แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

8 ข้อ บริหารเงินอย่างไรไม่โยโย่

8 ข้อ บริหารเงินยังไงไม่โยโย่

คนเคยลดน้ำหนักจะรู้ว่า ส่วนใหญ่คนที่ลดน้ำหนักเร็วๆ มักจะโยโย่ ..ก็คือ กลับไปอ้วนใหม่ แถมอ้วนกว่าเดิม

ในเรื่องการเงิน ก็มีโยโย่ ...คือ คนที่ได้เงินมาเร็วๆ เช่น ถูกหวย , ได้มรดก , ได้เงินก้อนเกษียณ , ได้โบนัส เงินเดือนขึ้น หรือ เล่นการพนันได้ ...โดยมากจะกลับไปจน เครียด เงินหมดเร็ว ...สุดท้าย จนกว่าเดิม (เครียดหนักขึ้น!!)

ทำไมจึงเป็นเช่นนั้น ? ...ตอบง่ายๆ เพราะ เขาไม่รู้จัก 8 ข้อนี้ 

1. ‘เงินเหมือนต้นไม้ ถ้าวางในที่น้ำน้อยๆ มันจะตาย’ ...น้ำน้อยในทางการเงิน คือ ผลตอบแทนน้อยๆ เช่น ฝากธนาคาร มันจะไม่โต แถมจะตาย คือ เราใช้หมด ...ต้องเอาไปวางในที่ผลตอบแทนดี เช่น สินทรัพย์ต่างๆ 

2. ‘อย่าเอาเงินต้นไปซื้อบ้าน หรือ คอนโด’ ...ให้เอาเงินปันผลไปผ่อนอสังหา ...เพราะเงินกู้อสังหา มันเป็น Passive คือ ยังไงก็ตัองจ่าย ...ขืนเอาเงินเดือนไปผ่อนก็ซวย เพราะเงินเดือนเป็น Active ...ต้องเอาเงิน Passive ไปผ่อน เช่น เงินจากปันผลจากหุ้น อันนี้แหละ มั่นคง มาเรื่อยๆ ไม่เหนื่อยใจ

3. ‘อย่ารีบขยับฐานรายจ่าย’ ...บางคนพอได้เงินเดือนเพิ่ม ก็รีบเปลี่ยนรถ เปลี่ยนบ้าน พูดง่ายๆ เปลี่ยนรสนิยมเป็นไฮโซทันที ...ทำแบบนี้จะกลับไปจน แถมเครียดตลอดเวลา 

4. ‘ต้องแบ่งเงิน 20% จากเงินเดือน กันไว้ลงทุนเสมอ’ ...นี่คืออย่างน้อย 20% ไม่ว่าเงินเดือน หรือ รายได้จะเพิ่มเท่าไหร่ก็ต้องกันไว้สม่ำเสมอ

5. ‘เลิกเล่น Facebook และ Intragram’ ..(แล้วจะอ่านบทความพี่แพ้ทจากไหนล่ะ ?) ..อันนี้งานวิจัยเขาศึกษาเกี่ยวกับ Social ว่าคนที่เล่น เป็นประจำ มักจะใช้เงินเก่ง เพราะ จะติดพฤติกรรมการเปรียบเทียบ และ โชว์ออฟตลอดเวลา (ง่ายๆ ถ้าไม่ได้ Social เพื่อ หาเงิน หรือ หาความรู้ ให้ลดการใช้ลง จะรวยขึ้นครับ)

6. ‘อยู่ให้ใกล้ที่ทำงานมากที่สุด’ ...คุณภาพชีวิตคนส่วนใหญ่ในเมืองหมดไปกับการเดินทาง ทั้งสุขภาพจิต และ ค่าใช้จ่ายเพิ่ม เช่น การซื้อรถ ..มาจากบ้านไกล ...ลองเริ่มจากเช่าก็ได้ ทดลอง คุณภาพชีวิตที่คืนเวลาและสิ่งอื่นๆ มากมาย แค่ลดการเดินทาง

7. ‘ซื้อของออนไลน์ให้น้อยลง’ ...ถ้าคุณคิดดีๆ ของส่วนใหญ่ที่ซื้อออนไลน์ มักเป็นของราคาไม่สูง ซึ่งส่วนใหญ่ คือ ของเล่น ซึ่งสุดท้ายทิ้งเป็นขยะ ...ถ้าลดจำนวนขยะที่เราซื้อได้ จะมีเงินในกระเป๋าเพิ่มขึ้นแน่นอนครับ

8. ‘ผ่อนจ่ายในชีวิต มีอย่างเดียวคือ DCA’ ...ทุกการผ่อนจ่าย คือ ทำให้ชีวิตเราตกอยู่ในสภาวะทาส ...ทาสยุคใหม่ ก็คือ คนที่ชอบผ่อนจ่ายทุกอย่าง เพราะ การผ่อนจ่าย ทำให้เราซื้อของเกินกำลังการซื้อจริงๆ ของเรา ...สุดท้ายจบไม่สวย

การผ่อนอย่างเดียวที่แนะนำ คือ DCA นั่นคือ ลงทุนเท่าๆ กันทุกเดือน เช่น ออมในหุ้น ETF ที่เริ่มต้นเพียงเดือนละพันกว่าบาท ก็รวยได้เมื่อเกษียณ

ใครทำได้ 8 ข้อ บอกเลย ชีวิตนี้ไม่มีทางจน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

วันพุธที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

9 เรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ สามารถสร้างความได้เปรียบให้ลูกหลาน


9 เรื่องที่พ่อแม่ยุคใหม่ สามารถสร้างความได้เปรียบให้ลูกหลาน

ใช่!! ‘ความได้เปรียบ’ เป็นแต้มต่อที่ทำให้เด็กคนนึงสามารถคว้าโอกาสในชีวิตให้เร็วขึ้น ง่ายขึ้น มีดังนี้

1. ‘ฝึกให้อดทน’ ..ความอดทนเป็นทักษะที่หาได้ยากสำหรับคนรุ่นใหม่ ...ใครมีความอดทนเหนือคนอื่นย่อมมีโอกาสในชีวิตที่ดีขึ้น

2. ‘ฝึกอ่านและพูดภาษาอังกฤษ’ ...ทุกวันนี้ความรู้ดีๆ และ ฟรี มีบนออนไลน์ ..ยิ่งถ้าสามารถอ่านภาษาอังกฤษได้ ยิ่งเข้าถึงข้อมูลที่มีประโยชน์มหาศาล 

3. ‘ฝึกให้มีงานอดิเรก’ ...จะเป็นกีฬา ศิลปะ หรือ ดนตรี ต้องมีทักษะมากกว่าแค่เรียนหนังสือ เพราะ ทักษะที่เราได้จากงานอดิเรก ก็คือ การโฟกัส ซึ่งการ Focus ทำอย่างใดอย่างนึงให้เชี่ยวชาญ ..รวมทั้งฝึกการทำงานร่วมกับคนอื่น ซึ่งคือ ทางลัดสู่การทำงานและการทำธุรกิจเช่นกัน

4. ‘ฝึกให้หาเงินก่อนเรียนจบ’ ..การหาเงินก่อนเรียนจบ เป็นการฝึกวินัย ความอดทนอดกลั้น และ ทำให้เด็กเข้าใจคุณค่าของเงิน ...คนที่หาเงินเองได้ จะเห็นคุณค่าของเงิน ...นอกจากนี้เด็กที่เริ่มจากงาน Part-time จะเข้าใจและไม่ดูถูกงาน

5. ‘ฝึกให้ออมในหุ้น’ ...ในสมัยก่อนมีแต่ทำงานเพื่อเงิน แต่ยุคนี้คนสบายขึ้น เมื่อมีเครื่องมือที่ได้ทั้งเก็งกำไร และ ให้เงินปันผล ...ออมหุ้น (ซื้อหุ้นปันผลแล้วไม่ขาย) นี่แหละ ยิ่งทำ ยิ่งมีอิสรภาพทางการเงิน

6. ‘ฝึกให้คิดบวก’ ...คนคิดบวกจะเห็นโอกาสในชีวิตมากกว่าคนคิดลบ ...เพราะ คนคิดบวกจะมองข้อดีแม้นในยากวิกฤติหรือ ยามผิดพลาด 

7. ‘ฝึกให้เขาเดินทาง’ ...คนที่เห็นโลกมากกว่า ย่อมเห็นโอกาสที่มากขึ้น ...แต่ควรท่องเที่ยวอย่างประหยัด และ เน้นการเที่ยวแบบซึมซาบวัฒนธรรม รวมทั้งการเข้าใจคน ...เด็กที่เคยอยู่มากกว่าหนึ่งประเทศ มักมีความเข้าใจคน และ มองโอกาสได้เก่งกว่า

8. ‘ฝึกให้เป็นคนที่ใฝ่รู้’ ...ใฝ่รู้ คือ ชอบอ่าน ชอบศึกษา เพื่อพัฒนาตัวเอง ...คนที่เรียนรู้ตลอดชีวิต ย่อมสามารถปรับตัว และ คว้าโอกาสในชีวิตได้มากกว่า 

9. ‘ฝึกให้เป็นผู้นำ’ ...การเป็นผู้นำก็คือ ทักษะ ที่ฝึกฝนได้ ...เริ่มจากอาสา ทำงานเพื่อช่วยเหลือผู้อื่น ช่วยเหลือ และทำกิจกรรมต่างๆ 

ทั้ง 9 ข้อนี้ ไม่ต้องรอเรียนจบ ...ต้องพยายามปลูกฝังและพัฒนาทักษะเหล่านี้ให้เร็วที่สุด

ไม้อ่อนดัดง่าย ...จะได้มีโอกาส และ ชีวิตดี๊ดี

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ถึงไม่รู้อนาคต ก็รวยหุ้นได้

‘มีคนถามว่า ถ้าเราไม่รู้อนาคต จะลงทุนในหุ้นให้รวยได้ยังไง ?’

คำตอบ ง่ายมาก ...

เวลาขับรถ เราก็มองเห็นข้างหน้าเท่าที่ตาเราจะเห็น ..แต่สุดท้ายเราก็ขับไปถึงจุดหมายในที่สุดจริงไหม ?

เพราะ อะไร ?

- เพราะมีเป้า รู้ว่าจะไปไหน
- เพราะมีความอดทน ไม่ล้มเลิกความตั้งใจ
- เพราะรู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า และเรียนรู้ สั่งสมประสบการณ์
- เพราะมีคนรู้ใจ กำลังใจ (ครอบครัว) ร่วมเดินทางไปด้วยกัน

1. เพราะ เรารู้ว่าเราจะไปที่ไหน ..เมื่อรู้เราก็จะไปถึงในที่สุด - ‘เวลาลงทุนในหุ้น เราต้องมีเป้าหมายที่ชัดเจน เช่น เราอยากจะได้ เงินปันผลจากหุ้นที่เราซื้อปีละกี่บาท จากนั้นก็ซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ..เดี๋ยวก็ถึง’ 

ก็ไอ้ที่ไปไม่ถึง เพราะ เป้ามันไม่ถูก เช่น ไปตั้งเป้าว่าจะกำไรปีละกี่% กำหนดซะสูง ซึ่งมันเกินความจริง ...เราน่ะบังคับตลาดไม่ได้ ไปสั่งผลตอบแทนไม่ได้ นั่นแหละปัญหา 

แต่การตั้งเป้าง่ายๆ อย่าง สะสมหุ้น มองปันผล ทบไปเรื่อยๆ อันนี้ควบคุมได้ เพราะ มันเป็นสิ่งที่ทำได้อยู่แล้วแค่อดทนทำนานเพียงพอ

2. ความอดทน ...ถ้าไม่เลิกล้มความตั้งใจ เราจะไปถึงจุดหมายในที่สุด

3. รู้จักแก้ปัญหาเฉพาะหน้า เรียนรู้และสั่งสมประสบการณ์ ...ชีวิตและการทำธุรกิจก็คือการแก้ปัญหาแล้วเรียนรู้ เพิ่มประสบการณ์

4. มีคนรู้ใจ (ครอบครัว) ร่วมเดินทาง ...ไม่มีใคร สามารถสำเร็จด้วยตัวเอง มันต้องมีเพื่อน มีทีม 

...กลับมาเรื่องหุ้น ทุกคนรวยได้ ...ซื้อหุ้นดี ไม่ขาย ถือรับปันผล ให้เงินทำงานแทน สั่งสม เพิ่มไปเรื่อยๆ 

สุดท้ายหุ้นปันผล จำนวนมากมาย ที่เราซื้อแล้วไม่เคยขายนี่แหละ ที่มันจะเลี้ยงเรา ...มูลค่าเพิ่ม ปันผลเพิ่ม 

ใช่!! มันไม่ยาก หากเป้าหมายชัด แล้วอดทนรวยได้ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

ตอนนี้มีทั้ง ออมหุ้นรายตัว ซื้อขายเอง ใช้ Trade Master / ออมหุ้นอัตโนมัติ เริ่มที่เดือนละหนึ่งหมื่น / ซื้อหุ้นต่างประเทศ ...มันไม่นากเกินไป ถ้าตั้งใจเริ่มนับหนึ่ง 


เรียนรู้แล้ว จัดไปครับ !!

วันเสาร์ที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

การอ่านคนในห้องประชุม ...แก้เบื่อ !!


การอ่านคนจากสี ในห้องประชุม ..แก้เบื่อ !!

