แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 31 มีนาคม พ.ศ. 2559

เกลียดเงิน ต้องรีบชนะเงิน


'เกลียดเงิน ต้องรีบชนะเงิน'

ได้วิธีคิดนี้มาจากเศรษฐีท่านหนึ่ง ..ซึมซาบเข้าไปในหัวใจ -- 'ท่านว่า ถ้าเกลียดเงิน ต้องรีบชนะเงิน'

(เกาหัว สองครั้ง ..ถามท่านว่า ยังไงอ่ะครับท่าน?)

ท่านบอกว่า ทุกวันนี้เรื่องเงินมันแทรกอยู่ในทุกย่างก้าวของชีวิต ทุกคนทำงานกันหนักสุดๆ ขายเวลาแลกเงิน ..ครอบครัวพัง ..ความสัมพันธ์เสีย ..ลูกเสียคน ..ก็เพราะขายเวลาทั้งหมดแลกเงินนี่แหละ

คนที่ไม่ขายเวลาแลกเงิน มีแต่คนชนะเงินเท่านั้นแหละ ..คนชนะเงินไม่ได้หมายความว่าต้องรวยนะ เพียงแต่ คนชนะเงิน เขาวางแผนชีวิตไม่เหมือนคนส่วนใหญ่

คนชนะเงิน เขาทุ่มสร้างเครื่องผลิตเงินให้เร็วที่สุด จากนั้น พอมีเครื่องผลิตเงิน ชีวิตหลังจากนั้นเขาเหนือเงิน ..ชนะเงิน ..เครื่องผลิตเงินทำงานให้เขา

'แผนการชนะเงิน ต้องเริ่มทำตั้งแต่ยังไม่มีเงิน ..เหมือนฝึกว่ายน้ำ ต้องฝึกก่อนจมน้ำ ..แต่คนส่วนใหญ่พอจมน้ำ ปุ๋งๆ ๆ แล้วก็โผล่ขึ้นมาสั่งเสียว่า รู้งี้เรียนว่ายน้ำ ก่อนจมน้ำดีกว่า!!'

ว่าแล้ว 'ร่างอันงดงามของเขาก็ค่อยๆ จมน้ำไป !!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 30 มีนาคม พ.ศ. 2559

วิชาซึมซับพลัง Creative


'วิชาซึมซับพลัง Creative'

พอดีมีนัดคุยกับเจ้าพ่อ Creative เมืองไทย 'เสี่ยเมฆ' เลยมาก่อนเวลามาสั่งกาแฟ ที่ Office ของ Index Creative

ที่แห่งนี้เป็นตึกทันสมัย อยู่กลางซอยปรีดี ย่านสุขุมวิท ..'ผมก็สงสัยว่า บริษัท Creative ทำไมต้องสร้างตึกอลังการขนาดนี้ ..จริงๆ ที่ขายคือ ความคิด ทำไมลงทุนตึก'

พี่เมฆ เล่าให้ฟังว่า 'เวลาตกปลา เอ๊งใช้อะไรวะ ?'

'ก็.. เบ็ดตกปลา กับ เหยื่อ หนอนชาเขียว รึเปล่า มั้งครับ (ตอบภาษามนุษย์สีลมอย่างผม)'

'ใช้มือก็ตกได้ แต่มัน บ้านๆ ..ก็ต้องใช้เครื่องมือ ..การทำธุรกิจนอกจากสินค้าและบริการ มันมีอย่างอื่นที่ลูกค้าสนใจด้วย

สังเกตไหมว่า วันนี้คนไม่ใช่แค่ซื้อสินค้า แต่สนใจว่า ใครทำมัน? ..ใช้อะไรทำ? ..ใส่ใจทำหรือแรงงานเด็ก ? ...ทำเพื่ออะไร ? 

ผลงานที่ดี ย่อมเกิดจาก พนักงานที่ชีวิตดี ..แรงบันดาลใจของคนที่มี และนั่นคือ องค์ประกอบ 90% เพิ่มจากแค่ 'สินค้า' ที่คนซื้อ

เรามาดู 90% ที่ลูกค้าสนใจซื้อ มีดังนี้

1. ซื้อความตั้งใจ ..ถ้าคนทำตั้งใจทำ ลูกค้าจะสัมผัสความตั้งใจ

2. ซื้อความใส่ใจ ..ใส่ใจเพิ่มจากตั้งใจ ก็ตรงรายละเอียด และความพิถีพิถัน ..โรงแรม จะระดับห้าดาว เพราะรายละเอียด ไม่ใช่แค่สถานที่เท่านั้น

3. ซื้อความมีใจ ..มีใจเหนือกว่าใส่ใจ ตรง Passion และพลังที่ใส่เข้าไป มันคือ วิญญาณของสินค้า

4. ซื้อความภูมิใจ ..ภูมิใจในสิ่งที่ทำ เพราะมันดี มันสร้างประโยชน์ มันเปลี่ยนชีวิตคน มันดีต่อทุกคนที่มีส่วนร่วม ..เมื่อภูมิใจ จึงกล้านำเสนอสินค้าให้ลูกค้า กล้าบอกต่อ กล้ารับผิดชอบในผลของงาน

'อยากได้อะไร ทำสิ่งนั้น ..อยากใช้อะไร  ก็ให้ทำสิ่งนั้น'

 -- เมื่อเราเองยังภูมิใจ ลูกค้าก็เช่นกัน

'ดี !! ใช่!! แล้วตกลงตึก พี่สร้างทำไม ?'

ก็กรูชอบไง ..555

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 29 มีนาคม พ.ศ. 2559

อะไรคือ New Normal ของโลก




'อะไรคือ New Normal ของโลก'

มีการคุยกันเยอะ ถึงกระแส New Normal อะไรคือ สิ่งไม่ปกติ สิ่งที่จะกลายเป็นเรื่องปกติของโลก

1. 'คนแต่ละ Generation คิดต่างกัน เกิดความเปลี่ยนแปลงในโลกธุรกิจและการหาเงิน' ..จากรุ่นปู่ ทำงานแล้วเก็บไม่ใช้ ..มารุ่นพ่อ ทำงานต่อจากปู่ แล้วใช้บ้าง ..มารุ่นลูก ใช้ตั้งแต่ยังไม่ทำงาน ..รุ่นนี้เราพูดถึงการให้เงินทำงานแทน และการสร้างธุรกิจ Start-Up เปลี่ยนโลก - 'พ่อบอก จะเปลี่ยนโลก มึงเปลี่ยนตัวเองก่อนไหม ? ..ถ้ามึงสร้างตัวเองอย่างกู มึงจะรู้ว่า การเปลี่ยนโลกมันเป็นเรื่องของพวกว่างงาน ..อู้ววว แรงครับพ่อ!!' -- ไม่มี Generation ไหนคิดเหมือนกันหรอก แต่สุดท้ายทุก Gen จะมี คนส่วนน้อยที่ประสบความสำเร็จและรวยโคตร เหมือนเดิม 

...อันนี้เหมือนเดิม ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนยังไง คนส่วนใหญ่ต้องซวยเสมอ และก็มีคนส่วนน้อย รวยเสมอ ....'คุณเคยถามตัวเองไหมว่า เรากำลังใช้ชีวิตเพื่อเป็นคนส่วนน้อย หรือส่วนใหญ่?'

2. 'ชีวิตไม่มีทางเลือกหรอก' แต่ลืมไปว่า ไอ้คนพูด มันเลือกตั้งแต่โรงเรียน เรียนที่ไหน เรียนวิชาชีพอะไร ..ทำงานอะไร เลือกบ้านแบบไหน ..เลือกครอบครัว - เฮ้ย!! ก็เราเลือกทั้งนั้น จะบอกไม่มีทางเลือกได้ไง ...New Normal ในยุคนี้คือ มนุษย์ทุกคนมีทางเลือก จนเลือกไม่ถูก ...'ถ้าตั้งสติ คิดก่อนเลือกมากขึ้น ชีวิตจะค่อยๆ ดีขึ้น' 

(ผมเลือกที่จะใช้เงินน้อย แล้วเลือกที่จะลงทุนเยอะในเวลาที่ผมเงินน้อย ..พอเงินผมเยอะขึ้น ก็ยังเลือกลงทุนมากขึ้นอยู่ดี - หาเท่าไหร่จริงๆ ไม่สำคัญถ้าใช้มากกว่าหา ...ที่แจ๋ว คือ แบ่งเงินที่หามาเรียนเป็นนักลงทุน พอลงทุนเป็น เงินมันก็โตเองได้ ชีวิตมันก็เปลี่ยน ก็แค่นั้นเอง)

3. 'คนเงินน้อย ก็ใช้ซิ' ..โคตรผิด ..การที่เงินจะโต ไม่ใช่เอาแต่ใช้แต่ต้องรู้จักปลูกเงิน ถ้าเงินหมื่นโตร้อยเท่า มันก็คือ เงินล้าน ..ถ้าปลูกเงินเป็น เงินมันก็โตได้ ..ยิ่งเงินน้อย ยิ่งต้องลงทุนเป็น - คนส่วนใหญ่กลับเลือกทำตรงข้าม !!

4. 'ค่าครองชีพจะสูงขึ้นเรื่อยๆ' ..ยุคนี้ดอกเบี้ยต่ำ และต่ำไปอีกนาน ทำให้คนส่วนใหญ่คิดว่า งั้นก็ไม่มีเงินเฟ้อซิ ..ผิดแล้วครับ !! ตรงข้าม ...ค่าครองชีพมีแต่ขึ้นครับ เงินคุณไม่ว่าจะมีไม่มีดอกเบี้ยหรือไม่ มูลค่าเงินมันก็ลดอยู่ดี ..ยิ่งดอกเบี้ยต่ำ แล้วลงทุนไม่เป็น ยิ่งซวยหนัก เพราะ คนรวยเขาดันลงทุนเป็น ...ถ้าไม่เปลี่ยนวิธีคิด ความซวยจะมาเยือน แถมเราจะส่งต่อความซวยให้ลูกหลานต่อไป เพราะค่าครองชีพมันจะแพงไปเรื่อยๆ และความห่างของสังคมมันก็จะห่างไปเรื่อยๆ ...ไม่มีข้ออ้างเลย ที่จะไม่ลงทุน !!

