แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 25 เมษายน พ.ศ. 2554

วีไอหนุ่ม 'ภาววิทย์ กลิ่นประทุม' โอกาส 'รวย' ของคนคิดต่าง

(จาก หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ ..ถนนนักลงทุน วันที่ 25 เมษายน 2554)

อนาคตที่ยังมาไม่ถึงคือความหวังอันแสนหวาน 'วีไอหนุ่ม' ฝากความมั่งคั่งทั้งหมดไว้ที่ 'ตลาดหุ้น' และหุ้น 'บิ๊กแคป' ที่เขาลงทุน

โดยมีเป้าหมายว่าอีก 20 ปีข้างหน้า 'ข้าจะรวยมหาศาล'

ในหนังสือของเขา "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เชื่อว่าตลาดหุ้นจะเกิด Super Bull Market ขึ้นอีกครั้งดังเช่นปี 2536 นักลงทุนต้องเตรียมตัวให้พร้อมกับตลาดหุ้นในยุค Asian Miracle หรือ "มหัศจรรย์อาเซียน" ในยุคต่อไปคนรวย (อาจ) จะจน "คนฉลาด" จะ "รวย" จะเกิด "New Rich" (เศรษฐีใหม่) ในตลาดหุ้น คนที่ยังไม่เคยศึกษาเรื่องการลงทุนให้เริ่มศึกษาได้แล้ว เพราะวันนี้ตลาดหุ้นเราอยู่ในช่วงการก่อตัวของ "กระทิงยักษ์"

วีไอหนุ่มรายนี้จะเล่นเฉพาะ "หุ้นบิ๊กแคป" หรือ "หุ้นบลูชิพ" เท่านั้น ปัจจุบันเขามีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10 ตัว เช่น PTT, PTTEP, IRPC, BBL, KK และ ADVANC เป็นต้น เขาบอกว่าที่เลือกลงทุนหุ้นตัวใหญ่เพราะมัน "ไม่มีทางเจ๊ง" และมีโอกาสเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ ส่วนเรื่องผลตอบแทนเป็นไปตามกฎ High Risk High Return ถ้าคุณเสี่ยงมากก็จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ผมเลือกที่จะรับความเสี่ยงแบบพอดี

การถือหุ้นตัวใหญ่ทำให้เราเสี่ยงน้อยลง และถ้ามีจังหวะดีๆ ที่ราคาตกลงมาก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนการถือหุ้นได้อีก การลงทุนแบบ "ชาวสวน" ช่วงที่เกิด “ข่าวร้ายแรงๆ” ทำให้ภาววิทย์เข้าเก็บหุ้นบิ๊กแคปเกรดเอได้ในราคา "ถูก" อยู่บ่อยๆ เขายกตัวอย่างหุ้น PTT เข้าเก็บในจังหวะที่มีข่าวมาบตาพุด จนมีกระแสข่าวว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนออกไปทั้งหมด หรือหุ้น ADVANC เข้าลงทุนช่วงที่ล้มประมูล 3G เป็นต้น

“ผมคิดว่าจะรวยจากหุ้นได้ต้องเป็นคนที่คิดต่างจากคนอื่น” เขาเอ่ยขึ้น

เหตุผลเพราะตลาดหุ้นเป็นแหล่งรวมของผู้มีความสามารถ "ระดับบน" ของประเทศทั้งนั้น ไม่ว่าจะเป็นนายแพทย์, วิศวกร, นักธุรกิจ, เจ้าของกิจการ แต่ทำไมถึงมีนักลงทุนเพียง 20% เท่านั้นที่ประสบความสำเร็จ แต่การจะเป็นคนส่วนน้อยได้คุณต้องเริ่มจากการเป็นคน "คิดต่าง" ให้ได้ก่อน เช่นการเข้าไปซื้อหุ้นตอนที่ทุกคนกำลัง "กลัวมากๆ" และต้องออกตอนที่คนกำลัง "กล้ามากๆ"

การเล่นหุ้นจริงๆ มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน จะเล่นให้ยากมันก็ยาก จะเล่นให้ง่ายมันก็ง่าย วิธีที่ง่ายก็คือ Buy & Hold (แต่ทำยาก) ซื้อหุ้นคุณภาพดีใน "Cycle ขาลง" แล้วก็ถือต่อไปขายตอน "Cycle ขาขึ้น" แค่นี้ก็รวยแล้ว ไม่ต้องไปวิ่งเข้าๆ ออกๆ แบบที่คนส่วนใหญ่เล่นกัน

"ก็ง่ายๆ แค่นี้ ผมว่าเกมนี้มันวัดกันที่ใจและความอึด เพราะผมเชื่อว่าในตลาดขาขึ้นที่เป็น Bull Market (กระทิง) อย่างแท้จริง การ Buy & Hold (ซื้อแล้วถือ) คุณจะชนะการเล่นทุกแบบ"

จะรู้ได้อย่างไรว่า "ตลาดแพง" ให้คุณ "เทียบกับเงินฝากธนาคาร" ตราบใดที่เงินฝากยังน้อยกว่า "เงินปันผล" ของบริษัท ผมว่าตลาดมันโคตรจะถูก แต่ถ้าเศรษฐกิจเริ่มดีแล้วเงินฝากมันเริ่มสูง (ตามเงินเฟ้อ) นั่นแหละคุณค่อยขายหุ้นทิ้งเอาเงินมาใส่บัญชีเงินฝากรอตลาด Crash (พัง) เล่นหุ้นภาพใหญ่มันไม่มีอะไรซับซ้อน แต่คุณต้องใจเย็น

"สังเกตไหม ครับว่า ถ้าเราเล่นอยู่ในตลาดไหนนานๆ เราก็จะอารมณ์ค้างต่อ เช่น กำลังมันส์กับ Bull Market...เคยมีคำพูดว่าถ้าขึ้น Taxi แล้วคนขับชวนคุยเรื่องหุ้นนั่นแหละคือช่วงเวลาที่อันตรายแล้วเพราะคนที่อยู่ นอกตลาดทนไม่ไหวที่เห็นคนอื่นรวยหุ้นแล้วจะแห่กันเข้ามาจนเกิดฟองสบู่"

ภาววิทย์คิดว่าตอนนี้กลุ่มคนรวยยังไม่สนใจตลาดหุ้นเต็มที่ แต่พอถึงจุดหนึ่งพวกเขาจะทนไม่ได้เพราะเห็นคนอื่นรวยเอาๆๆ ผมจะออกจากหุ้นตอนนั้นแหละ

วีไอหนุ่มบอกต่อว่า แค่คิดต่างอย่างเดียวไม่พอต้องทำความรู้จักกับสิ่งที่เราจะลงทุนด้วย ส่วนตัวมองว่าการลงทุนหุ้นเหมือนกับการฝึกหัดขี่จักรยานมันต้องมีล้มแน่ๆ แต่เราจะเรียนรู้การใส่หมวกกันน็อคอย่างไรให้ล้มลงเจ็บน้อยที่สุด สิ่งที่สอนๆ กันไม่ใช่ว่า 1+1 แล้วต้องเป็น 2 เสมอไป ผมว่าทุกคนต้องเรียนรู้และฝึกหัดที่จะดัดแปลงแนวทางการลงทุนของตัวเองขึ้นมา

วิธีที่จะ "เซฟ" ที่สุดจะต้องเลือกหุ้นที่มี "พื้นฐานดี" ไว้ก่อน และเป็นเหตุผลที่ภาววิทย์เลือกลงทุนหุ้น ADVANC แต่ไม่ลงทุนหุ้น "คู่แข่ง" ที่ใครๆ ก็นิยมเล่นกันเพราะหุ้นตัวนั้น "พื้นฐานไม่ดี" เล่นกันแค่ข่าว แม้เขาจะยึดมั่นหุ้น "บิ๊กแคป" เป็นทางสายหลัก แต่วีไอหนุ่มก็แบ่งเงินปันผลบางส่วนมาลงทุน "หุ้นตัวเล็ก" หรือ Penny Stock บ้างเหมือนกัน โดยเตรียมใจว่าเงินก้อนนี้พร้อมจะ “สูญ” ได้ทั้งหมด แต่ถ้า “โชคดี” อาจได้ผลตอบแทนเป็น "สิบเด้ง" ก็ได้

"ผมเรียกหุ้นพวกนี้ว่า "หุ้นกาก" (หัวเราะ) เหมือนกับเราเล่นพนันเอาเงินไปเสี่ยงไว้โดยไม่รู้ว่าเจ้ามือเขาจะหยิบมาเล่น จนหุ้นพุ่งกระจายก็ได้ ส่วนตัวจะมองกรณีเลวร้ายสุดเอาไว้ก่อนเหมือนทำธุรกิจ ถ้าทำใจรับได้ก็ลงไปเลย แต่ไม่ใช่จะเลือกหุ้นแบบสุ่มสี่สุ่มห้า ต้องศึกษาธุรกิจนั้นพอสมควร ที่สำคัญคือผู้บริหารเป็นคนอย่างไรเคยมีประวัติปั่นหุ้นตัวเองไหม ถ้าเคย (ปั่นหุ้น) ผมเชื่อในประวัติศาสตร์มันมักจะกลับมา"

สำหรับใครที่ชอบลงทุน "หุ้นตัวเล็ก" ให้ "เสี่ยงน้อยหน่อย" ภาววิทย์มีข้อแนะนำให้เลือกหุ้นที่มีสภาพคล่องการซื้อขายต่ำๆ มีค่า P/BV ต่ำ แต่จ่ายปันผลสูงๆ หุ้นพวกนี้มีอยู่ในตลาดเยอะแต่ไม่ค่อยมีคนมาเล่น ถ้าคิดจะเล่นจะต้อง "เข้าก่อนเจ้ามือ" หุ้นพวกนี้ถ้าวิ่งขึ้นมาแล้ว "อย่าไปไล่ตาม" (เดี๋ยวติดดอย) อย่างน้อยถ้าราคาหุ้นไม่ขึ้นเราก็ยังได้ปันผลสูงๆ อยู่ดี แต่ถ้ามีเจ้ามือมาเล่นเราก็โชคดี

“ผมเคยซื้อหุ้น CFRESH ที่ 3.88 บาท เพราะให้ปันผลสูงแต่มีสภาพคล่องต่ำแค่เดือนเดียวมีคนมาลากราคาไป 6 บาทแต่ของแบบนี้ไม่เกิดขึ้นบ่อยๆ”

สำหรับเป้าหมายการลงทุนส่วนตัว ภาววิทย์ตั้งธงว่าจะยังถือหุ้นที่ซื้อตั้งแต่หลังวิกฤติไปจนถึงเวลาที่ราคา เริ่มแพงหรือ Over Sold แล้ว โดยจะใช้วิธีการวิเคราะห์ทางเทคนิคเข้าช่วยอีกทาง แต่มองว่ายังไม่ใช่เวลาใกล้ๆ นี้แน่นอน

“อย่างหุ้น PTT ตอนนี้ใครก็บอกว่าแพงแล้ว แต่อีก 20 ปีข้างหน้าอาจจะไม่ใช่ราคานี้ ราคาหุ้นจะไปแค่ไหนผมไม่รู้แต่ผมมั่นใจว่ารายได้และเงินปันผลจะโตกว่านี้มาก ส่วนตัวมองว่าจะไปขายตอนราคา 1,000-1,200 บาท...มีคนสงสัยว่าจะเป็นไปได้อย่างไร! เอาเป็นว่าคุณลองไปดูหุ้น SCC มันโตขึ้นกี่เท่า หุ้น BANPU โตขึ้นกี่เท่า หุ้น CPN เคยเหลือ 0.20 บาทตอนหลังวิกฤติแปดปีต่อมาราคาขึ้นไป 28 บาท หรือ 140 เท่า ถ้าจ้องแต่ซื้อๆ ขายๆ ไม่มีทางทำผลตอบแทนได้ขนาดนี้หรอก”

เขามีความเชื่อส่วนตัวเกี่ยวกับ Asian Miracle และ Super Bull Market ตลาดหุ้นกำลังฟื้นตัวอย่างแท้จริง SET บ้านเราจะวิ่งไปทำ New High แบบที่ไม่เคยมีใครคาดคิดมาก่อน เพราะตลาดหุ้นเราอยู่ใน Cycle ขาลงมานานแต่การขึ้นของตลาดจะไม่ขึ้นเป็นจรวด มันจะขึ้นแล้วปรับฐานแรงๆ แล้วขึ้นต่อ จากนั้นก็ปรับฐานเป็นระยะๆ แต่ทุกครั้งที่ปรับฐาน มันจะสามารถสร้าง New High ได้เสมอ และการปรับฐานแรงๆ อาจทำให้พอร์ตลงทุนของคุณ "จมน้ำ" เป็นช่วงๆ ซึ่งก็ไม่แปลก

เหตุผลที่จะมาสนับสนุนยุครุ่งเรืองของตลาดหุ้นคือ ประชาคมเศรษฐกิจอาเซียน (ASEAN Economic Community หรือ AEC) งานประจำที่ธนาคารกรุงเทพกำลังเร่งทำวิจัยผลกระทบจาก AEC ทำให้รู้ว่าผลกระทบด้านบวกน่าจะดันให้เอเชียเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจโลกใน อนาคตอย่างแน่นอน ปัจจัยอื่นอย่างเช่นการล่มสลายทางเศรษฐกิจของสหรัฐอเมริกา เหตุการณ์แผ่นดินไหวและสึนามิที่ญี่ปุ่น การเติบโตของจีนและอินเดีย ทั้งหมดนี้น่าจะส่งผลดีต่อประเทศไทยทั้งหมด

นอกจากนี้สภาพเศรษฐกิจและสังคมปัจจุบันเปลี่ยนแปลงไปมาก อีกไม่กี่ปีเราจะมี 3G ใช้ พลังงานทดแทนจะเริ่มบูม ที่สำคัญยังมีปัจจัยเรื่องของแนวโน้มประชากรกลุ่มเจเนอเรชั่น Y หรือกลุ่มอายุ 30 ปีขึ้นไปจะเริ่มเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลุ่มนี้จะเป็นตัวขับเคลื่อนเศรษฐกิจ จับจ่ายใช้สอย และยังเป็นกลุ่มที่เริ่มลงทุนในตลาดหุ้นผ่านกองทุน LTF ซึ่งเป็นตัวหนุนสำคัญ

๐ ทุกๆ 20 ปี ตลาดหุ้นจะ 'ขึ้นแรง' 1 รอบ

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ยก สถิติตลาดหุ้นที่ทุกๆ 20 ปี ตลาดจะมีการปรับขึ้นแบบแรงๆ หนึ่งครั้ง ถ้าย้อนกลับไปในปี 2536 ตอนนั้นหุ้นไทยทำจุดสูงสุดที่ 1,780 จุด จากนั้นเกือบ 20 ปีมาแล้วเราไม่สามารถกลับคืนไปจุดเดิมได้เลย ถ้ามองภาพใหญ่มีโอกาสอย่างมากที่จะกลับไป (ทะลุ) จุดนั้น

“ผมคิดว่า SET จะทำลายจุดสูงสุดเก่าแน่นอนและจะไปได้ไกลกว่าเดิมด้วย ถ้าวิเคราะห์ว่าตอนอยู่ที่จุดพีคเดิม (มกราคม 2537) ตอนนั้นประเทศเรามีหนี้จำนวนมากแต่ตอนนี้ธุรกิจเราแข็งแกร่งกว่าเดิมมาก ส่วนจะเป็นเมื่อไรคงบอกเวลาไม่ได้”

ส่วนตัวคิดว่าในยุคนี้วิกฤติอาจจะมาเร็วกว่าเดิมเพราะเศรษฐกิจยุคใหม่มัน เชื่อมโยงถึงกันมากขึ้นและเร็วขึ้นด้วยข้อมูลข่าวสาร เป็นไปได้ว่าอาจจะมาทุกๆ 5 ปีก็ได้ แต่นี่คือ "โอกาสรวย" เพราะเมื่อหุ้นขึ้นมาถึงจุดหนึ่งแล้วจะเกิดฟองสบู่แน่นอนต้องเข้าใจว่าใน ตลาดหุ้นมันมีทั้ง "ความโลภ" และ "ความกลัว" อยู่ในนั้น เมื่อใดที่นักลงทุนมีความกล้าเมื่อนั้นแหละตลาดมันจะพังเอง

“ตอนนี้ผมกำลังรอให้เกิดฟองสบู่ ถ้าเกิดเมื่อไรจะออกจากตลาดหุ้นทันทีแล้วรอเข้าไปซื้อรอบใหม่ รอบนี้ผมอาจจะไม่รวยมากนัก วิกฤติครั้งแรกถือว่าเป็นแค่การเรียนรู้แต่เชื่อว่าครั้งหน้าผมอาจรวยขึ้น 8 เท่าก็เป็นได้”

เจ้าตัวรีบออกปากว่าอย่าเพิ่งคิดว่าอะไรๆ จะง่ายเสมอไป ส่วนตัวคิดว่าชีวิตการเป็นนักลงทุนมันไม่มีคำว่าสำเร็จในชั่วข้ามคืน ถ้าใครรวยอย่างนั้นได้อย่าคิดว่ามันจะยั่งยืน การสร้างความมั่งคั่งมันง่ายแต่สิ่งที่ยากกว่าคือการรักษามันเอาไว้

สำหรับเป้าหมายในภาพใหญ่ วีไอหนุ่ม สรุปสั้นๆ ว่า อีก 20 ปีข้างหน้า "ผมจะรวยมหาศาล" ตามแนวทางที่ได้บอกไว้ ระหว่างนั้นอยากที่จะสร้างความรู้ด้านการลงทุนให้กับคนรุ่นใหม่กลุ่ม Gen Y ให้คนไทยฉลาดที่จะลงทุนไม่ตกเป็นแมลงเม่าง่ายๆ เจ้าตัวฟันธงว่าใครก็ตามที่สามารถอยู่รอดในตลาดหุ้นได้นานถึง 20 ปี รับรองรวยแน่ๆ

“ผมคิดว่าการเป็นวีไอคือการปลูกต้นสักหนึ่งต้นต้องใช้เวลา 20 ปี ให้มันค่อยๆ โตไป แต่ถ้าคุณรักจะปลูกถั่วงอก (เล่นเดย์เทรด) มันอาจมีอายุแค่ 1 วันก็ตายแล้วมันไม่มีความแน่นอน เอาว่าอีก 20 ปี ค่อยมาสัมภาษณ์ผมใหม่ว่าที่พูดไว้จะเป็นจริงได้ไหม”
ก่อนจากกัน ภาววิทย์มองภาพตลาดหุ้นไทยตอนนี้ (ใกล้ๆ 1,100 จุด) "ไม่ถูก-ไม่แพง" คืออยู่กลางๆ คนที่ยังไม่ได้ซื้อหุ้นเลย "ยังไม่สายเกินไป" แต่ต้องมองระยะยาวต้องใช้กราฟเทคนิคช่วยตัดสินใจด้วยเพื่อที่จะขายให้ได้แพง กว่า

"จากตอนนี้ (เมษายน) ถึงสิ้นปี 2554 ผมฟันธงว่าหุ้นจะต้องมีช่วงตกแรงอีกครั้งหนึ่ง"

๐ แบบทดสอบคุณเป็น 'แมลงเม่า' รึเปล่า!

