แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

คุณเคยคิดไหมว่า ภาพลวงตาของตัวเลขเศรษฐกิจ (ณ ปี 2010) มันคืออะไร



“แม่นแล้ว!!” ปัญหาของมนุษย์ที่ไม่สามารถมองภาพใหญ่ในโลกของการเงิน เพราะตัวเลขต่างๆมันอยู่คนละหน่วย เวลาเรามาเทียบความมั่งคั่งของคนหรือขนาดของกิจการ มันทำให้คุณอยู่ในสภาพ งง เป็นไก่ตาแตก

อย่าง Bill Gates ที่ทุกคนรู้จักกันปี เขารวยสุดๆ มีทรัพย์สินประมาณ 53 billions (คือตรงนี้ถ้าเทียบเป็นเงินบาทก็จะเท่ากับ 1.59 ล้านล้านบาท … คิดง่ายๆว่ามันเยอะขนาดไหน ก็มูลค่าสินค้าการเกษตรของไทยทั้งหมดยังแค่ 0.2 ล้านล้านบาท คือเอามูลค่าของอาชีพที่คนส่วนใหญ่ในประเทศไทยซึ่งก็คือชาวนา เอามูลค่ามารวมกันทั้งปี น้อยกว่าความรวยของ Bill Gates คนเดียวถึง 7 เท่า)

เอาละผมจะเปลี่ยนหน่วยมูลค่าของเศรษฐกิจไทยให้เป็น ดอลลาห์จะได้ง่ายต่อการเห็นภาพ GDP ของประเทศไทยทั้งปี มีมูลค่ารวมกันแค่ 263 billions ( ทั้งประเทศเทียบขนาดก็ใกล้ๆกับ บริษัทอย่าง “GE ซึ่งมีมูลค่า 170 billions” , “IBM 167 billions” , “Nestle 173 billions” , “P&G 184 billions” , “Johnson&Johnson 175 billions” , “Microsoft 254 billions” , “Apple 190 billions” ) ..เห็นไหมครับว่า ประเทศไทยเราเล็กขนาดไหน

บ้านเรานำด้วย การส่งออก ซึ่งมีมูลค่ารวมประมาณ 106 billions ..ส่วนการนำเข้า 83 billions
การใช้จ่ายภาคเอกชน (Private Consumption) รวมประมาณ 80 billions ..ส่วนใช้จ่ายภาครัฐรวมประมาณ 14 billions

ในส่วนของผลผลิตรวม ในส่วนที่เป็นการเกษตรคือ 6.6 billions …ในส่วนที่ไม่ใช่การเกษตรคือ 140 billions (เห็นภาพหรือยังครับว่า ทำไมชาวนา ชาวไร่ ไม่รวย เพราะคนส่วนใหญ่ผลิตของที่สร้างมูลค่าเพียงแค่ 6.6 billions เท่านั้นเอง)
ในด้านการผลิตรวม (Manufacturing) รวมทั้งหมด 66 billions ..และในส่วนค้าส่ง + ค้าปลีก รวม 18.3 billions

เอาเงินฝากของคนทั้งประเทศไทยมารวมกัน มีมูลค่ารวมแค่ 220 billions …ในส่วน สินเชื่อรวมทั้งประเทศ รวมกันแค่ 206 billions

เอามูลค่าทุกบริษัทในตลาดหุ้นไทยมารวมกัน มีมูลค่ารวมแค่ 273 billions

แต่มีสิ่งนึงที่เรา “มีมากกว่าอเมริกา ..คุณรู้ไหมมันคืออะไร” ..ใช่แล้ว!! นั่นก็คือ เรามี Foreign Reserve มากกว่า อเมริกา (โอ้!!แม่เจ้า ประเทศเราเล็กเท่าขี้แมว มูลค่ารวมทั้งประเทศยังไม่เท่าบริษัทที่มีชื่อเสียงบริษัทเดียวเลย แต่กลายเป็นว่า ประเทศเราสามารถค้าขายเกินดุล และมีเงินเข้ากระเป๋ารวยกว่าอเมริกาเสียอีก Amazing ไหมครับ!!)

เรามี Reserve รวม 150 billions อยู่ในอันดับที่ 14 ของโลก (สิ่งที่ผมจะชี้ให้คุณเห็นคือ จริงๆแล้วเศรษฐกิจของเรา แม้จะมีขนาดเล็ก แต่การค้าขายมีกำไร คือมีคุณภาพว่างั้น ซึ่งต่างกับอเมริกา ที่ประเทศใหญ่โต แต่ค้าขายขาดทุน … )

(ประเทศที่มีการค้าขายกำไรมากที่สุดเรียงลำดับดังนี้ 1. จีน 2,400 billions / 2. ญี่ปุ่น 1,050 billions / 3. กลุ่มประเทศยูโร (ที่ทั่วโลกมองว่ากำลังโดนวิกฤต แต่แท้จริงค้าขายกำไร!!) 753 billions / 4. รัสเซีย 501 billions / 5. ไต้หวัน 380 billions / 6. ซาอุ 410 billions / 7. อินเดีย 300 billions / 8. เกาหลี(ใต้) 293 billions / 9. บลาซิล 287 billions / 10. ฮ่องกง 266 billions / 11. สวิส 249 billions / 12. สิงคโปร์ 221 billions / 13. เยอรมัน 205 billions และที่ 14 ก็พี่ไทยนี่แหละ มี Reserve 150 billions)

ประเด็นที่ผมจะชี้ให้เห็นก็คือ คุณเห็นไหมล่ะครับว่า ประเทศที่ค้าขายได้กำไร มันอยู่แถบเอเชียเป็นส่วนใหญ่ ผมถึงค่อนข้างจะมั่นใจว่า ยุคนี้มันเป็น “ยุคของเอเชียอย่างแท้จริง” The Beginning of Asian Miracle 2 นั่นเองครับพี่น้อง!!

ปล. ประเทศที่ฉลาดๆ อย่างสิงคโปร์ และผู้ค้าน้ำมัน (รวมถึงจีนและญี่ปุ่น) เริ่มฉลาด ในการค้าโลก คือแทนที่จะถือ Foreign Reserves เป็นเงินดอลล่าห์ (ซึ่งลดมูลค่าในอัตราเร่ง ชนิดห่วยแตก !! )

..ประเทศเหล่านี้เปลี่ยน Reserves มาเป็น Sovereign Wealth Funds แล้วเข้าไปถือครอง สินทรัพย์แทน ..ตัวอย่างใกล้ตัวสุดๆก็เช่น ทามาเส็ก ที่เข้ามาซื้อแล้วถือหุ้น ADVANC ..ฉลาดโคตร (คือ แทนที่จะโง่ถือดอลลาห์ สิงคโปร์ก็เปลี่ยนเป็นมาถือหุ้น ADVANC แทนซึ่งได้ผลตอบแทนปีละเป็น 10% แถมในอนาคตยังมีโอกาสได้กำไรจาก Capital Gain ของการลงทุนอีกด้วย) “ไม่รู้เมื่อไหร่ บ้านเราจะคิดตามคนอื่นเขาทันบ้างเนี่ย!!”

วันอาทิตย์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

กล้าที่จะคิดต่าง ในแนวทางของคุณเอง!!

(Cycle มันลงมานาน ตอนนี้มันจะขึ้นก็ไม่เห็นแปลก ..GDP ประเทศสูงกว่า ปี 1994 ตั้งนานแล้ว แต่ตลาดหุ้นไม่เคยไปไหน .."เรามองภาพต่างๆ โดนใช้อารมณ์ในช่วง 15 ปีที่ผ่านมาว่า หุ้นไหนไม่เคยไปไหน (จริงหรือ)")

เพื่อนหลายคนมาถามผมว่า ทำไมคุณแพ้ทชอบซื้อกิจการในขาลง (เพราะกิจการขาลง ตามหลักของ Technical มันย่อมต้องลงต่อ..ทำไมไม่ซื้อหุ้นร้อนๆที่ ซื้อแล้วขึ้นเลย) ตรงนี้ให้ผมตอบตรงๆก็ได้ ว่าผมเชื่อว่า แนวทางไหนที่คนส่วนใหญ่ทำ ผมจะไม่ทำ ..ในเมื่อเวลานี้ทุกคนชอบเล่นหุ้นร้อน "ผมก็จะไม่เล่นหุ้นร้อน..เพราะผมเชื่อสถิติของตลาดที่ว่า คนส่วนใหญ่ล้มเหลวในการลงทุนนั่นเป็นประเด็นแรกที่ผมไม่เดินตามคนอื่น และข้อสองคือ ผมไม่เชื่อว่าผมจะสุดยอด เก่งกว่าคนอื่น ดังนั้นวิธีการคือ ผมมองตัวเองว่าหากเราเป็นเพียงคนธรรมดา ..อะไรล่ะที่ง่ายที่สุด และกำไร (We're average!!,aren't we?)"

ความโชคดีมันอยู่ที่ การเล่นหุ้นขาลงในเที่ยวนี้มันมาพร้อมกับ ผลตอบแทนงดงาม ..ผมยกตัวอย่าง PTT --ผมถือตั้งแต่ปีที่แล้วนุ่น และก็ยังคงถือต่อไป ..จุดที่ผมเลือกซื้อ PTT คือ จุดที่ผมแน่ในว่าตลาดรวมเข้าสู่ขาขึ้นแล้ว แต่พลังงานยังอยู่ในขาลง ประกอบกับข่าว "มาบตาพุต" ในช่วงนั้นกระหน่ำเข้ามา ..หุ้น PTT จากวิ่งไปแตะ 280 บาทแล้ว ก็ตกรูดมาเหลือ 200 ต้นๆ "นั่นแหละโอกาสของคนธรรมดา ที่ไม่ต้องเก่งจะสามารถลงทุนได้ไม่ยาก..จริงไหม" (คำถามที่ confirm ว่าคุณมาถูกทางคือ "คุณบ้าหรือเปล่าที่ซื้อหุ้นนี้ ..ฮ่า ฮ่า นั่นแหละใช่เลย!!)

"คำถามคือ แล้วเมื่อไหร่ผมจะขาย" (เพื่อนๆหลายคนที่เล่นตามผม มักจะถามผมว่า ขายได้ยัง!!) ..ผมบอกว่า "ยัง" -- ไอ้จุดที่ผมจะขายก็คือ เมื่อธุรกิจพลังงานสิ้นสุด Cycle ขาลงแล้ว จากนั้นก็เข้าสู่ขาขึ้น ..มีข่าวดีมากมายว่าจะไปต่อไกลๆ ๆ น้ำมันจะ 200 เหรียญอีกครั้ง "คือเอาเป็นว่า เมื่อไหร่ที่มีแต่ข่าวดี และทุกคนอยากจะเข้ามาซื้อหุ้นผม ผมก็จะขายให้ในราคาที่ผมพอใจ..ว่างั้น!!"

ดังนั้น ตอนนี้ธุรกิจยังไม่ได้เข้าสู่ขาขึ้นเลย ดังนั้น จุดขายของผม มันไกลกว่านี้มาก ..ประเด็นคือ "แล้วถ้าราคาตกจะทำยังไง" ..ผมว่าจุดนี้แหละที่คนส่วนใหญ่​"ขายหมู" ในมุมมองของผม คือ การที่ผมจะเข้าซื้อได้ ผมต้องแน่ใจว่าเงินก้อนที่ผมลงทุน ได้รับผลตอบแทนที่คุ้มค่า ..ไม่งั้นคุณฝากธนาคารดีกว่าไหม

อย่างกรณีหุ้นพลังงานที่ผมลงทุน ผลตอบแทนแค่ปันผล ก็เหนือเงินฝากหลายเท่า ดังนั้นไม่ว่าราคามันจะผันผวนขึ้นลงอย่างไรระหว่างทาง ..มันก็เป็นเรื่องของราคา !! (แล้วไงล่ะ ผมพอใจกับผลตอบแทนระหว่างทาง ถูกไหม) ..จากนั้นเวลาที่ผมจะขาย ผมก็ค่อยมาดูราคาในตอนนั้น ..ซึ่งไม่ว่าจะต้องใช้เวลาอีก 2-3 ปี ผมก็สามารถรอได้ เพราะระหว่างที่รอ ผมก็ได้เงินปันผลเข้ากระเป๋าตลอด (ชิว!!) จากนั้นพอทุกอย่างดี เศรษฐกิจดี พลังงานกลับมาแตะ 100 เหรียญและมีแต่ข่าวดี "คุณคิดดูว่า เมื่อเวลานั้นมาถึง ราคาหุ้นมันจะอยู่ตรงไหน!!"