5. 'อายุคนเพิ่ม ค่ารักษาพยาบาล จะแพงขึ้นเรื่อยๆ' ..ไม่เห็นยุคไหนที่ค่ารักษาถูกลง มีแต่แพงขึ้น ..แล้วก็ไม่มีการรักษาที่เท่าเทียม ...ผมคิดเสมอว่า ถ้าครอบครัวผมไม่สบาย ผมต้องให้การรักษาที่ดีที่สุด ...เงินส่วนนึงที่ลงทุน ผมปลูกให้มันโต เตรียมไว้รักษาคนที่ผมรัก ในเวลาที่จำเป็น

6. 'ค่าจ้างมีแต่ลดลง' ค่าจ้างทุกยุคเทียบค่าครองชีพ มีแต่ต่ำลงเรื่อยๆ ..มีแต่ ค่าจ้างตัวเอง เท่านั้นที่เราเพิ่มมันได้ ..คนยุคนี้ถึงมีทั้งงานประจำ และงานเสริม ...งานประจำทำประทังชีวิต ส่วนงานเสริมมีไว้เปลี่ยนชีวิต - แต่คนส่วนใหญ่มีแต่งานประจำ แล้วมีแต่งานอดิเรก ...เฮ้ย!! งานอดิเรกมันเสียตังค์ คุณต้องเปลี่ยนงานอดิเรกให้มันทำเงิน โดยอย่าทำเป็นเล่น ถ้าคุณเอาจริงกับงานอดิเรก ศึกษาจริง รู้ลึกจริง มุ่งมั่นนอกเวลางานประจำ เปลี่ยนมันเป็น Passion เดี๋ยวสิ่งนี้แหละจะเปลี่ยนชีวิตเราในที่สุด 

7. 'หางานทำที่มั่นคง ไม่มีแล้ว' ..โลกยุคใหม่ไม่มีงานมี่มั่นคง ..Nokia ยังเจ๊งได้ ถามหน่อยมีอะไรที่มั่นคง ...ยุค New Normal เราต้องเปลี่ยนตัวเราเองให้มั่นคง เพราะยุคนี้ งานมั่นคงไม่มีแล้ว แต่ตัวเรามั่นคงได้ เพราะ เรามีรายได้จากหลายทาง มีรายได้จากสิ่งที่ลงทุนไว้ - 'เปลี่ยนตัวเราให้มั่นคง นี่คือ ของจริง'

8. 'พลังงาน ในระยะยาวมันแพง' วันนี้น้ำมันอาจจะถูกชั่วคราว แต่เชื่อหรือไม่ว่า ในระยะยาวพลังงานแพง ..ผมลงทุนเป็นเจ้าของบริษัทพลังงานเป็นส่วนนึงของพอร์ตเสมอเวลามันถูก เพราะในระยะยาวมนุษย์ต้องใช้พลังงาน ..ลงทุนมันต้องมองยาว ไม่ใช่แค่ตามกระแส นั่นมันเก็งกำไร ขำขำ - ชีวิตเรามันยาว ทำอะไรให้มองยาวบ้าง อย่าแค่ขำขำ !!

9. 'คุณค่าของชีวิต ไม่ใช่ทำอะไรแค่ตัวเอง' สุดท้ายเราจะเข้าใจว่า ค่าของคน อยู่ที่คนนั้นมีประโยชน์เพื่อคนอื่นหรือเปล่า ..สร้างผลของงานให้เป็นประโยชน์บ้าง , สร้างความเปลี่ยนแปลงบ้าง , ลองทำอะไรที่ทำให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นบ้าง ..แล้วเราจะเริ่มรักตัวเอง และเห็นคุณค่าในตัวเองมากขึ้น 

10. 'กลัวอะไร คนเราล้มได้ ก็ลุกเองได้' ..ตอนผมเด็กๆ ผมเป็นเด็กขี้กลัว ..กลัวเจ๊ง ..กลัวล้ม ..กลัวผิด ..กลัวเสียหน้า ..กลัวเพื่อนล้อ ..กลัวเพื่อนไม่ยอมรับ ..เดี๋ยวนี้รู้แล้วว่า 'กลัวอะไร?' ล้มแล้ว ลุกได้นี่หว่า -- ชีวิตเปลี่ยนเลยครับ !!

ล้ม ก็ลุกดิ , ลงทุนพลาด ก็เอาใหม่ดิ , ธุรกิจเจ๊ง ก็ลองใหม่ดิ , ตกงาน ก็หางานใหม่ , ไม่มีใครจ้าง ก็สร้างงานเองดิ 

...ถ้าคุณลองล้มในชีวิตสักครั้ง คุณจะเข้าใจเหมือนผมว่า โลกนี้ความล้มเหลวไม่ได้น่ากลัวแบบที่คนเขาพูดกัน

ในความล้มเหลวมีความรู้และปัญญาแอบซ่อนอยู่ ...นั่นแหละ 'ตัวเปลี่ยนชีวิต'

New Normal คือ 'ตัวเรา คือ ผู้เลือกและกำหนดชีวิตของเราเอง ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนแปลงอย่างไรก็ตาม'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

หุ้นดี เจ้าของขายทำไม


'หุ้นดี เจ้าของขายทำไม ?'

เป็นคำถามโลกแตกจริงๆ คนชอบถามว่า 'ถ้าธุรกิจเขาดีจริง กำไรดี แล้วจะเอาธุรกิจมาเข้าตลาดหุ้น แบ่งขายให้คนอื่น ทำจักกระดึ๋งอะไร?'

เออ เนอะขายทำไม ..ธุรกิจโต 10 เท่า ร้อยเท่า ขายคนอื่นทำไม ก็เก็บไว้ซิ 

โอเคเหตุผลมีดังนี้

1. เข้าตลาดมันคือ การแบ่งขายธุรกิจให้คนอื่น ก็ลดความเสี่ยงของเจ้าของลง แถมได้เงินจากคนซื้อหุ้นเข้ามาลงทุนขยายได้อย่างรวดเร็ว ..เงินนี้ไม่เหมือนเงินกู้ มันคล้ายๆ 'เงินกู' ไม่ต้องใช้คืน ..พูดง่ายๆ เงินฟรี ตรงนี้ถ้ามีแผนใช้อย่างถูกวิธี ธุรกิจจะโตก้าวกระโดด

2. เจ้าของแม้ขายหุ้นไปบางส่วน ตัวเองก็ยังถือส่วนใหญ่ และมีอำนาจบริหารเต็มที่

3. ธุรกิจพอเข้าตลาดต้องโปร่งใส และจ่ายภาษีเต็ม ..จุดนี้ถ้ามองเป็นข้อดี ก็คือโอกาให้ธุรกิจสามารถจ้างผู้บริการมืออาชีพที่ค่าตัวแพง เพราะเอาภาษีนั่นแหละมาจ่าย ..ถ้าบริษัทอยู่นอกตลาด คงไม่จ้าง หลบภาษี ชักเงินออก เจ้าของทำเอง ดีกว่า ..คิดแบบนั้น ธุรกิจเลยติดกับเจ้าของ ไม่โต ไม่ยั่งยืน

4. การเอาธุรกิจเจ้าตลาด เป็นการแบ่งมรดกชั้นดีในครอบครัว เพราะทุกสินทรัพย์ ถูกตีราคา ..สมาชิกคนไหน ไม่อยากถือ ก็ขายหุ้นไปง่ายๆ ..หรือ บางกรณี เจ้าของบังคับให้ทุกคนรับปันผล แต่เอามืออาชีพมาบริหาร อันนี้ก็ชัดเจนดี

ใช่!! ที่เล่า เพราะอยากจะชี้ว่า ธุรกิจดีๆ เจ้าของเขาก็เอาเข้าตลาดแบ่งขายให้คนอื่นได้ครับ 

ประเด็นไม่ใช่ตรงนั้น ..ผมว่า คนซื้อ เราเลือกได้จะซื้อราคาไหน จังหวะใด ถือยาวตอนไหน เล่นสั้นเวลาไหน ..อันนี้แหละประเด็นเรา

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ตลาดหุ้นในระยะยาวก็เหมือนที่ดินคือขึ้น แต่ทำไมคนกลัว


'ตลาดหุ้นในระยะยาวก็เหมือนที่ดินคือขึ้น แต่ทำไมคนกลัว'

คุณว่ามนุษย์ใช้เวลากี่ปี ที่ทำให้คนส่วนใหญ่เข้าใจตรงกันว่า ที่ดินถือยาวๆ แล้วรวย ...นาน นานมาก ก็สมัยก่อนที่ดินมีเยอะ คนมีน้อย ไม่มีใครเห็นค่าที่ดิน ...เอาเงินเก็บไว้ดีกว่า นั่นคือ แนวคิดในอดีต

วันนี้คนที่ลงทุนที่ดินมายาวนาน ก็สามารถส่งต่อความร่ำรวยให้ลูกหลาน เห็นผลที่ตัวเองได้ลงทุนมาทั้งชีวิต 

มาถึงปัจจุบัน ..ก็คือ บททดสอบหุ้น

เอาเรื่องสถิติก่อน มีการดูผลตอบแทนย้อนหลัง ก็พบว่า เมื่อเทียบหุ้นกับที่ดิน ..หุ้นให้ผลตอบแทนดีกว่าที่ดิน แถมมีเงินปันผล 

ทำไม ? ทำไมคนกลัว ?

