แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 5 พฤษภาคม พ.ศ. 2562

10 เรื่องที่เปลี่ยนไป ของ “ตลาดยุคใหม่”


10 เรื่องที่เปลี่ยนไป ของ “ตลาดยุคใหม่”

1. “โลกยุคนี้กำลังเปลี่ยนจากโลก Industrial Age เข้าสู่ Information Age” ก็คือเปลี่ยนจากโลกที่คนชอบซื้อของถูก กลายเป็นการซื้อของคุณภาพ แม้ราคาจะแพงขึ้นก็ตาม ..นี่คือ การเปลี่ยนบทบาทครั้งสำคัญของโลกการค้า ที่ธุรกิจยักษ์ใหญ่ต้องปรับตัว เพราะ เดิมทีโลกอุตสาหกรรมธุรกิจใหญ่ๆ ใช้การผลิตสินค้าจำนวนมาก ให้ราคาถูกๆ แล้วใช้การโฆษณาแบบ Mass Media เพื่อขายสินค้า ...แต่โลกวันนี้การทำสินค้าธรรมดาแล้วใช้โฆษณามันทำไม่ได้แล้ว ..ต้องทำสินค้าให้ดีเยี่ยมแล้วให้ลูกค้าบอกต่อกันเอง แบบที่ Apple หรือ Starbucks ทำ

2. “ยุคนี้ไม่มีใครอยากเป็นคนธรรมดา” ...คำว่า “ลูกค้าทั่วๆไป” กำลังจะตาย ..นั่นเพราะทุกคนอยากเป็นคนสำคัญ ...นี่จะทำให้ตลาดเกิด Fragment คือ มีกลุ่มความต้องการเกิดขึ้นมากมาย ..เรื่องนี้เป็นเรื่องที่องค์กรใหญ่เครียดมากที่สุด เพราะ นั่นหมายถึงการที่เดิมทีธุรกิจมีสินค้าไม่กี่ตัวก็ขายได้ครอบคลุ่มทั้งตลาด ...แต่การเกิด Fragment ของความความต้องการลูกค้า อาจทำให้บริษัทต้องออกสินค้าเป็นร้อยๆ ตัว เพื่อให้ยอดขายเท่าเดิม ..อีกมุมนึงคือ บริษัทเล็กๆ จะเข้ามาแย่ง Market Share ของบริษัทใหญ่ๆ เพราะ สามารถผลิตสินค้าได้โดนกว่า ..โดยที่ต้นทุนเรื่อง Economy of Scale ของรายใหญ่ก็หมดลงเมื่อต้องทำสินค้าเยอะตัว ...การต่อสู้ของรายใหญ่ คือ ปรับองค์กรทั้งหมด เปลี่ยนเป็น ธุรกิจเล็กในบริษัทใหญ่ เหมือนที่ Google ทำครับ ..ส่วนธุรกิจก็เน้นที่ “ความเร็ว และ สินค้าโดนใจ” นั่นแหละครับ

