แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

การทำเงินในตลาดหุ้นต้องรู้จัก “ตั้งข้อสงสัย”


อาทิตย์ที่ผ่านมามีข่าวของ ปัญหาการควบรวม ในกลุ่ม PTT ระหว่าง PTTAR กับ IRPC …ถ้าใครดูข่าวอาทิตย์ที่แล้ว จะเห็นได้ว่า “ภาพการควบรวมเป็นลบ” --ประแรกคุณต้องคิดก่อน ว่าข่าวที่คุณอ่าน “เชื่อได้หรือไม่ !!” …ต่อมาคุณ ถึงตัดสินใจ ทำตามความเชื่อของคุณ …แต่อย่างที่ผมบอกว่า “ตลาดเต็มไปด้วยแมลงเม่า ก็เพราะ “เขาตื่นตูม!!” ตัดสินใจก่อนคิด และนี่แหละคือ คำตอบว่า “ทำไมคนเล่นหุ้นส่วนใหญ่ขาดทุน ทั้งที่เขาเหล่านั้นฉลาดและมีการศึกษาสูง”

กลับมาที่ประเด็น PTTAR ถ้าใครติดตามตั้งแต่การควบรวมครั้งก่อน ที่ราคาวิ่งมาที่ประมาณ 40 กว่าบาท --หลังควบรวมราคายิ่งวิ่ง แถมปันผลสูง ….(พอเจอ Sub-prime) ราคาตกลงไปต่ำกว่า 10 บาท …จากนั้นก็วิ่งมาถึง 30 บาท ช่วงก่อนหน้าที่มีข่าวควบรวม ..จนมาที่ประมาณ 25 บาท ในปัจจุบัน ---คุณ สังเกตุไหมครับว่า …ราคาหุ้นวิ่งตามข่าว ไม่ได้วิ่งบนพื้นฐานที่แท้จริง ดังนั้น “ที่สำคัญที่สุด คุณต้องเลือกข่าวที่คุณจะเชื่อ เพราะถ้าคุณไปเชื่อข่าวลวง ย่อมทำให้ขาดทุนเป็นแน่นอน”

…ข่าวที่ผมเลือกเชื่อ คือ ข่าวจากวงในที่บอกว่า ผู้บริหารใหญ่ๆของ PTTAR ขาดทุนตอนเก็งราคาครั้งก่อน และนี่เป็นข่าวที่ผมลงทุนใน PTTAR เพราะแน่นอน ถ้าผู้บริหารยังเชื่อมั่นในกิจการและลงทุนในราคาที่ 40 บาท แสดงว่าตอนนี้ราคายังไม่แพง ดังนั้น ข่าวที่ออกมา ไม่ว่าจะเป็นการ “ควบ หรือ ไม่ควบ” มันไม่ใช่ ประเด็นเลย!!.. เพราะท้ายสุด ราคาหุ้นจะสะท้อน พื้นฐานของกิจการ เมื่อวิกฤตผ่านไป

ดังนั้น คนที่รู้ดีที่สุดเกี่ยวกับกิจการของตัวเอง ก็คือ ผู้บริหาร ….อย่างช่วง CPF ก็มีข่าววงใน ที่ผู้บริหาร รายใหญ่ๆ เก็บหุ้นตัวเอง จากนั้นไม่นานหุ้นก็วิ่งจาก 3 บาท เป็น 12 บาท หรืออย่าง พฤกษาที่ราคาขึ้นไม่ยอมตกเหมือน อสังหา ตัวอื่น ก็เพราะ เจ้าของ ไม่ได้ยอมปล่อยขายทำกำไร มีแต่จะเก็บเพิ่ม …อย่างช่วงก่อนที่ธนาคารกรุงเทพ ขาย สินเอเชีย ถ้าใครดูตัวเลขก่อนวันประกาศขาย Volume กระโดด เท่าไหร่ ผู้บริหารรับไปเท่าไหร่ ..คุณรู้ไหม เศรษฐา ทวีสิน บอสใหญ่ของ SIRI โกยหุ้นเข้า Port ที่ราคา 5 บาทแพงกว่า ราคาตลาดตอนนี้ --หมายความว่า อะไร!!…แต่ก็ไม่ใช่ว่า ทุกข่าววงในเป็นข่าวจริง เพราะข่าวลวงส่วนใหญ่ก็คือข่าววงในทั้งสิ้น (การที่เป็นข่าววงใน ทำให้คุณเช็คข่าวยาก นั่นเองครับ “เขาจึงนิยมปล่อย”….หุ หุ..)
แน่นอนครับ “ข่าววงใน ที่เชื่อถือได้” หายาก เพราะถ้ามันง่าย ทุกคนคงรวยกันหมด จริงมั๊ยครับ(ทุกสาขาอาชีพ ย่อมต้องอาศัยความพยายาม และ Know Who นี่แหละ “Key Success Factor” ของจริงในการเล่นหุ้น คร้าบบบ……)

เกม “ปาปารัซซี่” ในสภาเริ่มขึ้นแล้ว


วันนี้ดูข่าวว่า ฝ่ายค้านจะเอา “คลิป”มาแฉ ก็รู้สึกดีนิดๆว่า เป็นไปตามที่คาดคือ ช่วงนี้จะเน้น การเดินเกมใน “รัฐสภา” เป็นหลัก(ความรุนแรง เบรกชั่วคราว).. มุ่งหมาย “ไม่ไว้วางใจรัฐบาล โดยเน้นการแฉ ความโหดร้ายในการสลายการชุมชนุม”

-- ก็นี่แหละครับ “แยกกันเดินร่วมกันตี” ตอนนี้เอาพรรคเพื่อไทยเข้าตี ผ่านการอภิปราย “ไม่ไว้วางใจ” อย่างไรก็ตาม ผลลัพธ์คงไม่ถึงขนาดที่ทำให้ “ยุบสภาได้” เพียงแต่มุ่งหลังสร้างความ “ชอบธรรมของรัฐบาลให้ลดลง” และสร้างภาพ “การเป็นรัฐบาลเผด็จการทหารให้มากที่สุด”

ผมมองว่า หลังจากอภิปรายแล้ว “เพื่อไทย”คงเดินเกมกดดันรัฐบาล “ใต้ดิน” ต่อเนื่ิอง ผ่านเครือข่าย สส. พรรคเพื่อไทย ซึ่งคงเน้น “ภาคเหนือ และ ภาคอีสาน” เข้าไปสร้างภาพให้เกิดความ โกรธแค้นรัฐบาล ซึ่งเกมนี้ ถ้าจะถามว่า รุนแรงไหม ก็ขึ้นกับ “เงินที่สนับสนุนเป็นสำคัญ” ---ซึ่งดูยังไง ก็ไม่มีทาง “ควบคุมการ Flow ของเงินได้”

สรุป “ยิ่งรัฐบาลยื้อ ไม่ยอมจัดให้มีการเลือกตั้งยิ่งทำให้ ความขัดแย้งเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ และส่งผลร้ายต่อประเทศมากขึ้นเรื่อย” ผมมองว่า หากรัฐบาลอ่านเกมออก ต้องพยายาม “อัดนโยบายประชานิยมให้เร็วที่สุด (ถ้าให้ดีควรเร็วกว่าที่เคยประกาศไว้ว่าจะเลือกตั้งใหม่ปลายปี) จากนั้นควรปิดเกมให้มีการเลือกตั้งใหม่ ให้เร็วที่สุด “ก่อนปลายปี”

---ทางออกของประเทศไทย ผมมองว่า ต้องมีการเลือกตั้งใหม่ให้เร็วที่สุด เพราะการยื้อเวลา มีแต่จะสร้างความขัดแย้ง (เหตุที่การเลือกตั้งเป็นสิ่งจำเป็น เพราะการเลือกตั้งคราวนี้ ไม่ว่าฝ่ายไหนก็ย่อมต้องทุ่มเงินหมดหน้าตัก ดังนั้น ถ้าต้องเอาเงินมาทุ่มเลือกตั้ง ก็จะไม่มีเงินไปสนับสนุนการก่อการร้าย ซึ่งมองยังไง เอาเงินจ่ายประชาชน ก็ยังดีกว่า จ่ายผู้ร้ายมา ก่อกวนบ้านเมือง จริงไหมครับ)

…ส่วนผลการเลือกตั้งต้องขึ้นกับความเร็วของรัฐบาลในการแจกเงิน (เงินเท่านั้นคือตัวตัดสิน) “ตอนนี้ผมมองว่า อืดอาดมาก ถ้าขืนยังช้าอย่างนี้ ประชาธิปัตย์แพ้แน่นอน” …ส่วนในอีกเดือนน่าจะมีการ ตัดสิน “ยุบพรรคประชาธิปัตย์” --เป็นอะไรที่ บีบสุดๆสำหรับ นายก อภิสิทธิ์ เพราะ ถ้าประชาธิปัตย์ โดนยุบจริง ผมว่า รัฐบาล จะตกในที่นั่งลำบาก เพราะ “ขาดหัว” --จุดเด่นหรือเรียกได้ว่า จุดขาย(จุดเดียว)ของรัฐบาลชุดนี้ ใครๆก็รู้ว่าคือ “คุณอภิสิทธิ์” --ดังนั้น ผมขอมอง การเลือกตั้ง สข. อาทิตยหน้า----ถ้า ประชาธิปัตย์ นอนมา ผมจะสามารถฝันธงได้ว่า อะไรจะเกิดขึ้นในเกมการเมืองต่อไป ---ระหว่างนี้ ก็ค่อยๆดู รอผลเลือกตั้ง แล้วผมจะกลับมา “ฟันธง” มหากาพย์การเมืองสุดรุนแรงให้ดูกันครับ…(ระหว่างนี้ช่วยกันลุ้นช่วยกันคิดครับ!!)

Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 3)



หากในอนาคต ประสิทธิภาพในการผลิตต่อคนสูงขึ้น (นั่นย่อมหมายถึง Baby Boomer อาจประกอบรถได้ 1 คันต่อวัน ในขณะที่ Gen Y อาจประกอบรถได้ ถึง 4 คันต่อวัน ) และเนื่องจากผลิตได้มาก ทำให้รายได้ของ Gen Y ก็จะมากตาม ส่งผลให้เกิด Demand ของสินค้าที่มากตาม (จะเห็นได้ว่า กลุ่มนี้แม้ยังไม่ได้ทำงาน แต่ก็ผลาญเงิน”พ่อแม่”ได้สุดยอดเลยจริงๆ เช่น ซื้อ Iphone , BlackBurry และ กระเป๋า(กับสิ่งไร้สาระ) ต่างๆ --เห็นได้ชัดว่า โลกเรากำลังจะเผชิญกับกลุ่มที่ “บริโภคแบบสุดๆโต่ง” ในไม่ช้า

ดังนั้น หากเราต้องการเก็งกำไร เราต้องเก็งในส่วนที่ Supply มีจำกัด เช่น ที่ดิน , ทอง , หุ้น(ในกิจการที่ดี) , และก็ทรัพยากร Commodity ต่างๆที่ใช้แล้วหมดไป --ผมหมายถึงสิ่งที่ “ยั่งยืน” อย่างเช่น บ้านหากคุณลงทุนในตัวตึก อาจไม่ได้รับผลตอบแทนดี เท่ากับที่ดิน เพราะตึกเสื่อมสภาพตามการเวลา ไม่เหมือนที่ดินที่ “มีค่า”เพิ่มขึ้นตามเวลา (แต่เรื่องของทำเลก็สำคัญ ไม่น้อยเช่นกัน)

----เนื่องด้วย ทรัพยากรต่างๆ มีจำกัด ทำให้อนาคต “พลังงาน”ที่เราใช้ จะเป็น Renewable มากขึ้นเรื่อยๆ ..แต่ถ้าคิดให้ดี แล้วการสร้าง “Source ของ Renewable Energy” ย่อมต้องใช้ ทรัพยากรที่จำกัด เป็นพื้นฐาน เช่น การสร้างกังหันลม ย่อมต้องใช้ เหล็กมหาศาล , การสร้าง Solar Cells ย่อมต้องใช้ ทรัพยากรที่จำกัดมหาศาลเช่นกัน จุดนี้เองทำให้มองได้ ทรัพยากรที่จำกัดอย่าง Commodity ทั้งหลาย ยังจะอยู่คู่กับ เศรษฐกิจไปอีกนาน

อย่างตัวผม สนใจธุรกิจ น้ำมัน เพราะปัจจุบัน “ได้กำไรอย่างมหาศาล” และในอนาคตก็ยังมีทีท่าว่า น้ำมันก็ยังคงอยู่คู่กับ อุตสาหรรมการขนส่งไปอีกนาน เพราะหากรถใช้น้ำมันน้อยลง แต่คนกลับใช้รถเพิ่มขึ้น หรือ อุตสาหกรรมการบินที่ในอนาคตจะขยายตัวอย่างมหาศาล ควบคู่กับ การเดินทางแบบชีพจรลงเท้าของคนรุ่นใหม่ ย่อมหมายถึงการใช้น้ำมันที่มหาศาล ในขณะที่แหล่ง “น้ำมัน”มีอย่างจำกัด

…หรือในส่วนของ “พลังงานทดแทน” ก็เป็นธุรกิจที่ผมสนใจ เนื่องจาก จะเป็นอะไรที่มา Boom และ เกิด Bubble อย่างแน่นอน ดังนั้น การลงทุนตั้งแต่ยัง “ถูกๆ” ย่อมได้รับผลตอบแทนที่มหาศาลเช่นกัน ….การขนส่งไม่ว่าจะเป็นการบิน การเดินเรือ ย่อมต้องเข้าสู่ยุค Boom อย่างแท้จริง (ซึ่งหากคุณเข้าใจธุรกิจเดินเรือ และการบินคุณจะเห็นว่า ธุรกิจเหล่านี้มี Lead Time การสั่งต่อ เครื่องบินและเรือ ..ถ้าคุณลงทุนในขาลงของ Cycle ย่อมหมายถึง “รวย”เมื่อขาขึ้นมาถึง …..การบริโภคภายในประเทศ ของประเทศต่างๆจะขยายตัวมหาศาล เพราะ Gen Y “เกิดมาเพื่อแดก…หุ หุ” ดังนั้น ทำอะไรเกี่ยวกับการบริโภค รุ่งแน่นอน ….ในด้านการติดต่อ สื่อสาร กลุ่มนี้มองเป็นสิ่งสำคัญเท่าอากาศหายใจ จะเห็นได้ จากปัจจุบัน “ขาดมือถือไม่ได้” ตามมาด้วย “ขาด BB ไม่ได้” ต่อไปจะอะไรอีกมากมาย ดังนั้น คนที่ทำธุรกิจในด้านการสื่อสารย่อมหมายถึง “รวย”

ทั้งนี้ทั้งนั้น ไม่ได้หมายความว่า ทุกกิจการจะ “รวย”ทั้งหมด ..มันต้องมีบททดสอบ (ซึ่งก็คือ Business Downturn ในปัจจบัน) ดังนั้น ธุรกิจใดก็ตามที่สามารถ “รอดตาย” จาก “ขาลง”ครั้งนี้ ย่อมกลายเป็น “กิจการขนาดใหญ่กำไรสุดๆในอนาคตนั่นเอง” …ถ้่าคุณอยากที่จะ “รวย” คุณต้องมองให้ออกว่าในแต่ละ อุตสาหกรรมหลักๆที่ผมกล่าวมา ใครจะ “รอด !!!” และนั่นก็คือ “ขุมทองของคุณ” (จริงมั๊ย !! ล่ะ)

วันอาทิตย์ที่ 30 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 2)



--- Generation Y (เกิดช่วง 1980 -2000) ปัจจุบันมีอายุน้อยกว่า 30 ปี (คือ วัยที่กำลังเริ่มต้นทำงาน ในระดับ”เริ่มต้น” จึงยังไม่ได้รับผลจากเศรษฐกิจมากเท่า Gen X (ที่อยู่ในตำแหน่งผู้บริหารที่ต้องตัดสินใจ)

…กลุ่ม Gen Y จะเติบโตขึ้นมาพร้อม Computer และ Internet ทำให้คนกลุ่มนี้ สามารถเข้าถึงข้อมูลมหาศาล ทำให้คนกลุ่มนี้ เป็นกลุ่มแรงงานที่มี Productivity สูงที่สุดเท่าที่โลกนี้เคยมีมา (นักวิชาการให้ชื่อคนกลุ่มนี้ว่า “Millenium”) …ในด้านประชากรกลุ่มนี้ส่วนใหญ่เป็นลูกของ Baby Boomer ทำให้คนกลุ่มนี้มีความสัมพันธ์อย่างดีต่อ Baby Boomer(ไม่ใช่ในเชิงความเข้าใจ แต่ในเชิงความสัมพันธ์ แบบ “พ่อกับลูก อะไรประมาณนั้น” … (หลายคนมองว่า Gen X ถูกวางตัวให้เป็นพี่เลี้ยงของ Gen Y ซึ่งเป็นผู้สืบทอดกิจการตัวจริงของ Baby Boomer)

…ในด้านการตลาด เนื่องจากยุคการผลิตอย่างเข้มข้น จาก Baby Boomer ถึงปัจจุบัน ส่งผลให้ ตลาดเกิด “Demand มากกว่า Supply อย่างมหาศาลเป็นครั้งแรก” (จุดนี้ทำให้ ราคาใน Asset ลดลงอย่างมาก) ..เนื่องจาก Gen Y ส่วนใหญ่ยังไม่ได้อยู่ใน วัยแรงงาน จึงไม่มีรายได้มาก ส่งผลให้ Demand ตาม Supply ไม่ทัน ก่อให้เกิดการ “ตกต่ำ”ของกิจการต่างๆทั่วโลก

…อย่างไรก็ตาม หากเราเข้าใจประชากรอย่างลึกซึ้ง เราจะมองเห็นว่า Gen Y (แม้จะเป็นกลุ่มที่ไม่ใหญ่ “เพราะ Baby Boomer มีลูกน้อยลง” แต่ด้วยการที่ Gen Y เป็นกลุ่มที่มี Productivity สูง(แม้กลุ่มคนจะน้อย แต่ประสิทธิภาพการผลิตน่าจะพอๆกับ Baby Boomer) ..จุดนี้จะส่งผลให้ การ “บริโภคที่จะสูงตามการผลิต” ทำให้ เมื่อ Gen Y เข้าสู่วัยทำงานส่วนใหญ่ จะทำให้ Demand กลับมาเติบโตอีกครั้ง) ….ดังนั้น เป็นไปได้อย่างสูงว่า ในอีก 10 ปีข้างหน้า โลกเรากำลังจะเข้าสู่ “ขาขึ้น” อีกครั้งทั้งเศรษฐกิจ และ การลงทุน

---- หากเราเข้าใจ การ “เปลี่ยนแปลง” ของประชากร เมื่อเอามา Match กับ Asset อย่าง ที่ดิน , หุ้น และ ทรัพยากรธรรมชาติ ทำให้ไม่น่าแปลกใจ ที่เราเริ่มเห็น ปรากฏการณ์ Commodity Boom (ที่เริ่ม “บูม”มาหลายปีแล้ว) …ในด้านลึกของธุรกิจต่างๆในปัจจุบัน เรากำลังเริ่มเห็นการปรับเปลี่ยนในด้านธุรกิจ คือ ธุรกิจจากอิทธิพลของ Computer ทำให้กิจการต่างๆ ปรับเปลี่ยน ลดต้นทุน และมีประสิทธิภาพมากขึ้น (ในอนาคต กิจการต่างๆ ก็จะใช้คนน้อยลง ใช้ทรัพยากรน้อยลง ในขณะที่ผลิตได้เพิ่มขึ้น ..และนั้นย่อมหมายถึง คุณภาพชีวิตของคนในยุคต่อไปจะดีมากขึ้นนั่นเอง)

แต่ระหว่างนี้ “เราจะเห็นถึงความตกต่ำของธุรกิจ ขาดทุน หุ้นตก ราคาบ้านลด คนกลัว” ซึ่งให้เรามองในแง่ดีได้เลยว่า “ในช่วงเปลี่ยนผ่านย่อมต้องมีการปรับฐานปรับตัว” จากนั้นเมื่อทุกอย่างเข้าที่ เราก็จะเห็น กิจการต่างๆเข้าสู่ยุครุ่งโรจน์มากกว่า ยุคของ Baby Boomer เสียอีก

--- จุดนี้เองหากใครมองออกว่า ควรลงทุนใน”กิจการ หรือ สินทรัพย์ ใด “ ย่อมหมายถึง ความมั่งคั่งที่จะเกิดกับคนที่”มองภาพออก” (จริงมั๊ย) จุดนี้ก็ฝากให้ช่วยคิดกัน เพราะใครที่คิดได้คุณก็จะต้อง”รวยสุด” อย่างแน่นอน………. “โชคดี!!” …..อิ อิ อิ…….