ที่หลายคนพูดว่า เขาสามารถอ่านคน ภายใน 5 นาที จากการพูดคุย ก็นี่แหละ เราเอาเรื่องสีมาจับได้เลย ..ทำให้การคุยกันในเวลาสั้นๆ ก็สามารถรู้สีเบื้องต้น เพราะ แต่ละสี จะมีวิธีการพูด วิธีการตั้งคำถาม ที่แตกต่างกัน ..ก็มาลองดูกัน

คนสีแดง เวลาประชุม จะชอบคุมบทสนทนา เป็นคนคุยตรงประเด็น ..เอาแบบนี้ละกัน / เอาตามนี้นะ

คนสีเขียว เวลาประชุมจะนอกเรื่อง ไม่ค่อยคุมประเด็นหรือบทสนทนา คุยไปเรื่อย ถ้าทุกคนมีความสุขดี ก็คุยยาว

คนสีเหลืองเวลาประชุม จะอยากให้คุยทุกหัวข้อที่เตรียมไว้ ดังนั้น คนสีเหลือง จะคุมประเด็น (แต่ไม่คุมบทสนทนาเหมือนคนสีแดง เอาประเด็นให้ครบ)

คนสีน้ำเงิน เวลาประชุม จะเงียบ เพราะ น้ำเงินจะสงวนท่าที มักพูดน้อยเวลาประชุม ..เวลาเจอคนที่ไม่สนิทก็พูดน้อย (เขาจะพูดเยอะ กับคนที่คุยถูกคอ หรือ สนิทเท่านั้น)

คนสีแดง ดูเหมือนคุยด้วยยาก แต่จริงๆ อ่านง่าย เพราะ เขาคิดอะไรเขาพูดเขาถามตรงประเด็นเลย ไม่มีเกรงใจ ทำให้เราเข้าใจเรื่องที่เขาต้องการสื่อได้จริงๆ ..แค่เราตอบคำถามเขาตรงประเด็น ก็เข้าใจกันไม่ยาก

คนสีน้ำเงิน จะเหมือนคุยด้วยง่าย แต่ด้วยความพูดน้อย แล้วคิดเยอะ บวกกับความขี้เกรงใจ ทำให้หลายๆ ครั้งที่สีน้ำเงิน จะปากไม่ตรงกับใจ ..แล้วถ้าคนอื่น ไม่เข้าใจ ก็น้อยใจอีก ..อันนี้เป็นจุดอ่อน ของน้ำเงิน

คนสีเขียว จะคุยเก่ง พูดเสียงดัง พูดมาก แต่ใช้อารมณ์นำ เหตุผลน้อย หลักการน้อย ไม่ต้องมาหลักการ เราใจใจ ก็พอ ..ข้อดี ก็คุยกันสนุก มันส์ ข้อเสีย บางทีไม่ได้งาน หลุกประเด็น ยาวไปเลย

คนสีเหลือง อันนี้ก็คุยมีหลักการ ถามละเอียดให้อธิบาย ..ซึ่งมันขัดกับนิสัยของคนสีเขียว ซึ่งไม่ชอบจะมานั่งอธิบาย เพราะ คนสีเขียวขี้เกียจอธิบายยาว มันไม่สนุก คุยเรื่องอื่นดีกว่า สนุกกว่า ..แบบนี้ สีเหลืองก็จะตีความว่า คนสีเขียว นี่อธิบายไม่ชัดเจน ก็จะยิ่งจี้ถาม

ลองดูครั้งต่อไปในที่ประชุม หรือ เวลาคุย กับใคร ลองอ่านซิครับ เขาสีไหน แล้วลองคุยในแนวเขา ..เชื่อไหม เขาจะบอกว่า เราคุยสนุกทันที ทั้งทีเราอาจไม่ได้พูดอะไรเยอะเลย

(หลายคนสงสัยว่า แบบนี้ไปใช้จีบสาว ตามสีได้ไหม ...แน่นอน ได้ซิครับ จัดเลย)


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ทำไมคนเรามีสีที่แตกต่างกัน

ทำไมคนเราต้องมีสีแตกต่างกัน ?

ก่อนที่เราจะรู้จักเรื่องสี เราก็มักจะคิดว่า ทุกคนในโลก เหมือนกัน ..คิดเหมือนกัน ...ดังนั้น เวลาเราอ่านคนอื่น เราก็จะเอาตัวเราเป็นที่ตั้ง ..อันนี้แหละ ทำให้เกิดปัญหา ..ปัญหาเรื่องชีวิตคู่ ปัญหาทะเลาะกันในเรื่องงาน ปัญหาทุกเรื่อง ก็เพราะ เราเอาตัวเราไปตัดสินคนอื่น

เช่น คนสีเขียว จะทำงานด้วย อารมณ์นำ แต่สีเหลืองจะทำงานด้วยเหตุผลนำ ..ถ้าคุยกัน คนสีเขียว จะรู้สึกคุยไม่ค่อยถูกคอ เพราะ คนเหลืองจะพูดแต่เข้าประเด็น เข้าหลักการ ไม่ได้สนความรู้สึกของคนสีเขียว

 ..ส่วนคนเขียว ก็จะมองคนเหลืองว่า คนนี้ไม่ชอบเราหรือเปล่า ไม่มีอารมณ์ร่วมในการคุยกันเลย คุยไม่ถูกคอ

 อันนี้เป็นตัวอย่างเล็กๆ ซึ่งบอกเลยว่า ในชีวิตจริง เรามักตีความผิด ..คนเราถึงต่อยกัน เอาปืนมายิงกัน ทำร้ายกัน จากการพูดไม่ถูกคอเท่านั้น

สีแดง กับ สีเขียว มีแนวโน้มที่จะอารมณ์ร้อน

สีน้ำเงิน กับ สีเหลือง มีแนวโน้มที่จะใช้อารมณ์น้อยกว่า นิ่งกว่าว่างั้น
ดังนั้น แน่นอนว่า สิ่งที่เราคิดน่ะ ..คนอื่นอาจไม่ได้คิด เช่น คนสีแดง        อาจไม่มองความรู้สึก พูดเอาประเด็นเป็นหลัก ไม่ชอบนอกเรื่อง ..แต่คนสีน้ำเงิน เขาสนใจความถูกคอในการสนทนา มากกว่าประเด็นสนทนาด้วยซ้ำ

 ...เราน่ะ เป็นแค่ 25% ของคนทั้งโลก

ใช่!! แต่ละสี คือ ตัวแทนของนิสัย และ อารมณ์ตั้งต้นในการทำทุกอย่างของคนทั้งโลก ซึ่งแต่ละสีก็คือ มีคนแนวนั้นๆ ประมาณ 25%

พูดง่ายๆ ว่า ครั้งต่อไป เวลาคุยกัยใคร ลองฝึกอ่านเขาดู แล้วจะพบว่า คุณเข้าใจคนมากขึ้น ..พอเราอ่านคนได้ เชื่อไหม ชีวิตเราจะดีขึ้น

 ..ขั้นแรกน่ะ ลองฝึกอ่านคนแบบรวดเร็วให้ได้ก่อนครับ

วิธีสังเกตสีของคน ในร้านอาหาร
เราจะสังเกตเวลา เด็กเสริฟเอาเมนูมาให้
คนสีแดง จะหยิบเมนูไปดู แล้วจัดการสั่งอย่างรวดเร็ว (เพื่อนๆ จะรู้เลยว่า คนสีแดง มักจะสั่งสิ่งที่ตัวเองอยากกิน ก่อนเลย ..ก็ชัดเจนไง)

คนสีเขียว จะหยิบเมนู แจกให้ทุกคนแล้วบอกว่า เอ้า ทุกคนช่วยกันสั่ง (เพราะ คนทีเขียว ชอบให้ทุกคนมีความสุข ดังนั้น ทุกคนสั่งที่ตัวเองชอบเลย ..แถมตอนจ่ายเงิน คนสีเขียว มีแนวโน้มจะเลี้ยงด้วยซิ ..เพื่อนรัก แต่ระวังกระเป๋าแฟบนะครับ)

คนสีเหลือง จะหยิบเมนูมา แล้วอ่านอย่างละเอียด (ก็คนสีเหลือง เขาชอบศึกษาอะไรละเอียด บางทีเรียกเด็กเสริฟมาถามจนเขาปวดหัว ...แล้วที่เด็ดกว่านั้น บางครั้งไปกินร้านประจำ ก็ยังต้องเปิดเมนูมาอ่าน พออ่านอย่างละเอียดแล้ว คนสีเหลืองก็จะปิดเมนู แล้วสั่งเหมือนเดิมที่เคยกิน “เออ!! มรึงจะอ่านทำไม ?” ...เด็ดกว่านั้นอีก คนสีเหลืองพอสั่งเสร็จ เด็กเสริฟจะเก็บเมนู ก็มักจะบอกว่า เดี๋ยวขอเมนูไว้ก่อน ..ใช่!! คุณคิดเหมือนผม จะเอาเมนูไว้ศึกษารึไง)

คนสีน้ำเงิน อันนี้ปัญหาน้อยหน่อย ..พวกนี้ บางครั้งแทบไม่ดูเมนู บอกคนอื่นเลย ว่า สั่งเลย เดี๋ยวกินด้วย กินอะไรก็ได้ (ดีเนอะ ถ้าไปกับ คนสีแดง ฉันไม่ต้องสั่งเลย ...แต่จะกินได้ไม่ได้ ไม่รู้นะ เพราะ คนสีแดง เขาสั่งเฉพาะที่เขาอยากกินเท่านั้น)

โอเค คุณเริ่มรู้แล้ว ว่าแฟน กับ เพื่อนคุณ น่าจะสีอะไรกัน ..เบื้องต้น เราพยายามอ่านสีก่อน เราจะเอาสีนั้นมาใช้ ให้เราชนะ ใจคน

..ชนะเกม

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 6 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

ประเทศแห่งโอกาส ตั้งอยู่ที่ไหน


ประเทศแห่งโอกาส อยู่ที่ไหน ?

ไปเจอบทความของ World Economic Forum เขาทำการจัดอันดับว่า ประเทศไหน มีโอกาสมากที่สุดในโลก 

‘โอกาส’ ที่ว่านี้คือ โอกาสในการสร้างตัวและมีชีวิตความเป็นอยู่ที่ดี 

ผมบังเอิญ เคยอยู่และทำงาน ในต่างประเทศ เลยอยากแชร์มุมมองที่ น่าจะแตกต่าง ดังนี้

1. ‘ประเทศที่ค่าแรงสูงกว่า ไม่ได้แปลว่า เรามีโอกาสมากกว่า’ ...ยกตัวอย่าง ออสเตรเลีย ค่าแรงแพงกว่าเรา 10 เท่า ...แต่ถ้าคุณทำงานแล้วอยู่ใช้ชีวิตในออสเตรเลีย ซึ่งค่าครองชีพก็ย่อมแพงกว่าเรา 10 เท่า ก็แปลว่า ‘ทำมากใช้มาก’ ...ไม่รวยอยู่ดี ...ที่เห็นคนไทยไปเปิดร้านอาหารแล้วรวย เพราะ เขาทำมาก แต่ประหยัด จึงเก็บเงินได้ - ที่เขารวย เพราะ ‘เขาขยันหาเงิน แต่ใช้เงินน้อย’

2. ‘ประเทศรวย ไม่ได้แปลว่า คนรวย’ ...ประเทศรวยส่วนใหญ่ เก็บภาษีสูง เน้นสวัสดิการดี รัฐบาลดูแล ..ประเทศแบบนี้จะมีคนชั้นกลางเยอะ ไม่มีคนอดอยาก แต่สร้างตัวเป็นเศรษฐียาก ...เพราะ ประเทศเหล่านี้ จะสนับสนุนลูกจ้าง แต่ไม่สนับสนุนผู้ประกอบการ ...จะทำธุรกิจก็ยาก กฏระเบียบมากมาย เอื้อต่อลูกจ้าง มำให้ธุรกิจเล็ก หรือ ธุรกิจใหม่ เกิดไม่ได้ 

3. ‘การศึกษาดี จะไม่ตกยาก แต่มันก็เป็นเพดานที่ก้าวผ่านยาก’ ...ระบบการศึกษาสร้างผู้บริหารมืออาชีพ คนเหล่านี้ ทำงานเก่ง แต่ไม่สามารถคิดนอกกรอบได้ จึงมีชีวิตดี แต่อาจไม่ร่ำรวย ....ผู้ประกอบการที่เก่ง อาจไม่จำเป็นต้องการศึกษาสูง แต่ต้องเป็นคนที่ใฝ่รู้ กล้าลองทำสิ่งที่แตกต่าง และ บริหารความเสี่ยงเป็น ‘โดยเฉพาะ ความเสี่ยงทางการเงิน’

4. ‘มีความสามารถในการเข้าถึงเงินทุน’ ...เรื่องนี้ขนาดอเมริกาเอง ยังไม่เท่าเทียม ...ยกตัวอย่าง คนที่ทำธุรกิจ Start-Up แล้วสามารถเข้าถึงแหล่งเงินทุน อย่าง Angel หรือ Venture Capital (VC) กว่า 75% ต้องอาศัยอยู่ใน แคลิฟอร์เนีย ..แปลว่า ถ้าคุณเป็นคนอเมริกาแต่อยู่รัฐอื่น คุณมีโอกาสได้เงินทุน ที่นอกเหนือกว่า ธนาคารทั่วไป แค่ 25% ....หรือ ถ้าคุณเป็นคนผิวดำในอเมริกา คุณมีโอกาสเพียง 1% ที่จะได้เงินทุนจาก VC .....ไม่ต้องพูดถึงระบบธนาคารปกติ ที่เอื้อเฉพาะ คนมีที่ดิน และสินทรัพย์ค้ำประกัน ...แปลว่า ธนาคารเอื้อต่อคนรวยให้รวยขึ้น และ เข้าถึงโอกาสที่มากกว่า

5. ‘ประเทศที่มี Self-made Billionaire มากๆ คือ ประเทศกำลังพัฒนา’ ....หลายคนอาจไม่รู้ว่า ในรัสเซียคนที่สร้างตัวแบบ Self-made มีอัตราส่วน 100 % ...ต่างจากยุโรป ที่กว่าครึ่ง รวยจาก มรดก ...แปลตรงๆ ว่า ถ้าประเทศไหน ไม่ได้กำลังมีการลงทุน ขยายตัวของเศรษฐกิจ ก็ยากที่จะมีเศรษฐีหน้าใหม่ ....ใช่ครับ!! ยิ่งด้อยพัฒนา ...กำลังพัฒนา คือ โอกาสสร้างตัว !!

6. ‘ประเทศที่เจริญแล้ว มักมีกฏระเบียบที่ต่อต้านการเปลี่ยนแปลง’ ...นั่นเท่ากับว่า ต่อต้านโอกาสใหม่ๆ เช่น Airbnb หรือ UBER ไม่สามารถเกิดในประเทศที่กฏหมายล้าสมัย ...ทั้งที่โลกกำลังเคลื่อนตัวไปใน Sharing Economy ...ยกตัวอย่าง ถ้าบ้านที่เราอยู่ สามารถแบ่งเช่า แล้วสร้างรายได้ ก็น่าจะให้ความเป็นอยู่ของคนจำนวนมากดีขึ้น (ไม่เห็นต้องกลัวว่า โรงแรม จะเจ๊ง ..มันคนละตลาดกัน) ....หรือ ถ้าทุกบ้านติดแผง Solar แล้วขายคืนไฟให้รัฐได้ ...ก็แปลว่า ทุกหลังคาบ้าน คือ Passive Income ของประชาชน ....เรื่องเปลี่ยนหนี้สิน หรือ ทรัพย์สินที่ไม่สร้างเงินของคนส่วนใหญ่ ให้เขามีรายได้ แบบ Passive Income มันดีจะตายไป !!