ครับ!! วิธีที่ผมใช้เหมาะกับคนทีี่มีเงินนอนเท่านั้น "ฟังดูง่าย แต่ทำไม่ง่าย ..เพราะวิธีนี้ไม่ใช่ซื้อแล้ว หุ้นจะต้องขึ้นเลย คือถ้าซื้อแล้วมันดันลงต่อ คุณต้องยิ้มได้ หรือไม่ก็ซื้อเพิ่ม (ฟังดูกวนประสาท แต่วิธีนี้ มันก็สร้างความมั่งคั้งให้นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลกอย่าง Warren Buffett มาแล้ว)

นี่แหละแนวทางสำหรับคนธรรมดาๆ ที่มีเงินนอน เวลาไม่เยอะมาก และมีจิตใจที่แข็งแกร่ง (ไอ้ตรง จิตใจที่แข็งแกร่ง ..ผมว่าคนส่วนใหญ่ผ่านตรงนี้ไม่ได้) ..อย่างที่บอกครับว่า การเล่นหุ้นคุณต้องหาแนวทางที่เหมาะกับตัวคุณเอง นั่นแหละสุดยอดที่สุดแล้วครับ!!

วันอังคารที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

แกะรอยหยักสมอง ภาค 2 "ใกล้จะพิมพ์แล้วจ๊า!!"


ต้นฉบับเล่มสองอยู่ในมือทีมงาน S2M แล้ว (กำลังตรวจแก้คำผิด
ส่วนเนื้อหาไม่ต้องตรวจ แน่นอยู่แล้วนะ !!..อิ อิ) ...
เอาว่าเล่มนี้ก็ฟันธงกันตามสไตล์ "จุดเด่นของหนังสือ คือ
ไม่ต้องรอให้คนเขียนรวยมากก่อน(ค่อยมาเล่า..อ่านไปก็เซ็งเพราะเราทำตามเขา
ไม่ได้ อย่างพวกแนะนำวิธีรวยด้วยที่ดินอย่างนี้
ใช่!!อ่านแล้วอยากเป็นราชาที่ดินบ้าง แต่ Cycle ที่ดินมันอยู่คนละขา
ตอนนี้ที่ดินไม่เคยกลับไปไร่ละหมื่นบาทอีกเลย..นี่แหละที่ผมมองว่า
ไม่ต้องรอให้สำเร็จสุดขีดแล้วค่อยเอามาถ่ายทอด .."S2M เราคือ
เฟ้นหาหลักการที่ใช่ แล้วสร้างความมั่งคั่งไปด้วยกันเลย ไม่ต้องรอ!!")

เพราะอย่างเล่มแรก หุ้นที่เลือกก็รวยกันไปตามๆกัน ..เล่มนี้ยึดแนวเดิม
ใครอ่านแล้วคิดตาม กล้าทำ กล้าเสี่ยง รวยไปด้วยกัน" (ที่รวยน่ะ
รวยจากลงทุนนะครับ ..อิ อิ เพราะขายหนังสือเมืองไทยทำไปก็ไม่ได้ตังค์
ร้านหนังสือเอาไปหมด ..แต่ไม่เป็นไร เราไม่ว่ากัน มันเรื่องธรรมดาครับ)

..เล่มสองนี้ลงขายที่ SE-ED แน่นอน เดี๋ยววางขายวันไหนจะแจ้งให้ทราบทันทีครับเพื่อนๆ

ปล. เดี๋ยวเตรียมพบกับ หนังสือคุณภาพของ S2M ที่จะทยอยออกมา ในปีหน้าเป็นต้นไป แต่ละเล่ม การันตีความมันส์โดย สำนักหัวเขียว S2M Center ..มีป๋ากึ้ง คอยใส่มุข ภาววิทย์มาใส่ไข่.. ส่วนเนื้อหา แน่นอยู่แล้ว ตามกลุ่มผู้ถ่ายทอดที่คัดมาอย่างดี ...อาทิ "หนังสือ คำสารภาพของ Day Trade" , "หนังสือ เซียนหุ้นไม่เต็มบาท" "หนังสือ Trade Commodity กับ Monkey Trade" รวมทั้งหนังสือ Basic การเล่นหุ้นทั้งแนว Fundamental และผู้สนใจเรียน Technical แบบที่เรียกว่า "ง่าย" เพราะภาววิทย์การันตีความง่าย ...หุ หุ

(ผมไม่ค่อยฉลาดเท่าไหร่ ดังนั้นอะไรที่ผมเข้าใจ มันต้องง่าย ไม่งั้นผมไม่ Get!! ..จากนั้นพอผมเข้าใจแบบง่ายๆ มันจึงสามารถถ่ายทอดออกมาเป็นภาษาที่เข้าใจง่าย --ดังนั้น ลืมหนังสือการลงทุนแบบยาก เซ็งๆ ไปได้เลยครับ จากนี้ไป สำนักพิมพ์ S2M ขอเสนอตัว สร้างปรากฏการณ์ใหม่แห่งโลกของการลงทุน (ทุกแนว) ที่รับรองว่า "เข้าใจง่าย + ขำ" (ขำ นี่เป็นของแถม ส่วนความง่าย เป็นหลักการที่เราตั้งมั่นในการถ่ายทอดความรู้ด้านการลงทุนสู่สังคม)

เป้าหมายที่ยิ่งใหญ่ อย่าง Monkey Trade เราอยากจะสร้าง นัก Technical เก่งๆ ที่สามารถ Trade Commodity จากนั้นในอนาคตถ้าเราสามารถ รวมตัวกันได้ "เราจะร่วมกันปฏิวัติวงการเกษตรของไทย ..ช่วยเกษตรไทย ยกระดับการใช้ Futures (ซื้อขายล่วงหน้า)ให้ทัดเทียมเกษตรต่างชาติ" (ระหว่างที่ยกระดับชีวิตชาวนา เราก็รวยไปด้วย ดังนั้นเกมนี้ win-win ครับ) ...ภาพนี้เป็นความฝันที่เราวาดไว้ในทีม Monkey Trade ..(จากกลไกความยากจนเดิมคือ ปลูกข้าว ..จุดธูป(ขอให้ราคาดีเมื่อขาย) ..(พอขาย) ก็โดนรายใหญ่ ฮั่วกับ "มือที่มองไม่เห็น" กดราคาพืชผล ) --ให้เปลี่ยนมาเป็น "(ขายพืชผลล่วงหน้า ในตลาดต่างประเทศ ตัดพ่อค้าคนกลางทิ้ง แล้วนัก Trade ความฝันแนว Monkey Trade จะกระโดดเข้าไปทำให้กลไกนี้เป็นจริง) ..."เกริ่นแค่นี้พอ เพราะเวลาเราพูดถึงอนาคต คนส่วนใหญ่จะบอกว่า "ฝันโคตรๆ!!" แต่อย่างที่ผมบอกครับ ทุกอย่างเริ่มที่ความคิดที่ถูกต้อง จากนั้นความอดทนและความร่วมมือกัน (ศรัทธา) จะสร้างความเปลี่ยนแปลงที่ยิ่งใหญ่ แก่ทุกคนที่เชื่อมัน!!

ค่อยๆก้าวไปละกันครับ.. "ผมเข้าใจแล้วว่า การสร้างความมั่งคั่งมันไม่ใช่การมุ่งกอบโกยเงินเข้ากระเป๋า เพราะตัวอย่างมันแสดงให้เห็นแล้วว่าทำอย่างนั้นมันมีจุดจบอย่างไร ในบ้านเมืองเรา ..ดังนั้นการสร้างความมั่งคั่งที่แท้จริง คือ การเปลี่ยนแปลงคุณภาพชีวิตของคนในวงกว้างให้มีความเป็นอยู่ที่ดีขึ้น อย่างเช่น การยกระดับคุณภาพชีวิตชาวนา โดยการใช้ความรู้ง่ายๆอย่าง Trade Commodity Futures ...การยกระดับคุณภาพชีวิตต้องเริ่มเปลี่ยนที่ความคิด (การวิ่งไปแจกเงินคนจน มันไม่ใช่ทางที่ยั่งยืน) ความยั่งยืนคือ การให้ความรู้ และการให้ปัญญาต่างหาก ที่มันสร้างความมั่งคั่งอย่างแท้จริง และตลอดไป ...คนให้ได้ คนรับก็ได้ เป็น Win-win

นี่แหละหลักการรวมตัวของ S2M "ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้"

วันจันทร์ที่ 22 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"เก็บตก"งานสัมมนาส่งท้ายปีของคอร์ส Basic to Investing แกะรอยหยักความคิด


วันเสาร์งาน Wizard Kid วันอาทิตย์ ภาววิทย์ ต่อ!! ...ก็ถือเป็นคอร์ส Basic ปิดท้ายปีของ S2M ก่อนจะปิดตัวด้วยคอร์ส Technical เข้มข้นโดยทีม Monkey Trade (จากนั้นทีม S2M ขอพักฟื้น แล้วค่อยมาลุยกันต่อปีหน้า สำหรับการเปิดตัวคอร์สการเรียนรู้ทางด้านลงทุนอย่างเข้มข้นในปีหน้า รับปีแห่ง Bull Market ของตลาดหุ้นเมืองไทยอย่างแท้จริง)

.. เอ๋อ!! ว่าแต่ ถ้าตลาดดันวิ่งผิดทาง คงต้องจัดแต่คอร์ส Technical อัด Short Sales และก็ Short TFEX กระจาย "ล้อเล่นนะครับ .. ตลาดหุ้นเราไปสุดๆปีหน้าอยู่แล้ว" (แต่ถ้าไม่ไป ก็อย่าได้เสียเงิน เพราะเลือกหุ้นราคาไม่แพง ปันผลสูง ราคามันจะเท่าไหร่ เราก็ชิว!!...เล่นหุ้นแนวนี้ ตลาดไปทางไหน ก็ไม่เคยกลัวครับ!!)

ก่อนตลาดอเมริกาพัง ได้มีการสัมภาษณ์ Chuck Prince CEO ของ CITI Group ได้พูดไว้ว่า "จงเต้นต่อไป ตราบที่เสียงดนตรียังไม่จบ ..แล้วเมื่อเพลงจบเราก็เจอ Sub-prime อย่างเละเทะนั่นเอง!!"

วันอาทิตย์ที่ผ่านมา เราก็มาคุยกันอย่างเข้มข้นถึง ภาพความน่ากลัวของ การลงทุนในอนาคต ... ใช่!! การแก้ปัญหาของอเมริกา ทั้งเรื่องหนี้สินบ้าน การค้าขายขาดดุลของประเทศ และปัญหาตกงานในวงกว้่างของอเมริกา ..ทำให้อเมริกาดำเนินนโยบาย สุดแจ๋ว(แต๋ว) ตามหลักของสำนักเงินเฟ้อขั้นเทพ "จอห์น เมนาร์ด เคนส์"

ครับ สิ่งที่อเมริกา ใช้แก้ปัญหาคือ
1.ลดมูลค่าเงิน (ตั้งแต่ปี 2002 เงินดอลล่าห์ ลดมูลค่าไป 1 ใน 3 ของเงินสกุลหลักๆของโลก) ..นี่คือการปล้นทางอ้อม
2. การใช้วิธีกีดกันทางการค้า
และ
3.ความพยายามในการจำกัดไม่ให้ต่างชาติเข้ามาลงทุนโดนตรงในอเมริกา

จาก 3 นโยบาย ที่อเมริกาไม่เคยพูดโดยตรงว่าทำ "แต่ลึกๆทำจริงๆ" ก็คือ การเกิด Bubble ใน Asset ต่างๆอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (สังเกตุทองครับ ..ปกติทองเป็น Asset ที่ให้ผลตอบแทนห่วยสุดๆแล้วในระยะยาว ยังขึ้นชนิดที่ไม่เคยเห็นมาก่อน --และราคาทองมันกำลังบอกเราว่า เงินเฟ้อ (Inflation) มันกำลังก่อตัว ขึ้นมาถึงคอหอยเราแล้ว ..รอแค่เพียงเวลาปะทุ!!