Demographic for Business “รู้คน..ชนะเกมธุรกิจ” (ตอนที่ 1)


ปัจจุบันธุรกิจต่างมองข้ามปัจจัยเรื่อง “คน” แต่แท้จริงแล้ว การเข้าใจประชากร จะทำให้ในเข้าทุก Context ของการเปลี่ยนแปลง พฤติกรรมของลูกค้า ที่นับเป็น Competitive Edge ที่สร้างความแตกต่างอย่างมหาศาลสำหรับ”ผู้ที่เข้าใจ”
--การแบ่งกลุ่มประชากรคือ Baby Boomer / Generation X / Generation Y / Generation Z

---Baby Boomer (เกิดในช่วงหลังสงครามถึง 1960) ปัจจุบันจะอยู่ในช่วงอายุ 50 ปีขึ้นไป ..เป็นส่วนที่”ใหญ่ที่สุดของประชากรโลก” เพราะหลังสงคราม ครอบครัวต่างๆมักมีลูกหลายคน ..ปัจจุบันคนกลุ่มนี้เป็นคนที่กุมบังเหียนกิจการส่วนใหญ่ และเป็นกลุ่มที่”รวย”ที่สุด ..คนกลุ่มนี้ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงจังหวะใดของชีวิต ก็ส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อ Trend ต่างๆของธุรกิจ เช่น ช่วงที่กลุ่มนี้เริ่มทำงานก็ ต้องแย่งกันทำงาน งานไม่เพียงพอ

..ทำให้ช่วง Baby Boomer มีการก่อตั้งกิจการอย่างมากมาย และเนื่องจากเป็นช่วงเวลาหลังสงคราม คือ เศรษฐกิจพังเละ!! เรียกได้ว่า “เริ่มต้นจากศูนย์” Demand มากกว่า Supply ทำให้ไม่ว่าจะทำอะไร ก็ “ขายได้” จึงเรียกได้ว่า นี่เป็น “ยุคทองของการผลิต” การเติบโตของกิจการนี่เองทำให้บริษัทต่างๆเติบโตอย่างรวดเร็วและมั่นคง ส่งผลให้ “ค่านิยมของกลุ่มนี้คือ ทำงานในบริษัทเดียวชั่วชีวิต-Life time employment” ..ในแง่ของผลกระทบในตลาดบ้าน เนื่องจาก ภายหลังสงคราม “ใครๆก็อยากมีบ้าน” เกิดเป็น Demand บ้านที่มหาศาล(ราคาบ้านพุ่งสุดๆ ยุคBoomครั้งสำคัญของ Real-estate ) ..ในด้านการลงทุน ได้มีการตั้งกองทุนเกษียณ401K (อย่างในบ้านเราก็คือ RMF/LTF ) ส่งผลให้ Demand ในด้านการลงทุนมหาศาล กลายเป็นยุคทองของตลาดหุ้น ….ปัจจุบันคนกลุ่มนี้กำลังทยอยเข้าสู่วัยเกษียณ ส่งผลให้ Demand ในด้านต่างๆลด ส่งผลให้ราคาบ้านลดลง รวมทั้งหุ้นก็ลดลง เพราะคนกลุ่มเหล่านี้ ขายบ้านและขายหุ้นที่ลงทุนไว้เพื่อเตรียมเกษียณนั่นเอง

--- Generation X (เกิดช่วง 1960 -1980) ปัจจุบันจะมีอายุระหว่าง 30 – 50 ปี (คือ วัย Peak ในตลาดแรงงานปัจจุบัน) …แต่เนื่องจากกลุ่มนี้ไม่ใหญ่เท่า Baby Boomer เพราะก่อนสงคราม ครอบครัวไม่ได้มีลูกมากเหมือนหลังสงครามโลกครั้งที่สอง ..กลุ่มนี้มีค่านิยมที่ต่างจากคนรุ่น Baby Boomer เนื่องจาก ช่วงที่เริ่มเข้าสู่วันทำงาน เป็นช่วงที่เศรษฐกิจ”ตกต่ำ” เป็นสภาวะทางการงานที่ Uncertainty มากๆ ตั้งแต่ วิกฤตน้ำมัน ปี 1980 ตามด้วย Y2K , Dotcom Bust , 9-11 และตามด้วย Sub-Prime (เรียกได้ว่ากลุ่ม Gen X เป็นวัยที่มี “ภูมิต้านทานสูงต่อความไม่แน่นอน”) แต่ในด้านค่านิยมของการทำงาน “กลุ่มนี้มี Loyalty ต่ำ” เพราะไม่คิดว่า “กิจการสามารถดูแลเราได้ ดังนั้น เราต้องดูแลตัวเองเป็นสำคัญ”

…ในด้านการดำเนินชีวิต เป็นวัยที่อยู่ในช่วงการเกิดของ ยุค Computer (อย่าง Bill Gates , Steve Jobs ผู้เปลี่ยนโลก จะเป็นวัย”เปลี่ยนผ่าน”ที่อยู่ ระหว่าง Baby Boomer กับ ช่วงต้นของ Gen X) … “ข้อสังเกตุ ที่จุดเด่นของคนที่อยู่ในวัยเปลี่ยนผ่าน คือ จะได้ประโยชน์จากการเห็นความเปลี่ยนแปลง จึงมักเป็นกลุ่ม Innovator ที่เป็น เจ้าของกิจการที่ยิ่งใหญ่”(ทั้งในด้านของ “Technology” และ “ตลาดเงินทุน” รวมทั้งตลาดหุ้นอย่าง Nasdaq ที่ทุกอย่างมาบรรจบกันก่อให้เกิด Microsoft , Apple , Dell , Cisco-system , Yahoo , Google นั่นเอง)

อย่างไรก็ตามในแต่ละประเทศ “ความสำคัญ”ของแต่ละ Generation อาจไม่เหมือนกันทั้งหมด เช่น ในอเมริกา ผู้ยิ่งใหญ่ใน”ธุรกิจ” อาจเป็น Gen เปลี่ยนผ่าน ระหว่าง “Baby Boomer กับ Gen X” แต่ถ้ามองในบ้านเรา เนื่องจากทั้ง ตลาดเงินทุน อย่างเช่น Angel Investor , Venture Capital, ตลาด MAI (ที่กระจอกห่างไกล Nasdaq มากนัก)--- ยังไม่แพร่หลาย ก็ทำให้ “ (Gen เปลี่ยนผ่าน)ในบ้านเราไม่ได้มีอิทธิพลต่อธุรกิจเหมือนในอเมริกา” กลับเป็น Baby Boomer มากกว่า ที่มีอิทธิพลแทน เราจะเห็น “เจ้าสัว” ในบ้านเรา ส่วนใหญ่ก็ยังไม่ยอมปล่อยการควบคุม …..(ผมจะพูดถึง Gen Y ซึ่งเป็น”ทายาทตัวจริง”ของ “Baby Boomer” ต่อไป)

วันอังคารที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

“Tata ถึง Bill Gates”-- Social Enterprise ตัวพ่อ (คำตอบที่ว่าคุณเกิดมาเพื่ออะไร)


ปัจจุบัน “กระแสของกิจการเพื่อสังคม “กำลังแรง อย่าง “ธนาคารคนจน”ของ Yanus ที่สร้างปรากฏการณ์จนกลายเป็น Case Study ของ Social Enterprise อย่าง Bill Gates ก็ถือเป็น Social Entrepreneur ตัวเป้ง !! ที่หันมาทำ มูลนิธิช่วยเหลือเพื่อนร่วมโลกเป็นเวลานับ “สิบปีแล้ว”

--หลายคนนึกว่า อะไรที่มัน Social มันจะห่วย!!..แต่(ผิดถนัด!!) มันกำไร!!..แถมช่วยสังคม ซึ่งนับเป็นอะไรที่มันสุดยอดกว่าองค์กรที่ “กอบโกยแต่กำไร” มันย้อนมาที่คำถามที่ว่า “คุณเกิดมาทำไม” --บางคนบอก “ผมเกิดมาเพื่อกอบโกยทุกอย่างเข้าตัวเอง และบริโภคแบบไร้ขีดจำกัด”(สิ่งนั้น อาจเป็นความสุขของบางคน แต่ไม่ใช่ทุกคน…ถึงผมรวยมากก็คงไม่บริโภคจนเป็น “หมู”แน่นอน เพราะมันดู”น่าสมเพศ”มากกว่า”เท่ห์” คุณว่าจริงป่ะ!!)

..ถ้าผมรวยจริง การที่ผมได้เปิด โรงพยาบาลเพื่อช่วยคนจน หรือ การให้การศึกษาแก่ผู้ด้อยโอกาส อาจเป็น “ความสุข” มากกว่าเอาเงินนั้นมาซื้อ Jet ส่วนตัวราคา 100 ล้าน (แล้วบินไปตกตาย …หุ หุ) หรือ ซื้อบ้าน 100 ล้านให้ “คนรับใช้” อยู่

ในอินเดียมี บริษัท Tata ที่ทำธุรกิจ และช่วยสังคมไปพร้อมๆกัน …บริษัท Tata ก่อตั้งมา 142 ปีแล้ว โดยที่ทำธุรกิจและก็แบ่งเงินจำนวนมหาศาลคืนให้ สังคมเช่น สวัสดิการพนักงานที่ดี การสร้างโรงเรียน ให้ทุนการศึกษา การสร้างโรงพยาบาล (ซึ่งตัวเลขยอดขายของ Tata นั้นใหญ่ถึงขนาด 2% ของ GDP ของประเทศอินเดีย รวมทั้งมีการจ้างพนักงาน 350,000 คนทั่วโลก …รายได้ประมาณ 4% ของกิจการจะถูก “ใช้เพื่อคืนให้สังคม” ธุรกิจของ Tata ครอบคลุม ตั้งแต่ ใบชา เหล็ก รถยนต์ โรงแรม สายการบิน ยัน เครื่องใช้ประจำวัน ซึ่งทุกสิ่งต้องไม่เป็นอบายมุข!!)

สิ่งที่น่าทึ่งของ Tata ซึ่งหลายคนอาจจะมองว่า “เชยๆ” ไม่น่าจะมีสินค้าที่โดดเด่น --(แต่ไม่เลย.. ผิดถนัด!!) เพราะบริษัทแห่งนี้เพิ่งจะเปิดตัว “Nano” รถยนต์ที่ “ถูกที่สุดในโลก”ในปี 2009 ราคาแค่ หลักหมื่น (ลองนึกดูว่า หากคุณคิดจะสร้างรถ จากวิธีดั้งเดิม “เงินหมื่น” ผมว่า ยังไม่พ้น “ตัวถัง”ด้วยซ้ำ )….ดังนั้น การที่ Tata สร้างรถได้ราคาต่ำมากขนาดนี้ ต้องคิดเริ่มจากศูนย์เท่านั้น!! --และนี่แหละคือ “Product Innovation” อย่างแท้จริง ..จะเห็นได้ว่าขนาด Apple ยังไม่สามารถกินขาด ได้เลย….

ในส่วนของ Bill Gates หลังจากที่เขาคิดจะ บริจาคเงิน แทนที่จะเอาให้ Unicef เขากับคิดตรงกันข้ามกัน ..เพราะเขามองว่า ถ้าเอาเงินให้องค์กรเหล่านี้ ….“เงิน”เขา คงนำไปใช้ไม่เกิดประโยชน์มากเท่ากับที่เขาทำเอง (เนื่องจากองค์กรอย่าง Unicef นี่ “อุ้ยอ่าย” แถมจ่ายเงินผู้บริหารแบบแพงสุดๆ…ไม่ใช่ผมบอกว่า “Unicef” ไม่ดี (ไม่ใช่!!)..มันดี!! แต่ถ้าคนเก่งจัดการเอง มันจะ “ดียิ่งกว่า”ผ่านองค์กรต่างๆเหล่านี้ ---แต่อย่างน้อยถ้าหากคุณไม่มีเวลา การบริจาคเงินให้องค์กรเหล่านี้ก็ยังดีกว่าที่คุณ“ ไม่ทำอะไรเลย”) และนั่นก็คือที่มาของ “มูลนิธิ Bill & Melinda Gates Foundation”

..ซึ่ง “มันก็เป็นไปตามที่ Bill Gates คิดจริงๆ” การที่ Bill ลงมาใช้ความรู้ความสามารถของตัวเองใช้เพื่อ สังคม ทำให้มูลนิธิแห่งนี้ สามารถผลิตยารักษาโรค ช่วยคน ให้ทุนการศึกษา สร้างอาชีพ อย่างมากมายในประเทศด้อยพัฒนา (จนในที่สุด Warren Buffet ก็บริจาคเงิน ส่วนใหญ่ของเขาให้ “มูลนิธิแห่งนี้” เพราะเขาเชื่อว่า คนที่เก่งที่สุดในโลกอย่าง Bill Gates ย่อมสามารถ ทำให้เงินบริจาคของเขาเกิดประโยชน์ต่อมวลมนุษย์สูงสุด อย่างแน่นอน) --เห็นไหมล่ะครับว่า “คนรวย หรือ บริษัทใหญ่ๆ ไม่ได้เลวเสมอไป” หากแต่มุมมองของ(เจ้าของ)ต่างหากที่ จะส่งผลอย่างใหญ่หลวงต่อ “มวลมนุษย์”

…. วันนี้คนรวยและองค์กรในประเทศไทย ยังห่างไกล “Tata และ Bill Gates มาก” และนั้นเป็น “ความท้าทาย”ที่สุดที่เคยมีมา ต่อคุณค่าความเป็นมนุษย์ของคุณ เพื่อที่จะตอบได้ว่า “คุณเกิดมาเพื่ออะไร!!!”…

จุดจบ “การตลาด” กับการแจ้งเกิดของ “Product is Everything”


จริงหรือ? -- นี่คือข้อสังเกตุ…แต่ใน “ความเป็นจริง” การเปลี่ยนแปลงของ “ตลาด” ได้เริ่มขึ้นแล้ว -- “แฟนพันธ์แท้ IT ต่างฟันธงเป็นเสียงเดียวกันว่า “รูปแบบของตลาด และการค้าขายในแบบเดิมได้ กำลังตายลงเรื่อยๆ (จริงหรือ??) --ตั้งแต่สมัยที่ Computer แพร่หลาย …นักวิเคราะห์ต่างพูดกันว่า “ต่อไปนี้ ..กระดาษจะสูญพันธ์” แต่พอเอาเข้าจริง “โลกเรากลับใช้กระดาษเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ.. “มาก”อย่างไม่เคยมีมาก่อน” ….การเกิดขึ้นของ Internet ทำให้หลายๆคนคาดการณ์ว่า “หนังสือพิมพ์ และ สิ่งพิมพ์ กำลังจะตาย !!”

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาจะเห็นได้ว่า “มนุษย์” มักมองเหตุการณ์ เหมือน “มองเหรียญด้านเดียว” ซึ่งกว่าจะรู้ว่าเหรียญอีกด้านคืออะไร --“ก็ตก Trend ไปเรียบร้อยแล้ว”…การเกิดขึ้นของ Computer ไม่ได้ทำให้การใช้ “กระดาษน้อยลง…กลับเพิ่มขึ้น” แต่สิ่งที่แตกต่างคือ “รูปแบบการใช้ต่างหาก !!” เพราะก่อนการเกิด Computer รูปแบบการใช้ คือ ผู้ผลิตสื่อหรือผู้ผลิตเนื้อหา เช่น คนทำหนังสือ เป็นผู้ใช้ “กระดาษ”เป็นหลัก ….แต่หลังจากที่ Computer แพร่หลาย กลับกลายเป็น “ผู้ใช้รายบุคคล” ที่ใช้กระดาษ (จะเห็นได้ว่า “กระดาษ” …ตลาดเปลี่ยนจาก “คนใช้กลุ่มเล็กๆ” มาเป็น “คนใช้กลุ่มใหญ่..ซึ่งก็คือ “คนทุกคน” โดยผ่าน Printer หรือ เครื่อง Xerox --ซึ่งล้วนเป็นสิ่งประดิษฐ์ที่ได้ประโยชน์จากการเปลี่ยนแปลงของตลาด “ที่คนส่วนใหญ่มองไม่เห็น”

การเกิดของ Internet ก็เช่นเดียวกัน …ผมกลับมองว่า มันจะยิ่งทำให้ หนังสือพิมพ์ , สิ่งพิมพ์ และ “สื่อ”ต่างๆ แข็งแกร่งขึ้น …แต่แน่นอน รูปแบบของ “สื่อ”เหล่านี้จะต้องเปลี่ยนแปลงอย่างมหาศาล --“ผู้ชนะ” ก็คือ คนที่สามารถเข้าใจและปรับตัวได้ดีนั่นเอง …..เจ้าพ่อสื่อที่ยิ่งใหญ่ ชื่อ Murdoch (เจ้าของ News Crop) เป็นหนึ่งใน Mogul ที่ผูกขาดสื่อหลักของโลกเลยก็ว่าได้ เริ่มจาก หนังสือพิมพ์ ท้องถิ่นเล็กๆ จนกลายเป็นผู้ผูกขาดหนังสือพิมพ์ของโลก ,เคเบิลทีวี Fox Channel ,นิตยสารที่มีอิทธิพล ,และล่าสุด Take Over “Wall Street Journal” และ Myspace.com ( Social Network ที่แรงมาก่อน Facebook ) ---คู่แข่งในวันนี้ของ Murdoch กลับไม่ใช่ Mogul กระเป๋าหนักเหมือนในอดีตอีกต่อไป เพราะอย่าง Google หรือ Facebook ที่เข้ามา Challenge อาณาจักรของวงการ “โฆษณา” ได้กระทบ รายได้ของ News Crop อย่างหนักเช่นกัน

จะเห็นได้ว่า News Crop ใช้เวลาสร้าง “เกือบหนึ่งชั่วชีวิตคน” ในขณะที่ Google และ Facebook ใช้เวลาสร้างเพียง “ไม่กี่ปี” กลายเป็น Case Study ที่น่า ศึกษายิ่งนัก…. ประเด็นมันอยู่ที่ว่า บริษัทเหล่านี้จะสามารถอยู่ได้อย่างยั่งยืนหรือไม่ มันขึ้นกับ “คุณภาพของเนื้อหาต่างหาก” --ในสมัยก่อน เรามักถูก “สื่อ” บิดเบือน “ความจริง” นั่นหมายความว่า คุณภาพของเนื้อหาในสื่อสมัยก่อนเป็นอะไรที่ “คุณภาพต่ำ” …จึงทำให้คนมากมาย หันเข้าหาสื่อใหม่ ที่ “เปิดเผยความจริงมากขึ้น” อย่าง Youtube, Facebook , Twitter …. ในส่วนของ Search อย่าง Google ใช้วิธีการ Rank จาก “ความนิยม” นั่นหมายความว่า คุณภาพของ Web ที่อยู่ “ต้นๆ” ของการ “ค้นหา” ได้ถูก คนส่วนใหญ่ รับรองแล้วว่ามี “คุณภาพ”….สิ่งเหล่านี้เป็นการ “คืนอำนาจให้กับผู้บริโภคนั่นเอง”

ประเด็นที่น่าสนใจในวันนี้ คือ “คุณภาพของสินค้า และเนื้อหา นั่นแหละ ที่สำคัญที่สุด” ส่วน”สื่อ”ต่างๆ ไม่ว่าจะเป็นช่องทางไหน (ตั้งแต่ หนังสือพิมพ์, ทีวี, เคเบิล, ดาวเทียม , Youtube , Facebook , Twitter ) ล้วนแล้วแต่เป็นส่วนเสริมในการ เผยแพร่เนื้อหา …ดังนั้น อนาคตของโลก จึงอยู่ที่ “Product” และเราสามารถพูดได้อย่างเต็มปากว่า…เรากำลังเข้าสู่ยุค “Product is Everything นั่นเอง”

((“สื่อ(Media)” มีจุดขายที่ “เนื้อหา(Content)” อยู่ได้ด้วย “โฆษณา”… หาก ทุกคนวิ่งขึ้นมา “ผลิตเนื้อหา” และเผยแพร่ “ในสื่อใหม่(New Media)” อะไรจะเกิดขึ้น ---“และมันได้เกิดขึ้นแล้ว..คุณคิดอย่างไร!!!”…..ผมจึงคิดว่า “เนื้อหา” คือคำตอบ ส่วน”สื่อ” เป็นของที่มี “ราคา”ขึ้นอยู่กับความสามารถในการใช้ นั่นเอง))

การลงทุนก้าวต่อไป เป็นทางเดิน “บนธารน้ำแข็ง”(จริงหรือ?? )


วันนี้การเมืองในผิวเผินอาจดูสงบ แต่ความจริงจะสงบหรือไม่ (มันไม่ได้ขึ้นกับคุณ …จริงมั๊ย!!) การก่อการร้ายต่างๆ ล้วนต้อง “ใช้เงิน”เป็นตัวขับเคลื่อนทั้งสิ้น …ดังนั้น มันอยู่ที่ “เจ้าของเงิน”ที่จะให้เป็นตามที่เขาต้องการ ---โอกาสของ “ความวุ่นวาย”ที่อาจปะทุขึ้นอีกครั้ง เป็นไปได้มากที่ จะใช้ “ภาคอีสาน และ ภาคเหนือ เป็นตัวขับเคลื่อนกลยุทธ์ (ม๊อบล้อมเมือง) ..เหมือน(ป่าล้อมเมืองที่ทำสำเร็จอย่างยิ่งยวด โดย 7-11)

ก่อนหน้าที่ “มีการปะทะที่ ราชประสงค์” ผมมองว่า การบริโภคภายในของไทย กำลังจะเข้าสู่ “ขาขึ้น” อย่างชัดเจน แต่ตอนนี้ “มันได้เปลี่ยนไปแล้ว” …ที่ว่าเปลี่ยน คือ “Trend การบริโภคภายใน ขาขึ้น ยังคงอยู่” --แต่สิ่งที่เปลี่ยนคือ “เวลา”ต่างหาก …..นับจากนี้ เราอาจพบกับ After Shock จาก “ราชประสงค์” ทำให้สร้างความขัดแย้งขึ้นใหม่ ใน “ภาคเหนือ และภาคอีสาน” ซึ่งหากเป็นอย่างนั้นจริง ย่อมหมายถึง “ความวุ่นวาย หรือ การหยุดชะงัก ด้านการลงทุนในพื้นที่ดังกล่าว” ซึ่งก่อนหน้านี้ CPN , BIG C , TESCO, 7-11 และธุรกิจอีกมากมายได้ ไปบุกเบิกตลาดในพื้นที่ดังกล่าวเรียบร้อยแล้ว ดังนั้น “หากเกิดความขัดแย้งรุนแรง” ย่อมจะส่งผลกระทบต่อ ผู้ประกอบการอย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ … (แต่จุดนั้น ผมกลับมองว่าเป็น โอกาส ที่จะลงทุน ในกิจการที่ได้รับผลกระทบ) …ดังนั้น ตราบใดที่ “ธุรกิจ”ในพื้นที่นั้นๆ ยังวุ่นวาย ก็ย่อม ส่งผลกระทบต่อ “ราคาหุ้น” ….เป็นโอกาสให้เราซื้อ กิจการที่ดี ในจังหวะที่ไม่แน่นอนนั่นเอง (เพราะหากมองภาพรวมแล้ว พื้นที่เสี่ยง ถือเป็นสัดส่วนเล็กๆในบริษัทใหญ่ และนั้นคือ จุดที่เราสนใจนั่นเอง)

ส่วนธุรกิจที่จะได้ รับผลดี จากเหตุการณ์ราชประสงค์ ก็คือ “ก่อสร้าง , วัสดุก่อสร้าง , ผู้รับเหมา พูดง่ายๆว่า “ความเสียหายต่างๆ” ย่อมนำมาซึ่ง การ บูรณะ เปลี่ยนของที่เสียหาย ซึ่งทั้งหมด เป็นการกระตุ้นให้เกิด Demand ที่ไม่เคยมี ทำให้ กิจการที่เกี่ยวข้อง ได้เงินมีการหมุนเวียน Stock ส่งผลที่ดีต่อ เศรษฐกิจโดยรวม …เมื่อวันก่อน เห็นข่าว การ “ลดภาษี” ให้บริษัทฝรั่งที่จะมาลงทุนในไทย ซึ่งผมมองว่าเป็นนโยบายที่ดีมาก ที่จะทำให้ “การลงทุนจากต่างชาติ”ฟื้นในเวลาอันรวดเร็ว

ในส่วนของ “การลงทุน” ผมเห็น สัญญาน Over-Sold คือ ขายหุ้นจำนวน มากเกินไป(ในเวลาอันรวดเร็ว) เพราะหากดูตั้งแต่ต้นปี ถึงเวลานี้ เห็นได้ชัดว่า “การลงทุนของปีนี้ของนักลงทุนต่างชาติ ติดลบเกือบ หมื่นล้านแล้ว” แต่ SET ไม่ได้ตก “รุนแรง”อย่างที่หลายคนคาด …นี่เป็นสัญญาณที่ บอกได้ว่า “คนไทยมีความเชื่อมั่นในประเทศ” ดังนั้น ถ้า “นักลงทุนต่างชาติ” หยุด Panic Sell เมื่อไหร่ ตลาดน่าจะวิ่งไปเกินกว่า 900 จุด(อย่างแน่นอนครับ)

ดังนั้น การลงทุนบนธารน้ำแข็ง ต้องอาศัยความเข้าใจ และมอง “ความจริง” ผ่าน “อารมณ์ที่แปรปรวน” จึงจะสามารถ เห็นสิ่งที่ “คนอื่นไม่เห็น” ….. ผมว่าวันนี้ผม “ตาสว่างแล้ว” แล้วคุณล่ะ (สว่างไหม !!)