7. ‘ตลาดทุน ที่เปิดโอกาสให้ธุรกิจเล็ก ระดมทุน คือ โอกาสที่สุดยอด’ ....บ้านเราถือว่า แถวหน้าในกลุ่มเอเชียตะวันออกเฉียงใต้ เพราะ เรามีนักลงทุนรายย่อยจำนวนมาก ...สิงคโปร์แม้ตลาดหุ้นใหญ่กว่า แต่นักลงทุนส่วนใหญ่เป็นสถาบัน....บ้านเราจึงมีโอกาสมากกว่า ในการที่บริษัทเล็กๆ สามารถเข้าไประดมทุน แล้ว ขยายเป็นบริษัทใหญ่ได้ ....ตลาดหุ้นจะสร้างกลุ่มทุนใหม่ ที่จะเป็นการขยายทุนต่อทุน สร้างโอกาสที่มากขึ้น 

8. ‘อินเตอร์เน็ต และ ภาษา’ ...สองเรื่องนี้คือเรื่องเดียวกัน มันคือ การศึกษาและช่องทางการจัดจำหน่ายที่สำคัญที่สุดในศตวรรษที่ 21 ....เน็ต ต้องเสรี ถูก และ ทุกคนเข้าถึง ....ภาษาอังกฤษ ต้องได้ เพราะ มันคือ ภาษากลางของความรู้ออนไลน์ ...ภาษาอื่นๆ รู้ไว้ก็ดี ก็เอาตามกำลังของแต่ละคน

9. ‘ทัศนคติของคนสำคัญที่สุด’ ...ผมทำหน้าที่ดูแลเงินคนรวยมานาน ทำให้ได้สัมผัสและเรียนรู้วิธีคิดของคนเหล่านี้ ....ทำให้สรุปได้ว่า สาเหตุที่คนเหล่านี้รวย ไม่ใช่เพราะเขาโชคดี แต่เพราะเขามีแนวคิดของคนรวยนั้นเอง  

หนึ่ง ‘คิดบวก’ ...มองหาโอกาส หาจุดดี แม้ในวิกฤต 

สอง ‘คิดยาว’ ...วางแผนไกล 

สาม ‘คิดเผื่อ’ ...คิดเผื่อลูกน้อง จึงมีบริวารมาก

สี่ ‘คิดใหม่’ ...กล้าคิดนอกกรอบ และ ทดลองสิ่งใหม่ (ภายใต้ความเสี่ยงที่ควบคุมได้) ...บริหารความเสี่ยงดี !!

ห้า ‘เรียนรู้จากข้อผิดพลาด’ ...คนทำสิ่งใหม่ ต้องผิดพลาดเยอะอยู่แล้ว ...คิดบวก มองจุดดี เรียนรู้ แล้วเดินต่อ ก็แค่นั้น

ตาคุณละ ...เลือกชีวิต ในแบบที่อยากเดิน ...มันขึ้นกับตัวเราเป็นหลัก !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

พ่อแม่ควรสื่อสารกับลูกแบบไหน






"พ่อแม่ควรสื่อสารกับลูกแบบไหน"

พ่อแม่ส่วนใหญ่คิดว่า การสื่อสารความคาดหวังคือการสื่อสารกับลูก แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย

พ่อแม่มักคิดว่าลูกคือ ลูก ดังนั้น พ่อแม่จะล็อคสมองไม่เรียนรู้อะไรจากลูก เพราะมองว่าลูกต้องเรียนจากพ่อแม่เท่านั้น ซึ่งไม่ใช่เลย ยิ่งยุคปัจจุบันลูกเปิดรับข้อมูลจากโลกและ Internet ที่กว้างขึ้น ถ้าพ่อแม่ไม่เรียนไปพร้อมกับลูก ในที่สุดจะคุยกันไม่รู้เรื่อง

พ่อแม่สอนลูกโดย จะวางตัวเป็นผู้จัดการ คือ จัดการทุกอย่างให้ลูกทำตาม

พอลูกเป็นวัยรุ่นก็ทำตัวเป็นตำรวจ ตรวจสอบลูก แต่ไม่เคยทำตัวเป็นโค๊ช

ถ้ามองดีๆ เรื่องเล็กๆ ของลูก มักเป็นเรื่องใหญ่ของพ่อแม่ เช่น ลูกเดินออกไปนอกบ้าน พ่อแม่อาจมองว่าอันตราย แต่ลูกมองว่าไม่เห็นมีอะไร , ลูกจะกลับบ้านช้า พ่อแม่ก็มองว่าเป็นเรื่องใหญ่ , การนอนบ้านเพื่อน , การกลับบ้านเอง

แต่ในทางกลับกันเรื่องที่พ่อแม่มองว่าเป็นเรื่องเล็กๆ แต่มันเป็นเรื่องใหญ่ของลูก เช่น เป็นสิว พ่อแม่มองว่าเดี๋ยวก็หาย แต่ลูกเครียดมาก เหมือนโลกจะแตก , หรือลูกอกหัก พ่อแม่มองว่าไม่เป็นเป็นไร แต่ลูกอยากจะฆ่าตัวตาย

สิ่งสำคัญคือ ต้องมองในมุมของลูก จึงจะเข้าใจ

การสอนของพ่อแม่ ควรเป็นการสอนให้ลูกสามารถตัดสินใจได้เอง แต่พ่อแม่ดันไปเน้นการสอนแบบท่องจำ แล้วย้ำว่า ให้เรียนให้ดี ดังนั้น การลงทุนการเรียนจึงไม่ใช่การลงทุนกับลูก แต่เป็นการลงทุนกับความสุขของพ่อแม่เอง เพราะสังคมไทยตีค่าการศึกษาคือ “ใบปริญญา” ดังนั้น สิ่งที่พ่อแม่สนใจมากที่สุดคือ ใบปริญญา และ เกรดของลูก (จะได้เอาไปอวดกับพ่อแม่คนอื่นๆ)

ซึ่งในประเทศไทยการวัดผลการศึกษาวัดเพียงแค่ความจำคือ สมองซีกซ้าย ซึ่งถ้าใครท่องจำไม่เก่ง ก็จะไร้ที่ยืนในสังคม ทั้งๆที่คนไทยเป็นประเทศแห่งสมองซีกขวา ที่อุดมไปด้วย ศิลปะ , วัฒนธรรม , ความปราณีต และ จินตนาการ แต่เราสอนเด็กให้เป็นผลผลิตอุตสาหกรรม งานหยาบๆ แล้วส่งไปเป็นแรงงานในโรงงานนรก ทั้งๆที่ความจริง เด็กคนนั้น อาจมี Skill ของ ศิลปินแห่งชาติก็ได้ แต่สังคมไม่ได้เปิดโอกาส มี 2 ทาง ถ้าท่องไม่เก่ง คือ ไปเป็น แรงงาน หรือ ไม่ก็ไปแว้น ไปเป็นเดนสังคม

กลับมาเรื่องการศึกษาที่ไม่เน้นการท่องจำ ควรเน้นการสอนให้เด็กตัดสินใจเก่ง และ รับผลจากการตัดสินใจของตัวเอง

พ่อแม่ไทยส่วนใหญ่สื่อสารความรักไม่เป็น คิดว่าการขอกำลังใจจากลูกคือ การเตือน การสั่งสอน หรือ การเปรียบเทียบ เช่น ชอบเทียบลูกคนอื่นดีกว่าลูก เพื่อให้ลูกมาเห็นใจ แต่ผลลัพธ์ทำให้ลูกรู้สึกไร้ค่า และ อึดอัด ..ซึ่งทางแก้ คือ การขอกำลังใจตรงๆจากลูก เช่น วันนี้แม่เหนื่อยนะ ลูกมากอดแม่หน่อย ซึ่งมันจะเป็นการสื่อสารที่ตรง และ เป็นบวกมาก

พ่อแม่มักคิดว่า ลูกเลี้ยงได้แต่ตัว แต่ในความเป็นจริง เราเลี้ยงหัวใจเขาได้ด้วย

ปัญหาหลักๆ ผมว่า สังคมไทย จีน และ เอเชีย มักเน้นสอนลูกให้เป็นมังกรเดียวดาย ..คือ เน้นให้แกร่ง ไม่มีการขอบคุณ ไม่มีการขอโทษ โหด มีแต่ไม้เรียว การอบรม สั่งสอน และ ความคาดหวัง ...คนเหล่านี้ไม่เคยกอดลูก ไม่เคยบอกลูกว่ารัก เพราะ เดี๋ยวมันเหลิง ...ผลที่ตามมา คือ ความเก็บกด อึดอัด ส่งผลสู่ ความกำหนัด และ ก้าวร้าว ซึ่งสิ่งเหล่านี้แสดงหลักฐานอย่างมากมายในสังคมไทย ที่ วัยรุ่นท้องก่อนแต่งติดอันดับโลก ..ความรุนแรงต่อผู้หญิง เราติดอันดับโลก ..โสเภณีเด็ก เราติดอันดับโลก และ พฤติกรรม Sex แปลกๆ เราเป็นศูนย์กลางของโลก

คนไทยเรามอง หน้าบ้าน สำคัญกว่าหลังบ้าน คือ รถคือ หน้าตา สำคัญกว่าบ้าน ..ดังนั้น สายตาคนอื่น สำคัญกว่าความรู้สึกของเรา

ทุกอย่างที่กล่าวมาสะท้อนความกดดันในสังคม เช่น คนจำนวนมาก ยอมเป็นหนี้ เพื่อซื้อของมาโชว์คนที่เราไม่ชอบ เพียงเพราะต้องการความสะใจ แต่สุดท้ายติดหนี้หัวโต เกิดปัญหาการเงินระหว่างสามี ภรรยา แล้วกระทบต่อลูก ที่เห็นพ่อแม่ทะเลาะกัน ก็หนีไปอยู่บนห้อง รอวันที่อยากจะออกไปมีอิสระนอกบ้าน

ที่กล่าวมาจริงๆ เราต้องรู้จักการ Coach ลูก เพราะในช่วงวัยรุ่น ลูกมีปัญหา Oral Stress คือ ความเครียดทางปากสูง อยากระบาย อยากทะเลาะ ซึ่งเด็กต้องการพ่อแม่เป็นคู่ซ้อมให้เขา เพื่อจะได้ซ้อมการมีอำนาจต่อรองกับสังคมได้

..ซึ่งถ้าลูกเริ่มมีการคุยเหตุผล ต่อรอง ให้พ่อแม่ดีใจ ว่าลูกเริ่มเป็นผู้ใหญ่ แล้วให้คิดเสมอว่า วันนึงลูกก็จะต้องโตเป็นผู้ใหญ่ ที่เขาต้องดูแล และ รับผิดชอบต่อการตัดสินใจทุกอย่างของชีวิตเขาเองในอนาคต



...ต้องย้อนถามว่า วันนี้ เราสื่อสารกับลูกแบบไหน ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทำไงให้พ่อแม่เป็นโค๊ชของลูก


ทำไงให้พ่อแม่เป็นโค๊ชของลูก

ให้มองว่าลูกในวันนึงเขาจะต้องเป็น พ่อแม่ เป็นผู้ใหญ่ในอนาคต ..พ่อแม่ต้องเรียนรู้ไปกับลูก สอนเขา แต่ไม่บังคับ ต้องช่วยให้เขาเรียนรู้ ด้วยมุมมองที่รอบด้าน ไม่ใช่เอาแต่ยัดเยียดมุมมองและความคาดหวังของพ่อแม่

ลูกจะขอบคุณเรา ถ้าเราสอนโดย ทวนความรู้สึกเขา

การทวนความรู้สึกลูก ...เช่น ถ้าลูกบอกว่า แม่ไม่เข้าใจผมเลย !! ...โดยปกติแม่ก็มักสวนทันที “จัดหนัก!!” ..แต่ถ้าแม่ใจเย็น แล้วใช้การทวนความรู้สึกแทน จะเปลี่ยนการพูดต่อลูกเป็น “ไหนเล่าให้แม่ฟังซิ ว่าแม่ไม่เข้าใจยังไง” คือ มันต้องใช้เหตุผล ไม่ใช้อารมณ์เข้าใส่กัน

...พ่อแม่ต้องมองอารมณ์ของลูก โดยเฉพาะวัยรุ่นว่าเป็นคลื่น ซึ่งมันมาเป็นลูกๆ

..ให้พ่อแม่ล้อคลื่นตามไป ไม่ใช่สวนคลื่น อัดกลับ ระเบิด ทะเลาะ -- พ่อแม่ต้องฝึก การทวนความรู้สึก ถึงจะเป็นโค๊ชที่ดีให้กับลูกได้

 ...หลักๆ คือ เรายอมรับฟังเหตุผลของลูก ไม่มองว่า สิ่งที่ลูกคิดมันเด็กๆ ไร้สาระ ให้คิดซะว่า เราก็เคยคิดเด็กๆแบบนี้ แต่การจะล้อเขาว่าคิดโง่ๆ แล้วสรุปเอาความคิดเรายัดเยียด ก็ให้ฟังเขา ช่วยเขาคิด และ ช่วยให้เขาตัดสินใจ

...ห้ามตัดสินใจแทน หรือ บังคับเขา เพราะ ไม่มีใครอยากถูกบังคับ ..พ่อแม่ ต้องเอาใจเขาใส่ใจเรา
สมมุติลูกอาจพูดว่า “ทำไมพ่อไม่เคยชมหนูเลย”

พ่อก็มักสวนว่า “นี่ลูก ดูละครมากไปป่ะ” เหน็บไปหนึ่งดอก หรือ กระแนะกระแหน ว่า “ก็เป็นลูกแม่ไม่ใช่หรือ (ก็ให้แม่ชมซิ มาให้พ่อชมทำไม)”

การเข้าใจการปรับตัวของลูก คือ เราต้องเข้าใจความผิดหวังของเขา

พ่อแม่มักคิดว่า เราได้กลั่นกรองและเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ลูกแล้ว แต่จริงๆ ลูกไม่ได้อยากทำตาม เพราะมนุษย์ทุกคนมีความคิดของตัวเอง และ อยากที่จะเลือกตัดสินใจอะไรต่างๆด้วยตัวเอง เราแค่เป็นโค๊ชที่ดี คือ การสร้างความสัมพันธ์ระหว่างพ่อแม่ลูกที่ดีที่สุด

การสร้างลูกให้ดีที่สุดในจุดที่ยืน ทำดังนี้

1. ดูจุดที่เขายืน เรียนรู้ไปกับเขา ซึ่งเด็กยุคนี้มี Internet ที่เปิดกว้างมุมมองและทางเลือกที่หลากหลาย เด็กจะฉลาดขึ้น แต่เขาจะเครียดขึ้น เพราะความรู้มันเต็มไปหมด การหาอัตลักษณ์ Identity และ การหาเอกลักษณ์ Uniqueness เป็นสิ่งที่ยาก แต่ถ้าเด็กคนไหนพบตัวตนเร็ว ก็จะกลายเป็นเด็กเก่ง เป็นอัจฉริยะ และ พัฒนาตัวเองให้ดีที่สุดในจุดที่ยืนได้เร็ว

2. ใช้เวลากับลูก ให้เหตุผล ให้คำชี้แนะ ในระหว่างที่เขาหา Identity และ Uniqueness ให้มากที่สุด ช่วยเขาตอบให้ได้ว่า “เขาเก่งอะไร” “เขามีมุมมองอย่างไร” “เขากลัวอะไร” “เขาสับสนอะไร” “เขาชอบอะไร” “เขาอยากเป็นอะไร” ...ห้ามยัดเยียดความอยาก หรือ ปมของเราให้เขาทำ -- ต้องให้ลูกเลือกสิ่งที่เขาอยากทำด้วยตัวของเขาเอง

3. เป็นกระจก คือ “ทวนความรู้สึกลูก” ถ้าเขาบอกว่า “พ่อแม่ไม่เข้าใจ” ก็ต้องทวนความรู้สึก แล้วถามว่า “ที่บอกว่าพ่อแม่ไม่เข้าใจยังไง ไหนอธิบายซิ” ...ต้องรับความรู้สึกของลูกอย่างอดทน และ ไม่ด่วนสรุปตัดสิน ..ต้องไม่มองว่าความคิดเขาไร้สาระ

...พ่อแม่ต้องทำหน้าที่โค๊ชที่ดี -- Good Coach !!



