แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2554

น้ำท่วมใหญ่ หัวใจว้าวุ่น !!



"วันนี้ ผมแอบไปนั่งฟัง สัมมนา ออมเงินทำงาน ของครอบครัวข่าวช่อง 3 ดำเนินรายการโดย คุณ บัญชา ... และมี ดร.สุวรรณ / ดร.กอบศักดิ์ / ดร.ก้องเกียรติ ..และ อีกหลายๆท่าน ซึ่งน่าสนใจมาก ... "เรื่องน้ำท่วม สรุปแล้ว เป็นบททดสอบรัฐบาล ...เพราะก่อนน้ำท่วม เศรษฐกิจเรากำลังจะดีเยี่ยม (ถ้าที่ผมพูดบ่อยๆ ก็ The Beginning of Asian Miracle 2 นั่นเอง)

..วันนี้เรียกบุญมี แต่กรรมบังนิดๆ ... ปกติฟ้า ต้องทดสอบคน -- เวลานี้ ฟ้าทดสอบเมือง ก็ต้องดู ฝีมือ การแก้ปัญหาของรัฐบาล" ... โดย ปกติ ในวิกฤต ย่อมมีโอกาส ขึ้นกับการจัดการ เช่น โอกาสในการ กระตุ้นเศรษฐกิจ ช่วยเหลือ ชาวบ้าน และธุรกิจ โอกาสในการลงทุน Mega Project ที่จะสร้างงาน และ การบริโภค

... (น้ำท่วมที่กระทบ นิคมอุตสาหกรรม ยังไม่เคยมีแบบนี้ แต่ในวิกฤต ก็มีโอกาส เพราะธุรกิจเหล่านี้ แข็งแกร่ง การที่บริษัทต่างๆต้องหันมาฟื้นฟูธุรกิจ จะเกิดการบริโภค ..ในส่วนสินเชื่อที่หมุน จะมากขึ้น ..แน่นอน ในระยะสั้น ไม่ใช่ผลดี เพราะคนจะว่างงานชั่วคราว ...แต่หลังจากนั้น ก็น่าจะเป็น ฟ้าใสหลังฝน!!) ....

ประเด็นที่ผมสนใจอีกข้อ คือ ETF ทอง ซึ่งตอนนี้ มีของ BBL และ ก็ KBANK ... ออกมาชนกัน ..ข้อดีคือ ทั้งสองกองนี้ เหมือนลงทุนซื้อทองแท่งนั่นแหละ แต่ดีตรงที่ ไม่ต้องไปเยาวราชเอง สามารถซื้อขายผ่านโบรกเกอร์ได้เลย ..."ไอ้ที่น่าสนใจกว่านั้น คือ เวลาในการเปิดกองทุน ..คือ มันเป็นจังหวะที่ดี เพราะเขาเปิดตอนนี้ ที่ราคาทอง $1,600 กว่าๆ -- ซึ่งมันเป็นราคาที่ มีศพมหาศาล ติดดอยกันที่ $1,900 ช่วงกลางๆปีนี้"

... ภาพใหญ่ทอง เราได้เห็น $2,000 ต่อออนซ์ น่าจะไม่เกินปีหน้า "ดังนั้น คนที่มีเงินนอน ได้สักหนึ่งปี ETF ทองก็เป็นทางเลือกที่น่าสนใจ (แต่ต้องเงินนอนนะ เพราะระยะสั้น ราคาผันผวนแน่นอน) -- สาเหตุหลักๆ คือ QE นั่นเอง ..ทีแรกมีแต่อเมริกา ที่พิมพ์เงินบ้าบอ ..ตอนนี้ วิกฤตยุโรป หนีไม่พ้น ...ฟันธง EU ก็ต้อง QE แน่นอน ...ส่วนอเมริกา ก็น่าจะ QE (แต่เขาอาจเปลี่ยนชื่อ อะไรก็ว่าไป) -- ดังนั้น อีกไม่นาน ..เงินสด มันจะล้นโลก ..แถมอยู่ใน สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนเป็นหลัก

... "คิดแบบ Common Sense ..มันก็ต้องมี บางคน บางกองทุน ที่กล้าโยกเข้ามา Asset ต่างๆ อย่าง หุ้น , ทอง และ Commodity เพราะผลตอบแทนมันเหนือกว่า (คิดง่ายๆ หุ้น ถ้าตัดความผันผวนของราคาออกไป เราซื้อกินปันผล 5 - 10 % แบบชิว ..ยิ่งถ้าเลือกกิจการ Blue Chip ที่มั่นคงเติบโต จะได้ Capital Gain แน่นอน หลังวิกฤตผ่านไป let Say 5 ปี "ทนรวยให้ได้ละกัน..อิ อิ")...จากนั้น เมื่อกองทุนนึง โยกเข้ามา ..อีกกอง ก็คงน้อยหน้าไม่ได้

-- ประเด็น คือ เราต้องมองภาพให้ออกว่า สุดท้าย เงินมันจะวิ่งขึ้นที่สูง (เงินจะวิ่งหาผลตอบแทนที่สูงกว่า ซึ่ง ทอง , หุ้น และ Commodity มันตอบโจทย์) ..แต่ข้อแนะนำของผม คือ แม้ว่า เราจะรู้ว่า ภาพใหญ่ของ หุ้น , ทอง และ Commodity จะขึ้นอีกมหาศาล

(แต่!!!) -- แต่เงินที่เอามาลงทุน "ผมแนะนำให้เป็น เงินนอน เช่น เงินฝาก(ที่ไร้ดอกเบี้ยนั่นแหละ)" ... เพราะระหว่าง ทางการขึ้น มันต้องผันผวน อย่างรุนแรง (มันจะมี Panic แบบที่ผ่านมา อีกหลายครั้งแน่นอน ประเด็นคือ ถ้าเรารู้ว่าภาพใหญ่ขึ้น คุณจะมานั่งแห่ ซื้อตอนแพง แล้วมาแย่งกันขายถูกๆ ทำไม ... ที่ make Sense คือ ทยอยซื้อ ทุกครั้งที่ตกแรง จากนั้น ไปขายนุ่นเลย 5 ปี "เงินเฟ้อขนาดนี้ ไม่รวย ให้มันรู้ไป".