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ให้ ความเห็นว่าถ้าคุณไม่ต้องการเป็น “แมลงเม่า” ในตลาดหุ้น จะต้องฝึกเป็นนักลงทุนแบบ “ชาวสวน” อย่าเป็น "ชาวไล่" (ราคาหุ้น) สาเหตุที่ลงทุนผิดพลาดเพราะคนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นมักจะซื้อหุ้นที่ไม่ควรซื้อ (หุ้นพื้นฐานไม่ดี) และซื้อในเวลาที่ไม่ควรซื้อ (หุ้นวิ่งสูงมากแล้ว) และชอบขายหุ้นที่ดีในเวลาที่ไม่ควรขาย (ขายหมู) นี่คือเหตุผลที่ลงทุนแล้วไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุด

ตัวอย่างเช่นถ้าหุ้นตัวหนึ่งราคาวันแรกตกไป 10% ก็ยังไม่ Cut Loss วันถัดไปตกต่อก็ไม่กล้า Cut Loss สุดท้ายพอตกลงไปถึง 40% ก็ยอมขายขาดทุนออกมา พอขายเสร็จไม่นานหุ้นจะขึ้นหลังจากนั้นเป็นประจำ แต่พอตลาดตกแรงๆ ก็ไม่กล้าซื้อเพราะกลัวจะลงไปอีก พอซื้อแล้วลงต่อก็ไม่กล้าเข้าไปซื้อเพิ่ม สุดท้ายไม่เคยซื้อหุ้นได้ในราคาถูกเลย

ถ้าคุณเป็นอย่างที่ผมบอกคุณคือ "แมลงเม่า" อีกกรณีหนึ่งคือแมลงเม่าจะทนเห็นตลาดหุ้นขึ้นแรงๆ ไม่ได้จะต้องมองหา "หุ้นที่ยังไม่ขึ้น" แล้วเข้าซื้อเพราะไม่อยาก “ตกขบวน” ผลคือมักจะไปได้หุ้นที่ไม่ดีในราคาที่ไม่ถูกมาเสมอ แทนที่จะเอาเงินไปซื้อหุ้นดีๆ ที่ราคายังไม่แพง

“สรุปคือถ้าคิดจะประสบความสำเร็จในตลาดหุ้นคุณต้องเป็นคนส่วนน้อย (ชาวสวน) ในตลาด”

วันเสาร์ที่ 23 เมษายน พ.ศ. 2554

คอร์สสัมมนาหุ้น S2M “คืออะไร เปิดทำไม.. เพื่ออะไร(จ๊าก)!!”

ที่มาของคอร์สสัมมนาหุ้นของ stock2morrow ก็เกิดจากร้านกาแฟ แต่เที่ยวนี้ไม่ใช่ร้านกาแฟ Starbucks แต่เป็นร้านกาแฟของ Stock2morrow ที่ตึกชาญอิสระนี่แหละ.. “มีคนบอก บ้าหรือ!! เปิดร้านกาแฟ ในตึกทำงาน … เราก็นั่ง ฮ่า ฮ่า -- ทำไมอ่ะ จะเปิดอ่ะ อย่างเกาหลีเขายังเปิดได้ทุกท่ีเลย บางทีกลางทุ่ง จากนั้นเอาหนังมาถ่าย กลายเป็น แม่เจ้า!! กาแฟในตำนาน กลางทุ่งแห่ง หนังโรแมนติก ..คาวรักกาแฟเดือด!! …อะไรประมาณนั้น..หุ หุ”

“นั่นแหละที่มาของคอร์สสัมมนา” ..ร้านกาแฟ …เอาจริงๆเลย..คือ ผม กับ ป๋ากิ้ง มานั่งคุยกันว่า ..นักลงทุนเมืองไทย มันเป็นอะไรที่ลึกลับและมืดมาก ..สมัยก่อนใครเล่นหุ้น จะกลัวกล้อง “ห้ามถ่ายนะ ห้ามถ่าย..เดี๋ยว วิ่งไปเอาผ้ามาคาดตาก่อน.. โอเค!! ถ่ายรูปผมได้แล้ว” -- แม่เจ้า!! อะไรจะ ลึกลับขนาดนั้น

พูดก็พูดเถอะ “การลงทุน & เล่นหุ้น” เดิมทีเป็นศาสตร์ที่ลึกลับ ใครจะเรียนต้องไปนัดกันมืดๆ คุยกันเบาๆ .. “โอเค !! จ่ายมาแสนนึงเดี๋ยวผมจะถ่ายทอด Trendline เทพ และ Elliot Wave ให้นะ.. ถ้าผ่านขั้นแรก จ่ายมาอีก 2 แสนเดี๋ยวจะถ่ายทอด …เคล็ดลับ Technical กระตุกวิญญาณ -- กำไรชัวร์ๆ …แต่อย่าลืมล่ะ มีอีกวิชานึง อันนี้ 5 หมื่นบาท เรียนวันเดียว เป็นเทพเลย” -- สรุปวงการนี้จะจำกัด เฉพาะคนที่รวยแต่โง่ ให้เข้ามากระจุกตัวอยู่ในมุมมืดๆของตลาดหุ้นไทยหรือไงวะ …บ้าฉิบเป๋ง!!

ยุคปล่อยแสงจึงอุบัติขึ้น ..ประมาณว่าครั้งนั้น กองบัญญาการของ Stock2morrow ยังอยู่ในร้าน Starbucks … ป๋ากิ้ง หนุ่มวิศวกร ผู้ทิ้งงานบริหารในบริษัทก่อสร้างยักษ์ใหญ่แห่งแดนปลาดิบ..มาก่อตั้ง Website “Stock2morrow” เมื่อประมาณ 7 ปีก่อน จากชุมชนเล็กๆ ก็ได้รับการตอบรับที่ดีจาก นักเล่นหุ้นระดับหัวกระทิ อย่างป๋าหวัด และ คุณหมอนักโต้คลื่น ที่เข้ามาพูดคุยประจำ ลับเหลี่ยมความคิดกับเพื่อนๆใน S2M – “ความเท่ห์ผมว่า มันอยู่ที่คน คนนึง กล้าที่จะเดินตามความฝันของตัว ..จากนั้น เวลาก็ค่อยๆพิสูจน์ว่า ความคิดที่เขากล้าทำในสิ่งที่หลายๆคนมองว่า มันธรรมดาๆ ให้กลายเป็น สิ่งที่ยิ่งใหญ่ในเวลาต่อมา”

ฮึม!! หลายคนบอกว่า “ก็ยังธรรมดา” -- สงสัยว่า บ้านมันจะเป็น Superman เลยมองอะไรธรรมดาไปหมด..ฮ่า ฮ่า …แต่ก็นั่นแหละ ที่เล่ามาก็อยากจะสื่อว่า วงการลงทุนบ้านเรามันเป็นอะไรที่ Dark มานานมากแล้ว โดยเฉพาะหลังจากปี 1997 ที่เรียกว่า “สึนามิต้มยำกุ้ง” ที่ได้คร่าชีวิตผู้คน และเงินเก็บทั้งชีวิตของคนในยุคนั้น ก็ทำให้ตลาดหุ้นปิดประตูเป็นแดนสนธยาตั้งแต่บัดนั้นเรื่อยมา …จบ… สวัสดี !!

เฮ้ย!! ไม่ใช่.. นี่เพิ่งเริ่มเท่านั้น …ความมันส์สะใจ มันมาเริ่มที่ Starbucks ย่านสีลมเช่นเคย ที่ ภาววิทย์ และ ป๋ากิ้ง ตกลงปลงใจทำ Series หนังสือ การลงทุนของ Stock2morrow เริ่มตั้งแต่ หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค1 ..ต่อมา แกะรอยหยัก ภาค 2 … จากนั้นได้มือดี ด้าน Prop. Trade “หนุ่มพีร์” มาช่วยเขียน 7 เทคนิคฟันกำไรหุ้นเดย์เทรด ที่เรียกว่า เอาเทคนิคทำเงินจริงของตัวเอง มาถ่ายทอดเป็นวิทยาทาน ก็ขายดีทั้งสามเล่ม จนเป็น Best Seller ค้างฟ้าของ SE-ED นานมากๆ ..จากนั้น ก็ Shock Cinema อีกครั้ง เมื่อผมไปดึงตัว “เทรดเดอร์ลึกลับ” ผู้ที่ Trade Commodity ในต่างประเทศ มาร่วมถ่ายทอดประสบการณ์ลงหนังสือ “ฟรีด้อมเทรดเดอร์” …มันกระชากหน้ากาก วงการเหยียบคนจน ของบ้านเรา ที่ไม่เคยให้ความรู้เรื่องที่ชาวนาควรรู้ อย่าง Commodity Trade และ Hedge ผลผลิตทางการเกษตร ..คงกลัวชาวนารวย แล้วคุมเสียงเลือกตั้งไม่ได้ “โคตรไดโนเสาร์เลย พวกบ้าพวกนี้”

คือประมาณว่า หนังสือ 4 เล่มแรกของ Stock2morrow ที่ออกมา มันได้เปิดประตูของโลกการลงทุนที่เคย มืด Dark มากๆ ให้เริ่มสว่างขึ้น ..การเป็น Best-Seller ของหนังสือทั้งสี่เล่ม มันได้ทำให้คนรุ่นใหม่ รุ่นเก๋า และรุ่นเก่า เริ่มหันกลับมาสนใจเรื่องการลงทุนในรูปแบบที่จริงจัง… เดิมทีการลงในยุคก่อนของตลาดหุ้นไทย มันไม่ได้มีเทคโนโลยี และ การเปิดเผยข้อมูลเหมือนในปัจจุบัน จึงเป็นการวิ่งแห่ ตามความหวือของหุ้นแต่ละตัว และข่าวลือ … 30 ปี ที่เริ่มก่อตั้งตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย ก็เพิ่งปัจจุบันนี้และ ที่คำว่า CG หรือ Corporate Governance เริ่มเข้ามาเพิ่มความสว่างให้ การบริหารและข้อมูล ซึ่งมันเป็นผลดีต่อนักลงทุน “เยี่ยมมาก ..คุณและผม ที่เล่นหุ้นในยุคนี้โชคดีจริงๆ”

ว่าแต่..ที่ว่าโชคดี มันมีสิ่งหนึ่งที่ไม่เคยเปลี่ยน ..นั่นคือ ไม่ว่าจะยุคไหน ไม่ว่าโบราณ หรือ โปร่งใส ..คนที่ประสบความสำเร็จจากการลงทุนในตลาดหุ้น มีเพียง “หยิบมือ” ..คือประมาณ 20% ของคนเล่นหุ้น ที่จะรอดอยู่ได้ และ ไม่ถึง 10% ที่จะมีกำไรอย่างสุดโต่ง ..นอกนั้น “ซวยแตก ..เจ๊ง …ผูกคอตาย” …สิ่งที่ผม และ ทีมงาน Stock2morrow พบก็คือ “วิธีคิดของคนส่วนใหญ่ที่เข้าตลาด มันผิด!! และถ้าวิธีคิดผิด มันคือ การตอกฝาโลงตัวเอง ตั้งแต่ก้าวขาเข้าตลาดหุ้นแล้ว… เจ๊งแน่นอน!!”

ดังนั้น ความท้าทายที่เกิดขึ้นในชุมชน S2M “เนื่องจากเราเป็นศูนย์รวมของนักลงทุนรายย่อย ที่มีทั้งคนเก่ง คนไม่เก่ง คนบ้า และ ขำขำแบบผม..ฮ่า ฮ่า --- ก็ทำให้พวกเรามานั่งคุยกันว่า น่าจะทำหลักสูตรการสัมมนาที่มันดีอ่ะ ..แบบว่าวางอยู่บนหลักการและ Logic ที่เรียกว่า ของจริง!! (นี่แหละที่มาของ หลักสูตรสัมมนา S2M … ตั้งอยู่บนปัญญาและความ Make Sense)

“Make Sense” คืออะไร ..ก็คือ การวางองค์ความรู้และการถ่ายทอดเรื่องการลงทุน อยู่บน “ความจริง” ไม่ใช่ความเชื่อ ล่องลอยแบบที่ว่า Technical อันนี้เรียนแล้วจะเป็นเทพ ไม่มีทางขาดทุน …คือ พูดก็พูดเถอะ มันไม่มีหรอก Technical เทพ หรือวิชาเทพ แต่จริงๆแล้ว ความสำเร็จของคนที่สามารถ Survive อยู่ในตลาดได้ในระยะยาว และ สร้างความมั่งคั่งให้กับตัวเองและครอบครัว ก็คือ คนที่เข้าใจตัวเอง และ เข้าใจหลักการลงทุนของตัวเอง -- แบบจุดยืนชัดเจน ไม่โอนเอน เหมือนนักลงทุนส่วนใหญ่ ที่เราเรียกว่า “แมลงเม่า”

ดังนั้น มันไม่ง่ายเลย ที่ใครสักคนนึงจะสามารถเข้าใจตัวเอง และ เลือกแนวทางการลงทุนที่เหมาะกับตัวเอง อย่างชัดเจน “ที่มันไม่ง่าย มันจึงท้าทาย พวกบ้าๆอย่างพวกเรา ทีมงาน S2M ที่อยากจะ ทำให้มันเป็นจริง ..เราต้องการ ออกแบบหลักสูตรการเรียนรู้ ให้มันสร้างปัญญา และ จับต้องได้”

แน่นอน!! กรุงโรม ไม่ได้สร้างในวันเดียว …การที่เราจะวางตัวเป็น สถาบันการเรียนรู้ด้านการลงทุน ที่ Make Sense ที่สุดแห่งนึง ก็ต้องใช้เวลา และ พลังมากมาย ก็เอ้ามาดูกันครับ ว่า เรามีอะไร !!

เริ่มจาก เรามีห้องประชุม ต้องไปหาที่ดีๆมา แล้วเราก็มี อาจารย์ ที่ต้องมีประสบการณ์ในแต่ละแนวทางที่สอน อย่างลึกซึ้ง ..ใช่!! เราไปเอาคนที่ มีประสบการณ์ในแต่ละแนวทางจริงๆ มาสอน ซึ่งแบ่งออกเป็นหลักๆ คือ แนว Fundamental ที่ศึกษาข้อมูล งบการเงิน และ ภาพรวม …. อีกแนวก็คือ Technical Analysis ก็คือ คนที่เอากราฟของราคาหุ้นมาศึกษา และ ทำกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้น

“เฮ้ย!!” ที่บอกว่า Technical ทำกำไรจากการขึ้นลงของราคาหุ้น แล้ว Fundamental ไม่ได้ทำกำไรจาการขึ้นลงหรือ …อะไร ๆ ๆ …แล้วคืออะไร --- อ๊ะ ๆๆ !! ไม่ใช่อย่างนั้น ..คนที่ใช้ Fundamental เป็นหลัก ก็อาจใช้ Technical มาเสริม เหมือนที่หลายๆคนพูดว่า “ Fundamental สามารถใช้ในการเลือกหุ้น (รู้ว่าหุ้นไหน ถูกหรือแพง ..และก็เข้าซื้อเวลาหุ้นถูก) …ส่วน Technical จะเป็นศาสตร์ในการหาจังหวะ และ Timing ในการซื้อหรือขาย --- จะว่าไปแล้วมันก็คือ หยิน หยาง แห่งการลงทุน ที่น่าศึกษาให้เป็นทุกแนว” ..เพราะชีวิตของคนๆนึง จะสร้างความมั่งคั่งได้จากสองรูปแบบ คือ

หนึ่ง คุณใช้เวลาในวัยเด็ก เรียนหนังสือ เพื่อจะได้มีอาชีพ และ งานต่างๆที่เราทำ ก็คือ “การทำงานเพื่อเงิน”
สอง เป็นส่วนของการ “สร้างให้เงินทำงาน” ..ก็คือ ในส่วนของการลงทุนนั่นเอง

จะเห็นได้ว่า ชีวิตของคนส่วนใหญ่ ไม่สามารถหลุดจากกรอบ Rat Race เพราะ เขารู้จักเพียงด้านเดียว ก็คือ “ทำงานเพื่อเงิน …ซึ่งตรงนี้เมื่อคุณหยุดทำงาน เงินก็หยุดเข้ามาเช่นกัน” การที่เราเกษียณอายุที่ 60 ปี แล้วหวังจะนอนอยู่กับบ้านจนถึงอายุ 100 ปี มันแทบจะเป็นไปไม่ได้เลย หากคุณรู้จักแต่การทำงานเพื่อเงิน

ในส่วนของ Stock2morrow เราอยากจะวางตัวเป็น ศูนย์กลางความรู้ทางด้านการลงทุนในส่วนที่สอง นั่นคือ “สถาบันที่สอนให้คุณ สร้างให้เงินทำงาน” …ซึ่งมันไม่ใช่มีแค่หุ้น ..มันมีตั้งแต่ ศาสตร์ของการวางเงินไปใน Asset ต่างๆ ตั้งแต่ ที่ดิน , พันธบัตร , กองทุน , ทอง , Commodity , ตราสารทางการเงินต่างๆ และ แน่นอน หุ้น และ Futures !!

ถ้าจะแบ่งอาจารย์ที่สอนใน S2M ก็จะเห็นว่าแต่ละคน ก็ถนัดในเรื่องของตัวเอง เช่น

ผมเอง จะมองในภาพใหญ่ และจะลงทุนแบบภาพใหญ่ คือ Asset Allocation ที่เลือกวางเงินใน สินทรัพย์ที่เป็น The Winner ในช่วงเวลาที่เหมาะสม ..ตรงนี้ก็เป็นศาสตร์ความรู้คล้ายๆ Fund Manager อย่าง Warren Buffett เพียงแต่เรามองใน Scope ที่เล็กกว่า นั่นคือ “เราดูแลสินทรัพย์ของตัวเราเอง … เงินเราหามายากลำบาก …คุณจะให้ใครดู ..อย่าทำตัวเป็นขันน้ำที่ก้นรั้ว เพราะหาเท่าไหร่ก็หายหมด”

…. อย่างป๋ากิ้ง ก็จะเป็นแนวทาง ของ Entreprenuer ที่ไม่ใช่รู้จักแต่การหาเงิน ..หากแต่ยังรู้จักการลงทุน และ การบริหารเงินให้งอกเงยมหาศาล ในความเสี่ยงที่จำกัด (คือ ตัวเรารับความเสี่ยงนั้นๆได้.. แต่ละคนไม่เท่ากัน )

…. อย่างน้องพีร์ เป็นเด็กหนุ่ม ที่เรียกว่า Daytrade อาชีพ ที่ใช้เงินสถาบันมาเล่น ..ตรงนี้เป็นอีกศาสตร์ที่สามารถสร้างตัวจาก ศูนย์เป็นร้อยล้าน พันล้าน ด้วยข้อแม้เดียว …คุณทุ่มทั้งชีวิตให้กับมันได้หรือไม่!!