#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เศรษฐีและผู้นำ ล้วนคิดและทำเพื่อผู้อื่น


ครั้งนึงผมเคยสับสน ล้มเหลว และ หาทางออกไม่ได้ ...มีผู้ใหญ่ที่เคารพท่านนึง พูดกับผมว่า 

‘ถ้าไม่ต้องห่วงเรื่องเงินเลย อยากจะทำอะไร ?’

ผมตอบไปว่า ‘อยู่เฉยๆ ครับ ..ก็มีเงิน จะต้องทำอะไร’

‘ผิด!!’ ...เป็นคำตอบ ของคนธรรมดา 

‘อยากเป็น คนไม่ธรรมดาไหมล่ะ ...คิดดีๆ แล้วตั้งใจตอบใหม่ ...ถ้าไม่ต้องทำเพื่อเงิน จะทำอะไร ?’

...ทำเพื่อคนอื่น ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ 

‘ถูกต้อง !! นี่คือ คำตอบของ เศรษฐี , ผู้นำ และ คนเปลี่ยนโลก’

ผู้ใหญ่ท่านนั้น ก็ถามต่อว่า ‘แล้วจะรออะไรล่ะ ? ...ทำไมไม่ลงมือทำเลยล่ะ’

เออ !! ...ผมยังไม่มีเงินเลย ...ไม่ซิ พอจะมีเงิน แต่ผมยังไม่มีเงินมากพอที่จะทำเพื่อคนอื่น หรือ ทำสิ่งที่เป็นประโยชน์ต่อคนอื่น 

ผู้ใหญ่ก็ถามต่อว่า ‘แล้วต้องมีเงินเท่าไหร่ล่ะ ถึงจะพอ ?’

เออ!! ...สัก ..เออ ...จริงๆ เท่าไหร่ก็ไม่เคยพอ 

‘ก็นั่นแหละ ทางตันของคนส่วนใหญ่ ...โอกาสในชีวิต มันเริ่มจากการคิดและทำเพื่อคนอื่น ...หากเรามีกำแพงว่า ต้องรวยเท่านั้น เท่านี้ ถึงจะเริ่มทำได้ ก็คือ เรามีแต่ข้ออ้างที่จะไม่เริ่มลงมือทำ’ 

ผู้นำ ผู้ยิ่งใหญ่ คนที่ประสบความสำเร็จทุกคน ล้วนเริ่มต้น คิดและทำเพื่อคนอื่น ตั้งแต่วันที่เขาไม่พร้อม ...

...แล้วคุณล่ะ อยากเริ่มเดินในเส้นทางของผู้นำ เมื่อไหร่ดี ?

เมื่อพร้อม ?

หรือ ณ บัด นาว !!

(ตลกร้ายของชีวิต คือ ทุกคนต่างก็รู้ว่า ทางสำเร็จ คืออะไร แต่เราก็มักจะมีข้ออ้างที่จะไม่เริ่มทำ)

 ...ไม่มีอะไรต้องกลัว หากเราทำในสิ่งที่ดี และ ถูกต้อง 

‘เพื่อผู้อื่น ..เพื่อประโยชน์ของผู้อื่น’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

โต๊ะอาหารที่มีแต่ความคาดหวังของพ่อแม่


"โต๊ะอาหารที่มีแต่ความคาดหวังของพ่อแม่"

ใช่!! โต๊ะอาหารของคนไทย เป็นสถานที่ศักดิ์สิทธิ์ที่เป็นสัญลักษณ์ แสดงบทบาทของ พ่อแม่ลูกในสังคมไทย ซึ่งพ่อแม่จะใช้โต๊ะอาหารนี่แหละ เป็นพื้นที่แสดงความคาดหวังทั้งหมดของพ่อแม่ ..ไม่แปลกที่เด็กไทย เกลียดการกินข้าวกับพ่อแม่ ซึ่งต่างจากฝรั่งที่จะใช้โต๊ะทานข้าวเป็นพื้นที่ในการเปิดใจคุย

“พ่อ” มักจะมองความรักเป็นการ “ให้ทำ” Commanding คือ สั่งให้ทำ

“แม่” มักมองความรักเป็นการ “ทำให้” ... “ทำให้ขนาดนี้ ยังไม่พอใจอีกเหรอ”

“ลูก” มักมองความรักเป็นการ “ต้องทำ” ..แต่ไม่ว่าจะทำเท่าไหร่ พ่อแม่ก็ไม่เคยเห็นตัวตน

...พ่อแม่ไทยส่วนใหญ่ ไม่เคยขอบคุณลูก และ ก็ไม่เคยขอโทษลูก เพราะ ถ้าขอบคุณเดี๋ยวมันเหลิง หรือ ถ้าขอบคุณเดี๋ยวมันจะไม่ทำดีกว่านี้ แต่หารู้ไม่ว่า ลูกรู้สึกว่าพ่อแม่ไม่เคยเห็นตัวตนของเขาเลย

...หรือ แม้แต่การขอโทษลูก ซึ่งมักจะคิดว่า ยังไงมันก็เป็นลูก พ่อแม่ถูกเสมอ ไม่จำเป็นต้องขอโทษ ซึ่งก็ยิ่งเน้นย้ำความไร้ตัวตน ของเด็กไทย

การไร้ตัวตนในสายตาพ่อแม่ ผนวกกับระบบทุนนิยมที่ตีค่าคนจากวัตถุที่ครอบครอง ทำให้สังคมไทย บ้าวัตถุ บ้า Brand !!

"ไร้ตัวตน = คนไม่มีค่า ...การซื้อของแพง มันเติมมูลค่าให้ตัวเองได้ง่ายที่สุด เร็วที่สุด ...เป็นหนี้ก็ยอม ต้องซื้อ ...ก็ของมันต้องมีน่ะ !!"
...
...
แรง ว่ะ !!

...ถ้าเราจะออกแบบโต๊ะอาหาร ที่พ่อแม่ลูก อยากมาเจอกัน แบ่งปันเรื่องราว ความสุข เราจะจัดโต๊ะนี้ อย่างไร ?

"เฮ้ย!! ภาววิทย์ ..หยุดเล่นมือถือ !!"

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความรัก ของหายาก ที่กำลังจะสูญไปในยุคนี้


"ความรัก ของหายาก ที่กำลังจะสูญไปในยุคนี้"
 
“ความรัก” ..เดี๋ยวนี้พูดแต่ Spec ว่า ชายในฝัน หรือ หญิงในฝัน ของฉันต้องเป็นแบบนั้นแบบนี้ ...เดี๋ยวนี้มันเริ่มจากความคาดหวังประมาณว่า ไม่ได้ต้องการคนรัก แต่ต้องการ “จำเลยรัก”

..ใช่เหรอที่เราต้องมีสเป๊ก ต้องเป็นเนื้อคู่ที่หากันจนเจอ ...สุดท้าย ตัวเลขการหย่าร้างมันสูงพอๆ กับตัวเลขการเติบโตของธุรกิจ ...แปลกไหม !! ...ความรัก จริงๆ มันต้องนิยามอย่างไร ?

เรื่อง “ความรัก” อย่างที่เกริ่นมาว่า เดี๋ยวนี้คนรุ่นใหม่ สเป๊กสูง ต้องสูง ยาว เข่าดี และ ที่สำคัญ ต้องมีสตางค์ ...ใครไส้แห้ง อย่าหวังว่าจะมีแฟน

...ฟังดูความคาดหวังแบบนี้ ก็ส่งผลให้ ทั้งหนุ่ม ทั้งสาว รุ่นใหม่ อยู่กันบนคานเยอะ เพราะ มันไม่มีชาย หรือ หญิงในฝันหรอก ก็เลยเอาเป็นว่าอยู่คนเดียวละกัน
ความรัก มันคือ ความทุกข์ หากความรักคือ การคาดหวัง

...เพราะ ไม่มีใครสามารถทำให้เราสมหวังได้หรอก แต่หากเราเข้าใจความรักว่า มันคือ การที่เราอยากทำอะไรเพื่อคนนั้น โดยที่ไม่ได้หวังอะไรตอบแทน มันอาจจะฟังดูเน่าๆ นะ แต่มันก็เข้า Concept ของคนรุ่นใหม่ ในเรื่องของ “ยิ่งให้ ยิ่งได้”

...ผู้ให้ จึงผูกไมตรีไว้ได้

อย่างไรก็ตาม ในเรื่องความรัก ก็เผื่อใจไว้บ้าง เพราะ “ความรัก” มันคือ การต้องการผูก แล้วการ “แต่งงาน” ก็คือ การผูกคนสองคนเข้ามาจริงๆ ..ผมสารภาพเลยนะ ผมยังไม่เคยเห็นความรักใครบริสุทธ์แบบไม่หวังผลตอบแทนแบบความรักแม่ ..เพราะไม่ว่าลูกจะเลวแค่ไหน ก็ยังคงรัก ..ไม่เคยสนใจว่า ทำทุกอย่างแล้วลูกจะต้องให้อะไรกลับ ...นี่แหละ ตัวอย่างของความรัก และ ที่เด็ดกว่านั้น แม่จะหมดรักลูก ก็เมื่อวันที่เขาหมดลมหายใจ ดังนั้น รักในแบบที่แม่รัก มันยิ่งกว่า การแต่งงาน ที่ผูกความรักชั่วคราวด้วยกฏหมาย สุดท้ายก็บอกว่า สิ่งที่น่าเบื่อที่สุด คือ “เมีย”

..ถามจริงๆ เถอะ ไอ้แบบนั้น จะแต่งงานให้เสียเงินกันไปทำไม ..อยู่ๆ กันไป หมดรัก แล้วก็ไปกันคนละทาง เดี๋ยวนี้ จะหญิงจะชาย เขาก็มีสมอง มีความสามารถดูแลตัวเองได้ทั้งนั้น

การรัก คือ การลดธง ...ความรักคือ การที่เรายอมลดธง ลดสเป๊ก ลดมาตรฐาน ลดเหตุผล เพื่อที่เราจะเชื่อมต่อกับใครสักคน

หลายคนนึกว่า สเป๊ก คือ สิ่งที่ต้องตั้ง จากนั้น ความรักต้องมีเหตุผล แต่ทั้งสองอย่างคือ กำแพงกั้นความรัก เพราะในความรักไม่มีคำว่าดีพอ มีแต่คำว่าพอดี ...ความรัก ไม่ต้องเข้าใจเหตุผลทั้งหมดก็ได้ แต่ขอให้เห็นใจกันก็พอ

เมื่อเราคิดรักใครจริงๆ มันคือ การที่เรายอมลดธง เพื่อที่จะเรียนรู้ เข้าใจและ เห็นใจคนๆนั้น

ว่าแต่ ..แล้วคุณล่ะ คิดอย่างไรกับความรัก ?

"ยิ่งมีตัวตน มีอีโก้ ..ก็ยิ่งไม่มีคนรัก ...เพราะ รัก ไม่ใช่ชัยชนะ แต่คือ การยอมแพ้ และ การให้อภัย" ....ในโลกนี้ ไม่มีคนที่ดีพอสำหรับเรา ...มีแต่คนที่พอดี !!

คนที่ พอดี พอดี มีรักได้ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



ด้านมืดชีวิต หลายคนคิด แต่ไม่กล้าพูด






 ด้านมืดชีวิต หลายคนคิด แต่ไม่กล้าพูด

“งานคือ เงิน เงินคือ งานบันดาลสุข (จริงดิ!!)” … เงินซื้อมนุษย์ได้ทุกคนที่ขายเวลาและสุขภาพแลกเงิน …แต่ปัญหาคือ เงินซื้อความสุขไม่ได้ …เพราะ ถ้าเงินซื้อความสุขได้ คนรวยต้องมีความสุขตลอดเวลา แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย

 …เอาเข้าจริง ยิ่งเงินมาก ครอบครัวที่แตกแยก พ่อมีเมียน้อย แม่มีชู้ ลูกติดยา …สาเหตุมาจาก พ่อน้อยใจแม่ น้อยใจลูกว่า พ่อทำงานหนักคนเดียว หาเงินมากมายมาประเคนให้เมียและลูก แต่ไม่มีใครเห็นใจพ่อเลย มีก็แต่พริตตี้เท่านั้นแหละที่เห็นใจฉัน ..ว่าแล้ว ชายผู้นั่นก็ตัดสินใจ รับผู้หญิงอีกคนที่เห็นใจเขามาเป็นภรรยาน้อย

 … “ตกลงผมถามหน่อยว่า เป้าหมาย หรือ ธง ที่พ่อตั้งไว้ว่า จะต้องทำงานหนักๆ หาเงินมากๆ เพื่อจะได้ทำให้ครอบครัวมีความสุข …กลับกลายเป็นเป้าที่ไปไม่เคยถึง เพราะ ยิ่งทำงาน ยิ่งหาเงิน ครอบครัวก็ยิ่งห่างขึ้นเรื่อยๆ …ลูกๆ แทบไม่เคยเจอหน้าพ่อแม่เลย …มีแต่เงินที่วางเอาไว้ พร้อมกระดาษหนึ่งใบหน้ากระจกที่เขียนว่า …พ่อรักลูกนะ”

“รักจริงดิ!!” ...เคยถามลูกไหมว่า ตกลงลูกอยากได้เงินที่พ่อวางไว้ให้ไหม ...ถ้าถามจริงๆ คุณว่าทุกวันนี้มีพ่อแม่กี่คนที่สามารถกอดลูกได้แน่นๆ บ้าง ?

“พ่อแม่ ที่ภูมิใจในความเป็นพ่อแม่ เท่านั้นแหละ ที่จะสามารถกอดลูกได้แน่นๆ!!”