3. “ความต้องการลูกค้าจะได้รับการตอบสนองเร็วขึ้น” ..ผมเคยคิดมาเกือบยี่สิบปี ว่าทำไม โค๊ก ต้องทำขนาดกระป๋องที่ผมกินไม่หมด ...ผ่านมา 20 ปี วันนี้มีโค๊กกระป๋องเล็ก -- “แม่เจ้า !! นั่นแหละที่ผมต้องการ” ...คุณคิดดูซิว่า แท้จริงแล้ว มีคนที่ต้องการคล้ายผมจำนวนมาก ที่ต้องการสินค้าในแบบนี้ แต่ในสมัยก่อน เสียงของลูกค้าไม่มีความสำคัญ เพราะ มันเป็นโลกอุตสาหกรรมที่อำนาจที่ผู้ผลิต ..ดังนั้น ลูกค้าจะพูดอย่างไรก็ไม่สำคัญ เพราะ ยังไงลูกค้ามันก็ไม่มีทางเลือก -- แต่ยุคนี้เปลี่ยนไปแบบสิ้นเชิง วันนี้ผู้บริโภคเสียงดัง ...คนตัวเล็กๆ สามารถพูดอะไรใน Social Media แล้วมีฝูงชนสนับสนุน ซึ่งสามารถสั่นธุรกิจใหญ่ได้ ...นี่คือ อาวุธสงครามที่ธุรกิจใหญ่ต้องใส่ใจ ไม่เช่นนั้น ธุรกิจใหญ่จะตายในกระแสสังคม และ นั่นคือ ความเสี่ยงใหม่ของธุรกิจที่ไม่ฟังเสียงลูกค้า ...สิ่งที่เกิดต่อไปคือ ทุกบริษัทจะมีอาชีพใหม่ ที่เป็นหน่วยงานที่มา Monitor ลูกค้า และ สิ่งที่ลูกค้าต้องการ ...จริงๆ มันก็คือ Market Research เดิม หรือ แผนกการตลาด แต่วันนี้หน่วนงานเหล่านี้ ไม่ใช่ไปเล่นกับสื่อและวิธีโฆษณา แต่เขาต้องมาเล่นกับลูกค้า ..เป็นเพื่อนกับลูกค้าใน Social ...อันนี้เป็นอาชีพใหม่ และ กระแสใหม่ ที่เราจะเห็นมากขึ้นเรื่อยๆ ครับ ...ยุคต่อไป ความต้องการของลูกค้าจะได้รับการตอบสนองรวดเร็ว และนี่คือ New Business Frontier

4. “ของเสียจะน้อยลง” ...ทุกวันนี้โลกอุตสาหกรรมเน้นผลิตสินค้าห่วยๆ จำนวนมากๆ แล้วสุดท้ายของ 80% เหล่านี้ เสียง่าย เป็นสินค้าห่วย เป็นขยะ ซึ่งมันเป็นมลพิษทั้งโลก ...จุดนี้เริ่มตั้งแต่ยุค Made in China ที่แต่ก่อน เน้น Mass ...แต่วันนี้คุณดูดีๆ จีนเอง เริ่มเปลี่ยน เขาเปลี่ยนข้ามเอเชียทั้งหมด จาก Junk Producer กลายเป็น Global Brand ไปแล้ว ...หลักคิดของการผลิตให้ของเสียน้อย มันเกิดจากโลกพัฒนาแล้ว เช่น ฝรั่งเศส ที่คิดว่า จะเปลี่ยนสินค้าที่ตัวเองปลูกแล้วเน่าเสียอย่างองุ่นให้เป็นสินค้าที่ยิ่งเก็บยิ่งแพง กลายเป็น Asset ที่ขายได้แพง มีจำนวนจำกัด มนุษย์ต้องการ เก็บแล้วไม่เน่น แต่โคตรแพงเมื่อเวลาผ่านไป ...ถูกต้อง !! เขาเปลี่ยนสินค้าการเกษตรอย่างองุ่น ที่เดิมทีเก็บไม่นานก็เน่า ต้องขายตามฤดูกาล และ ขายราคาถูก เพราะ สินค้าเกษตรกำหนดราคาตาม Demand & Supply ทำให้ผลผลิตออกพร้อมกันราคาก็ห่วย … ใช่ !! เหมือนสินค้าเกษตรบ้านเรานั่นเอง -- ฝรั่งเศสแก้โดยคิด New Product ซึ่งก็คือ เปลี่ยน องุ่นเป็นไวน์ ทำให้สินค้าเกษตรที่เก็บแล้วเน่า เปลี่ยนเป็น ยิ่งเก็บยิ่งแพง ...สร้าง ความแตกต่างของสินค้าเกษตรที่ปลูกที่ไหนก็ได้ กลายเป็น Winery ที่ต้องเป็น องุ่นที่นี่เท่านั้น ปีนี้เท่านั้น ที่จะรสชาติเยี่ยม ขวดละแสน ..ที่เหล่ามาคือ วิธีคิดที่เปลี่ยน สินค้าทั่วๆไป “Commodity” ให้กลายเป็น Asset ที่มีค่า มีราคา ....สิ่งที่ผมพูดนี้ กำลังจะกลายเป็น Trend สำคัญของโลก ...คนที่สร้างสินค้าเปล่านี้จะกลายเป็นคนรวย -- เรียกว่า รวยด้วยสมอง เพราะ วิธีคิดนี้มันคือ Just an Idea จริงๆ