ก็เพราะคนส่วนใหญ่ ไม่ได้กำไรแถมเสียหาย เพราะ

1. คนเหล่านั้นพลาดที่ไม่ได้ศึกษาให้ดี แทนที่จะซื้อหุ้นดี ก็ดันไปซื้อหุ้นไม่ดี (หุ้นปั่น หุ้นเร่า ไม่มีปันผล มีแต่ข่าวที่ปั่นกันมั่วๆ)

2. คนเหล่านั้น ดันซื้อจังหวะที่หุ้นปั่นราคาแพงสุดๆ (ซื้อขยะ ในเวลาที่ขยะราคาแพงสุดๆ - จะไม่เจ๊งได้ไงครับ)

3. คนเหล่านั้น ก็ยังทนถือขยะต่อไป แล้วหวังว่าวันนึงขยะนั้นจะกลายเป็นทอง ยิ่งถือ ก็ยิ่งรู้ว่า ..เฮ้ย!! มันไม่มีปันผล ..มันคือ ขยะนี่หว่า !!

ไม่ทันละครับ จุดที่เราจะตื่นรู้ พบสัจธรรม ตรงนี้ พอร์ตก็คงเสียหายไปกว่า 70% แล้ว

ทางแก้ ไม่ยาก แต่จะทำหรือเปล่า ก็อยู่ที่แต่ละคนเอง

1. ยอมรับความพ่ายแพ้ แล้วเรียนรู้ เอาเงินที่เหลืออยู่ออกมา ..ขายหุ้นเน่า แล้วศึกษาตลาดอย่างจริงจัง

2. เอาเงินที่เหลือนั่นแหละ สร้างตัวเองขึ้นมาใหม่ ...คราวนี้ซื้อหุ้นดี ในเวลาข่าวร้าย กระจายความเสี่ยงเพียงพอ หลักการออมในหุ้นนั่นแหละ แล้วทำมันไป 10 ปี ก็จะค่อยๆ เห็นผลลัพธ์

แทนที่จะเล่นหุ้น ตามข่าวดี ซื้อหุ้นขยะ หวังรวยเร็ว แต่สุดท้ายติดหุ้นขยะ ในราคาที่สูงแบบงี่เง่าที่สุด

เราก็เปลี่ยนมา หาข่าวร้าย ศึกษาโอกาส หาทองในขยะ พลิกวิกฤตเป็นโอกาส มองตรงข้ามคนส่วนใหญ่ ทำตรงข้ามคนส่วนใหญ่ และมีความเชื่อในความจริงที่ตัวเองศึกษามาอย่างดีแล้ว 

-- แล้วเราจะเป็นหนึ่งในผู้โชคดีที่สุดในตลาด

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ว่าด้วยเรื่องของ "รอบ"


มีหลายคนถาม "รอบ" ...ดูรอบ อะไร

เอาตัวอย่างมาให้ดูกัน ว่าหน้าตาของหุ้น Turnaround มีหน้าตาประมาณไหน ?

ลองดูตัวนี้กัน IRPC ...ถ้าใครเข้าใจเรื่องของ "รอบ" ก็คือ เข้าใจว่าหุ้นทุกตัวมี "ขาขึ้น และ ขาลง" ...ถ้าจะถือแล้วกำไร ก็ต้องถือยาวในขาขึ้น ...ส่วนถ้าใครบอกไม่คิดมาก จะถือกินปันผล ก็เก็บได้ตั้งแต่หุ้นตอนจบรอบ

อย่าง IRPC ก็เป็นตัวอย่างนึงที่น่าสนใจ เพราะ ธุรกิจเริ่มเห็นผลกำไรจากการเปลี่ยนแปลงพื้นฐานจริงๆ ของกิจการ ประกอบกับน้ำมันราคาถูก ได้รับอานิสงค์ครั้งนี้ด้วย เพราะต้นทุนการกลั่นน้ำมันต่ำลง

พอเอา กราฟหุ้นมาดูจะเห็นได้ว่า ราคาทำ Wave 1 ลง 2 แล้วกำลังหักหัวขึ้น ...เราไม่สามารถฟันธงได้ว่าการขึ้นครั้งนี้จะเป็น Wave 3 ใหญ่ เพราะ ไม่มีใครรู้ ระยะเวลาว่าการขึ้นที่แท้จริงจะอยู่ตรงไหน ..แต่เรามองความน่าจะเป็นจากกราฟได้ ก็เท่านั้นเอง

ถ้าวิเคราะห์กราฟก็มองง่ายๆ ว่า ราคาผ่านเส้นปะสีน้ำเงิน หุ้นขึ้นทรงสวยมาก ถ้าราคาสามารถยืนอยู่เหนือเส้นปะสีน้ำเงินได้ ก็คือ "ความหล่อจะมาเยือนนั่นเอง"

เอาเป็นกรณีศึกษา ก็ลองศึกษาเรื่อง "รอบ" มันช่วยให้เรา มีภาพของหุ้นในใจว่า หุ้นน่าจะไปต่อยังไง ..."เรื่องความน่าจะเป็นนั่นแหละ เอาพื้นฐานมาดูหุ้นถูกแพง ..เอากราฟมาดูรอบ ..แล้วก็วาดภาพความน่าจะเป็นในหัว ...ยิ่งหุ้นมีปันผล ถือยาวๆ ดีกว่าทิ้งเงินไว้ในที่ไม่มีผลตอบแทนอยู่แล้ว"

New Normal ของโลก คือ สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จะแทบไม่มีผลตอบแทน เพราะ ทุกคนแย่งกันเอาเงินไปวางตรงนั้น ...ประเด็นคือ แล้วทำไมเราต้องทำตามคนส่วนใหญ่ของโลกด้วยล่ะ ?

การลงทุนก็เช่นกัน ..เลือกลงทุน ตามแบบของเราเอง ไม่ตามใคร ...เงินเย็น หุ้นดูโอเค มีปันผล ถือยาวๆ แล้ววัดกัน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

มั่งคงเคหะการ หุ้นที่คนเข้าใจผิดว่าคือ MK ซะงั้น



ไหนๆ ก็เอาสุกี้ 5 หมื่นล้านมายกเป็น Case Study ก็เลยขอยก หุ้นที่คนซื้อมากที่สุดตอนเอ็มเค IPO ก็คือ MK ..มั่นคงเคหะการ

ใช่!! บางคนนึกว่า สุกี้เอ็มเค ตัวย่อในตลาดคือ MK แต่ไม่ใช่นะครับ..55 - ซื้อผิดเดี๋ยวเราจะกลายเป็นเจ้าของบริษัทอสังหา ที่ชื่อว่า มั่นคงเคหะการ

ว่าไปแล้วก็ยก MK มั่นคงเคหะการ มาดูเป็นกรณีศึกษาอีกสักตัว

เอางบขึ้นมาดู P/E 7 เท่า ..เฮ้ย 7 ปีคืนทุน ..ราคาต่ำ Book Value คือ ซื้อต่ำกว่าเจ้าของลงทุน (คือ เจ้าของลงทุน 6.5 บาท แต่เราซื้อในตลาดวันนี้แค่ 4.5 บาท ถูกกว่าเจ้าของลงทุน) ..แถมเขาให้ปันผลปีละ 6%
ทำเล่น !! ไม่ขี้เหล่นะครับ

นี่ยกขึ้นมาเล่นๆ เพราะ อยากเอามาให้ดูว่า หุ้นนอกสายตาหลายๆตัวในตลาดหุ้นที่คนไม่ค่อยสนใจ ..มันอาจจะไม่ได้แย่อย่างที่หลายคนคิด ..แน่นอน คนที่เทรดหุ้นซื้อมาขายไป คงซื้อหุ้นที่ตลาดเขาเล่นกัน ซื้อขายง่าย

แต่อีกมุมนึง ก็มีนักลงทุนบางคน ที่เขาอยากซื้อหุ้น แล้วทิ้งไว้ยาวๆ นอนกินปันผล ไม่สนราคาขึ้นลง ...พวกนั้นก็มาควานหาหุ้นที่ราคาไม่แพง ปันผลสูงสม่ำเสมอ แล้วถือกินปันผล ...ถ้าตลาดขึ้น ก็อาจได้ส่วนต่างราคาบ้างถ้าขาย แต่หลักๆ ส่วนต่างราคาไม่ใช่ประเด็น

ก็จะยกเป็น Case ให้เห็นว่า ในตลาดหุ้น นอกจากซื้อขายเล่นเงินเร็ว เราก็ยังสามารถซื้อทิ้งออมเงินในตลาดได้เช่นกัน

แต่เดี๋ยวนะ ..ใครสนใจ "ออมในหุ้น" ศึกษาวิธีการก่อนนะครับ ผมให้หลักคร่าวๆ คือ

1. มีหุ้น 5-10 ตัวขึ้นไปในพอร์ต
2. ดูหุ้นดี ราคาถูก (อ่านงบ มูลค่าต่ำ แล้วอ่านกราฟ รอบของราคาไม่สูง แถมไม่ได้อยู่ในข่าวดี = สอยมาออมได้)
3. ซื้อแล้วลืมๆ "ทนรวยไป"
4. ทยอย ทำไปเรื่อยๆ มีเงิน ก็ทยอยมาออม ..อย่าไปคิดว่าจะรวย คิดว่าจะออม ...ส่วน "รวย" มันจะค่อยๆ วิ่งมาเราเอง เมื่อเวลาผ่านไป (ประมาณ 10 ปีขึ้นไป พอร์ตจะโตแบบก้าวกระโดด .."เมื่อออมครบ รอบ ของหุ้นนั่นแหละ จะเริ่มเห็นผล")

ก็ลองศึกษากันดู ...ของแบบนี้ "ปัจจัตตัง" แปลว่า สิ่งที่ผมพูดนี้จะรู้ได้ด้วยตนเองเฉพาะผู้ที่ปฎิบัติ ...เหมือนง่าย แต่รู้ได้เมื่อใส่เงินจริง !!