ทำไมล่ะ ? ...คุณหาเงินได้ไม่มากพอ จะให้ครอบครัวมีความสุขหรือ ...คุณถึงไม่มีความภูมิใจ ..ถามจริงๆ เถอะ คุณเคยคิดไหมว่า ผู้นำครอบครัวมากมายตั้งเป้าหมาย สร้างตัวเองให้เป็น Money Machine หรือ เครื่องผลิตเงิน ทำงานอย่างหนัก โดยไม่สนเลยว่า สุขภาพของตัวเองจะแย่ หรือ จะเป็นอย่างไร

ณ เมืองหลวงของประเทศไทย ...ประชากรคุณภาพ ต่างตั้งเป้าหมายเหมือนกัน คือ ปักธงว่า ฉันต้องหาเงินให้มากที่สุด ให้เร็วที่สุด เพื่อครอบครัวฉันจะมีความสุข และ ลูกของฉันจะได้ทุกอย่างที่ดีที่สุด

ผลก็คือ “ลูกเกลียดเงิน” ..เด็กรวย อยากเอาเงินเขวี้ยงใส่หน้าพ่อแม่ แล้วบอกว่า เงินที่พ่อแม่หามา มันไร้ค่าสำหรับผม ...แค่เวลาหรือ ความรักจากพ่อแม่ ก็ไม่เคยให้ ...ตกลงจะให้ผมบูชาเงินเป็นพ่อแม่แทนดีไหม ...วันนี้ผมจะเอาเงินทั้งหมดที่พ่อแม่หามา ซื้อความสุข ซื้อคน ซื้อผู้หญิง ซื้อยาเสพติด ซื้อเพื่อน ซื้อทุกอย่าง

คุณเคยรู้เรื่อง Father & Son Pattern ไหม ...มันเป็นรูปแบบของการสร้างตัวของมังกร ...มังกรผงาดฟ้า ..นั่งสำเภามาจากเมืองจีน แล้ว สร้างฐานครอบครัวให้เติบใหญ่ไพศาล  ...วันนี้อาณาจักรหมื่นล้าน ถูกส่งต่อให้ทายาทรุ่นที่สอง รับช่วงต่อกิจการ ...หลังจากนั้น ทายาทรุ่นที่สองก็ทำงาน ขยายอาณาจักร ใหญ่ขึ้นไปอีก ..และหลังจากนั้น ปี 2013 ผมได้ยินข่าว จากวิทยุว่า นักธุรกิจหมื่นล้าน ตระกูลดัง ปลิดชีพ ตัวเอง ด้วยปืนพก ใน อพาร์ทเม้นท์หรูส่วนตัว ... “ทำไมวะ?” ... เฮ้ย!! มีหมื่นล้าน ฆ่าตัวตายทำไมล่ะ ...เรานึกว่า คนรวยทุกคนต้องมีความสุขซิ ...ผมเข้าใจอะไรบางอย่างผิดไปรึเปล่า ?

กลับมาที่ Father & Son Pattern มีดังนี้

รุ่นพ่อน่ะเหรอ ...ช่างน่าสมเพศ ... คนสมัยก่อน ทำงานหนัก เก็บเงิน ไม่ยอมใช้ ...เพื่อที่จะเป็นมะเร็ง และ ก็เสียชีวิต ...จบแล้วช่วง Father

ช่วง Son ก็คือ ได้เงินมรดก มาจากพ่อที่เป็นมะเร็งตายก็รู้ว่า “ชีวิตพ่อกรู ทำไมมันรันทดขนาดนี้ จะเป็นมังกรผงาดฟ้า ต้องทุกข์ขนาดนั้นเลยหรือ ..ทำงานหนัก เก็บเงินไม่ใช้ แล้วเป็นมะเร็งตาย” ..ว่าแล้ว ลูกชาย ก็เอาเงิน 30 ล้าน ถอย Ferrari ออกมาขับโฉบไปมา ... “เฮ้ย!! ทำไมพอซื้อ Ferrari มาแล้ว มันไม่เห็นรู้สึก Fulfill จริงๆ เลย

 ...มันเหมือนสุขวันแรกที่ซื้อ และ สุขอีกครั้งคงเป็นวันที่ขาย ...สรุปสุข 2 วัน ...นอกนั้น เครียด อย่ามาแตะรถกรูนะ เดี๋ยวบุบ ...จอดตรงนี้ไม่ได้ เดี๋ยวมีใครหมั่นไส้มาขูด ..ขับไปที่นี่ไม่ได้ เดี๋ยวใต้ท้องขูด” ...เครียดว่ะ ..ว่าแล้วกรู ก็จอด Ferrari ไว้บ้าน แล้วขับ Camry ออกมาแทน สบายใจกว่า

ดังนั้น ลูกชายก็เลยมีทั้ง Ferrari และ ก็มี Camry

เรื่องที่ผมเล่า มันเกิดขึ้นจริง ในโลกที่วุ่นวายขึ้นเรื่อยๆ ...

ก่อนจะเล่าไปไกลกว่านี้ เรามาทำความเข้าใจเงินจริงๆ กันดีกว่า ว่าเงินแท้จริงแล้ว มันมีแรงจูงใจอย่างไร
“เพราะในโลกนี้ ไม่มีใคร ทำเงิน เพื่อเงิน” ...คนเราทำเงินเพื่อเปลี่ยนเป็นบางอย่าง ...บางคนถึงมีความสุข แต่การหา แต่ไม่ได้มีความสุขกับการใช้ ...คนเหล่านั้นไม่ได้บ้าหรอก เพียงแต่เขามีพันธนาการที่ต้อง “สร้างเงิน” เพื่อสนองปมในใจ เพราะผมคือ “เครื่องผลิตเงิน” ..เศร้าไหม หากเรามีพันธะการสร้างอะไรบางอย่างเพื่อลบความไม่มั่งคงในใจตัวเอง หรือ เพื่อหลีกหนีอะไรบางอย่าง

มันจะดีสักแค่ไหน หากเราได้ทำในสิ่งที่เราอยากทำ และ ตั้งเป้าหมาย หรือ ปักธง ในเรื่องที่เราต้องการจริงๆ ไม่ใช่ตั้งธงหรอก หรือ ตั้งเป้าปลอมๆ โดย ใช้เงินเป็นข้ออ้าง เพื่อก้มหน้าก้มตาทำเงิน ... น่าสงสาร ที่จะบอกว่า คนเหล่านี้ ไม่รู้เลยว่า “เขาปักธง เป้าหมายในชีวิตผิด”

 ..ดังนั้น ชีวิตคือ การวิ่งหาสิ่งที่ไม่มีทางไปถึง !! (โคตรโหดเลยนะ ถ้าใครเดินมาชี้หน้าคุณ แล้วบอกว่า สิ่งที่คุณเชื่อ และ ทำมาทั้งชีวิต มันเป็นการวิ่งหาสิ่งที่ไม่มี เป็นการตั้งเป้าหมายชีวิตที่เป็นไปไม่ได้… โหดว่ะ !!)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 เรื่องที่เข้าใจยากที่สุด "เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา"






5 เรื่องที่เข้าใจยากที่สุด "เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา"

เรื่องที่ยากที่สุดในการเข้าใจคือ เข้าใจตัวเราเอง ..ลองตั้งธงชีวิตซิว่า เงิน ในชีวิตคุณมันคืออะไร / งาน ในชีวิตคุณ คืออะไร / บ้าน คือ อะไร / ความรัก คือ อะไร และ เวลาคือ อะไร

1. Money is a Tool ..อย่ามองเงินเป็นพระเจ้า หรือ เป็นสิ่งหวงแหน เพราะจะไปไม่ถึง ..คนที่รู้จักหาแต่ไม่รู้จักปล่อยบ้าง ไปต่อไม่ได้ เหมือน คนอยากขึ้นที่สูงแต่ย่อขาไม่เป็น (ย่อขาไม่ได้ก็กระโดดไม่ได้) ...คนที่มองเงิน เสียไม่ได้ ก็เลยไม่ได้เงินในที่สุด
...ให้มองเงินเป็น เครื่องมือ ...ให้เครื่องมือ นั่นแหละ หาให้เพิ่ม ..เราเป็นนายเงิน ไม่ใช่เป็นทาสมัน

2. Work = Expression of Me ..งานคือ การอธิบายตัวตนของเรา คนที่ได้ทำงานที่ใช่ จะทำได้ดี เพราะ ยิ่งเราอธิบายตัวเราผ่านงานที่ทำ เรายิ่งมีความสุข โอกาสสำเร็จก็สูง
งานไม่ใช่ สิ่งที่คนอื่นกำหนดว่า ต้องหยุดทำที่ 60 ปี แล้วไปอยู่เฉยๆ ที่บ้าน ..หยุดอธิบายตัวเอง ก็กลายเป็นคนไม่มีตัวตน ..อย่าลืมซิว่า มีคนที่ทำงานเพื่อเงิน และ ก็มีคนที่ทำงานเพื่อความสุข เพื่อ Passion ..ทั้งสองต่างกันตรงที่ ทุกคนเริ่มจากทำงานเพื่อเงินทั้งนั้นแหละ แต่เมื่อเราทำงานจนมี Passive Income มากกว่า รายจ่าย หลังจากนั้น เราไม่ต้องทำงานเป็นทาสเงินอีก เรามีเงินเป็น Tool เรามีงานเป็น การอธิบายตัวตนและความสุข

3. Home คือ การไร้รั้วกับคนที่เรารัก ..บ้านไม่ใช่สถานที่ ดังนั้น การมีบ้านหลังใหญ่ ไม่ได้หมายความว่ามีบ้าน หากที่นั้น มีแต่กำแพง มีแต่การสื่อสารที่ไม่เข้าใจกัน ไม่มีใครพูดกันรู้เรื่อง ต่างคนต่างอยู่ นั่นไม่ใช่บ้าน นั่นแค่ ที่พักอาศัย
คนมีบ้าน คือ คนที่มี Peace of Mind มีใครสักคนที่เราวางใจ และ พร้อมที่จะคุยกับเราทุกเรื่องโดยไม่มีรั้ว ..บ้านที่ดีคือ บ้านไร้รั้ว มันคือ การลดกำแพง การสื่อสาร การเข้าใจ และ การเห็นใจ

4. LOVE คือ การลดธง ...ความรักคือ การที่เรายอมลดธง ลดสเป๊ก ลดมาตรฐาน ลดเหตุผล เพื่อที่เราจะเชื่อมต่อกับใครสักคน
หลายคนนึกว่า สเป๊ก คือ สิ่งที่ต้องตั้ง จากนั้น ความรักต้องมีเหตุผล แต่ทั้งสองอย่างคือ กำแพงกั้นความรัก เพราะในความรักไม่มีคำว่าดีพอ มีแต่คำว่าพอดี ...ความรัก ไม่ต้องเข้าใจเหตุผลทั้งหมดก็ได้ แต่ขอให้เห็นใจกันก็พอ
เมื่อเราคิดรักใครจริงๆ มันคือ การที่เรายอมลดธง เพื่อที่จะเรียนรู้ เข้าใจและ เห็นใจคนๆนั้น

5. TIME = วาระ ..เวลาที่เครียดที่สุดคือ เวลาตามเข็มนาฬิกา เพราะ มันรีบเร่ง จำกัด และ บีบบังคับ ..การสร้างผลงานที่ดี เรียนรู้ที่ดี เราต้องตั้ง “วาระ” ของการทำงาน การเรียนรู้ ต้องดูว่า ในช่วงเวลานี้ อะไรเป็นสิ่งสำคัญที่สุดที่เราอยากจะทำ อยากจะเรียนรู้ จากนั้น เราก็ตั้งธง แล้วทุ่มศึกษาและทำมันจริงๆ
คนที่แบ่งเวลาเป็น “วาระ” ได้อย่างดีเยี่ยม ก็คือ คนยิว ..คนยิว ไม่ได้ฉลาดกว่าชาติอื่น เพียงแต่เขาจัดสรรเวลาที่เขามีได้ ชัดเจน มีเป้าหมาย และ มีการ Streamline ในแต่ละช่วงของชีวิตได้ดีกว่าชาติอื่น
คนที่ไม่จับฉ่าย ก็กลายเป็นคนอัจฉริยะได้ง่ายๆ ... ไม่ต้องเก่ง ทุกอย่าง แต่เชี่ยวชาญในสิ่งที่อยากจะเป็น แค่นั้นแหละ สุดยอด “ดีที่สุดในจุดที่ยืน” เพียงพอแล้ว

ในช่วงชีวิตของคนเรา สิ่งสำคัญ คือ การเข้าใจ “เป้าหมาย” ในแต่ละช่วงของเวลา ...ทำให้ การ Re-Define ตัวเอง ต้องทำ เพื่อที่เราจะเข้าใจ และ พัฒนาตัวเอง ไปเรื่อยๆ

 ..คนที่น่าอิจฉาที่สุดในโลก ก็คือ คนที่เข้าใจตัวเอง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ความลับของ สินทรัพย์ และ เงินไหลยั่งยืน


"ความลับของ สินทรัพย์ และ เงินไหลยั่งยืน"

Asset กับ Passive Income ..ในเรื่องของการสร้างความมั่งคั่ง คนส่วนใหญ่จะ Focus แต่การหาเงินให้ได้มากที่สุด และนั่นก็คือ ตัวกั้นไม่ให้ประสบความสำเร็จ

หลักการสำคัญของการสร้างความมั่งคั่งต้อง แยกให้ออกระหว่าง Asset กับ Passive Income ...กล่าวคือ Asset จะเป็นสิ่งที่เก็บไว้มีแต่ราคาเพิ่ม เช่น ที่ดิน , ทอง , หุ้น

 ..แต่ปัญหาคือ ส่วนใหญ่ Asset ไม่สร้างรายได้ และ อีกปัญหาคือ Asset ทุกอย่างจะมี “รอบ” ดังนั้น ราคาจะ Crash เป็นช่วงๆ ทำให้คนที่ถือ Asset ไว้เฉยๆ เสียโอกาสในเวลาที่ Asset นั่นๆ Crash

 -- ซึ่งถ้าใครสามารถซื้อ Asset เก็บในช่วงที่ตลาด Crash จะทำให้ Port โตเร็วในอัตราเร่ง ดังนั้น ทางแก้ เราสามารถเก็บ Asset อย่างหุ้นตาม “รอบ” โดย การกันเงิน “บางส่วน” สำรองไว้ตลอดเวลา เพื่อรอเวลาที่ตลาด Crash แบบไม่คาดฝัน