.. คนที่เข้าใจ และมีสติมั่นคง จะรู้ว่า "ตัวเราเดินมาถูกทาง (ดูง่ายๆ สามปีที่ผ่านมา โดยรวมคุณรวยขึ้นหรือจนลง ..เพราะ คนที่วางเงินใน Asset ผมบอกได้ว่า ผันผวน ...ขึ้นลง แต่ถ้าใครใจนิ่งพอ ..มูลค่า Port มันโตขึ้นน่ะ ..."ที่ผมรู้ เพราะผม ลงทุนนั่นเองครับพี่น้อง") .... ก็เอามุมมอง ของเหล่ากูรู ..ผสมมุมมองของผม ที่แอบไปฟังมาแชร์กัน ..โชคดีครับ ทุกคน!!



"ถ้าคนเราสามารถรวย และเด่นดัง ในโอกาสที่ทุกคนเห็นเหมือนๆกัน คงดีไม่น้อย!! ...แต่ขอบอกว่า ในโลกความเป็นจริง มันไม่ใช่เลย ...คนที่จะรวย หรือ ประสบความสำเร็จ ก็เพราะเขาสามารถเห็นโอกาสในวิกฤต ...เพราะคนจะรวย ก็คือ สามารถซื้อ Asset ในราคาโคตรถูก แล้วไปขายในเวลาโคตรแพง "บางคนไม่ขายด้วยซ้ำ" -- (ในเวลาที่คนส่วนใหญ่แย่งกันขาย อย่าง Carlos Slim เศรษฐีอันดับหนึ่งของโลก ชาว Mexico ที่เพิ่งแซง Bill Gates ไปแล้ว ก็รวยจากการซื้อหุ้น บริษัท Conglomerate ในช่วง วิกฤตประเทศลาตินอเมริกา "ตอนนั้นลาติน เน่ากว่า ยุโรป เพราะเงินลาติน ตอนนั้น Default ไปเลย ..เจ๊งไปเลยว่างั้น")

...ประเด็น คือ Asset เท่านั้นที่ทำให้เรารวยได้ เพราะในระยะยาว เงินสด มันลดมูลค่า ในขณะที่ Asset มันเพิ่มมูลค่าตามเงินเฟ้อ ..และมันยิ่งโต ในอัตราเร่ง เมื่อมูลค่าเงินมันลดลงในอัตราเร่ง" (ฟังดูอาจจะ งง งวย ...แต่ถ้าผมจะบอกว่า คนส่วนใหญ่ ซื้อเวลาข่าวดี .."ซื้อแพง" ..ขายเวลาข่าวร้าย .."ขายถูก" ...ฮึม!! จะรวยได้อย่างไร ..เพราะคนจะรวยมันต้อง "ซื้อถูก ขายแพง" ฟังดูง่าย แต่มันยากโคตร ๆ ๆ ๆ ๆ เพราะเวลา "Asset ถูก" มันมีแต่ข่าวร้ายไง ...และทุกคนก็เห็นตรงกันว่า .."ผมสามารถซื้อในราคาที่ถูกที่สุด" (แม่งฝันโคตรๆ ..ถ้าคิดเหมือนกันทั้งโลก แล้วใครจะซื้อได้ถูกที่สุดล่ะ ..แน่นอน มันไม่ใช่คุณ...555 -- ผมคิดจนหัวแทบแตก ..ผมสรุปได้ว่า จุดที่ดีที่สุด คือ จุดที่เรารับความเสี่ยงได้ ไม่ใช่จุดที่ถูกที่สุด เพราะ จุดถูกที่สุด มันเป็น อุดมคติ "มันไม่มี!!!"

... นักลงทุนที่ฉลาด ไม่ใช่คนที่รอซื้อถูกที่สุด แค่เป็นคนที่กำหนด การเดินทาง "Journey ของตัวเอง" ..จากนั้น ก็เดินจากจุดหนึ่ง ไปอีกจุดหนึ่ง ...โดยไม่แคร์ว่า คนส่วนใหญ่จะทำอะไร เพราะมัน ไม่ Make Sense ... การที่นักลงทุนที่ฉลาดกำหนดการเดินทางของตัวเอง ก็จะ สามารถซื้อที่ "จุดที่รับความเสี่ยงได้" แล้ว "ก็ไปขายในจุดที่เขาว่ามันแพง" ...เออ!! ใครทำได้ รวยๆ แบบ พอเพียง ..แปลกนะ คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ ...เพราะ ต้องการซื้อถูกที่สุด ขายแพงที่สุด ... แถมเข้ามาลงทุนแบบเสียไม่ได้

... "เสียไม่ได้" คุณรู้ไหม เจ๊งทุกคน .. ไอ้ที่ไม่เจ๊ง มันมีหลายแบบ แต่เท่าที่ดู เขาเสียได้นะ

..นัก Technical ที่ประสบความสำเร็จ เขามีจุด Cut Loss แปลว่า เขาเสียได้ถูกไหม !!

... นักลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ เขาซื้อหุ้นถูก ไม่ได้ถูกที่สุด ..ดังนั้น โดยปกติ เวลาซื้อมักขาดทุนระยะสั้น เพื่อได้กำไรระยะยาว แปลว่า เขาก็เสียได้ถูกไหม!!