‪#‎ภาววิทย์กลิ่นประทุม‬

วันจันทร์ที่ 28 มีนาคม พ.ศ. 2559

ขายสุกี้อย่างไรให้รวย 5 หมื่นล้าน


"ขายสุกี้อย่างไรให้รวย 5 หมื่นล้าน"

เป็นคำถามที่ท้าทายมากๆ ถึงกับคุยกันไม่รู้เรื่องเลยทีเดียว

ในสมัยก่อนคนที่จะรวยเป็นพันล้านได้ ต้องทำธุรกิจเกี่ยวกับสัปทานผูกขาด ทำกับอำนาจรัฐ ต้องเกี่ยวข้องกับการเมือง อะไรก็ว่าไป

แต่ยุคนี้เปลี่ยนไปแล้ว ..ยุคนี้ขายสุกี้ ก็รวย 5 หมื่นล้านได้

เรามาดูกันว่า MK สุกี้ 5 หมื่นล้าน เขามีวิธีการสร้างอย่างไร จากร้านสุกี้ในข้างที่ขยายเป็นอาณาจักร อาหารยักษ์ใหญ่ในประเทศไทย

1. ต้องยอมรับว่า "การนำสุกี้ MK" เข้าจดทะเบียนขายหุ้นในตลาดให้คนทั่วไป นับเป็นก้าวกระโดดที่สำคัญที่ปลดล็อคความมั่งคั่งของอาณาจักรสุกี้แห่งนี้ ผมยกเอางบการเงินมาให้ศึกษากันจะพบว่า เจ้าของเอาเงินมาลงทุนจริงๆ ไม่ได้เป็นหมื่นล้าน แต่อาศัยการสั่งสม และการค่อยๆ เติบโต จนในปัจจุบันส่วนของเจ้าของคือ 13,000 ล้านบาท ..จากงบจะเห็นได้ว่า ธุรกิจมีเงินกู้แค่ 2 พันล้าน หรือ พูดง่ายๆ ว่า แทบไม่ได้กู้ ทำให้ Asset ทั้งหมดของ MK คือ 15,000 ล้านบาท - แต่ที่มูลค่าเป็น 5 หมื่นล้าน มันคือมูลค่าที่นักลงทุนเขาให้กับกิจการ

2. MK ทำกำไรปีละ ประมาณ 2,000 ล้านบาท ..พูดง่ายๆ ว่า ถ้าไม่เข้าตลาด เจ้าของก็จะได้เงินปีละ 2,000 ล้านเก็บไปเรื่อยๆ ..ดังนั้น กว่าจะรวย 5 หมื่นล้าน เจ้าของต้องเก็บเงินอีก 25 ปี ..แต่การเข้าตลาดวันนี้ทำให้มูลค่าของ MK กลายเป็น 5 หมื่นล้านทันที ...หลายคนสงสัยว่า ทำไมมูลค่าธุรกิจที่เข้าตลาด กับ ไม่เข้า ถึงมีมูลค่าต่างกัน -- นั่นเพราะ ธุรกิจที่เข้าตลาด ต้องเปลี่ยนตัวเองให้มีระบบ เป็นเครื่องผลิตเงินนั่นเอง (โดยมากธุรกิจทั่วไป ถ้าเจ้าของเลิกทำ ธุรกิจก็คงเจ๊ง แต่ถ้าธุรกิจเข้าตลาด ต้องวางระบบจนแน่ใจว่า แม้ว่าเจ้าของเลิกทำ ธุรกิจก็ยังคงเติบโต และทำรายได้ต่อเนื่องไปเรื่อยๆ) ..จุดนี้เองทำให้บางครอบครัวใช้ตลาดหุ้น และการนำธุรกิจเข้าตลาดเป็นการแบ่งมรดกอย่างชัดเจน ...เช่น สมาชิกในครอบครัวคนไหน ถ้าไม่อยากถือหุ้น ก็สามารถขายทิ้งเอาเงินสดได้ทันที

3. ถ้าอยากทำธุรกิจครอบครัวให้กลายเป็นเครื่องผลิตเงินแบบ MK ก็ต้อง "เตรียมตัวเข้าตลาด" ทำทุกอย่างเป็นระบบ ...แยกตัวเจ้าของออกจากธุรกิจ แล้วเตรียมจ้างผู้บริหารมืออาชีพมาบริการ ..ตัวเจ้าของก็เลื่อนตัวเองไปเป็นคนควบคุมกลยุทธ์และการเติบโต ..เลื่อนตัวเองจากคนบริหารไปเป็นประธานนั่นเอง


4. ธุรกิจที่จะเข้าตลาด ต้องจ่ายภาษีเต็ม มีบัญชีเดียว ..ตรงนี้แหละ ที่เจ้าของธุรกิจส่วนใหญ่ทำใจไม่ได้ เพราะ คิดว่าหลบภาษีดีกว่า ..แต่สถิติมันชี้ให้เห็นว่า ท้ายสุดการยอมจ่ายภาษี แล้วทำให้ทุกอย่างเป็นระบบ โปร่งใสและมืออาชีพ มันทำให้เจ้าของรวยมากกว่าในระยะยาว


5. สรุปว่า ถ้าอยากสร้างสุกี้หมื่นล้าน จะมัวแต่ขายสุกี้ มันไปไม่ถึง ...ต้องคิดแบบ MK คือ เปลี่ยนธุรกิจเป็น Asset ...ในมุมของนักลงทุนคือ เปลี่ยนธุรกิจให้เป็น Money Making Machine


เพราะ การที่ธุรกิจหนึ่งๆ จะร่ำรวย ไม่ใช่การที่คนเดียวทำทุกอย่าง แต่เกิดจากการเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง เลือกทำจุดนั้น แล้วเอาส่วนที่เหลือกระจายให้มืออาชีพในแต่ละจุดช่วยกันทำ ...นี่คือ หลักการสร้างธุรกิจให้เจ้าของรวยที่สุด แบ่งงาน กล้าให้มืออาชีพบริหาร และ ปล่อยให้ธุรกิจเติบโต

"การเติบโต คือ การปล่อย

 ..เด็กจะเติบโต ต้องให้เขาสู้ชีวิต

 ..ธุรกิจจะโต เจ้าของต้องให้ธุรกิจได้มีโอกาสแสดงฝีมือ"

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ธุรกิจยุคใหม่ใครต้องปรับตัว


'ธุรกิจยุคใหม่ใครต้องปรับตัว'

ทุกวันนี้เราได้ยินคำว่า Disrupt หนาหูขึ้นเรื่อย  ๆ ซึ่งจุดเริ่มมันมาจากธุรกิจ Start-Up ของเด็กรุ่นใหม่ ที่ใช้จุดนี้แหละหาช่องโหว่ของตลาด แล้วเปลี่ยนจุดนั้นเป็นโอกาสแจ้งเกิดของธุรกิจ Start-Up

ลองดูอย่างธุรกิจแท๊กซี่ที่โดน Disrupt ไปเรียบร้อยด้วย Uber และ Grab ..เพราะอาศัยช่องที่ลูกค้ากับแท๊กซี่ไม่โดนกัน แท๊กซี่ชอบปฏิเสธลูกค้า Start-Up ก็ตี Pain Point อันนี้เป็นโอกาสธุรกิจได้ทันที 

ถ้าโอกาสนั้นไม่มีรายใหญ่ครองตลาดอยู่ ยิ่งเกิดง่าย เพราะอย่างแท๊กซี่เห็นชัดๆ ว่า ไม่มีรายใหญ่ ..มันต่างกับ ตลาดเช่น ค้าปลีก หรือธุรกิจที่รายใหญ่ครองอันนั้นก็จะเกิดยากขึ้นเป็นทวีคูณ

มาดูกันว่าธุรกิจไหนต้องเตรียมปรับตัว

1. ธุรกิจที่ใช้สินทรัพย์เยอะๆ - อนาคตมันจะมีการเช่ามาทดแทน การซื้อและลงทุนในสินทรัพย์ ทำให้ธุรกิจในอนาคตเริ่มง่ายเพราะทุนเริ่มต่ำ แต่เกิดและโตยาก เพราะคู่แข่งเขาก็เริ่มง่ายเหมือนกัน เป็น Low-Barrier to Entry Business

2. ธุรกิจที่พนักงานเยอะๆ - อนาคตธุรกิจจะจ้างคนลดลง แต่ Outsource งานไปให้ผู้เชี่ยวชาญแต่ละด้านทำ เหลือเพียงจุดแข็งที่สุดของธุรกิจ ..เป็น Business LEGO Model 'ทุกธุรกิจเหมือนตัวต่อ LEGO ที่เชื่อมต่อกัน เปลี่ยนแปลง และปรับเปลี่ยนอย่างยืดหยุ่น รวดเร็ว'

3. ธุรกิจที่มี Fix Cost เยอะๆ จะเปลี่ยนเป็น Variable Cost ต้นทุนผันแปลตามงานที่เข้ามาแทน

4. ธุรกิจที่มีโครงสร้างขนาดใหญ่จะพังลง - ธุรกิจในอนาคตจะทำงานแบบเครือข่าย ทำงานเป็นทีมขนาดเล็ก แถมเป็น Performance Base 'จ่ายตามผลงานจริงๆ'

5. Cloud Base - ธุรกิจในอนาคตจะใช้ระบบ Cloud เพื่อลดต้นทุนการทำธุรกิจ ดังนั้น Online จะมาแทนหน้าร้านในฐานะ จุดติดต่อหลัก ..ส่วนร้านจริงๆ จะเป็นแค่ส่วนเสริม หรือเป็นแค่ Luxury 'หน้าร้านในอนาคต จะเป็นแค่สิ่งฟุ่มเฟือย เพื่อส่งเสริมการตลาดที่ใช้เพียงธุรกิจบางประเภทเท่านั้น เช่น Luxury Brand'

'เตรียมให้พร้อมกับการเปลี่ยนแปลง'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 27 มีนาคม พ.ศ. 2559

มารความก้าวหน้า ก็คือข้ออ้างที่เรามีนั่นแหละ


'มารความก้าวหน้า ก็คือข้ออ้างที่เรามีนั่นแหละ'

การขจัดมารความก้าวหน้า ก็คือ เลิกบ่น เลิกอ้าง แล้วยืดอกขึ้นสู้กับความท้าทายและคำสบประมาท

คนกล้า ไม่ใช่พวกที่ชอบละลาน ถากถาง หรือ คอยบั่นทอนความฝันผู้อื่น

แต่คนกล้าที่แท้จริง คือ คนที่สู้ชีวิต และทำงานโดยปราศจาคข้ออ้าง

- ก็บ้านฉันไม่ได้รวย
- ก็ฉันไม่มีเส้นสาย
- ก็เงินน้อยจะเอาอะไรมาเริ่ม
- ก็ไม่ได้เรียนสูงจะหางานดีๆได้ไง
- ก็พูดอังกฤษไม่ได้จะหางานเงินเยอะคงยาก

....ก็มัน มีแต่ข้ออ้าง ชาติหน้ามันคงยังนั่งบ่นอยู่ตรงนี้ โดยไม่กล้าลุกขึ้นมาทำอะไรสักที

ข้ออ้าง = มารความสำเร็จ ..ขจัดข้ออ้าง ชีวิตจะค่อยๆดีขึ้น ด้วยฝีมือของเราเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

รวยเป็นร้อยเท่าจากตลาดหุ้น




"ซื้อหุ้นแล้วต้องขายด้วยหรือ ?"