….. เทรดเดอร์ลึกลับ เป็นคนหนุ่มที่ทุ่มเท เวลาทั้งหมดให้กับการ Trade for a Living คือ เรียกได้ว่าเป็น Full-time Trader ที่ทำเงินแบบ Salary Man เห็นแล้ว น้ำลายไหล ..แต่ขอบอกว่า ด้วยเวลาและสิ่งต่างๆที่เขาทุ่มให้กับการ Trade มันเป็นทางที่คุณต้อง ทุ่มชีวิตให้กับมันเช่นกัน

… ป๋าปุย นัก Trade รวยป๋า ผู้ก่อตั้ง Blog Technical ชื่อดัง Wave Riders Club ก็เต็มใจเอาความรู้ มาถ่ายทอดแบบหมดพุง …นอกจากนี้ ก็มีอาจารย์ท่านอื่นๆ ที่ประสบความสำเร็จ ในแนวทางของตัวเอง อีกหลายๆท่าน เข้ามาร่วมอุดมการณ์ในการ สร้างสถาบันการลงทุน S2M อีกมากมาย

“ในเมื่อตลาดหุ้นทำให้คนที่มีเงินล้านหมดตัวได้ ในอีกด้านมันก็สร้างคนที่ไม่มีอะไรให้มีเงินเป็นล้านๆ ได้เช่นกัน เพียงแต่ว่า ..คุณจะเลือกเป็นฝั่งไหน” หลายๆคนถามผมว่า “พี่ครับ ..ผมไม่มีเงินจะเล่นหุ้นได้เหรอ.. ผมบอกคุณก็ไปสอบ Single License แล้วไปสมัครเป็น Marketing ซิ ..แค่นี่คุณก็เป็นวงในหุ้น ไม่เห็นต้องใช้เงินคุณเองเลย ..จากนั้น คนมีเงินก็มาขอคำแนะนำจากคุณ -- Marketing สุดฮอต..อะไรก็ว่าไป!!”

ท้ายสุด “ในโลกการเงิน -- เงินมันวิ่งเข้าหาคนเก่ง ดังนั้น คนในอาชีพนี้ไม่ต้องวิ่งหาใคร ไม่ต้องวิ่งเข้าหาโอกาส เพราะ โอกาสในสายอาชีพนักลงทุน ไม่ว่าจะเป็น Fund Manager ชื่อดังต่างๆของโลก เขาไม่ต้องวิ่งหาเงิน ..เงินมันวิ่งมาหาเขาเอง …รับไม่หวาดไม่ไหว แถมเป็นเกม The Winner take all อีกต่างหาก -- คนมีเงินเขาก็ต้องเลือก คนบริหารเงิน หรือ กองทุน ที่เยี่ยมที่สุดในตลาด ..ไม่ใครเขาเอาเงินมาให้คนที่เป็นที่สองหรอก” --- คุณต้องสร้างจากตัว และคุณต้องสร้างตัวเองให้ดีที่สุด “เพราะทั้งหมด คุณสร้างมันเอง” (นี่แหละผมถึงชอบไง … เวทีของโลกการลงทุน คุณสร้างเอง และสร้างจากตัว ไม่หนักหัวใคร..ฮ่า ฮ่า)

อ่านมาถึงจุดนี้ ผมว่าหลายๆคนจะเริ่มมีคำถามว่า งั้นจะเริ่มยังไง “ก็ตอบง่ายๆเลยว่า เริ่มจากตัวเอง!! เริ่มจากการศึกษา พัฒนาความรู้ของคุณเอง ในการ สร้างเงินให้ทำงาน”

(อันนี้ ตัวอย่าง หลักสูตรการลงทุนของ S2M.. ซึ่งจากนี้ไป เราจะพยายามจัดให้ได้ Quarter ละครั้ง โดยจะประกาศวันเวลาและเนื้อหา ให้สมัครกันได้ล่วงหน้า.. เลือกที่อยากเรียน !!)

เริ่มจาก B-01 “แกะรอยหยักสมอง ปูทางสู่ตลาดหุ้น” สอนโดย ภาววิทย์ (ผมเอง) และก็ ป๋ากิ้ง … เนื้อหาก็คือ ตอบโจทย์ “ผมไม่รู้เรื่องหุ้นอะไรเลย แต่อยากลงทุน ทำยังไง” ..ก็นี่แหละ เราเป็น Introduction สู่โลกการลงทุน ว่าแต่ละแนวมีแนวทางคร่าวๆอย่างไร ต้องดูอะไร จากนั้น เมื่อรู้ในแต่ละแนว ก็ต้องรู้ว่าจะก้าวยังไงต่อไป อยากลึกลงไปแนวไหน ก็เลือกเรียน
ผม กับ ป๋ากิ้ง จะเป็นแนว VI ที่ใช้ Technical มาช่วยมองภาพใหญ่ … “พูดง่ายๆผมใช้ Fundamental แบบง่ายๆ เลือกหุ้น พร้อมการมองภาพใหญ่ ..จากนั้นก็อาศัย Technical ในภาพใหญ่ เข้ามาหาจังหวะ หรือ มองใน Cycle ที่ใหญ่ขึ้น” ..หลายๆคนมองว่า เราสองคนเป็น “แนวชิว” คือ ซื้อแล้วทิ้ง -- ก็น่าจะใช่นะ เพราะเราไม่ได้เข้าๆออกๆ แต่สุดท้ายผลตอบแทนมันก็ Speak for itself ไม่ต้องไปอวดใคร ..เก็บไว้ขำเอง ฮ่า ฮ่า

คอร์ส T-01 ถึง T-04 (สี่ครั้งรวด) “เร่ิมจากไม่เป็น จน งง..ว่างั้นเลย” อัดแน่น Technical โดย ป๋าปุย (ผู้ก่อตั้ง Blog Technical ชื่อดัง Wave Riders Club) …ประสบการณ์การ Trade ในตลาดหุ้นมา 8 ปี ตั้งแต่รุ่งจนร่วง และรุ่งใหม่ในยุคนี้ ..ฮ่า -- ความรู้จึงเป็นการเรียงร้อย ประสบการณ์และข้อสังเกต ผ่านมุมมองของคนที่ Trade จริงเจ็บจริง รวยจริง เป็นเวลาที่ยาวนาน … “Technical ก็คือ ความน่าจะเป็น คนที่เข้าใจและรู้จักตัวเอง ..ชิวโลด!!”

คอร์ส S-01 โดย ป๋าหวัด หนึ่งในผู้ร่วมชะตากรรมกับ Stock2morrow ตั้งแต่เร่ิมก่อตั้ง .. ป๋าหวัดคือ นายแพทย์ ที่เรียกตัวเองว่า System Trade “เป็นอาชีพหลัก” ส่วนการรักษาคนไข้ เป็นงานอดิเรก … “ป๋าหวัด …คนนี้มันสมองระดับหมอ ลีลาระดับเซียน” ..ก็ประมาณนั้น

คอร์ส S-02 โดย Wizard Kid (หรือ หนุ่มพีร์) ขานึงคือ Prop. Trade ขาใหญ่ของสถาบันการเงินแห่งนึง ..ผู้เขียนหนังสือ Best-Seller ของ SE-ED ถ่ายทอดวิชาการทำเงินของตัวเอง อย่างไม่กั๊กใน “ 7 เทคนิคฟันกำไรหุ้นเดย์เทรด” ….คอร์สนี้เรียกว่า คุณได้สัมผัสกับ รายใหญ่ตลาดหุ้นที่มานั่งคุยกับคุณ และถ่ายทอดประสบการณ์แบบเป็นกันเอง !! (นี่คือ สุโค่ยมาก …หนุ่มพีร์ กล่าว)

คอร์ส F-01 โดย Thanawat หนุ่มหล่อ เจ้าของประกาศนียบัตรระดับ CFA 2 -- ผู้คร่ำหวอดในอาชีพ การเงิน จะเอาหลักสูตรการวิเคราะห์ Fundamental มาสอน จากเรื่องยากให้มันเป็นเรื่องง่าย …. “วิเคราะห์งบไม่เป็น ..ไม่ต้องกลับบ้าน!!”

หลักสูตร S-05 กับ S-06 ..คุณจะได้พบกับ ผม และ Trader ลึกลับ …ผู้เขียน หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ …มันเป็นการเอาเรื่องที่ลึกลับ อย่าง Commodity ให้คนไทยได้ศึกษา และเรียนรู้ ในแบบนวนิยายผจญภัย “นั่นแหละที่ทำให้หนังสือ เล่มนี้ขายดี ติดระดับ SE-ED Best Seller” ..ลองคอร์สนี้ S-05 จะเอา Trend Trading มาให้เรียนรู้กันระดับเจาะถึงแก่น ความคิด … จากนั้น S-06 จะเอาเคร็ดลับ เพื่อตอบคำถามของนัก Trade มากมายว่า “ผม Trade ได้กำไรต่อเนื่อง แต่ทำไม Port ไม่โต… ผมจะ BreakThrough ประเด็น Port ไม่โตได้อย่างไร” …. “งานนี้ Trader ลึกลับ จะมาแถลงไข ข้อข้องใจ ว่าการ BreakThrough ในแต่ละระดับ Level ของเงิน เช่น จาก Port หลักแสน เป็นหลักล้าน ..คุณต้องมีสิ่งที่เรียกว่า Money และ Portfolio Mangement” และนี่ก็คือ หัวใจของการสร้างความมั่งคั่งในการ Trade หุ้นเป็นอาชีพ --- “การ Trade แบบเปะปะ ซื้อทุกตัวที่มีสัญญาณ มันก็เหมือน คุณวิ่งเก็บเศษเหรียญบนทางด่วน … วิธีการเอาชนะจุดนั้นได้ คือ การจัด Port” …. “S-06 หลักสูตร การจัด Port ที่จะสร้างความตื่นเต้นให้คุณ แบบสุดขั้วหัวไหล่… ฮ่า ฮ่า ฮ่า”

ก็นี่แหละ So far เราก็พยายามรวบรวมยอดฝีมือ มาได้ประมาณนี้ก่อน ..ซึ่งเป้าหมายก็คือ เราต้องการสร้างให้ ผู้ที่เรียน และนำความรู้ไปใช้ อย่างเข้าใจ (ไม่มั่ว) …ก็จะพอมีกิน !! “ถ้าผมทำให้คนเรียน รวยได้ มันคือ ความสำเร็จของ สัมมนา S2M … แต่ที่สุดแล้ว คนที่จะต่อยอดและไปรวยหรือจน มันคือ คุณ (คนเรียน)”

คำถามที่อยากจะฝาก และ อยากจะชี้ สำหรับคนที่ก้าวขาเข้ามาในโลกของการ “สร้างเงินทำงาน” คือ คุณต้องรู้จักตัวเอง …รู้จักตัวเอง !! และ ก็รู้จักตัวเอง !! (นี่แหละ หัวใจของความรวยในโลกการลงทุน ..การเรียน และ เทคนิคต่างๆ เป็นเพียงส่วนประกอบของการเดินทางและความรู้ …ความรู้ต่างๆเหล่านี้ จะไม่เปลี่ยนเป็นปัญญา หากคุณไม่ได้ปฏิบัติและลองใช้มันจริงๆ --- จากนั้นเมื่อความรู้ ไปปฏิบัติ ก็จะกลายเป็นปัญญา … “และเมื่อ ปัญญา + เวลา ก็จะ = ความมั่งคั่งของแต่ละบุคคล”)

ไม่มี Overnight Success ในโลกการลงทุน … ความมั่งคั่งเกิดจาก ความพยายามและความเพียร ในการสร้าง ปัญญา + เวลา ที่สร้างให้คนเป็น ยอดคน !! --- เวทีแห่งการลงทุน และการสร้างเงินทำงาน มันเป็น เวทีที่แต่ละคนสร้างเอง !! --“โชค และ โอกาส มักเกิดกับผู้ที่พากเพียรพยายามเสมอ !!”

ถ้าคุณเข้าใจว่า โลกนี้ไม่มีอะไรได้มาฟรีๆ คุณจะเข้าใจ คุณค่าของความพยายาม และ การให้ …เพราะ ยิ่งคุณให้ คุณก็ยิ่งได้ --- “สิ่งนี้เป็นสิ่งที่ทีม S2M เชื่อว่า เป็นสิ่งที่ทำให้ คนแต่ละคน สามารถประสบความสำเร็จอย่างยั่งยืน และตลอดไป”

… ผมถือโอกาส ประกาศตรงนี้ว่า S2M เราเปิดประตูเสมอ สำหรับผู้ที่ต้องการก้าวขึ้นมาเป็นผู้ให้ และ ถ่ายทอดความรู้และประสบการณ์ ..หากคุณคิดว่า ความรู้ที่คุณมีจะเป็นประโยชน์ต่อคนอื่น ขอเชิญมาคุยกับเรา …. New Economy “ยิ่งคุณให้ คุณก็ยิ่งได้” (ผมพิสูจน์แล้ว และขอการันตีว่า มันจริง!!)

ส่วนผู้ที่สนใจ เข้าคอร์สสัมมนาของ S2M ก็ คลิ๊กดูรายละเอียดการสมัครได้ที่นี่


วันศุกร์ที่ 22 เมษายน พ.ศ. 2554

ออกรายการ Money Channel "เอามาให้ดูกัน"

ที่มา :
เอาสัมภาษณ์จาก รายการ Money Channel ..ช่วงของ News Update โดยพิธีกรคือ คุณ Zap
(ออกอากาศ ประมาณเดือนที่แล้วครับ) ...อันนี้ ตอนที่ 1




จาก รายการ Money Channel ..ช่วงของ News Update โดยพิธีกรคือ คุณ Zap
(ออกอากาศ ประมาณเดือนที่แล้วครับ) ...อันนี้ ตอนที่ 2 (จบ)



หนังสือทั้ง 3 เล่ม โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม (เป็น Best-Seller หนังสือการลงทุนที่ร้าน SE-ED ทุกสาขา... หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านภาค 1 และภาค 2 จะเน้นแนวคิดสำหรับการลงทุน โดยมองปัจจัยพื้นฐานและสร้างแนวคิดในการลงทุนที่เข้าใจแก่นของมัน !! ..ส่วนเล่มแดง ฟรีด้อมเทรดเดอร์ จะเป็นการเจาะ Technical ขั้นพื้นฐาน บวกด้วย Commodity ..ความรู้ในศาสตร์หนึ่งของการลงทุน ที่ประเทศเกษตรกรรมอย่างไทย -- ควรรู้!!)

Download:
FLVMP43GP
Download:
FLVMP43GP

วันพฤหัสบดีที่ 21 เมษายน พ.ศ. 2554

หลุมพลางการลงทุนของรายย่อย "เรื่องรอบ"


"เล่นหุ้นให้กำไร ต้อง อ่านขาด และ อึด ...แค่นี้จริงๆนะ"

วันนี้ผมยก Chart SET มาให้ดูอีกครั้งว่า ตอนนี้ตลาดขึ้นมาอย่างหนัก รายย่อยเริ่มอึดอัดอยากเข้า ..อาจเป็นเพราะร้อนวิชา ..หุ หุ -- แต่ผมอยากจะบอกว่า นี่เป็นเรื่องปกติ ที่ก่อนหน้านี้(ต้นปี 2011) ตอนตลาดตกๆ ผมก็เขียนเชียร์ใน Facebook ช่วงต้นๆปี ให้เข้าไปเก็บหุ้นดีๆนะ (ก็ไม่ค่อยมีใครกล้าเก็บ) ตอนนี้หุ้นดีๆเหล่านั้น ก็ไปกระฉูด.. พอตอนนี้ราคาไปมากๆ ก็จะมีพวกที่อยากจะโดดเข้ามาตอนนี้

.....แต่สิ่งที่น่ากลัวคือ คุณต้องเข้าใจว่าหุ้นขึ้นลงเป็นรอบๆ และในแต่ละรอบมันก็มี "ดอย" ..ซึ่งรายย่อยชอบมาเข้าตอนสูงสุดของทุกรอบ จากนั้นก็ติดดอย จากนั้น รายย่อยก็เริ่มทนไม่ได้ที่หุ้นตัวเองลง ก็ Cut Loss ไป ..และพอรายย่อย Cut Loss เสร็จ ตลาดก็เริ่มขึ้นรอบใหม่ ..สรุป เข้าปั๊บติดดอย ขายหมูปั๊บขึ้น -- นี่คือ วัฎจักรของแมลงเม่าในตลาดหุ้นไทย ที่ผมและ S2M พยายามจะ Breakthrough ทั้งออกหนังสือหุ้น และ ก็จัดสัมมนาต่างๆ ..ต้องการให้เข้าใจตรงนี้แหละ!!