วันจันทร์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

หลุมพลางของ การลงทุน


เรื่องนี้เป็นเรื่องที่ดูธรรมดา แต่จริงๆ(ไม่)… หลายคนคิดว่า ความร่ำรวยเกิดจากการมุ่งแสวงหาเงิน (ให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้) --ก็อย่างที่ทราบกัน “ระบบทุนนิยม” การให้ได้มาซึ่งเงินต้องอาศัยเงินลงทุนทั้งสิ้น ดังนั้น การมุ่งแสวงเงินอย่างมุ่งมั่น ก็คือ การแสวงหาความเสี่ยงที่มหาศาล (พอๆกัน)

สิ่งที่หลายๆคนมองข้ามคือ นอกจากการหาเงินแล้ว การทำให้เงิน”ที่มีอยู่”สร้างผลตอบแทน กลับสร้างความมั่งคั่งที่”ยิ่งยวด”กว่า ตัวอย่าง ชัดๆก็คือนักลงทุนทั้งหลาย-- Warren Buffet , Carlos Slim , Fund Manager ต่างๆ.. ล้วนมีส่วนที่เหมือนกัน คือ ความสามารถในการลงทุน ที่เหนือกว่าคนทั่วไป --(ถามว่า ไอ้ที่เหนือกว่าคนทั่วไป …มันคือระดับไหน) -- ถ้าดูให้ดี มันก็ไม่เท่าไหร่ (เพราะคนทั่วไปโดยส่วนใหญ่ ไม่มีความรู้ด้านการลงทุนเลย) พวกเขาเหล่านั้น มีความเชื่อ”ผิดๆ” ที่ทำให้ “จนดักดาน” เหมือนกันคือ

- “ต้องการรวยมากๆ ในเวลาอันสั้น” มีอย่างเดียวคือ “ค้ายา” …. ซึ่งจริงๆแล้ว แนวคิดนี้คือ แนวคิดของนักลงทุนเกือบทั้งหมดในตลาด ที่ต้องการ (รวยมากเร็วๆ) ผลลัพธ์ก็คือ ขาดทุน นั่นเอง ..วิธีแก้คือ เปลี่ยนแนวคิด เป็นค่อยๆรวยอย่างช้าๆ --แล้วผลลัพธ์จะตรงข้าม จนน่าทึ่ง…

- “จะรวยมาก ต้องเสี่ยงมาก” ดังนั้น ยิ่งถ้าต้องการรวยที่สุด ต้อง”พนัน” สรุป พัง หมดตัว…..เห็นได้จาก การเป็น Trader รีบซื้อ รีบขาย ไม่ได้ดูอะไร เพราะวิเคราะห์ไม่ทัน แถมพนันหมดหน้าตัก… จริงๆการรวยมันไม่ได้มาจากความเร็ว แต่มันมาจากที่คุณ “อยู่ถูกที่ ถูกเวลา”มากกว่า ดังนั้น การลงทุนต้องวิเคราะห์ให้ดีว่า สิ่งที่เราเข้าไปลงทุน “มันถูกที่ถูกเวลา”หรือเปล่า (ถ้าใช่)..ก็เชื่อมัน และอยู่กับมัน ไม่ใช่ (วันนี้อย่างนึง.. พรุ่งนี้อีกอย่าง) คือ พื้นฐานธุรกิจมันไม่ได้จะเปลี่ยนรายวัน --- “รอให้ผลลัพธ์ออกมาก่อน” ซึ่งอาจเป็นปี ก็ต้องเชื่อมั่น และอีกอย่าง ความเสี่ยงสุดๆ ไม่ได้เป็นเครื่องชี้วัดว่า คุณจะ”ได้มาก” ดังนั้น ไม่ว่าลงทุนอะไรก็ตามต้องวิเคราะห์และดูความเสี่ยงให้ดี

- “คิดบวกมาก …คิดลบมาก(ความเชื่อมั่นที่มากเกินไป)” คือ ความเชื่อมั่นด้านใดมากเกินไป ไม่ใช่เรื่องดี ซึ่งแม้บ่อยครั้งหากคุณคิดต่างจากคนส่วนใหญ่ คุณมักจะได้เงินมหาศาล (แต่บางครั้งคุณอาจเสียมหาศาลคนเดียวก็เป็นได้) ดังนั้น ถ้าคุณมาถึงจุดที่มองได้ว่า “คิดบวกหรือลบ มากเกินไป “ นั้น ต้องดูว่า แล้วที่จริง …มันเป็นอย่างนั้นหรือเปล่า เพราะจริงๆแล้ว การลงทุนเป็นการหวังผลในระยะยาว ดังนั้น การแทงด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป ถือว่าเสี่ยงเกินไป เพราะ ถ้าคุณเสียหมดหน้าตัก เท่ากับว่า คุณไม่สามารถเล่นต่อไปได้ ดังนั้น คุณจะต้องมี Back up Plan เสมอไม่ว่า อยู่ในสถานการณ์ที่คุณจะได้เปรียบก็ตาม

- “การลงทุนต้องได้เสมอ” ซึ่งผิด เพราะไม่ว่าใครก็ตาม ต้องมีทั้งได้และเสีย ซึ่งถ้าคิดว่าต้องได้ตลอด จะทำให้คุณ กลายเป็น “นักลงทุนที่ตื่นตูม” แล้วกลายเป็นแมลงเม่าในที่สุด ดังนั้น การลงทุน ต้องอยู่กับความเสียได้ แต่นั่นต้องเป็นความเสีย ที่มีโอกาสจะแก้ไขได้ หรือ รอให้ผ่านเรื่องร้ายแล้วก็กลับไปดี ข้อนี้เป็นข้อจำกัดที่ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่รวย เพราะไม่กล้าที่จะเสี่ยง ท้ายสุด “ขายหมู” เสมอ คือ ไม่รอให้ราคาขึ้นไปดี เพราะกลัวความเสี่ยง….

javascript:void(0)

“คุณคิดว่าสงคราม(ใช้สื่อ)ระหว่างรัฐบาลกับทักษิณแน่แล้ว”-- ไม่ใช่เลย “OBAMA เก๋ากว่าเยอะ” เขาถึงเป็นเบอร์ของ 1 ของโลกไง



ปัจจุบัน “สื่อ” นับว่าแย่ลงเรื่อยๆ ในการ “บิดเบือน”ข้อเท็จจริง …เห็นใครมาเป็น “รัฐบาล” สื่อก็ ยกย่อง สรรเสริญ (ผมจำได้เลยสมัยคุณ อภิสิทธิ์เป็นฝ่ายค้าน ไม่เห็นจะ”หล่อ”ขนาดนี้เลย แต่พอคุณ อภิสิทธิ์มาเป็น นายก..ปั๊บ “หล่อขั้นเทพ” --รักท่านนายกจังค่ะ “(ผม)ถึงกับ ..งง” ว่า “มนุษย์” เรามัน “ล้างสมองได้ง่ายถึงเพียงนี้เลยหรือ”) ดังนั้น ผมแนะนำเลยว่า ว่าใครก็ตามที่อยากก้าวเข้ามาใน “การเมือง” คุณจะต้อง ผูกขาด “สื่อ”

“การผูกขาดที่ผมพูดถึง ไม่ได้หมายความว่า คุณต้องเป็นเจ้าของ(แต่ถ้าเป็นเจ้าของยิ่งดี)” หากแต่คุณจะต้องสามารถ “ใช้สื่อ”ให้เป็นประโยชน์ต่อตัวคุณเอง --ปัญหาที่เกิดความขัดแย้งในบ้านเรา ถูกกระตุ้นให้ แตกแยกแรงขึ้น แย่ขึ้น เร็วขึ้น ก็ด้วย”สื่อ”นี่แหละ ---คุณจะปั่นหัวใคร ทำให้ใครรัก เชื่อหลง ก็ต้องอาศัย การโน้มน้าวโดยใช้ “สื่อ”ทั้งสิ้น

ประเด็นมันอยู่ที่ว่า คุณจะเลือกใช้สื่อ “แบบเสียเงินมาก แบบตำน้ำพริกละลายแม่น้ำ ก็ไม่ยาก …คุณเดินไปโฆษณาทีวีเลย” ผมไม่ได้ว่า ทีวี (ไม่ดี) …มันดี สำหรับกิจการใหญ่ (ถ้ากิจการเล็ก …ถามว่าคุณจะเอาเงินที่ไหนมาซื้อสื่อทีวี) อย่างการเมือง ปัจจุบันเริ่มฉลาด เพราะเอา Social Network มาใช้ ทำให้เสียเงินน้อยแต่ เข้าถึงคนมาก ---คนที่ใช้ New Media ที่เทพสุดๆคนนึงในโลกก็นาย Obama นี่แหละ ที่ Raise Fund ผ่าน Facebook ได้เงินสนับสนุนเป็นร้อยล้าน โดยไม่เสียค่าใช้จ่าย ในขณะที่นาง คลินตัน Raise Fund ผ่านงาน กาลาดินเนอร์ ที่ได้ทีละ ไม่เท่าไหร่ แถมเสียค่าจัดงานอีก … หรือ อย่างนโยบายของ Obama เขาไม่ต้องพิมพ์แจก เขาพิมพ์หนังสือขาย ชื่อ Audacity of Hope ขายดีเป็นล้านๆเล่ม สรุปคนเสียเงินซื้อก็ต้องอ่าน (จริงป๊ะ) ฉลาดโคตร!!!

การใช้สื่อ New Media อย่างมีประสิทธิภาพ ต้องใช้การวางแผนที่ “เป็นระบบ” อย่างเช่น ร้านอาหารเล็ก อาจมี Facebook ติดต่อกับลูกค้า ตอนนี้ Starbuck , คุณ กรณ์ , คุณ อภิสิทธิ์ และ คุณ ทักษิณ ทุกคนทำหมด (แต่ละคนจะได้ Feedback จากลูกค้าโดยตรง โดยเฉพาะสองคนหลังที่ผมยกตัวอย่าง Feedback แบบจุใจเลย) …

กลับมาที่ Marketing การเมือง อย่างที่ผมบอกต้องเริ่มจาก Product ที่สุดยอด นั่นก็คือ นโยบาย …อย่าง Obama ใช้เวลามากมาย ลงไปคุยกับ “ชาวบ้าน” ทั่วอเมริกา จึงทำให้ Audacity of Hope ของเขาเป็นอะไรที “ใช่เลย” (คู่แข่งที่เป็นมหาเศรษฐีใช้เงินหว่านเท่าใดก็ไม่สามารถสู้ Product ที่ดีได้)….ถึงเวลาแล้ว ที่นักธุรกิจ รวมทั้งนักการเมืองต้องกลับมานั่งคิดใหม่ ว่าก้าวใหม่ที่เดิน ต้อง “มีทิศทาง” --ไม่ใช่เปะปะไร้จุดหมายอย่างปัจจุบัน !!

วันอาทิตย์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

คุณควรเรียนอะไรจาก Google , YouTube และ FACEBOOK


“คุณเคยเห็นไหม ธุรกิจที่ลงทุนต่ำ แต่ให้ผลตอบแทนสูง .. ผมว่าหลายคนคงประหลาดใจมากๆ ว่ามี “มีธุรกิจแบบนี้ในโลกด้วยหรือ” …(ก็ Google , YouTube กับ Facebook ไง!!…ต้นทุนที่สมอง แต่สร้างให้ “เจ้าของรวยขั้นเทพ ตั้งแต่อายุยังน้อย”) ในโลกอนาคต Technology เข้ามามีบทบาทต่อ ชีวิตประจำวัน …ผลกระทบของ Internet ที่กำลังเข้าสู่ “มือถือ”ของคุณ กำลังจะเปลี่ยนแปลง วิธีการ รับข่าวสาร, การโฆษณา และ วิถีชีวิตของคุณ----แบบที่คุณ “คิดไม่ถึง”

คุณลองนึกภาพที่คุณจะสามารถ ทำงานที่ไหนก็ได้(ไม่จำเป็นจะต้องอยู่ที่ Office) ไม่ใช่แค่ในประเทศแต่มันหมายถึง ที่ใดก็ได้ในโลก ..สิ่งเหล่านี้มีให้เห็นแล้ว จากการที่อเมริกา Outsource งาน Back Office และ งาน Support อย่างเช่น Customer Service และ Call Center ไปอยู่ที่อินเดีย …..(ใช่แล้ว!! อินเดีย ..ไม่ผิดหรอก “มันได้เกิดขึ้นแล้ว”) …นั่นหมายถึง คู่แข่งคุณ มันไม่ใช่ เพื่อนข้างบ้านหรือ เพื่อนร่วมชั้นคุณอีกแล้ว แต่มันรวมถึง เด็กทุกคนในโลก (บ้าจริง !! )

ปัจจุบัน งานทางด้าน กฏหมาย ด้านภาษา บริการ Personal Assistant อย่างเลขาส่วนตัว ได้สามารถ Outsource ไปที่ใดก็ได้ในโลก ..และนี่คือ “นิยามของการทำงาน และนิยามการแข่งขัน ที่กำลังเปลี่ยนแปลง” …บริษัท อย่าง Google, YouTube และ Facebook เข้าใจการเปลี่ยนแปลง และ “เก็บเกี่ยว”ผลประโยชน์ในขณะที่คนอื่น “ยังมองไม่เห็น”

คำถามคือ “อะไรล่ะ ที่เขาเห็น ในขณะที่เราไม่เห็น ????” ……(Amazing จริงๆ) …ปัจจุบัน Power ของลูกค้ามีเพิ่มขึ้น จากเดิมที่เคยอยู่ที่ “ตัวกลาง หรือ Medium” เช่น สื่อ , นายหน้า , พ่อค้าคนกลาง …พลังของการเปลี่ยนแปลงทำให้ ผู้ผลิตสามารถติดต่อถึงลูกค้าโดยตรง (ซึ่งในอดีตหลายคนมองว่า ..โถ!! ใครจะไปซื้อผ่าน Internet) แต่เขาเหล่านั้นลืมไปว่า ในอนาคตการ สื่อสารผ่าน Internet จะเร็วขึ้นเรื่อยๆ นั่นหมายถึง ความ “Real” ของการติดต่อ ที่จะเสมือนกับ “การซื้อขายจริงๆมากขึ้นเรื่อยๆ” ในอนาคต ทั้ง วีดีโอ ต่างที่คุณภาพยัง “ห่วย” ที่เราดูผ่าน “ YouTube”ในขณะนี้ คุณลองนึกดูหากคุณภาพของ “ภาพใน YouTube” ดีเทียบเท่า เราดูทีวีปกติ …จะต้องมีคนอีีกมากมายที่จะดูทีวีผ่าน YouTube” (จากสถิติปัจจุบัน เว็บที่หนึ่งของโลก คือ Google ตามมาด้วยที่สอง YouTube และที่สามคือ Facebook)

อย่างแรกคือ การ Search คือการ “เข้าถึงข้อมูลอย่างไร้ขีดจำกัด เดี๋ยวนี้ถ้าคุณอยากรู้เรื่องอะไร คุณจะ Search Google… มันคือ “Instant Library” ที่ใหญ่สุดและเข้าถึงได้เร็วที่สุดในโลก(จริงมั๊ย) , ในส่วนของ YouTube มันทำให้ทุกคนในโลก สามารถเป็น “เจ้าของสื่อได้” คุณคิดดูขนาด Susan Boyed ยังสามารถเป็นนักร้องระดับโลกในชั่วข้ามคืน ก็เพราะ YouTube และที่แห่งนี้กลายเป็น สื่อ ที่เปิดเผย “ความจริง” ไม่ว่าจะเป็นเรื่องใดๆก็ตาม (คุณลองคิดให้ดีว่า สิ่งสำคัญ คือ “คุณภาพของสินค้า” ไม่ใช่ “ประสิทธิภาพของการโฆษณา”อีกต่อไป ( เข้าสู่ยุค “Product is Everything” ซึ่งผมจะเอามาเล่าในคราวต่อไป), ในส่วนของ Facebook คือ Social Network ที่สามารถทำให้คุณ สามารถคุยกับเพื่อนได้ ตลอดเวลา ไม่ว่า เพื่อนและคุณจะอยู่ห่างกันแค่ไหน (สมัยก่อน เวลาอยากเจอเพื่อนเก่า ต้องนัดกันเป็นเดือน แต่เดี๋ยวนี้ “ทันที” ตลอดเวลา) นอกจากนั้น Facebook ยังเปรียบเสมือน “Resume Online หรือ สมุดเกี่ยวกับตัวคุณ” ให้ใครก็ได้ สามารถรู้จักและเข้าถึงตัวคุณ (โดยที่คุณไม่จำเป้นต้องคุยกับเขาโดยตรงก็ได้) นั่นเป็นการ Screen ในเบื้องต้น “ก่อนนัดบอด”…หุ หุ….. คุณลองคิดซิ ถ้า Mobile Internet มีความเร็วมาก คุณอาจมี “Ipad” ติดตัวที่สามารถทำให้คุณ Video chat กับใครก็ได้ เมื่อใดก็ได้ และที่ใดก็ได้ …คูณสามารถ Video Conference และ ส่งงาน อย่าง “ไร้ขีดจำกัด”

สิ่งที่ผมกล่าวมา “นั้นได้เกิดขึ้นแล้วจริงๆ” และมันจะจริงขึ้นเรื่อยๆ เมื่อความเร็วของ การสื่อสารสูงขึ้นเรื่อยๆ--- Trend จะเปลี่ยนทุกอย่างที่คุณเคยมีชีวิตมา งานกับบันเทิงและ Lifestyle จะถูก”หล่อหลอมเป็นหนึ่ง”…..ผมอยากจะถามว่า “วันนี้คุณได้เตรียมพร้อม ที่จะรับกับสิ่งที่จะเกิดขึ้นหรือยัง!!!” …. ก๊าก!!! ไม่อยาก “ตกยุคง่ะ..ทำไงดีฟะ!!!!!” (ช่วยกันคิดต่อหน่อยคร๊าบ…..)

วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รากเหง้าปัญหาความขัดแย้งของ"คนไทย"(ศัตรูคุณคือ"ความยากจน")


จริงๆแล้วรากเหง้าปัญหาความขัดแย้ง"ในบ้านเมืองเรา" ไม่ได้เกิดจากการเมือง (การเมืองเป็นเพียงตัวกระตุ้นเท่านั้น) แต่"ต้นเหตุ" คือ "ความยากจน โดยเฉพาะในต่างจังหวัด" ปัญหาของประเทศเราคือ การกดราคาพืชผลการเกษตร รวมทั้งไม่มีการช่วยเหลือ"คนจน" ในเรื่อง ปัญหาที่ทำกิน(ที่นายทุนกว้านซื้อ)เช่นทำนา โดยความเสี่ยงทั้งหมดอยู่ที่คนจน (เพราะต้องไปกู้เงินมาทำ แถมพอจะขายพืชผล ก็ถูกกดราคา) แค่หนี้อย่างเดียวที่ยืมก็"แทบจะไม่มีปัญญาใช้คืน"

..ด้วยเหตุนี้ การใช้นโยบาย"ประชานิยม" ของ คุณ ทักษิณ จึงเป็นประโยชน์ต่อ"คนจน"อย่างมาก ..เริ่มจากการพักหนี้"เกษตร" จากนั้นก็นำทุนไปให้ประชาชน โดยผ่าน"กองทุนอยู่บ้าน"รวมทั้งสร้างตลาดที่ให้"พืชผล"สามารถขายในราคาที่สูงขึ้น โดยผ่าน "OTOP" จากนั้นก็ยกระดับประกันสุขภาพถ้วนหน้าให้ ทุกคนเข้าถึงการรักษาพยาบาล--ทั้งหมดเป็นการเข้าแก้ปัญหาคนจนอย่างเป็นระบบ และมีประสิทธิภาพมาก (การเข้ามาเป็นนายกของทักษิณทำให้"คนจน"มีชีวิตที่ดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด(คนจนเขาไม่สนหรอกว่า"ใครจะโกงใครจะกิน(นั้นมันเป็นปัญหาระหว่างคนรวย คนนึงโกงอีกคนเลยรวยน้อยลง..น้ำเน่าสิ้นดี)"เขาสนแต่ว่า จะมีชีวิตที่ดีขึ้น--"แค่ข้าวจะกินยังไม่มี แล้วกูจะสนอะไรอีก" .... และนี่เป็นสิ่งที่เราเถียงไมได้ว่ามันเป็นเช่นนั้นจริงๆ และก็เป็นสาเหตุที่คนจนรักทักษิณ )

วันนี้หากรัฐบาลจะก้าวผ่านความขัดแย้ง.."ไม่ใช่มัวแต่วิ่งไร้จับทักษิณ..ไร้สาระ" ศัตรูของรัฐบาลจริงคือ "ความยากจนของประชาชน" หากคุณแก้​"ความยากจนได้ คุณก็ขจัดความขัดแย้งได้" --วันนี้เราต้องเตรียมสู้กับ "ภัยแล้ง" "หนี้สินของคนจน" "การให้การศึกษา...การศึกษาเท่านั้นที่จะทำให้ พ้นจากความจนอย่างยั่งยืน"

ประเด็นที่น่าสนใจในวันนี้คือ รัฐบาลต้องคิดให้ได้ว่า"ทำอย่างไรคนจนจึงจะมีเรื่องมือการหากินที่มีประสิทธิภาพ และยั่งยืน" (ไม่ใช่ไปแจกของ แจกผ้าห่ม ..ที่ต้องแจกคือเครื่องมือทำกิน) ..เครื่องมือทำกินของคนจน ก็คือ ที่ดิน ..ทุนในการเริ่มต้น ..เครื่องมือที่ทำให้การเกษตรมีประสิทธิภาพ --ไอ้เครื่องดำนา"คูโบต้า"ต่างๆ พวกนี้ควรถึงมือประชาชน ไม่ใช่อยู่แต่ใน "ทีวี" ..หุ หุ ..คุณภาพชีวิตทางการแพทย์ (ปัจจุบันไม่มีแพทย์ในต่างจังหวัด เพราะ"ได้เงินน้อย" ผมไม่ได้โทษแพทย์ เพราะแพทย์ก็คือ"มนุษย์" ถ้ารายได้น้อย อุตสาห์เรียนตั้งหนัก ใครจะโง่ไปอยู่ชนบท