ถ้าไม่ขายเดี๋ยวไม่รวยนะ หุ้นขึ้นก็กลับมาที่เดิม สู้ขายไป แล้วกลับมารับตอนถูกดีกว่า ...ทั้งหมดไม่มีอะไรผิด ก็มองกันคนละแบบ

ถ้าเราไปถาม เจ้าสัวอย่าง เจ้าสัว CP หรือ เจ้าสัวเซ็นทรัล ลองถามว่า เมื่อไหร่ท่านจะขายหุ้นทั้งหมด ออกไปซะที ถือ CP มานานแล้ว ไม่เบื่อเหรอ ..เก็บไว้เดี๋ยวราคาลง เสียรอบนะท่าน

CPN ก็เหมือนกัน ..ท่านไม่ขายทำรอบหรือ ..หุ้นเก็บไว้ไม่ดีหรอกครับ ..ขายให้หมดเก็บเป็นเงินสด สบายใจกว่านะท่าน ?

"ถ้าคุณถามคำถาม เจ้าสัวแบบนี้ ...คุณลองคิดซิครับว่า คำตอบที่จะได้คืออะไร ?"

- หุ้นคือ "สิทธิการเป็นเจ้าของบริษัท" ..คนรวยใช้สิทธิเหล่านี้แหละที่ทำให้เขารวยไปเรื่อยๆ ...ในที่ดิน เขาก็มีโฉนด "สิทธิการครอบครองที่ดิน" ก็ใช้กระดาษใบนั้นแหละ ครอบครองและร่ำรวยจากที่ดิน

ในส่วนธุรกิจ เขาก็มี "หุ้น" นี่แหละ เป็นเครื่องมือครอบครองกิจการในตลาด

สิ่งที่อยากจะชี้ให้เห็นก็คือ ในโลกของ "หุ้น" มันมี 2 มุม

หนึ่ง "มุมของนักเก็งกำไร" ก็หาจังหวะ ซื้อขาย ทำกำไรส่วนต่าง ..คนเหล่านี้ จะรวยจากการแกว่งของราคา ..คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้น ก็อยากได้เงินตรงนี้แหละ เพราะมันได้เร็วดี

สอง "มุมของเจ้าของ" ..มีคนกลุ่มนึงที่ใช้หุ้นในการครอบครองธุรกิจ เขาจะรวย ก็จากมูลค่าธุรกิจที่เพิ่มระยะยาว ..ที่เราเห็น CPN ราคาขึ้นเป็นร้อยๆ เท่า ในไม่กี่สิบปี ...ก็ส่วนที่เจ้าของเขาได้ก็คือ เงินทั้งหมดโตเป็นร้อยเท่านั่นแหละ รวมเงินปันผลทุกๆ ปีเข้าไปด้วย

- เงินเร็วหาไม่ยาก แต่ถ้าจะให้เงินทั้งหมดที่เรามีโตเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ลองคิดดูซิครับว่า ทำอย่างไร ?... คำตอบก็อยู่ที่การกระทำของเศรษฐีเหล่านี้เขาทำอยู่แล้วนั่นเอง -- "ออมในหุ้น"

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 26 มีนาคม พ.ศ. 2559

ศาสนา และ ตลาดทุน


'ศาสนา และ ตลาดทุน' 

ช่วงหลังมีคนพยายามผูก ศาสนากับตลาดทุน จริงๆ ผมว่า น่าสนใจมาก ...ถ้าจะบอกว่า 'หากเราเป็นคนดี เราจะมีทรัพย์' มันดูดีจริงๆ มาดูซิว่า เราจะเอาธรรมะมาใช้อย่างไรในตลาดแห่งความโลภ

ใช่!! ถ้าใครไม่อยากรวย คงไม่มาเล่นหุ้น เพราะ ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยบทเรียนความล้มเหลวของคนส่วนใหญ่ ..มีคนเพียงหยิบมือเท่านั้นที่ร่ำรวยสุดๆ จากตลาดหุ้น

เคล็ดลับที่ผมอยากจะแชร์ ในฐานะที่ผมเป็นอาจารย์สอนการลงทุน และแนะนำคนมากมายเข้าตลาดหุ้น เจอคนหลากหลาย ทั้งเป้าหมาย และ วิธีคิด ...แต่ความแปลกก็คือ ไม่ว่าคนๆนั้นจะเป็นอย่างไรมาก่อน ถ้าเขาไม่สามารถปรับตัวให้สามารถอยู่กับตลาดหุ้น สุดท้ายเขาจะอยู่ในตลาดได้ไม่นาน คือ มีอันต้องเจ๊งและเลิกเล่นในที่สุด

เคล็ดลับนั้นก็คือ 'ความเชื่อ'

ถ้าคุณจะลงทุนระยะยาว มันคือ การมี 'ความเชื่อ' ที่จะถือธุรกิจนั้นๆ แบบเป็นเจ้าของ ..ซึ่งแน่นอนระหว่างทางขึ้นของราคา ย่อมมีลง ย่อมมีปรับฐาน มีขาดทุนเป็นบางช่วงที่ถือ โดยเฉพาะบททดสอบในวิกฤตที่เข้ามาในช่วงต่างๆ ของหุ้นที่เราถือยาว

สรุปว่า 'การที่ใครสักคนจะสามารถพูดได้ว่า เขาทนรวยถือหุ้นตัวใดตั้งแต่ราคาถูกๆ จนขึ้นมาราคาแพงและเปลี่ยนให้เขาร่ำรวย ..มันมีความหมายลึกกว่าที่เขาพูดแน่นอน'

การทนรวย มันเริ่มจากสิ่งที่ยากที่สุด คือ 'ความเชื่อ'

การที่เราจะเชื่ออะไร มันต้องเริ่มจากเรามีความรู้ความเข้าใจในสิ่งนั้น จนใช้เป็นบรรทัดฐานในการดำเนินชีวิต

เช่นชาวพุทธเราเชื่อในกฏแห่งกรรมและการเวียนว่ายตายเกิด เราจึงพยายามทำสิ่งที่ดี และมีกรอบของศีลธรรมในการดำเนินชีวิต

นักลงทุนก็เช่นกัน ทุกความมั่งคั่งมันเริ่มต้นที่ 'ความเชื่อ' คุณเชื่อไหมว่า หุ้นที่คุณถือยาว ทำธุรกิจที่เป็นประโยชน์ แก้ปัญหาให้คน และช่วยให้ชีวิตลูกค้าดีขึ้น ดีจนกิจการเขาจะขยายไปเรื่อยๆ ในระยะยาว

ถ้าคุณมี 'ความเชื่อ' ที่ว่ามานี้ คุณก็จะสามารถทนรวยได้

มันเริ่มที่ 'ความเชื่อ' ลองถามตัวเราเองดูซิว่า เราได้สร้างความเชื่อที่พร้อมจะเปลี่ยนชีวิตของเราแล้วหรือยัง ?

'They can be miracle when you believe!!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ทำไม Facebook ไม่ชอบคำว่า Passive Income



'ทำไม Facebook ไม่ค่อยชอบคำว่า Passive  Income หรือ อิสรภาพทางการเงิน'

ก็เพราะคำว่า Passive Income และ อิสรภาพทางการเงิน ถูกใช้เยอะมาก โดยเฉพาะการจูงใจคนให้เข้าไปทำธุรกิจหรือแม้กระทั่งหลอกล่อลวง ซึ่งนำมาซึ่งความเสียหายจำนวนมาก

เรามาเข้าใจความหมายจริงๆ ของคำว่า Passive Income หรือ อิสรภาพทางการเงิน จริงๆดีว่า ..ผมว่าจริงๆ เป็นคำที่ดี เพราะเข้าใจง่าย ชัดเจน ซึ่งถ้าศึกษาแล้วใช้อย่างถูกวิธี มันกลายเป็นประโยชน์มหาศาล

ในยุคสมัยก่อน ไม่มีคำว่า Passive Income เพราะในสมัยโบราณ ถ้าอยากได้เงินก็ต้องทำงานแลกเท่านั้น ดังนั้น ในยุคก่อนคนที่ต้องการร่ำรวย ก็มีสูตรสำเร็จทางเดียวคือ 'ทำงานให้เยอะ แล้วก็เก็บเงินให้เก่ง'

แต่ความโชคดีของคนในยุคปัจจุบันคือ มันมีรายได้บางอย่างที่สร้างกระแสเงินสดให้เข้ามาหาเราเรื่อยๆ แม้เราจะหยุดทำงานแล้วก็ตาม ...จุดนี้เองทำให้สูตรการรวยในยุคนี้ เปลี่ยนไปจากยุคที่แล้วคือ

ยุคนี้แทนที่จะทำงานหนักๆแบบไม่ลืมหูลืมตา เราต้องเปลี่ยนเป็นทำงานฉลาด ..ทำงานฉลาดคือทำงานหนักนั่นแหละ เพียงแต่เราต้องไม่ทำเพื่อแลกเงินอย่างเดียว ยุคนี้เราต้องทำงานเพื่อแลกเครื่องผลิตเงิน 

'เครื่องผลิตเงิน' ก็คือ สินทรัพย์ที่สร้างกระแสเงินสดเรื่อยๆ เช่น หุ้นปันผล , อสังหาให้เช่า , ลิขสิทธิ์ , สิทธิบัตร , หุ้นส่วนกิจการ ..