สิ่งที่เราพูดคุยกันใน S2M เรามองว่า รอบนี้ "ตัวปัญหามันคืออเมริกา" และด้วยความใหญ่ของอเมริกา ทำให้ไม่ว่าอเมริกาจะทำอะไร มันจะกระทบไปทั่วโลกอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ ..ดังนั้น การที่อเมริกาเลือกแก้ปัญหาวิกฤตเศรษฐกิจครั้งนี้ด้วย การใช้เงินเฟ้อ ย่อมส่งผลให้ตลาดหุ้นและตลาด Asset ทั่วโลกเกิด Bubble อย่างแน่นอน "ไอ้สิ่งที่ผมว่ามันหลีกเลี่ยงไม่ได้คือ Asian Miracle 2 ..ซึ่งเมื่อเวลานั้นมาถึง คนธรรมดาๆ(อย่างพวกเราๆ)ที่ฉลาด อาจกลายเป็นคนรวย ส่วนคนรวยอาจจนลงมาก แต่คนซวยสุดก็คือ คนจน ..เพราะจะจนหนักเข้าไปอีก"

ความโหดร้ายของ Globalization ที่จะนำโดย จีน และ อินเดีย จะสร้างให้เกิดความปั่นป่วนทั่วโลก เพราะแรงงานราคาถูก จะเข้ามาทดแทนอาชีพของคนชั้นกลางอย่าง พนักงาน Office จะทำให้รายได้ของคนชั้นกลางลดลง ..."แต่ที่ว่าคนฉลาดจะรวยขึ้น มันเป็นผลมาจากการเข้าใจในความเสี่ยงนั่นเอง"

ลองคิดดูครับ !! คนรวย สมมุติมีเงินอยู่มหาศาล เขาเหล่านั้นอาจแบ่งเงินเป็นส่วนๆ แล้วกระจายการลงทุนไปใน Asset ต่างๆ ..ในขณะที่คนจน ไม่สามารถรับความเสี่ยงได้ จึงต้องเลือกวางเงินไว้ใน Asset ที่ไม่เสี่ยง -- และจุดนี้เอง คือ จุดที่จะทำให้คนที่กล้าเสี่ยงรวยขึ้น แต่คนที่ไม่กล้าเสี่ยงจนลงอย่างมหาศาล!! (ถ้าภาพ เศรษฐกิจงงๆ แบบนี้ เราต้องวิ่งหา Asset ที่เสี่ยง แต่เลือกลงในกิจการที่ไม่เสี่ยง..เข้าใจไหมครับ..อิ อิ)

ผมย้อนภาพไปสมัยการ Bubble ของราคาที่ดิน "ที่ดินในประเทศไทยแบ่งออกได้เพียง 2 ยุค คือ หนึ่งยุคก่อนคุณชาติชายเป็นนายก สมัยนั้นที่ดินถูกเป็นโจ๊ก ที่ดินไร่ละหมื่นเกลีื่อนกรุงเทพ ..แต่พอหลังจากคุณชาติชายเป็นนายก ที่ดินราคาพุ่งขึ้น พุ่งขึ้น พร้อมกับเงินเฟ้อ และ Asian Miracle 1 --ทำให้ที่ดิน ไร่ละหมื่น กลายเป็นไร่ละร้อยล้านแทน "นี่แหละครับจุดที่ผมอยากจะชี้คือ เหตุการณ์ต่างมันกำลังเกิดขึ้นอีกครั้ง ตามหลัก History Repeat itself!!" (สยองมาก)

ยุคนี้ สมองสำคัญกว่าเงิน "อยากมั่งคั่งต้องเปลี่ยนที่ความคิด ..แต่ถ้าเปลี่ยนความคิดได้ ก็ใช่ว่าจะรวยทันที ..มันต้องอาศัย ความคิดที่ถูกต้อง บวกกับความอดทน จึงจะสร้างความมั่งคั่งได้"

การเล่นหุ้นในเวลานี้ ผมเชื่อว่ายาก ..และยิ่งยากกว่า หากคุณกล้าเล่นในหุ้นที่ไม่มีใครกล้าเล่น กล้าลงทุนในแนวทางที่ไม่มีใครกล้าทำ (ตรงนี้คิดดีๆนะครับ ลองสังเกตุซิครับว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่เขาเล่นหุ้นกันอย่างไร อันนั้นแหละครับ "ผิด" เพราะสถิติมันบอกว่าคนส่วนใหญ่ 80% ไม่ประสบความสำเร็จ)

..ผมขอฝากเอาไว้ "คิดถูก อย่างแตกต่าง ถึงจะสำเร็จครับ!!"

เก็บตกสัมมนาของหนุ่มร้อน Wizard kid แรงง่ะ!!



ก่อนงานสัมมนา หนุ่ม Wizard kid เล่นเอาพี่ๆที่ S2M ถึงกับเครียด "ผมไม่จะบาย!!" เลยเปลี่ยน Theme สัมมนากันใหม่ ลดเนื้อหา เอาแบบสดๆ ยกเอาที่ Trade จริงๆมาคุยเลย ..ยก Chart กันมาสดๆ ดึงหน้าจอเทรดมาตั้ง แล้วลากกันเห็นๆ "สรุป อึ้ง!!กันหมดทั้ง Class" ที่อึ้งไม่ใช่อะไร ชอบ..มัน Reality ดี

ก็อย่างนี้แหละครับ หนุ่ม Day Trade ของแท้ โชว์เครื่องมือ แบไต๋กันขนาดนี้ แต่ก็เผลอแซวเพื่อนๆ ไม่ได้ว่า "ผมใช้จังหวะที่คนเล่น ต้องรอโบรกเกอร์โทรไปหา แล้วกว่าจะตัดสินใจอีก ..นุ่น!! หนุ่ม Wizard kid ลากขึ้นลงเลือดสาดจอไปแล้ว" ...ประมาณว่าวันเสาร์ อารมณ์อยากถ่ายทอด ก็แบไต๋ พวกขาใหญ่ให้ดูกัน ถึงการดู Bid Offer รวมทั้งการใช้วิธีสับขาหลอกของรายใหญ่!!

"เรื่องมันมีอยู่ว่า เดิมทีตัว SET50 กับ SET 50 Futures มันวิ่งไปด้วยกัน ..แต่หลังๆมานี่มันแทบจะแยกออกจากกัน เหมือนแต่ละ Index มีชีวิตด้วยตัวของมันเองซะงั้น ทำให้ช่วงนี้ Day Trade เหนื่อยไม่น้อย ..ยิ่งอาทิตย์ก่อนหน้านี้ มีการทุบหุ้นเพื่อเอาของ ของพวก "มือที่มองไม่เห็น" อาศัยพลังอำนาจบารมี เบ่งพลังทีหุ้นตก แดงเถือก!! ตกปั๊บรับปุ๊บ ..แล้วลาก SET กลับมายืนเหนือ 1,000 ตามเดิม (เทพมาก!! คือพวกนั้นเล่นเหมือนรู้เลยว่า ตลาดจะเป็นอย่างไร "ก็มันรู้จริงๆน่ะซิ ที่มันเป็นปัญหาไง!!")

ในงานสัมมนา ทุกคนต่างขนหุ้นร้อน มายกถามกัน "ไฟแทบลุกห้อง!!" ..หยิบอย่าง หุ้นอีโมฟอร์ม , หุ้นโปรเท็กชีวิตตัวท่านเอง , หุ้นพระเอกตัวจริง , หุ้นมดเอ๊ก..จ๊าก!! , และอีกมากมาย ไม่อาจจะเอ๋ยชื่อจริงได้ ... ไม่รู้จะร้อนกันไปไหน แต่รายย่อยก็ชอบมั่กๆ หุ้นแบบนี้ "จริงๆ พวกเราไม่ได้ว่าไม่ดีนะ มันก็มันส์ดีอ่ะนะ แต่งานเลี้ยงเลิกราเมื่อไหร่ คงมีคนจำนวนไม่น้อย..ได้เป็นปู่โสมเฝ้าสมบัติ กันแบบ วังเวง!!"

หนุ่ม Wizard kid ก็เอาใจเพื่อนๆ ถามมาก็ตอบกันไป "วงเล็บ ผมไม่ได้เล่นนะ ตัวนี้" ...คือ ถ้าเล่นหุ้นร้อนๆ พวกเราก็แนะนำว่า ให้ไปนั่งเทรดในส้วม เพราะห้ามคลาดสายตาแม้แต่หนึ่งวินาที ไม่งั้นมันอาจลากลงมา สวัสดีชาวโลก กันได้.. อิ อิ (ขำขำนะ อย่าเครียดครับ ประมาณว่าตอนนี้หุ้นร้อนๆเยอะ เล่นก็ระวัง ..ขนาด idol ผม ดร.นิเวศน์ ยังลงทุนมาเตือนเองเลยว่า "ดูดีๆนะ ไอ้หุ้นที่มี Free Float น้อยๆ แต่ละวัน Volume เทรดกลับสูงมาก บางตัวเข้าหลักพันล้าน ก็เรียกได้ว่า หุ้นที่มีอยู่ 20 - 30% นั่นวิ่งเปลี่ยนมือกัน ไม่รู้กี่รอบ ...จะบ้าหรือ!!")

ผมเห็นด้วยนะครับ ว่าตอนนี้ให้เริ่มระวังหุ้นที่มี Free Float ต่ำๆ แต่ Volume Trade กันรายวันสูงมาก (นี่หมายถึงทุกๆวันหุ้นที่มีอยู่ทั้งหมดที่ซื้อขายในตลาดของหุ้นนั้นๆ ซื้อขายกันทุกวัน) ..พวกนี้ลากกันมา 5 -6 เท่า แถมด้วยข่าวว่า "จะดี!!" (เอ๋อ !! ผมว่า ไอ้หุ้นที่เขาว่าจะดี รอให้มันสะท้อนผลกำไรจริงๆเข้ามาใน Book ก่อนดีไหม จากนั้นก็รอดูว่าปันผลมันจะดีจริงหรือเปล่า) ..."นี่รายย่อย กลับกระโดดเข้าไปเล่นกันตามข่าวที่ว่า (จะดี) ...มันจะเป็นจะซวยนะ ผมว่า ฮึ ฮึ"

จะว่าไปรอบนี้ที่กลับมายืนเหนือพันใหม่ รู้สึกถึง พวกขาใหญ่ จะกลับเข้ามาสร้างความคึกคักกันจริงๆล่ะ "ปีนี้ตั้งแต่ต้นปี มีแต่คนถอนตัวออกจากตลาด รอดู ปรากฏ ผมเดาถูก อิ อิ เพราะผมถือหุ้นเต็มแม็ค ...ดังนั้น รายใหญ่ที่ตกรถออกไปช่วงที่ผ่านมา ..ผมว่าเขาอาจใช้จังหวะทุบตลาดด้วยข่าวปลายปีระหว่างนี้ เป็นช่วงหาโอกาสเข้า"

อย่างพวก เสี่ยหลายๆคน ที่ก่อนหน้านี้ออกมาประกาศว่า "ออกเร็ว ถือเงินสด ..ผมว่าเริ่มหนาวกันพอสมควร"

หุ้นเร่ิมเล่นยาก เพราะถ้าเล่นรอบเร็ว ก็ต้องเร็วให้จริง แต่ถ้าเล่นช้า ก็ต้องเล่นแบบ "ชาวสวน" ใครทุบ ตูเก็บ อย่างนี้ก็พอจะกำไรบ้าง ...แต่ที่สำคัญสุดๆคือ อย่ามั่วนะครับ "คืออย่าเผลอไปรับหุ้นร้อน แล้วดันเปลี่ยนแนวทางการเล่นเป็น VI ล่ะ ..ถ้าทำอย่างนั้น ได้ถือยาวจริงแน่ๆ..หุ หุ"

วันพฤหัสบดีที่ 18 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ปูพื้นฐาน Futures ก่อนงานสัมมนา Wizard Kid !!



ช่วงนี้ Product ทางการเงินที่ร้อนแรงคงหนีไม่พ้น Futures ..ผมเลยจะยกมาเล่าให้ฟัง เพราะหลายๆคนเล่นไปยังไม่รู้เลยว่า "แล้วจริงๆไอ้ตัว Futures มันต่างกับหุ้นอย่างไร"

ก่อนอื่นต้องแยกภาพให้ชัดเจนระหว่าง หุ้น กับ Futures ...คือ หุ้นนี่เป็นตราสารทุน ดังนั้น การซื้อหุ้นก็เท่ากับว่าเราเข้าไปเป็นเจ้าของ ส่วนหนึ่งของกิจการ มากน้อยตามจำนวนหุ้นที่เราถือ ..แต่อย่าง Futures นี่มันเป็นหนึ่งในตราสารอนุพันธ์ ที่สร้างขึ้นมาลดความเสี่ยง (แต่พวกเราเอามาเพิ่มความเสี่ยง คือใช้เก็งกำไรกันมากกว่า แบบว่าใช้เงินน้อยเก็งกำไร Futures ที่แต่ละสัญญามีมูลค่าสูงกว่าเงินที่เราเอามาเก็งมากนัก..หุ หุ)

สมัยก่อนเวลาเราซื้อหุ้นเราซื้อได้อย่างเดียว ดังนั้น เราจะเล่นได้เฉพาะขาขึ้น แต่พอมีตราสารอนุพันธ์อย่าง Futures ก็ทำให้เราเล่นขาลงได้ ซึ่งก็คือ การ Short ตลาด "งง ไหมครับ ..ใช่ๆ งง" (เอ้ามาทำความเข้าใจกัน)

เดิมทีตราสารอนุพันธ์ (Derivatives) ประเทศเราเริ่มเอามาใช้กับพืชผลทางการเกษตร ตลาด AFET ..หลักการก็คือ เดิมทีเวลาชาวนา ชาวไร่ เพาะปลูกก็ต้องพึ่งพาชีวิตกับไสยศาสตร์เพียงอย่างเดียว นั่นก็คือ เมื่อชาวนา ชาวไร่ลงทุนเพาะปลูก ก็ไม่สามารถรู้ได้เลยว่า การเพาะปลูกนั้น จะกำไรหรือขาดทุน เพราะไม่รู้ว่า เวลาเก็บเกี่ยวพืชผลเสร็จแล้วเอามาขาย จะขายได้ราคาเท่าไหร่ ..."สรุปพอขายจริง ก็โดนกดราคา"