--- ดังนั้น ไอ้พวก "นักลงทุน แบบเสียไม่ได้" ... จึงหมดตัวทุกราย ..เสียไม่ได้ จึงเสียหมดตัว !!! ..."นี่แหละ สัจธรรมของตลาดหุ้น"

สุดท้าย "ตลาดหุ้น" จะสอนเราว่า ...คนใดที่เข้าใจตัวเอง และปล่อยวางได้ ..คนนั้น คือ คนที่ตลาดหุ้นจะให้รางวัล อย่างงาม -- ผู้ชนะในตลาดหุ้นรวยโคตรๆ ก็จริง -- แต่คุณรู้หรือไม่ว่า เขาเหล่านั้น ไม่ใช่คนโลภเลย

(โลภ = "เสีย" / เสียไม่ได้ = "เสียหมดตูด" / ตัดได้ = รวยได้ / ตัดเงินก้อนนั้นออกจากชีวิตและอารมณ์ได้ = โอ!! แม่เจ้า รวยสุดขั้ว..555)

วันอังคารที่ 11 ตุลาคม พ.ศ. 2554

โลกของ "ราคา" เมื่อทุกอย่างแย่



"วิกฤตซ้อนวิกฤต" ... มันสอนอะไรเรา ..มันสอนว่า History Always repeat itself เสมอ!! ... เวลานี้เราเจอ วิกฤต ภายนอก คือ "หนี้ยุโรป" ... เด้งแรก ...ส่วนวิกฤตภายใน เราเจอ "น้ำท่วม" ...เด้งสอง!!

... ถ้ามองในเชิง คณิตศาสตร์ "ลบ กับ ลบ มันเท่ากับ บวก" (อ้าว!! ทำไมเป็นอย่างนั้น) ...ในฐานะนักลงทุนระยะยาว การมีวิกฤต ถือเป็นบททดสอบหุ้นของเรา ว่ามีใครอยู่ในหุ้นเราบ้าง ... "เพราะโดยปกติ เวลาตลาดดี คุณไม่รู้หรอกว่า ในหุ้นที่เราชอบ มันมีใครอยู่ในนั้นบ้าง เช่น มีทั้ง นักลงทุนระยะยาว ระยะสั้น เจ้ามือ นักปั่น และอื่นๆ

...แต่เวลาเกิดวิกฤต นักลงทุนระยะสั้น นักปั่น และ นักเก็งกำไร จะโดดออกก่อน ...คนที่เหลือถือหุ้นอยู่ ก็จะมีแต่ นักลงทุนระยะยาว กับ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น(จำใจติดดอย)

ระหว่างทางที่หุ้นดิ่งลง ..คนที่จะโดดออกคนต่อไป ก็คือ นักลงทุนระยะยาวจำเป็น (ซึ่งกลุ่มนี้ ขอบอกว่า น่าสงสารสุดๆ เพราะเขาซื้อหุ้นจากยอดดอย แล้วมาขายทิ้งในเวลาที่ ฮึม!! แม่เจ้า ..ไม่น่าขายสุดๆ) -- แต่มันเป็นวัฎจักร

อันนี้บอกตรงๆ คนไม่เคยสัมผัส สอนอย่างไรก็ไม่เข้าใจ ..พอเจอเอง "อ๋อ!! เข้าใจแล้วพี่" (ก็ไม่เป็นไร เข้าใจแล้ว คราวหน้า อย่าทำแบบนี้อีก) ...ประเด็นคือ ด้วยหลักของ Demand & Supply ที่กำหนด การขึ้นลงของหุ้น(ในระยะสั้น) -- เมื่อทุกคนที่อยากจะขายหุ้น ได้ขายหมดแล้ว .."ตรงจุดนั้นแหละ ก็คือ Bottom ของรอบนี้ (สังเกตผมพูดว่า Bottom ของรอบนี้ ..ไม่ใช่ Bottom ของราคาหุ้น เพราะจุดต่ำสุด และสูงสุดของราคาหุ้น มันไม่มี ..อย่าไปพยายามหา เพราะมันไม่มี!!... เอาแค่หา "รอบ" การขึ้นลงของ "ราคา" ก็ทำเงินได้แล้ว)

....ทั้งหมดที่ผมพูดขึ้นมา คือ อยากให้ลองศึกษากันดูครับว่า ตลาดหุ้นจริงๆแล้ว เราเล่นอยู่กับอะไร ..ใช่!! ใจของเรา นี่แหละสำคัญที่สุด (จุดซื้อของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าซื้อในแต่ละรอบ ..จุดขายของมวลชน คือ จุดที่ไม่น่าขาย ในแต่ละรอบ ... แต่ที่มันยาก ก็เพราะ "ผลจากการกระทำของมวลชน" มันก็คือ "ราคา" นั่นเอง ...)

คิดดีๆครับ "ราคา" คือ ผลลัพธ์ จากการ ซื้อขายหุ้นของมวลชน ที่เราเรียกว่า Demand & Supply ของหุ้นแต่ละตัวนั่นเอง ..... "ใครผ่านวิกฤตครั้งนี้แล้ว เข้าใจ "จิตวิทยามวลชน" ..คุณก็จะเข้าใจการขึ้นลงของ ราคาหุ้นนั่นเอง"

