มหัศจรรย์อาเซียน" ในยุคต่อไปคนรวย (อาจ) จะจน "คนฉลาด" จะ "รวย" จะเกิด "New Rich" (เศรษฐีใหม่) ในตลาดหุ้น คนที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องการลงทุนให้เริ่มศึกษาได้แล้ว เพราะวันนี้ตลาดหุ้นเราอยู่ในช่วงการก่อตัวของ "กระทิงยักษ์"
วีไอหนุ่มรายนี้จะเล่นเฉพาะ "หุ้นบิ๊กแคป" หรือ "หุ้นบลูชิพ" เท่านั้น ปัจจุบันเขามีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10 ตัว เช่น PTT, PTTEP, IRPC, BBL, KK และ ADVANC เป็นต้น เขาบอกว่าที่เลือกลงทุนหุ้นตัวใหญ่เพราะมัน "ไม่มีทางเจ๊ง" และมีโอกาสเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องผลตอบแทนเป็นไปตามกฎ High Risk High Return ถ้าคุณเสี่ยงมากก็จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ผมเลือกที่จะรับความเสี่ยงแบบพอดี
การถือหุ้นตัวใหญ่ทำให้เราเสี่ยงน้อยลง และถ้ามีจังหวะดีๆ ที่ราคาตกลงมาก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนการถือหุ้นได้อีก การลงทุนแบบ "ชาวสวน" ช่วงที่เกิด “ข่าวร้ายแรงๆ” ทำให้ภาววิทย์เข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคปเกรดเอได้ในราคา "ถูก" อยู่บ่อยๆ เขายกตัวอย่างหุ้น PTT เข้าเก็บในจังหวะที่มีข่าวมาบตาพุด จนมีกระแสข่าวว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนออกไปทั้งหมด หรือหุ้น ADVANC เข้าลงทุนช่วงที่ล้มประมูล 3G เป็นต้น
“ผมคิดว่าจะรวยจากหุ้นได้ต้องเป็นคนที่คิดต่างจากคนอื่น” เขาเอ่ยขึ้น
เหตุผลเพราะตลาดหุ้นเป็นแหล่งรวมของผู้มีความสามารถ "ระดับบน" ของประเทศทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์, วิศวกร, นักธุรกิจ, เจ้าของกิจการ แต่ทำไมถึงมีนักลงทุนเพียง 20% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ แต่การจะเป็นคนส่วนน้อยได้คุณต้องเริ่มจากการเป็นคน "คิดต่าง" ให้ได้ก่อน เช่นการเข้าไปซื้อหุ้นตอนที่ทุกคนกำลัง "กลัวมากๆ" และต้องออกตอนที่คนกำลัง "กล้ามากๆ"
การเล่นหุ้นจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน จะเล่นให้ยากมันก็ยาก จะเล่นให้ง่ายมันก็ง่าย วิธีที่ง่ายก็คือ Buy & Hold (แต่ทำยาก) ซื้อหุ้นคุณภาพดีใน "Cycle ขาลง" แล้วก็ถือต่อไปขายตอน "Cycle ขาขึ้น" แค่นี้ก็รวยแล้ว ไม่ต้องไปวิ่งเข้าๆ ออกๆ แบบที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน
"ก็ง่ายๆ แค่นี้ ผมว่าเกมนี้มันวัดกันที่ใจและความอึด เพราะผมเชื่อว่าในตลาดขาขึ้นที่เป็น Bull Market (กระทิง) อย่างแท้จริง การ Buy & Hold (ซื้อแล้วถือ) คุณจะชนะการเล่นทุกแบบ"
จะรู้ได้อย่างไรว่า "ตลาดแพง" ให้คุณ "เทียบกับเงินฝากธนาคาร" ตราบใดที่เงินฝากยังน้อยกว่า "เงินปันผล" ของบริษัท ผมว่าตลาดมันโคตรจะถูก แต่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มดีแล้วเงินฝากมันเริ่มสูง (ตามเงินเฟ้อ) นั่นแหละคุณค่อยขายหุ้นทิ้งเอาเงินมาใส่บัญชีเงินฝากรอตลาด Crash (พัง) เล่นหุ้นภาพใหญ่มันไม่มีอะไรซับซ้อน แต่คุณต้องใจเย็น