(ดูที่ Chart) ดูจากรอบที่แล้ว ตลาดวิ่งตั้งแต่ June - Nov 2010 ..เราใช้ RSI จับรอบไปด้วยจะเห็นชัดขึ้น ..เวลาตลาด Bullish ตัว RSI จะวิ่งไปทำ Peak ที่จุด 0 (ซึ่งโดยมากจุด 0 จะไม่ใช่ Peak ของราคา แต่มันเป็น Peak ของกำลัง​ "ซึ่งก็คือ RSI" ..นึกภาพคันเร่ง เราเหยียบสุด นั่นคือกำลังสุด แต่พอเราปล่อยเบรครถ ยังมีแรงส่ง ราคาจึงวิ่งไปต่อ แล้วค่อยๆลดลง ..เมื่อราคาลง กำลังลง นั่นคือ ขาลงของรอบ)

...อย่างในปัจจุบันตลาดยังวิ่งอยู่ แต่เราไม่รู้หรอกว่า จะจบรอบหรือยัง จนกว่า มันจะเกิดขาลง -- และนี่คือ หัวใจของ Technical Analysis ที่คนส่วนใหญ่เอาไปใช้ผิดๆ ...มันออกแบบให้เราเป็น Trend Follower คือ ตามรอบ ขึ้นก็ซื้อตาม ลงก็ขายตาม

แต่ประเด็นคือ ต้องซื้อตั้งแต่ เมื่อขึ้นแล้ว และขายเมื่อลงแล้ว --- ดังนั้น ตอนนี้ขึ้นมามากแล้ว ถ้าคุณบอกจะซื้อ ....ผมถามหน่อยคนรู้รึเปล่าว่า Peak ตรงไหน -- ใช่!! ไม่มีใครรู้ ..คุณจะรู้ตาม Technical เมื่อมันลง ..แต่เวลาลง "เมื่อตลาดขึ้นมาแรง ก็จะลงแรง" -- ดังนั้น คนที่ซื้อระหว่างทาง(แมลงเม่า) จะมักติดดอย ก็เพราะสาเหตุนี้ "ดันซื้อตามคนอื่นเมื่อมันขึ้นมาเยอะแล้ว จากนั้น พอจบรอบคนที่เขาเล่น Technical ก็ขายทำกำไร กินกำไรตรงกลางชิ้นปลามัน!! ..ส่วนพวกแมลงเม่า ที่ซื้อตามต้นทุนสูงก็เลยติดดอยเพราะ เวลามันเข้าขาลงแรง ก็ลึกเกินจุด Cut Loss เป็นวงเวียนไปเรื่อยๆๆๆ"

...ผมขอตอบคำถามอีกอันนึง ที่เพื่อนๆถามมาว่า เวลานี้มีหุ้น VI ที่ซื้อได้ไหม ..."ผมตอบเลยว่ามีเยอะแยะ ..ก็หุ้นที่ยังแทบไม่เคยขึ้น แต่ปันผลดีๆสม่ำเสมอ ..พวกนี้ธุรกิจดีจะตาย ปันผลก็ดี เพียงแต่คนไม่เล่น (มันอาจมีข่าวไม่ดี แต่คิดให้ลึกว่าปัจจัยนั้นๆ เป็นภาพลวงตาให้คนส่วนใหญ่มองพลาดรึเปล่า) ..พวกนี้น่ะซื้อได้เลย ..เพราะถึงตลาดปรับฐานมันก็ลงไม่เยอะ เพราะมันแทบไม่ได้ขึ้น เวลาตลาดปรับฐานมันก็ไม่ค่อยลง"

..ช่วงนี้ผมก็เล็งเก็บหุ้นพวกนี้เพิ่มเหมือนกัน ..โดยผมจะเลือกหุ้นประเภทที่คนไม่สนใจนี่ แล้วคอยดูเวลาตลาดปรับฐาน (ซึ่งเท่าที่ดู รอบที่ผ่านมา ราคามันก็แทบไม่ได้ตก ทั้งๆที่ต้นปี ตลาดตกมาก ..และช่วงนี้ราคามันก็แทบไม่ได้ขึ้น ทั้งๆที่ตลาดขึ้นมาก) --- หุ้นพวกนี้แหละที่ผม กำลังจะรอซื้อเมื่อตลาดจบรอบนี้ แล้วปรับฐาน

"จะเห็นได้ว่าวิธีการเก็บหุ้นแบบของผม อาจจะน่าเบื่อ แต่มันก็เป็นวิธี Conservative อย่างที่ผมทำนั่นเอง ... เพราะ Port ส่วนมากของผม เวลานี้ ก็มี Blue Chip พลังงาน ธนาคาร และ สื่อสาร ที่เก็บไว้ตั้งนานแล้ว (ผมไม่ได้ขาย เพราะนี่เป็นหุ้นที่ผมเก็บไปป้องกันเงินเฟ้อที่กำลังก่อตัวนั่นเอง ซึ่งเท่าที่คาดการณ์มาก็ถูกต้อง เพราะผมได้ทั้งปันผล และ Capital Gain ที่น่าพอใจมาก)

... ตอนนี้ผมก็รอตลาดปรับฐาน เพื่อเข้าเก็บหุ้น Second Tier "หรือหุ้นแถวสอง ที่คนไม่สนใจ เพราะหุ้นที่ยังไม่ขึ้น และคนไม่ค่อนสนใจ ..นี่แหละ จะเป็นหุ้นที่ เรียกว่า หุ้นเด้ง ในอนาคต !! ...... ก็ประมาณนี้ครับ ลองดูกันไป

-- การเล่นหุ้น อย่าไปฟังใครมาก ดูตัวเอง และ นิสัยของเรา จากนั้นก็ค่อยๆ ปรับ Port ให้เหมาะกับตัวเรา (อย่าง Port ผมจะถือ Blue Chip เป็นหลัก จากนั้นพวกหุ้นเล็กๆ ที่พื้นฐานดี ก็เป็นหุ้นที่ผมทยอยเก็บเรื่อยๆ จากเงินปันผลที่ได้จาก Blue Chip ..ดังนั้น แต่ละคนก็ควรมีแนวทางลงทุนเฉพาะตัวที่ชัดเจน)

..ความรวยในตลาดหุ้น มันจึงไม่ใช่ Overnight Success อย่างที่คนส่วนใหญ่คิดไง !!

วันอังคารที่ 19 เมษายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์ลง "ถนนนักลงทุน"กรุงเทพธุรกิจ ตอนที่ 1


(คัดมาจาก บทสัมภาษณ์ "ถนนนักลงทุน" หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ วันจันทร์ที่ 18 เมษายน 2554)

'ภาววิทย์ กลิ่นประทุม'.. คิดรวยเร็วถึง 'ล้ม' เคยล้มถึง 'รวย'

หลานปู่ 'ทวิช กลิ่นประทุม' หลายตา 'วิระ รมยะรูป' คิดรวยเร็วถึง 'ล้ม' เพราะเคย 'ล้ม' ที่ออสเตรเลียถึงกลับมา 'รวย' ในตลาดหุ้น เขาเชื่อว่าอีก 20 ปีตัวเองจะรวยมหาศาล

ในสังคมโซเชียล มีเดียและไซเบอร์ สเปซ "แพท" ภาววิทย์ กลิ่นประทุม เป็นที่รู้จักมักคุ้นของนักลงทุนอย่างกว้างขวาง บทความสั้นๆ ของเขาพูดถึงความจริงอีกด้านของเหรียญที่ผู้คนมักนึกไม่ถึง วิธีคิดที่ค่อนข้างหักมุมใช้ภาษาเข้าใจง่าย ภาษาวัยรุ่นเรียกว่า "โดน" ส่งให้หนังสือ "แกะรอยหยักสมอง" ติดอันดับ Best Sellers ทำยอดขายถล่มทลายทั้ง 2 ภาค

ที่สำคัญหนุ่มคนนี้ไม่ได้มีดีแค่นามสกุล ประวัติคร่าวๆ ของเขาเป็น "หลานปู่" อดีตนักการเมืองใหญ่ ทวิช กลิ่นประทุม ผู้ก่อตั้งบริษัท เทรลเลอร์ ทรานสปอร์ต เจ้าของกิจการชิพปิ้งและท่าเรือรายใหญ่ของไทยในยุคหนึ่ง และเป็น "หลายตา" วิระ รมยะรูป ผู้จัดการสาขาคนแรกของธนาคารกรุงเทพ และเป็นมือขวา เจ้าสัวชิน โสภณพนิช รุ่นที่สอง "แม่-ลุง-ป้า-น้า" ทำงานรับใช้ เจ้าสัวชาตรี โสภณพนิช ขณะที่ตัวภาววิทย์เองทำงานรับใช้ "เสี่ยโทนี่" ชาติศิริ โสภณพนิช ที่สำนักผู้จัดการใหญ่

เท่ากับว่าทายาทตระกูลรมยะรูป ทำงานรับใช้ธนาคารกรุงเทพและตระกูลโสภณพนิชมาแล้ว 3 ชั่วอายุคน

กรุงเทพธุรกิจ BizWeek มีนัดสนทนากับ นักคิดนักเขียนนักลงทุนรายนี้ที่สำนักงานเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์อาคารชาญ อิสสระทาวเวอร์ 1 ข้างๆ ตัวเขามีผู้ก่อตั้งเว็บไซต์ "ป้อม" ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา ร่วมวงอยู่ด้วย

“ชีวิตผมเป็นมาหมดแล้วไม่ว่าเจ้าของกิจการ ลูกจ้างแต่ปัจจุบันผมเป็นนักลงทุน” หนุ่มวัย 30 ปี เอ่ยขึ้นเพื่อแนะนำตัวเอง

ภาววิทย์จบการศึกษาระดับปริญญาตรี คณะบัญชีเอกการตลาดจากมหาวิทยาลัยธรรมศาสตร์ จากนั้นไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทที่ประเทศออสเตรเลีย แต่มีเหตุที่ทำให้ “เรียนไม่จบ”

“ตอนนั้นผมไฟแรงมากอยากทำธุรกิจร้านอาหารที่ออสเตรเลียเลยไปกู้เงินกับ ของเงินที่บ้านมาลงทุน ตอนแรกมีสาขาเดียวต่อมารีบเปิดรวดเดียว 5 สาขา 5 คอนเซปต์ แถมยังเปิดโรงงานทำกระจกกับเพื่อนที่นั่นด้วย สุดท้ายเลยไม่ได้เรียน”

เขาเชื่อว่าเวลาไหนที่ชีวิตมันดูดีสุดๆ หลุดจาก Mean (ทางสายกลาง) ไปมากๆ ผมว่าคุณเตรียมพบกับ "ความโชคร้าย" ที่จะเข้ามาเยือนได้เลย สิ่งที่เขาเจอช่วงปี 2007 (ปี 2550) คนออสเตรเลียใช้จ่ายลดลงอย่างฮวบฮาบกิจการของเขาได้รับผลกระทบอย่างแรง เงินทางบ้านเกือบ 20 ล้านบาทบวกกับเงินกู้บริษัทไฟแนนซ์ที่ดอกเบี้ยสุดโหดรวมแล้วเจ๊งไป 30 กว่าล้านบาท

ความคิดจะที่สร้างเครื่องปั๊มเงินหรือ The Money Making Machine ที่ออสเตรเลีย จึงเป็นแค่ "วิมานเมฆ" ช่วงต้นปี 2551 จึงกลับมาทำงานให้ชาติศิริ โสภณพนิช ในส่วนของ Office of President ที่ธนาคารกรุงเทพสู่โลกของความเป็นจริง

เขาบอกว่านี่แหละชีวิตจริง การทำธุรกิจมันไม่ได้ง่ายอย่างที่เรียนกันในตำรา จากที่เร่งเปิดร้านเร็วสุดท้ายต้องปิดหมดเหลือสาขาเดียว มันก็คือ "ร้านแรก" ที่เปิดนั้นแหละอยู่ในเมือง Coffs Harbour ในรัฐนิวเซาท์เวลส์โดยให้แฟนดูแล เขาวิเคราะห์สาเหตุแห่งความล้มเหลวน่าจะเกิดจากจังหวะการลงทุนที่ผิดพลาดและ เน้นโตเร็วเกินไป

"ผมเซ็งที่จะเห็นคนมากมายเอาเงินไปละลายแบบโง่ๆ อย่างผม..ใครสนใจจะเปิดร้านอาหารในออสเตรเลียผมแนะนำให้มาคุยกับผมก่อน"

ภาววิทย์เล่าว่า เหตุการณ์ช่วงปี 2550 เครียดมากเมื่อล้มเหลวจากธุรกิจในออสเตรเลียจึงตัดสินใจกลับเมืองไทย ขณะนั้นในใจเริ่มส่งสัญญาณเตือนว่าอีกไม่นานหุ้นต้องแย่ด้วยแน่นอน จึงรีบบอกให้คุณแม่ซึ่งปกติจะซื้อหุ้นไว้จำนวนมาก อยู่ตลอดเวลาให้รีบขายหุ้นออกมาทั้งหมด จากนั้นแม่ก็มองหุ้นที่ขายไปหลายๆ ตัววิ่งขึ้นต่อด้วยอารมณ์ที่ "เซ็งสุดขีด"

"พอขายหุ้นออกไปทั้งหมด ตลาดยังไม่ตกแรงเหมือนที่คาดไว้แต่กลับวิ่งขึ้นอย่างบ้าคลั่ง เวลานั้นเริ่มคิดเหมือนกันว่าเราพลาด "ขายหมู" ไปรึเปล่า หลังจากตลาดเริงร่าไปจนถึงกลางปี 2551 ในที่สุดสิ่งที่กลัวก็เกิดขึ้นจริงตอนนั้น เลแมน บราเดอร์ส "เจ๊ง" ก่อให้เกิดตลาดหุ้น Crash (พัง) ทั่วโลก หุ้นที่ขายไปบางตัวราคาตกลงไปเกือบครึ่ง บางตัวตกเกินกว่าครึ่ง ตลาดหุ้นทั่วโลกรวมบ้านเราล่มสลายในพริบตา"

เขารวบรวมความกล้าบอกกับแม่ว่าเราต้องเข้า (ช้อน) ซื้อหุ้นช่วงนี้แหละในจังหวะที่ "แย่ที่สุด" อย่างหุ้น BBL ขายไปก่อนที่ราคา 133 บาท แล้วเข้าไปเก็บอีกครั้งที่ราคา 59 บาท จุดนั้นถือได้ว่าเป็นการเริ่มต้นชีวิตการนักลงทุนครั้งแรกอย่างภาคภูมิ

"ช่วงนั้นผมตัดสินใจซื้อแต่เป็นลักษณะการ "เทรด" เพราะคิดว่าตลาดจะตกอีกนานมากๆ พอกำไรก็รีบขายออก ตลอดปี 2552 ตลาดวิ่งไป 60% แต่ผมกำไรแค่ 30%..โง่!! (จริงๆ) แต่เผอิญมันเป็นฐานเงินที่ใหญ่กำไรที่ได้มันจึงทำให้แม่ผมแฮปปี้! ไม่น้อย แล้วรางวัลจากแม่สำหรับการเทรดที่ไม่ค่อยฉลาดนักก็คือ Mercedes Benz รุ่น E200 สีดำป้ายแดง..ผมซวยจากกิจการในออสเตรเลียแต่ก็มาโชคดีจากตลาดหุ้นซับไพร์ ม"

เขาย้อนเล่าว่า เหตุการณ์ที่ "หุ้นพัง" ตัวเองเคยเจอมาคล้ายๆ กับในปี ค.ศ.2000 (ปี 2543) หลังวิกฤติเศรษฐกิจครั้งแรก ราคาหุ้น BBL ลงไปอยู่ที่ 20 บาท ทางบ้าน (ตา,แม่,ลุง,ป้า,น้า) ทำงานอยู่ธนาคารกรุงเทพมั่นใจว่าธุรกิจไม่เจ๊งแน่นอนจึงเข้าไปซื้อหุ้นไว้ ต่อมาราคาหุ้นก็กลับขึ้นมาได้ในที่สุด เหตุการณ์ครั้งนั้นจึงปลูกฝังแนวคิดการเป็นนักลงทุนตั้งแต่นั้นมา

“จริงๆ แล้วผมเริ่มต้นศึกษาเรื่องการลงทุนตั้งแต่ยังเรียนมหาวิทยาลัยโดยมีแบบอย่างมาจากคุณแม่ซึ่งเป็นนักลงทุนที่ชอบคิดสวนทางตลาด”

ถามว่าพอร์ตลงทุนตอนนี้ทั้งของส่วนตัวและของครอบครัวมีอยู่ประมาณเท่าไร เจ้าตัวขอไม่เปิดเผยบอกแต่เพียงว่า “ใหญ่พอสมควร” ส่วนเรื่องผลตอบแทนเขาบอกว่าในพอร์ตจะมีแต่ “หุ้นบลูชิพ” ถ้านับผลตอบแทนตั้งแต่ปี 2551 ราคาหุ้นก็ขึ้นมาเท่ากับดัชนี (ดัชนีต่ำสุด 380 จุดขึ้นมา 1,078 จุด หรือประมาณ 180%)

“ผลตอบแทนผมคงไม่เท่าคนอื่นหรอก อย่างคุณป้อม (เจ้าของเว็บไซต์สต็อกทูมอร์โรว์ที่นั่งฟังอยู่ข้างๆ) เขาทำได้ตั้ง 500% ถ้าใครเล่นหุ้น IVL น่าจะทำได้ 5-6 เท่า หรือ CPF ได้ 8 เท่าสบายๆ แต่ผมเลือกที่จะได้ผลตอบแทนตามความเสี่ยง เสี่ยงน้อยหน่อยก็ได้น้อยหน่อย”

สำหรับไอดอล (บุคคลต้นแบบ) ของนักลงทุนหนุ่มรายนี้คือ วอร์เรน บัฟเฟตต์ ถ้าเป็นคนไทยก็ต้อง ดร.นิเวศ เหมวชิรวรากร เพียงแต่แนวทางอาจแตกต่างไปจากแวลูอินเวสเตอร์ทั่วไป เพราะเขาจะเล่นเฉพาะ "หุ้นบิ๊กแคป" หรือ "หุ้นบลูชิพ" เท่านั้น ปัจจุบันมีหุ้นอยู่ในพอร์ตประมาณ 10 ตัว เช่น PTT, PTTEP, IRPC, BBL, KK และ ADVANC เป็นต้น

“มีคนสงสัยว่าผมไม่ใช่วีไอจริง (ของปลอม) เพราะถือแต่หุ้นตัวใหญ่ที่จริงแล้วหลักการของวีไอคือซื้อหุ้นในราคาที่ถูก กว่าความเป็นจริงโดยดูที่มูลค่าพื้นฐานของกิจการไม่เกี่ยวว่าต้องหุ้นเล็ก หุ้นใหญ่ขึ้นอยู่กับใครนำแนวคิดมาดัดแปลงใช้มากกว่า”

นอกจากเข้าซื้อช่วงหลังวิกฤติแล้ว หุ้นบางตัวยังเลือกเข้า "เก็บ" ช่วงที่เกิด “ข่าวร้าย” แรงๆ อย่างหุ้น PTT เข้าเก็บในจังหวะที่มีข่าวมาบตาพุด จนมีกระแสข่าวว่านักลงทุนญี่ปุ่นจะถอนการลงทุนออกไปทั้งหมด

“ผมมองว่าสุดท้ายมันก็ไม่มีอะไรถ้า ปตท.เจ๊งประเทศก็เจ๊งไปด้วยเลยคิดว่าต้องลองสักตั้ง ว่าแล้วก็เลยตัดสินใจซื้อสวนตลาดไปเลย ถึงตอนนี้ (กำไรเยอะแล้ว) ก็ยังไม่ขายออกมา”

อีกตัวหนึ่งก็คือหุ้น ADVANC สาเหตุที่เลือกลงทุนเพราะเป็นผู้ประกอบการมือถืออันดับหนึ่งของประเทศ มีการบริหารจัดการที่ดี ธุรกิจมีความแข็งแกร่ง ที่สำคัญมีการแจก ESOP ให้ผู้บริหารทำให้มีแรงกระตุ้นที่จะสร้างผลงาน แม้ว่าจะไม่มีการประมูล 3จี แต่เชื่อว่าจะเป็นผลดีด้วยซ้ำเพราะจะไม่ต้องมีการลงทุนหนักกับธุรกิจที่ยัง ไม่รู้อนาคต ส่วนตัวถือเพื่อรับปันผล 10% ต่อปีก็คุ้มค่าแล้ว