..นี่จึงเป็นที่มาของตลาด AFET (คือเราไป Copy ต่างประเทศมา คือ ชาวนา ชาวไร่ ของต่างประเทศเขารวย ก็เพราะเขาสามารถรู้ราคาขายได้ก่อนเพาะปลูก ทำให้รู้แน่นอนว่า การเพาะปลูกแต่ละครั้งจะมีกำไรเท่าไหร่)... นี่มันเป็นทฤษฎี เพราะพอเอาเข้าจริง ชาวนา ชาวไร่ของไทย ไม่ได้ใช้ตลาด AFET เพราะไม่มีความรู้ เงินก็ไม่มี สรุปก็เลยไม่ work กลับไปสู่ กลไกประกันราคา หรือประกันรายได้ แนวทางคนจนเหมือนเดิม

"เอาละครับ นี่ก็เป็นที่มาของการพัฒนาตราสารอนุพันธ์ขึ้นมาในประเทศไทย" เพราะหลังจากตลาด สิ้นหวังกับ ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทางการเกษตรของไทย ก็เลยเบนเข็มมาพัฒนา ตลาดซื้อขายล่วงหน้าในตลาดการเงินบ้าง(เผื่อรุ่ง!!) ..นี่แหละเป็นที่มาของ TFEX ตลาด Futures ทางการเงินแห่งแรกในประเทศไทย

"หลายคนถามว่า เปิดมาทำไม เห็นในตลาดมีแต่ Broker มาอัดกันไปมา อย่างกับเล่นโป๊กเกอร์ ..ส่วนรายย่อยก็ไม่ค่อยกล้าเข้ามาเล่น ..(ก็แน่ละครับ ตลาดนี้มีแต่เสือ สิงห์ กระทิงโหด อย่างเจ้าหนุ่ม Wizard kid นี่คอย เชือดนิ่มๆ ฟันบรรดาหมู ที่หลงเข้ามา..เอิ๊ก ๆ ๆ )" ฮึม!! ฟังดูเลวร้าย แต่มันก็เป็นอะไรที่ต้องเรียนรู้ เพราะ Futures มันเป็นเครื่องมือสำหรับตลาดหุ้นที่พัฒนาแล้ว ..เนื่องจากถ้าคุณเข้าใจ Futures คุณจะสามารถเล่นหุ้นได้ทั้งขาขึ้นและขาลง นอกจากนี้หากใครเข้าใจเครื่องมืออย่าง Futures ได้อย่างดีแล้ว มันจะเป็นเครื่องมือที่ช่วยป้องกันความเสี่ยง รวมทั้งสามารถยกระดับชีวิตของเกษตรไทยได้เลย "คำถามคือ ตอนนี้มีกี่คนที่รู้เรื่อง Futures!!"

งั้นมาสรุปที่พูดมากันครับว่า ตลาดตราสารอนุพันธ์ (Derivatives ) ในประเทศไทยตอนนี้มีอยู่ 2 ตลาด คือ
  1. AFET เป็นตลาดซื้อขาย Futures ของ พืชผลทางการเกษตร ซึ่งตอนนี้ยังมีไม่กี่ตัว ก็คือ ข้าว , ยาง และ ก็มันสำปะหลัง
  2. TFEX คือ ตลาด Futures ทางการเงิน มีสินค้าให้ซื้อ 4 ตัวคือ ตัว SET50 Index Futures , หุ้นบางตัว เช่น Futures ของบริษัท , SET50 index option และก็ Gold Futures (คือ ไอ้ที่มันพอจะมีการซื้อขายบ้าง ก็คือ ตัว SET50 Index Futures และก็ Gold Futures นี่แหละ)
ประเด็นคือ "แล้วจะซื้อขายล่วงหน้า Futures ไปทำไม ..ทำไมไม่ซื้อขายวันนี้ ปวดหัวจริง !!" ...ง่ายมาก เพราะในตลาดย่อมมีคนที่คิดต่างกัน เช่น วันนี้คุณดู SET ..บางคนอาจมองว่า มันน่าจะตก แต่บางคนก็มองว่าน่าจะขึ้น

--นี่แหละครับ เป็นจุดมุ่งหมายของ Futures "ก็คือ คนที่คิดว่าจะขึ้น ก็สามารถเก็งกำไร โดยการซื้อ Futures ของ SET50 Index Futures ในขาขึ้น "เขาเรียกว่า Long" ...ส่วนอีกคนที่คิดว่าลง ก็สามารถซื้อ SET50 Index Futures ในขาลง "เขาเรียกว่า Short" --- ความมันส์มันอยู่ตรงนี้ !!

สิ่งที่มันส์ก็คือ Futures มันเป็น Zero Sum Game "คือ คนนึงได้เงิน ก็ต้องมีอีกคนเสียเงิน" ดังนั้น ถ้าคนที่ long Future ทายถูก ไอ้คนที่ Short Futures ก็ซวย ..ดังนั้น เงินจากกระเป๋าของคนที่มองผิด ก็จะมาเข้ากระเป๋าของคนที่เดาถูก (เหมือนเล่น Casino เลย มันส์จริงๆ)

แต่จริงๆ ถ้าเอาเครื่องมือ Futures มาใช้อย่างถูกวิธี คุณสามารถลดความเสี่ยงของ Port หรือ ในมุมของพืชผลทางการเกษตร คุณก็สามารถลดต้นทุนของ Stock สินค้า เพราะคุณสามารถขายล่วงหน้าแล้วถือกระดาษแทนสินค้าก็ได้ ..หรือใช้ลดความเสี่ยงคือ ถ้าชาวนา รู้ว่าจะขายได้ราคาเท่าไหร่ อาจเปลี่ยนใจ ไม่ปลูกข้าว ไปปลูกสินค้าที่ขายได้แพงกว่า

... ครับนี่คือ ภาพคร่าวๆของ Futures (ซึ่งทาง S2M จัดเปิดสัมมนา โดยเอาเจ้าหนุ่ม Wizard kid ผู้กรำศึกในตลาด Futures อย่างโชกเลือดมา ถ่ายทอดความรู้ให้แก่ผู้ที่สนใจ มาแฉกันว่า จะเล่น Futures อย่างไรถึงจะกำไร )... "ไว้เดี๋ยวมาเล่าเรื่อง Futures ในโอกาสต่อไปครับ"
เผยโฉม หนุ่ม Wizard kid ผู้จะมาไขกุญแจ Futures กัน

วันอังคารที่ 16 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ประเภทของหุ้นที่ไม่ควรถือ!! หรือควรถือ..



วันนี้ผมว่าหลายคนเริ่มวิตก ..ไม่ใช่เฉพาะรายย่อยเท่านั้นที่วิตก "จะบอกว่าพวกเจ้ามือ ก็สยองเช่นกัน..หุ หุ" -- ตลาดอย่างนี้เจ้ามือคงซ่าได้อีกไม่นาน ดังนั้น คนที่เล่นหุ้นปั่นตามกันมา ทั้งปั่นมีพื้นฐานและไม่มี (ไอ้ปั่นไม่มีพื้นฐาน ยิ่งสยอง เพราะตลาดปรับฐานน่ากลัวแบบนี้ ถ้าหลุด 1,000 จุด ผมว่าเจ้ามือหุ้นพวกนี้หาจังหวะทิ้งหุ้นแน่ .."แต่คงลากรายย่อย ไปเชือดก่อนทิ้ง..หุ หุ"

ช่วงนี้ถ้าดู Volume ผมว่า ตลาดมันปั่นป่วน "คือมีทั้งคนซื้อและขายเท่าๆกัน ค่อนไปทางมุมลบมากกว่า" ..แต่ถ้ามาวิเคราะห์ในเชิงพื้นฐาน ช่วงเวลานี้ กลับเป็นเวลาที่ผมกลับมองว่า "เป็นเวลาช้อนซื้อ หุ้นพื้นฐานดี ที่ยังขึ้นมาไม่มาก"(ใช่แล้ว!! กลุ่มพลังงาน กับมือถือ..พวกนี้วิ่งลั้งท้ายตลาดมาตลอด ในขณะที่หุ้นเล็กๆ วิ่งไปทำ New High ไม่รู้ก็รอบ) โอกาสในตอนนี้คือ เมื่อตลาดตกแรง มันเป็นจิตวิทยา ที่ทำให้หลายๆคน ขายหุ้นพื้นฐานดีในราคาถูก "หวานหมู!!"

อย่างที่ผมนั่งดูพื้นฐานตอนนี้ อย่างกลุ่มพลังงานและมือถือ กำไรเริ่มดีขึ้นเรื่อยๆ แต่คน Panic Sell ออกมาพร้อมๆกับตัวอื่น "ตอนนี้จึงกลายเป็นโอกาสช้อนหุ้นในราคาถูก" ..แต่จุดนี้ก็ต้องหาจังหวะให้ดี

คำเตือนคือ ตอนนี้ผมว่าไอ้พวกหุ้นร้อน คือ ไอ้หุ้นปั่นทั้งมีพื้นฐานและไม่มี ...คุณหนีห่างๆ เพราะพวกนี้เจ้ามือต้นทุนต่ำมาก ถ้ามันเข้าขาลง ผมว่าเจ้ามือทิ้งได้ทุกราคา ..อันตรายมากๆ

ภาพใหญ่ผมยังคง Bullish เช่นเคย ในฐานะคนวิเคราะห์พื้นฐาน ผมไม่เห็นว่า กำไรบริษัทที่พื้นฐานดี จะแย่ลงแต่อย่างใด ดังนั้น การปรับฐานครั้งนี้มันเป็นโอกาส เก็บหุ้นดีราคาถูก "น่าซื้อสุดขีด"... (แน่นอน!!) เป็น Healthy Correction คือ ปรับฐานเพื่อขึ้นต่อ ..แต่อย่างที่ผมบอกว่า ไม่ใช่ทุกกลุ่มที่จะมามองชิวแบบผม เพราะพื้นฐานมันต่างกัน (อย่างหุ้นที่ผมเลือกถือ ผลประกอบการดีขึ้นเรื่อยๆ ปันผลก็มากขึ้น แต่ราคายังไม่ไปไหน ในที่สุดตลาดก็ต้องกลับมาเล่นหุ้นพื้นฐานดีอยู่ดี ดังนั้นมันมาแน่)

โอเค!! แนวที่ผมบอกใช้ได้เสมอ P/BV ต่ำ ปันผลดี และธุรกิจแน่น "มาชัวร์" ลุย (อย่าไป Panic ตามตลาด ดูพื้นฐานให้ดี)..อิ อิ

วันอาทิตย์ที่ 14 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

สัมมนาพื้นฐานครั้งที่ 2 "ฟันธงกันไปเลยครับ..ลุย!!"


ฮึม!!สัมมนารุ่นที่ 2 ของ Basic to Investing โดย ภาววิทย์ & ป๋ากึ้ง ก็ผ่านไปได้ด้วยดี (ฮู้ ..อาทิตย์นี้ เหงื่อแตกกันเล็กน้อย เนื่องจากคนใหญ่คนโตในประเทศต่างออกมาช่วยกันทุบหุ้นซะงั้น!!) แหมเล่น เทขาย Volume พรึบกันตั้งแต่ วันพุธ ตามด้วยพฤหัส ..ปิดเกมด้วยท่านกรณ์พันจุด มาประกาศว่าตลาดแพงวันศุกร์ ..สรุปทุบเลือดสาดลงมาต่ำพัน แป๊บเดียว !! ก็มี "มือที่มองไม่เห็น" เข้ามารวบช้อน ตลาดกลับไปเลยพันจุดเช่นเดิม

จะว่าไปแล้ว "วิธีกวนประสาทแบบนี้ รู้สึกทำกันมาหลายรอบแล้ว" ที่แรงสุดก็ปล่อยข่าวแบบไม่มีใครรับได้เมื่อปีที่แล้ว จากนั้นก็ปล่อยข่าวมาเรื่อยๆตั้งแต่ คำพิพากษาคลุมเครือของมาบตาพุต จนมาเมื่อวันศุกร์ ทุบแล้วเก็บ .. แต่ผมสังเกตุหลายทีแล้ว พอปล่อยข่าวบ้าๆ มาปลายปีทีไร พวกฝรั่งมันไม่ค่อยเล่นด้วย เลยทำให้โดยปกติช่วงปลายปีตลาดค่อนข้างจะแย่ เพราะพวกกองทุนฝรั่งมักจะทำกำไรปิดงบปลายปีบ้าง แล้วไปเที่ยว..หุ หุ -- อย่างไรก็ตาม มันก็คงไม่แย่มาก เพราะปลายปีก็จะต้องมีเงินของคนที่ซื้อ RMF/LTF เข้ามาจำนวนมาก

คือ ถ้าจะให้มอง ผมว่าจากนี้จนถึงปลายปี น่าจะไม่ค่อยหวือหวาแล้ว ..ใครอยากมันส์คงต้องรอให้พวกนักลงทุนไปเที่ยวให้เสร็จแล้วกลับมาใหม่.. "ถ้าปีหน้าการเมืองไม่มีปัญหา คงจะมีแรงๆรอบใหญ่ ระหว่างนี้ก็คงต้องชิวๆกันไปก่อน" ...วันหยุดที่ผ่านมาก็ได้สนทนาธรรมกับ Wizard kid (ซึ่งตอนนี้กำลังขะมักเขม้น เตรียมเนื้อหาในการสอนในวันเสาร์ที่จะถึงนี้) ความสนุกมันอยู่ที่ ทุกวิกฤตของการปล่อยข่าว ตั้งแต่ข่าวอัปมงคล ปลายปีก่อน มาข่าวมาบตาพุต จนมาวันศุกร์ที่ผ่านมาที่ผู้มีบารมีในบ้านเมืองช่วยกันทุบ แต่คุณรู้ไหมว่าทุก รอบที่พูดมา Wizard kid ทำเงินมหาศาลทุกรอบ (น้องเขาแน่มาก!!)