"สังเกตไหม ครับว่า ถ้าเราเล่นอยู่ในตลาดไหนนานๆ เราก็จะอารมณ์ค้างต่อ เช่น กำลังมันส์กับ Bull Market...เคยมีคำพูดว่าถ้าขึ้น Taxi แล้วคนขับชวนคุยเรื่องหุ้นนั่นแหละคือช่วงเวลาที่อันตรายแล้วเพราะคนที่อยู่ นอกตลาดทนไม่ไหวที่เห็นคนอื่นรวยหุ้นแล้วจะแห่กันเข้ามาจนเกิดฟองสบู่"
ภาววิทย์คิดว่าตอนนี้กลุ่มคนรวยยังไม่สนใจตลาดหุ้นเต็มที่ แต่พอถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะทนไม่ได้เพราะเห็นคนอื่นรวยเอาๆๆ ผมจะออกจากหุ้นตอนนั้นแหละ
วีไอหนุ่มบอกต่อว่า แค่คิดต่างอย่างเดียวไม่พอต้องทำความรู้จักกับสิ่งที่เราจะลงทุนด้วย ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นเหมือนกับการฝึกหัดขี่จักรยานมันต้องมีล้มแน่ๆ แต่เราจะเรียนรู้การใส่หมวกกันน็อคอย่างไรให้ล้มลงเจ็บน้อยที่สุด สิ่งที่สอนๆ กันไม่ใช่ว่า 1+1 แล้วต้องเป็น 2 เสมอไป ผมว่าทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกหัดที่จะดัดแปลงแนวทางการลงทุนของตัวเองขึ้นมา
วิธีที่จะ "เซฟ" ที่สุดจะต้องเลือกหุ้นที่มี "พื้นฐานดี" ไว้ก่อน และเป็นเหตุผลที่ภาววิทย์เลือกลงทุนหุ้น ADVANC แต่ไม่ลงทุนหุ้น "คู่แข่ง" ที่ใครๆ ก็นิยมเล่นกันเพราะหุ้นตัวนั้น "พื้นฐานไม่ดี" เล่นกันแค่ข่าว แม้เขาจะยึดมั่นหุ้น "บิ๊กแคป" เป็นทางสายหลัก แต่วีไอหนุ่มก็แบ่งเงินปันผลบางส่วนมาลงทุน "หุ้นตัวเล็ก" หรือ Penny Stock บ้างเหมือนกัน โดยเตรียมใจว่าเงินก้อนนี้พร้อมจะ “สูญ” ได้ทั้งหมด แต่ถ้า “โชคดี” อาจได้ผลตอบแทนเป็น "สิบเด้ง" ก็ได้
"ผมเรียกหุ้นพวกนี้ว่า "หุ้นกาก" (หัวเราะ) เหมือนกับเราเล่นพนันเอาเงินไปเสี่ยงไว้โดยไม่รู้ว่าเจ้ามือเขาจะหยิบมาเล่น จนหุ้นพุ่งกระจายก็ได้ ส่วนตัวจะมองกรณีเลวร้ายสุดเอาไว้ก่อนเหมือนทำธุรกิจ ถ้าทำใจรับได้ก็ลงไปเลย แต่ไม่ใช่จะเลือกหุ้นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องศึกษาธุรกิจนั้นพอสมควร ที่สำคัญคือผู้บริหารเป็นคนอย่างไรเคยมีประวัติปั่นหุ้นตัวเองไหม ถ้าเคย (ปั่นหุ้น) ผมเชื่อในประวัติศาสตร์มันมักจะกลับมา"
สำหรับใครที่ชอบลงทุน "หุ้นตัวเล็ก" ให้ "เสี่ยงน้อยหน่อย" ภาววิทย์มีข้อแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายต่ำๆ มีค่า P/BV ต่ำ แต่จ่ายปันผลสูงๆ หุ้นพวกนี้มีอยู่ในตลาดเยอะแต่ไม่ค่อยมีคนมาเล่น ถ้าคิดจะเล่นจะต้อง "เข้าก่อนเจ้ามือ" หุ้นพวกนี้ถ้าวิ่งขึ้นมาแล้ว "อย่าไปไล่ตาม" (เดี๋ยวติดดอย) อย่างน้อยถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นเราก็ยังได้ปันผลสูงๆ อยู่ดี แต่ถ้ามีเจ้ามือมาเล่นเราก็โชคดี
“ผมเคยซื้อหุ้น CFRESH ที่ 3.88 บาท เพราะให้ปันผลสูงแต่มีสภาพคล่องต่ำแค่เดือนเดียวมีคนมาลากราคาไป 6 บาทแต่ของแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ”
สำหรับเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว ภาววิทย์ตั้งธงว่าจะยังถือหุ้นที่ซื้อตั้งแต่หลังวิกฤติไปจนถึงเวลาที่ราคา เริ่มแพงหรือ Over Sold แล้ว โดยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้าช่วยอีกทาง แต่มองว่ายังไม่ใช่เวลาใกล้ๆ นี้แน่นอน