“แม้ตอนที่ไม่มีการประมูล 3จี มีประเด็นฟ้องร้องต่างๆ หุ้นตกลงมาผมก็เข้าไปรับไว้อีกเพราะเชื่อว่าอย่างไรก็ไม่กระทบต่อธุรกิจแน่”

ภาววิทย์สรุปให้ฟังว่า เขาเลือกลงทุนหุ้นตัวใหญ่เพราะมัน "ไม่มีทางเจ๊ง" และมีโอกาสเติบโตตามภาวะเศรษฐกิจ เรื่องผลตอบแทนมันเป็นไปตามกฎ High Risk High Return ถ้าคุณเสี่ยงมากก็จะได้ผลตอบแทนมาก แต่ผมเลือกที่จะรับความเสี่ยงแบบพอดี

"การถือหุ้นตัวใหญ่ทำให้เราเสี่ยงน้อยลง และถ้ามีจังหวะดีๆ ที่ราคาตกลงมาก็มีโอกาสเพิ่มจำนวนการถือหุ้นได้อีก มุมมองส่วนตัวคิดว่า "จำนวนหุ้นคือของจริง" ส่วนราคาเป็นเพียง "ภาพลวงตา" เป็นเพียงแค่ตัวเลข คุณมีโอกาสเห็นตัวเลขผลประกอบการที่ดีได้ถ้าบริษัทเติบโตขึ้น แต่ระวังราคาที่เปลี่ยนแปลงอาจทำให้คุณหลงทาง “ขายหมู” ออกมาได้ สำคัญคือดูที่ผลประกอบการแล้วจะรู้เองว่าหุ้นเราดีหรือไม่ดีไม่ใช่ไปดูแต่ ราคาหุ้น"

ปัจจุบันภาววิทย์รับหน้าที่ดูแลพอร์ตลงทุนของครอบครัว แม้น้องสาวที่จบดอกเตอร์ด้านการเงินจากอังกฤษยังฝากให้ดูแลเงินให้ สิ่งที่กำลังทำอยู่เขายืนยันว่าไม่ได้ “เล่นหุ้น” เพราะนั่นเหมือนกับ “เล่นการพนัน” เพียงแต่นำเงินไป "ฝากไว้กับหุ้น" ตอนนี้ตัวเขานำเงินเกือบทั้งหมดที่มีอยู่ไปใช้ชีวิตอยู่กับหุ้น โดยมองหุ้นเป็น “สินทรัพย์” อย่างหนึ่ง และจะไม่ลงทุนอย่างอื่นเช่นทองคำ เพราะทองคำจ่ายปันผลไม่ได้

“หุ้นที่ดีก็เหมือนกับเงินฝากธนาคาร ผมจะถอนเงินออกจากหุ้นต่อเมื่อดอกเบี้ยเงินฝากให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าซึ่งอาจ จะเกิดขึ้นได้อีกแต่ไม่รู้เมื่อไร”

เขายกตัวอย่างวอร์เรน บัฟเฟตต์ที่นำผลกำไรและเงินปันผลไปลงทุนต่อและสามารถสร้างผลตอบแทนทบต้นปีละ 25% สูงที่สุดในโลกส่วนตัวขอยึดแนวทางดังกล่าวเช่นกัน โดยตั้งเป้าส่วนตัวขอผลตอบแทนจากเงินปันผลปีละ 10% ทบต้น

"ดอกเบี้ยทบต้นคือสิ่งมหัศจรรย์อันดับแปดของโลก หุ้นของผมจะยังไม่ขายตอนนี้และจะเอาเงินปันผลที่ได้ไปลงทุนต่อด้วย ขณะที่แนวทางต่างๆ ได้พิสูจน์แล้วว่า เข้าๆ ออกๆ หุ้นบ่อยๆ ไม่ทำให้รวยได้"

สัปดาห์หน้า วีไอหนุ่มจะชี้อนาคตตลาดหุ้นไทย ทำไม! ภาววิทย์ถึงมั่นใจใน Asian Miracle ภายใน 20 ปีข้างหน้า เขาคาดว่า "ตัวเองจะรวยมหาศาล"

------------------------------------------------

เพาะบ่มความคิดที่ 'สต็อกทูมอร์โรว์'

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม กล่าวว่า ช่วงแรกของการลงทุนในตลาดหุ้นสนใจแต่แนวทางแวลูอินเวสเตอร์อย่างเดียว แต่พอได้มารู้จักเว็บไซต์สต็อคทูมอร์โรว์ (ต้องมีค่าสมาชิก) ทำให้ได้เรียนรู้แนวทางการลงทุนในหลากหลายมิติมากขึ้น ยกตัวอย่าง “พีร์” มือ Prop Trade โบรกเกอร์แห่งหนึ่งที่เชี่ยวชาญเรื่องการซื้อขายหุ้นในวันเดียวหรือ "เดย์เทรด" เป็น “เทรดเดอร์ลึกลับ” ที่ชอบเทรดสินค้าโภคภัณฑ์ในต่างประเทศ มาช่วยกันโพสต์บทความที่เป็นประโยชน์ต่อนักลงทุนลงในเว็บไซต์

“เราไม่ได้คิดจะรวมตัวกันตั้งลัทธิหรือทำอะไรไม่ดี (ปั่นหุ้น) แต่เราต้องการให้ความรู้กับนักลงทุนผ่านกิจกรรมอย่างเช่นการเสวนา งานเขียนหนังสือ อีกไม่นานเราจะมีรายการทีวีด้วย”

หลังจากอยู่ในสังเวียนสักพัก ภาววิทย์สามารถชี้ชัดได้ว่าแนวทางการลงทุนในตลาดหุ้นมีเพียงแค่สองแบบ เท่านั้นคือแนวทาง "หุ้นคุณค่า" (วีไอ) มุ่งเน้นที่มูลค่าของกิจการมากกว่าราคาและต้องซื้อหุ้นในราคาต่ำกว่าความ เป็นจริงในเวลาที่คนอื่นกำลังกลัว

อีกแนวทางหนึ่งคือการใช้ "กราฟเทคนิค" เข้าช่วยทำให้เราสามารถรู้ “เวลา” ที่จะเข้าออก สามารถนำมาผสมผสานเข้ากับแนวทางแบบวีไอที่จะวิเคราะห์ได้ว่าราคาหุ้นถูกหรือ แพง

“แนวทางหนึ่งคือการเป็นเดย์เทรดแต่นั่นต้องใช้ความสามารถเฉพาะตัวอย่าง มาก ผมคิดว่าเมืองไทยน่าจะมีเพียงแค่ 1% ที่ประสบความสำเร็จกับแนวทางนี้”

เขาเสริมว่าการอาศัยเทคนิคช่วยวิเคราะห์หุ้น คนที่ใช้แนวทางนี้คือนักลงทุนตามกระแส (Trend Follower) ต้องเข้าใจว่าการใช้เทคนิคอย่างพวกกราฟไม่ได้ช่วยให้เราสามารถซื้อหุ้นได้ใน ราคาต่ำที่สุดและขายออกไปตอนแพงที่สุด แต่ทำให้เรารู้ว่าเทรนด์ของหุ้นจะเป็นอย่างไรจะขึ้นหรือลง ถ้าขึ้นก็ตามถ้าลงก็ถอย

“พูดง่ายๆ คือการใช้เทคนิคเราจะซื้อหุ้นตอนแพงแต่ไปขายตอนที่แพงกว่า กินส่วนต่างตรงกลาง แต่ถ้าเป็นวีไอคุณซื้อหุ้นตอนถูกแล้วไปขายตอนแพง”

ปัจจุบันเว็บไซต์แห่งนี้มีสมาชิกประมาณ 2,000 คน ภาววิทย์เชื่อว่า ถ้าเราเป็น "ผู้ให้" เราก็จะได้รับสิ่งนั้นกลับคืนมา เขาอยากจะเห็นนักลงทุนไทยเพิ่มจำนวนเป็นประมาณ 1 ล้านคน ตอนนี้แค่แสนกว่าคนยังเป็นแมลงเม่า ถ้าตลาดโตขึ้นนักลงทุนน่าจะได้ผลตอบแทนที่ดีกันทุกคน

"ผมเชื่อว่าตลาดหุ้นยังไปต่อได้ ถ้าไม่เข้าตั้งแต่ตอนนี้คุณอาจจะตกรถไฟก็ได้"








วันอาทิตย์ที่ 17 เมษายน พ.ศ. 2554

หัวใจของ New Economy ได้ shift มาที่เวทีที่คุณสร้างเอง!!

(คลิ๊กเข้าไปดูได้ครับ มันทำให้ Blog อ่านได้ง่ายขึ้นเยอะเลย http://pawawit.blogspot.com/view/flipcard#!/)

วันนี้ว่างๆ เลยเข้าไปดู Blogger ว่าเดี๋ยวนี้มีเครื่องมืออะไรใหม่ๆ "ตกใจเลยว่า มันเด็ดมาก!!"
ผมว่าเดี๋ยวนี้ คนทำ Website มืออาชีพ นี่เริ่มจะหากินยากขึ้นทุกวัน เนื่องจาก Website สำเร็จรูป อย่าง Blogger ..มันทำให้การสร้าง Website ส่วนตัว หรือ การมี Blog เป็นของตัวเองมันง่ายจริงๆ

อย่าง Blog ผมนี้ ..ก็ใช้เครื่องมือฟรีของ Blogger ทั้งหมด...มันทำให้ผมมานั่งคิดๆว่า แล้วตกลงอะไรล่ะที่สำคัญในโลกยุคใหม่ .."ก็เนื้อหานั่นเอง ..เพราะสื่อเดี๋ยวนี้ มันฟรีหมด ไม่ว่าจะเป็น Blog ฟรี ...จะโฆษณา Facebook ก็ฟรี ...จะมีทีวีส่วนตัว YouTube ก็ฟรี -- แล้วไปๆมาๆ เครื่องมือฟรีเหล่านี้ นับวันก็พัฒนาดีขึ้นเรื่อยๆเพราะว่า ทุนหนา !! .. Internet 2.0 มันเริ่มแสดงให้เราเห็นแล้วว่า The Winner take all มันเริ่มคืบคลานเข้ามาในชีวิตของเราแค่ไหน

--- (The Winner take all - โลกทุนนิยมปัจจุบัน ผู้ชนะก็ยิ่งจะชนะ และได้โอกาสที่มากขึ้นเรื่อยๆ ..หัวใจความสำเร็จคือ ก้าวแรกสู่การเป็น The Winner ..ซึ่งก้าวแรกนี่ยากที่สุด -- เหมือนที่หลายๆคนพูดถึงเรื่องเงินว่า ล้านแรกหายาก ส่วนล้านต่อๆไปไม่ยากเท่า ...ก็เพราะมันมีก้าวแรก(ใหญ่ๆ)ที่ต้องผ่านนี่แหละ !!)

เดี๋ยวนี้กลายเป็นว่า ...Media มันกระจาย แตกแขนง จนบางครั้งเราเกือบตามไม่ทัน ..แต่สุดท้ายก็หนีไม่พ้นคือ "เนื้อหา" เพราะอย่างปัจจุบัน มีทีวีดาวเทียมเป็นร้อยๆช่อง แต่เอาที่เนื้อหาได้เรื่องจริงๆ ก็หนีไม่พ้น เราก็กลับมาตายรังที่ Free TV อย่างช่อง 3, 5 , 7 ,9 อยู่ดี... แล้วไปๆมาๆ ช่อง Free TV เหล่านี้ ก็เริ่มใช้ Content ที่ตัวเองมี แล้วเริ่มจะกระจายไปยัง New Media ต่างๆ "ก็ไม่แน่เหมือนกันที่หลายคน บอกว่าช่อง 3 และ สื่อเดิมจะตาย ..อาจกลายเป็นสื่อใหม่ๆก็ได้ที่ไม่รอด.. เพราะที่สุดแล้วสิ่งที่ชี้วัดความสำเร็จอยู่ที่คุณภาพของเนื้อหา ที่โดนใจลูกค้ามากที่สุดนั่นเอง"

นี่พูดไปพูดมา ..ตัวผมเองและ Stock2morrow ก็นับวัน จะกลายมาเป็นสื่อย่อยๆ ใน Niche Market นั่นคือ "กลุ่มนักลงทุนนั่นเอง" ..ทุกวันนี้มีเพื่อนๆ พี่ๆน้องๆ ที่เก่งๆทางด้านการลงทุน ก็เสนอตัวมาเป็นผู้ถ่ายทอด ก็นับเป็นปรากฏการณ์ที่ดีมาก ..."เอาเป็นว่า ผมก็ขอเชิญชวน ทุกๆคนที่มีความรู้ความสามารถ ลองหาเวลาว่าง แล้วก็ลองเขียนถ่ายทอดประสบการณ์ของตัวเอง ไม่ว่าจะเป็น มุมของการทำธุรกิจ และการลงทุน มาเผยแพร่แลกเปลี่ยนกัน... ลองดูครับ ยุคนี้ ยิ่งคุณให้ คุณจะยิ่งได้" ..ความรู้ที่คุณถ่ายทอด จะแลกเปลี่ยนเป็นโอกาส --- แต่ทั้งนี้ ต้องทำจริงนะครับ!!"

(อันนี้เป็น Link ที่เป็นประโยชน์ สำหรับ Blogger ..."แนะนำครับ สำหรับคนรุ่นใหม่ ..ใครมีเวลา ลองเขียนลง Blog แล้วถ่ายทอด แลกเปลี่ยนสิ่งที่เรารู้ ..ถ้า Click กัน เราอาจได้ร่วมงานกันครับ" -- ลองดู ขำขำ (แต่ความขำ อาจทำให้คุณโชคดี) -- "โอกาสไม่ใช่เรื่องบังเอิญหรอกครับ ..โอกาสที่ดีที่สุดสำหรับเรา เราต้องสร้างมันเองครับ ..ไม่เชื่อคุณลองดูครับ!!"

จะสร้าง Blog ส่วนตัวเข้าไปที่ www.blogger.com
เครื่องมือฟรี ที่ช่วยให้ Blog คุณแจ๋วขึ้น http://www.bloggerplugins.org
ใครมี Blog แล้วอยาก Promote ให้สร้าง Facebook Fan Pages ครับ http://www.facebook.com/pages/create.php


"ไอ้หนู -- นายคิดว่า คนที่เขาโชคดี และมีโอกาสเข้ามาในชีวิตมากมาย เพราะเขานั่งอยู่เฉยๆรึเปล่า!!"

---"หา!! .. ก็เขา..คงโชคดีมั้งครับ ..ใช่ไหม ...แบบว่า นอนอยู่บ้านแล้วมีคนมาเชิญเป็นนายก หรือ แบบเป็นพนักงาน Office แล้วอยู่ดีๆก็มีคนมาเชิญเป็น CEO -- อะไรแบบนั้นรึเปล่า ..เอ๋!! ผมเริ่ม งง แล้วซิ !!"

"ไม่ใช่หรอก ..โอกาสมันเข้ามาเพราะคุณมีความสามารถต่างหาก ... มีคนเก่งมากมายที่ไม่ได้แสดงฝีมือ นั่นเพราะเขาไม่เคย แสดงให้ใครได้รู้ว่าเขาเก่งไง ...ที่เขาว่า เก่งแล้วกั๊ก มันหมดยุคแล้ว เดี๋ยวนี้ใครๆก็เก่ง ..คนเก่งต้องรู้จักการถ่ายทอด ..และนั่นคือ เวทีที่เขาสร้างขึ้นเอง"

--- โอกาสน่ะเหรอ "คุณสร้างมันเองต่างหาก !!"

วันพฤหัสบดีที่ 14 เมษายน พ.ศ. 2554

FM 101 "ภาค 2 ... คุยกันต่อ"


"วันนี้มาคุยกันต่อ ... เมื่อวานค้างเรื่องของ คุณแพ้ท ไม่เชื่อใน Overnight Success --ทำไม"

-- ก็เพราะมันคือฝัน ที่นำเราสู่ค่านิยมการใช้ชีวิต และ ค่านิยมในการลงทุน ที่ผิดๆ แบบต้องการได้เงินเร็ว .."ซึ่งในความเป็นจริงๆ ถ้ามันง่ายๆอย่างนั้น ก็ดีซิครับ ทุกคนบนโลกนี้จะได้รวยง่าย..แต่!! มันไม่เป็นเช่นนั้น" -- สมัยนี้การติดต่อสื่อสารรวดเร็ว ทำให้คนรุ่นใหม่ (รวมทั้งผม) มีความอดทนต่อสิ่งต่างๆรอบตัวน้อยลง "ประมาณว่า วี๊ดแตก วีนแตก ง่ายๆ ...เล่นหุ้นก็ต้องการได้เงินเร็วๆ..และทั้งหมดคือ -- จุดอ่อน!!"

วะจ๊าก!! ไฉนความเร็วจึงเป็น "จุดอ่อน" ก็เหมือนขับรถเร็ว มันทำให้ถึงจุดหมายเร็วก็จริง แต่ความเสี่ยงในการเดินทางของคุณก็เพิ่มขึ้น และมันเป็นความเข้าใจผิดๆ ที่คนส่วนใหญ่มองตลาดหุ้นเป็นเหมือนสนามแข่งรถที่ต้องใช้ความเร็วขั้นเทพ !!! ...จริงๆแล้ว การลงทุนและตลาดหุ้น มีความเสี่ยงเท่ากับที่คุณมอง "ใช่!! มันคือ วิธีการการเดินทางของคุณ เช่น Day Trade ก็เหมือนขับมอเตอร์ไซค์ ..Trend Follower (Technical)ก็เหมือน ขับรถยนต์ .. VI อย่างผม ก็เหมือนนั่งรถไฟ --ใช่!! คุณอาจจะคิดว่า วิธีไหนมันก็ตายได้ทั้งนั้น แต่!! โอกาสความเสี่ยงมันไม่เท่ากัน อย่างผมเป็น VI เหมือนนั่งรถไฟ เพราะผมลงทุนแบบ "ออมในหุ้น" ดังนั้น ผมไม่ต้องเฝ้าหุ้น ไม่ต้องมานั่งดูรายวัน ก็เหมือนรถไฟ คุณนอนไปนั่งไป สุดท้ายคุณก็ไปถึงจุดหมาย "ข้อแม้เดียวคือ คุณขึ้นรถไฟ ถูกสายหรือเปล่า !! .. จะไปเชียงใหม่ ก็ต้องนั่งให้ถูกคัน ..วิธี VI แบบผม จะวัดว่า เจ๋งไม่เจ๋ง มันเห็นตั้งแต่ขึ้นรถแล้ว ..จากนั้น เมื่อขึ้นถูกคัน มันก็อยู่ที่คุณ ทนนั่งไปถึงจุดหมายหรือเปล่า ..เพราะโดยส่วนมาก คนที่ไม่ประสบความสำเร็จในแบบ VI ก็เพราะคุณกลัว และโดดหนีไปก่อน

การใช้ชีวิต พูดก็พูดเถอะ ..มันไม่มีสูตรสำเร็จ ไม่ว่าวิธีไหน ก็ต้องเข้าใจวิธีการของตัวเอง และมีความอดทน ซึ่งตรงนี้ "ไม่ง่าย!!"