--การแก้ปัญหาต้องดูอย่างอเมริกา ดูอย่างประเทศพัฒนา วิธีแก้คือ เขาไม่กระจุกความเจริญในเมือง คุณสามารถอยู่เมืองไหนก็ได้"ก็สามารถรวยได้เช่นกัน" --ตอนนี้เมืองไทยถ้าคุณไม่อยู่กรุงเทพก็จนอย่างเดียว"ถ้าเป็นอย่างนี้ มันก็ง่ายต่อการ"ยุแหย่"ก็เพราะ"มันต่างกันเกินไป"

การขจัดความยากจนต้อง "ขยายการบริโภคภายในประเทศให้มาก" ดูอย่าง Australia การส่งออกพอๆกับเรา แต่การบริโภคภายในเขาใหญ่กว่าเรา 6 เท่า ทั้งที่ประชากรเขามีแค่ 20 ล้าน ในขณะที่เรามีถึง 60 ล้าน(ดังนั้น ถ้าจะให้คนเรา"กินดีอยู่ดี" การบริโภคภายในเราต้องใหญ่กว่า Australia ((ทำอย่างไรล่ะ ??... ))

การ"ลดความขัดแย้ง"ต้องลดช่องว่างระหว่าง ชนบทกับเมือง --ปัจจุบันเอกชนเริ่มทำแล้ว ดู CPN เริ่มไปเปิดสาขาในต่างจังหวัด , BIGC , TESCO-LOTUS เมื่อมี"ตลาดเข้าไป".. ก็ต้องสร้างให้ OTOP ให้แข็งแกร่งเพื่อให้สินค้าเกษครมี Value added ขายได้ราคาสูงขึ้น ..พอ"ห้าง"เข้าไป "นิติพล"ก็จะตามไปรักษาสิว MK จะเข้าไปขยายสาขา โรงแรมก็จะตามไป ธุรกิจอื่นๆก็จะตามไป บริการต่างๆก็จะตามไป พวกพัฒนาบ้านจัดสรรก็จะตามไป --ก็จะมีตลาดให้คนที่มี"รายได้สูง"สามารถอยู่ในชนบท

...สิ่งเหล่านี้คือ "Tipping Point" ของการกระจายความเจริญ "ถ้ารัฐบาลฉลาดต้องพยายามสนับสนุนเอกชน" เช่น ใครไปทำธุรกิจต่างจังหวัด ต้องมีการลดภาษี หรือ ให้สิทธิประโยชน์ต่างๆ --คุณเห็นไหมที่การส่งออกของไทยขยายมาเป็น 70% ของ GDP ได้เพราะ(รัฐบาลส่งเสริมการส่งออกทุกวิถีทาง ทั้งลดภาษี ทั้ง BOI ทั้งนิคมอุตสาหกรรม ) ทีการขยายความเจริญไปสู่"ชนบท" ดันไม่สนับสนุน ((ผมถามหน่อยแล้วเมื่อไหร่ละครับ ความเจริญถึงจะไปถึงชนบท))

--ปัญหาวันนี้ คือ "นโยบายของรัฐบาล" ผมถามหน่อยคุณเอาใครมาเป็นรัฐมนตรี แป๊ะ ตี๋ นอมินี (ถ้าจริงใจแก้ปัญหา ต้องเอาคนมี"ปัญญา"มาวางนโยบาย และประกาศสงครามกับ"ความยากจน" ...และนี่คือหนทางเดียวของการแก้ปัญหาที่"ต้นเหตุ"!!

วันศุกร์ที่ 21 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ตอบคำถามที่ว่า "เมืองไทยจะเป็นอย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่"(ในมุมมองของผม)


การเมืองทุกวันนี้เข้าขั้น"แรงมากๆ" ปัญหาเพราะเราใส่ "อารมณ์มากเกินไป"... จากนี้การเดินเกม น่าจะเปลี่ยนจากความรุนแรงมาเป็น "เรื่องของการเมืองมากขึ้น" ..หากวิเคราะห์จากการเดินเกมของ"คุณ ทักษิณ" วันนี้-- อาศัยหลายเครื่องมือ ที่เรียกว่า"แยกกันเดิน ร่วมกันตี" ความรุนแรงทั้งหมดที่เกิดขึ้น เพื่อเดินเกมทางกฏหมายที่ อาศัย "ทนาย Inter " เอาประเด็นนี้ขึ้นศาลอาญาโลก

--แต่วิธีการนี้"ผมมองว่า คุณทักษิณเดินเกมผิดอย่างแรง ..ปัจจุบันมีคนที่(ทวี)ความเกลียดคุณทักษิณแรงขึ้นเรื่อยๆ ..อย่างที่ผมบอกว่า "การเป็นผู้นำไม่สามารถจะอยู่ หากมีคนเกลียดคุณ สุดๆ--(แม้จะเป็นกลุ่มไม่เยอะมากก็ตาม) ดังนั้น ในมุมมองจากมิติการเมือง ผมว่า"พลาดอย่างแรง"...โอกาสที่คุณทักษิณจะกลับมาเป็นนายก แทบจะมองไม่เห็น

..ในอีกด้านคือ เรื่อง"เงิน"ที่ถูกยึด และจะอาศัย เวทีโลกในการต่อสู้ ..ผมเองก็มองเหมือนเดิมว่า แทบไม่มีโอกาส เพราะไม่มีประเทศใด ที่จะยอมขัดแย้งระหว่างประเทศเพื่อ"คนๆเดียว" ประตูนี้จึงถูกปิดเกือบสนิทอีกเช่นกัน

ทางเลือกสุดท้ายที่เหลืออยู่ของ คุณ ทักษิณ วันนี้คือ "การเมือง" ซึ่งก็คือ "พรรคเพื่อไทย" (ซึ่งหากประตูนี้ปิดลงเมื่อไหร่)--ผมฟันธงได้เลยว่า คุณ ทักษิณ จะไม่สามารถกลับมาประเทศไทยได้อีก ...ดังนั้น คำถามที่ว่า"เมืองไทยจะมีการก่อการร้ายต่อเนื่องเป็นอย่าง 3 จังหวัดชายแดนภาคใต้หรือไม่"

...(ผมเชื่อว่า ไม่!!) เพราะหากทำเช่นนั้น สส.เพื่อไทย จะต่อต้าน เพราะเป็นการสร้างภาพลบให้แก่ "พรรค" ...ดังนั้น หากคุณทักษิณ เดินเกมสร้างความวุ่นวาย "เครื่องมือสุดท้ายที่เหลืออยู่ของคุณทักษิณ ก็จะหมดลงอย่างแน่นอน" --- การก่อ ม๊อบต่างๆ ต้องอาศัย"เงิน" และ"คนประสาน" ทั้งสิ้น ทำให้ปัจจุบัน พรรคเพื่อไทย ถือเป็น "กลจักร"สำคัญยิ่ง ..ที่ผ่านมาเราเห็นความขัดแย้งกัน ระหว่างเครื่องมือของคุณ ทักษิณ นั่นก็คือ "แกนนำ นปช." กับ​ "พรรคเพื่อไทย" ในความขัดแย้งเรื่องการเลิกม๊อบ ที่ผ่านมา

"ทางบังคับ"จากนี้ไปของ คุณทักษิณ คือ (เกมการเมืองเท่านั้น) เพราะ Key Man ที่สำคัญของ การต่อสู้ครั้งนี้ ก็คือ "พรรคร่วม" เพราะเมื่อการเลือกตั้งมีขึ้นเมื่อใด ..ผลลัพธ์ย่อมออกมาเหมือนเดิม ก็คือ ไม่มีพรรคใดที่จะสามารถ จัดตั้งรัฐบาลเพียงพรรคเดียวได้

....ดังนั้น แกนนำ ทั้งสอง คือ ทั้ง "คุณ อภิสิทธิ์" และ "คุณ ทักษิณ" น่าจะเข้าใจได้ว่า ปัจจัยที่จะนำไปสู่ชัยชนะ คือ อะไร ---ไม่ใช่เอาแต่ มุ่งทำลายให้อีก ฝ่ายให้ย่อยยับจนสิ้นชาก อย่างปัจจุบัน---เพราะ"มันเป็นไปไม่ได้" (ผมอยากฝากข้อคิดอีกนิด ที่ว่า "การที่กำจัดศัตรูให้หมดสิ้น มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น นั้นก็คือ ทำให้ศัตรูผู้นั้นกลายมาเป็นมิตรนั้นเอง" --- การเมืองไทยในอดีต ที่เคยมีมาแบบไทยๆ ก็คือ "ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร" ซึ่งผมมองว่า นี่แหละคือ สุดยอดความประนีประนอมที่เหมาะกับเมืองไทย ...ไม่ใช่มุ่งร้ายให้อีกฝ่ายสูญสิ้นอย่างปัจจุบัน!! (ช่างน่าเวทนาจริง..!!)

จุดบอดของผู้นำ"ที่ยิ่งใหญ่"(ไม่เข้าใจ)


ประเด็นที่"ผู้นำที่ยิ่งใหญ่พลาด" ก็คือ (ความมั่นใจ เชื่อมันในตัวเองอย่าง"ขาดสติ" ซึ่งเป็นผลให้"ตกม้าตายในที่สุด)..ขนาดจักรพรรดิ ที่ยิ่งใหญ่ อย่าง "นโปเลียน" หรือ แม้กระทั่ง "จูเลียส ซีซาร์"ต่างก็มีจุดจบที่ไม่มีใครอยากจะพูดถึง --ในบ้านเราเอง ..ผมยังไม่เคยเห็น"นายก"คนใด ที่สามารถ"เป็นผู้ฟังที่ดี"

--สมัยคุณทักษิณ ก็ออกมาแก้ต่างทุกความขัดแย้ง เถียงทุกคนที่"คิดเห็นไม่ตรงกับเขา" ..วันนี้คุณอภิสิทธิ์ ก็ไม่ต่างกัน จนได้รับฉายา"เด็กดื้อ"(อย่าว่าแต่นายกเลย CEO เกือบทุกบริษัทก็เป็นเช่นนี้ อย่าง Jack Welch ของ GE ไม่สามารถฟังใครได้เกิน 60 วินาที "จนมีใครๆต่างพูดว่า กลยุทธิ์สุดยอดของการสื่อสาร--"Elevator pitch" คือ ใครที่ต้องการเสนอไอเดีย เขาให้เวลาคุณ"ระหว่างที่เขาขึ้นลงลิฟท์"เท่านั้น)...หุ หุ

การดูตัวอย่าง"นายก"ในบ้านเรา ทำให้เราเห็นได้เลยว่า "ผู้นำ หากมีคนไม่ชอบอย่างรุนแรง แม้เป็นกลุ่มเพียงเล็กๆ --ย่อมหมายความว่าคุณไม่สามารถจะเป็นผู้นำได้" ประเด็นมันอยู่ที่ (แน่นอน ที่การขึ้นเป็นผู้นำ ย่อมต้องมีคนที่ชอบ และไม่ชอบ --ความสำเร็จคือ ทำอย่างไรให้คนที่ไม่ชอบ "ไม่เข้ามามุ่งร้าย และ เพิ่มทวีความเกลียดได้"

..ผมชอบ คำพูดของ เนลสัน แมนเดลา คำหนึ่งมากที่ว่า "การที่กำจัดศัตรูให้หมดสิ้น มีอยู่วิธีเดียวเท่านั้น นั้นก็คือ ทำให้ศัตรูผู้นั้นกลายมาเป็นมิตรนั้นเอง" --"สุดยอด!!! มากๆ" อย่างความขัดแย้งในสังคมเราทุกวันนี้ เพราะเขาใช้วิธีแก้ความขัดแย้ง"ด้วยวิธีตรงกันข้าม" --"การใช้ไฟ ดับไฟ" บ้านเมืองจึงแตกร้าวอย่างรุนแรงอย่างที่เห็นอยู่ทุกวันนี้

จริงๆ แล้วเราควรมอง ความเห็นที่แตกต่าง เป็นสิ่งที่"เยี่ยมยอด" เพราะความเห็นที่แตกต่างมันทำให้คุณ ฉลาดขึ้น มันทำให้คุณมองภาพได้กว้างขึ้น ดังนั้น"เวลาใครแย้งความคิดของคุณ แทนที่คุณจะโต้แย้ง คุณควรจะ"ขอบคุณ"เขาแทน..จริงป๊ะ!!" ..ดังนั้น---ถ้าไอเดีย ที่คุณเสนอ "ไม่มีความเห็นที่ขัดแย้งเลย" ผมว่าคุณต้องตั้งข้อสังเกตแล้วว่า 1. คนรอบข้างเริ่มไม่หวังดีกับคุณแล้ว(เพราะมันจะทำให้คุณ อึกเหิม และยิ่งมั่นใจไร้สติ และจะพาคุณสู่ความย่อยยับ เพราะทั้งแกนนำต่างๆ เช่น เสธ.แดง , อริสมันต์ , สนธิ , ทักษิณ ต่างก็ตกเป็นเหยื่อของสิ่งนี้ทั้งสิ้น) 2.ความคิดนั้น อาจเป็นสิ่งที่"ไม่ได้มีใครสนใจเลย"

คนที่"ฉลาด"มากๆ มักเป็นคนที่อ่านหนังสือมาก ทำให้บางครั้ง"หลงตัวเอง"คิดว่าไม่มีใครที่ฉลาดกว่าเขาแล้ว --แท้จริงโลกนี้กว้างใหญ่เกินกว่า "คนตัวเล็กๆคนนึง จะสามารถเข้าใจได้หมด" ดังนั้น สิ่งต่างๆที่ได้ผ่านเข้ามาในชีวิต ย่อม"หล่อหลอม"ให้คนแต่ละคนมีความแตกต่างกัน แม้แต่ คนกวาดถนนก็ย่อมมีจุดแข็งที่ CEO ไม่มี" ดังนั้น เราไม่ควรที่จะดูถูกใคร เพราะแต่ละคนแต่ละสายอาชีพ ย่อมมีความเก่งความถนัดเป็นของตัวเอง

...ผู้นำที่ดี จึงไม่ใช่"คนที่ฉลาดที่สุด" หากแต่ควรจะเป็นคนที่สามารถ ประสานและดึงจุดเด่นของแต่ละคน ออกมาใช้ให้เกิดประโยชน์ต่อบ้านเมืองมากที่สุดต่างหาก (จริงมั๊ย)...จึงไม่แปลกเลยที่เรามัก มอง"หัวหน้า" เราเป็น"ไอ้งั่ง" แต่หารู้ไม่ว่า "ไอ้งั่ง" ที่สามารถประสานและดึงความเก่งของลูกน้องออกมาร่วมกัน เขาผู้นั้นต่างหากจึงจะเหมาะ"เป็นผู้นำที่ดี"

"ผู้นำ" จึงไม่จำเป็นต้องเก่งและฉลาดที่สุด ... (และนี่คือ คำตอบ ที่ว่า"ทำไมคนเก่งมากๆ หรือ ไอคิวสูงมากๆ จึงยากที่จะเป็นผู้นำ(ที่ยิ่งใหญ่) -- ก็เพราะเขา "ไม่เคยคิดที่จะฟังใครนั่นเองครับ"

วันพฤหัสบดีที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ฟ้าหลังฝน เอาไงต่อดีละ " ยัง งง อยู่เลย


เมื่อเช้าผมออกไปดู สาขาธนาคารกรุงเทพกับผู้จัดการครับ (บางสาขาเผาเละ แล้วก็ขโมย"ของและเงิน")... (ขอประนาม "พวกโจรที่ฉวยโอกาส"เหล่านี้!!)-- เมื่อวานตอนที่วุ่นวาย มีพวก"โจร"พวกนี้ออก เผาบ้านเมือง ฉวยโอกาสตอนที่วุ่นวาน เผาและขโมยของ(ฉวยโอกาสบนความทุกข์ของคนอื่น)

-- ผมว่าแทนที่เราจะ"โกรธ"พวกผู้ชุมนุม ..ผมว่า"พวกนี้"มากกว่าที่น่าจะเอาไป"ยิง"ทิ้ง เพราะอย่างผู้ชุมนุมบางคนก็โดนหลอกมา พอรู้เข้าก็ตกกระไดหลอยโจนไปแล้ว ..จากนี้บ้านเมืองจะสงบ ผมว่า ต้อง "อโหสิ" -- เพราะหากแต่ละฝ่ายยังใช้"อารมณ์"เป็นตัวตั้ง บ้านเมืองก็ไม่มีวันสงบ (กลายเป็นบรรลุเป้าหมายของผู้บงการ!!)

การแบ่งสีในบ้านเมือง ผมมองว่า เป็นการสร้าง"ความแตกแยก"ทั้งนั้น ...สังคมจะเป็นสุขได้ เราต้องเคารพในความคิดที่แตกต่างและอยู่ร่วมกันอย่างสันติ (และนี่"หัวใจ"ของประชาธิปไตย)--ตอนนี้ใครไม่ใช่"สี"เรา ก็โกรธด่าเขา โกรธเขา พวกนี้ผมว่าไร้สติ.."การศึกษาสูง แต่จิตใจต่ำ"-- ดังนั้น ไม่ว่า"บ้าหรือรัก"สีไหน มันก็คือ "หัวคอมมิวนิสต์"ทั้งนั้น แถมดึงเอา"ของสูง"มาเป็นพวก(นรกจะกินกบาลเอา) --"พูดแรงไปนิด ..หุ หุ แต่อยากเตือนสติสังคมน่ะครับ" เราใกล้จะสงบแล้ว ..อีกนิดเดียว!!

แล้วจากนี้เอาไงต่อ "ก็ต้องคิดบวก ตัดอารมณ์ความโกรธแค้น แล้วมองไปข้างหน้า" อย่าง Central World ที่ไหม้ไป ก็ไม่ต้องตกใจ เพราะเขาเพิ่งทำประกัน"การก่อการร้าย" คนซวยคือ (บริษัทประกันฝรั่ง) เดี๋ยวเราก็จะได้ห้างใหม่ที่ดีขึ้น ...ตรงนี้ต้องเป็น การมองว่าเป็น โอกาสจะได้ปรับปรุง"ห้าง"ให้ดีขึ้น --เดี๋ยวพอตลาดเปิด อาจมีการ"เทขายหุ้น CPN " ใครที่ฉลาดก็รอดักซื้อที่ถูกๆ (เห็นไหมล่ะครับ ทุกวิกฤตย่อมมีโอกาส หากเราตัด"อารมณ์"ออกแล้วมีสติ เราก็จะเห็นโอกาส --นี่แหละครับ"คนที่คิดมองโลกในแง่ดี" ก็จะมีแต่สิ่งดีๆที่ตอบแทนเรา หุ หุ.....

วันนี้ขับผ่าน ดูคนแย่งกัน "เติมน้ำมัน" คือ ไม่ว่ายังไง "คนก็ต้องใช้น้ำมัน" หุ้นอย่าง PTT ต่ำขนาดนี้ ..ใครซื้อไว้ ไม่มีทางขาดทุน--เมื่อคืนนี้(การก่อการร้าย)ผมมองว่า เป็นการโจมตี"กล่องดวงใจของเสื้อเหลือง" แต่จริงๆมันไม่ได้กระทบอะไรมากเลย เพราะเกือบทุกที่เขาก็ทำประกันทั้งนั้น

---ตอนนี้ที่ไอ้พวกฝรั้ง ที่ขายหุ้นไป "สมน้ำหน้ามัน" ยังไงเดี๋ยวก็ต้องกลับมา และก็มาซื้อที่แพงกว่านี้ คือ ง่ายๆซื้อกิจการที่มั่นคง ปันผลดี (คนต้องใช้) ยังไงก็ไม่ขาดทุน ...ตัดความโลภ ตัดอารมณ์ และมองโอกาสให้เป็น -- "คุณจะไม่ตกเป็นเหยื่อให้ คนอื่นมาใช้เราเป็นเครื่องมือ" ส่วนใครที่โดนหลอก ไม่ใช่ไปเกลียดเขา ผมว่า เราต้องเห็นใจเขามากกว่า เพราะเขาไม่ได้มีปัญญาเหมือนกับเรา ....เมืองไทยจะได้น่าอยู่ขึ้น "สยามเมืองยิ้ม..สู้ต่อไป"

วันพุธที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"Lean Management" บทเรียนจากวิกฤตโตโยต้า


ปีก่อนหน้านี้ Toyota เพิ่งจะได้รับการ"ยกย่องสุดๆ ขึ้นมาเป็นบริษัทรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก" ที่มีกลยุทธิ์สุดยอด-- Lean management คือ การบริหารที่ลดต้นทุน"ให้ถึงขีดสุด" ..จนทำให้ Toyota กลายเป็นที่กล่าวขานในวงการว่า ว่าเป็นสุดยอดของการบริหารภายใต้ต้นทุนที่ประหยัด

--วิธีการของ "Lean management" คือ การพยายามทำให้เกิด Zero defect และพยายามลดต้นทุนในทุกๆส่วน ตั้งแต่ Supply Chain ที่เอาโรงงาน "ชิ้นส่วน" เข้ามาป้อน สายพานการผลิตอย่างต่อเนื่อง ..การออกแบบให้สามารถใช้ "ชิ้นส่วน"ร่วมกันในรถยนต์หลายรุ่น

--ในที่สุด"ปัญหาก็ประทุขึ้น"เดือนที่ผ่านมา โดย Toyota ถูก Campaign อย่างต่อเนื่อง ส่งผลให้มีการเรียกรถกลับ"เพื่อแก้ไขปัญหา"นับล้านคัน ...อีกบริษัทที่น่าสนใจคือ Dell ซึ่งใช้นโยบาย Lean เช่นกัน โดยการผลิตแบบ Just in Time ทำให้ Dell กลายเป็นบริษัทคอมพิวเตอร์ที่มีต้นทุนการผลิตที่ต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม

บทสรุปของ Lean (จากที่เคยเป็นกลยุทธิ์ระดับ"พระเอก" ที่ถูกขนานนามว่าเป็นกลยุทธิ์ที่"ขั้นเทพที่สุดในยุคนี้")มาถึงวันนี้ Lean Management หรือ กลยุทธิ์"ต้นทุนต่ำ" ได้เป็นเหมือน "แผนที่สู่ความตาย" --(มันเหมือนเป็น"แผนที่"ที่บ่งบอก คือ ถ้าบริษัทใดเริ่มใช้ Strategy แบบ "Lean" ให้เราพยากรณ์ได้เลยว่า ธุรกิจนั้นๆกำลัง"เข้าสู่ยุคเสื่อม"นั่นเอง)