ขอเล่าเรื่องย้อนไปช่วงวิกฤต 2008 ช่วงปลายปี "วิกฤตภายนอก คือ Sub-Prime" ส่วน "วิกฤตภายใน คือ ปิดสนามบิน" ... บ้าไปแล้ว!! ช่วงนั้น ราคาหุ้นอยู่แถว 400 จุด บวกลบ .. Volume ก็ไม่มี ..แย่กว่าเวลานี้อีกนะ เพราะเวลานั้น Volume ไปเหลือ 3,000 ล้านบาทต่อวัน .. "หลายคน อาจบอกว่า "รู้งี้" เวลานั้น น่าจะซื้อนะ ..." -- ประเด็น คือ แล้วเวลานี้ล่ะ ..มีทั้งวิกฤตหนี้ยุโรป ...และมีทั้งวิกฤตน้ำท่วม เสียหายทั้งประเทศ แต่ทำไม Volume ยังเป็น "หมื่นล้าน" -- ทำไมมันไม่แย่เหมือนปี 2008 ล่ะ ... "ฮึม!! คำอธิบายจริงๆ มันก็ไม่มีอะไรซับซ้อน เพราะจากวันนั้น ถึงวันนี้ อเมริกา พิมพ์เงินจากลม เข้าสู่ระบบ อัดฉีดเข้ามาอย่างมหาศาล ... และล่าสุด อเมริกาดันทำ Operation Twist นั่นคือ ขายหนี้ ระยะสั้น เพื่อเอาไปซื้อหนี้ระยะยาว ..พูดให้ง่ายๆคือ ใช้วิธีทางการเงินกดดอกเบี้ยระยะยาว ให้ลดลงนั่นเอง -- ภาพที่เกิดขึ้นคือ หนึ่ง เงินล้นโลก สอง เงินที่ล้นโลกมันวางอยู่ในที่ ที่ไม่มีผลตอบแทน เช่น สินทรัพย์ไม่เสี่ยง พันธบัตร ...ครับ!! ฟังดู ไม่ Make Sense ใช่ไหม ว่าทำไม คนส่วนใหญ่ รวมทั้งกองทุนทั่วโลก ถึงโยกเงินกลับไปสู่ สินทรัพย์ที่ไม่ให้ผลตอบแทนอย่าง ตราสารหนี้สหรัฐ ...ถูกต้อง!! ก็เพราะทุกคนในโลก "กลัว" นั่นเอง ..

"กลัวอะไร.. !!" ..ก็กลัวว่า เศรษฐกิจจะกลับไปย่ำแย่เหมือนเดิม ... ดังนั้น พฤติกรรมที่นักลงทุนทั่วโลกทำ คือ เทขายสินทรัพย์เสี่ยงต่างๆ แล้วโยกกลับไปสินทรัพย์ที่เขาเห็นว่าไม่เสี่ยง อย่างตราสารหนี้อเมริกัน (เพราะตราสารหนี้ อเมริกา คือ เทียบเท่าเงินสด ..ดังนั้น แม้ว่า ผลตอบแทนจะไม่มีเลย คนก็จะยังโยกเงิน เข้าไปใส่ในเวลาที่เขากลัว) ..สิ่งนี้เอง เป็นการอธิบายได้ว่า ทำไมเวลา เรามีวิกฤตแรงๆ เงินดอลลาร์ จะแข็งขึ้น ..อย่างปี 2008 เงินดอลลาร์ ก็แข็งขึ้น(ในช่วงสั้นๆ) ...และเวลานี้ปี 2011 ดอลลาร์ก็กำลังแข็งค่าขึ้น -- "คุณรู้ไหม คำถามที่ ถามแล้วเป็นประโยชน์ในเวลานี้ ซึ่งถามแล้ว ทำเงินได้ คือ คำถามอะไร"

"ถูกต้อง!! ต้องถามว่า เงินดอลลาร์ในภาพใหญ่ จะแข็งต่อไป หรือไม่" ...เพราะถ้าเงินดอลลาร์แข็งต่อไป นั่นแปลว่า ทุกคนจะยังคงกลัว และ เทขายสินทรัพย์เสี่ยง ..นั่นแปลว่า ทั้งหุ้น ทอง น้ำมัน และ Asset ต่างๆ จะลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ...... ผมขอฟันธงตรงนี้เลยว่า "ไม่ใช่!!" ...ราคาของสิ่งต่างๆ ถูกกำหนด โดย Demand & Supply ของสิ่งนั้นในระยะสั้น ผมไม่เถึยง นี่เป็นเหตุผลที่ทำไมเวลานี้ ทุกคนเทขายสินทรัพย์เสี่ยง ก็เลยทำให้ ราคาของ Asset ทุกอย่างลดลง ในขณะที่เงินดอลลาร์แข็งค่าขึ้น ...แต่อย่าลืมนะครับว่า สิ่งที่กำหนด "ราคา" ในระยะยาว มันคือ "พื้นฐานที่แท้จริงของกิจการ และสิ่งต่างๆ" (ผมถึงย้ำเสมอว่า สุดท้าย ราคา จะสะท้อน มูลค่าที่แท้จริง ณ จุดใดจุดหนึ่งของเวลา) -- อันนี้แหละ วลี ที่สร้างให้ นักลงทุนระยะยาว หรือ VI รวยในระยะยาว เพราะ คนเหล่านี้ เขายึดมั่นอยู่กับ มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ต่างๆนั่นเอง

"คำถามคือ ในภาพใหญ่ มูลค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ จะเป็นอย่างไร" ... ก็ไม่ยาก ...ตราบใดที่รัฐบาล ที่ใหญ่ที่สุดในโลกอย่าง อเมริกา และ ยุโรป ยังเพิ่ม Supply ของเงินอัดเข้าระบบ แบบไร้ขีดจำกัด ...มูลค่าของเงินก็จะลดลงเรื่อยๆ นั่นก็คือ สิ่งที่จะเห็นคือ "เงินเฟ้อจะรุนแรงขึ้นเรื่อยๆ" เพราะ เมื่อเงินลด ..Asset ต่างๆ ก็จะเพิ่มมูลค่า ....ประเด็นที่สอง ...สุดท้ายเงินจะวิ่งเข้าหาที่สูงเสมอ นั่นคือ Asset ใดที่ให้ผลตอบแทนดีกว่า ...เงินก็จะไหลไปที่นั่น ...ถ้าถามว่าพันธบัตร และตราสารหนี้ มันไม่สามารถตอบโจทย์ผลตอบแทน เพราะดอกเบี้ยมันถูกกด และ สิ่งที่กดดอกเบี้ยอย่างไร้สาระคือ Operation Twist ซึ่งผมบอกได้เลยว่า ไม่ work ..เพราะเมื่อ "ความกลัว" หรือ Fear มันหมดลง ..นักลงทุนก็จะโยกเงินกลับไปสินทรัพย์ที่เสี่ยง อย่างแน่นอน ...และประเด็นที่สาม ที่ผมให้ความสนใจในเวลานี้คือ ภัยภิบัติธรรมชาติทั่วโลก ...มันจะส่งผลให้ Supply ของ อาหารการกิน มันตึงตัวอย่างแน่นอน ... ดังนั้น อีกไม่นาน ราคา Commodity และ อาหาร จะต้องกลับมาพุ่งกระฉูด แบบที่หลายๆคนตั้งตัวไม่ทัน