ในส่วนของ Passive Income ก็คือ เงินที่จะบอกว่า เราจะมี อิสรภาพทางเงิน Financial Freedom และ เกษียณได้ ก็ต่อ เมื่อ Passive Income มีมากกว่า รายจ่าย อย่างต่อเนื่อง โดยที่เราไม่ต้องทำงานอีก ...ซึ่งการที่จะได้ Passive Income แบบยั่งยืน ก็เช่น การมีอสังหา ตึก อาคาร ให้เช่า แล้วเก็บกิน กับ อีกแบบคือ การมีหุ้นปันผล ที่กิจการโตขึ้นตลอด

ถ้าแบ่งได้ชัดเจน เราจะ แบ่งได้ระหว่าง “การทำงานเพื่อเงิน” พอได้เงินมา เราก็เอามาวาง “ให้เงินทำงาน” จากนั้น เราก็นั่งนับ Passive Income ที่เราได้จากการลงทุน ...เมื่อมากพอ ก็หยุดทำงาน และ เกษียณได้

ถ้าไม่หยุดทำงาน ก็เปลี่ยนไปทำอะไรก็ได้ ที่ไม่จำเป็นต้องทำงานเพื่อเงินอีกต่อไป คือเปลี่ยนจากที่เราต้องทำงานเพื่อเงินให้กลายเป็น Work = Passion ของเรานั่นเอง

สรุปคือ การเกษียณไม่ได้ขึ้นกับว่าเราอายุ 60 เมื่อไหร่ แต่ขึ้นกับว่า Passive Income มากกว่า รายจ่ายอย่างต่อเนื่อง ก็สามารถหยุดทำงานเพื่อเงิน ไปทำงานเพื่อความฝันและความสุข ไม่จำเป็นต้องนั่งอยู่บ้านเฉยๆแต่อย่างใด ..นี่แหละนิยามใหม่ของชีวิตมั่งคั่งที่เรากำหนดเอง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ก้าวนำการเปลี่ยนยุค






ก้าวนำการเปลี่ยนยุค

บทนี้เขียนขึ้นเพื่อปรับความเข้าใจ ระหว่าง สิ่งที่เปลี่ยนไปในโลกวันนี้

 ...ประการแรก คุณทราบหรือไม่ว่า ในยุคที่พ่อแม่ของเราประสบความสำเร็จ เป็นยุคอุตสาหกรรม ..ภาษาอังกฤษ คือ ยุค Industrial Age ...ยุคนั้นเกิดขึ้นหลังสงครามโลก ที่มีการปฏิวัติอุตสาหกรรม เริ่มโดยประเทศโลกตะวันตก ที่ผลิตเครื่องจักรขึ้นมาใช้ 

คุณคิดภาพหลังสงคราม ที่เละ ไม่มีอะไรเลย ..ทุกอย่างต้องสร้างขึ้นมาใหม่หมด ...เศรษฐกิจและเศรษฐีเมืองไทยเริ่มในยุคนั้น

คุณนึกภาพของคนทำงานหนัก ..สู้งาน ..แล้วสร้างธุรกิจเล็กๆ ที่ขยายขึ้นเรื่อยๆ จนกลายเป็นธุรกิจยักษ์ใหญ่ในปัจจุบัน ...คนเหล่านั้นสร้างตัวจากคนธรรมดา ขึ้นมาเป็น “เจ้าสัว” ด้วยความอึด อดทน อึด และ อดทน

ตรงๆ นะ สมัยก่อน Demand มากกว่า Supply ...ใครผลิตสินค้าอะไรมาก็ขายได้ ...แล้วถ้าสามารถกู้ธนาคารซื้อเครื่องจักรมาผลิตมากๆ จะยิ่งรวย เพราะ มันคือ ยุคอุตสาหกรรม ..ใครสามารถสร้างโรงงานอะไรก็ได้ ก็เตรียมรวย ...ผลิตมาเถอะ เดี๋ยวมีคนซื้อเอง

มาถึงยุคนี้ คุณลองซี้ซั้วตั้งโรงงานซิ ...ผมการันตีว่า เตรียมเจ๊ง ...เพราะ ยุคนี้มันคือยุค Information Age ..เป็นยุคที่ Supply มากกว่า Demand เรียบร้อย ...คิดง่ายๆ ทำไมเป็นเช่นนั้น ...ก็ตั้งแต่สงครามโลกเป็นต้นมา เราก็เห็นคนที่เปิดโรงงานแล้วรวย ...คนอื่นก็อยากเปิดโรงงานบ้าง ...ไม่ใช่เฉพาะคนไทย แต่เป็นคนทั่วโลก ทั้งจีน เวียดนาม อินเดีย ..ทุกที่ทั่วโลกต่างพากันเปิดโรงงาน เพื่อสร้าง Supply ของสินค้าจำนวนมหาศาลท่วมโลก

วันนี้สินค้าท่วมโลก แต่เป็นสินค้าห่วยๆ ที่เป็นผลผลิตของยุคอุตสาหกรรม ที่พยายามใช้แรงงานให้ถูก แล้วแข่งกันขายของห่วยๆ ถูกๆ โดยอาศัย “สื่อกระแสหลัก” อย่างทีวี คอยช่วยบริษัทใหญ่ๆ เหล่านี้ให้ขายของได้

แต่วันนี้สิ่งที่เปลี่ยนไปคือ

1. สื่อกระแสเริ่มหมดพลัง ..ลูกค้าไม่สนใจโฆษณา ..ทำให้การผลิตสินค้าห่วยๆ แล้วหวังว่าจะใช้โฆษณาช่วยขาย ทำไม่ได้อีกต่อไป

2. แรงงาน และ วัตถุดิบ ราคาขึ้นทุกปี ..แต่เจ้าของโรงงานไม่สามารถขึ้นราคาสินค้าได้ ..เพราะ คนจ้างผลิตเขามีทางเลือกว่าจะย้ายโรงงานไปประเทศไหนก็ได้ …นี่แหละ Supply เยอะมากเกินความต้องการ

3. โลกท่วมไปด้วยสินค้าที่เป็นขยะ เพราะ ทุกคนแข่งกันผลิตสินค้าให้ถูก ...ก็คือ ผลิตขยะแข่งกัน (ต่างจากยุคโบราณที่ผลิตสินค้าคุณภาพ ทุกชิ้นคือ Asset ยิ่งเก็บ ยิ่งราคาเพิ่ม ..เช่น โต๊ะแกะสลักฝังมุก ในยุคคุณปู่ เทียบกับ โต๊ะของ IKEA --เห็นความแตกต่างไหมครับ ว่าโลกของคุณภาพ กับโลกที่มีแต่สินค้าขยะคืออะไร)

4. คนส่วนใหญ่จ่ายเงิน 80% ของเงินเดือน เพื่อซื้อสิ่งที่เป็นขยะ ...ยิ่งเวลาผ่านไปยิ่งจน ...ไม่เหมือนในอดีตที่คนสมัยก่อน ซื้ออะไรก็เป็น Asset ..คนสมัยก่อนจึงยิ่งอยู่ ยิ่งรวย ...ในขณะที่คนสมัยนี้ ยิ่งทำงานหนัก ก็ยิ่งจน ก็ยิ่งเครียด และ เป็นหนี้ ..มันถึงจุดปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่ไร้ทางออก (น่ากลัวไหม)


วันนี้โอกาสมันเกิดขึ้นสำหรับคนที่เข้าใจโลกยุค Information Age ซึ่งมีหลักการประมาณนี้

1. โลกยุคนี้ “สื่อกระแสรอง” กำหนดพฤติกรรมการบริโภค ...ใครก็ตามที่สามารถใช้สื่อกระแสรอง เช่น พวก Social Media ได้เก่ง ก็เท่ากับมีอาวุธที่สุดยอดในการทำธุรกิจยุคนี้ ... “แล้วคุณล่ะ ใช้ Social Media เก่งแค่ไหน ..ใช้หาเงินนะ ไม่ใช่ใช้เพื่อเสียเงินเหมือนคนส่วนใหญ่” 

2. ยุคนี้การผลิตสินค้า Mass ให้ราคาถูก มันหมดยุค ..มันเป็นเกมของรายใหญ่ ซึ่งเราไม่มีทางชนะรายใหญ่ในการทำธุรกิจแบบนั้น ...โอกาสของรายย่อย คือ การคิดแบบ Artist ที่สร้างสินค้าให้สุดยอด ให้เป็น Asset ..ขายจำนวนจำกัด แต่ราคาแพง ...นี่คือ เกมของคนตัวเล็ก ที่ท้าทายคนตัวใหญ่ ...เกมนี้ครั้งนึง Starbucks ตอนที่ยังเป็นร้านกาแฟเล็กๆ ก็ใช้ยุทธวิธีนี้แหละแข่งกับบริษัทเนสกาแฟรายใหญ่
 ช่องทางการจัดจำหน่าย ยุคนี้ เปิดให้ ผู้ผลิต ส่งตรงถึงลูกค้า …อย่าติดกรอบว่า ต้องขายผ่านตัวกลาง เพราะ มันไม่จำเป็นเลย ที่ต้องเอากำไร 50% ของสินค้า ให้กับช่องทางหรือคนกลาง Modern Trade ...ลองคิดวิธีส่งสินค้าถึงมือลูกค้า ในแบบที่ถูกกว่า นี่แหละ ทางออก

3. วันนี้ Social Media เปิดโอกาสให้ คนขายสินค้า สามารถเชื่อมต่อ และเป็นเพื่อนกับลูกค้าได้โดยตรง ..ทำให้ Market Research และ การทำสินค้าทดลอง เป็นเรื่องที่ทำได้เลย (แทบไม่มีต้นทุน) ...ยุคนี้คนที่จะขึ้นมามีพลัง ก็คือ Blogger ..คนเขียน Fan Pages ในเรื่องต่างๆ เพราะ คนเหล่านี้แหละ ที่เขามี Passion จริงๆ ในสิ่งที่เขาเขียน -- ถ้าคุณมองคนเหล่านี้ คุณจะรู้เลยว่า Blogger ที่เขียนในเรื่องต่างๆ มันเริ่มจากเขาชอบและมี Passion ในเรื่องนั้น ...คนเหล่านี้ต้องศึกษาอย่างต่อเนื่องเพื่อหาเรื่องมาเขียน ทำให้เขาไม่เคยหยุดพัฒนาตัวเอง ..เขาจึงเป็นคนที่เก่งแบบก้าวกระโดด ...พวก Blogger เหล่านี้แหละ ที่เราควรไปเป็นเพื่อน เพราะ เขาคือ คนที่จะเปลี่ยนอุตสาหกรรม

...ใช่!! ก็คือ คุณนั่นแหละ ...แค่คุณลุกขึ้นมา เปลี่ยน facebook ให้เป็นการแชร์ความรู้ คุณก็จะเปลี่ยนตัวเองเป็น Blogger ที่เก่ง และ เปลี่ยนโลกได้ !!

ก็ประมาณนี้ครับ ..โลกในยุคอุตสาหกรรมมันหมดยุคแล้ว ...วันนี้เข้าสู่โลกของข้อมูลข่าวสาร ..โลกที่เปิดโอกาส ให้คนตัวเล็กสามารถสู้กับองค์กรใหญ่ๆ ได้
มาลุยกัน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 เรื่องที่เปลี่ยนไป ของ “ตลาดยุคใหม่”


10 เรื่องที่เปลี่ยนไป ของ “ตลาดยุคใหม่”

1. “โลกยุคนี้กำลังเปลี่ยนจากโลก Industrial Age เข้าสู่ Information Age” ก็คือเปลี่ยนจากโลกที่คนชอบซื้อของถูก กลายเป็นการซื้อของคุณภาพ แม้ราคาจะแพงขึ้นก็ตาม ..นี่คือ การเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญของโลกการค้า ที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ต้องปรับตัว เพราะ เดิมทีโลกอุตสาหกรรมธุรกิจใหญ่ๆ ใช้การผลิตสินค้าจำนวนมาก ให้ราคาถูกๆ แล้วใช้การโฆษณาแบบ Mass Media เพื่อขายสินค้า ...แต่โลกวันนี้การทำสินค้าธรรมดาแล้วใช้โฆษณามันทำไม่ได้แล้ว ..ต้องทำสินค้าให้ดีเยี่ยมแล้วให้ลูกค้าบอกต่อกันเอง แบบที่ Apple หรือ Starbucks ทำ

2. “ยุคนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนธรรมดา” ...คำว่า “ลูกค้าทั่วๆไป” กำลังจะตาย ..นั่นเพราะทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ ...นี่จะทำให้ตลาดเกิด Fragment คือ มีกลุ่มความต้องการเกิดขึ้นมากมาย ..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่องค์กรใหญ่เครียดมากที่สุด เพราะ นั่นหมายถึงการที่เดิมทีธุรกิจมีสินค้าไม่กี่ตัวก็ขายได้ครอบคลุ่มทั้งตลาด ...แต่การเกิด Fragment ของความความต้องการลูกค้า อาจทำให้บริษัทต้องออกสินค้าเป็นร้อยๆ ตัว เพื่อให้ยอดขายเท่าเดิม ..อีกมุมนึงคือ บริษัทเล็กๆ จะเข้ามาแย่ง Market Share ของบริษัทใหญ่ๆ เพราะ สามารถผลิตสินค้าได้โดนกว่า ..โดยที่ต้นทุนเรื่อง Economy of Scale ของรายใหญ่ก็หมดลงเมื่อต้องทำสินค้าเยอะตัว ...การต่อสู้ของรายใหญ่ คือ ปรับองค์กรทั้งหมด เปลี่ยนเป็น ธุรกิจเล็กในบริษัทใหญ่ เหมือนที่ Google ทำครับ ..ส่วนธุรกิจก็เน้นที่ “ความเร็ว และ สินค้าโดนใจ” นั่นแหละครับ

3. “ความต้องการลูกค้าจะได้รับการตอบสนองเร็วขึ้น” ..ผมเคยคิดมาเกือบยี่สิบปี ว่าทำไม โค๊ก ต้องทำขนาดกระป๋องที่ผมกินไม่หมด ...ผ่านมา 20 ปี วันนี้มีโค๊กกระป๋องเล็ก -- “แม่เจ้า !! นั่นแหละที่ผมต้องการ” ...คุณคิดดูซิว่า แท้จริงแล้ว มีคนที่ต้องการคล้ายผมจำนวนมาก ที่ต้องการสินค้าในแบบนี้ แต่ในสมัยก่อน เสียงของลูกค้าไม่มีความสำคัญ เพราะ มันเป็นโลกอุตสาหกรรมที่อำนาจที่ผู้ผลิต ..ดังนั้น ลูกค้าจะพูดอย่างไรก็ไม่สำคัญ เพราะ ยังไงลูกค้ามันก็ไม่มีทางเลือก -- แต่ยุคนี้เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง วันนี้ผู้บริโภคเสียงดัง ...คนตัวเล็กๆ สามารถพูดอะไรใน Social Media แล้วมีฝูงชนสนับสนุน ซึ่งสามารถสั่นธุรกิจใหญ่ได้ ...นี่คือ อาวุธสงครามที่ธุรกิจใหญ่ต้องใส่ใจ ไม่เช่นนั้น ธุรกิจใหญ่จะตายในกระแสสังคม และ นั่นคือ ความเสี่ยงใหม่ของธุรกิจที่ไม่ฟังเสียงลูกค้า ...สิ่งที่เกิดต่อไปคือ ทุกบริษัทจะมีอาชีพใหม่ ที่เป็นหน่วยงานที่มา Monitor ลูกค้า และ สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ...จริงๆ มันก็คือ Market Research เดิม หรือ แผนกการตลาด แต่วันนี้หน่วนงานเหล่านี้ ไม่ใช่ไปเล่นกับสื่อและวิธีโฆษณา แต่เขาต้องมาเล่นกับลูกค้า ..เป็นเพื่อนกับลูกค้าใน Social ...อันนี้เป็นอาชีพใหม่ และ กระแสใหม่ ที่เราจะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ...ยุคต่อไป ความต้องการของลูกค้าจะได้รับการตอบสนองรวดเร็ว และนี่คือ New Business Frontier