ใช่!! มันเปลี่ยนนิดเดียว ตรงที่ 'ทำงานเพื่อแลกเงิน' มาเป็น 'ทำงานเพื่อแลกกับเครื่องผลิตเงิน' แค่นั้นเอง นอกนั้นเหมือนเดิมหมด ความพยายาม ความอดทน ความเพียร ความรู้ ความเชี่ยวชาญ ยิ่งมีมาก ยิ่งถึงเป้าหมายได้เร็ว

สรุป อย่าแค่ทำงานแลกเงิน ให้ทำงานแลกเครื่องผลิตเงิน ..มุ่งมั่นทำไปเรื่อยๆ แล้ว อิสรภาพทางการเงินจะวิ่งเจ้ามาหาเราก่อนที่เราจะต้องการมันเสียด้วยซ้ำ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สร้างความเปลี่ยนแปลงอย่างต่อเนื่อง


'ทำไมชีวิตฉันไม่รุ่งเหมือนคนอื่นๆ ..เขาไปไหนกันหมดแล้ว เอาไงดี ?'

ผมว่าคำถามนี้เกิดขึ้นเมื่อเพื่อนเราได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ในขณะที่ตัวเรายังจมอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิมๆ แถมมองไม่เห็นอนาคตว่าจะดีขึ้นอย่างไร

ผมมีข้อแนะนำดังนี้

ให้คุณสำรวจตัวเอง ว่า 'งาน' ที่คุณทำในวันนี้ใช่งานในฝันหรือไม่ ? -- 'น่าจะไม่ใช่' 

..ให้สำรวจต่อว่า ..คุณกำลังสนุกกับงานที่ทำใช่หรือไม่ ? -- 'ก็น่าจะไม่สนุก'

 ...ให้ถามตัวเองว่า แล้วคุณมัวทำอะไรอยู่ ? -- 'ก็น่าจะได้คำตอบว่า ก็ไม่รู้จะทำอะไร คนต้องกินต้องใช้ ต้องหาเลี้ยงครอบครัว ไม่มีทางเลือกจะมาทำติส หางานที่ชอบ ก็อดตายพอดี'

..ให้ถามตัวเองต่อไปว่า แล้ววันนี้ชีวิตเรามันต่างจากคำตอบที่แล้วตรงไหน ? -- 'ก็ตรงยังไม่อดตาย เพราะยังมีแรงทำงาน ยังไม่ป่วย แต่ถ้าหยุดทำงานเมื่อไหร่ ก็น่าจะซวย ..สรุปที่บอกว่า วันนี้ยังไม่อดตาย ก็แค่ยืดอายุวันซวย ให้ช้าลง เพราะในที่สุดก็ซวยอยู่ดี'

ทางแก้ !!

1. เริ่มเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ศึกษาสิ่งที่เราเคยมีฝัน เช่น เรียนทำอาหาร , เรียนทำดนตรี , เรียนการเล่นหุ้น , เรียนการซ่อมรถ , เรียนงานศิลปะ , เรียนการพูด , เรียนการขาย , เรียนคอมพิวเตอร์ , เรียน..  ...เริ่มจากเข้า Internet หาคลิ๊ปเรื่องที่เราสนใจแล้วตะลุยดู ..จากนั้นก็เดินไปร้านหนังสือหาแรงบันดาลใจและความรู้เพิ่ม -- 'วิธีนี้เรียกว่า เอาแรงบันดาลใจใส่ตัวเรา ให้อยากลุกขึ้นมาทำอะไรสักอย่าง'

2. ให้เริ่มศึกษาเรื่องที่เลือกให้ลึก หมั่นโพสและแชร์ความรู้ในสิ่งที่เรียนรู้แก่คนรอบข้าง ..เป็นเหมือนประกาศให้เพื่อนรอบข้างรู้ว่า เรื่องนี่แหละที่ฉันชอบและมี Passion -- 'วิธีนี้เรียกการกำหนดเป้าหมาย และประกาศให้โลกรู้' ..ให้แชร์ความรู้ที่ได้ใหม่ๆ แชร์อย่างสม่ำเสมอ

3. ให้เริ่มหาเพื่อนที่มีความสนใจเหมือนกัน หากลุ่ม หาผู้ร่วมเดินทาง ..ระหว่างนี้ก็แชร์ความรู้อย่างต่อเนื่อง ..ทำไปเรื่อยๆ แล้วโอกาสใหม่ๆ จะเข้ามาในชีวิต -- 'วิธีนี้เรียกการเปลี่ยนคนธรรมดา ให้กลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องที่ชอบ'

ที่เล่ามาไม่ใช่ตำรา แต่เอามาจากชีวิตจริงของผมเอง ผมทำงานจนรู้สึกเบื่อ และมองไม่เห็นอนาคต ...จากนั้นผมเริ่มมาสนใจหุ้น ..จริงจัง และ แชร์ความรู้เสมอผ่าน Internet ตั้งแต่เริ่มเขียน Blog มาจนถึง Facebook 

สุดท้ายโอกาสในชีวิตก็เข้ามา ทำให้ผมได้รับโอกาสงานใหม่ๆ ในสายหุ้น , อาชีพอาจารย์ , นักเขียน และ วิทยากร

ผมจะบอกคุณว่า อาชีพเรา ไม่จำเป็นต้องเกี่ยวกับสิ่งที่เรียนมาก็ได้ - เรียนหมอสุดท้ายมาเป็นนักลงทุนก็ได้ - เรียนวิทยาศาสตร์สุดท้ายมาเป็นศิลปินก็ได้ - เรียนวิศวะสุดท้ายมาเป็นเชฟก็ได้ ...การเรียนเป็นพื้นฐานที่ดี แต่สิ่งที่กำหนดชีวิตเราที่แท้จริง คือ 'สิ่งที่ชอบ'

ให้จริงจังกับ 'สิ่งที่ชอบ' แล้วสิ่งที่ชอบมันจะเปลี่ยนชีวิตเราในที่สุด

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 24 มีนาคม พ.ศ. 2559

เล่นหุ้นไม่มีความเสี่ยง มีด้วยหรือ


'วิธีเล่นหุ้นไม่มีความเสี่ยง' 

เป็นความเข้าใจผิดอย่างมาก หากเราต้องการวิ่งหนีความเสี่ยงในตลาดหุ้นที่เต็มไปด้วยความเสี่ยง 

มาดูความจริงกันดีกว่าว่า 'ความเสี่ยงของการลงทุนระยะยาวคืออะไร แล้วเราจะปิดประตูแพ้ได้อย่างไร'

การปิดประตูแพ้ ไม่ใช่การปิดความเสี่ยง แต่เราใช้เพื่อควบคุมความเสี่ยงในการลงทุนเท่านั้น -- 'เข้าใจความเสี่ยง จะสามารถปิดประตูแพ้ได้' 

ความเสี่ยงที่ 1 : หุ้นที่เราซื้อสามารถเจ๊งได้ แต่ไม่ได้หมายความว่า เราจะต้องเจ๊งตามหุ้น เพราะ เราลงทุนแบบกระจายความเสี่ยง ..กฏของการกระจายความเสี่ยง คือ มีหุ้นอย่างน้อย 5 ตัวขึ้นไป (วิธีนี้จะทำให้ หุ้นแต่ละตัวมีผล กระทบสูงสุดไม่เกิน 20% ของพอร์ตเรา)

ความเสี่ยงที่ 2 : เรากำหนดเวลาสั่งให้หุ้นขึ้นไม่ได้ แต่สิ่งที่เราทำได้คือ ซื้อหุ้นตามรอบ 'ซื้อเมื่อราคาหุ้นอยู่ในช่วงข่าวร้าย และราคาถูกเมื่อเทียบกับพื้นฐาน' ..ซึ่งแน่นอน ไม่มีใครการันตีได้แน่นอนว่า หุ้นที่เราซื้อถูกแล้ว อาจลงต่อหรือเจ๊งก็ได้ เราจึงต้องการจายความเสี่ยงให้เหมาะสมเท่านั้นเอง ..เพราะสุดท้ายเมื่อวิกฤตผ่านไป ราคาย่อมดีดกลับไปหามูลค่าที่แท้จริงของกิจการ

สรุป ถ้าเราลงทุนโดยการกระจายความเสี่ยงอย่างเหมาะสม (5 หุ้นขึ้นไป) แล้วซื้อหุ้นดีในข่าวร้าย ตามรอบราคา ..ในระยะยาวย่อมให้ผลตอบแทนที่ดี และ พอร์ตเติบโตได้ในระยะยาวนั่นเอง

'รู้รอบ กระจายความเสี่ยงเพียงพอ = ความมั่งคั่งในการลงทุนระยะยาว'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพฤหัสบดีที่ 17 มีนาคม พ.ศ. 2559

อยากให้มาเจอกัน BLSTALK


ใครสนใจลงทุนในตลาดหุ้น อย่าพลาดงาน BLSTALK นี้นะครับ 'จัดเต็ม-วางฐานความคิด-แจกเครื่องมือ-แจกหนังสือเสียงไปฟังที่บ้านต่อ-คุ้ม'

'กำลังทำ BLSTALK Book หนังสือเสียง ไม่ต้องอ่าน ..รถติดเปิดฟัง เรียนหุ้นได้'

ทั้งสองแผ่นนี้ 'เอาไว้แจกครับ' ...ไม่ขาย !!