จึงไม่น่าแปลกใจเลยว่า ..ในระยะยาวคนที่เข้าใจ "มูลค่าที่แท้จริงของกิจการ และ Asset ที่ตัวเองถือครอง จะเป็น ผู้ที่กำชัย ในสงครามเศรษฐกิจโลก ในครั้งนี้ได้" ...ครับ!! สุดท้าย Asset ก็คือ ของจริง ... สิ่งที่เราต้องกิน ต้องใช้ ..ผลตอบแทนในรูป กำไรของกิจการ ...เงินปันผลที่เป็นเงินจริงๆ ..ที่ดินที่ดี ..ของกินของใช้

... คิดดีๆ ครับ เวลาที่โลกเกิดภาวะปั่นป่วน มันไม่ใช่เวลาที่จะวิ่งเข้ากอดสิ่งที่เรามองว่าไม่เสี่ยงอย่างเงิน (เพราะคุณกำลังทำเหมือนมวลชน และคนส่วนใหญ่) ..เพราะ "เงิน" จริงๆมันคือ ผลลัพธ์ของ "ราคา" ซึ่งมันจะสะท้อน ออกมาเป็นมูลค่าของสิ่งต่างๆ ในอนาคต ... ที่เขาบอกว่า คนรวยยิ่งรวย คนจนยิ่งจน ก็เพราะ คนรวยเขาถือครอง Asset นั่นเอง

"เวลาที่คนอื่นขายหนักๆ ... เวลาที่ข่าวร้ายมากๆ -- มันคือ เวลาที่คุณจะสามารถหาของถูกจากตลาดนั่นเอง(อยู่ที่จังหวะ) ... และขอฝากอย่างนึงว่า อย่าไปมัวหาจุดต่ำสุดของราคา .."มันไม่มี" ..จุดที่ดีที่สุด ก็คือ จุดที่เรารับความเสี่ยงได้ (ซึ่งแต่ละคนรับความเสี่ยงได้ ไม่เท่ากัน) ...หากเราจะซื้อหุ้นระยะยาว เพื่อจะไปขายต่ำกว่าที่ซื้อ ผมว่า คุณเปลี่ยนไปเล่น Technical รอ Trend แล้วซื้อแพง ไปขายแพงกว่า จะดีกว่า

.... "สุดยอดการลงทุน คือ เราเข้าใจความเสี่ยงที่เราสามารถรับได้ ..นั่นแหละสุดยอดครับ!!"

วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2554

หมั่นสร้าง และรับ "แรงบัลดาลใจ" ..ต้นกล้าแห่งความสำเร็จ



ผมได้ข่าวการเสียชีวิตของ Steve Jobs แล้วใจหาย!! ...แม้ผมจะไม่ได้เกี่ยวอะไรกับเขาเลย ..แต่ผมก็สัมผัสความยิ่งใหญ่ของคนๆนึง ที่มีต่อผู้อื่นอีกมากมายในโลก ...ตัวผมเอง ได้แรงบัลดาลใจหลายๆอย่างจาก Steve Jobs ไม่ว่าจะเป็นแง่คิด และ การดำเนินชีวิต .. Steve พูดว่า ให้ทำในสิ่งที่รัก "ใช่!! มันเป็นอะไรที่ฟังแล้ว Simple แต่น้อยคนนักที่จะมานั่งคิดว่า จริงๆแล้วประโยคคำพูดสั้นๆ นั่นมีความหมายลึกซึ้งเพียงใด"

เศรษฐีหมื่นล้านแสนล้าน จริงๆ ก็ไม่ได้ มีอะไรที่แตกต่างจากคนธรรมดาเท่าไหร่ อย่าง Steve Jobs มีวิถีชีวิตที่ง่ายสบายๆ แต่งตัวง่ายๆ กินง่ายๆ ...แต่สิ่งที่ซับซ้อนคือ กระบวนความคิดที่จะสร้างสรรค์ และสร้างสิ่งที่ดีที่สุดให้แก่โลกนี้ ..ครับ!! สิ่งเหล่านี้ มันทำให้ผมฉุกคิด ถึงหลักความสำเร็จของชีวิตว่า มันไม่ใช่เรื่องที่ซับซ้อน

..เพราะแท้จริงแล้ว ความสำเร็จของคนๆหนึ่ง มันจะไม่สามารถหาได้จากวิธีการ "กอบโกย" แต่ฝ่ายเดียว ..นั่นเป็นแนวคิดที่แคบ และ ไม่สามารถเป็นกลไกที่เกิดขึ้นอย่างยั่งยืนในสังคมได้ ..."สุดท้ายผู้ที่สร้างความมั่งคั่ง จากการโกงผู้อื่น การกอบโกย การติดสินบน การเอาเปรียบ ..ไม่มีใครพบจุดจบที่ดีเลย"

ดังนั้น ความสำเร็จที่แท้จริง และ ยั่งยืน ในโลกปัจจุบัน มันจึงมาจาก Business Concept ของการให้ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ซึ่งในทางพุทธศาสนา เรียกสิ่งนี้ว่า "เมตตา" ... ถ้าเรามองไปรอบๆตัว เราจะเห็นเลยว่า ทั้งชีวิต และธุรกิจรอบๆตัวเรามันคือ Red Ocean มันเป็น Business Concept ที่มุ่งแข่งขัน กินเลือดกินเนื้อ ..Win - Lose Game ตลอดเวลา ... ผลที่เกิดขึ้นคือ ความวิบัติในโลกการเงิน เศรษฐกิจ และ สังคม