ในประเทศไทย เริ่มมีหลายบริษัทที่ใช้ Lean management เช่น พฤกษา ก็เป็นผู้นำตลาดในขณะนี้ที่"ต้นทุนต่ำที่สุดในอุตสาหกรรม" คือ ในแง่ดีบริษัทอย่างนี้ สามารถตัดราคาแข่ง (บางครั้งบริษัทเหล่านี้สามารถตัดราคาไปขายที่ ต้นทุนของคู่แข่งในขณะที่ยังทำกำไร) แต่"กลยุทธิ์"นี้เป็น"ดาบสองคม" คือ ถ้าใช้นานเกินไป อาจทำให้ตลาดที่ตัวเองจับ กลายเป็นตลาดที่หดตัวลงเรื่อยๆก็เป็นได้

..มองอย่าง Case ของ Dell จริงๆเขายังคงเป็น Market leader ใน"ตลาดที่บริษัท"จับ แต่กลายเป็นว่ากลับ ถูก Compaq ดัดหลัง เพราะ Compaq ขยายตัวแข่งในตลาดใหม่ (ตรงนี้น่าสนใจเพราะ Dell ยังคงเป็นผู้นำในตลาดที่หดตัว ในขณะที่คู่แข่งอย่าง Compaq เปลี่ยนเกมการแข่งขันจับกลุ่ม"ตลาดใหม่")..ดังนั้น หากบริษัทที่เป็น Cost Leader อย่าง"พฤกษา" ต้องมีการปรับตัว(ปรับสินค้า)ตอบสนองตลาดอย่างต่อเนื่องจึงจะสามารถเป็น"ผู้นำตลาดได้"

--ในปัจจุบันจะเห็นได้ว่า"พฤกษา"ก็ได้ออก Condo ระดับ High-end ออกมา ซึ่งเท่าที่เห็นก็ถือว่า เป็นบริษัทที่น่าสนใจ ...แต่ที่"เด็ดสุด" ก็ Apple นั้นแหละ เพราะออก "Product" ที่พลิก"เกมการแข่งขัน"สร้างให้ตัวเองเป็น Market Leader ในตลาดใหม่อย่างแท้จริง

สรุปได้ว่า การบริหารธุรกิจตาม "Trend นิยมของตลาด" เป็นอะไรที่เสี่ยง ...จากเดิมที่แข่งกัน Lean ตัดต้นทุน ในที่สุดก็ไม่ใช่คำตอบของความสำเร็จที่ยั่งยืน ...ดังนั้น"ผู้นำ"ต้อง"เป็นผู้กำหนดเกมส์การแข่งขัน"จึงจะเป็นผู้นำที่ยั่งยืน (แนวคิดนี้สามารถปรับใช้เป็นมุมมองในตลาดบ้านเราได้เป็นอย่างดี กิจการไหนที่กำไรจากการลดต้นทุน--"ต้องระวัง" แต่กิจการที่ได้กำไรจากการ ออกสินค้าใหม่ที่ตรงกับความต้องการของตลาด --"ถึงจะดีจริง" ...แต่ตอนนี้คงดูจะยากหน่อย!!(ต้องตัดคลื่นรบกวนก่อนมอง) อย่างเช่น เซ็นทรัลจริงๆ ออก Product ได้แจ๋วคือ เปิดห้างไปในถิ่นกันดาน แต่ภาพม๊อบมันบังตา!! ....หุ หุ)

"ก่อสงครามกลางเมือง"+"จ้างทนายนักล๊อบบี้" หวยล็อกที่ถูกวางไว้แล้ว


แวบ!.. ไปดู Blog คุณ กรณ์มา ที่เขาู Post เกี่ยวกับ "นักกฎหมายที่คุณทักษิณเพิ่งจ้างมา" ชื่อว่า Robert Amsterdam พอดูไปดูมา กลายเป็นว่า"คนๆนี้" เป็นนัก Lobbyistในคราบนักกฎหมาย ...คือในประเทศรัสเซีย มีกรณีคล้ายคุณทักษิณนี่แหละ ...เรื่องมีอยู่ว่า เศรษฐี(ชื่อว่า Mikhail Khodorkovsky)ที่เคยรวยที่สุดใน รัสเซีย ก่อน ประธานาธิปดี"วาราดิเมีย ปูติน "จะขึ้นมามีอำนาจอย่างทุกวันนี้ (สรุปคร่าวๆคือ นาย Mikhail Khodorkovsky นี่มีปัญหากับ"รัฐบาลรัสเซียของนายปูติน" จึงโดน "จับเข้าคุกและโดนยึดกิจการ(บริษัทYUKOSเคยเป็นบริษัทน้ำมันที่ใหญ่ที่สุดในรัสเซีย)และยึดเงินทั้งหมดเข้ารัฐ" แต่ก่อนหน้านั้นได้ว่าจ้าง Robert Amsterdam (คนเดียวกับที่คุณทักษิณจ้างนี่แหละ)มาช่วยต่อสู้ ..แต่วิธีการของนัก Lobbyist คนนี้ใช้คือ การดึงประเด็นให้เป็นประเด็นของโลก (เหมือนที่แว่วๆว่า คุณทักษิณจะเอาคดีของตัวเองไปศาลโลก) ปัญหามันอยู่ที่เป้าหมายคือ "การสร้างภาพของคุณทักษิณว่าเป็นตัวแทนของทุนนิยมเสรี ที่โดนรัฐบาลเผด็จการทหาร(ที่ฆ่าประชาชน)กลั่นแกล้ง...นี่แหละเป้าหมายของการก่อสงครามกลางเมืองในขณะนี้ ก็เพื่ีอที่จะ dis-creditรัฐบาล(คือดูก็น่ามันส์ !! แต่มันแย่ตรงที่เอาชีวิต(ไพร่..ที่เขาเรียกตัวเอง)มาเป็นเครื่องมือต่อรองผลประโยชน์ของคนไม่กี่คนนี่ซิแย่)"จุดนี้เองที่ในกรณีของรัสเซีย ส่งผลลบต่อมุมมองของคนทั่วโลก (นี่แหละเรื่องราวที่ คุณกรณ์หยิบขึ้นมาให้ดู)
แต่จุดที่ผมสนใจคือ "มันแปลกนะครับ" ว่าทำไมคนที่รวยที่สุดและฉลาดที่สุดในประเทศ ทั้ง Mikhail Khodorkovsky และ คุณ ทักษิณ ถึงได้ "ตกม้าตาย" อย่างที่เป็นอยู่ ...มันทำให้ผมนึกย้อนไปถึงหลักธรรมชาติที่เคยกล่าวมาแล้วว่า "ต้นไม้ถ้ามันสูงเกินธรรมชาติ มากไปโอกาสที่ฟ้าจะผ่าก็มีสูง" ดังนั้น อย่าง Bill Gates และ Warren Buffet จึงเอาเงินส่วนตัว"มหาศาล"บริจาคให้แก่สังคม (ตอนนี้ใครๆก็ยกย่อง ทั้งสองคนนี้ว่า เป็นเศรษฐีใจบุญ ขนาดนิตยสาร Times ยังเอามาขึ้นยกย่องไม่รู้กี่รอบ)-- ผมว่าตรงนี้ มันสอนให้คนเรารู้จัก "การพอและการให้" เพราะไม่ว่าเราจะ"เก่งขนาดไหนก็ตาม"...(เก่งสุดรวยสุดในรัสเซีย โดนยึดทรัพย์ทั้งหมด ตอนนี้ถูกขังลืม) ..(เก่งสุด รวยสุดในประเทศไทย ไม่สามารถจะอยู่ประเทศตัวเองได้ เลยกำลังทำ"งง งวย+บ้าเลือด"อยู่นอกประเทศ) ---ตอนนี้เหลืออีกคน นาย บารอลโคนี (เศรษฐีรวยที่สุดในอิตาลี เจ้าพ่อ Telecom)ตอนนี้เป็นนายกอยู่ ...(ต้องรอดู)
ชีวิตคนผมว่า"มีตัวอย่างให้เราศึกษามากมาย" เพียงแต่เราไม่ค่อยเอามาเป็น อุทาหรณ์ เท่าไหร่...ผมว่าคนมีอำนาจส่วนใหญ่"มักหลงระเริง..ลืมตัว" ..แต่ท้ายสุดแล้ว (คนเรามักสำนึกได้ เมื่อมันได้สายไปเสียแล้ว)..ที่พูดนี่ไม่ได้หมายความว่าประเทศจะถอยหลังเข้าคลอง (มันคนละประเด็น) ประเทศก็ส่วนประเทศ ตอนนี้มันเข้า "ขาลงบ้าง" เดี๋ยวที่สุดมันก็ต้อง"กลับมาขาขึ้นอยู่ดี"(ถ้าทักษิณไม่ได้ทำ ก็ต้องมีคนอื่นมาทำอยู่ดี)...ก็เหมือนคน"ขึ้นมาก" เวลาตก"ก็ตกแรง" ...หุ้น ตอนนี้ ตก่ เดี๋ยวมันก็ขึ้น--มิน่าล่ะครับ พระพุทธเจ้าจึงสอนให้"เดินทางสายกลาง" ....เพิ่งถึงบางอ้อ!! วันนี้แหละครับ!!
((พี่ Bill Gates ยังเข้าใจเลย แต่ทำไม พี่ ทักกี้ ไม่เข้าใจ ว้า!!..หรือ จะ"ตาดูดาว แต่เท้าไม่ติดดิน"ซะแล้ว ..หุ หุ หุ))

วันอังคารที่ 18 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ก้าวต่อไปของ ADVANC หรือ TRUE


ส่วนตัวผมเป็นคน"สนใจ"เกี่ยวกับ Technology ใหม่ๆ จริงๆมือถือเพิ่งเข้ามาเป็น "ส่วนหนึ่งของชีวิต" แค่ประมาณ 10 ปีที่แล้ว ..ตอนนี้กลายเป็น --"ปัจจัยที่ 5" ของชีวิต คือ (ขาดข้าวอาจทนได้ แต่ขาดมือถือ"ตาย")

แต่ก่อนผมเคยมองว่า บริษัท Telecom Asia(ปัจจุบันคือ TRUE)เป็นอะไรที่"สุดยอด" และมองว่า CP นี่ ฉลาดสุดๆที่ขยายธุรกิจมาในตลาดนี้ ..คุณเชื่อไหมหุ้น TRUE ตอนปี 1994 ราคา 140 บาท ตอนนี้เหลือ 2 บาท (อุ๊!! แม่เจ้า... ทำไมมันถึงเป็นอย่างนั้นได้)....หลักๆก็มาจาก การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภค (อย่างฉับพลัน จากโทรศัพท์บ้านเป็นมือถือ ..แต่ด้วยความใหญ่"อุ้ยอ้าย" ทำให้บริษัทตาม Trend ไม่ทัน)

--ย้อนไปสิบปีที่แล้ว TRUE เป็นอะไรที่ "แจ๋วมาก" เพราะสมัยนั้น "โทรศัพท์บ้านนี่ขอยากมากๆ "แต่ TRUE เข้ามาติดตั้งโทรศัพท์ 3 ล้านเลขหมาย ทำให้ ตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าในสมัยนั้นได้อย่างดี ..ผลคือ หุ้นพุ่ง กระฉุด! --แต่เมื่อ Trend เปลี่ยน "ทุกคนหันมาใช้มือถือ" ....ปัจจุบัน เบอร์มือถือที่เปิดใช้ในประเทศไทย มากกว่า 65 ล้าน (มากกว่าจำนวนประชากรอีก)!!!

TRUE เปลี่ยนจาก"ผู้นำ"มาอยู่เป็น"ผู้ตาม" ราคาหุ้นก็เลย"พุ่งลง" "พุ่งลง" --จากนั้นก็ Style CP คือ มองการไกลคิดยาว เลยใช้ "Pricing ตัดราคาเข้าสู้" คือ ยอมเฉีอนเนื้อเข้าแลกกับอนาคต ..ผลก็คือ "TRUE" ในปัจจุบัน ..ครอบคลุมทุกอย่าง Slogan สวยหรู "Convergence Lifestyle" ดีทุกอย่าง ยกเว้น "งบกำไรขาดทุน" --อ้าว!! เป็นงั้นไป...

ในสมัย"ไทยโบราณ" ธุรกิจมักอาศัย "เครือข่าย อิงผู้มีบารมี เป็นหลัก" ..การทำธุรกิจจึง เป็น Know Who ล้วนๆ จุดนี้สร้างความเคยชินให้ เจ้าของธุรกิจสมัยที่ผูกขาดตลอดเวลา จึงไม่เคยสนใจไม่สนต้นทุน (แต่ปัจจุบันเนื่องจากการแข่งที่เปิดเสรีมากขึ้น ..เกมส์การแข่งขันจึงเปลี่ยนไป ชนิดที่..บริษัทมากมายตามไม่ทัน) --ดังนั้น ปัจจัยที่สำคัญที่สุดของการมองอนาคตของกิจการจึงไม่ใช่ที่ "สินค้า"อย่างเดียว แต่มันต้องดูที่"คน"ด้วยเช่นกัน

วันนี้ คุณลองถามเด็กๆที่จบปริญญา จากสถาบัน Topๆ ของประเทศ ..ซิครับว่า "คุณอยากไปทำงานที่ไหน" คำตอบก็จะชี้ไปสู่องค์กรที่มีอนาคต (ในอดีตธนาคารเคยเป็นที่หมายปองของหัวกะทิของประเทศ ปัจจุบันไม่ใช่เลย ทุกคนมุ่งไปที่ SCC/PTT และ ADVANC ก็นับเป็นหนึ่งในนั้น) -- การที่องค์กรเหล่านี้สามารถ"ดึงดูด"หัวกระทิของประเทศ มันย่อมเป็นเหมือน Guarantee ถึงอนาคตที่สดใสขององค์กรนั้นๆ ก็ว่าได้...นอกจากนี้การเลือก Product จะเป็นสิ่งที่ตามมา

--หากมองให้ดี อนาคตของ Telecom มันอยู่บน "มือถือ" แต่มันจะเริ่มเปลี่ยน จาก Voice เป็น Non-voice (ใช่แล้ว)หลายๆคน คงเคยได้เห็น นักวิเคราะห์ฟันธงมาว่า Non-Voice (แล้วจริงๆมันคืออะไรล่ะ!!!)

จริงๆแล้ว Non-Voice จะเกิดหรือไม่นั้น มันขึ้นกับ "Content" เป็นหลัก --ถ้ามองจะเห็นได้ว่า TRUE จากที่เคยพลาดมอง Trend โทรศัพท์ในอดีตไม่ทัน มาเที่ยวนี้จับ Content มาก่อนเลย (True Vision) คือ ดูแล้วน่าสนใจ แต่ปัญหาคือ งบการเงินของ TRUE ที่สุดจะเน่า(ทำให้ไม่น่าลงทุน) ผมว่าหาก TRUE ฉลาดต้องแตกบริษัทออกเป็นส่วนๆ คือ "ไม่ใช่รวมเป็นก้อนอย่างนี้ ..คุณคิดดูซิ สมมุติ คุณเอาน้ำดี เทรวมกับน้ำเน่า ในที่สุด"คุณจะดื่มไหม!! "นี่แหละที่ TRUE ทำอยู่"

ในส่วนของ ADVANC ผมมองว่า อนาคตขึ้นกับ 2G (ซึ่งหลายคนบอกขึ้นกับ 3G แต่จริงๆ ไม่รู้มันจะเกิดเมื่อไหร่ --ปัจจุบัน ADVANC ถือเป็นเจ้าตลาดของ 2G ..ซึ่งกำไรสูง เมื่อเทียบกับคู่แข่ง )ส่วนประเด็น 3G มันเป็นอนาคต เพราะไม่มีใครรู้หรอกว่า หากลูกค้าเปลี่ยนจาก Voice เป็น non-voice บริษัท ADVANC จะยังเป็นผู้นำหรือไม่ ดังนั้น ประเด็นการเก็งกำไรของหุ้น ADVANC ต้องมองเป็นช่วงๆ คือ อย่างตอนนี้ถึงก่อน 3G คือ "มองปันผล" .. แต่ถ้ามองรอบผมว่าต้องเก็ง การประมูล Licensed 3G ..(พูดง่ายๆว่า ภาพต่างๆ เราต้องแยกเป็นส่วนๆเพื่อ พิจารณา ถึงจะสามารถเห็นภาพได้อย่างชัดเจน อย่าง TRUE แข็งที่ไหน อ่อนที่ไหน หรือ อย่าง ADVANC จุดแข็งจุดอ่อน ..เมื่อเราเข้าใจ"แบบแยกส่วน" จะทำให้เราเตรียมรับกับการเปลี่ยนแปลงที่เกิดขึ้น)

อย่าง 3G ถ้ามองมันคือ เรื่องของ (Content บวกกับ Mobility) ดังนั้น I-pad น่าจะเป็นสิ่งที่น่าสนใจของค่ายมือถือต่างๆ เพราะปัจจุบัน Smart phone ผมว่าไม่ได้ตอบโจทย์ "คนทำงาน"มากนัก แต่ประเด็นที่ว่า จะเป็นจุด Mass เมื่อไหร่ มันต้องดูที่จุด Tipping Point (ซึ่งหลายคนคิดว่า มันอยู่ที่ Technology แต่ไม่ใช่)มันอยู่ที่ "ต้นทุนของผู้ใช้" ..การที่มือถือ สามารถ แพร่กระจายสู่ตลาด Mass ได้ เนื่องจาก "ต้นทุนของผู้ใช้" มันคุ้มค่ากับสิ่งที่เขาต้องเสีย (ซึ่งหากมือถือเครื่องละแสน กับค่าบริการสุดโหด ก็ไม่มีทางที่มือถือจะ Mass ได้ และอย่าง Internet มันเริ่ม Mass ก็เมื่อมี Unlimited รายเดือน)ซึ่งในส่วนของ Content ก็ต้องขึ้นกับ"ต้นทุนของผู้ใช้"เช่นกัน.. ปัจจุบัน Facebook/BB Chat และ Email น่าสนใจแต่"ต้นทุนของผู้ใช้"ยังสูงเกินไป

ประเด็นที่ผมจะชี้ คือ อย่างเช่น Nation คือจริงๆภาพรวมห่วย แต่พอแยกเอาน้ำดี ออกมา ก็ได้ NBC ที่ดีกว่า -- ดังนั้นการมอง TRUE ผมก็เชื่อว่า อาจจะคล้ายคลึงกัน หรือ อย่าง ADVANC ก็ใช่ว่าจะไม่เปลี่ยนแปลง ...อย่างไรก็ตาม การมองต้องแยก"ความเป็นจริง" กับ "อนาคต"ให้ออก เพราะอย่างกรณีของ TYONG ที่กำลังจะ"แปรธาตุ BTS" ผมมองว่า เขาขาย "Story ของ อนาคตอย่างเดียว" เพราะปัจจุบันมัน"แย่" ..ซึ่งต่างกับ ADVANC ที่ ตอนนี้กำลังขาย "อนาคตที่ไม่แน่นอน" แต่"ปัจจุบันที่ดี" แต่นักลงทุน กลับตีค่าว่า "ไม่ดี" ... (นี่แหละครับ เป็นเหตุผลที่ ทำไมหลายคน สามารถซื้อ หุ้นที่ดีได้ ตลอดเวลา --"มันใช่โชคหรอกครับ..มันอยู่ที่มุมมอง")

วันจันทร์ที่ 17 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ตีแตกอสังหา"สไตล์ LPN


ยุคนี้ไม่มีใครไม่รู้จัก LPN ..เจ้าตลาดคอนโดในเมือง ..ผมว่า การเติบโตและวางกลยุทธ์ของ LPN เป็นสิ่งที่น่าสนใจมาก เพราะถือว่า"แหวกแนวคิดคอนโดเก่าๆ" อย่างแนวคิดที่ใช้ วัสดุก่อสร้างราคาถูก ออกแบบธรรมดา ทาสีทึมๆเชยๆ Lobby ไม่หรูหรา(ไม่เหมือนกับเจ้าอื่นๆที่ตกแต่ง Lobby หรูเหมือนโรงแรม) พื้นที่ห้องเล็กแค่ 25 ตร.ม. ที่จอดรถเกือบไม่พอกับความต้องการ แถมที่ตั้งคอนโดไม่ได้อยู่ในทำเลที่ดี(อย่างพวกติดรถไฟฟ้า)

..เอ๊ะ !! งง!! หลายคนคงสงสัยว่าที่พูดมา"มันดียังไง" --ก็นี่แหละครับ"การพลิกข้อจำกัดเป็นจุดแข็ง แล้วเปลี่ยนเกมในการต่อสู้" เริ่มจากการลดเนื้อที่ห้อง จากตลาดทั่วไปประมาณ 50 ตร.ม., เหลือเพียงเริ่มต้นที่ 25 ตร.ม. ทำให้ราคาขายเริ่มต้นถูกๆมาก(ประกาศราคา ปั๊ป .. ขายได้ ปุ๊บ..)