4. “ของเสียจะน้อยลง” ...ทุกวันนี้โลกอุตสาหกรรมเน้นผลิตสินค้าห่วยๆ จำนวนมากๆ แล้วสุดท้ายของ 80% เหล่านี้ เสียง่าย เป็นสินค้าห่วย เป็นขยะ ซึ่งมันเป็นมลพิษทั้งโลก ...จุดนี้เริ่มตั้งแต่ยุค Made in China ที่แต่ก่อน เน้น Mass ...แต่วันนี้คุณดูดีๆ จีนเอง เริ่มเปลี่ยน เขาเปลี่ยนข้ามเอเชียทั้งหมด จาก Junk Producer กลายเป็น Global Brand ไปแล้ว ...หลักคิดของการผลิตให้ของเสียน้อย มันเกิดจากโลกพัฒนาแล้ว เช่น ฝรั่งเศส ที่คิดว่า จะเปลี่ยนสินค้าที่ตัวเองปลูกแล้วเน่าเสียอย่างองุ่นให้เป็นสินค้าที่ยิ่งเก็บยิ่งแพง กลายเป็น Asset ที่ขายได้แพง มีจำนวนจำกัด มนุษย์ต้องการ เก็บแล้วไม่เน่น แต่โคตรแพงเมื่อเวลาผ่านไป ...ถูกต้อง !! เขาเปลี่ยนสินค้าการเกษตรอย่างองุ่น ที่เดิมทีเก็บไม่นานก็เน่า ต้องขายตามฤดูกาล และ ขายราคาถูก เพราะ สินค้าเกษตรกำหนดราคาตาม Demand & Supply ทำให้ผลผลิตออกพร้อมกันราคาก็ห่วย … ใช่ !! เหมือนสินค้าเกษตรบ้านเรานั่นเอง -- ฝรั่งเศสแก้โดยคิด New Product ซึ่งก็คือ เปลี่ยน องุ่นเป็นไวน์ ทำให้สินค้าเกษตรที่เก็บแล้วเน่า เปลี่ยนเป็น ยิ่งเก็บยิ่งแพง ...สร้าง ความแตกต่างของสินค้าเกษตรที่ปลูกที่ไหนก็ได้ กลายเป็น Winery ที่ต้องเป็น องุ่นที่นี่เท่านั้น ปีนี้เท่านั้น ที่จะรสชาติเยี่ยม ขวดละแสน ..ที่เหล่ามาคือ วิธีคิดที่เปลี่ยน สินค้าทั่วๆไป “Commodity” ให้กลายเป็น Asset ที่มีค่า มีราคา ....สิ่งที่ผมพูดนี้ กำลังจะกลายเป็น Trend สำคัญของโลก ...คนที่สร้างสินค้าเปล่านี้จะกลายเป็นคนรวย -- เรียกว่า รวยด้วยสมอง เพราะ วิธีคิดนี้มันคือ Just an Idea จริงๆ

5. “โลกของการบริโภคจะหมุนช้าลง” ..วันนี้การบริโภคเน้นปริมาณสูง แต่คุณภาพต่ำ ...จนประเทศยุโรปและอเมริกา มีร่างกายและสุขภาพที่ย่ำแย่ ..เพราะ เดิมโลกอุตสาหกรรมผลิตทั้งสินค้าที่ห่วย รวมถึงผลิตอาหารที่ห่วย นั่นคือ วัฒนธรรม Fast Food ที่ถือกำเนิดในอเมริกา ..ผลลัพธ์คือ ความแย่ของสุขภาพของคนที่บริโภคของเหล่านี้ และ Overweight คือ “อ้วน”  ...จากนี้โลกจะหมุนเข้าหาสินค้าไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพสูง ..เราจะเริ่มเห็นคนพูดเรื่อง Slow Life ก็เพราะ คนจำนวนมาก โหยหา คุณภาพของชีวิตนั่นเอง ...ธุรกิจวิ่งช้าลง แต่ได้เงินมากขึ้น น่าสนใจไหมล่ะ ?

6. “คนจะโหยหา ความแท้” Original ...วันนี้เราเจอแต่ของก๊อบ ของ ปลอม ทุกคนหลอกซึ่งกันและกัน ที่หนักสุดคือ หลอกตัวเอง ..อุตสาหกรรมของเลียนแบบจึงถือกำเนิดขึ้น แต่มันไม่ได้สนองความสุขของเราเลย เพราะ แท้จริงแล้ว เราอาจหลอกคนอื่นได้ ว่าเราใช้ของ Brand Name แต่เราหลอกตัวเองไม่ได้ ...จนมีคนแซว ว่า เราดูได้เลยว่าผู้หญิงคนไหนใช้กระเป๋าของแท้ เวลาฝนตก ..ถ้าแท้จะเอาตัวบังกระเป๋า แต่ถ้าปลอมจะเอากระเป๋าบังฝน ...ฮ่า ฮ่า ตลกดี -- แต่ลึกๆ มันแสดงถึงตัวตนบางอย่างของมนุษย์ ...ทุกวันนี้เงินสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวตนของคนเล็กลงเรื่อยๆ ...วันนี้เราขายตัวเพื่อแลกเงินมากขึ้น ก็คือ เอาเวลาที่มีค่าในชีวิตขายให้กับธุรกิจ องค์กร เพื่อแลกกับเงินที่น้อยและมีคุณค่าน้อยลงเรื่อยๆ ..เกิดเป็นโลกที่เหนื่อย ไม่มีเวลา และ ทำสิ่งที่ไร้ค่า ..ถึงแม้ได้เงิน ตัวเองก็เล็กและไม่มีค่า ทำให้คนเหล่านี้ โหยหา Brand Name ที่ดูมีค่าบ้าง เอามาแปะตามตัว เพื่อฉันจะพอมีค่าบ้าง (แม้เงินไม่มี ก็ต้องหาของปลอม เอามาหลอกตัวเอง) ซึ่งทั้งหมด มันไม่สนองความต้องการที่แท้จริง ...แท้จริงแล้ว เราต้องการคุณค่าในตัวเอง ...และ ผมจะบอกว่า คุณค่าของคนเรา คือ การสร้างประโยชน์ให้คนอื่น และ ทำสิ่งที่เรารัก ในเวลาเดียวกันไง ...ตัวอย่างของ การสร้างคุณค่าชัดๆ เช่น อ.เฉลิมชัย สร้างงานศิลปะที่ตัวเองรัก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเชียงราย เพราะ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ..แถมได้คุณค่าจากสิ่งที่ทำ สุดท้ายทำให้ภาพเขียนของ อ.เฉลิมชัย วันนี้แต่ละภาพราคาเป็น สิบล้าน ...ก็คือ ตัวอย่างการสร้างคุณค่า สุดท้ายก็รวยและมีความสุขด้วย ...นี่คือ กระแสของความแท้จริง !!

7. “เราจะโหยหาธรรมชาติ” ..ยิ่งเมืองใหญ่เท่าไหร่ คนก็จะแห่เข้ามามีชีวิตในเมือง เพราะ สะดวกสบาย ...แต่สิ่งที่ต้องแลกคือ การหนีห่างสิ่งที่เป็นแม่ของเรา -- มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นส่วนนึงของธรรมชาติ ก็เปรียบเสมือนธรรมชาติคือแม่ของสรรพสิ่ง ...การที่เราออกห่างธรรมชาติเท่าไหร่ ลึกๆ เราอยากที่จะได้ธรรมชาติมากขึ้น ...จะเห็นได้ว่า อะไรที่เกี่ยวกับ ธรรมชาติ และ สุขภาพ จะขายดีมากๆ ...Trend การออกแบบ คอนโด ให้เหมือนอยู่ในป่า ..ร้านอาหารกลางเมืองที่เหมือนอยู่ในธรรมชาติ ...ใช่!! เราต้องการ Oasis กลางเมืองที่รีบเร่ง ..และ นั่นคือ การเกิดขึ้นของ Trend สุขภาพ , อาหารปลอดสารพิษ , การยกธรรมชาติเข้ามาในเมือง

8. “คนจะทำงานที่รักมากขึ้น” ..โลกอุตสาหกรรม ทุกคนทำงานเพื่อให้ได้เงิน ..แต่สุดท้ายพบว่า ทั้งชีวิตทำงานที่ไม่ชอบเพียงเพื่อได้เงินน้อยนิด และ ไม่สร้างผลงานใดๆ ..สุดท้ายก็ตายอย่างไร้ค่า ไม่มีแม้ลูกหลายเหลียวแล(น่าสงสารมาก) -- จุดนี้ทำให้หลายๆ คนเริ่มฉุกคิดว่า “เงิน” กับ “สิ่งที่รัก” จะเลือกอะไรดี  ...เคล็ดลับของการเลือกสิ่งที่รัก ที่หลายคนไม่รู้คือ คนที่เลือกทำสิ่งที่รักโดยมองข้ามเงินในช่วงแรกของชีวิต กลับสามารถสร้างผลงานจากสิ่งที่รัก จนในที่สุด เงินตามมาเอง -- พูดง่ายๆ ว่า คนที่เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำงานที่ตัวเองชอบ โดยไม่เลือกเรียนคณะทำเงินยอดฮิต ..สุดท้ายชีวิตดีกว่า พวกที่เรียนตามกระแส เพราะ คิดว่า เรียนคณะนี้แล้วจะมีเงินเยอะ ...ใช่ !! การได้ทำในสิ่งที่รัก แถมได้เงินด้วย มันตอบโจทย์กว่าคนที่ทั้งชีวิตขายเวลาแลกกับเงินเท่านั้น

9. “สังคมจะเป็นปัจเจกชนมากขึ้น” ..เดิมทีโลกอุตสาหกรรม สร้างเราให้เป็นหุ่นยนต์ ทำงานที่เราไม่ชอบ เพื่อรอรับเงินเดือน ก็เกิดเป็นสังคมของความเครียด ที่เราอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่มี Passion ในงานที่ทำ ...มันคือ สังคม Drama เพราะ เราเกลียดสิ่งที่เราทำ เราจึงอยากเห็นความฉิบหายของคนอื่น ...เป็นสังคมที่คอยเหยียบคนล้ม ใครล้มทุกคนจะเหยียบซ้ำ เพราะ ตัวเองมีปมด้อย ..สังเกตให้ดี คนไทยมีความอึดอัด น้อยเนื้อต่ำใจกับสถานะของตัวเอง ทำให้ไม่อยากเป็นใครได้ดี ..ทั้งชีวิตฆ่าเวลากับสิ่งคลายเครียด ละครน้ำเน่า เพราะ ตรงกับชีวิตเน่าๆ ของเราดี ..ทั้งหมดนี้เปลี่ยนง่ายนิดเดียว คือ เปลี่ยนโจทย์เริ่มต้นของชีวิต อย่าทำเพื่อเงิน แต่ทำเพื่อสิ่งที่เรารัก “ก็คือ ทำงานเพื่อหัวใจของตัวเอง” ...ถ้าใครสามารถทำในสิ่งที่ตัวเราต้องการ ชีวิตจะมีความสุข ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ แม้เงินน้อย แต่ก็สร้างผลงาน ดีที่สุดในจุดที่เรายืน ...ผมว่าคนๆนี้จะเครียดน้อยลง ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นน้อยลง ...Drama จะลดลงจากสังคมไทย -- นี่คือ Trend ของปัจเจกชน ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยครับ ...กลุ่มเล็กๆ ของคนที่เริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองมี Passion ...เขาค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นปัจเจกชน และ นี่คือ การเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

10. “สังคมยิ่งให้ ยิ่งได้” ..วันนี้กระแสของ Information Age ที่สำคัญที่สุดคือ “กระแสของเวทีที่ตัวเองสร้างขึ้น” ..วันนี้เราเห็นนักร้อง ดารา นักธุรกิจ นักพัฒนาสังคม ..สามารถมีเวที ดังได้ด้วยตัวเอง ..คนเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกสาขาอาชีพ คือ คนที่สร้างเวทีขึ้นมาเป็นผู้นำในสิ่งที่ตัวเองทำ ...คนเหล่านี้อาศัย Social Network และ สื่อกระแสรอง ที่พาตัวเองขึ้นมา ...จะเห็นได้ว่า คนเหล่านี้ เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดในกลุ่มเล็กๆ ของเขา ..เป็นผู้นำทางความคิด ...และ ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนที่ผมพูดถึง เขาเป็น Leader with No Title คือ ผู้นำไร้ตำแหน่ง ..คนมาตาม ไม่ใช่เพราะเขามีตำแหน่ง แต่คนมาตาม เพราะ ได้ประโยชน์จากสิ่งที่คนเหล่านี้แชร์ ..ยุคยิ่งให้ ยิ่งได้ เกิดง่ายขึ้น เพราะ Social Media ..แม้วันนี้กลุ่มคนบางคนจะอาศัยการสร้าง Drama ในโลก Social แต่ท้ายสุด การทำร้ายคนอื่น จะไม่ยั่งยืนเท่ากับการทำดี สร้างประโยชน์ให้คนอื่น ...ดังนั้น Trend ในยุคต่อไป ผู้นำไร้ตำแหน่งจะเกิดขึ้น ในทุกสาขาอาชีพ และ จะเกิดจากคนในอาชีพนั้นๆ ลุกขึ้นมาแชร์ความรู้ แชร์ความคิด แชร์โอกาสในสิ่งที่ตัวเองทำ ให้กับ Tribes ของตัวเอง

นี่คือ 10 Trend ที่ผมบอกเลยว่า มาจริง ...และ ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวเข้ากับ Trend เหล่านี้ จะค่อยๆ ตกกระแส ...ยุคนี้การเปลี่ยนแปลงจากโลกอุตสาหกรรม สู่โลกแห่งข้อมูลข่าวสาร มันคือ ของจริง -- คนรวยในยุคต่อไป หรือ New Rich คือ ปัจเจกชน ที่วางความคิดอยู่บนหลัก “ยิ่งให้ ยิ่งได้” ...ธุรกิจคือ การแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่นมากที่สุด โดยใช้แรงงานของเราให้น้อย และใช้ Technology ให้มากขึ้น
ลองไปคิดปรับใช้กับ ตัวคุณและธุรกิจ ผมว่า มัน Work จริงๆ ครับ
จัดไป
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 4 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

กฏสิบเท่าเขาคิดและทำยังไง






กฏสิบเท่า เขาคิดและทำอย่างไรกัน !!