กลับมาที่ประเด็นที่ว่า "ความสำเร็จ" ทุกคนก็มองต่างกัน ..ผมยอมรับเลยว่า ครั้งแรกที่ก้าวสู่โลกแห่งการเป็นผู้ประกอบการ ผมอยากสำเร็จเร็ว..ผมตั้ง Goal ไว้ว่าผมจะ Retire ก่อนอายุ 40 ปี และมีเงิน 1,000 ล้าน ที่สร้างด้วยตัวเอง ...ใช่!! มันเป็นความฝันที่สุดโต่งในเวลานั้น และ ต้องบอกว่า ..มันไม่ใช่ประเด็น !!

เมื่อชีวิตผมผ่านมรสุม ผ่านประสบการณ์การทำธุรกิจ และการลงทุนที่มากขึ้น ผมมาพบว่า จริงๆแล้วเป้าหมาย เช่น Retire 40 มันเป็นอะไรที่ไม่ใช่..อ่ะ --- คุณลองนึกภาพ เด็กหนุ่มอายุ 40 ปี แล้วรวยพันล้าน แล้วนอนอยู่กับบ้าน นั่งแคะขี้มูก ..แล้วว่างๆก็ไปเดินห้าง แล้วก็กลับมาบ้าน.."คุณค่าของความเป็นมนุษย์มันหมด ตั้งแต่วันที่คุณคิดที่จะหยุดจากการทำงาน เพียงเพราะเราทำในสิ่งที่เราไม่ชอบ มันจึงเป็นกับดักที่บีบให้เราพยายามดิ้นให้หลุดจากงานที่เราทำ โดยพยายามสำเร็จให้เร็ว จะได้เลิกทำงานที่เราไม่ชอบ"

.. และนั้นเป็นทางเดินที่น่าสงสาร เพราะประการแรก คุณจะไม่มีทางสำเร็จ ....เพราะการที่คุณไม่มี Passion ในสิ่งที่คุณทำ โดยเฉพาะยุคการแข่งขันที่สุดโต่งอย่างในปัจจุบัน คุณไม่มีทางทำได้ดี และ ไม่มีทางสำเร็จ -- คนที่สำเร็จได้ในยุคนี้ คือ คนที่ชอบทำในสิ่งที่ตัวเองทำ เมื่อชอบ คุณจะทำมันอย่างสุดใจ และนั่นคือ จิตวิญญาณที่คุณสามารถใส่ให้กับสิ่งที่คุณทำ "และคุณภาพของงานคุณ ที่ทำจากใจ ..มันจะออกมาสุดยอด" -- นั่นเป็นเพราะลูกค้าของคุณเป็นคนที่ฉลาดขึ้นไง ..ลูกค้าคุณจึงมักเลือกซื้อในสิ่งที่ดีที่สุดให้กับตัวเอง

สอง ...คุณค่าของคน มันวัดที่ การยอมรับของสังคม ..คนรวยที่ด้อยพัฒนาจะมุ่งแสวงหาแต่การกอบโกยเข้าตัวเอง (บ้านเราเป็นส่วนใหญ่) แต่คนรวยที่สมบูรณ์ แน่นอนเขาโคตรรวย (อย่าง Bill Gates หรือ Warren Buffett) เขาแสวงหาความสุขจากการให้ แต่ให้บนพื้นฐานของธุรกิจ -- ยิ่งให้ เขาก็ยิ่งรวย แต่คนอื่นได้ประโยชน์ !! ..ไม่ใช่ยืนแจกเงินบ้าๆบอๆ เพราะยังไงก็ไม่พอ ...Model ธุรกิจที่ผมว่า น่าศึกษา อย่างในเมืองไทยคือ คุณตัน หลังจากแกขายโออิชิ ก็เริ่มตั้ง Business Model แบบกึ่งการให้ ..และผมว่ามันยั้งยืน

ต่างประเทศเขาเรียกคนกลุ่มนี้ว่า Social Entrepreneur เพราะกิจการของเขาเป็น "ลูกผสม" ระหว่าง การให้ซึ่งตั้งอยู่บน Profit & Loss ของ Business Model "การให้ ที่วางบน Business Model ย่อม ยั่งยืนกว่า เพราะมันเสมือนกับองค์กรสีขาว หรือ สีเขียว ที่ตั้งอยู่ในรูปแบบของ Win-Win คือ คนให้ได้ คนรับก็ได้ ...มันจะดีกว่า การแจกทาน แบบโยนปลาเข้าปาก

มันเป็นกึ่งกลางของการ สอนวิธีจับปลา ซึ่งยั่งยืนกว่า!! ...ผมเชื่อว่า หากธุรกิจที่คุณสร้าง สามารถทำให้คุณรวย โดยที่ระหว่างที่คุณรวย คุณได้สร้างโอกาสให้กับคนอีกเป็นจำนวนมาก -- ผมถึงพยายามพูดเสมอเรื่องของการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" แต่กลบทในการสื่อสารประเด็นนี้ออกมามันไม่ง่าย ..เพราะเมื่อคนพูดออกมาปั๊บ คนจะมองว่า คุณสร้างภาพทันที และนี่คือ จุดที่ผมคงยังต้องขบคิด อีกนานพอสมควร !!

จริงๆแล้ว ถ้าเทียบ คนไทย กับ ฝรั่ง เอาสู้แบบตัวๆ เราชนะฝรั่งนะ ..แต่พอเอามารวมกัน เรากลับแพ้ ..เพราะสิ่งที่เราไม่มีคือ มุมมองของการ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ..การสร้างองค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ มันไม่ใช่ คุณคนเดียว จะเป็นทั้งหมดขององค์กรที่ยิ่งใหญ่ระดับประเทศ ..แต่มันเป็นการสร้างคนต่างหาก ..หากคุณจะยิ่งใหญ่ ..คุณต้องสร้างลูกน้องที่ยิ่งใหญ่ จากนั้น ลูกน้องที่ยิ่งใหญ่ ถึงจะดันให้องค์กรยิ่งใหญ่ ..แต่คนไทย กลายเป็นหัวหน้า อิจฉาลูกน้อง ..ขัดขา ขัดแข้งกันไปมา ..มันเลยไม่ไปไหน

"คุณแพ้ท ..มีคนฝากถามว่าในฐานะที่คุณแพ้ทผ่านประสบการณ์ของทั้งสองด้าน -- ผู้ประกอบการ กับ มนุษย์เงินเดือน ต่างกันอย่างไร"

--ต่างมากครับ ... การเป็นผู้ประกอบการคุณต้องมองสองด้าน ...แต่การเป็นลูกจ้าง เรามองด้านเดียวคือ ตัวเรา ..มันถึงขัดกันตลอด ... แต่ความเหนือมันอยู่ทีีมีอีก ชนชั้นที่เหนือกว่าผู้ประกอบการ ..ดังนั้น ลูกจ้างหรือมนุษย์เงินเดือน สามารถ Upgrade ผ่านผู้ประกอบการไปเลย !! ..นั่นคือ นักลงทุน !!!!! --- ลูกจ้างมองชั้นเดียว ..ผู้ประกอบการมองสองชั้น ..แต่นักลงทุนมองสามชั้น (ไม่ใช่หมูสามชั้นนะ..หุ หุ)

ชั่นที่หนึ่ง ทำงานเพื่อเงิน (ทำไงก็ไม่รวย)

ชั้นที่สอง ให้เงินทำงาน (เอาเงินไปวาง ให้มันเติบโตได้ เขาถึงเทียบผู้ประกอบการกับ นักปลูก นักสร้าง แต่วางอยู่บนพื้นฐานของธุรกิจของตัวเอง)

ชั้นที่สาม อ่าน Cycle ออก ... ผู้ประกอบการยังไง ต้องขึ้นลงตาม Cycle ของธุรกิจ ซึ่งมีขาขึ้นและขาลง ..เวลาขึ้นก็รวยกันถ้วนหน้า เวลาขาลง ผู้ประกอบการก็หน้าซีดกัน เพราะซวยไปตาม Cycle ของธุรกิจ ...แต่นักลงทุน ทำกำไรจาก Cycle ดังนั้น ทุกๆ Cycle นักลงทุนที่เข้าใจ Cycle ก็สามารถหาซื้อของถูก แล้วก็ไปขายแพง "เจ้าของธุรกิจใหญ่ๆ ต้องกอดหุ้นเขาขาลง เพราะเขาเป็นเจ้าของ ..แต่นักลงทุนโยนทิ้งได้ ...จากนั้น ก็มารับของถูก (ผมถึงเห็นน้ำตาของผู้ประกอบการไงล่ะ..อิ อิ) พอหุ้นแพง ผมก็ขายได้ แต่เจ้าของขายไม่ได้ เพราะถ้าขายอาจเสีย การควบคุมของกิจการ ....

ดังนั้น ก็ฝากไว้ ..เวลานายเรานั่งอยู่บนหัวเรา ..แต่ถ้าเราเข้าใจ ..สุดท้ายเราก็ไปนั่งอยู่บนหัวนาย...ฮ่า ฮ่า (ลามปามโคตร..แต่จริง!!) ..ฝึกไว้เถอะครับ การลงทุน ...ทำให้เราฉลาด ไม่ตกยุค และ รวย!!

--- สิ่งที่ผมอยากฝากคือ ใครยังไม่ได้อ่านหนังสือผม .."ไปดูที่ SE-ED ได้ .."..อิ อิ อิ ( 3 เล่มนี้ แหละ ฮา ฮา ได้สาระ!!)


(นี่ใส่ไช่ซะเยอะ เกินกว่าที่ออกรายการวิทยุ FM 101 ซะมากมาย ..อิ อิ ขำขำครับ อย่าคิดมาก)

วันพุธที่ 13 เมษายน พ.ศ. 2554

The "สงกรานต์" ... คุยสดวันนี้เลย!!

วันนี้ผมไปตามบ้านญาติผู้ใหญ่ "ไปรดน้ำดำหัว ขอพร" (ได้ตังค์ ..อิ อิ) .. "ความตื่นเต้น คือ พี่เอ DJ มือฉมัง ผู้ดำเนินรายการวิทยุ ..จากช่อง FM 101 โทรเข้ามาผมอย่างกระทันหัน.. -- "แพ้ท!! สะดวกไหม" ... เออ เออ ..อะไรครับพี่ "เผอิญพี่มีช่วงว่างอยาก เอาแพ้ทมาสัมภาษณ์ คุยกันสนุกๆ ..เกี่ยวกับหนังสือ แกะรอยหยักสมอง & ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ..ช่วงนี้แรง!!" --- "ได้ๆ ครับพี่ จะสัมภาษณ์เมื่อไหร่ดีครับพี่เอ" ... "อีก 10 นาที ..สดเลย แพ้ท โอเคนะ !!" ....ผมก็ "เออ เออ ..ได้ ได้ ครับพี่ ลุยเลย ..อะจ๊าก เอ้า!! ลองดูสัมภาษณ์ทีวีก็ออกมาหลายทีแล้ว ... คราวนี้สดทางวิทยุ ก็คงพอไหวน่า!!"


"สวัสดี คุณแพ้ท ..หนังสือคุณแพ้ท ร้อนมากใน SE-ED .."แถลงไข ที่มาที่ไป ...ลุยโลด!!"

ฮึม!! ที่มาเหรอครับ ..ผมว่า มันมาจากความขำนะ .. แต่ขำแบบมีประเด็น คือ สอดแทรกสาระ และความมันส์ ในประเด็นที่ คนเขาไม่พูดกัน ... เรื่องนี้มันเริ่มในคืนเหน็บหนาว ในออสเตรเลีย .. ชายคนนึงที่ไฟแรงในเวลานั้น "ผมเองแหละ" ...จบจากธรรมศาสตร์ด้วยเกียรตินิยม ก็เลยสำคัญตนผิดในเวลานั้นว่า "ข้านี่ สุดๆ ในประเทศแล้ว ..." (ประมาณว่า อารมณ์ร้อนวิชาในแบบฉบับ คนหนุ่ม Gen Y ทุกคนนั้นแหละ ที่อยากสำเร็จด้วยตัวเอง ..ด้วยอายุที่น้อยในเวลานั้น พกความมั่นใจเต็มกระเป๋า ก็เดินทางสู่แดนจิงโจ้ ...ที่ซึ่งครั้งหนึ่งผมเคยเหยียบมาแล้วในฐานะนักเรียนแลกเปลี่ยน AFS -- แต่!! เที่ยวนี้ ผมไม่ใช่ทูตวัฒนธรรมตัวน้อยอีกต่อไป ..แต่ผมมาในฐานะ คนรุ่นใหม่ไฟแรง ที่กำลังมองหา Opportunity ในการสร้างตัว ในต่างประเทศ!!"

3 เดือนแรก หมดไปกับการเรียนภาษา และใช้เวลาหลังเลิกเรียน ฝึกวิชาการล้างจาน ผัดข้าว และ เก็บเกี่ยวความรู้ให้มากที่สุด ..และนั้นคือ ภารกิจแอบแฝง ที่พ่อแม่ไม่พึงประสงค์ ..ใช่!! ความฝันอยากเป็นเจ้าของร้านอาหารในออสเตรเลีย

"5 ปีผ่านไป" ..ผมกลายเป็นเจ้าของ Chain ร้านอาหารไทย ที่โตเร็วมากในออสเตรเลีย "Sawtell Thai" (คงไม่คุ้นหู นักเรียนไทยที่ไปเรียน เพราะผมใช้ กลยุทธ์ป่าล้อมเมือง ..ก็เลียนแบบมาจาก 7-11 นั่นแหละ) ผมขยายร้านเร็วมาก ด้วยเงินที่ยืมจากทางบ้าน บวกกับเงินกู้จากออสเตรเลีย ผมขยายร้านไปถึง 5 สาขา ..ใน 5 ทำเล ที่ห่างกัน คนละเมือง ..เชื่อมด้วยระบบ POS และ System ที่ผมหมายมั่นปั่นมือจะสร้างให้เป็นครัวไทยสู่โลก (ในใจคิด ..ถ้าสำเร็จ CP ก็ CP เถอะ ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า).. ระหว่างนั้น ร้านอาหารไม่หนำใจ ด้วย Connection ในวงการธุรกิจ ก็ทำให้ผมเข้าไปลงทุนใน โรงงานกระจก ที่กำลัง Grooming Innovation ... Glass Laminating Technology ...(อ่ะนะ!! นั่นแหละ แบบฉบับความบ้า และ ซื่อบื่อ ของคนหนุ่ม -- ผมพูดได้อย่างเต็มปากว่า ..ผมเจอ สึนามิของชีวิต ตั้งแต่ผมยังอายุไม่เข้า 30 ..และ มันคือ ความประมาท ที่ผมได้เรียนรู้หลังจากนั้นว่า ..ธุรกิจ มันไม่ได้เกิด จากที่คุณกระโดดเข้าสู่โอกาส และที่สำคัญมันไม่มี Over Night Success ที่ปูด้วยกรีบกุหลาบ) --- อาณาจักรเล็กๆของผม ในออสเตรเลีย พังแทบไม่เหลือซาก ซึ่งท้ายสุดผมก็รอดมาได้ เหลือเพียงร้านอาหารแห่งสุดท้ายที่ยังคงดำเนินการต่อไป

"และนี่คือ จุดหักเห ที่ผม เดินทางกลับมาหาลู่ทางใหม่ ในประเทศเกิดของผม .. Thailand" ... ช่วงแรกผมกลับมาด้วยความเอ๋อ!! เหมือนบ้านคุณโดนสึนามิอ่ะ .. มึน งง -- พ่อแม่บอกผมว่า "ไม่เป็นไร" (ในใจผมคิดว่า 20 ล้านที่ละลายไป ผมจะต้องเอาคืนให้ได้ ..มันเป็นพันธะ และข้อผูกมัด ที่ทำให้ผม ไม่ตัดสินใจทำอะไรโง่ๆ เช่นการหนี ปัญหาแบบที่นักธุรกิจหลายๆคนทำ เมื่อเขาเสียทุกอย่าง) ... ผมเข้าทำงานในธนาคารกรุงเทพ โดยคุณแม่ ฝากผมให้ทำงานกับ คุณ โทนี่ ..ท่านผู้จัดการใหญ่ธนาคารกรุงเทพนั่นเอง ...คุณโทนี่ ส่งผมเข้าไปฝึกในสายงานต่างๆของธนาคารกรุงเทพ และ ได้เข้าร่วมทีมศึกษากับ Consulting ใน Project "ผมถือว่า เป็นโชคดี ของผม ที่ได้โอกาสนี้ ..เมื่อคุณมีข้อมูล โจทย์ต่อไป คือ ความรู้ จะเปลี่ยนเป็นเงิน ก็ต้องลงมือทำ ..และนี่คือ จุดผลิกพลัน ที่เปลี่ยนผม จาก ผู้ประกอบการ Entreprenuer บ้าคลั่ง ..สู่นักลงทุนในตลาดหุ้นไทย ...แต่น แต่น!! (โอ๋โห!! เล่ามาขนาดนี้ ผมว่าหลายคน ฟังแล้งคงง่วงใกล้หลับเต็มที ..อย่าเพิ่ง!! ความบ้ามันเพิ่งเริ่มต้น..หุ หุ)

"ผม กับ ตลาดหุ้น" ... ผมเองจริงๆ สนใจหุ้นมาตั้งแต่ สมัยเรียนมหาวิทยาลัยแล้ว แต่ก็เหมือนเด็กทั่วๆไป ที่ไม่ค่อยมีเงิน (เที่ยวแหลก) ..พ่อแม่จะไว้ใจให้เอาเงินเขามาลงทุนได้อย่างไร ..."แต่วันนี้ ไม่ใช่!!..ผมดูแล Port การลงทุนให้กับ ทุกคนในบ้าน และที่มันส์คือ มันกำไรน่ะ ...ฮ่า ฮ่า" (ถูกต้อง!! เดี๋ยวนี้ใครๆ ก็พูดว่า ..แหม สองปีนี้ ใครเล่นหุ้นก็กำไรทั้งนั้นแหละ ..."กำไรโคตรๆด้วย ไม่ใช่กำไรธรรมดา" ..ว่าแต่ ..คนที่กำไรหนักๆ มันคือ คนที่เล่นสองปีก่อน ..แต่พอปีนี้ คนมากมายกระโดดเข้ามา ตลาดก็ "สั่งสอนมือใหม่" โชว์การ Side Way ..พูดก็พูดเถอะ ..เดี๋ยวพอทุกคนเริ่มมองว่า ตลาดไม่ไปไหนแล้ว ..จากนั้นเมื่อคนส่วนใหญ่ ถอดใจ ..คงได้เห็นการขึ้นครั้งใหญ่กันอีกหลายรอบ -- ไม่ใช่รอบเดียว หลายรอบ !!! ..แต่คนที่รวย มันคือใคร "นั่นเป็นปัญหาที่ คุณและผมน่าจะมาขบคิดกัน"