5. “โลกของการบริโภคจะหมุนช้าลง” ..วันนี้การบริโภคเน้นปริมาณสูง แต่คุณภาพต่ำ ...จนประเทศยุโรปและอเมริกา มีร่างกายและสุขภาพที่ย่ำแย่ ..เพราะ เดิมโลกอุตสาหกรรมผลิตทั้งสินค้าที่ห่วย รวมถึงผลิตอาหารที่ห่วย นั่นคือ วัฒนธรรม Fast Food ที่ถือกำเนิดในอเมริกา ..ผลลัพธ์คือ ความแย่ของสุขภาพของคนที่บริโภคของเหล่านี้ และ Overweight คือ “อ้วน”  ...จากนี้โลกจะหมุนเข้าหาสินค้าไม่เน้นปริมาณ แต่เน้นคุณภาพสูง ..เราจะเริ่มเห็นคนพูดเรื่อง Slow Life ก็เพราะ คนจำนวนมาก โหยหา คุณภาพของชีวิตนั่นเอง ...ธุรกิจวิ่งช้าลง แต่ได้เงินมากขึ้น น่าสนใจไหมล่ะ ?

6. “คนจะโหยหา ความแท้” Original ...วันนี้เราเจอแต่ของก๊อบ ของ ปลอม ทุกคนหลอกซึ่งกันและกัน ที่หนักสุดคือ หลอกตัวเอง ..อุตสาหกรรมของเลียนแบบจึงถือกำเนิดขึ้น แต่มันไม่ได้สนองความสุขของเราเลย เพราะ แท้จริงแล้ว เราอาจหลอกคนอื่นได้ ว่าเราใช้ของ Brand Name แต่เราหลอกตัวเองไม่ได้ ...จนมีคนแซว ว่า เราดูได้เลยว่าผู้หญิงคนไหนใช้กระเป๋าของแท้ เวลาฝนตก ..ถ้าแท้จะเอาตัวบังกระเป๋า แต่ถ้าปลอมจะเอากระเป๋าบังฝน ...ฮ่า ฮ่า ตลกดี -- แต่ลึกๆ มันแสดงถึงตัวตนบางอย่างของมนุษย์ ...ทุกวันนี้เงินสำคัญขึ้นเรื่อยๆ ทำให้ตัวตนของคนเล็กลงเรื่อยๆ ...วันนี้เราขายตัวเพื่อแลกเงินมากขึ้น ก็คือ เอาเวลาที่มีค่าในชีวิตขายให้กับธุรกิจ องค์กร เพื่อแลกกับเงินที่น้อยและมีคุณค่าน้อยลงเรื่อยๆ ..เกิดเป็นโลกที่เหนื่อย ไม่มีเวลา และ ทำสิ่งที่ไร้ค่า ..ถึงแม้ได้เงิน ตัวเองก็เล็กและไม่มีค่า ทำให้คนเหล่านี้ โหยหา Brand Name ที่ดูมีค่าบ้าง เอามาแปะตามตัว เพื่อฉันจะพอมีค่าบ้าง (แม้เงินไม่มี ก็ต้องหาของปลอม เอามาหลอกตัวเอง) ซึ่งทั้งหมด มันไม่สนองความต้องการที่แท้จริง ...แท้จริงแล้ว เราต้องการคุณค่าในตัวเอง ...และ ผมจะบอกว่า คุณค่าของคนเรา คือ การสร้างประโยชน์ให้คนอื่น และ ทำสิ่งที่เรารัก ในเวลาเดียวกันไง ...ตัวอย่างของ การสร้างคุณค่าชัดๆ เช่น อ.เฉลิมชัย สร้างงานศิลปะที่ตัวเองรัก มีประโยชน์ต่อเศรษฐกิจเชียงราย เพราะ เป็นแหล่งท่องเที่ยว ..แถมได้คุณค่าจากสิ่งที่ทำ สุดท้ายทำให้ภาพเขียนของ อ.เฉลิมชัย วันนี้แต่ละภาพราคาเป็น สิบล้าน ...ก็คือ ตัวอย่างการสร้างคุณค่า สุดท้ายก็รวยและมีความสุขด้วย ...นี่คือ กระแสของความแท้จริง !!