"ทำได้ไง" ..เนื่องจาก Wizard kid ใช้ประสบการณ์การดูอารมณ์ของตลาด โดยอาศัย Volume Bid & Offer เป็นหลักทำให้เขาสามารถเห็นสัญญาณ การทุบของตลาด "ง่ายๆ เมื่อเห็นก็เข้าทำกำไรได้นั่นเอง" ..จริงๆน้อง Wizard kid บอกว่า สัญญาณมันแปลกมาตั้งแต่วันพุธแล้ว!! ...ประเด็นก็คือ ตอนนี้มีคนมากมายที่เริ่มมองว่าตลาดมันจะไปต่อ แต่ถ้าต้องเก็บหุ้นราคานี้มันแพงไป เลยร่วมมือกันทุบก่อน จะได้ช้อนเอาของ (ตรงนี้ต้องคิดให้ดี คือ การขึ้นลงของราคาที่รุนแรงมันแสดงให้เห็นว่าในตลาด มีทั้งคนที่มองด้าน Bull(ขึ้น) และ Bear(ลง) ..ซึ่งทำให้ผมสบายใจ เพราะเมื่อใดที่ตลาดมัน Peak สูงสุดจริง ....มันไม่ใช่ช่วงที่ตลาดมีความเห็นแตกต่าง ....แต่ช่วง Peak คือ ช่วงที่ทุกคนเห็นพ้องว่าตลาดดีต่างหาก "ซึ่งถ้าวันนั้นมาถึงเมื่อไหร่ นั่นแหละ Peak ของตลาดจริงๆ ...อย่างที่ผ่านมามันแค่ปรับฐานเพื่อขึ้นต่อเท่านั้นเอง"

ในมุมมองของผม ผมไม่ค่อยได้สนใจประเด็นเหล่านี้มากนัก เพราะท้ายสุดแล้ว ไม่ว่าคุณจะมีอำนาจมากเพียงใด คุณก็ไม่มีทางต้านแนวโน้มของตลาดได้ ...และภาพใหญ่จริงๆของ Trend มันคือ "ขาขึ้น" เนื่องจากการไหลเข้าของเงินทุนจากทั่วโลก ที่พยายามหนีดอลล่าห์อ่อน ก็ไหลเข้ามาในเอเชียมากขึ้น ดังนั้น ตราบใดที่ผมยังไม่เห็นสัญญาณการเปลี่ยนแปลงของ การลดค่าของเงินดอลล่าห์ในภาพใหญ่ ผมก็ยังคง Bullish ในหุ้น, ทอง และ Commodity อยู่ดี

ฮึม!! แวะมาคุยเรื่องทอง --- อาทิตย์ที่ผ่านมาก็มีการ Correction "หลายคนก็เสียวๆว่า ราคาทองจะลงไปเรื่อยๆหรือเปล่า" (ไม่ใช่!!) เพราะตราบใดอเมริกายังพิมพ์แบงค์ดอลล่าห์กงเต๊กออกมา ตามนโยบาย QE2 ..ทุกคนที่ซื้อทอง ซื้อหุ้นพื้นฐานดี คุณนั่งยิ้มได้ "ดังนั้น ภาพใหญ่เราฟันธงว่า ไปต่อแน่นอน และไปอีกไกล!!"

แต่หลายๆคนที่มาสัมมนาหวั่นๆว่า "อ้าว!! แล้วระยะสั้นที่ตลาดเพิ่งโดนทุบล่ะ จะเอาไงดี" ..จริงๆผมมองว่า ตลาดโดนสกัดดาวรุ่งแบบนี้่อาจจะสะอึกเล็กน้อย ... ซึ่งถ้าประกอบกับภาพปลายปี อาจทำให้ต่อจากนี้จนถึงปลายปี เล่นหุ้นค่อนข้างยาก ..แต่สำหรับคอ VI พวกเล่นยาวๆ ผมก็ฟันธงไปว่า ก็ซื้อหุ้นถูกๆปันผลดีๆพื้นฐานแน่น ..ยังไงก็ไปได้

อย่างถ้าใครชอบเล่นยาวๆ เงินนิ่งๆ 5 ปีขึ้น ผมว่าธุรกิจเดินเรือซื้อไปเถอะ ...อย่างใครเล่นรอบสั้นลงมาหน่อยเงินนอนสัก 2 ปีขึ้น ผมว่า พลังงาน ซื้อเข้าไปตอนนี้ยังไม่แพงเลย (ลงก็ช้อนไม่เห็นจะยาก เพราะมันไม่ได้แพง ดู IVL ..ตัว P/BV มัน 5 เท่ากว่า "ซื้อกันจัง" อย่าง PTT เพิ่ง 2 เท่า หรือ อย่างพวกโรงกลั้น ตอนนี้เงินเฟ้อจี้ตูดมา น้ำมันปีหน้าแพงแน่ ราคา P/BV ยังแค่ 1 เท่า "ถูกกว่า ทำไมไม่ซื้อกัน"..ผมล่ะ งง จริงๆ)...แต่ไอ้พวกหุ้นปั่น ที่ปั่นมาจาก 5 บาท จนไปเป็น 30 - 40 บาท นี่แย่งกันซื้อ!!.."ไอ้ที่มันเสี่ยง มันไม่ใช่ตลาดหรอกครับ" ..มันคือ วิธีการเล่นของตัวเองต่างหาก "จุดนี้คิดดีๆ ระวังด้วยครับ"

วันศุกร์ที่ 12 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เอ้า!! เอา Technical มาดูกันว่า รับจุดไหนดี ถึงจะไม่รับมีด!!


เมื่อเกิด Sales ในตลาดหุ้น "สิ่งที่เกิดขึ้นคือ ทุกคนวิ่งหนี ..ไม่ยักกะเหมือน ขายของเลยแฮะ ..อิ อิ (ของลดราคา คนแย่งซื้อ แต่หุ้นลดราคา คนแย่งกันขาย)..ทีนี้เข้าใจกันหรือยังครับว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ขาดทุนจากตลาดหุ้น และมีคนส่วนน้อยเท่านั้นที่กำไรและรวยมหาศาล!!" ..ตอนนี้ประเด็นในตลาดคือ น่าจะมีใครหลายๆคนกำลังหาจังหวะเก็บอยู่ ..แล้วจุดไหนล่ะที่เป็นจุดรับที่ไม่ไปรับมีดเข้า

วิธีดีที่สุดของการวิเคราะห์ระยะสั้น อย่าไปถาม VI เพราะเขาจะบอกคุณว่า "ปั๊ดโถ่ !! ถือต่อไปเถิด มีบ้านขายบ้าน มีรถขายรถ --- ซื้อต่อ!! " (เอากะเขาดิพี่ ..ฟังแล้ว งง) ดังนั้นภาวะนี้ผมจะไม่คุยกับ VI ผมจะวิ่งไปหานัก Technical แล้วบอกว่า "ป๋า!! ช่วยลากแนวรับแจ๋วๆให้ ป๋มหน่อยครับ"

(เอ้า!! มาดูกัน ..จะเทคนิคสักหน่อยนะครับ สำหรับตรงนี้)... ผมลากแนว Trend ในภาพประมาณ 2 ปี คือตลาดมันวิ่งมาชนจุดด้านบนของ Trend ซึ่งเป็นสัญญาณขายแรก ..ในภาพที่สั้นลงไปอีก คือ ผมลาก Trend ระยะปีนี้ตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา พบว่าราคาหุ้นขึ้นไปแตะด้านบนของ Trend เช่นกัน "สองสัญญาณอาจทำให้คุณกรณ์ กระโดดออกมาประกาศกับสื่อว่า ..ตลาดหุ้นร้อนไปแล้ว..หุ หุ สงสัยแกจะเป็น Technical จ๋า..หุ หุ"

ผมให้จุดแนวรับไว้ 3 จุด(คือแนวต้านที่ 1,2 และ 3) ผมมองว่า ด้วยแรงผสมโรง + พวกวงในที่ทุบหุ้น ขายของตัวเอง ทุบตลาดเตรียมรับซื้อหมู ..น่าจะทำให้จุดที่ 1 อาจไม่สามารถรับได้ ดังนั้นทางที่ดี ให้มันหลุดจุดที่ 1 ลงมาก่อน .. ดังนั้นระยะจุดที่ 2 ก็ถือเป็นจุดน่าสนใจที่จะรับ ...แต่ที่แน่ๆผมว่าจุด 3 รับอยู่ แน่นอน (ใครจะซื้อก็ให้ทยอยรับกันเป็นจุดๆ แต่คนขายหมู ก็ขายไปตามใจครับ ..ของอย่างนี้วัดใจ)

(หรือ!!)..สัญญาณว่าหุ้นจะขึ้นอีกอันก็รอให้ รัฐมนตรีคลังมาประกาศว่า "โอ้!! แม่เจ้า ตอนนี้หุ้นไทยเราตกเกินไปแล้ว" (แต่ขอโทษนะ คือ ราคาหุ้นมันจะพุ่งก่อน แล้วข่าวถึงค่อยตาม ...เหมือนตอนนี้ ราคาหุ้นวิ่งลงก่อน ข่าวถึงค่อยตาม...ดูแล้ว ฮา โจ๊ก!!)

โอเค!! ขำขำ ..ดูกันไปครับ

"ข่าว" + ทุบ + "หุ้นตก" อะไรที่คุณเชื่อได้!!



วันนี้ตลาดปั่นป่วนอีกครั้ง "ทุบต่อ + ข่าว" .. ประเด็นคือ ทุบก่อนหรือข่าวมาก่อน (สังเกตุได้ว่า ทุบก่อน ..แสดงว่า เจ้ามือขายก่อนแล้ว ถือเงินสด จากนั้นค่อยมีการปล่อยข่าว) เหมือนแก็งค์ต้มตุ๋นอย่างเป็นระบบเลยนะครับนี่ (ฮา ซะ)

จริงๆแล้ว ถ้ามาวิเคราะห์ให้ดี คือ ใครก็ตามที่เล่นหุ้นตามกระแส มันโดนทุกคนแหละครับ จะเจ็บมากหรือน้อยอันนี้ก็แล้วแต่ โชคชะตา !!