...การใช้วัสดุราคาถูก ทำให้ต้นทุนการก่อสร้างต่ำกว่าคู่แข่ง จากนั้นก็เจียด"Margin" ไปให้การ"บริการ"ที่เรียกว่า "ชุมชนน่าอยู่" (ซึ่งถ้าใครทราบจะรู้เลยว่า การบริหารของนิติที่ LPN เจ๊งมากๆ อาจดีกว่า คอนโดระดับหรูด้วยซ้ำ) ตรงนี้เป็นการมองเกมที่ฉลาด เพราะบริษัทส่วนใหญ่อาจเน้นไปที่การใช้ วัสดุก่อสร้าง"ราคาแพง" เช่น ใช้ โถส้วม และ ที่ล้างหน้า ...ราคาแสนขึ้น แต่ลืมนึกไปว่า --ลูกค้ามองสิ่งนั้น เทียบกับการ บริการต่างกัน ซึ่ง LPN มอง(ขาด)ว่า หากลด คุณภาพวัสดุแต่มาเพิ่มคุณภาพ "การบริการ" จะทำให้ลูกค้ามองว่า "ได้ประโยชน์มากกว่า"

จุดนี้เป็นประเด็นที่หลายคนไม่เข้าใจ นั่นคือ "คุณค่าในสายตาของลูกค้า" บางครั้ง"ไม่เหมือนกับผู้ประกอบการ" เช่น ลูกค้าอาจมองว่า โครงสร้าง มีราคามากกว่า Accessories ..ถ้าบริษัท"รู้จุดนี้" บริษัทก็อาจลดต้นทุนโครงสร้าง แต่มาเพิ่มใน ประเด็นที่ลูกค้า"ตีค่าให้สูงกว่า" เช่น "การบริการ" ดังนั้นบริษัทสามารถลดต้นทุนในจุดหนึ่ง แต่มาเพิ่มให้อีกจุดนึง แต่ในภาพรวม ต้นทุนรวมลดลง แต่ราคาในสายตาลูกค้า"เขาให้ค่า"เพิ่มขึ้น "นี่แหละครับ

..การเปลี่ยนเกมการแข่งขันให้เราได้เปรียบ"(ซึ่งจุดนี้ถือเป็นสิ่งที่ละเอียดอ่อน ซึ่งแสดงถึง "ทีมตลาดที่แข็งแกร่งของ LPN สามารถเข้าใจความต้องการของลูกค้าได้เหนือกว่าคู่แข่งนั่นเอง) นอกจากนี้ประเด็นเรื่องทำเล ก็มีส่วนในการลดต้นทุนอย่างมาก เช่น LPN ไม่ได้อยู่ตรงจุดขึ้นลง รถไฟฟ้า ทำให้ต้นทุนที่ดิน "ต่ำกว่าคู่แข่งมาก" แต่ไปเสริมที่บริการ"รถตู้"ที่ไปส่งที่ รถไฟฟ้าแทน

... การเปิดของโครงการจะแบ่งเป็น Phase ซึ่งการซื้อที่แต่ละครั้งของ LPN จะซื้อที่ดินค่อนข้างใหญ่ และจะค่อยๆเปิดเป็น Phase โดยเริ่มจากแบบราคาต่ำ จนถึงราคาสูง --นี่เป็นอีกประเด็นในการลดต้นทุน เนื่องจากความสำเร็จในอันแรกจะช่วยเสริม โครงการ Phase หลังในพื้นที่เดียวกัน ให้ขายง่ายขึ้น จากนั้นก็สามารถลดต้นทุนการบริหารลงได้ จาก Facility ร่วมกัน...การออกแบบของ LPN ถือได้ว่า"เชย"เหมือนห้องแถว แต่ข้อดีคือ "มันสร้างง่ายและเร็ว" เพราะส่วนใหญ่เป็น Pre-cast อยู่แล้ว ทำให้สร้างได้เร็วมากๆ รวมทั้งคุณภาพมาตรฐาน

..ในกรณี่ที่แม้จะไม่ได้ใช้วัสดุเกรด A ทั้งหมด แต่ก็เปลี่ยนเป็นการเอาใจใส่ดูแลอย่างต่อเนื่อง เช่น การเปลี่ยนกระเบี้ยงที่แตก การดูแลส่วนกลาง ท่อน้ำ ระบบสปริงเคิล ระบบสายไฟ อย่างต่อเนื่อง สามารถชดเชยความด้อยในส่วนของวัสดุได้... ในเรื่องการ Design ที่ไม่หรูหรา อย่างเช่น ทางเข้าที่ไม่หรูแบบ lobby โรงแรม ถูกแทนที่ด้วยระบบความปลอดภัยที่เยื่ยม ใช้ CCTV มากมาย และมียามอยู่ในทุกจุดที่ควรจะมี ซึ่งถือเป็นการเปลี่ยนความรู้สึก ของลูกค้า จากหรูหรา ไปเป็น"ความอบอุ่นปลอดภัยแทน"

ที่พูด มิได้ย่องว่า ดีเลิศเลอ เพียงแต่"ชื่นชม ในการเดินกลยุทธิ์ ที่สร้างจาก"ความแตกต่าง" ที่โดนใจลูกค้า (ไม่ใช่ทุกตลาด)แต่อย่างน้อยก็ตรงใจ Target Market ของ LPN ซึ่งผมมองว่า สอดคล้องกับ การแข่งขันที่รุนแรงในปัจจุบัน (ผู้ที่สำเร็จต้องมี Target ที่ชัด และตอบโจทย์ความต้องการของลูกค้าให้ได้ และนี่คือ หัวใจของความสำเร็จ)

..ธุรกิจ Real Estate ผมมองว่าได้เดินมาค่อนข้างไกล เพราะธุรกิจส่วนใหญ่ของไทย ยังล้าหลังและห่างไกล"ความต้องการลูกค้า" อย่าง LH ซึ่งเป็นผู้นำในบ้านเดี่ยวก็ยังคง Target ที่กลุ่มลูกค้าของตัวเองอย่างต่อเนื่อง ..แต่เผอิญว่า ธุรกิจของอสังหามี Cycle ทำให้ความต้องการเปลี่ยนแปลงรวดเร็ว-- อย่างปีที่ผ่านมา"คอนโดกลางเมืองฮิต" แต่ปีนี้"เริ่มซวย..จากผลกระทบชุมนุม" ดังนั้น ตลาดก็มีโอกาสเปลี่ยนกลับไปหา Trend ของ LH(Land & House) ได้ หรืออย่างในส่วนของ PS(พฤษกษา) ที่ผ่านมาตลอดปี นับว่า โดนใจ Target แถมยังขยายต่อเนื่องแบบ Aggrassive มากๆ

การลงทุนในหุ้นเหล่านี้ ผมว่า เราต้องเริ่มมองที่พื้นฐานของบริษัท ดังที่ผมยกตัวอย่างของ LPN ให้ดูว่า "ไม่ใช่ กางงบดุล ออกมาแล้วเราจะเห็นภาพ คุณต้องเข้าใจตลาดและการเดินเกมของบริษัทนั้นๆด้วย ถึงจะมองออกว่า ในระยะยาว ธุรกิจนี้จะเป็นอย่างไร "เมื่อนำภาพ"ภายใน"ของบริษัท วางเข้ากับ Cycle ความต้องการของตลาด --"คุณจะสามารถอธิบายได้ทันทีว่า ทำไมตอนนี้ราคาหุ้น PS แพง ในขณะที่ราคา LH ถูก" คำถามคือ คุณจะลงใน ตัวที่แพงหรือถูก ซึ่งถ้าถามว่าปีก่อนหน้า 2010 เราก็จะเห็น Trend ที่ Boom ของ คอนโด ซึ่งปีนั้นใครที่ลง LPN ก็จะได้รับผลกำไรที่ดี

..ส่วนในปัจจุบัน Trend ที่เปลี่ยน ทำให้หลายๆคน ทิ้งหุ้น LH เพราะขายไม่ดีในปีก่อน ..เท่ากับว่า ถ้าคุณจะซื้อ LH แทน PS อาจเป็นทางเลือกที่น่าสนใจกว่า (แต่ท้ายสุด เมื่อคุณเข้าใจหุ้นแต่ละตัวอย่างลึกซึ้ง โอกาสที่คุณจะขาดทุนก็แทบจะไม่มี ถ้าผิดก็แค่เดา Cycle ผิด คุณก็แค่ถือยาวให้ผ่าน Cycle นี้ไป เพื่อรับผลกำไรใน cycle หน้า...เดี๋ยวนี้ Cycle เปลี่ยนเร็ว ยิ่งทำให้ความเสี่ยงคุณลดลง เพราะถ้าผิดคุณก็ติดไม่นาน--"จริงมั๊ย!!"

ตลาดที่กำไรที่สุด "Mass Luxury"


หลายครั้งที่"มนุษย์บนโลกนี้"คิดว่า การชนะใน"เกมธุรกิจ"อยู่ที่ "Strategy" แต่มันไม่ใช่เลย ... มันเริ่มตั้งแต่"เลือกลูกค้าแล้ว" ยกตัวอย่างบริษัทรถอย่าง Benz ..หลายคนคิดว่า บริษัทนี่จับ"คนรวย" แต่"ผิด!!ถนัด" แท้จริงแล้ว Benz จับกลุ่ม"คนอยากรวยต่างหาก" ส่วนบริษัทที่จับคนรวย นั้นคือ Ferrari หรือ Roll Royce จะเห็นได้ว่า บริษัทที่จับ"คนรวยจริงๆ" ..ยอดขายแต่ละปีไม่กี่คัน ถึงแม้คันละหลายสิบล้าน กลับขายได้"น้อย..แบบนับคันได้" ต่างกับ Benz ซึ่งขายเฉพาะเมืองไทยปีละหลายพันคัน

-- ประเด็นนี้เป็นหัวข้อที่ถูกหยิบยกขึ้นมาโดยหนังสือ ที่ชื่อ Trading Up ซึ่งเขามองว่าสินค้าอย่าง Benz นี่คือ "ความหรูแบบใหม่" หรือ Mass Luxury เป็น"ตลาดที่กำไรมากที่สุด" เพราะกลุ่มคน"อยากรวย" นั้นมีมากมาย (ต่างกับกลุ่มคนรวยจริงๆ ที่มีน้อย ..และถ้าเขารวยจริงๆเขาก็ไม่รู้จะซื้อ Benz มาทำไม) --"กลุ่มอยากรวย"นี้ถูกผนวกเข้ากับ ค่านิยม"การสร้างหนี้" หรือ พูดอีกอย่างคือ (รสนิยมสูง รายได้ต่ำ "แรงไปป่ะ" ไม่ได้ด่า!! ..แต่พยายามชี้ให้เห็นภาพ)

..คุณสังเกตุไหมที่ Campaign ของ Benz หรือ BMW มีทั้งผ่อนยาว ดอกเบี้ย 0% ยิ่งในต่างประเทศ บริษัทเหล่านี้ปล่อยกู้เองเลย (โดยจัดให้มี Balloon คือ ราคาเหลือ"ก้อนโต"หลังจากผ่อนครบกำหนด เพราะเขามองว่า เมื่อผ่อนครบ 5ปี ก็ยังมีราคาเหลือ ตอนขายคืน) ดังนั้น สมมุติ รถ ราคา 5 ล้าน (ผ่อนจริงๆ แค่ 3 ล้าน ส่วนอีก 2 ล้านค่อยมาเคียร์หลังจากขายรถแล้ว ..สรุปก็คือ ช่วยให้คุณผ่อนได้ถูกลงมากๆ ซึ่งในความเป็นจริง มันก็คือ "คุณเหมือนเช่ามาใช้ ต่างหาก")

ในปัจจุบันนี้ การจับ Mass Luxury ไม่ได้มีแค่ตลาดของ"หรู" อย่าง รถยนต์ แฟชั่น กระเป๋า นาฬิกา เท่านั้น ..มันได้"ลามไปสู่ทุก Sector ของธุรกิจ" ตั้งแต่กระดาษชำระ ยัน อาหาร สุนัข ..สังเกตง่ายๆคือ สินค้าพวกนี้แพงมาก ถ้าเทียบกับสินค้าปกติ (คือ มันเป็นอะไรที่ดู Hiso มาก หากคุณเลือก Brand นี้ เช่น กระดาษชำระปกติ 5 บาท แต่ยี่ห้อนี้ 20 บาท (ตั้งราคา แพงกว่า Benz อีก หากเทียบในสินค้าที่อยู่ใน Cetegory เดียวกัน)

แม้แต่ธุรกิจบริการ อย่างร้านอาหาร หรือ กาแฟ "Starbuck".. นี่กาแฟ "แพงสุดขั้ว" ถ้า Birdy 10 บาท ไอ้นี่ 130 บาท คือ Stakbuck มัน Mark up ที--ไม่รู้กี่เท่า..(แต่!! คนแย่งกันซื้อ) นี่แหละครับที่ผมบอกว่า "การเลือกตลาดที่ถูกต้อง มันทำให้คุณมีโอกาสสำเร็จสูงตั้งแต่เริ่มต้น" -- Stackbuck บอกว่า แม้แต่คนขับแท็กซี่ ก็สามารถสัมผัสความหรูหราอันนี้ได้ (แจ๋วไหม!)

..อย่างวิกฤต"บ้านเมืองแตกเวลานี้" กลายเป็นว่า "ตลาดนี้ก็แทบไม่กระทบ" เพราะคน"อยากรวย" ก็ยังคงอยากรวยอยู่ เพราะเป็นกลุ่มนี้เป็นกลุ่มที่ ใช้จ่ายและก่อหนี้สูง เป็น White Collar ที่มี บัตรเครดิต ไม่รู้กี่ใบ มักทำงานเป็นลูกจ้างบริษัทใหญ่ๆ จึงแทบไม่ต้องกังวลเรื่อง"เงิน" --รูดก่อนจ่ายทีหลัง สบายจะตาย ถอยรถในฝันออกมาขับ แต่ผ่อนจ่ายเท่า Vios อยู่บ้านหรู ทุกอย่างผ่อนหมด (คือ ทำงานทั้งชีวิต เพื่อผ่อนจ่าย Lifestyle แต่ท้ายสุด"ไม่มีเงินเก็บ") ..อย่างที่ผมเคยยกประเด็นของ Maxed Out กับ Mass Luxury มันเป็นอะไรที่สอดคล้อง ..มันเป็นเครื่องมือ มันเป็น"กับดักของ Hi-so" แต่มันคือ โอกาสของผู้ประกอบการอย่างแท้จริง (สู้แล้วรวย..แต่ต้องสู้แบบ ฉลาด! น่ะครับ )

วันอาทิตย์ที่ 16 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

ระบบ Maxed Out ของอเมริกากำลัง"ระบาดทั่วโลกแล้ว


"Maxed Out"คือ หนังสือขายดีของ James d.scurlock ผมเคยอ่านนานแล้ว เกี่ยวกับ "ความร้ายกาจของธุรกิจการเงินที่มีต่อสังคม" จะว่าไปแล้วผมก็ทำงานธนาคาร..เอ๊กๆ!! ..เรื่องมีอยู่ว่า ธุรกิจการเงินแท้จริงแล้วสามารถสร้างและทำลายคนได้ เนื่องจากปัจจุบัน"แม้แต่คนที่มีการศึกษา"ยังตกเป็นเครื่องมือของ"เหยื่อล่อ..ทางการเงิน"สิ่งนั้นก็คือ "ความโลภ"นั้นเอง

สมัยก่อนเรามักถูกสอนโดย "ปู่ย่าตายาย"ว่าอย่าสร้างหนี้ จงใช้จ่ายแต่พอตัว ..สิ่งเหล่านี้ถูกแทนที่ด้วย"เอาของที่คุณอยากได้ไปก่อน แล้วค่อยจ่ายทีหลัง" ประเด็นปัญหามันอยู่ที่"หนี้"ที่คุณสร้างมันไม่ใช่หนี้ธรรมดา แต่มันเป็น"หนี้ทวีคูณ" --เพราะ"ดอกเบี้ย"ของสินค้าเหล่านี้อาจดูน้อยๆ..ผ่อนเดือนละไม่เท่าไหร่ แต่พอคำนวณเข้าจริง"มันเกือบเท่าตัว" ...ปัญหาหนี้เหล่านี้มีรากเหง้าจาก ประเทศที่"ศิวิไลทางการเงิน"อย่างอเมริกาที่คิด Product ทุกรูปแบบ ตั้งแต่คุณอยู่โรงเรียนก็ออก "Debit Card"ให้ พอคุณอยู่มหาลัย แทนที่จะให้เราจ่ายเงินสด..กลับปลูกฝังให้เราจ่ายผ่านบัตร พออายุถึงเริ่มทำงานก็ส่ง "Credit Card" มาให้ ..พอสักพักก็ส่ง "Car Loan" ตามด้วย "Home Loan" ..นี่แหละครับหลักการ Maxed Out คือ"ปลอกลอกคุณ"--ให้เป็นหนี้ให้มากที่สุด บวกดอกเบี้ยอีกหัวบาน และท้ายสุดก็รวมหนี้คุณเป็นก้อนเล็กๆ --"ให้คุณผ่อนจ่าย(ชั่วชีวิต)"

เดี๋ยวนี้เด็กหลายๆคน จ่าย Credit Card แค่ Minimum Required โดยไม่เคยรู้เลยว่า แท้จริง"เขาจ่ายเกิน(ราคาของ)ไปกี่เท่าตัว" อย่างบัตร Credit แท้จริงคือ"การสร้างนิสัยแห่งการเป็นหนี้ชั่วชีวิต" และสังเกตุไหมว่า ถ้าคุณจ่ายผ่านบัตร "คุณจะควักจ่ายง่ายกว่าเงินสด" และนี่เองเป็นสาเหตุที่ทำไมธนาคารอยากให้คุณทำบัตรเครดิต ..ผมว่าคุณน่าจะเอะใจบ้างว่า ทำบัตรเครคิตใบเดียว แถม"ของมาสิบอย่าง".."ธนาคารเขาไม่โง่หลอกครับ..ทุกอย่างที่ให้คุณ เขารู้ว่าเขาจะเอาอะไรจากคุณ!!" So Nothing is Free in this World !!

หัวใจความสำเร็จของ Maxed Out คือ พยายามให้คุณซื้อสิ่งที่ไม่จำเป็นให้มากที่สุด แต่พยายามให้คุณผ่อนให้นานที่สุด (สรุปคือคุณผ่อนแต่ ดอกเบี้ย เงินต้นทบไปเรื่อยๆ ..จนวาระสุดท้ายของชีวิต --"น่ากลัว!!") คุณรู้ไหมเขาขายบัตรเครดิตอย่างไร (ง่ายๆ) ผมก็บอกคุณว่า "พี่ครับ!!บัตรเครดิตนี่สุดยอด พี่คิดดูนะ..มีที่ไหนแต่ละเดือน ธนาคารสรุปยอดการใช้จ่ายมาให้คุณ ฟรี!! เหมือนคุณมีเลขาส่วนตัว ..สมมุติพี่มีบัตรเครดิตหลายใบ พี่ก็แบ่งแต่ละใบ เป็นค่าใช้จ่ายต่างๆ ..เท่านี้พี่ก็สามารถควบคุมรายจ่ายในบ้านทั้งหมด ..พอปลายเดือนธนาคารก็สรุปเป็นStatement มาให้พี่(ฟรี) รายปีไม่ต้องจ่ายอะไร ..สมัครตอนนี้พี่เอาไปเลย "พัดลม Samsumg" ..สรุป คุณ(งง) อ้าปากค้า สมัครทันที" ก็นี่แหละ ชีวิต!!

"Home Loan" นี่ตัวแรงเลย ..มัน American Dream คือสร้างฝันให้ทุกคน"ต้องมีบ้านเป็นของตัวเอง "พอจุดฝันนี้ติด"--Demand มหาศาลของบ้านก็เกิดขึ้น ..พอ Demand มาก ราคาก็"พุ่ง"--ยิ่งพุ่งคนก็ก็ยิ่งซื้อ --ปั่น Bubble กันเข้าไป (รอบ Sub-prime ที่ผ่านมา)เขามีการสร้างแนวคิด การลงทุนในบ้านอย่าง"สวยหรู" เช่น ทุก 7 ปีราคา"บ้านจะทบต้น"....ถามจริงๆเถอะ คุณเชื่อไหม?? --ราคาบ้านมันขึ้นอยู่กับ Demand & Supply ดูตอนนี้ซิครับที่อเมริกา บ้านราคาตกเอา ตกเอา ก็เพราะ Demand มันไม่มี "มีแต่คนจะขายใช้หนี้"ราคาก็ตกเรื่อยๆ แต่หนี้ไม่ได้ตกตาม สรุป (คุณก็จ่ายหนี้ต่อไป)

อย่างไรก็ตาม ไม่ใช่ผม Anti ระบบ"ธนาคาร" --"ไม่ใช่ครับ" ผมเพียงแต่เตือน ให้ทราบถึงสิ่งที่อยู่"เบี้องหลัง" ..การค้าทุกประเภทล้วนมุ่งหวังกำไร --ไม่มีอะไรดีสุดๆ "อะไรที่มันดูเหมือนว่าดีเกินจริง มันก็น่าจะเป็นสิ่งที่ดีเกินจริงนั่นเอง" ...ปัจจุบันเราถูกสอนให้มีทุกอย่างที่คนอื่นมี ถ้าไม่มีเงินก้ไปกู้มามี .."แนวคิดต่างหากที่เป็นปัญหา" ..พฤติกรรมของคน มันได้บ่งบอกอยู่แล้วว่า "คนที่จะรวยหรือจน" ดังนั้น มันไม่ใช่โชคชะตา มันขึ้นอยู่กับ"คุณ"ต่างหาก

ผมเคยอ่านหนังสือของ Rich Dad Poor Dad ที่เขาสอนว่ามีทั้ง Good Debt และ Bad Debt คืออะไรที่"กู้เพื่อไปสร้างรายได้ก็เป็นสิ่งที่ดี(Good Debt)" แต่ถ้ากู้ไปซื้อของไม่จำเป็นก็เป็น Bad Debt --ตัวผมเองสมัยเปิดร้านอาหารที่ออสเตรเลีย ก็เอาบ้าง ผม Maxed Out บัตรเครดิตผมที่มีอยู่ ประมาณ 6 ใบ จากนั้นผมก็ไป กู้ธนาคารเพิ่มเพื่อขยาย"สาขา"ร้านอาหาร

..สรุปได้ว่าผม Leverage อย่างมหาศาล ตามตำรา MBA พอทำเปิดได้ ผมก็เริ่ม"ตึง"คือ ชักหน้าไม่ถึงหลัง ไหนจะหนี้ธนาคาร ไหนจะหนี้บัตรเครดิต ผมเลยคุยกับลูกน้องว่า "เอางี้ผมจะให้ Stock Option คุณ" ..(พูดง่ายๆคือ ผมไม่มีเงินจ่าย เลยจะให้เขาเป็นหุ้นส่วน แบบที่นิยมใน ​Silicon Valley น่ะครับ) สรุป "เน่าครับ"ร้านนั้นปิดไปเลย ได้ฮา..น้ำตาแตก --ผมถึงบอกว่า "ตำรากับชีวิตจริง" มันหนังคนละม้วน ... นี่แหละครับ ไม่ว่าคุณจะเก่งระดับผู้ประกอบการก็ใช้ว่า Maxed out จะหลอกคุณไม่ได้ ---"มันอยู่ที่คุณ It's Only you" หุ หุ.....