7. “เราจะโหยหาธรรมชาติ” ..ยิ่งเมืองใหญ่เท่าไหร่ คนก็จะแห่เข้ามามีชีวิตในเมือง เพราะ สะดวกสบาย ...แต่สิ่งที่ต้องแลกคือ การหนีห่างสิ่งที่เป็นแม่ของเรา -- มนุษย์ทุกคนล้วนเป็นส่วนนึงของธรรมชาติ ก็เปรียบเสมือนธรรมชาติคือแม่ของสรรพสิ่ง ...การที่เราออกห่างธรรมชาติเท่าไหร่ ลึกๆ เราอยากที่จะได้ธรรมชาติมากขึ้น ...จะเห็นได้ว่า อะไรที่เกี่ยวกับ ธรรมชาติ และ สุขภาพ จะขายดีมากๆ ...Trend การออกแบบ คอนโด ให้เหมือนอยู่ในป่า ..ร้านอาหารกลางเมืองที่เหมือนอยู่ในธรรมชาติ ...ใช่!! เราต้องการ Oasis กลางเมืองที่รีบเร่ง ..และ นั่นคือ การเกิดขึ้นของ Trend สุขภาพ , อาหารปลอดสารพิษ , การยกธรรมชาติเข้ามาในเมือง

8. “คนจะทำงานที่รักมากขึ้น” ..โลกอุตสาหกรรม ทุกคนทำงานเพื่อให้ได้เงิน ..แต่สุดท้ายพบว่า ทั้งชีวิตทำงานที่ไม่ชอบเพียงเพื่อได้เงินน้อยนิด และ ไม่สร้างผลงานใดๆ ..สุดท้ายก็ตายอย่างไร้ค่า ไม่มีแม้ลูกหลายเหลียวแล(น่าสงสารมาก) -- จุดนี้ทำให้หลายๆ คนเริ่มฉุกคิดว่า “เงิน” กับ “สิ่งที่รัก” จะเลือกอะไรดี  ...เคล็ดลับของการเลือกสิ่งที่รัก ที่หลายคนไม่รู้คือ คนที่เลือกทำสิ่งที่รักโดยมองข้ามเงินในช่วงแรกของชีวิต กลับสามารถสร้างผลงานจากสิ่งที่รัก จนในที่สุด เงินตามมาเอง -- พูดง่ายๆ ว่า คนที่เลือกเรียนในสิ่งที่ตัวเองชอบ ทำงานที่ตัวเองชอบ โดยไม่เลือกเรียนคณะทำเงินยอดฮิต ..สุดท้ายชีวิตดีกว่า พวกที่เรียนตามกระแส เพราะ คิดว่า เรียนคณะนี้แล้วจะมีเงินเยอะ ...ใช่ !! การได้ทำในสิ่งที่รัก แถมได้เงินด้วย มันตอบโจทย์กว่าคนที่ทั้งชีวิตขายเวลาแลกกับเงินเท่านั้น

9. “สังคมจะเป็นปัจเจกชนมากขึ้น” ..เดิมทีโลกอุตสาหกรรม สร้างเราให้เป็นหุ่นยนต์ ทำงานที่เราไม่ชอบ เพื่อรอรับเงินเดือน ก็เกิดเป็นสังคมของความเครียด ที่เราอยู่ท่ามกลางคนที่ไม่มี Passion ในงานที่ทำ ...มันคือ สังคม Drama เพราะ เราเกลียดสิ่งที่เราทำ เราจึงอยากเห็นความฉิบหายของคนอื่น ...เป็นสังคมที่คอยเหยียบคนล้ม ใครล้มทุกคนจะเหยียบซ้ำ เพราะ ตัวเองมีปมด้อย ..สังเกตให้ดี คนไทยมีความอึดอัด น้อยเนื้อต่ำใจกับสถานะของตัวเอง ทำให้ไม่อยากเป็นใครได้ดี ..ทั้งชีวิตฆ่าเวลากับสิ่งคลายเครียด ละครน้ำเน่า เพราะ ตรงกับชีวิตเน่าๆ ของเราดี ..ทั้งหมดนี้เปลี่ยนง่ายนิดเดียว คือ เปลี่ยนโจทย์เริ่มต้นของชีวิต อย่าทำเพื่อเงิน แต่ทำเพื่อสิ่งที่เรารัก “ก็คือ ทำงานเพื่อหัวใจของตัวเอง” ...ถ้าใครสามารถทำในสิ่งที่ตัวเราต้องการ ชีวิตจะมีความสุข ได้ทำงานที่ตัวเองอยากทำ แม้เงินน้อย แต่ก็สร้างผลงาน ดีที่สุดในจุดที่เรายืน ...ผมว่าคนๆนี้จะเครียดน้อยลง ยินดีกับความสำเร็จของคนอื่นน้อยลง ...Drama จะลดลงจากสังคมไทย -- นี่คือ Trend ของปัจเจกชน ที่กำลังเกิดขึ้นในสังคมไทยครับ ...กลุ่มเล็กๆ ของคนที่เริ่มทำในสิ่งที่ตัวเองมี Passion ...เขาค่อยๆ เปลี่ยนตัวเองเป็นปัจเจกชน และ นี่คือ การเปลี่ยนประเทศครั้งใหญ่ที่สุดในประวัติศาสตร์ชาติไทย