ช่วงนี้จะมีข่าวจากหน้าหนังสือพิมพ์ธุรกิจ เช่น บอกว่าเศรษฐีผู้ถือหุ้นใหญ่ๆ ทยอยขายหุ้นของตัวเองออกมาทำกำไร ตรงตลาดแถวๆพันจุด เพื่อถือเงินสด ..ประเด็นที่ผมได้จากข่าวคือ เจ้าของเหล่านี้ขายหุ้นเป็นเปอร์เซ็นต์เท่าไหร่ของหุ้นที่เขาถืออยู่ในมือ ..ไอ้เรื่องที่บอกว่าเจ้าของขายหุ้น มันเป็นเรื่องปกติอยู่แล้ว ที่คนซื้อหุ้นก็ต้องทำกำไรเป็นระยะ ดังนั้น การที่เจ้าของต่างๆทยอยขายหุ้นในช่วง 1,000 จุดซึ่งเป็นจุดกลมๆ ผมก็มองว่า "ไม่ใช่เรื่องแปลก"

หากวิเคราะห์ให้ดี เจ้าของหุ้นเหล่านี้ ขายออกมาจริง แต่ถ้าเทียบเป็นสัดส่วนก็ถือว่าไม่มาก ..วิเคราะห์ต่อไป คือ ถ้าเจ้าของหุ้นเหล่านี้ ขายออกไปก็จะได้เงินสด กลับมาถือเป็นจำนวนมาก "คำถามคือ ถือเงินสดเพื่อไร" (ถูกต้อง!! ก็คือถือเพื่อหาจังหวะโอกาส ...พูดให้เห็นภาพคือ ถือเงินสดรอให้หุ้นตก จะได้เข้ามาซื้อหุ้นถูกๆไงครับ) ...คำถามคือ ราคาหุ้นขึ้นกับอะไร

ใช่!! ราคาหุ้นไม่ได้ขึ้นกับพื้นฐาน มันขึ้นกับ Demand & Supply ..ถ้ามีคนอยากซื้อเยอะ ราคาหุ้นก็จะขึ้น แต่ถ้ามีคนต้องการขายมาก ราคาหุ้นก็จะลง

กลับมาที่ประเด็นที่ผมพูดตอนแรกว่า ตลาดหุ้นเที่ยวนี้ขึ้นมาด้วยอะไร ..อย่างแรกก็ใช่ !! ขึ้นมาด้วยพื้นฐานบางส่วน แต่สาเหตุหลักๆที่หุ้นขึ้นมาตอนนี้คือ หนีแบงค์กงเต็กดอลล่าห์ ดังนั้น ในระยะยาวผมไม่เห็นสัญญาณ Improve หรือประเด็นที่ อเมริกาจะออกมา บอกว่าจะ หยุดพิมพ์เงิน(เฟ้อ) ...เมื่อไอ้กันพิมพ์ต่อ ภาพใหญ่ Asset ต่างๆรวมทั้งหุ้น ก็ยังคง Bullish ต่อไป

ดังนั้น การที่ตลาดหุ้นปรับฐานลงในเที่ยวนี้ถือเป็นโอกาสดี สำหรับคนที่จ้องจะซื้อให้เข้ามาซื้อ ..ประเด็นคือ คุณกำลังเล่นกับ Demand & Supply ของตลาดอยู่ ..ดังนั้น ใครเดาใจฝ่ายตรงข้ามได้ดี คุณก็จะชนะ ..ตอนนี้เศรษฐีหลายคน ทุบแล้วรอเก็บ จะเก็บจุดไหน!! ใครเข้าก่อนอาจเก็บแพง แต่ถ้าใครเข้าช้าก็ไม่ได้ของ "ยากโคตร!!"

อย่างไรก็ดี ในภาพใหญ่ ..ราคาต้องไปต่อ ตราบเท่าที่มีคน รอจะซื้อหุ้นคืน (ซึ่งตอนนี้ก็ยังคงเป็นเช่นนั้น) ...คนถือยาวก็ชิวไป จะทยอยซื้อเพิ่มก็น่าสน ส่วนคนเล่นสั้นก็เดาใจฝ่ายตรงข้ามคุณให้ดีละกัน

ตลาดลงแรงคือ จังหวะที่คุณควรเข้าซื้อนั่นเอง ..แต่จะจังหวะไหน ขึ้นกับความสามารถของคุณ!!

วันพฤหัสบดีที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เอาหุ้น CPF มาดูกันอีกรอบ ทำไมหลายคนติดกับ!!


หุ้น CPF ช่วงเดือนพฤษศจิกายน ปรับฐานลงมาพอสมควร ส่งผลให้หลายๆคน "ใจหายใจคว่ำ" ...หากจะพูดว่า "ติดกับ" มันก็ไม่เชิงนะ ..อาจจะไม่ใช่ เพราะในภาพใหญ่ หุ้น CPF ได้เปลี่ยน Trend จากที่ซึมยาวอยู่ในระดับประมาณ 3 บาท มาเกือบ 20 ปี มาขึ้นเอา ขึ้นเอา ตลอด 2 ปีมานี้

"จะเรียกว่านี่เป็นช่วงกอบโกยของ CPF ก็อาจเป็นได้" ประเด็นที่ตอนนี้หลายคนสงสัยคือ "แล้วหุ้น CPF จะขึ้นต่อ หรือว่า จากนี้ไปจะลงไปเรื่อยๆ" คือ ถ้าใครเล่นตามระบบ Technical แบบจ๋าๆ เลยก็คงจะฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า ลงต่อ เพราะไม่ว่าจะเป็น Moving Average ที่ตัวเร็ว สีน้ำเงิน ตัดลง ตัวยาวสีแดง "ส่งสัญญาณสยองว่างั้น!!"

แต่สิ่งที่อาจจะทำให้ พอจะชื้นใจเล็กๆสำหรับ "คอหุ้นไก่" ก็คงเป็น เส้น Trend ที่ CPF เท่าที่ผ่านมาวิ่งอยู่ภายในกรอบ ..พอวิ่งชน ขอบบน ก็เด้งลงมา พอขอบล่างก็เด้งขึ้นไป ...ซึ่งตอนนี้ก็เข้ามาชนกรอบล่างอีกครั้ง "ก็เป็นไปได้ที่ มันอาจจะเริ่มปรับตัวเด้งกลับขึ้นไป"

(นี่แหละครับปัญหาของ Technical มันไม่ได้บอกอนาคต มันศึกษาอดีต และก็แสดงทางเลือกให้คุณตัดสินใจ ... สำหรับมุมมองของ Monkey Trade อย่างพวกผม ที่จะมองค่อนข้าง Conservative ก็จะเลือกเล่นในมุมที่เรารับความเสี่ยงได้)

ดังนั้น หากจะรอให้ปลอดภัยสำหรับคนที่เล่นตาม Trend ก็ต้องรอ สัญญาณอย่าง Moving Average ให้มันเปลี่ยนตัดกลับขึ้นมาเป็นขาขึ้นก่อนถึงซื้อตาม...แต่ถ้าคุณเล่นถือยาวหน่อย และรับความเสี่ยงได้ คือ "คุณสามารถติดที่ราคานี้และรับปันผล ในระดับนี้ได้" ตรงนี้ก็กลายเป็นจุดเข้าเสียด้วยซ้ำ

ประเด็นที่จะชี้คือ ในตลาดหุ้น มีโอกาสอยู่มากมาย ... คนที่จะทำกำไรได้ ก็คือ คนที่เข้าโอกาสและความเสี่ยงของการลงทุนแต่ละครั้งของคุณอย่างชัดเจน "อย่ามั่ว อย่าเล่นตามคนอื่น คุณจะต้องเข้าใจ Strategy และมุมมองในการเข้าซื้อทำกำไรของตัวเองในทุกๆครั้ง อย่างชัดเจน --และนั้นคือ ความสำเร็จตั้งแต่เข้าซื้อแล้วครับ..!!"

วันพุธที่ 10 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

"QE2" นโยบายผลิต แบงค์กงเต๊ก ที่คุณควรรู้!!



"QE2" ตอนนี้กลายเป็นประเด็นร้อนแรงไปทั่วโลก เนื่องจากลึกๆแล้ว หัวใจของนโยบายนี้ก็คือ "การเปลี่ยนเงินดอลล่าห์ให้เป็นแบงค์กงเต๊กนั่นเอง!!" (อย่าเพิ่งเข้าใจผิดว่า เงินดอลล่าห์จะไร้ค่า "ไม่ใช่" มันคงไม่ถึงขั้นไร้ค่า แต่มันจะลดมูลค่าลงมากนั่นเอง)

ผมนั่งคุยกับเพื่อนๆในวงการธนาคารด้วยกันตั้งแต่ตอนเกิด Sub-prime ใหม่ๆ ตอนนั้นก็สงสัยกันว่า ปัญหาในตอนนั้นคือ คนอเมริกาส่วนใหญ่เป็นหนี้บ้าน และก็เกิดปัญหาสภาพคล่องทำให้ไม่สามารถชำระหนี้ได้ ก็เริ่มเกิดเป็น Wave ของการ Default ในหนี้บ้าน จนลุกลามเป็นที่มาของปัญหา Sub-prime (ซึ่งถ้าสรุปหัวใจของวิกฤตคราวนี้ ก็คือ ระบบการเงินขาดสภาพคล่อง "เงินฝืด" นั่นเอง)

วิธีแก้มันก็คือ เพิ่มสภาพคล่อง และสิ่งที่อเมริกาทำก็คือ "พิมพ์เงิน" ...(อย่างที่เราทราบกันว่า อเมริกาเป็นประเทศพิเศษ ที่สามารถพิมพ์เงินขึ้นมา โดยไม่ต้องใช้อะไรค้ำเลย "ใช้เพียงลมตด..ฮ่า ฮ่า (เพราะมันห่วยมาก เน่าเหม็น".. นี่แหละครับทางเลือกที่ เบอร์นาเก้ ใช้ "พิมพ์เงินเข้าไป อัดเข้าไปในระบบ (ทุกๆ 1 ดอลล่าห์ ที่พิมพ์เพิ่มก็จะไปลดมูลค่าของเงินที่มีอยู่เดิม มันคือโจรปล้นมูลค่าเงินนั่นเอง)" และไอ้นโยบาย QE2 ที่เพ่งประกาศออกมาล่าสุดนี่ก็คือ พิมพ์เงินเพิ่ม!! (บ้าไปแล้ว)

สาเหตุที่อเมริกาต้องสร้าง เงินเฟ้อ ก็เพราะไม่ต้องการให้คนอเมริกา Default ในบ้าน ก็สร้างให้เงินมันลดมูลค่า ดังนั้น คนกู้บ้านก็จะได้ประโยชน์ เพราะถ้าเงินมันลดมูลค่าในอัตราเร่ง ก็เปรียบเสมือนคนที่กู้บ้าน แทบจะได้บ้านมา อย่างถูกๆ ..สมมุติคุณกู้ 1 ล้านดอลล่าห์ ผ่อนจ่าย 30 ปี ..ลองนึกมูลค่าเงิน 1 ล้านบาท ใน 30 ปีข้างหน้าบวกเงินเฟ้อซิครับ (ใช่!! เหมือนคุณเกือบได้บ้านฟรี..ว่างั้น)

ภาพที่เรากำลังเผชิญ คือ อเมริกากำลัง "ส่งออก" ไม่ใช่ส่งออกธรรมดา แต่เป็นการส่งออก "เงินเฟ้อ" ไปทั่วโลก (ถามว่าคุณสามารถหลีกเลียงได้ไหม "ตอบเลยว่า ไม่ได้" เพราะเงินที่เราใช้แลกเปลี่ยนมือกันในการค้าทั่วโลก ส่วนใหญ่ก็คือเงิน $US).. "ตลกไหมครับ คนอเมริกาได้บ้านฟรี แต่คนทั่วโลกได้เงินเฟ้อ (ไอ้กัน ฉลาด แต่ชั่วโคตร !!)"

ตอนนี้สิ่งที่แสดงให้เรารู้ว่า "เงินเฟ้อ" เริ่มแรง ก็คือ ราคาทอง ..(แน่นอน ตราบใดที่เศรษฐกิจย่ำแย่ และเงินเฟ้อเพิ่มขึ้น ราคาทองก็จะพุ่งไปเรื่อยๆ) แล้วทองจะหยุดขึ้นเมื่อไหร่ (นี่เป็นคำถามที่ดีมาก!!)

ราคาทองจะเริ่มนิ่งก็เมื่อเศรษฐกิจกลับมาเติบโต จากนั้นจะเกิด Bubble ขึ้นในสิ่งอื่นๆ เช่น Real estate และหุ้น ตามมา ..พร้อมๆกับอัตราดอกเบี้ยเงินฝากและเงินกู้ของธนาคาร

ถูกต้อง!! ผมกำลังจะบอกคุณว่า "สิ่งที่ผมเขียนในหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน ทั้งภาค 1 (มีขายเฉพาะ s2M ) และ (ภาค 2 ที่กำลังจะออกวางแผงที่ SE-ED..เย้!!โฆษณาแฝงเลย อิ อิ) --"มันกำลังจะเป็นจริงนะครับ"" ..แต่ขอออกตัวก่อนว่า อย่าเข้าใจผิด "ผมไม่ใช่หมอดู"เพียงแต่ผมวิเคราะห์ไปตามพื้นฐานเศรษฐกิจและข้อมูลที่ผมเห็นในฐานะ Banker ที่เล่นหุ้นเป็นงานอดิเรก คนนึง ก็เท่านั้นเอง

ราคาทอง และ ราคาหุ้น จะขึ้นไปเรื่อยๆ พร้อมๆกับ ดอกเบี้ยธนาคาร ที่จะค่อยๆปรับสูงขึ้นไปเรื่อยๆ เงินลงทุนที่อยู่ในรูปของแบงค์กงเต๊ก (ดอลล่าห์) จะเริ่มถ่ายเท มาลงทุนในเอเชียมากขึ้น มันคือสัญญาณของ Asian Miracle 2 (คือ ความรุ่งเรื่องในสินทรัพย์อีกครั้งของเอเชีย "ขอย้ำว่าเป็นความรุ่งเรืองในสินทรัพย์ คือ "รวยเฉพาะคนที่ถือสินทรัพย์ แต่คนที่ถือเงินสด พันธบัตร หรือ ตราสารหนี้ พวกนี้ไม่ได้ประโยชน์ ..ได้แค่นั่งดู ขำขำ ว่าทำไมไอ้พวกบ้าพวกนี้รวยจังฟะ!!") ..จากนั้นคนที่นั่งดูอยู่ข้างนอก พอเห็นคนที่ถือสินทรัพย์หรือหุ้น "รวยเอา ๆ" ก็ทนไม่ไหว ..ทำให้ต้องโดดเข้ามาเล่นหุ้นบ้าง บนยอดดอย (ครับใช่!!คนส่วนใหญ่จะโดดเข้ามาบนยอดดอย)