ปัญหาของ"คนใหญ่โต"คือ"โรคหูปิด"


ผมอ่านหนังสือชื่อ "SHIFT" ของ Carlos Ghosn ..เกร่นก่อนว่า นาย Carlos นี่เขาเจ๋งขนาดไหน ..ถ้าใครจำได้ช่วง 2-3 ปีก่อน บริษัท NISSAN ประสบปัญหาอย่างหนัก"เกือบล้มละลาย"..ปรากฏว่าระหว่างนั้นมีบริษัท Ranault(บริษัทรถของฝรั่งเศษที่มีนาย Carlos เป็น CEO) เข้ามาเสนอตัวเข้ามาร่วมทุน เพื่อกู้สถานการณ์

--ทาง NISSAN ตอบตกลงทำให้ Carlos กลายเป็น CEO ควบทั้งสองบริษัท บินไปมาระหว่าง ฝรั่งเศษกับญี่ปุ่นเป็นว่าเล่น ..ในเวลาอันสั้น Carlos สามารถกู้สถานการณ์ให้ NISSAN พ้นจากปัญหา "กลับมามีกำไร" ผลคือ คนญี่ปุ่นออกมายกย่อง Carlos ราวกับว่าเขา"เก่งขั้นเทพ"...และนี่เองเป็นสาเหตุที่ผมไปซื้อหนังสือที่เขาเขียนมาอ่าน เพราะอยากรู้ว่า"ไอ้เก่งขั้นเทพ ..มันคืออะไร"

สิ่งที่ผมอ่าน ปรากฏว่า เขาบอกเลยว่า การบริหาร จริงๆไม่ใช่อะไรที่--ซับซ้อน แต่มันคือ Common Sense และการ"รับฟังปัญหา"จากคนที่เจอกับปัญหาจริงๆ และประเด็นนี่เองเป็นปัญหาใหญ่มากๆ สำหรับองค์กรใหญ่ เพราะ CEO เกือบทุกคน มักนึกว่า"ตนเองเก่งสุด ..เก่งแบบไม่ต้องฟังใคร" ส่งผลให้เขาเป็นเสมือน มนุษย์"หูปิด หรือ ไม่มีหูนั่นเอง" จะว่าไปแล้วอย่างบ้านเรา โดยเฉพาะนักการเมือง เป็น"โรคหูปิด"ราวกับติดโรคระบาด ---เพราะแท้จริงการแก้ปัญหาต่างๆในองค์กร"มันง่ายนิดเดียว" คือ คุณแค่เรียกคนที่"ประสบกับปัญหาจริงๆ"มาถามเขาว่า "อะไรคือปัญหา" --วิธีนี้เท่านั้นจึงจะเป็น"การแก้ปัญหาที่ตรงจุด"

..ไม่ใช่อย่างทุกวันนี้ พอบริษัทเจอปัญหาก็เรียก Consult เข้ามา (ไอ้ที่พวก Consult ทำก็คือ ลงมาถามพนักงานที่เจอกับปัญหาว่า"อะไรคือปัญหา จากนั้นก็สรุปเป็นรายงานที่สวยและเข้าใจยาก เสนอ CEO) ...ผมสงสัยว่าทำไม CEO ไม่ลงมาถามพนักงาน มันจะง่ายกว่าไหม!! และนี่เองเป็นสิ่งที่ Carlos Ghosn ทำ คือ เขาลงมาลุยกับพนักงานเลยว่า อะไรคือปัญหา...และอีกจุดที่เขาแนะนำคือ ผู้บริหารต้อง"รู้จักฟัง"

อย่างที่บอกว่า นักการเมืองบ้านเรา พอได้เป็นรัฐมนตรีก็ "กร่าง"คิดว่าตัวเอง"แน่" ก็เดินเข้ากระทรวง สั้งเลยทำนุ่นทำนี่ (สรุปพวกข้าราชการก็นั่งขำ เพราะสิ่งที่สั้งบางทีมันติดกฏหมาย หรือ ระเบียบต่างๆ เลยทำไม่ได้ แทนที่เขาจะเรียก ข้าราชการที่รู้ปัญหามาถามว่า"ติดอะไร" ..นี่แหละถึงจะแก้ปัญหาตรงจุด)
สรุปแล้ว การแก้ปัญหาของ องค์กรและราชการไทยในเวลานี้ "ไม่ได้ยากอย่างที่หลายคนคิด" คือ "แค่ฟัง..คนที่ Face กับปัญหา" ..แค่นี้ทุกอย่างก็ง่าย จริงไหมครับ!!

วันเสาร์ที่ 15 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

Trend ประชากรของโลกบอกอะไรเรา


ปัจจุบันมีคนในโลกนี้อยู่ประมาณ 6,800 ล้านคน (อยู่ใน Africa ประมาณ 1,000 ล้านคน/อเมริกา 920 ล้านคน/ยุโรป 738 ล้านคน และ เอเชีย 4,200 ล้านคน) ..แค่ จีน+อินเดีย ก็ 2,000 กว่าล้านคนเข้าไปแล้ว-- ในส่วนของอัตราการเพิ่มขึ้นของประชากรคือประมาณ 80 ล้านคนต่อปี!! โดยทวีป Africa มีอัตราการเติบโตสูงสุด เอเชียกับอเมริกาใกล้เคียง ส่วนยุโรปมีการเติบโตติดลบ (ข้อสังเกตที่น่าสนใจคือ ในส่วนของอเมริกา"อัตราการเกิดต่ำ ดังนั้น การเพิ่มขึ้นของ"ตลาดแรงงาน"จะต้องพึ่งพา การ "ย้ายถิ่นมาจากที่อื่นเป็นสำคัญ"

จะเห็นได้ว่า ประเทศที่พัฒนาแล้ว จะมีการเติบโตของประชากรต่ำ ทำให้ในอนาคตจะประสพปัญหา"สังคมคนแก่" ซึ่งในยุโรปกับญี่ปุ่น กำลังเข้าขั้น"วิกฤต" --สิ่งที่ประเทศเหล่านี้ต้องปรับตัวคือ "การยืดอายุเกษียณ รวมทั้งการสร้างอาชีพหลังเกษียณให้ประชากร"..จุดนี้จะเป็นการเปิดโอกาสให้ ผู้ประกอบการที่มีวิสัยทัศน์เข้าร่วม"ครอบครองตลาดใหม่นี้"

มาวิเคราะห์"พฤติกรรมของคนแก่" สังเกตุได้ว่า จะเป็นช่วงที่ใช้จ่ายน้อยลง ..รายจ่ายหลักจะอยู่ในเรื่องของ"สุขภาพและการแพทย์" ซึ่งในอนาคต เราไม่สามารถปฎิเสธได้ว่า Health Care เป็นธุรกิจ"ที่น่าจับตามอง"

ในส่วนของประเทศไทยเอง มีการผลิตบุคคลากรทางด้านการแพทย์ ได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ประเทศอย่าง"ตะวันออกกลาง"มีการเข้าใช้บริการด้านการแพทย์ในประเทศเราอย่างมากมาย ...ตลาดหุ้นในบ้านเรา ยังถือว่า Sector โรงพยาบาล ค่อนข้างจะซบเซา แต่ถ้าเรามองไปข้างหน้า ผมว่าเป็นอะไรที่"มองข้ามไม่ได้"(น่าลงทุน!!)

..ในส่วนของ"ตัวเรา".. ผมว่าหากต้องการ พัฒนาตัวเองให้ สอดคล้องกับโลกอนาคต ควรฝึกฝนตัวเองสู่การเป็น Knowledge Worker เช่น นักกฏหมาย ,นักลงทุน,นายธนาคาร,การแพทยื และ วิทยาการแขนงใหม่ เพราะเมื่อเราต้องทำงาน"จนแก่" ก็ควรเลือกงานที่ทำได้จนแก่ คือ ยิ่งแก่ยิ่ง"เชี่ยว".. ไม่ใช่เลือก"ใช้แรงงาน" เพราะนั้นยิ่งแก่ยิ่งอ่อนแรง(ซวยได้) --ผมว่าการเลือกอาชีพ ก็นับเป็น Vision ที่สำคัญในความสำเร็จของชีวิต...แต่ละปีมีคนเพิ่มขึ้น 80 ล้าน แต่ทรัพยากรมีแต่"ลดลง"--ดังนั้น(แม้ปัจจุบันราคาของสินทรัพย์จะมีราคาที่ผันผวนมากๆ) แต่ในระยะยาวสินทรัพย์ต่างๆจะต้องมีมูลค่าเพิ่มขึ้นอย่างแน่นอน

ในตลาดหุ้นอเมริกา"ที่กำลังประสพ"ได้รับผลกระทบจากการที่ "กลุ่ม Baby Boomerซึ่งเป็นกลุ่มที่มีสัดส่วนใหญ่ที่สุด"กำลังเกษียณจึงมีการเทขายหุ้นออกมา ส่งผลให้หุ้นตก อย่างที่เห็นในปัจจุบัน.. ประชากรุ่นต่อไปของอเมริกา Gen X/Y/Z ก็มีสัดส่วนที่ต่างกัน และมีพฤติกรรมที่ต่างกัน

...อย่างในประเทศไทย ตอนนี้ Gen X กำลังก้าวมาเป็นผู้บริหารระดับสูงในองค์กร ในขณะที่ Gen Y กำลังก่อปัญหาของ "การกระโดดไปมาระหว่างงาน"..ส่วนGen Y (อายุ 25 -35 ปี) ในส่วนของกิจการขนาดกลาง ก็ก้าวขึ้นมาเป็นเถ้าแก่"ต่อจากพ่อ"--ในส่วนของการลงทุนในบ้านเรา Baby Boomer และ Gen X ถือเป็นสัดส่วนที่สำคัญในตลาดหุ้น (ซึ่งลงทุนผ่านกองทุน RMF/LTF) --ทุกส่วนของ"ประชากร"ล้วนมีผลต่อการลงทุน ดังนั้น การทำความเข้าใจ "Trend ของประชากร" จึงมีความสำคัญต่อการ"ลงทุน"อย่างมาก ...

จากประสบการณ์ที่ผ่านมาในการทำงานร่วมกับ Consulting ต่างชาติ..เห็นได้ชัดว่า ทุกรายงานล้วนแต่เริ่มจากการศึกษา Demographic (แนวโน้มประชากร)ทั้งสิ้น --เนื่องจาก "แนวโน้มประชากร"จะเป็นการบ่งบอกล่วงหน้าถึงพฤติกรรมหรือตลาดที่กำลังเปลี่ยนแปลงในอนาคต ..ส่วนตัวผมเชื่อว่า"ใครก็ตามที่สามารถมองภาพ"การเปลี่ยนแปลงของประชากร"ได้เก่ง..เขาก็จะมีโอกาส"กำชัย"ในการวิเคราะห์ Trend ใหม่ๆในอนาคตได้อย่างแม่นยำ" --"Demand" ของทุก"ธุรกิจ" ต้องเริ่มจาก "ประชากร"ทั้งนั้น และนี่ก็คือ Key Success Factor ที่แท้จริงของธุรกิจนั่นเอง

"จำนวนคนโดดตึกตาย"--ดัชนีวัดความ Bubble ของตลาด


ไอเดียที่เสนอนี่อาจฟังดูแปลกๆ แต่ผมว่า"จำนวนคนโดดตึกตาย"มันสามารถชี้ได้ลึกๆ ถึงปัญหาว่า"กระทบถึงพื้นฐานที่แท้จริงเท่าไหร่" ผมจำได้ว่าตอนปี 1997 มีคน"โดดตึกฆ่าตัวตายมากมาย"--แสดงว่าตอนนั้นมัน"แรงจริงๆ" ..แต่มาเที่ยวนี้ตอน Sub-Prime Crash ไม่เห็นมีใครมาฆ่าตัวตายเหมือนอย่างปี 97

...จุดนี้มันชี้ให้เราเห็นว่า วิกฤตคราวนี้(เอเชีย)เราเจอแค่"หางๆ" แต่อเมริกากับยุโรปโดน"เต็มๆ"(อย่าง Greece ในตอนนี้เจอเหมือน"ต้มยำกุ้ง" ลองคิดดูซิครับว่า จะมีก็คนต้องโดดตึกตาย เพราะขนาดความเสียหายเขามากกว่าเรา 30 กว่าเท่า)

ดังนั้นตั้งแต่ปี 1997 ถึงปัจจุบันก็ปาเข้าไป 10 กว่าปีแล้ว..ที่ตลาดเรายังไม่ได้เจอ Bubble เลย ...ซึ่งโดยธรรมชาติ ในทุกๆ 15 ปีก็น่าจะมี Bubble ครั้งนึง --ซึ่งก็เป็นไปได้ว่าเราใกล้สู่ Bubble อีกครั้ง ...ครั้งนี้ไม่รู้จะแรงไปถึงกี่"จุด"

หากย้อนดู Bubble ครั้งก่อนของตลาดบ้านเรา เริ่มจากปี 1986 ที่ประมาณ SET 130 จุด วิ่งไปสู่ Peak ของ Bubble ที่ 1,680 จุดในปี 1993 (เป็นเวลา 7 ปีเต็มที่ตลาดเราอยู่ในสภาวะ"Bubble"..เรียกได้ว่า ยุคนั้นก็ให้เกิดคนรวยมากมาย)--จากนั้นตั้งแต่ปี 1994 - 1998 จากจุด Peak ก็วิ่งลงมาแตะ 200 จุดในปี 1998 เป็นเวลาเกือบ 4 ปีที่ ทำให้คน"เจ๊ง"หมดตัวอย่างมากมายเช่นกัน ..แน่นอน ทุกคนอยากลงทุนก่อน Bubble และอยากออกก่อนที่จะ Bust (แต่ถ้าหากเรามัวแต่หลง"ระเริง"กับกำไรเล็กๆน้อยๆรายวัน สำหรับการ"ซื้อๆขายๆ" อาจเป็นกับดัก ที่ทำให้เราลืมภาพใหญ่ และลวงเราไปสู่"ดอยมรณะ"ในที่สุด)

คุณสังเกตุไหมว่าตั้งแต่ต้นปี 2009 เป็นต้นมา ..แทบไม่มีคนใดเลยในตลาดที่ขาดทุนตากการเล่นหุ้น .."ไม่แปลก!!" เนื่องจากตั้งแต่ต้นปี 2009 เป็นต้นมาตลาดยังอยู่ใน"ขาขึ้น"นั้นเอง ..อีกจุดนึงถ้าใครสังเกตุจะเห็นว่า ทุกครั้งที่คุณขาย โอกาสที่ต้นทุนคุณจะสูงขึ้นเรื่อยๆเป็นไปได้สูง นั่นหมายความว่า (คนที่กำไรที่สุดในตลาดตอนนี้ ก็คือ ผู้ที่เข้าตั้งแต่ต้นปี 2009 และยังไม่ได้ขายนั่นเอง) ....เวลานี้เป็นยุค"โดดตึก"ของอเมริกาและยุโรป เพราะเรา"เคยโดด"กันมาก่อนแล้ว ..เราอย่าเผลอไป"โดด" ร่วมแจมกับเขาเพราะอารมณ์ร่วม...หุ หุ....

(("โวหารพาเพลิน"))--(ประเทศแต่ละประเทศย่อมมีวงจรการขึ้นลง แตกต่างกันไป ..บางครั้งภาพรวมอาจ สามารถสร้าง"ความกลัว"ที่ทำให้นักลงทุน"ตัดสินใจ ด้วยอารมณ์" ซึ่งทำให้ "ราคาหุ้น"เกิดความผันผวน(สุดๆ)..ในช่วงเวลาหนึ่งๆ ..ซึ่ง"ช่วงเวลาดังกล่าว"หากใครสามารถ แยกแยะอารมณ์ออกจากการตัดสินใจได้ --เขาก็จะมีโอกาสได้ซื้อหุ้นในราคาที่"ถูกสุดๆ"นั่นแล...ดังภาษิต "หนึ่งชาย(ขายหมู) อีกหนึ่งชาย(ซื้อหมู)")

วันศุกร์ที่ 14 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

"ยุโรป"สะดุด "ไทยกระอัก"


ช่วงนี้ปัญหาของ Greece ที่เข้าหูเราทุกวี่วัน อาจทำให้หลายๆคนกลัวว่า "ตลาดอาจเป็น Double Dip อีกครั้ง" ..จะว่าไปแล้วปัญหาของ Greece เริ่มระแคะระคายมาตั้งแต่เขายกเอากลุ่ม "PIIGS"--(โปรตุเกส,ไอส์แลนด์,อิตาลี,กรีซและ สเปน)คือ ประเทศเหล่านี้มี"หนี้สาธารณะที่สูงมาก" (เท่าที่คุณฟังๆนักวิเราะห์พูดว่า .."หนี้สาธารณสูงมันแย่ต่อเศรษฐกิจ" --"มันจริงหรือ?")

--จริงๆแล้วประเด็นข่าวสารที่เราได้รับกันแต่ละวัน มันเป็นการพูดต่อๆเล่าซ้ำ โดยไม่ได้มีการกลั่นมาดูว่า"จริงหรือไม่" ..อย่างประเด็นหนี้สาธารณะของรัฐบาล มันก็เปรียบเสมือน"หนี้ของบริษัท" ..ในเชิงการบริหารสมัยใหม่ เรามักนิยมให้บริษัท"กู้"คือ Leverage ให้มาก ตราบเท่าที่ "กำไรที่ได้มาสูงกว่าต้นทุนของเงิน"

--พูดเป็นภาษาคนก็คือ "ถ้าเงินกู้ 1 บาทมาลงทุนแล้วทำให้ได้กำไรมากกว่า 1 บาท ก็น่าที่จะกู้"..อย่างอเมริกากู้เยอะมาก หนี้สาธารณะประมาณ 92.4% ของ GDP แต่ปรากฏว่าเงินที่กู้มา พอเทียบกับมูลค่าที่ทำให้เศรษฐกิจเติบโต..มันเกินกว่าเงินที่กู้มามาก (คือ ถ้าเรานับ Asset ทั้งหมดของอเมริกา เอา"หุ้น".."ที่ดิน".."ตึก".."เศรษฐกิจ"มาเทียบ จะเห็นได้ว่า Debt to Equity ต่ำมาก...แต่--ทุกคนบอก"โห!! หน้ากลัวสุดๆ" แต่คุณลองดู บริษัทใหญ่ๆ Debt to Equity สูงกว่าตั้งเยอะ.."ไม่เห็นมีใครบ่น..เอาแต่บอกว่า ดีๆ เพราะทำให้กำไรเพิ่ม" จุดนี้ชี้ให้เห็นถึง การวิเคราะห์ส่วนใหญ่"มองแคบ..ไม่ได้มองภาพใหญ่ ทำให้ผลลัพธ์มัน"ไม่ถูกต้อง"

แต่เนื่องจาก "พอคนหลายๆคน พูดว่า แย่ แย่!!...ความเชื่อมั่นของคนจึงลดลง(ตามกฎ Reflexivity Theory ของ George Soros).. และนี่เป็นผลที่ทำให้ตลาด Crash ได้ง่ายๆ --จากแรงส่งสองเด้งดังกล่าว" ..ปัญหาที่แท้จริงของยุโรป กลายเป็น"เงินยูโร"เอง--การที่ประเทศที่เศรษฐกิจต่างกัน พื้นฐานต่างกัน แต่มาใช้ "เงินสกุล"เดียวกัน ทำให้เกิดปัญหา ...อย่างปัญหา Greece ตอนนี้จะคล้ายๆ"ไทยเราตอนปี 97(ต้มยำกุ้ง)"เพียงแต่ Greece ใหญ่กว่าเรา (เงิน Bailout ของเขา 1.1 แสนล้านยูโร ขณะที่เราตอนนั้น 3 พันล้าน ..ขนาดต่างกัน!! แต่ปัญหาแย่คล้ายๆกัน)

แต่การที่ Greece ใช้เงิน"ยูโร" ทำให้ไม่สามารถที่จะใช้การแก้ปัญหาทางการเงินเหมือนที่เราใช้(การปล่อยค่าเงินบาทลอยตัว ส่งผลให้การส่งออกแข็งแกร่ง ผนวกกับการขึ้นดอกเบี้ยเพื่อรักษาเสถียรภาพของเงิน) จะเห็นได้ว่า Greece ไม่สามารถทำอะไรกับนโยบาย"การเงิน"ได้เลย มิเช่นนั้น จะไปกระทบประเทศอื่นที่ใช้"ยูโร" ดังนั้น วิธีเดียวที่ทำได้ --ก็เพียง "การลดค่าใช้จ่ายรัฐบาล กับเพิ่มภาษี" ซึ่งเป็นนโยบายที่ล้วนแต่ ทำให้เศรษฐกิจหดตัว

..สรุปว่า EU เที่ยวนี้"กระอัก เพราะเจอทางตัน" แต่ใช่ว่าไม่มีทางออก เพราะท้ายสุดผมว่า ยังไงต้องไปจบที่การ"สร้างหนี้เพิ่ม" นั่นหมายถึง "โอกาสทางการลงทุนใน Asset เพราะ ค่าเงินมัน"ยุโร"จะต้องลดลง ดังนั้น ถ้าภาพรวมของ "ยุโรต้องอ่อน" ในส่วนของ"ดอลล่าห์ก็ต้องอ่อน" --"เอเชียผู้ค้าขายได้ดุล ก็ต้องแข็ง" ..มันจะส่งผลต่อการ"ไหลเข้ามาลงทุนในเอเชียอีก..ระลอกใหญ่แน่นอน"

"ถ้าเงินทะลักเข้า(เอเชีย) Asset ก็ต้อง Bubble" ดังนั้น ขั้นแรกเลย "คุณหา Asset มาถือไว้..ก่อนที่เงินจะเข้า ....ที่บอกว่า"ไทยกระอัก" ก็คือ Asset Bubble ย่อมทำให้คนมากมาย"รวย" ..แต่จะ"กระอัก"ก็ไอ้ตอนมันตก!!

---อย่างตอนนี้ถ้าผ่านการเมืองไปได้เราเป็นอะไรที่น่าจะ"ดีเต็มๆ" เพราะอย่างปัญหา EU เกี่ยวข้องโดยตรงกับเราน้อย เนื่องจาก"ประเทศที่เจอปัญหากับเราหนักๆ อย่างกลุ่ม "PIIGS" นี่ ค้าขายโดยตรงกับเราแค่ประมาณ 1% จึงไม่น่าจะกระทบเรา...ดังนั้นแม้ในระยะสั้น ตลาดยุโรปส่งผลลบต่อ"ความเชื่อมั่นของนักลงทุน"อาจทำให้ตลาด"ปรับฐานแรงบ้าง.. แต่ในภาพรวม น่าจะเป็นการสะดุดช่วงสั้นๆ ซึ่งเราสามารถมอง"ข้ามShotได้"..หากคุณลงทุนในระยะยาว...(อู้!! Asset รีบไปเอามาถือไว้!!!)