“อย่างหุ้น PTT ตอนนี้ใครก็บอกว่าแพงแล้ว แต่อีก 20 ปีข้างหน้าอาจจะไม่ใช่ราคานี้ ราคาหุ้นจะไปแค่ไหนผมไม่รู้แต่ผมมั่นใจว่ารายได้และเงินปันผลจะโตกว่านี้มาก ส่วนตัวมองว่าจะไปขายตอนราคา 1,000-1,200 บาท...มีคนสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร! เอาเป็นว่าคุณลองไปดูหุ้น SCC มันโตขึ้นกี่เท่า หุ้น BANPU โตขึ้นกี่เท่า หุ้น CPN เคยเหลือ 0.20 บาทตอนหลังวิกฤติแปดปีต่อมาราคาขึ้นไป 28 บาท หรือ 140 เท่า ถ้าจ้องแต่ซื้อๆ ขายๆ ไม่มีทางทำผลตอบแทนได้ขนาดนี้หรอก”
เขามีความเชื่อส่วนตัวเกี่ยวกับ Asian Miracle และ Super Bull Market ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวอย่างแท้จริง SET บ้านเราจะวิ่งไปทำ New High แบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เพราะตลาดหุ้นเราอยู่ใน Cycle ขาลงมานานแต่การขึ้นของตลาดจะไม่ขึ้นเป็นจรวด มันจะขึ้นแล้วปรับฐานแรงๆ แล้วขึ้นต่อ จากนั้นก็ปรับฐานเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งที่ปรับฐาน มันจะสามารถสร้าง New High ได้เสมอ และการปรับฐานแรงๆ อาจทำให้พอร์ตลงทุนของคุณ "จมน้ำ" เป็นช่วงๆ ซึ่งก็ไม่แปลก
เหตุผลที่จะมาสนับสนุนยุครุ่งเรืองของตลาดหุ้นคือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) งานประจำที่ธนาคารกรุงเทพกำลังเร่งทำวิจัยผลกระทบจาก AEC ทำให้รู้ว่าผลกระทบด้านบวกน่าจะดันให้เอเชียเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกใน อนาคตอย่างแน่นอน ปัจจัยอื่นอย่างเช่นการล่มสลายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น การเติบโตของจีนและอินเดีย ทั้งหมดนี้น่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยทั้งหมด
นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก อีกไม่กี่ปีเราจะมี 3G ใช้ พลังงานทดแทนจะเริ่มบูม ที่สำคัญยังมีปัจจัยเรื่องของแนวโน้มประชากรกลุ่มเจเนอเรชั่น Y หรือกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จับจ่ายใช้สอย และยังเป็นกลุ่มที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุน LTF ซึ่งเป็นตัวหนุนสำคัญ
๐ ทุกๆ 20 ปี ตลาดหุ้นจะ 'ขึ้นแรง' 1 รอบ
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ยก สถิติตลาดหุ้นที่ทุกๆ 20 ปี ตลาดจะมีการปรับขึ้นแบบแรงๆ หนึ่งครั้ง ถ้าย้อนกลับไปในปี 2536 ตอนนั้นหุ้นไทยทำจุดสูงสุดที่ 1,780 จุด จากนั้นเกือบ 20 ปีมาแล้วเราไม่สามารถกลับคืนไปจุดเดิมได้เลย ถ้ามองภาพใหญ่มีโอกาสอย่างมากที่จะกลับไป (ทะลุ) จุดนั้น
“ผมคิดว่า SET จะทำลายจุดสูงสุดเก่าแน่นอนและจะไปได้ไกลกว่าเดิมด้วย ถ้าวิเคราะห์ว่าตอนอยู่ที่จุดพีคเดิม (มกราคม 2537) ตอนนั้นประเทศเรามีหนี้จำนวนมากแต่ตอนนี้ธุรกิจเราแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ส่วนจะเป็นเมื่อไรคงบอกเวลาไม่ได้”
ส่วนตัวคิดว่าในยุคนี้วิกฤติอาจจะมาเร็วกว่าเดิมเพราะเศรษฐกิจยุคใหม่มัน เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นและเร็วขึ้นด้วยข้อมูลข่าวสาร เป็นไปได้ว่าอาจจะมาทุกๆ 5 ปีก็ได้ แต่นี่คือ "โอกาสรวย" เพราะเมื่อหุ้นขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วจะเกิดฟองสบู่แน่นอนต้องเข้าใจว่าใน ตลาดหุ้นมันมีทั้ง "ความโลภ" และ "ความกลัว" อยู่ในนั้น เมื่อใดที่นักลงทุนมีความกล้าเมื่อนั้นแหละตลาดมันจะพังเอง