ผมขอแบ่งเงินเดือนมนุษย์ในโลกนี้ ออกเป็น 3 ระดับ

1. คนเงินเดือนหมื่น ..อันนี้ก็เด็กจบปริญญาใหม่ วันนี้ได้เงินเดือน 15,000 บาท

2. คนเงินเดือนแสน ..พวกนี้ในประเทศไทย จัดว่า อยู่ในระดับผู้บริหาระดับสูง ซึ่งต้องมีประวัติการทำงานที่ยาวนาน มี Success Trail คือ ผลงานที่จับต้องได้ที่ผ่านๆ มา ..ถ้าไม่มีผลงาน คนเหล่านี้คงไม่ได้รับการโปรโหมดขึ้นมาเป็นผู้บริหาร

3. คนเงินเดือนล้าน ..พวกนี้เป็นมือสำคัญขององค์กร หรือ เป็นมือปืนรับจ้างองค์กรฝรั่ง ..เพราะในเมืองไทย ผมเชื่อว่ามีไม่กี่องค์กร ที่สามารถจ่ายเงินเดือนผู้บริหารเกินเดือนละล้าน

ก่อนจะทำความเข้าใจ กฏสิบเท่า ..ผมอยากจะบอกตัวเลขของคนที่จ่ายภาษีของประเทศไทย ที่อัตราสูงสุด มีแค่ 20,000 คนนะครับ อีกเกือบ 70 ล้านคน จ่ายภาษีอัตราต่ำกว่านั้น ...แล้วที่ตลกกว่านั้น ก็คือ เศรษฐีและคนรวยในเมืองไทย ไม่มีใครจ่ายภาษีสูง ..คิดง่ายๆ คนที่เป็นเจ้าของบริษัท มีแต่จ่ายเงินให้ตัวเองน้อย เพราะ เขาสามารถจ่ายให้ตัวเอง ก็ก่อนจ่ายภาษี

อย่าง Steve Jobs ก่อนตาย เขารับเงินเดือนแค่ 1 เหรียญต่อปี ...อันนี้ไม่ได้ตลก ...ผมเพียงต้องการชี้ให้เห็นว่า คนรวยจริง ไม่มีใครจ่ายภาษี

เอาล่ะ ผมขอค้างเรื่อง ภาษีไว้เท่านี้ เพราะหนังสือเล่มนี้ ไม่ใช่ วิธีประหยัดภาษี แต่เป็นวิธีคิดต่างในการทำธุรกิจ ..โอเค เรามาเข้าประเด็นเลยว่า ถ้าอยากรวย อยากคิดเป็น ในแบบคนรวย ที่เขาทำเงินได้มากตาม “กฏสิบเท่า” เขาคิดและทำอย่างไร

1. ‘คนที่เงินเดือนหมื่น จะได้เงินเดือนหลายหมื่นเมื่อทำงานหนักขึ้น’ ...สุดท้ายทำงานหนักขึ้น แก่ขึ้น เขาก็จะเงินเดือนหลายๆ หมื่น แต่จะไม่ขึ้นไปเงินเดือนแสน ..คนที่สามารถขึ้น 10 เท่า ไประดับเงินเดือนแสน เขาต้องเปลี่ยน “ชุดความคิด”

2. ‘ชุดความคิด’ เป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจว่ามันคืออะไร ...เพราะ คนส่วนใหญ่มีอยู่ชุดความคิดเดียว คือ “เรียนให้เก่ง ทำงานให้หนัก แล้วเดี๋ยวจะรวย” ...ชุดความคิดนี้ เป็นชุดความคิดของคนเงินเดือนหมื่นครับ

3. ‘ตามกฏสิบเท่า คือ รวยสิบเท่า’...ใครก็ตาม ที่ทิ้งชุดความคิดเดิม และ เปลี่ยนชุดความคิดใหม่ จะทำให้รายได้ของตัวเองเพิ่มขึ้น 10 เท่า ...ถ้าเดิมเงินเดือนหมื่น ...พอเปลี่ยนชุดความคิดจะกลายเป็นรายได้แสนต่อเดือน

4. ‘ชุดความคิด ในภาษาอังกฤษ จะใช้คำว่า Mindset’ ...คนส่วนใหญ่ ใช้คำว่า Mindset จนเกลื่อน แต่ไม่ได้รู้ความหมายจริงๆ ว่า Mindset คือ ตัวกำหนด ทั้งความเชื่อ วิธีคิด และ การกระทำของแต่ละคน

5. ‘การที่เรามีอายุมากขึ้น ..การเปลี่ยนชุดความคิดจะยากขึ้นเรื่อยๆ’ ...เหมือน Nokia เพราะ คนที่เคยสำเร็จมาในชุดความคิดใด เขาก็จะคิดว่าสิ่งนั้นแหละดีที่สุด ..อย่างเช่น Nokia ที่คิดว่า โทรศัพท์ธรรมดา คือ สิ่งที่ดีที่สุด ..ในขณะที่ ผู้บริโภคบอกว่า เขายอมซื้อ Smartphone แม้จะต้องจ่ายแพงกว่า 10 เท่าของมือถือธรรมดานั่นเอง

6. ‘ยุคนี้เป็นยุคที่คนเก่งมีปัญหาในการเติบโต’ ...ทุกวันนี้คนเก่งมีเต็มไปหมด ..ดังนั้น คนเก่ง มีคู้แข่งเยอะ จึงประสบความสำเร็จยาก ...กลายเป็นว่า ยุคนี้ให้รางวัลแก่ผู้นำ ...เพราะ วันนี้คนเก่งเยอะ แต่ขาดคนที่มีทิศทาง และ ความคิดชัดเจน ...และด้วยการที่ใครสักคนกล้าลุกขึ้นมาเป็นผู้นำ ในเรื่องอะไรก็ตาม เขาผู้นั้น จะมีรายได้ 10 เท่า ของคนที่เป็นผู้ตามในธุรกิจเดียวกัน

7. “โลกไม่ได้ต้องการสิ่งใหม่อะไรมากมาย” แต่ต้องการความชัดเจน ...สังเกตให้ดีจะพบว่า ทุกวันนี้เราซื้อสินค้าที่บอก Identity ..บอกความเป็นตัวเรา ..ที่เป็นเช่นนั้น เพราะ มนุษย์ทุกวันนี้เป็นเป็ด คือ จับฉ่าย ..พูดง่ายๆ คือ คนทุกวันนี้เก่งทุกอย่าง แต่ไม่มีอะไรที่เก่งสุดๆ ....สรุป ว่า เก่งทุกอย่างก็คือ ไม่เก่งอะไรเลย ...การขาดจุดยืนนี่เอง ที่ทำให้มนุษย์ทุกวันนี้ ซื้อสินค้าเพื่อมาตอบโจทย์ จุดยืน ...เราซื้อ iPhone เพราะ มันทำให้ดู Think Different ...ใช่!! Steve Jobs เขาบอกไว้อย่างนั้น และ ที่สำคัญคนทั้งโลกก็เชื่อด้วยน่ะซิ !!


8. ‘กฏสิบ แบ่งเงินเดือนของคน ออกเป็น 3 หลัก’ คือ  หลักหมื่น / หลักแสน / หลักล้าน ..คนแต่ละกลุ่ม จะคุยกันไม่รู้เรื่อง เพราะ

คนหลักหมื่น คือ คนที่ทำตามโจทย์ ..หัวหน้าสั่งอะไรมา คนเหล่านี้ จะทำตามโจทย์ได้อย่างดีเยี่ยม

คนหลักแสน คือ คนแก้โจทย์ ..คนเหล่านี้จะช่วยหัวหน้าข้างบน แก้โจทย์ ..พวกนี้ต้องอาศัย การคิดนอกกรอบที่เพิ่มขึ้น

คนหลักล้าน คือ คนตั้งโจทย์ ...วันนี้โลกเต็มไปด้วย คนทำตามโจทย์ และ คนแก้โจทย์ เพราะ ระบบการศึกษาของทั้งโลก สอนให้เรา ท่องจำ ก็คือ การทำตามโจทย์ ..และ ก็แก้โจทย์ ..แต่จะไม่มีสอนเรื่องการตั้งโจทย์ ...คุณคิดดีๆ นะ เราเรียนทั้งชีวิตเพื่อตอบคำถาม แต่ไม่มีใครสอนเราให้ตั้งคำถาม ..เพราะ อะไรน่ะหรือ ?

 การตั้งคำถาม มันทำให้คนสอนปวดหัว เช่น สมมุตินักเรียนทั้งห้อง กำลังเรียนวิชานึงอยู่ ...แล้วจู่ๆ   ก็มีเด็กคนนึงถามอาจารย์ว่า “เราเรียนไป ทำไมล่ะครับ” ...อาจารย์ก็จะตอบว่า “ไอ้นี่ไม่รู้เรื่อง อันนี้มันต้องเรียน เข้าใจไหม ..เรียนไปซะ!!” ...ตกเย็นพออาจารย์ กลับบ้านไป อาจารย์ก็กลับไปคิดว่า “เฮ้ย!! หลายๆ อย่างที่เราสอนเด็ก มันเป็นสิ่งที่มันไม่จำเป็นแล้วนี่ !!” ...จากนั้น อาจารย์ก็มานั่งคิดว่า แล้วตัวของอาจารย์คนเดียว จะเปลี่ยนอะไร ...ทั้งที่รู้ว่า บางอย่างต้องเปลี่ยน แต่อาจารย์คนเดียวจะเปลี่ยนอะไรได้

สรุปก็เลยไม่มีใครลุกขึ้นมาเปลี่ยนอะไร !! ...แต่ผมอยากจะบอกคุณว่า ยุคนี้ เรามี Silicon Valley เรามีกลุ่มเด็กบ้า ที่มันคิดและทำไม่เหมือนใครในโลก ...มันไปรวมตัวกันอยู่ใน Silicon Valley..ในที่แห่งนั้น มีผู้นำบ้าๆ อย่าง Peter Thiel ที่ออกหนังสือ ชื่อว่า Zero to One อ่านแล้วเหมือนโดนตบหน้าสิบครั้ง ...ฉาด ๆ ๆ ๆ ๆ (อ่านจบแล้วหน้าชา ..ว่าตกลง ทุกอย่างที่ฉันเรียนรู้มา มันต้องเปลี่ยนใช่ไหมนี่ ...ฉันถึงจะรวยเร็ว และ มีจุดยืนอย่าง Peter Thiel

9. ‘คนรวยทุกคนในโลกนี้ คือ Self-Taught’ ..แปลง่ายๆ ว่า ในโลกนี้ไม่มีอาจารย์สอนเศรษฐี เพราะ ความสำเร็จใดๆ ก็ตาม ที่ทำให้คนนึงรวย และ ประสบความสำเร็จ ...ก็จะไม่ทำให้คนอื่นประสบความสำเร็จ ...ยกตัวอย่าง Larry Pages รวยจากการคิด Search Engine ..คนจำนวนมาก พยายามทำ Search Engine ที่ดีกว่า แต่สุดท้ายก็ไม่มีใครชนะ Google ได้ในความคิดเดิม ...จนเมื่อ Mark Zuckerberg ท้าทาย Google ครั้งใหญ่ ด้วยการคิด Facebook ซึ่งเป็น Social Network ที่คนใช้มากที่สุดในโลก ...ใช่!! คุณไม่สามารถเป็นผู้ตาม คิดและทำเหมือนผู้นำ แล้วจะแซงผู้นำ ...ทางเดียวที่คุณจะชนะผู้นำ ก็คือ คุณคิดไม่เหมือนผู้นำ ...นั่นแหละ ทางเดียวเลย !! (แต่ผมเห็นคนทั้งโลก คิดและทำตามหนังสือ How-to หนึ่ง สอง สาม สู่ความสำเร็จ แล้วคิดว่าตัวเอง จะประสบความสำเร็จเหมือนเศรษฐีโลกบ้าง ..มันก็คล้ายๆ คุณอยากคิดและทำเหมือนเดิม แต่หวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ...มันเป็นไปไม่ได้ครับ!!) ...ถ้าต้องการผลลัพธ์ที่แตกต่าง อย่างแรกคุณต้องเริ่มทำสิ่งที่ไม่เหมือนใครก่อน !!

10. ‘พ่อสอนลูกไม่ได้ (เพราะมันไม่ฟัง)’ ..คนที่สอนลูกดีที่สุด คือ “แผลกลางหลังของลูกเอง” …คุณรู้ไหมว่า Bill Gates เขาสำเร็จ เพราะ ไม่มีอะไรที่เขาเหมือนพ่อเลย ..พ่อของ Bill Gates เป็นนักกฏหมายที่ประสบความสำเร็จสูงมาก ..ถ้าปกติลูกก็มักจะอยากเป็นนักกฏหมายเหมือนพ่อ และ สุดท้าย เขาก็ไม่มีทางที่จะประสบความสำเร็จในแบบตัวเอง ...พูดง่ายๆ คือ ถ้า Bill Gates เลือกเดินในสายนักกฏหมาย เขาก็คงไม่ใช่ Bill Gates ในวันนี้ ที่เปลี่ยนทั้งโลก ตั้งแต่ อุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์ จนถึงอุตสาหกรรมการแพทย์ในปัจจุบัน -- คนที่สอนเราได้ดีที่สุดในยุคนี้ คือ ถนน ...เพราะ ความผิดพลาดในการทำธุรกิจในยุคนี้ไม่ได้แย่เหมือนในอดีต ...เดี๋ยวนี้สร้างธุรกิจใช้เงินนิดเดียว เพราะ มันใช้ Online ช่วยลดต้นทุน ...แถมบริษัทต่างๆ ก็พร้อมจะ Outsource ทำให้เดี๋ยวนี้ คุณใช้เพียง Idea เท่านั้นก็เริ่มธุรกิจได้

พูดพล่ามมา 10 ข้อแล้ว เรามาทำความเข้าใจ “กฏสิบเท่า” กันอย่างลงลึกดีกว่าว่า เราจะเอา “กฏสิบเท่า” มาปรับใช้กับ งาน และ การลงทุนของเรา อย่างไร

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