ประสบการณ์การทำธุรกิจ ในมุมของ Gen Y ผู้บ้าคลั่ง และ นักลงทุนที่ขายหุ้นทิ้งก่อน Subprime "ถือเงินสด" และ กระโดดเข้ามาเล่นหุ้นในจังหวะที่สุโค่ยมาก .. "ไม่ว่าทั้งหมดจะเป็นความฟลุ๊ค หรือ ไม่ก็ตาม ..มันไม่ได้สำคัญ เท่าส่ิงที่ผม ถ่ายทอดประสบการณ์เหล่านี้ ผ่านตัวอักษร และ ลงมาในหนังสือทั้งสามเล่มที่ออกมา "หนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 1 และ 2" และ ล่าสุด "หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์"

"ทำไมขายดี!!" ..คงแปลกมั้งครับ ..เพราะมันเหมือน Diary ทางความคิดของผม ที่มากกว่าแค่ตลาดหุ้น มันเป็นมุมมองของผม ที่มีต่อชีวิต ทำธุรกิจ และ การลงทุน ... เอาเป็นว่า ผมเชื่อว่า หนังสือทั้งสามเล่ม มันไม่ใช่สุดยอดวิชาอะไร เพียงแต่มันเป็นการถ่ายทอดมุมมอง ที่ผมคิดว่า มันมีประโยชน์ และ กระตุ้นจินตนาการ ให้ผู้ที่สนใจและใฝ่รู้ ในการคิด และ การลงทุนอีกมุมนึง ... "ใครยังไม่ได้อ่าน ก็ลองไปดูๆครับ ..คงมีประโยชน์บ้าง ไม่มากก็น้อย ..บางทีมุมเล็กๆที่ผมกลั่นมา อาจจุดประกายและสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ ให้กับใครก็ได้ที่ใช้มันอย่างถูกทาง"

"แพ้ท!! ฟังแล้ว พี่เอ อยากอ่านหนังสือ แพ้ทแล้วซิ"

"ครับ ..ดีพี่ ..พี่ต้องเสียเงินซะแล้วซิ ..ต้องไปร้าน SE-ED แล้วไปอุดหนุนครับ..ฮ่า ฮ่า(ขำขำ)" ..การอ่านหนังสือ ก็เหมือนการลงทุนแหละ ..เสียก่อน ถึงจะได้ .."ไม่เคยเสีย ก็ไม่เคยได้" "นักลงทุนแบบเสียไม่ได้ หมดตูดทุกราย (สัจธรรม)" ..เออ พูดแล้วหลายๆคน อาจไม่เข้าใจ "เพราะชีวิตผม จักรยานล้มมาไม่รู้กี่รอบ ..ถึงเข้าใจว่า ต้องเสียก่อน ถึงจะได้ ..ต้องให้ก่อน ถึงจะยิ่งได้ ..ทุกอย่างเป็นเหตุ เป็นผล --- หลายคนพูดว่า นักธุรกิจที่ประสบความสำเร็จ น่าคุยด้วย เพราะ "มันลึก" -- แต่จริงๆ แล้วพวกนี้ ผมเข้าใจเขาดี ..ล้มมาจนเละ ..แต่ที่เขายังรอดชีวิตได้ เพราะเขาใส่หมวกกันน๊อก ..ดังนั้น ล้มกี่ครั้งก็ลุกได้"

"เรื่องที่เลวร้ายสุดๆ ในชีวิตคุณ ถ้าไม่มีอะไรแก้ได้ .."เวลา" ก็แก้ได้อยู่ดี --- เพราะเมื่อเวลาผ่านไป เรื่องที่คุณเคยคิดว่ามันเลวร้ายที่สุด ก็กลายมาเป็นเรื่องตลก เรื่องขำขำ ... ชีวิตก็เหมือนหนังเรื่องยาว หากเรามองตัวเองเป็นผู้กำกับหนังเรื่องนี้ -- ผมว่าเรื่องต่างๆมันจะชัดเจนขึ้น ...สุดท้ายขึ้นกับเราเอง ที่เลือกทุกอย่างเอง !!"

.... หนังสือผม ก็คล้ายๆ หมวกกันน๊อคนะ ..ขึ้นกับการมอง ..เอาเป็นว่า สู้ สู้ ละกันครับ !!

(โอกาส ไม่ใช่สิ่งสำคัญที่สุด "หลับตา ก็เห็นโอกาสมากมาย ..ทุกสิ่งรอบตัวที่เราอยากได้ และไม่ได้รับการตอบสนอง ก็คือ โอกาส ... แต่การจะเปลี่ยนโอกาสเป็นความสำเร็จ นี่แหละสิ่งที่สำคัญที่สุด ... เพราะโอกาสที่ดีที่สุด คือ โอกาสที่คุณสร้างจากความสามารถ ที่คุณเป็นคนสร้างเอง --"ตัวคุณเอง ก็คือ โอกาสที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในชีวิต.....ของคุณเอง!!")

วันเสาร์ที่ 9 เมษายน พ.ศ. 2554

เคล็ดลับ!! เล็กๆ ฝากมาจาก "ฟรีด้อมเทรดเดอร์"


"เล่นอุดหนุนกันทุกเล่มแบบนี้ ..ได้ใจเลย..ฮ่า ฮ่า -- งั้นวันนี้เอา เคล็ดลับต่างๆ มาเปิดเผยกัน..อิ อิ"

ฮั่นแน่!! ผมกับ PANDA ลึกลับ ... จะบอกอะไร (มาดูกัน)


ประมาณว่า ใน "หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ เราคุยในเรื่อง มิติของ Technical ที่มันมีถึง 4 มิติ.. แน่นอน Samsung ยังตามเราไม่ทัน เพราะเราลึกไปอีกขั้น..555"

สิ่งที่ผมอยากจะให้ดูเล็ก ๆ ในวันนี้คือ "รอบ หรือ Cycle ที่เชื่อมโยงกับ Momentum หรือ กำลัง" ... พูดให้ซับซ้อน อย่างงั้นเอง จะได้ตั้งใจดูกัน.. อิ อิ (จริงๆ มันไม่ยาก)

มาดู SET กันเลย "การเข้าใจเรื่อง รอบ & กำลัง จะช่วยให้คุณรู้ว่า รอบนี้จะไปต่อหรือไม่นั่นเอง.. ไงล่ะ ตื่นเต้นไหม.." อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า การขึ้นลงของหุ้น ไม่ใช่จรวด ดังนั้น มันจะขึ้นลงเป็นคลื่น เสมือน Wave หรือ ลูกคลื่นมรณะ !! (เพราะรายย่อย หรือ มือใหม่ ชอบเข้า จุดสูงสุดของยอดคลื่น แล้วก็มา Cut Loss ที่จุดต่ำจุดของรอบคลื่น ... และนี่แหละ ที่หลายคนมองว่า ตลาดหุ้นเข้าใจยาก -- จริงๆ ที่เข้าใจยาก มันคือตัวเรา ..เพราะเมื่อเราไม่ศึกษา Technical ให้ดี แล้วอยากมาเล่นสั้น ..ก็แน่นอน!! ซวยครับพี่น้อง)

"ทุกอย่างอยู่ใน Chart" ..ใช่!! มันบอกเราทุกอย่าง .... สิ่งที่ Repeat ที่พูดว่า History repeat itself!! จริงๆ ไม่ใช่ราคา แต่มันอยู่บน กำลัง ที่เราใช้ RSI ดูนั่นแหละครับ ... ที่ผมพูดๆๆๆ ว่ามีรอบ คุณลองดูซิว่า RSI มันแสดงรอบให้เราเห็นเสมอ เมื่อเราขยาย Chart ให้กว้างขึ้น ... จากตัวอย่างที่ยกมา ผมเอารอบใหญ่ อันที่แล้วของ SET มาให้ดู ..ตอนนี้มันก็ฟอร์มตัว สร้างรอบใหม่อยู่!!

สิ่งที่ควรรู้คือ แต่ละรอบของ RSI จะมีจุดสูงสุด เพียงครั้งเดียว ...และจุดสูงสุด มักไม่ใช่ ราคาสูงสุด ดังนั้น!! .. ฮึม!! ตรงนี้เน้นย้ำ.. "ตั้งใจ" -- ดังนั้น ที่หลายๆคน บอกมัน Divergence หรือยัง ก็ดูนี่แหละ ..เขาดูว่าเมื่อไหร่ ที่ราคาขึ้นสูง แต่ RSI ไม่ขึ้นสูงตาม (ที่จุด 3 ในภาพ) มันคือ Bearish Divergence .."นั่นแหละ สาเหตที่ต้นปีที่ผ่านมา ตลาดเข้าสู่โหมดหมี ..ปรับฐานนั่นเอง" (ดูจุด 1 คือ peak ของ กำลัง ..แต่ Peak ของราคามันอยู่ที่จุด 2 "นั่นแหละ กาไว้ หมื่นดาว!!! ..ไปศึกษาครับ")

แล้วที่ถามๆกันว่ารอบนี้ลงจบหรือยัง "ก็มาดู" ... ณ จุดต่ำสุดของแต่ละรอบ ราคา กับ RSI มันก็จะแย้งกัน เกิดสิ่งที่เขาเรียกว่า "แม่เจ้า!! มันขัดแย้ง หรือ หมีกับกระทิง มันทะเลาะกัน..หุ หุ ..เรียกอีกอย่างว่า Bullish Divergence ..นั่นคือ ราคามันพยายามลงต่อ แต่กำลังมันไม่ลง นั่นเอง "แปลว่ามันจะขึ้นแล้วไง""

ดังนั้น ถามว่าจะรู้ได้อย่างไรว่า มันจบรอบหรือยัง จึงต้องรอให้มันผ่านจุดนั้นไปก่อน ...อ้าว!! อย่างนี้จะทำกำไรได้อย่างไรล่ะ -- ได้ซิ!! ลองดูตอนล่าสุด SET ตอนนี้ซิ (ดู Chart ช่วงล่าสุด) ..ตอนนี้ราคากับกำลัง มันยังไม่ทะเลาะกัน มันก็ไปต่อ ที่เรียกว่า Let Profit Run นั่นแหละ --- จะเห็นได้ว่า รายย่อยที่ชอบขายหมู เพราะไม่เรียนรู้ Technical นั่นเอง (อิ อิ ..ใครยังไม่มี หนังสือ ฟรีด้อมเทรดเดอร์ ..ไปซื้อเลยครับ แล้วก็เริ่มศึกษา Technical ..อยากต่อยอดก็มาเรียนรู้กันที่ S2M กับ PANDA ลึกลับ..อิ อิ)


(มาต่อ..หลังจากยิงโฆษณาไปหนึ่ง Shot ..หุ หุ) ดังนั้น คนที่ Let Profit Run ก็เหนื่อยหน่อยนะ ..คงต้องจำใจถือไปเรื่อยๆ ตราบเท่าที่ ราคา กับ กำลัง มันยังไม่ทะเลาะกัน .."เงินเข้า ก็เครียด เงินออก ก็เครียด ...อย่าไปเครียด!! ถ้าเล่นรอบก็ดู Technical เป็นหลัก ..พอมันจบรอบ คุณก็โดดออก ..ตัดอารมณ์ออกไป -- เขาพูดกันว่า คนจะรวยก็ต้องกล้ารวย "นี่แหละที่เรียกว่ากล้ารวย!!"

แล้วที่บอกว่า พวกเล่นรอบเล็กๆคืออะไร ..ก็พวกดู Stoch เห็น indicator ใต้ RSI ของผมไหม "เห็นไหมล่ะ ขึ้นลงทำรอบเป็นเจ้าเข้าเลย ..ดังนั้น เมื่อดูรอบเล็ก ก็อาจทำกำไรได้หลายครั้ง แต่ความผิดพลาดมันก็สูง ..เหมือนมวยแย็บอะ ..แย๊บ ๆ ๆ ๆ ..เจอพี่ไมล์ เข้าที "ตูม!! น๊อค" (นี่เล่าของจริง ให้ฟังเลยนะเนี่ย ..บางคนกำไร สิบรอบ เสียทีหายหมด เข้าเนื้อเลย ..ต้องระวังให้ดีครับ!!)

คนที่ชอบศึกษา Indicator รอบเล็ก ก็หนังสือ Wizard kid นั่นแหละ "7 เทคนิคฟันกำไรหุ้นเดย์เทรด" (ทุกอย่างใช้ได้จริงนะ (เพราะคนเขียนแต่ละแนวมันกำไรจริง ไม่ได้บ้าบอ!!)-- แต่คุณต้องเอาไปลอง แล้วดูว่าแบบไหนที่เหมาะกับ ตัวเรา!!)... จากนั้น ถ้าชอบรอบที่ใหญ่ขึ้นหน่อย ก็ลองอ่าน "ฟรีด้อมเทรดเดอร์" ... ส่วนใคร อ่านเข้าใจในระดับนึงแล้ว อยากต่อยอด ก็มาเรียนกันกับพวกผม คลิ๊กที่นี่ http://www.stock2morrow.com/showthread.php?t=17012

(ค่อยๆศึกษาครับ เราชาว S2M ก็มุ่งสร้าง นักลงทุนที่ตั้งใจจะเป็นนักลงทุนคุณภาพ ...และก็จะค่อยๆ ทยอยออกผลงานดีๆออกมาให้ศึกษากัน ในค่าย stock2morrow นี่แหละครับ ..เดือนหน้า เราก็เริ่มยกระดับ S2M ให้มีคอร์สสัมมนาที่ตั้งอยู่บนแนวทางของเราคือ "ปัญญาและความจริง" ..ไม่มีหรอกครับ ที่ได้เงินง่ายๆ ..คนที่เขากำไรจริง เงินจริง มันต้องกล้าเสีย กล้าศึกษา ให้รู้จริง ...พอรู้แล้วก็เหมือนขี่จักรยาน "เรียนครั้งเดียว แต่ใช้ไปจนตาย" ..โอเค !! ก็สู้ ๆ ครับ

... "พัฒนาและเสาะหา รวบรวมคนเก่ง แล้วถ่ายทอดต่อ สร้างเป็นชุมชุน และ ตั้งอยู่บนหลักการ ยิ่งให้ ยิ่งได้ --ให้ก่อน แล้วเปิดรับ (เตรียมตัวกับการเสีย เสียให้เป็น แต่ใส่หมวกกันน๊อคไว้) ..ผมพูดได้เต็มปาก คนที่เล่นหุ้นทุกคน เคยเสียหนักๆมาแล้วทุกคน ไม่มีอาจารย์คนไหนของเรา ที่ไม่เคยเสีย แต่มันก็เป็น Process ในการเรียนรู้สำหรับผู้ที่ สู้ไม่ถอย ...ถ้าผ่านจุดนั้นได้ ก็คือ มั่งคั่ง ....ก็ค่อยๆเดินไปด้วยกัน --- นั่นคือปฎิธานของเรา ..โย่ว!! S2M ")

วันอังคารที่ 5 เมษายน พ.ศ. 2554

สัมภาษณ์รายการ Intelligence ครับ!!

(คลิ๊กที่ภาพเข้าไปดู ที่รายการ Voice TV ได้ครับ.... "เจาะลึกหุ้น กับ จ๊ากๆ ๆ ...กับ ภาววิทย์")


" แนวโน้มตลาดหุ้นไทยไตรมาส 2

หลังจากตลาดหุ้นไทยสามารถฝ่าระดับ 1,050 จุดขึ้นมาได้ในช่วงปลายไตรมาส 1 ที่ผ่านมา ขณะนี้เข้าสู่ไตรมาส 2 ที่มีหลายปัจจัยเข้ามาเกี่ยวพันกับการลงทุน ทั้งการประกาศผลประกอบการ ความเสี่ยงของเศรษฐกิจโลก ราคาน้ำมันที่สูง จะกระทบต่อการลงทุนมากอย่างไร

รายการ Intelligence ร่วมค้นหาคำตอบทิศทางการลงทุนในตลาด หุ้นช่วงไตรมาสที่ 2 ปีนี้ กับคุณภาววิทย์ กลิ่นประทุม นักลงทุนอิสระจากเวปไซต์ www.stock2morrow.com ที่ให้มุมมอง และแนวคิดการลงทุนที่น่าสนใจ



Produced by VoiceTV

5 เมษายน 2554 เวลา 18:20 น. "

วันเสาร์ที่ 2 เมษายน พ.ศ. 2554

เล่นหุ้น "มีผิดถูก" ด้วยหรือ..!! (จริงง่ะ)


"สัปดาห์ที่ผ่านมา ผมงานเข้าจริงๆ วันจันทร์ Money Channel มาสัมภาษณ์โดยคุณ แสบ รอออกอากาศ วันที่ 6 เมษานี้ช่วงประมาณเที่ยง News Update ..วันอังคาร หนังสือพิมพ์กรุงเทพธุรกิจ คอลัมภ์ ถนนนักลงทุน มาสัมภาษณ์ผม น่าจะออกแผง วันจันทร์ ช่วงประมาณสงกรานต์ ..ในพฤหัส พี่เก๋ จาก Voice TV มาสัมภาษณ์ เตรียมออก Intelligent ช่วงประมาณ 2 ทุ่มกว่า.. พอกลับมาที่ S2M ทางหลักทรัพย์บัวหลวง..คุณน้ำตาล กับ คุณนึก-- มาคุย อยากให้เราเป็น Idol จะจัดงานร่วมกับ ตลาดหลักทรัพย์ วาง Theme "Financial Freedom"(ก็สอดรับกับหนังสือใหม่ ผมเลย อิ อิ Freedom Trader.. อิสระ ๆ)-- ตอบตกลงทันที งานนี้ จัดเต็ม!!"

สิ่งที่น่าตกใจ + ตื่นเต้น มากกว่านั้น ก็คือ พี่เก๋ บอกผมว่าทางผู้บริหาร Voice TV สนใจแนวทาง การถ่ายทอดความรู้ของ S2M (คือ มันตรงดี ไม่มีสร้างภาพ อะไรดีก็บอกดี อะไรไม่ดี ก็บอกไปเลยว่า "ห่วย".. แรงไปไหมนี่).. คือช่วงก่อน คุยกับผู้บริหารของ หลักทรัพย์บัวหลวง เขาสงสัยว่า คนในชุมชน Stock2morrow นี่เกรียนไหม ..."ป๋ากิ้งนี่ ถึงกับ สวนทันควัน..เอ่อ ไอ้ที่เกรียนน่ะ ไม่ใช่ที่ Stock2morrow และนี่แหละคือ สาเหตุที่ ป๋ากิ้ง ก่อตั้ง S2M ขึ้นมา .. เวทีหุ้นแต่ก่อน ไปไหนลึกลับ ต้องปิดหน้า ..ไปเขียนหรือ Comment ที่ไหน ไม่เปิดเผยชื่อ --ก็แน่ล่ะ ที่ไม่แสดงตัวเอง ก็คงมีอะไรแอบแฝง จะปั่นหุ้นจะได้ ไม่โดนจับ แล้วใช้ช่องทางนี้ในการโจมตีคนอื่น ..."อันนี้ผมว่าไป หอแต๋วแตกดีกว่า..หุ หุ"-- ดังนั้น S2M เราจุดยืนชัด ใครจะ post ต้องเป็นสมาชิก ประมาณว่ารู้กันเลยว่าคุณคือใคร ไม่มีเกรียน.."