การเกิดขึ้นของโลกเครือข่าย Internet ที่เชื่อมโยงทุกชีวิตบนโลก มันเป็น Step ที่ยิ่งใหญ่ของมวลมนุษย์ เพราะ ยุคนี้ มันเท่ากับว่า โอกาสมันเปิดกว้างให้แก่ทุกคน ...ทุกวันนี้ เราสามารถมีสื่อของตัวเอง ..เราสามารถมีสิทธิมีเสียง และ เชื่อมโยงกับคนที่มีแนวคิดเดียวกัน ชอบสิ่งเดียวกัน และนั้นคือ โอกาสที่เปิดกว้าง แบบที่ไม่เคยมีมาก่อน ...พลังแห่งการสร้างสรรค์ หรือ Productivity มันสูงขึ้นแบบก้าวกระโดด ..ปัจจุบัน คนหนึ่งคนสามารถสร้างสรรค์ผลงาน ได้มากเท่ากับคนหลายๆคนทำในอดีต ...และนั่นเป็นที่มาของ One Man Company ...แน่นอน!! สิ่งเหล่านี้นำมาซึ่ง โอกาส และ ข้อจำกัดในเวลาเดียวกัน "คนที่เก่งจึงยิ่งรวย แต่คนที่ไม่พัฒนาความสามารถของตัวเอง จึงจนลงเรื่อยๆ"

หลักความสำเร็จ ที่แท้จริง ในปัจจุบัน จึงต้องเริ่มที่ การให้ ...ก่อนรับ มันเป็น Win -Win Business Model ที่องค์กรอย่าง Google หรือ Facebook ได้แสดงให้เราเห็นว่า ..หากโจทย์การเดินทางของคุณ คือ การเดินทางเพื่อสร้างประโยชน์ และพลิกชีวิตของคนอื่นให้ดีขึ้น ... ยิ่งคุณสร้างประโยชน์แก่ผู้อื่น และ เปลี่ยนชีวิตของคนอื่น ได้มากและสร้างสรรค์ ด้วยต้นทุนที่ต่ำเท่าใด ..มันคือ ความสำเร็จ ที่ยิ่งใหญ่กว่า Blue Ocean ทางการตลาดเสียอีก ...

สุดท้ายแล้วผมเชื่อว่า แต่ละคนสามารถเลือก ว่าต้องการมีเส้นทางชีวิตแบบไหน ... "คุณเชื่อหรือไม่ว่า Mind Set ของแต่ละคน ณ วันแรกที่เริ่มทำงาน หรือ ลงทุน มันได้กำหนดผลลัพธ์และความสำเร็จของคุณเรียบร้อยแล้ว ...มีสิ่งที่ผมชอบพูด ติดตลกเสมอๆว่า ...อยากรู้ว่าใครจะประสบความสำเร็จ หรือ ล้มเหลว แค่นั่งคุย 5 นาที ก็รู้แล้ว ..เพราะ Mind Set มันเป็นตัวกำหนด พฤติกรรมของเรา ...ความคิด จึง กำหนดการกระทำ และ มันก็คือ เครื่องชี้วัดความสำเร็จ ที่เราค่อยๆเดินตามไปนั่นเอง"

หากวันนี้ คุณอยากก้าวเดินไปในทางของ ผู้ที่ประสบความสำเร็จ และ มั่งคั่ง ...มันต้องเริ่มที่เราเข้าใจ เป้าหมายของเราชัดเจนหรือยัง ...เส้นทางที่เราเดิน เราเข้าใจ เส้นทางนั้นๆ มากน้อยเพียงใด ... ก็ฝากประโยค Classic ของ Steve ให้คิดกันลึกๆ อีกครั้ง ..."ให้ทำในสิ่งที่รัก และทำให้ดีที่สุด" ...ส่วนที่ผมอยากจะขอเสริมแง่คิด คือ "คุณต้อง เมตตา" ..และนั่นคือ ความสำเร็จแบบ Win-Win ที่ยิ่งใหญ่ที่สุด ..เพราะหากทุกคนในประเทศ มุ่งทำงานเพื่อสร้างสรรค์ให้ชีวิตและความเป็นอยู่ของคนอื่น ดีขึ้น มั่งคั่งขึ้น ..ตามแต่กำลังความสามารถของตัวเองจะทำได้ ...สุดท้ายแต่ละคนก็จะได้ผลลัพธ์นั้นๆ กลับเข้าหาตัวเอง และกลายเป็นสังคมแห่งการให้ และ มั่งคั่งนั่นเอง

"อาชีพอะไร" ...ผมอยากให้มอง ข้ามกรอบของคำว่า อาชีพ เพราะมันจำกัด ให้คุณต้องทำ สิ่งที่คนอื่นทำได้ดีอยู่แล้ว ... "อาชีพ" ที่ดี คือ ทำอะไรก็ได้ ที่เราชอบ ..แล้วถ้ามันสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ไม่ว่าจะเป็น ในแง่ของความสุข หรือ ความสบาย ...และเขาเหล่านั้น ยินดีที่จะจ่ายเงินแลกเปลี่ยน ประสบการณ์นั้นๆ มันก็คือ "อาชีพ" แล้ว... ดังนั้น มันไม่ใช่การเลียนแบบ หรือ เห็นคนอื่นทำแล้วทำบ้าง แต่มันคือ การสร้างสรรค์อะไรก็ได้ ที่จะเปลี่ยนชีวิต ของคนอื่นให้ดีขึ้น ไม่ว่าจะเป็นทางในทางหนึ่งก็ตาม ... ยิ่งสิ่งนั้นๆ สามารถสร้างประโยชน์ให้แก่คนอื่นมากเท่าไหร่ ในต้นทุนที่ต่ำ มันคือ ธุรกิจที่จะยิ่งใหญ่มหาศาลในอนาคต