ให้สำหรับผู้ที่มางาน BLSTALK ..สัมมนาอารมณ์ดี ปูพื้นฐานนักลงทุนมือใหม่

งานนี้จัดที่ สุราษฎร์ , เชียงใหม่ , ขอนแก่น , พัทยา , หาดใหญ่ (กรุงเทพเดี๋ยวรอแป๊บนึงครับ รอบนี้เดินสาย ตจว. ก่อนครับ) ..ใครอยู่ใกล้จังหวัดไหน มาแจมงาน BLSTALK นี้ครับ

วันเวลา สถานที่จัดแต่ละจังหวัด : คลิ๊กดูที่ลิงค์ครับ 

ค่าใช้จ่าย : เพียง 300 บาท (รวมค่าสัมมนา เอกสาร และ แจกไปเลย BLSTALKBOOK จำนวน 2 แผ่นฟรี !!  ..ใครมางานนี้เอาไปเลยครับ ไม่มีขาย!!)

สิ่งที่จะสอนในสัมมนา นอกจากสาระสำหรับมือใหม่ ความฮา เรามาพร้อมเครื่องมือ Scan หุ้นช่วยมือใหม่ BLS Stock Signal บัวหลวงจัดเต็มอ่ะงานนี้ ปีนึงจะเดินสายครั้งเดียวนะ อย่าพลาด!!!! ...อยากให้มารู้จักกัน 'คุ้ม!! ขอให้มา เอาไปเลย'

(ให้สิทธิผู้ที่สมัคร พร้อมโอนเงิน 300 บาทและเข้าร่วมสัมมนาก่อนนะครับ)

รายละเอียดเพิ่มเติมและคลิ๊กสมัครได้ที่นี่ครับ 

วันอังคารที่ 15 มีนาคม พ.ศ. 2559

อาหารของความสำเร็จคืออะไร


'อะไรคืออาหารของความสำเร็จ'

ความสำเร็จเป็นเหมือนสัตว์ชนิดนึง ที่กินอาหารเยอะมาก ...คนส่วนใหญ่เลี้ยงความสำเร็จไม่โต เพราะ 'คุณให้มันกินอาหารน้อยไป'

แหละ 4 สิ่งเหล่านี้ คือ 'อาหาร' ที่ความสำเร็จชอบกิน

1. 'เหงื่อ' ..อันนี้เป็นอาหารพื้นฐาน ชอบกินนิดหน่อย

2. 'ความพ่ายแพ้' ..อันนี้เป็นอาหารชั้นยอดที่ความสำเร็จชอบกิน เพราะความพ่ายแพ้มันมาพร้อมน้ำตา ..ความสำเร็จชอบบริโภคน้ำตามากกว่าเหงื่อ

3. 'ความกดดัน ดูถูก เหยียดหยาม' ...อันนี้อร่อยมาก ความสำเร็จสามารถบริโภคสิ่งเหล่านี้ได้แบบไม่จำกัด

4. 'ความเชื่อ และ ความฝัน' ..อันนี้เป็นเสมือนขนมขบเคี้ยวที่ความสำเร็จชอบกิน อิ่มแล้วก็ยัดเข้าไปได้อีก

สี่อย่างนี้แหละ ที่คุณต้องหามาป้อน เจ้าตัวความสำเร็จ - ยิ่งให้อาหาร มันยิ่งเติบโต แข็งแรง

'เจ้าตัวความสำเร็จ' ...ตัวกินจุ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint




ขายของอย่างไรให้ขายได้


'ขายของอย่างไรให้ขายได้'

วันนี้ทุกอาชีพ เตรียมใจเรื่องการขายได้เลย ..อย่างงานธนาคารวันนี้ ไม่ใช่แค่ดูแลเงินเท่านั้น เดี๋ยวนี้ต้องขายด้วย 

'พูดง่ายๆ ยุคนี้ ใครไม่ชอบการขายนี่จะเหนื่อยมาก เพราะทุกงานเดี๋ยวนี้แฝงเรื่องการขายอยู่ด้วยเสมอ'

มาคุยกันเรื่อง ขายของยังไง ถึงจะขายได้

1. 'สินค้าทุกอย่างในโลกนี้ที่เราไม่ซื้อ ไม่ได้แปลว่ามันไม่มีคนซื้อ' ..สินค้าทุกอย่างมีลูกค้าเป้าหมาย การที่สินค้าขายไม่ได้แปลว่า คุณดันไปขายคนที่ไม่ใช่ลูกค้า ..รถยนต์คันละ 10 ล้าน กระเป๋าใบละแสน กาแฟแก้วเป็นร้อย ยังมีคนซื้อ ..ประเด็นอยู่ที่รู้ว่าใครคือลูกค้า ?

2. 'จีบลูกค้า' ก็ประมาณนั้น แต่ไม่ได้ให้จีบจริงแบบนั้น แต่ต้องรู้จักลูกค้าเหมือนคุณจะจีบเขาเลยแหละ ..'เธอชอบอะไร อยู่ที่ไหน กินอะไร เที่ยวท่ีไหน คบเพื่อนแบบไหน'

จ้างนักสืบไปดูเลย ...ภาษาการตลาด นักสืบก็คือ Market Research ..แต่เราไม่ต้องไปจ้าง เราไปสืบเองเลย ..Internet มี สืบเบื้องต้นก่อน พูดคุย ถามเพื่อนเขา ถามคนรู้จัก หาข้อมูล

3. 'ทำให้ลูกค้าชอบคุณ' ทำไงก็ได้ให้ลูกค้าชอบเรา ..ยกมือไหว้ , บริการเขาดีๆ , ใส่ใจเขาพิเศษ , คุยนอกเรื่อง (นอกเรื่อง นี่แหละได้เรื่อง เพราะมันแสดงความใส่ใจ) , เอาใจ , ..ทำให้เขารู้สึกว่า เราแคร์ และ เขาคือคนสำคัญ คนพิเศษ

4. 'ถ้าคุณเป็นเขา คุณจะคิดยังไง' ..เอาใจเขามาใส่ใจเรา ..ให้เราไปนั่งในเก้าอี้เขา

5. 'ตอบแทนลูกค้าอย่างสาสม' อย่าเอาแต่ได้ ยุคนี้ต้องให้กลับคืน ..มองยาว ขายให้ได้ใจ ไม่ใช่เอาแต่เงิน เพราะเมื่อได้ใจ เงินจะมามากกว่า และกินยาวกว่า

สรุป ที่เราขายของไม่เป็นเพราะมัวแต่ขาย ...ลืมทำ 5 ข้อนี่

'นักขายที่เก่ง ก็เพราะเขาไม่ได้ก้มหน้าก้มตาขายไง'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

มีคนบอกว่า คนเพื่อนรวยแล้วเราจะรวยตาม


'มีคนบอกว่า คบเพื่อนรวยแล้วเราจะรวยตาม'

ถามจริงๆ เถอะ ..เพื่อนรวย นี่มันหน้าตาเป็นอย่างไร เพราะ ถ้าไปคบคนที่รวยแล้วมันก็ไม่อยากคบเรา ...ถ้าจะคบต้องไปคบก่อนที่มันกำลังจะรวย 

เอาหลักการดู เพื่อนที่กำลังจะรวย มันเป็นแบบนี้

1. มันชอบคุยแต่เรื่องอนาคต มีโปรเจ็ค มากมาย บ้าพลัง

2. มันชอบหมกมุ่น จับจด กับการทำงานแต่ละอย่าง ..ทำจบเป็นชิ้นๆ ทำแบบไม่หลับไม่นอน

3. มันคิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่ 

4. มันชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ลองอะไรใหม่ๆ ทำอะไรที่มันไม่ค่อยมีใครทำ

5. มันชอบเล่าเรื่องประหลาดเหล่านี้ให้เราฟัง แล้วเราก็จะบอกมันว่า 'เฮ้ย!! มึงลงมา มึงไปไกลละ'

'ผู้ประกอบการ คือ นักฝัน นักขาย และ นักเล่าเรื่อง - จะเริ่มธุรกิจต้องกล้าฝัน ..จะขายสินค้าได้ต้องเล่าเรื่องเป็น ..จะรวยก็ต้องขายได้'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

กฏบางอย่างของเงินที่เราควรรู้


'กฏบางอย่างของเงินที่เราควรรู้'

1. 'เงินจะชอบวิ่งเข้าไปหาคนที่เล่นตัวกับมัน' เล่นตัวไง ทำเป็นไม่สนใจไง ...มีเชิงหน่อย !! ..ยิ่งเล่นตัว เรายิ่งมีเสน่ห์ดึงดูดเงิน

2. 'เงินจะวิ่งเข้ามา ในเวลาที่เราไม่จำเป็นต้องใช้' ถ้าไม่จำเป็นอย่าเพิ่งใช้ ถ้าใช้เพราะแค่อยากใช้ มีเท่าไหร่ก็หมดตูดครับ

3. 'เงินไม่ชอบเป็นนายใคร แต่เงินเป็นลูกน้องที่ดี' ..ใครใช้เงินทำงานเป็น เงินจำนวนมากขึ้นเรื่อยๆ จะไปอาศัยใบบุญของผู้นั้น

4. 'เงินรวมตัวกันเมื่อไหร่ หายนะเกิด' ..คนฉลาดจะแบ่งเงินให้ทำงานหลายๆที่ ไม่ให้มันมารวมตัวกัน ..เอ๊ง!! ไปทำงานตรงนุ๊น ส่วนก้อนนี้มาทำงานตรงนี้

5. 'เงินที่วางไกลตัว มักทำงานหนักที่สุด' ..ถ้าเราหลงๆ ลืมๆ วางเงินให้มันทำงานในสินทรัพย์เช่น ที่ดิน หรือ หุ้น ..ยิ่งวางลืมๆ มันยิ่งทำงานหนัก โตเร็วอย่างน่าตกใจ

ทำได้ 5 ข้อนี้ ก็รวยแล้วล่ะ ..555

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

สนุกสุดๆ กับการหาเงิน


'คนส่วนใหญ่คิดว่าคนรวยคือคนที่สนุกกับการใช้เงิน ..ก็อาจจะใช่บางส่วน ..แต่ส่วนที่สนุกมากกว่าของคนรวย คือ เขาสนุกสุดๆกับการหาเงิน 

คนเหล่านี้เขาหลงใหล สนุก และบ้ากับ งานที่เขาทำ สุดๆ 

อยากเป็นแบบคนรวย อย่าไปเลียนแบบวิธีใช้เงินของเขา แต่ให้เลียนแบบวิธีทำงานของเขา'

สนุก บ้า ชอบ โคตรๆ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint

มีหลายคนถามผมว่า ทำไมเค้าลงทุนมานานแต่พอร์ตไม่โต


'มีหลายคนถามผมว่า ทำไมเค้าลงทุนมานานแต่พอร์ตไม่โต ?'