..และนั่นก็จะเป็นที่มาของ "ต้มยำกุ้งครั้งที่ 2" ที่คราวนี้ไม่รู้ว่าจะเกิดจากประเทศใด ในเอเชีย จีน หรือ อินเดีย หรือ... (เอ๋อ!! ช่างมันเถอะ)

สรุปว่าไอ้ QE2 นี่มันเป็นสิ่งที่ย้ำความเชื่อมั่นของผม ว่า "ผมมาถูกทาง" ..(แต่ก็นั่นแหละ ผมอาจผิดก็ได้ ..รอดูกันต่อไปครับ)

วันจันทร์ที่ 8 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

เก็บตกงานสัมมนา by Pawawit ( 6 พฤศจิกายน ที่ S2M Cafe )



"ในที่สุดชุมชน S2M (ศูนย์กลางนักลงทุนรายย่อย) ก็ได้ตัดริบบิ้น.. เปิด(ซิง) Course การเรียนรู้หุ้น" ...วันเสาร์ที่ผ่านมา ก็ได้รับการตอบรับเป็นอย่างดี ..จนตอนนี้ ก็จะเปิดตัวอย่างเป็นทางการ ...ซึ่งจากนี้ไปทาง S2M Cafe จะพัฒนาสื่อการเรียนรู้ในเรื่องของการลงทุนออกมาอย่างต่อเนื่อง (ทั้งสัมมนา / หนังสือ รวมทั้งสื่อการเรียนรู้อื่นๆ ในด้านการลงทุน)

ช่วงที่ผ่านมา ผมและคุณ Looking รวมทั้งพี่ๆรุ่นเก๋าใน S2M ได้สมคบคิด และ เสาะแสวงหา ยอดฝีมือ เซียนหุ้นทั้งรุ่นใหญ่ รุ่นเล็ก เด็กฮาๆ แต่ทั้งนี้ผู้ที่เราเทียบเชิญมาร่วมอุดมการณ์ "ยิ่งให้ ยิ่งได้" ขอรับประกันคุณภาพว่า "ของจริง" (ล่าสุด..อย่างคอร์สที่ผมสอน Basic to Investing จริงอยู่ มันง่าย แต่รับประกันว่า มันมาจากประสบการณ์จริง"ไม่ได้จะมีสอนทั่วไป"..(แตกต่าง..ว่างั้น..หุ หุ หุ) --ซึ่งอย่างที่บอกครับว่า มันกลั่นออกมาจากการเล่นจริง ลงทุนจริง มันจึงเป็นการถ่ายทอดมุมมองพื้นฐานที่ได้กลั่นกลองแล้ว)

แน่นอนเนื้อหา มิได้มาจากผมเพียงคนเดียว แต่มันเป็นการเรียงร้อยประสบการณ์ จากเพื่อนๆพี่ๆ ที่ได้กลั่นกรอง แล้วสรุปเป็นอาหารสมองสำหรับการลงทุน โดยผ่านผู้ถ่ายทอดอย่าง ผมและป๋ากึ้ง ..

จากนี้ไป เราจะทยอยเปิดหลักสูตรการลงทุนในด้านต่างๆ ตั้งแต่ Basic Investment Fundamental ไปจนถึง Advance Technical ..ซึ่งแน่นอน เราจะไม่ยอมทิ้งกลิ่นอายของความเป็นกันเอง ของชาว S2M ...ดังนั้น ทุกหลักสูตรการเรียนรู้ จะเรียกได้ว่าสั้นกระชับ ถ่ายทอดแบบตรงไปตรงมา "ไม่กั๊ก" (หลายคนถามว่า คุณเอาเรื่องการเล่นหุ้น ซึ่งเป็นวิธีการหาเงินได้จริงๆมาสอนกัน ด้วยค่าใช้จ่ายเพียงเล็กน้อยนิดแบบนี้จะคุ้มหรือ!!)

จุดนี้ขอบอกว่า "มันไม่ได้คุ้มในเรื่องของเงิน แต่มันคุ้มในเรื่องของใจ ซึ่งเราชาว S2M เชื่อว่า การลงทุนมันเป็นเรื่องที่มีความซับซ้อน ดังนั้น มันเป็นเรื่องยากมาก ที่รายย่อยจะสามารถอยู่รอดในตลาดเพียงลำพัง ...แต่ถ้าหากเรารวมพลัง และแลกเปลี่ยนความรู้กัน พวกเราเชื่อว่า "เราก็ไม่แพ้รายใหญ่หรอกครับ..สู้ได้!!"

(อะไรที่ทำให้ผมมั่นใจ -- นั่นคือ ผลตอบแทนการลงทุนของ ผมเอง ป๋ากึ้ง พี่ๆน้องๆ ทุกคนได้พัฒนาอย่างต่อเนื่องและเป็นระบบ ซึ่งแม้ว่า แนวทางของแต่ละคนจะแตกต่างกันชัดเจน แต่ความร่วมมือและประสบการณ์ที่เราร่วมแบ่งปันกัน มันเป็นพลังที่ทำให้มุมมองของทีมงานแต่ละคน เฉียบขาดและคมขึ้น)

สิ่งหนึ่งที่พวกเราชาว S2M เห็นตรงกันก็คือ "คุณภาพของข้อมูล" ที่รายย่อยได้รับ มันไม่ใช่สิ่งที่รายใหญ่ได้รับ และมันเป็นเกมที่จำกัดผู้ชนะอย่างถาวร .."ส่วนตัวของผม ตั้งแต่ก้าว ที่ผมเข้ามาร่วมแจมใน S2M แห่งนี้ ผมได้พบว่า สุดท้ายการพัฒนาที่จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จ ได้ในระยะยาว นอกจากฝีมือแล้ว ที่สำคัญที่สุด คือ "การเข้าใจตัวเอง" หรือ ที่หลายๆคนรวมเรียกว่า "จิตวิทยาการลงทุน"

เอาเป็นว่า ใครสนใจเรียนรู้ หรือ ใครสนใจจะถ่ายทอด เราเปิดกว้างทุกรูปแบบ ...วันนี้ Course สัมมนาเรียนหุ้น กำลังร่างหลักสูตรไปได้ 11 หลักสูตรแล้ว ..ซึ่งตอนนี้เราก็จะทยอยเปิดหลักสูตรอย่างต่อเนื่อง แต่เนื่องจาก S2M Cafe มีเนื้อที่ค่อนข้างจำกัด (ในภาพ) เราจึงเปิดรับได้หลักสูตรละไม่เกิน 35 คนเท่านั้น ..ตอนนี้แค่หลักสูตรแรกซึ่งผมและป๋ากึ้งเป็นวิทยากร ก็มีเพื่อนๆจองเข้ามาอย่างแน่นเอี๊ยด ต่อเนื่อง -- ก็ค่อยๆพัฒนากันไปครับผม (ใครสนใจก็โทรเข้ามาถามที่ คุณแอน S2M Cafe ได้ที่เบอร์ โทร 02-632-9956 ถึง 7 "เวลาราชการ"...ในส่วนของรายละเอียดของหลักสูตร คลิ๊กดูได้ที่ www.stock2morrow.com ซึ่งเราจะแจ้งให้ทราบล่วงหน้า )

ส่วนในเรื่องของ คำถาม-ตอบ คือ เราได้จัดให้ อาจารย์ผู้สอนของ S2M ทุกคนมี "Facebook Fan page" เพื่อให้คนที่สงสัยเข้ามาคุยได้ (พูดง่ายๆว่า เรียนรู้แล้วไม่ทิ้งกัน แบ่งกันความรู้กันไป)..ส่วนข้อคิดดีๆ ทางเราก็จะรวบรวมใส่ Blog (ซึ่งจะเป็นว่า การถามตอบ จะใช้ Facebook ส่วนการอ่านข้อมูลย้อนหลังก็อ่านได้ที่ Blog ของอาจารย์แต่ละคน "ซึ่งอาจารย์ทุกคนของ S2M ก็จะใช้รูปแบบคล้ายๆผมนั่นเอง (ติดตามกันได้ครับ)"

ในส่วนของ "หนังสือ" ...อาจารย์แต่ละคน แต่ละคอร์ส ก็จะค่อยๆพัฒนาหนังสือ เกี่ยวกับเรื่องที่เอามาสอน "ให้มันง่ายสุดๆ โดยผม จะช่วยเขียนให้มันง่ายขึ้นไปอีก อย่างเช่นเรื่อง Technical เราก็จะเอามาตีแตกให้ง่าย!!" ...ตัวอย่างหนังสือ ก็อย่างเช่น แกะรอยหยักสมอง ที่ผมเขียน ซึ่งตอนนี้กำลังเขียนภาค 2 ที่จะวางแผงใน SE-ED เร็วๆนี้ ก็จะจับในภาพใหญ่ / ส่วนหนังสือของ Wizard kid ก็จะเป็นแนว Day Trade ผสม Technical แบบ Future Trader / อย่างหนังสือ ของ "ป๋ากึ้ง" ก็จะเป็นแนว Penny stock รวมทั้งมุมมองของคนที่คลุกคลีอยู่กับข่าวสาร ที่ค่อนข้างลึก ซึ่งจะให้มุมมองที่ไม่ธรรมดา / อย่าง Monkey Trade ก็จะให้มุมมองของ Technical บวกกับ Fundamental ที่ Blending อย่างแปลกใหม่..ว่างั้น และ ยังจะมีหนังสือ อีกมากมายที่จะออกมาให้ความรู้ภายใต้ชุมชน S2M แห่งนี้

ในส่วนของ S2M Cafe เราก็ได้รับความร่วมมืออย่างดี จาก Broker ตอนนี้เราก็ทำ Pilot ความร่วมมือ กับสอง Broker ดังอย่าง ฟินันเซียไซรัส และ ทรีนิตี้ ซึ่งจากนี้ไปเราก็จะเริ่มการมีกิจกรรมอย่างต่อเนื่องที่ S2M Cafe เช่น คลีนิคหุ้น (นัดมาคุยกับผู้บริหารกองทุนของ Broker เป็นต้น)

ฮึม!! ฟังแล้วเหนื่อย ..ผมและป๋ากึ้งและทีมงานก็เหนื่อย..หุ หุ --แต่เห็นการขยายตัวของชุมชน รวมทั้งความสนใจของเพื่อนๆ มันเยี่ยม!! "พวกเราจะสู้ต่อไป ..ทาเคชิ !!"

แผนที่การเดินทางมา S2M Cafe


วันจันทร์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2553

ใครชอบเล่นหุ้นยาว แต่หาจังหวะซื้อหุ้น ซื้อ RMF/LTF ไม่ได้สักที เอ้า!! อ่านดู



ขอเกริ่นภาพของตลาด ในมุมมองของผมก่อน (นี่ก็ย่างเข้าเดือนพฤศจิกายนแล้ว โดยปกติปลายปี นักลงทุนฝรั่งก็จะเริ่มเข้าสู่สภาวะเกียร์ว่าง ...แต่มาช่วงหลังๆ ตลาดได้อานิสงค์จากการซื้อ RMF / LTF ที่ชอบซื้อกันปลายปี ... ก็เลยมักจะมีเม็ดเงินจากนักลงทุนรายย่อย ที่ลงทุนผ่านสถาบันเข้ามาลงทุนในตลาด)

ปลายปี 2009 ที่ผ่านมา ภาวะตลาดก็มีลักษณะคล้ายๆแบบนี้ ซึ่งปลายปีก็เกิดการปรับฐาน "คือฝรั่งขายทำกำไรบางส่วน (สงสัยเอาเที่ยว Christmas ..หุ หุ)" ...แต่ปีนี้มาถึงปัจจุบัน ก็ปาเข้าไปเกือบจะหมดปี แล้ว แต่การปรับฐานปีนี้น้อยมาก ขึ้นตลอดตั้งแต่กลางปีเป็นต้นมา ..ทั้งนี้อาจมาจากสาเหตุของการ "อั้น" เนื่องจากต้นปี การชุมชนของเสื้อแดง และเกิดภาวะวิกฤต ..อาจส่งผลให้ อั้น กลายมาเป็นภาวะ "เขื่อนแตก" คือ เงินลงทุนไหลทะลักเข้ามาอย่างที่เห็นจนถึงตอนนี้

สิ่งที่ผมมอง ผมจะรู้สึกไม่ค่อยชอบภาพในระยะสั้นของหุ้นตัวเล็กๆ แต่ผมจะชอบ SET 50 มากกว่า เนื่องจากถ้าเทียบแบบรายตัว โดยธรรมชาติของตลาดหุ้นไทย จะเล่นกันอยู่ไม่กี่ตัว ...หุ้นเล็กในปี 2010 มาแรงและเร็วเกินปกติ มันทำให้ผมมองค่อนข้างลบ เกี่ยวกับหุ้นเล็ก "แต่เท่าที่ผมทราบ นักลงทุนรายย่อยกับ Bullish กับหุ้นเล็กๆ ทั้งนี้เพราะโดยมากราคาหุ้นเล็กๆจะถูก แต่จริงมันไม่ได้ถูกจริงๆ"..บางหุ้นราคา 2 บาท รายย่อยนึกว่าถูก แต่พอดูเทียบ P/BV มันปาเข้าไป 5 เท่า (อย่าง PTT ที่ว่าแพง แต่ถ้าเทียบ P/BV ยังไม่ถึง 2 เท่าเลย ..จุดนี้ต้องระวัง!!)