-- ทุกวันนี้เรามีสื่ออยู่ในมือ (หากเราหยุดปลูกผัก มันจะเริ่มเป็นกระบอกเสียงแห่งโอกาส ...ทั้ง Facebook และ YouTube) ...เรามีเวทีที่เราสามารถสร้างได้เอง เช่น Blog (มันเป็นพื้นที่ทางความคิด ที่ใครๆก็เริ่มได้ฟรี) ...เรามี อากู๋ (Google ที่สามารถหาความรู้ได้อย่างไม่จำกัด) ...ประเทศเรามีทรัพยากร และพื้นที่การเกษตร และ การท่องเที่ยวที่อุดมสมบูรณ์ .... มี OTOP และสิ่งต่างๆ ที่รอการพัฒนา ...เรามีโรงงานนรก ที่รอคนรุ่นใหม่ มาสร้างตลาด ใส่นวัตกรรม และสร้างมูลค่าเพิ่ม ... เรามีตลาดทุน และเงินทุนมหาศาล ที่วางอยู่ในธนาคาร รอแต่คนที่มีความสามารถมาบริหาร ... "แต่คุณจะต้องเร่ิมจากการพัฒนาความสามารถ และปัญญาของเราให้ดี ให้เก่ง ในสิ่งที่เราจะทำ -- อย่างมุ่งมั่น"

... "เริ่มที่ตัวคุณ ..ถามว่าเราจะสร้างสรรค์ และสร้างประโยชน์ให้แก่ผู้อื่น ด้วยสินค้าและบริการ อะไร ..อย่างไร ...นั่นแหละคือ โอกาส!!" (ที่เราสร้างเอง) ...กล้าที่คิด และ กล้าที่จะทำ !!

"คุณ คือ คนที่ยิ่งใหญ่!!"

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2554

เมื่อ Trader มาเจอกัน



"ผมเป็นคนนึงที่พยายามหาคำตอบเสมอ ว่าความหมายของชีวิต คืออะไร" ... คนเราเมื่อผ่านจุดล้มเหลวสุดๆ คุณจะหลุดกรอบ ..กรอบที่เรียกว่า "ความกลัว" ..แต่สิ่งที่เราได้มาอีกอย่างแบบไม่รู้ตัวจากวิกฤตชีวิต มันคือ "สติและปัญญา" ของแบบนี้ แนะนำกันได้ แต่สอนกันไม่ได้ เพราะมันคือ จังหวะก้าวเดินที่ทุกคนต้องผ่าน ... "สำเร็จ และ ล้มเหลว" มันเป็นทางเดินที่ ทอดยาวไปด้วยกัน ..คนที่ประสบความสำเร็จยิ่งใหญ่ แปลว่า เขาได้เดินผ่าน Cycle ของสิ่งที่คนอื่นกลัวและก้าวไม่ผ่าน แล้วเดินต่อ ต่อไป ต่อไป ...และ ต่อไป ..."นั่นแหละชีวิต ..มันคือ สิ่งที่แต่ละคนเลือกเอง" -- ผมเลือกจะรู้ว่า สิ่งที่ผมเลือกจะพาผมไปสู่เป้าหมายอะไร ... ถูกต้อง!! สุดท้าย เราเอาอะไรไปไม่ได้เลย ... เงินจึงต้องเปลี่ยนเป็นความสุขระหว่างทางที่เดินไป (สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด คือ ปัญญาของเรา ..ทุกครั้งที่เราล้ม หากเราลุกขึ้นมายืนได้ เราจะพร้อมกับสิ่งที่ใหญ่ขึ้น ..) .. ทำสิ่งที่คุณรัก ..กล้าที่จะก้าวไป ..นั่นแหละชีวิตของผู้ที่ประสบความสำเร็จ ในแบบของเราเอง!!



ผมว่าหลายคนมองอาชีพ Trader ว่าเป็นอะไรที่หาเงินง่าย ..ใช่ มันคือ Fast Money -- come & go มาไวไปไว นั่นแหละครับ ..ตั้งแต่ที่ผม พบ Trader ในวงการมากมาย ยังไม่เคยเจอใครที่ไม่เคยเสียหนักๆเลยสักคน .. ที่หนักคือ "หนัก" แบบหมดตัวเลยนะ ไม่ใช่แค่เสีย จิ๊บๆ ... แต่คนที่ผ่านมาได้ ผมเห็นการ Develop ในเร่ื่องของ Mind Set ของการลงทุน ที่เปลี่ยนไป

..คนใกล้ตัวผมอย่าง ป๋าหยง และ น้องพีร์ ผมว่า สุดยอดในเรื่องของ วินัยนะ และการไม่ฟันธง ..เพราะสุดท้ายเมื่อ คุณ Trade for a Living จริงๆ มันย่อมต้องผ่าน Cycle ขึ้นแรง ลงแรงตลอดเวลา..

"รวยเร็ว!!" เป็นกับดัก ที่ Trader ส่วนใหญ่ก้าวผ่านไม่ได้!! ....และเขาเหล่านั้น ก็ไม่สามารถผ่านมันได้เลย ...จึงมักรวยเร็วและก็หมดตัวตามมา แบบยืนไม่ได้อีก ... จริงๆ ความสำเร็จ ของ Trader มันอยู่ที่การเข้าใจว่า ตลาดคือ ความไม่แน่นอน ..."เมื่อคุณตั้งรับกับความไม่แน่นอน คุณจะเป็นคนที่ประสบความสำเร็จอย่างแน่นอน และนั่นคือกฏ"

การที่คนส่วนใหญ่ มองไปทางไหนเหมือนๆกัน -- มันเป็นความน่ากลัวแบบสุดโต่ง เพราะราคามันไม่ได้ขึ้นกับพื้นฐาน(ในระยะสั้น) แต่มันขึ้นกับ Demand & Supply ในช่วงเวลานั้นๆ .. ผมบอกได้เลยว่าเทคนิคของ Technical Analysis มันเรียนแป๊บเดียวก็ตามกันทัน แต่ Mind Set มันเป็นสิ่งที่ ตามกันไม่เคยทัน และ มันก็เป็นสิ่งเดียวที่แยก Trader ที่ประสบความสำเร็จ กับ คนส่วนใหญ่ที่ล้มเหลว..