ก็เหมือน คนที่เงินเดือนมากขึ้นแต่ไม่รวยขึ้น คล้ายๆ กัน ..ก็คือ คนที่เทรดได้กำไรเรื่อยๆ แต่พอร์ตไม่โต ก็เหมือนเขาแค่หาเงินเป็น หามาก็ใช้ไป แต่ไม่รู้จักวางเงินทำงาน

เรื่องนี้ฟังดูธรรมดา แต่คุณเห็นหรือไม่ว่า คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจเลย ..การที่เราจะรวยขึ้น ไม่ได้อยู่ที่การมองสั้นๆ แต่อยู่ที่การรู้จักมองยาวเป็น 

'หาได้เท่าไหร่ ไม่ได้สำคัญเท่าเหลือเท่าไหร่ แล้วมันเพิ่มไหม ?'

คำแนะนำของผมในเรื่องนี้คือ

1. สำรวจซิว่า เราเล่นสั้นมากเกินไปหรือเปล่า เพราะการมองแต่ภาพเล็ก ในที่สุดเราจะพลาดภาพใหญ่ไป ..ลองเริ่มแบ่งเงินสัก 10% มาลงทุนยาวแล้วแยกพอร์ต แล้วค่อยๆ มองดูเทียบกัน 

2. สำรวจงานที่ทำว่าเรามีความสุขหรือเปล่า? เพราะถ้าเราไม่สนุกกับการหาเงิน เราจะเริ่มสนุกกับการใช้เงิน ..นั่นแหละอีกจุดที่เงินหายไป 'การใช้เงินสนุกเกิน' -- คนรวยทุกคนในโลก เขาสนุกกับการหาเงิน 'คนเหล่านี้ทำงานจนตาย ..ไม่ใช่เพราะเขาต้องทำนะ เขาสนุกที่จะทำมัน'

3. สำรวจพอร์ต 'วางเงินทำงาน' ...พอร์ตนี้เช่นเงินที่เราทิ้งออมในหุ้น หรือ ออมในอสังหา แล้วมีกระแสเงินสดมาเลี้ยงเราเรื่อยๆ ..พอร์ตนี้ควรแบ่งเงินมาสร้างตั้งแต่เรายังไม่รวย เพราะพอร์ตนี้มันโตในอัตราเร่งตามระยะเวลา ...(เกมนี้นานกว่ารวยกว่า เงินนานชนะเงินใหญ่ ความอดทนชนะทุกอย่าง นี่คือ ออมในหุ้น)

ลองสำรวจ 3 ข้อนี้ ผมว่า คุณจะค่อยๆ เปลี่ยนให้พอร์ตคุณเริ่มโตขึ้นได้ครับ

'รู้จักมองยาวบ้าง - สนุกหาเงิน - สร้างเครื่องผลิตเงินให้เป็น'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlurprint

วันจันทร์ที่ 14 มีนาคม พ.ศ. 2559

ปรึกษาการทำธุรกิจ


'การทำธุรกิจ มีปัญหา จะเดินต่อหรือจะเปลี่ยนดี'

มีรุ่นน้องเข้ามาปรึกษาว่า วันนี้สิ่งที่ทำมันยาก ไม่ค่อยทำเงินแล้วไม่รู้ว่าจะทำต่อ หรือ เปลี่ยนดี ?

ผมมีข้อสังเกตอย่างนี้

1. เราต้องถามตัวเองให้หนักว่า 'เรายังสนุกกับสิ่งที่ทำหรือเปล่า ?' ถ้าไม่ใช่ผมว่าเริ่มผิดทางละ ..แต่ถ้ายังสนุกแต่ไม่ทำเงินต้องไปที่ข้อ 2

2. เราเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมายไม่ชัดหรือเปล่า ..เพราะยุคนี้ สินค้าที่พยายามจะขายให้ใครก็ได้ หรือสินค้าสำหรับทุกคน มันถูกธุรกิจรายใหญ่จับจองพื้นที่ไปเรียบร้อยแล้ว ..สิ่งที่เราต้องปรับคือ ปรับสินค้าและบริการให้ชัด ให้มีกลุ่มเป้าหมายที่ชัด

3. เราสื่อสารกับลูกค้าเป้าหมายเราดีพอหรือไม่ ? ..ไม่ว่าสินค้าและบริการจะดีแค่ไหน ถ้าไม่สามารถสื่อสารสิ่งนี้ให้ลูกค้าเป้าหมายเข้าใจ ก็ไม่มีทางขายสินค้าได้ ..ให้เริ่มจากเครื่องมือสื่อสารที่ต้นทุนต่ำเช่น Social Network ..Facebook / Line / Instagram /App ..และ ออนไลน์อื่นๆ

4. เราต้องให้ลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ทดลองสินค้าและบริการของเราจริงๆ ..การเขียนแผนธุรกิจกับการทำธุรกิจจริงๆ แตกต่างกันตรงที่ลูกค้ายอมจ่ายเงินเพื่อซื้อสินค้าเราจริงๆ ต่างหากที่เป็นคำตอบ

ลองสำรวจสิ่งที่เราทำว่า เรากำลังหลงทางหรือไม่ จากคำแนะนำ 4 ข้อง่ายๆ ตรงนี้ ก็น่าจะตอบได้ว่า เรากำลังเดินถูกทางหรือไม่ครับ

ธุรกิจยุคนี้ ไม่ใช่การทุ่มเงินหนักๆ แล้วลุ้นว่าใครจะซื้อสินค้าเรา แต่ตรงกันข้าม เราต้องใช้เงินให้น้อยที่สุด เพื่อลองเอาสินค้าของเราไปถึงมือลูกค้าแล้วพอใจต่างหาก 

'เอาใจช่วยให้เดินต่อ สู้ครับ'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #ออมในหุ้น #TheStockBlueprint




เราจะผ่านวิกฤตไปได้อย่างไร


"วันนี้การทำงานดูยาก การทำเงินดูยาก ก็เพราะ ประเทศและโลกเรากำลังเข้าสู่การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ ...แต่สิ่งที่เราต้องคิดให้ดีก็คือว่า นี่แหละ คือ โอกาสครั้งสำคัญ"

ทุกครั้งที่เกิดการเปลี่ยนแปลง จะมีเศรษฐีใหม่เกิดขึ้น ..ผู้ประกอบการหน้าใหม่เกิดขึ้น ..นักลงทุนรุ่นใหม่เกิดขึ้น ...

ครั้งนี้ก็เช่นกัน ...เราสามารถเลือกได้ว่า เราจะเป็น "ผู้ชนะ" หรือ "ผู้พ่ายแพ้"

"ผู้แพ้" 
1. จะทำสิ่งเดิมๆ หวังผลแตกต่าง ซึ่งไม่มี
2. จะวิ่งเข้าไปหาจุดที่ปลอดภัย อยู่ที่คนส่วนใหญ่อยู่ เพราะคิดว่าจุดที่คนส่วนใหญ่อยู่คือที่ปลอดภัย (แต่จริงๆ มันไม่ใช่)
3. หวังพึ่งโชคชะตา ที่จะพาตัวเองไปสู่สิ่งที่ดี (การช่วยเหลือมักเข้ามาในเวลาที่เราไม่ต้องการ นี่คือ สัจธรรมของโลกและธุรกิจ เช่น ธนาคารมักอยากให้เรากู้ในวันที่เราไม่ต้องการเงินกู้เสมอ)

"ผู้ชนะ"
1. จะลองทำสิ่งใหม่ แม้ว่าจะมีความกลัวก็ตาม
2. จะวิ่งเข้าไปในจุดเสี่ยง แต่วางแผนปิดประตูความเสี่ยงไว้อย่างดีแล้ว (เข้าใจและจำกัดความเสี่ยง)
3. พึ่งตัวเอง ..เปิดใจเรียนรู้สิ่งใหม่ 

วันนี้เรื่อง Product เปลี่ยน ..ไม่มีสินค้าที่โดนใจทุกคน การเลือกลูกค้าเป็นสิ่งที่เราอึดอัด แต่คุณต้องเลือกลูกค้าเป้าหมายให้ชัดเจน "เฉพาะกลุ่ม" (Niche Market)

วันนี้เรื่อง Price เปลี่ยน ..การตั้งราคาคือ การเลือกกลุ่มลูกค้าเป้าหมาย เพราะ การตั้งราคาจะกำหนดว่า คุณภาพสินค้าจะเป็นอย่างไร สินค้าและบริการจะทำดีขนาดไหน

วันนี้เรื่อง Place เปลี่ยน ..Social Media และ ออนไลน์ ทำให้เรื่องการขายสินค้าเปลี่ยนไปตลอดกาล (คู่แข่งของคุณ อาจไม่มีต้นทุนสถานที่ขาย และนั่นคือ ความน่ากลัวของการค้าขายที่อิงทำเลแบบในอดีต)

วันนี่เรื่อง Promotion เปลี่ยน ..ยุคนี้ ให้ก่อนรับ สำคัญ ..จนต้องหันกลับมาพิจารณาว่า สินค้าและบริการที่เราผลิตจะให้ก่อนรับได้อย่างไร ...โจทย์ของผู้ชนะ คือ แม้ของแจกยังดีกว่าสินค้าจริงของคู่แข่ง (โอวว ++ แม่เจ้า ทำได้ไง)

"วันนี้คือ โอกาสครั้งสำคัญในชีวิตทุกคน" ..คิดและทำ จัดกันไป ลุย !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม #TheStockBlueprint #ออมในหุ้น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