หลายคนมองว่า ช่วงนี้อยากถือยาว แต่พอเลือกหุ้นมา มันกลับเป็นหุ้นปั่น ..ตรงนี้อันตรายสุดขีด ...หุ้นที่จะถือยาวได้ ผมมองว่าถ้าไม่เล่นหุ้น Blue Chip คุณก็ต้องเล่นหุ้นเล็กที่ไม่ค่อยมีสภาพคล่อง แต่ปันผลดีอย่างสม่ำเสมอ (พูดง่ายๆว่าหลีกเลี่ยง หุ้นปั่นนั่นแหละ) ..เพราะภาพส่วนใหญ่ เรามักจะยึดติดว่าซื้อหุ้นแล้ว มันจะต้องขึ้นทันที "ซึ่งผิดอย่างแรง" --เกือบร้อยทั้งร้อย ที่หุ้นที่เราซื้อแล้วขึ้นทันที มันมักจะเป็นหุ้นที่เขาปั่นมาใกล้ยอดดอยแล้ว ..พอรายย่อยซื้อก็ขึ้นทันที แต่พอมันถึงยอดดอยของแต่ละรอบที่เขาปั่น "เจ้ามือก็ทุบทันที" (นี่แหละมุมมอง ที่ผมว่ามันอันตราย)

(ผมยกกราฟ SET มาให้ดูในภาพ) จะเห็นได้ว่าภาพใหญ่ ไปอีกเยอะ แต่ดู จุด 1/ 2 /3 /4 พวกนั้น ผมก็เอามาแสดงให้ดูว่า เวลาขึ้นมัน จะต้องขึ้นแล้วย่อก่อน มันถึงจะไปต่อ "คือ ตลาดมันจะขึ้นอย่างจรวดเหมือนที่เราเห็นในช่วงที่ผ่านมา ไม่ได้ตลอดหรอกครับ ..ที่ช่วงที่ผ่านมา มันขึ้นมาแบบไม่ย่อเลย ก็เพราะมัน "อั้น" อย่างที่ผมได้กล่าวมา" ...ดังนั้น การเล่นหุ้นต้องเล่นเผื่อ มันปรับฐานด้วย "ไม่ใช่มองแต่ Bullish หน้าเดียว"

อย่างภาพใหญ่ ไม่ต้องสงสัยหรอกครับ ทุกอย่างมันชี้ไปในขาขึ้น ..ดังนั้น คนที่ชอบเล่นยาว ก็มีโอกาสในการซื้อเมื่อตลาดย่อลงมา "คือ รอปรับฐานนั่นแหละ" ...หลายคนเห็นตลาดขึ้นแรงๆกลัวตกรถ เลยชอบกระโดดเข้าไป ทุกดอยของรอบเล็กๆ ที่ขึ้น

.."ลองมองตรงข้ามซิครับ" --หากตลาดมันขึ้นไปเป็นรอบๆ ถ้าเราอยากจะ เล่นหุ้นยาวๆอยากปลอดภัย ก็แบ่งเงินแล้วทยอยเข้าซิครับ ...อย่างพวกที่เล่น RMF/LTF ก็เหมือนกัน ทำไมต้องมาเข้าปลายปี "เสี่ยง" ทยอยเข้าเวลาจะตลาดย่อ ..."แค่นี้คุณก็เข้า จุดต่ำสุดของทุกรอบ ..สบายใจกว่าเยอะครับ"

BDI Index ตัวชี้วัดว่าการค้าของโลกดีจริงหรือเปล่า !!



วันนี้จะขอยก BDI Index มาคุยกันซะหน่อย ..เพราะจริงๆ BDI Index มันมีความเกี่ยวข้องกับภาพรวมของการค้าโลกเอามากๆเลยทีเดียว

BDI Index คืออะไร .."มันก็ตัววัดค่าระวางเรือ (ค่าเดินเรือ ...ว่างั้น)" ...ถ้ามีการค้าขายมาก ค่าเดินเรือก็จะสูง ตาม Demand (ความต้องการใช้เรือ) ของตลาด

อย่างกราฟที่ยกมา จะแสดงให้ดูถึงการขึ้นลงของ BDI Index ตั้งแต่ปี 2000 - 2010 ..เริ่มจากปี 2000 ตั้งแต่ Dot com Bust แล้วก็ตามด้วย 9-11 การค้าทั่วโลกซบเซา ..ดู BDI Index ช่วงเวลานั้น ย่ำแย่มาก ..จากนั้นพอปี 2003 - 2005 ก็เริ่มมีการฟื้นตัวของค่าระวางเรือ ...จากนั้นก็แย่อีก 2 ปี ..แล้วก็มา Boom แรงๆเลยก็ปี 2007 - 2008 จากนั้นก็ ย่ำแย่ต่อเนื่องมาถึงปัจจุบัน

"คุณเห็น Cycle ของมันไหม!!" .."ถูกต้อง 2 ปี..ขึ้น / อีก 2 ปี ลง ..ตอนนี้แย่มา 2 ปีแล้ว ...หมายความว่าอะไร!!" ...หมายความว่า ตาม Cycle ...อย่างขี้หมูขี้หมา มันก็น่าจะขึ้นได้ในปีหน้า (เอ๋อ!! แต่ว่าทุกคนมองว่ามันยังไม่ฟื้นนะ ทุกคนออกมาบอกว่า การค้าจะซบเซาอีกนาน อย่างอเมริกากับยุโรปก็ไม่ฟื้น ...คำถามคือ คุณเชื่อ Cycle หรือ คุณเชื่อลมปาก !!)

เอ๊ิก ๆ ๆ ..ผมมองอย่างนึงนะว่า ลมปาก "เหม็นเสมอ" ..นอนหลับไปหนึ่งคืน พอตื่นขึ้นมาน้ำลายยังบูดเลย !! ..เอาเป็นว่า เมื่อคนส่วนใหญ่เห็นว่า การค้ามันไม่ฟื้นจริงๆ .."หากคุณเป็นชาวสวน ..สวนไปเลย!!" (บ้ารึเปล่า)

ผมเชื่ออยู่อย่างนึงจะครับว่า "คนที่ประสบความสำเร็จได้ ต้องคิดต่าง และทำต่าง ..ปัญหามันอยู่ที่ เวลาทำต่างแล้วมัน จะไม่มีกินอะดิที่สร้างปัญหา แต่คนที่มีความสามารถที่จะแตกต่างแล้วยังมีกิน ..."จงทำต่าง ไปเถอะครับ .. นั่นหมายความว่า คุณมีโอกาสสำเร็จมากกว่าคนทั่วไป!!"

ทุกๆเช้า ผมชอบหยิบหนังสือพิมพ์มาอ่าน คือ พยายามมาดูว่า เมื่อคนส่วนใหญ่อ่านแล้วเขาคิดอะไร "นี่แหละ Market Research ชั้นดีของผมเลย" ...อย่างละครน้ำเน่าที่ดูๆกัน จริงๆ ถ้าจะมองให้เป็นประโยชน์ มันมีประโยชน์นะครับ (ยังไง ..งง ..ไหม)

เดี๋ยวนี้ละครทีวี "สั้น เนื้อหากระซับ ..ไม่ยืดเยื้อเหมือนละครโบราณ" ..จุดนี้มันชี้ให้เห็นเลยว่า พฤติกรรมของคนเปลี่ยนไป เขาเรียกว่า "Short Attention" (พูดง่ายๆก็คือ คนเดี๋ยวนี้ความอดทนต่ำ ไอ้หนังยาว หนังสือยาวๆ ไม่อ่านหรอก ..ทนไม่ไหว) ..อย่างนี้ก็ง่าย พอนักการตลาดออกสินค้า อะไร หรือ จะโฆษณาอะไร ก็เอาจุดนี้มาวาง "คุณก็เข้าถึงใจคน" ..ประเด็นคือ ความเข้าใจมนุษย์นะ ที่มันสำคัญต่อความสำเร็จ .."บางคนอ่านหนังสือ หรือเรียนแทบตาย พอทำงานจริงไปไม่รอด ...ปัญหาคือ มันไม่มี Common Sense ...งั้นดูละครน้ำเน่า ยังจะเอามาประยุกต์คิดได้ประโยชน์กว่าเลย ...เอิ๊ก ๆ ๆ ๆ

กลับมาประเด็น BDI Index ผมจะสื่ออะไร ...ผมเผอิญอ่านสัมภาษณ์ผู้บริหารหนุ่มของ TTA ....ผมมอง กิจการนี้มันมีอนาคต เพียงแต่หลายปีที่ผ่านมา ไม่ว่า TTA จะทำอะไร ก็ผิดไปหมด เช่น ลงทุนเรือขุดเจาะ ก็เจอวิกฤต BP สกัด ทำให้งานหาย เพราะตลาดสะดุด เกี่ยวกับการขุดเจาะน้ำมันในน้ำลึกชั่วขณะ หรือ ที่ TTA ไปซื้อ UMS ก็กลายเป็น ถ่านหินก็สะดุดเล็กน้อย .."สรุปจับอะไร กระตุกหมด" ...แต่สิ่งที่ผมสนใจไม่ใช่ภาพระยะสั้น มันกลับเป็นภาพระยะยาวที่น่าสนใจ

ผมมอง TTA เป็นกิจการคล้ายๆบ้านปู (ธุรกิจ BANPU นี่ผมเสียดายมาก เพราะผมขายหมู ทิ้งหุ้นไปตั้งนานแล้ว สาเหตุหลักๆ คือ ผมดันไม่ศึกษาลึกๆว่า ที่จริงแล้ว บ้านปู ภายนอกคนมองว่า เป็นธุรกิจถ่านหิน แต่ความจริงแล้วมันไม่ใช่ !! ... BANPU ผู้บริหารเก่งมาก เขามองตัวเขาเองเป็น Fund Manager ดังนั้น เขาจะลงทุนในทุกอย่างที่มีโอกาส โดยไม่จำกัดอยู่ที่ว่า ..เราทำธุรกิจอะไรแล้ว เราต้องสมองแคบอยู่กับธุรกิจนั้นๆ (คิดอย่างนี้ตาย ไปไม่รอดในอนาคต) .

..ถ้าผู้บริหารยุคนี้ คิดอย่าง Fund Manager ไม่เป็น ..ธุรกิจไปไม่รอดหรอก "ผมว่าที่รัฐบาลมาเบรก PTT ไม่ให้ซื้อ Carrefour ..เป็นการกระทำที่ไร้วิสัยทัศน์" ..ผมอยู่ออสเตรเลียมานาน ผมเห็นเลยว่า ธุรกิจสมัยใหม่ มัน Cross กันไปหมดแล้ว อย่างค้าปลีกของเขา ยังมาผูกขาดปั๊มน้ำมันเลย ..แล้วทำไมธุรกิจค้าน้ำมัน จะผูกขาดค้าปลีกบ้างไม่ได้ !!

ก็นี่แหละครับที่ผมชอบ "ผู้บริหารที่วางตัวเป็น Fund Manger" ..เพราะอย่าง TTA ตอนนี้เขาเตรียมเงิน 30,000 ล้าน เพื่อเตรียมไป Take Over กิจการ ..ซึ่งในอนาคตจะสำเร็จหรือไม่ มันก็ต้องรอดู (อย่างบ้านปูนี่ชัด ที่แสดงถึง ความเก่งในการบริหารภาพใหญ่ ..ขนาด Forbes Magazine ยังยกย่อง มุมมองของ BANPU เลย เพราะจริงๆ เมืองไทยมีถ่านหินไม่มาก แต่กลายเป็นว่า BANPU ไม่ได้มองตัวเองจำกัดแค่ถ่านหินในเมืองไทย แต่เขามองว่าเขา Global ..จึงไปซื้อถ่านหินทั้งใน อินโด ออสเตรเลีย และก็จีน ..."นี่แหละครับ วิสัยทัศน์ ที่มองในภาพใหญ่"

แต่ทั้งนี้ ทุกอย่างต้องอาศัยเวลาและความอดทน "ผมฝากเรื่องนี้ไปคิดกันนะครับ ..ยุคนี้ ต้อง (ทั้งเก่ง ทั้งอึด) ..ขาดตัวใดตัวนึงก็ยากที่จะสำเร็จ!!" ((เก่ง + อึด = Success !! ))

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