เอ่อ!! พวกเกรียนบางคนมาโจมตี S2M เราว่า ทำการค้า!! .. "ก็ใช่ดิ นี่ไม่ใช่ รวมตัวการกุศลนะ จะได้ควักกระเป๋าเอง แถมแจกความรู้ไปด้วย ..." ผมเชื่อในหลักการของ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" วันนี้เรารวมคนที่มีความรู้ในแต่ละแนวทางการลงทุน (คัดอย่างดี ว่างั้น) ในส่วนของ "การให้" ก็คือ เราให้ความรู้ ให้แนวทางการลงทุนที่ตั้งอยู่บน ปัญญา ไม่ใช่ความโลภ (แน่นอน เราไม่มีเงินมากมาย ที่จะเอามาแจก(ถึงมีมาก ก็ไม่โง่พอที่จะทำอะไรแบบ ตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ เพราะสุดท้ายแล้วคุณค่าของสิ่งที่ให้ มันขึ้นกับว่า ผู้รับเขาให้ค่ากับสิ่งนั้นๆ เพียงใด!! ..สิ่งที่ให้ได้ก็คือ ความรู้) ..ดังนั้นในส่วนของผู้รับ ..ผมก็มองว่า โลกนี้ไม่มีอะไรฟรีหรอกนะ ..ของฟรีมีแต่แอบแฝงเสมอ ..สุดท้ายก็เจอแก็งค์ตกทอง กลายเป็นเข้าตำรา เสียน้อยเสียยาก เสียมากเสียง่าย ในที่สุด!!

ดังนั้น ผมฟันธงเลย บุคลิคของคนที่จะประสบความสำเร็จ จากการลงทุน และ ชีวิตได้ ต้องเป็นคนที่ ให้ก่อนรับ ...ซึ่งใช่!! มันขัดกับ พวกของฟรีที่เราได้ๆกันมา เพราะนั่นมันคือ รับแล้วโดนหลอกนั่นแหละครับ ..."วันนี้ก่อนจะรับอะไร เราควรถามว่า คุณได้ให้อะไรก่อนที่คุณจะรับหรือเปล่า และนั้นเป็นการหยุดความโลภ ในใจของเรา เพื่อรับสิ่งที่ดีต่อไป" ...การขุดทองจากตลาดหุ้นไม่มีหรอก ..ผมพูดได้เต็มปากเลยว่า อาจารย์หรือผู้ถ่ายทอดทุกคนของ S2M ล้วนเจ๊ง มาจน "กูรู้ชีวิต..ว่างั้นก็ได้" โดยเฉพาะผมนี่ เจ๊งได้ใจเลย แถมมั่นใจไร้สติอีก และสิ่งเหล่านี้ มันจึงเป็นการรวมตัวของคนที่เข้าใจในแนวทางที่เหมือนกัน คือ "ความมั่งคั่งที่ตั้งอยู่บนความจริง!!" (ความจริง -- Demand & Supply.. Business Cycle .. เงินจริงที่ได้.. จำนวนหุ้นดีที่คุณครอบครอง..และอื่นๆ)

ไม่มี Overnight Success "พวกหลักสูตร รวยลัด พวกนั้น ถ้าไม่ใช่แชร์ลูกโซ่ ก็หลอกเสียเงินทั้งนั้น(ถ้ามัน การันตี รวยง่ายๆ 100% คุณว่าจะมีใครบ้ามาถ่ายทอดไหม.. วิธีการอย่าง Technical ก็คือ "สถิติ + ความน่าจะเป็น" เล่นเอามาถ่ายทอดแบบ สูตรเลข ..เจ๊งดิครับ พี่น้อง --อยากเข้าใจแก่นของมัน ไปอ่านเลย หนังสือผม ฟรีด้อมเทรดเดอร์ "อิ อิ โฆษณาแฝงหน่อย!!")

คนที่จะประสบความสำเร็จได้ ต้องพร้อมที่จะลงต่ำได้ก่อน ..อย่าเอาแบบดารา หรือ นักการเมือง หลายๆคนที่ขึ้นสูงก่อน พอลงต่ำคุณก็เห็นแล้วว่า มันเป็นอุทาหรณ์เพียงใด --- ท้ายสุดเงินมันไม่ประเด็นที่สำคัญที่สุดในชีวิตหรอก ผมเห็นพวกที่ เขี้ยวทุกเม็ดกับเงินทุกบาททุกสตางค์ ส่วนใหญ่พวกนี้เวลาเสียที เสียมันเม็ดใหญ่มากๆ

โอโห !! พล่ามยาวเลยผม..หุ หุ (เก็บกดเล็กๆรึเปล่าคุณแพ้ท) ม่ายใช่!! แค่เตือนสติบ้างในช่วงตลาดหุ้นแรงๆ คือ ตอนนี้มือใหม่ที่เข้ามาเล่นเพราะผม ผมเชื่อว่ามีพอสมควร ดังนั้น ผมก็พยายามที่จะให้เพื่อนๆที่เข้ามาลงทุน เพราะผม เข้าใจ ในสิ่งที่ผมเข้าใจ จะได้ไม่ตกเป็นเหยื่อ "ผมมองตลาดทุน เป็น Asset ทางเลือก ซึ่งไม่ต่างกับ Asset ทอง ..ที่ดิน..เงินฝาก.. พันธบัตร.. และอื่นๆ" ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นของเราในปัจจุบัน ให้ผมตอบแทนที่ดี เมื่อเทียบกับ Asset อื่นๆ ก็ย่อมจูงใจให้คนมากมายสนใจที่จะเข้ามาเล่นหุ้น --แต่นี่คือสิ่งที่อันตราย" เพราะในสถิติแล้ว คนที่สำเร็จจากตลาดหุ้นมีเพียงไม่ถึง 20% (เรากำลังพูดถึงคนที่มีความรู้ และมีรายได้พอจะเล่นหุ้นได้ ..นั่นหมายความว่า คุณคือ TOP ของประเทศนั้นๆนะ ..และการที่ีคน TOP ของประเทศ เข้ามาลงทุนแล้ว เจ๊งถึง 80% แสดงว่า มันมีประเด็นอะไรที่เราไม่เข้าใจรึเปล่า -- และนี่คือ สิ่งที่ผมและ S2M พยายามถ่ายทอด นั่นแหละ) --ท้ายสุด สถิติ ความสำเร็จของตลาดหุ้น ก็คงจะไม่ได้ดีไปกว่านี้มากมาย แต่สิ่งที่ผมหวังคือ กลุ่มคนที่สามารถพัฒนาตัวเอง ก้าวผ่านมุมมองแบบเก่าๆ แล้วยกระดับความมั่งคั่งของตัวเอง ..จากนั้นก็ใช้ความรู้ตรงนี้แหละ เปลี่ยนประเทศไทย เปลี่ยนการเมือง เปลี่ยนเศรษฐกิจ

เราไม่สามารถทำให้ คนทั้งประเทศเก่งทุกคน หรือ รวยทุกคน ..แต่เราสามารถหาคนเก่ง และพัฒนาคนเก่งให้รวย ด้วยฐานของปัญญา จากนั้นคนที่รวยด้วยความเข้าใจในเรื่องของ "การให้" จะเข้าใจกลไก การสร้างอำนาจและบารมี ที่นักการเมืองไทย ไม่เคยเข้าใจ .. "และนี่คือ ความหวังของผมและ S2M ..เราจะเปลี่ยนประเทศ จากจุดเล็กๆนี่แหละ" ..ไอ้ส่วนจะทำได้ หรือไม่ได้ ก็ไม่สำคัญ แต่อย่างน้อย ผมก็มีเพื่อนๆหลายๆคน (ที่เก่งโคตรๆ) เดินไปพร้อมๆกัน "ก็ขอลอง สักตั้ง จะเป็นไรไป..."


กลับมาเรื่องที่คุยกับคุณเก๋ ในส่วนของการ จัดรายการใน Voice TV เพื่อคนรุ่นใหม่ที่สนใจการลงทุน ผมว่า "น่าสนใจนะ" ... แต่ในรายละเอียด พวกเรา S2M ก็ต้องมา Work กันใน Detail ว่า เป้าหมาย ของสิ่งที่ทำ กับ อุดมการณ์ของเรา มันใช่หรือเปล่า ..ก็ต้องลอง!! น่าสนุก ...ถ้างานนี้ผ่าน "รอชมรายการ หุ้นกากๆ ..อิ อิ จัดโดย ป๋ากิ้ง(เซียนหุ้นไม่เต็มบาท กับ แท่งหรรษา) ...ภาววิทย์ (นักลงทุนแนวๆ เท่ห์ไหมล่ะ เอิ๊ก ๆ ๆ) ... หนุ่มพีร์ (นักฟัน..กำไร ...ไม่ค้างคืน).. และเชฟหมีแพนด้า (เฮ้ย!! ไม่ใช่ ..อันนี้ เทรดเดอร์ลึกลับ ผู้ใช้ Technical แจ๋วเหมือน ทอดไข่เจียว).. ป๋าปุย (เซียน เทคนิค ผู้อ่านภาพใหญ่ขาด) -- ประหลาดกันทั้งกลุ่ม ...แต่ขอบอก "เจ๊ง กันมาระนาว กว่าจะ มาเข้าอกเข้าใจกัน และร่วมทำงานกัน.." ... ไม่รู้ซิ ใครมีอะไรแนะนำ ในเรื่องของรายการ หุ้นรายสัปดาห์ ก็แสดงความเห็นกันเข้ามาได้นะ เอ้า!! เข้าไป Comment ใน Facebook ผมก็ได้ เผื่อจะมีสาระอะไรเด็ดๆ ที่เป็นประโยชน์ครับ ...ลองดู http://www.facebook.com/pawawitstockcomment

วันศุกร์ที่ 1 เมษายน พ.ศ. 2554

"April Fool Day" ฝรั่งมันหลอกเราหรือเอาจริง !!


"แค่ 3 วัน ... 30+31+1 รวมวัน April Fool Day -- ฝรั่งซื้อสุทธิรวมกันเกือบ 2 หมื่นล้านบาท"... เอาเป็นว่า หลายๆคน งง เป็นไก่ตาแตก โดยเฉพาะ "รายย่อย" เพราะ ขายสวนฝรั่งตลอด !!

ประเด็นคือ เล่นอย่างนี้ใครกำไร "ก็ชัวร์แล้ว Win-Win เพราะรายย่อย ที่เขาเก็บมาตั้งแต่ตลาดตก ก็ยิ้มทำกำไรกันถ้วนหน้า ..จากนั้นฝรั่งก็ อัดดึงดัชนีไปอีก New High ... ดึงไปจนรายย่อย งง จากนั้นพอรายย่อยเริ่มโลภ ก็ถึงตาฝรั่ง เขาเทขายทำกำไรบ้าง.." -- ครับ!! ภาพที่เห็นก็คือ คนละหมัด รายย่อยกินบ้าง จากนั้นฝรั่งก็กินบ้าง ...

แต่ก็มีอีกพวกนึง อย่างพวก VI (ผมก็คนนึงล่ะ) ไม่ได้ขาย ..รอแต่ซื้อเก็บ (เมื่อปันผลมาก็รวมๆไว้ เพื่อรอซื้อเพิ่ม เวลาหุ้นดีๆ ราคาลง) .. "หลายคนถาม ไม่ขายเลย จะได้กำไร ได้อย่างไร" ... "พูดๆก็พูดเถอะครับ ก็ไม่ได้ไง เพราะตราบใดที่เรายังไม่ขาย ก็ยังไม่ได้กำไร ..แต่สังเกตไหมล่ะครับว่า หุ้นดีๆใน Port ผม มันก็ปรับฐานลงตามตลาดทุกครั้งที่ตลาดตก แต่พอตลาดกลับมาขึ้นใหม่ มันก็ทำ New High ทุกครั้ง... พูดง่ายๆว่าหุ้นดีๆ มันลงแล้วขึ้น แต่ราคายกทำ New High ไปเรื่อยๆ" -- ผมโลภหน่อย จะถือไปขายที่ ยอด Wave 3 น่ะ..หุ หุ

"ตรงกันข้าม ถ้าใครช่างสังเกต จะเห็นหุ้นร้อน อีกประเภท (ที่คนส่วนใหญ่ชอบเล่น ..ชอบกันจัง) ... มันทำ All Time High ไปเรียบร้อย จากนั้นมันก็ปรับฐาน ออก Side way ลงนะ ..คือ ขึ้นพร้อมตลาดบ้าง แต่พอลง มันลงแรงตลอด ...แล้วได้ เห็น New Low ไปเรื่อยๆ" --- ตลาดขึ้นก็ขึ้นด้วย แต่ขึ้นนิดเดียว ..พอตลาดลง ก็ลง แต่ลงหนัก-- ระวังให้ดีครับ!!

พูดก็พูดเถอะครับ ตลาดบ้านเราเล็กกระจึ๋งเดี๋ยว (รวมมูลค่าทั้งตลาด ยังเล็กกว่าบริษัท Google เลย ..เล็กมากกก!!) ..ทางเดียวที่จะทำให้ตลาดเราขึ้นทำ New High ก็มีอยู่ทางเดียว "ฝรั่ง" ..ดังนั้นเราย่อมต้องเก็ง ทิศทาง Fund Flow ให้ถูกถึงจะรวยได้ .."ถ้าภาพใหญ่ Fund Flow ไหลเข้าก็บอกได้เลยว่า ภาพใหญ่ตลาดหุ้นไทย ยังไปได้อีกไกล..ไปเรื่อยๆ"

"ตอนนี้ Fund Flow แสดงให้เราได้เห็นแล้วว่า แท้จริงแล้ว เขาก็สนตลาดเรา ที่ฝรั่งขายทิ้งไปเกือบ 4 หมื่นล้าน ตลอด 3 เดือนต้นปี ..เพียงไม่กี่วันซื้อกลับ ตอนนี้กลับมาเป็นซื้อสุทธิเรียบร้อยเกือบ 8 พันล้าน ณ วันที่เรียกว่า April Fool Day --- หลายคนสงสัยว่า ตกลง ไอ้หรั่ง มันหรอกเราหรือเปล่า" ... ไม่หรอกครับ ฝรั่งเขา ไม่เอาเงินมหาศาล มาบ้าบอ ถ้านี่ไม่ใช่สิ่งที่เขาสนใจจริงๆ เพียงแต่โจทย์ของ กองทุนฝรั่ง มันไม่ได้ง่ายเหมือนที่ รายย่อยอย่างท่านๆเราๆ -- เขาต้อง Move เงินก้อนใหญ่มหาศาล ..ดังนั้น การเทเงินเข้าตลาดอย่างบ้าบอ ในทิศทางเดียว ย่อมทำให้ตลาดนั้น ราคาขึ้นเป็นจรวด "ซึ่งทำไม่ได้"

การจับทิศทางของ Fund Flow จึงต้องเข้าใจว่า "เข้าเขา แล้วออก ..เข้า แล้วออก ..เข้า แล้วออก -- สรุปทุกครั้งที่ตลาดออก เงินที่เขาอยู่สุทธิ มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ หรือเปล่า ... ถูกต้อง!! มันเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ... นั่นแหละที่มาของคำพูดเพี้ยนๆของผม "ราคาหุ้น คือภาพลวง ..จำนวนหุ้นดีที่คุณถือซิ คือ ของจริง" ... กองทุนที่เงินขนาดใหญ่ต้องเล่นในภาพใหญ่เสมอ "คงไม่มีใครที่อยากเป็นคนที่ เข้าบ่อนเล่นชนะวันละนิด แต่วันสุดท้ายก่อนปิดบ่อน เรากลับเสียหมดตัว และเอาคืนไม่ได้...อย่าให้มันเกิดอย่างนั้นกับท่านละกันครับ --ต้องมองภาพใหญ่ให้ออกด้วยนะครับ..สำคัญมาก!!"

ผมเอาภาพใหญ่ Technical มาฝากบ้าง (ใช้ Chart Month "แท่งละเดือน")... (ในภาพหุ้น SET ตั้งแต่ เปิดตลาดจนปัจจุบัน) เรากำลังอยู่ที่การปรับฐานเล็กๆเพื่อขึ้นของภาพ Wave 3 ใหญ่ยักษ์) ...หลายคนถามว่า จะรู้ได้ไงว่า Wave 3 ใหญ่ยักษ์ จะไปจบที่ไหน ก็ลองเอา RSI มาจับจะเห็นได้ว่า ณ ตลาดปัจจุบัน RSI ในปัจจุบันยังไม่ Peak เลย ..แถมยังต่ำกว่า Rally ปี 2003 ด้วยซ้ำ -- ดังนั้น ในภาพใหญ่ SET จะวิ่งไป ปรับฐานไป แล้ววิ่งต่อไป และก็ปรับฐานไปเรื่อยๆ จน RSI มันขึ้นไป Peak นั่นแหละครับ ถึงจะจบ Wave 3 ใหญ่ยักษ์ เพื่อรอเข้า Wave4 และ 5 ต่อไป .... "เอาเป็นว่า ค่อยๆดูไป .. วันนี้ตลาด ปรับฐานเสร็จก็ขึ้น ..จากนั้นก็ต้องมีปรับฐานไปเรื่อยๆ"

คำถามเด็ด คือ "หากคุณรู้ว่า ทุกครั้งที่ปรับฐานแรง มันเป็นโอกาสที่ตลาดจะขึ้นไปทำ New High ในครั้งต่อไป --- ทำไมคุณไม่ซื้อล่ะ!!" ...... "ลงซื้อ!!" (ส่วนพอหุ้นขึ้น จะขายทำกำไรบ้าง หรือไม่ ก็แล้วแต่!! ... แต่ลง ซื้อ...หุ หุ หุ)

วลีเด็ดวันนี้ "หุ้นดีลงแรง ซื้อแหลก... หุ้นห่วยเด้งขึ้นมา ขายทิ้งซะ" (สำคัญสุด ลองวิเคราะห์ หุ้นที่ท่านถืออยู่ว่า เป็นหุ้นดี หรือ หุ้นห่วย.. ถ้าเข้าใจมัน รวย แน่นอน!!)

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