10. “สังคมยิ่งให้ ยิ่งได้” ..วันนี้กระแสของ Information Age ที่สำคัญที่สุดคือ “กระแสของเวทีที่ตัวเองสร้างขึ้น” ..วันนี้เราเห็นนักร้อง ดารา นักธุรกิจ นักพัฒนาสังคม ..สามารถมีเวที ดังได้ด้วยตัวเอง ..คนเหล่านี้เกิดขึ้นในทุกสาขาอาชีพ คือ คนที่สร้างเวทีขึ้นมาเป็นผู้นำในสิ่งที่ตัวเองทำ ...คนเหล่านี้อาศัย Social Network และ สื่อกระแสรอง ที่พาตัวเองขึ้นมา ...จะเห็นได้ว่า คนเหล่านี้ เป็นคนที่มีอิทธิพลต่อความคิดในกลุ่มเล็กๆ ของเขา ..เป็นผู้นำทางความคิด ...และ ที่น่าสนใจคือ กลุ่มคนที่ผมพูดถึง เขาเป็น Leader with No Title คือ ผู้นำไร้ตำแหน่ง ..คนมาตาม ไม่ใช่เพราะเขามีตำแหน่ง แต่คนมาตาม เพราะ ได้ประโยชน์จากสิ่งที่คนเหล่านี้แชร์ ..ยุคยิ่งให้ ยิ่งได้ เกิดง่ายขึ้น เพราะ Social Media ..แม้วันนี้กลุ่มคนบางคนจะอาศัยการสร้าง Drama ในโลก Social แต่ท้ายสุด การทำร้ายคนอื่น จะไม่ยั่งยืนเท่ากับการทำดี สร้างประโยชน์ให้คนอื่น ...ดังนั้น Trend ในยุคต่อไป ผู้นำไร้ตำแหน่งจะเกิดขึ้น ในทุกสาขาอาชีพ และ จะเกิดจากคนในอาชีพนั้นๆ ลุกขึ้นมาแชร์ความรู้ แชร์ความคิด แชร์โอกาสในสิ่งที่ตัวเองทำ ให้กับ Tribes ของตัวเอง

นี่คือ 10 Trend ที่ผมบอกเลยว่า มาจริง ...และ ธุรกิจที่ไม่ปรับตัวเข้ากับ Trend เหล่านี้ จะค่อยๆ ตกกระแส ...ยุคนี้การเปลี่ยนแปลงจากโลกอุตสาหกรรม สู่โลกแห่งข้อมูลข่าวสาร มันคือ ของจริง -- คนรวยในยุคต่อไป หรือ New Rich คือ ปัจเจกชน ที่วางความคิดอยู่บนหลัก “ยิ่งให้ ยิ่งได้” ...ธุรกิจคือ การแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่นมากที่สุด โดยใช้แรงงานของเราให้น้อย และใช้ Technology ให้มากขึ้น
ลองไปคิดปรับใช้กับ ตัวคุณและธุรกิจ ผมว่า มัน Work จริงๆ ครับ
จัดไป
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