“ตอนนี้ผมกำลังรอให้เกิดฟองสบู่ ถ้าเกิดเมื่อไรจะออกจากตลาดหุ้นทันทีแล้วรอเข้าไปซื้อรอบใหม่ รอบนี้ผมอาจจะไม่รวยมากนัก วิกฤติครั้งแรกถือว่าเป็นแค่การเรียนรู้แต่เชื่อว่าครั้งหน้าผมอาจรวยขึ้น 8 เท่าก็เป็นได้”
เจ้าตัวรีบออกปากว่าอย่าเพิ่งคิดว่าอะไรๆ จะง่ายเสมอไป ส่วนตัวคิดว่าชีวิตการเป็นนักลงทุนมันไม่มีคำว่าสำเร็จในชั่วข้ามคืน ถ้าใครรวยอย่างนั้นได้อย่าคิดว่ามันจะยั่งยืน การสร้างความมั่งคั่งมันง่ายแต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษามันเอาไว้
สำหรับเป้าหมายในภาพใหญ่ วีไอหนุ่ม สรุปสั้นๆ ว่า อีก 20 ปีข้างหน้า "ผมจะรวยมหาศาล" ตามแนวทางที่ได้บอกไว้ ระหว่างนั้นอยากที่จะสร้างความรู้ด้านการลงทุนให้กับคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Y ให้คนไทยฉลาดที่จะลงทุนไม่ตกเป็นแมลงเม่าง่ายๆ เจ้าตัวฟันธงว่าใครก็ตามที่สามารถอยู่รอดในตลาดหุ้นได้นานถึง 20 ปี รับรองรวยแน่ๆ
“ผมคิดว่าการเป็นวีไอคือการปลูกต้นสักหนึ่งต้นต้องใช้เวลา 20 ปี ให้มันค่อยๆ โตไป แต่ถ้าคุณรักจะปลูกถั่วงอก (เล่นเดย์เทรด) มันอาจมีอายุแค่ 1 วันก็ตายแล้วมันไม่มีความแน่นอน เอาว่าอีก 20 ปี ค่อยมาสัมภาษณ์ผมใหม่ว่าที่พูดไว้จะเป็นจริงได้ไหม”
ก่อนจากกัน ภาววิทย์มองภาพตลาดหุ้นไทยตอนนี้ (ใกล้ๆ 1,100 จุด) "ไม่ถูก-ไม่แพง" คืออยู่กลางๆ คนที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลย "ยังไม่สายเกินไป" แต่ต้องมองระยะยาวต้องใช้กราฟเทคนิคช่วยตัดสินใจด้วยเพื่อที่จะขายให้ได้แพง กว่า
"จากตอนนี้ (เมษายน) ถึงสิ้นปี 2554 ผมฟันธงว่าหุ้นจะต้องมีช่วงตกแรงอีกครั้งหนึ่ง"
๐ แบบทดสอบคุณเป็น 'แมลงเม่า' รึเปล่า!
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ให้ ความเห็นว่าถ้าคุณไม่ต้องการเป็น “แมลงเม่า” ในตลาดหุ้น จะต้องฝึกเป็นนักลงทุนแบบ “ชาวสวน” อย่าเป็น "ชาวไล่" (ราคาหุ้น) สาเหตุที่ลงทุนผิดพลาดเพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักจะซื้อหุ้นที่ไม่ควรซื้อ (หุ้นพื้นฐานไม่ดี) และซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ (หุ้นวิ่งสูงมากแล้ว) และชอบขายหุ้นที่ดีในเวลาที่ไม่ควรขาย (ขายหมู) นี่คือเหตุผลที่ลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุด
ตัวอย่างเช่นถ้าหุ้นตัวหนึ่งราคาวันแรกตกไป 10% ก็ยังไม่ Cut Loss วันถัดไปตกต่อก็ไม่กล้า Cut Loss สุดท้ายพอตกลงไปถึง 40% ก็ยอมขายขาดทุนออกมา พอขายเสร็จไม่นานหุ้นจะขึ้นหลังจากนั้นเป็นประจำ แต่พอตลาดตกแรงๆ ก็ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวจะลงไปอีก พอซื้อแล้วลงต่อก็ไม่กล้าเข้าไปซื้อเพิ่ม สุดท้ายไม่เคยซื้อหุ้นได้ในราคาถูกเลย
ถ้าคุณเป็นอย่างที่ผมบอกคุณคือ "แมลงเม่า" อีกกรณีหนึ่งคือแมลงเม่าจะทนเห็นตลาดหุ้นขึ้นแรงๆ ไม่ได้จะต้องมองหา "หุ้นที่ยังไม่ขึ้น" แล้วเข้าซื้อเพราะไม่อยาก “ตกขบวน” ผลคือมักจะไปได้หุ้นที่ไม่ดีในราคาที่ไม่ถูกมาเสมอ แทนที่จะเอาเงินไปซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคายังไม่แพง
“สรุปคือถ้าคิดจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นคุณต้องเป็นคนส่วนน้อย (ชาวสวน) ในตลาด”