"เสียไม่ได้!!" ก็เป็น กับดักทาง Mind Set ที่ทำให้คนส่วนใหญ่ เสียหมดตัว ..เพราะ การลงทุน มันเสียได้!! -- แต่มันขึ้นกับเรา "จำกัดความสูญเสีย ให้ความเสียนั้นๆ เป็นความเสียที่เรารับความเสี่ยงได้.. ก็เท่านั้นเอง -- จึงไม่แปลกสำหรับ พวกที่เล่น Margin มากๆ และ Over Trade ไม่เคยอยู่ได้ในระยะยาวอย่างแท้จริง" ...คนที่ไม่เข้าใจประเด็นนี้ มักจะมี Draw Down หรือ การขาดทุนที่ลึกมาก ..ลึกจนไม่สามารถทำใจกลับมา Trade ได้อีกเลย... และนั่นคือ ความล้มเหลว และ ล้มเลิก อย่างถาวร!!

...การลงทุนจริงๆ มันไม่มีอะไรมากไปกว่า การเข้าใจตัวเอง ... คนที่สามารถรวยหลักร้อยล้าน เพราะเขามี Mind Set ที่สามารถบริหารเงินระดับร้อยล้าน ...คนที่มีเงินพันล้าน ก็เพราะเขามี Mind Set ที่สามารถบริหารเงินระดับพันล้าน ... หลายคน พยายามผ่าน Limit ของการโตของ Port แล้วติด ตามขนาดทุนต่างๆ บางคนติดที่หลักแสน แล้วผ่านไม่ได้ ..บางคนติดที่หลักล้าน แล้วผ่านไม่ได้ ...บางคนติดที่ร้อยล้าน แล้วผ่านไม่ได้ ...ก็นี่แหละที่อธิบายว่าทำไม ..ก็เพราะ Mind Set ของเขา มันตั้งไว้ให้เขาสามารถบริหารจัดการเงินได้เท่านั้น ก็เท่านั้นเอง

คนที่ประสบความสำเร็จ มีมากมาย เพียงแต่เขาเหล่านั้น ไม่ได้มาเล่าให้เราฟัง ..เพราะแท้จริง การถ่ายทอด Mind Set ออกมาเป็นคำพูด และสอนออกไป มันถูกมองว่า "เพี้ยน!!" ..คนรวยจึง เก็บความรวยและปัญญา ไว้ที่ตัวเขาเอง

"บอกตามตรง เราทั้งสามคน ทั้ง ผม , ป๋าหยง และ พีร์... แม้จะเดินทางศึกษามาคนละสาย แต่เราเห็นตรงกันว่า ..คนที่น่าสงสารที่สุด ก็คือ คนที่ไม่เคยล้มเหลวเลย ...ดังนั้น เขาจึงไม่รู้ว่า ความล้มเหลว เป็น Step ที่ต้องผ่านก่อนไปสู่ความสำเร็จ ... เมื่อผ่านความล้มเหลว ครั้งแรก เราก็จะเจอความสำเร็จครั้งแรก ..เมื่อล้มเหลวครั้งที่สอง เราก็จะผ่านไปสู่ความสำเร็จครั้งที่สอง ...ดังนั้น สิ่งที่ต้องก้าวผ่านจริงๆ คือ "ความกลัว" ...เงินที่เราล้มเหลวในครั้งแรก มักเป็นเงินของเรา หรือของพ่อแม่เราเสมอ ..แต่หลังจากนั้น คุณจะหาคำตอบได้เอง ว่าทุนในครั้งต่อไป จะมาอย่างไร -- แปลกนะ ที่เรื่องเหล่านี้ เป็นเรื่องที่สอนกันแทบไม่ได้ ...แต่ผมอยากให้กำลังใจทุกคนที่เจอกับวิกฤตชีวิต ว่าอย่าท้อ ..เพราะถ้าผ่านได้ มันก็คือ เส้นทางสู่ความสำเร็จ!!

"ที่สุด ไม่เคยมี !!" ...ถูกที่สุด แพงที่สุด ไม่เคยมี ..อารมณ์ทำให้เรามองทุกอย่างสุดโต่ง ..แต่จริงๆแล้ว ทุกอย่างในโลก วิ่งเป็น Cycle ไปเรื่อยๆ ... นั่นเกิดจาก อารมณ์ของมนุษย์ ที่กำหนด การเคลื่อนไหวของ "ราคา" ของสิ่งต่างๆทั่วโลก

คนจะรวยได้สุดๆ ไม่มีทางมาจาก "ค่าจ้าง" เพราะแรงงานของเรามีจำกัด ...สิ่งที่ทำเงินให้เราแบบไม่รู้จบคือ "การลงทุน" ..และ การครอบครอง Asset ในเวลาที่ถูก แล้วไป ขายแพง มันเป็น ทางเดียวที่ทำให้เรารวยได้ ...แต่ต้องเข้าใจว่า ไม่ใช่ถูกที่สุด หรือ แพงที่สุด เพราะมันไม่มี!! จริงๆ ... หากเรารู้จักตัวเอง เราจะสามารถกำหนดแนวทางการลงทุน ที่เหมาะกับเราที่สุด ..นั่นแหละ เจ๋ง จริง!!

ใครๆก็รวยได้ครับ ..แต่เราต้องให้เวลาศึกษา ตัวเราเอง ... สู้ สู้ ครับ (อย่างน้อยผม , ป๋าหยง และ พีร์ ก็กำลังเดินทางไปในสายนี้ ไปพร้อมๆกับคุณ ... ค่อยๆเดินกันไป เดี๋ยวก็ถึง.. แต่ให้มีความสุข บนทางที่เดินไป ... ฮ่า ฮ่า "จุดหมายที่ปลายเท้า"!!!)

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