บทเรียนการลงทุนใน"อสังหา"


ปีที่ผ่านถ้าใครจำได้ "คอนโดกลางเมือง(สุดยอด!!) ที่ดินกลางเมืองแถวรถไฟฟ้า ตารางวาละแสน ..ที่ดินตรงราชประสงค์ ตารางวาละ "ล้าน" แพงสุดยอด(ช่วงนั้นยังไม่มีชุมนุมเสื้อแดง)".. บริษัท Real estate ต่างๆหุ้นขึ้นสุดๆ ตั้งแต่ PS, LH , AP , SIRI , LPN, SPALI "ตอนนี้เจอวิกฤตแดงเดือด ปิดถนนมันกลางเมืองซะงั้น" จากที่บริษัทต่างๆกำลังคึก"เปลี่ยนเป็น..(หน้าซีดแทน) เพราะ"ที่ดิน"ที่ตุนซื้อเข้ามา.. ไม่รู้โครงการจะเป็นหมันหรือไม่"

ช่วงนี้ธนาคารต่างๆเบรกเงินกู้พวก--บริษัทที่เกี่ยวเนื่องกับการชุมนุมทันที ซึ่งก็คือ บริษัทก่อสร้างและธุรกิจเกี่ยวเนื่องกับโรงแรมและการท่องเที่ยว ---คือ จะบอกว่า กำลังรู้สึกดีๆอยู่ Mood ตลาดเปลี่ยนชนิด"หักดิบ"...ตอนนี้ถ้าถามว่าใครอยาก"ซื้อคอนโดกลางเมือง..คนจะแบะหน้าทันที" ใครๆก็อยากออกไปข้างนอก(ตอนนี้คนเริ่มคิดได้ว่า คอนโดกลางเมืองก็อาจแย่ได้เหมือนกัน..อยากอยู่ไกลๆปัญหา..วันหยุดนี่! พัทยา-หัวหิน แน่นสุดๆ).. คราวนี้บริษัทไหนที่มีโครงการอยู่รอบนอก "จะขายดีแทน"

ลองคิดดีๆซิครับ ว่าเราควรมองบริษัทไหนมาเป็น "อนาคต" --((ใช่แล้ว!!))-- SC Asset ..บริษัทนี้(ไม่น่าแปลก)ที่ไม่ได้รับผลกระทบจากการชุมนุมเลย ปีนี้ยอดขายและกำไร"พุ่งกระฉูด"(เหมือนSC เขาหยั่งรู้อนาคต.."คุณว่ามั๊ย") ..บ้านของ SC จับ"ตลาดบนสุด" บ้านอยู่รอบนอกเดินทางสะดวกเพราะใกล้ทางด่วน

--ต่อให้ม๊อบ"ปิดราชประสงค์ อีกปีนึง..ยังไม่กระทบเลย..(เพราะคนรวยก็ยังคงรวยไม่ว่า"ม๊อบ"จะอยู่นานแค่ไหนก็ตาม)...หุ หุ --ที่พูด ไม่ใช่ให้ซื้อหุ้น SC นะครับ เพราะรัฐบาลเพ่งเล็งอยู่ "อย่าไปยุ่งจะดีกว่า เดี๋ยวจะเป็นหมันเหมือน ไทคม" แต่ที่น่าสนใจคือ ผมว่าน่าซื้อบริษัทที่"จับลูกค้า"คล้ายๆ SC น่าจะดีกว่า ...(แต่รออีกสักหน่อย ก็ได้ เพราะตอนนี้ ยังไม่ได้รับผลกระทบเลย) อย่าง LH ผมว่า ก็"มีลุ้น" เพราะจับตลาดบน และ ทำเลชานเมือง และตอนนี้ก็ Focus ไปใน Target Market "ไม่จับฉ่าย"

... ส่วน LPN ก็น่าสนใจไม่เบา เพราะ โครงการต่างๆ ตั้งอยู่ไกลจาดการชุมนุม แถมโครงการใหม่ก็คือ ขยายจากที่ในโครงการเก่า ทำให้"ความเสี่ยงน้อย" --ต่างกับบริษัทเล็กๆที่ Focus ไปในคอนโดกลางเมือง "เจ็บหนักแน่"

จริงๆประเด็น ไม่ใช่จะมาแนะนำหุ้น -- แต่ผมสนใจ"มุมมองของความ Demand ของตลาด"ต่างหากที่น่า"ศึกษา" ผมว่า Competitive Advantage ในปัจจุบันมันเน้นย้ำทฤษฎีของ"ชาวสวน..หรือ คิดต่าง"จึงจะชนะ ...คืออะไรที่ดี"มันจะแพง" อย่าไปยุ่ง เพราะโอกาสตก มันสูงกว่าโอกาสขึ้น อย่างผู้พัฒนา Real estate ที่เล่นตาม Trend ตลาด"คอนโดกลางเมือง"ตอนนี้เหงื่อแตกกันเป็นแถว

..แต่บริษัทที่ Focus ใน"ความถนัดของตัวเอง"ไม่บ้าตามตลาดกลับอยู่ในสถานะที่ดีกว่า --- โดยเฉพาะอย่างยิ่ง ในธุรกิจที่มี Cycle เนื่องจาก"สินค้าต้องใช้เวลาในการพัฒนา" ไม่ว่าจะเป็น ก่อสร้าง, การเดินเรื่อ, โรงกลั่น ต่างเข้าข่ายธุรกิจประเภทนี้ทั้งนั้น.. การลงทุนก็เช่นกัน ผมว่าเราต้องมองข้าม Shot (ไม่ใช่ลงทุนตามสถานการณ์ตลาด)ใครมองได้ไกลกว่าย่อมหมายถึง "ชัยชนะในเกมธุรกิจและการลงทุนนั่นเองครับ"

ผมชอบ พฤกษา(PS) ของคุณ "ทองมา" เพราะเป็นบริษัทที่เริ่มจากเล็กๆ สร้างบ้านราคาถูกของ BOI ตั้งแต่ปี 2535 ตั้งแต่ราคาจำกัดที่ 6 แสน .. หนทางของพฤกษาเติบโตมาด้วย Cost Leader ทำให้ พฤกษาต้องมุ่งมั่นในการ"ลดต้นทุนอย่างต่อเนื่อง เช่น การใช้ Pre-Cast" จนกลายเป็นบริษัทก่อสร้างที่ "ต้นทุนต่ำและใช้เวลาสร้างเร็วที่สุดในอุตสาหกรรม" ..มาถึงวันนี้ PS กลายเป็นที่หนึ่งในอุตสาหกรรม

..ในปีนี้ก็ยังคงลงทุนอย่างต่อเนื่อง รวมทั้งขยายไปต่างประเทศเช่นอินเดีย และประเทศเพื่อนบ้าน ..และนี่เองที่ผมว่าเป็นความสำเร็จของ"การคิดต่าง" ...อย่างไรก็ตามเส้นทางยังคงรอการพิสูจน์ ซึ่งผมได้หมายตา PS เป็นหนึ่งในหุ้นที่ผม"สนใจจะซื้อ" เพียงแต่ "ไม่ใช่ซื้อตอนนี้ ..คือ ต้องรอให้(สะดุด)ถึงจะเป็นจังหวะเข้านั้นเอง" --เพราะผมเชื่อว่า บริษัทที่ดี เมื่อประสบปัญหามันจะยิ่งทำให้เขา"แข็งแกร่งมากขึ้น"....

วันพฤหัสบดีที่ 13 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

รุนแรงอีกแล้ว"ใครยิงเสธแดงว่ะเนี่ย"


ตอนแรกรัฐบาลเริ่ม"ดูดีขึ้นเรื่อยๆ".. แต่พอ"เสธแดง"โดนยิง เลย"ซวยแล้ว!!" --"ยืดเยื้อแน่!!".. เดี๋ยวพวกแกนนำก็เอาเรื่องนี้ขึ้นมา"ปลุกเร้าต่อ" ...ใครทำก็ไม่รู้แต่"เอาชีวิตคนมาเป็นเกมมันป่าเถือน..นะผมว่า" --ใครยิงไม่สำคัญ แต่ที่สำคัญคือ ตอนนี้ไอ้คนยิงมัน--"บรรลุจุดประสงค์ของมันแล้ว คือ ล้มแผนปรองดองนั้นเอง"

...แต่ก็เป็นไปตามที่ฝรั่งคาด เพราะเพิ่งเทขายออกไปตลอดอาทิตย์ ตอนนี้พวกฝรั่งมันหวังให้"ตลาดพัง"จะได้ไปซ้อนซื้อต่ำๆ --"ผมฟันธงเลย--((ฝรั่ง มันยิง เสธแดง))แน่ๆเลย...(เป็นงั้นไป)"..แต่ก็ช่างมันเถอะครับ เอาเป็นว่า คนฉลาดต้องไม่เอาตัวเราไปผูกเป็นเครื่องมือ ต่อรองผลประโยชน์ให้คนอื่น

เรามาดูเรื่องลงทุนของเราต่อ คือ ตอนนี้ตลาดน่าจะลงแรงแน่นอน แต่สำหรับคนที่ถือหุ้นอยู่..ผมว่าไม่ควรขาย"ให้ถือต่อ" --มันมีเรื่องเล่าอยู่อย่างสำหรับการลงทุนว่า--(คนที่ออกได้ทัน ก็มักจะเข้าไม่ทัน!!) สมมุติ คนที่ออกเมื่อวาน ตลาด 765 จุด (ดีใจ เฮ้..ออกทัน) จากนั้นตลาดก็รูดลงเรื่อยๆ วันละ 50 จุด(สมมุติ) ตกลงไปแตะ 600 จุด

...ผมถามหน่อยว่าไอ้พวกที่ออกทันมันกล้าเข้าไหม?? --(ชัวร์..มันบอกว่ากล้า!!.. แต่พอเจอสถานการณ์จริง มันไม่กล้า!!-- มันจะรอให้..ลงไปอีก) สุดท้ายตลาด"ดีดกลับ" ..เข้าไม่ทัน --นิทานเรื่องนี้คือ"ผมเอง" ปี 2008 ผมออกทัน สรุปรอให้มันร่วงต่อ ร่วงต่อ ..กว่าจะเข้าจริง ตลาดมันวิ่งกลับไปเยอะแล้ว..ตามแทบไม่ทัน(เกือบตกรถไฟ!!)

ดังนั้นรอบนี้ "ใครติด" ไม่ต้องกลัว เพราะเมื่อมัน"ดีดกลับ"มันจะผ่านจุดนี้ไปอย่างง่ายดาย เพราะปัจจัยต่างๆ ราคาหุ้นเราตอนนี้"ถูกมาก" เพียงแต่ "การเมือง(กรรม)"มันบังตา ..เมื่อฟ้าเปิดเมื่อไหร่ สดใส หายห่วง"รวย"--นี่แหละครับ มันวัดใจ (ถ้ามันเดาง่าย 80% ของคนเล่นหุ้นคงไม่เจ๊งหรอกครับ)ตอนนี้คนส่วนใหญ่ถือเงินสดอยู่ ดังนั้น"ผู้ที่ติดหุ้นในขณะนี้"จงภูมิใจว่าคุณคือ 20% ของตลาดที่จะกำไร ..อย่าปล่อย"หมู"จงเก็บไว้...โชคดี!!

เตือน(เล็กๆ)เรื่อง"ทอง"


ช่วงนี้ผมว่าเข้าสู่ยุค"ตื่นทอง"อีกครั้งแล้วซินะ.. แต่จริงๆผมมีเกร็ดเล็กๆมาฝาก ..อย่างแรกเลยต้องเข้าใจว่าของคือ Commodity ชนิดหนึ่ง เหมือน เหล็ก ดีบุก น้ำมัน --ทำให้ธรรมชาติของทองมันมี Cycle ของการขึ้นลง(ไม่ใช่ขึ้นตลอด) แต่"ทอง"จะพิเศษกว่า Commodity อื่นๆตรงที่มันหวือหวากว่า(คนชอบเสี่ยงชอบ!!)

แต่ข้อเสีย มันอยู่ที่ว่า "ทอง"ถูกนำมาใช้เกิน Commodity ปกติ โดยเฉพาะปัจจุบันที่"นักลงทุน" ถือทองเพื่อลดความเสี่ยงในการลงทุน (ถ้ามองในทฤษฎีก็ไม่ผิด เพราะ Commodity Cycle จะขึ้นลงสวนกับตลาดหุ้น ซึ่งปัจจุบัน Cycle ของ Commodity ก็ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้นอยู่) แต่สิ่งที่ทำให้ทอง"ยาก"กว่า Commodity อื่น เพราะจากการถือของนักลงทุน ทำให้ Demand ใน"ทอง"เกินกว่าความต้องการใช้จริงในตลาด(พูดภาษาชาวบ้านก็คือ ราคาจะบวก Bubble เข้าไปด้วย ทำให้ทองราคาสูงเกินไปกว่าความเป็นจริง) "แต่ ณ จุดนี้ผมไม่ได้บอกว่าทองสูงเกินไปแล้ว เพราะ Bubble ไม่มีจุดสูงสุด --มันจะหยุด Bubble ก็คือทางเดียวคือ ตลาด Crash เท่านั้น" ดังนั้น เป็นไปได้สูงมากที่ทองจะขึ้นต่อไปอีก

คำถามที่หลายคนสงสัยว่า"จุดสูงสุด"มันอยู่ที่ไหน ..ถ้าเทียบกับ Dow Index ตลาดหุ้นทองเคยยุค(ขาขึ้น)สามารถขึ้นไปแตะเท่ากับ Dow (ซึ่งตอนนี้ Dow อยู่ที่ 10,900 จุด แสดงว่า ทองอาจ Bubble ไปอีกได้ 8 เท่าจากราคาปัจจุบัน แต่พอตลาด Crash มันก็สามารถตกกลับไปเหลือ ไม่ถึง 10% ของราคาที่มัน peak(ตามสถิติในอดีต) "จะเห็นได้ว่ามันเสี่ยง ไม่ใช่ไม่เสี่ยง --"แต่มันก็น่าเสี่ยง" (อยู่ที่)ถ้าความกล้า..ถูกไหม"

อีกมุมนึงของทอง คือ มันคล้ายๆหุ้นที่มี"เจ้ามือ" ถามว่าใครคือ เจ้ามือ --ก็ธนาคารชาติของประเทศต่างๆ FED, IMF พวกนี้ถือทองไว้เยอะมาก ซึ่งถ้าเทียบสัดส่วนที่"พวกเรา"เล่นหมุนเวียนกันอยู่ ถือเป็นสัดส่วนที่"น้อยมาก" ดังนั้น หาก"เจ้ามือ" เหล่านี้ อยากล้มกระดานเมื่อไหร่ "เกมก็จบ" --อยากรู้ว่าต้นทุนของ"เจ้ามือ" เหล่านี้เท่าไหร่ ..คุณคิดเอาเองแล้วกัน พวกนี้ถือตั้งแต่ทองยังไม่ถึง 100 us ตอนนี้ 12,000 us (ธนาคารชาติของประเทศต่างๆกำไรไปเท่าไหร่แล้วจากราคาปัจจุบัน)

ที่ผมเขียนบทความนี้ ก็จะเตือนว่า "การลงทุนในอะไร คุณต้องรู้ประวัติความเป็นมา ไม่ใช่ใครแห่อะไร ก็วิ่งตาม จะซวยเอาง่ายๆ" --จากนี้ ผมฟันธงว่า ทองจะวิ่งต่อไปเรื่อยๆ ตราบใดที่เศรษฐกิจยัง"ผันผวน" แต่ถ้าเศรษฐกิจมีสัญญาณ"ดี"เมื่อไหร่ "ทิ้งทันที" -- เมื่อนั้นคนถือทองอยู่ได้"หนาว" ... "โชคดีครับ"

*อีกนิด!! เวลาทอง"ไม่วิ่ง"มันนิ่งได้ถึง 20 ปี (คือ พูดง่ายๆว่าตอนมันวิ่งมันวิ่งสุดๆ แล้วพอมันหยุดวิ่ง มันสามารถนิ่งได้ถึง 20 ปี) --(Cycle รุ่นคุณปู่เราเล่น)..หยุดที่ 400 ต่อบาท เกือบ 20 ปี --(Cycle รุ่นคุณพ่อเราเล่น) ..หยุดที่ 4,000 ต่อบาทเกือบ 20 ปี --( Cycle เราเล่นนี่ ตอนนี้ราคา 18,000 ต่อบาท ช่วยกันคิดซิครับว่ารอบนี้ จะไปหยุดที่ราคาไหนอีก 20 ปี.... เอ้า!! ช่วยกันคิดครับ....)

วันพุธที่ 12 พฤษภาคม พ.ศ. 2553

เราเรียนรู้อะไรจากตลาดผันผวนของอเมริกา(วันก่อนตลาดตกไป 1,000 จุด แล้วก็ Correction มาเหลือแค่ตก 300 จุด ในวันเดียว)


นี่เป็นตัวอย่างที่"น่าจะเกิดกับบ้านเรา" วันใดวันนึง ในปีนี้ ..นั่นหมายความว่า "คุณสามารถกำไรเป็น 20 -30 % ภายในวันเดียว" --(ไม่ผิดหรอกครับ ..จากนี้ไปมันเป็นไปได้) --ประเด็นอยู่ที่คุณ"ใจถึงเพียงใด" ..สำหรับผม ผมถือเล่นหุ้นยาว ดังนั้น การทำเช่นนี้"เสี่ยงเกินไปสำหรับผม "แต่นี่ก็ไม่ได้หมายความว่า มันเสี่ยงเกินไปสำหรับคุณ (เพราะผมเชื่อว่า คนส่วนใหญ่ในขณะนี้ไม่ได้ถือหุ้นเหมือนผม)..เพราะจริงๆคนที่ถือเงินสด (เสี่ยงกว่าผมเป็นทุนอยู่แล้ว) เพราะผมได้ ปันผลที่สูงกว่าดอกเบี้ย แถมผมได้มูลค่าเพิ่มเมื่อผมจะขายในเวลาอีกนาน

วิธีการคือ "จากนี้ไปจนถึงปลายปี"ต้องมี "วันใดวันนึง"ที่ตลาด กระตุก ตก"แรงจัดๆ"(ที่ผมพูดถึงคือ ตั้งแต่ 50 จุดขึ้นไปในวันเดียว).. คือ ให้คุณเข้าตรงนั้น "แล้วก็รอ"และจากนั้น คุณก็จะ"รวยทันที" --บางคนถามว่า อ้าว..แล้วถ้ามันตกต่อ ทำไง ..ก็ไม่เห็นต้องทำไงเลย "ถือต่อไปจนมันกำไรแล้วค่อยขายไง"

-- ณ วันนี้ตลาด"ถูกมาก" ถ้าไม่มี "การเมือง"วุ่นๆป่านนี้ ทะลุ 800 จุดไปนานแล้ว ..ซึ่งจริงๆการเมืองจะกระทบในระยะเวลานึง(ไม่ใช่ตลอดไป) ดังนั้น ประเด็นของการเมืองจึงเป็นเพียง การทำให้ตลาด"สะดุด" คือ คุณสามารถทำกำไรอย่างที่ผมบอกนั่นเอง...

"เพื่อนๆผมหลายคนถามผมว่า ตอนนี้ ซื้อหุ้นได้หรือยัง --ผมจะถามกลับเสมอว่า คุณจะเล่นแบบไหน คือ ถ้าใครจะเล่นสั้นผมก็แนะนำคือให้รอวัน"สะดุดของตลาด" ส่วนพวกเล่นยาว จะซื้อตอนนี้ก็ได้เลย เพราะหากซื้อหุ้นปันผลดี 5% ขึ้นไป ก็เท่ากับว่าคุณ ซื้อผลตอบแทนดีเท่ากับ พันธบัตร แต่นี่มัน"ดียิ่งกว่า"

เพราะในระยะยาวคุณจะได้ Capital Gain ในขณะที่พันธบัตรคุณไม่ได้..แต่ข้อใหญ่ใจความคือ เงินนี้ต้องเป็น"เงินนอน" เพราะในระยะสั้นราคาหุ้นอาจลงไปถึงขั้นขาดทุน แต่ถ้าคุณไม่ขายก็ไม่ได้กระทบอะไร เพราะเดี่ยวมันก็ Correct มากำไรในที่สุดเอง (ดังนั้น ตอนนี้ใครถือพันธบัตรรัฐบาลอยู่ ถ้าต่ำกว่า 6% ผมแนะให้ขายเอามาใส่หุ้น แล้วถือกินปันผลจะคุ้มกว่าครับ)

"ข้อได้เปรียบการแข่งขัน"ที่หายไป


ปัจจุบันอเมริกา กับ ยุโรป กำลังเข้าสู่ยุคย่ำแย่ แต่บางครั้งผมว่า "เขาพัฒนาไปไกลจนลึมจุดแข็งตัวเอง" ..บางครั้ง"ชายแก่ๆ"ที่เกือบตายด้วยโครมะเร็ง อาจช่วยเตือนความจำได้ เขาคือ Steve Jobs (ผู้ก่อตั้งบริษัท Apple นั่นเอง) --เรื่องมันมีอยู่ว่า 20 ปีก่อน Steve ได้พ่ายแพ้ต่อ Microsoft ของ Bill Gates อย่างไม่เป็นท่า ผลคือ Steve ถูกผู้ถือหุ้น"ขับออก"จากบริษัทของตัวเอง

..จากนั้นเขาก้ไปล้มลุกคลุกคลานอยู่นาน จนตั้งบริษัทมากมาย หนึ่งในจำนวนนั้นคือ Pixar ผู้ผลิต Animation ที่ขายให้ Walt Diney ในเวลาต่อมา ซึ่งทำให้ Steve Jobs กลับมา "ผงาด"อีกครั้งในฐานะ"ผู้ถือหุ้นใหญ่ของ Walt Disney รวมทั้งโอกาสที่ ได้ถูกเชิญกลับไป "กอบกู้ Apples ที่กำลังจะ"ตาย"เพราะ"ขาดทุน"ต่อเนื่อง

..ผลก็คือ 10 ปี ต่อมา Steve Jobs ทำให้บริษัท Apple กลับมา"ยิ่งใหญ่สุดๆอีกครั้ง" หุ้นจากที่ตกไปเหลือ 3 เหรียญ วันนี้หุ้นวิ่งไปเกือบ 300 เหรียญ --ปัจจุบัน Apple กลับมา "เคียงบ่า"อีกครั้งกับ Microsoft ซึ่งหลายๆคนคาดว่า ในไม่ช้า Apple อาจแซง Microsoft ในที่สุด...สรุปเรื่องที่ผมยกมา มันได้บอกอะไรบางอย่างกับ อเมริกาและยุโรป "แต่กลับไม่มีใครใส่ใจ"

สิ่งนั้นก็คือ ..อเมริกาและยุโรป ล้วนมี Brand ที่ยิ่งใหญ่ทั่วโลก แต่กลับไม่รู้จักสร้างมูลค่าให้กับ Brand เหล่านั้นเลย ..วันๆเอาแต่ทฤษฎีของ MBA มา "Cut cost" และ ก็ "Outsource" จากนั้นก็ "Leverage" และ "M&A" ให้มาก ลดคนงาน ลดคนงาน(เมื่อ Finance นำ Innovation เราก็จมอยู่กับการพัฒนาแต่ตัวเลข แต่ธุรกิจจริงอยู่ที่เดิม)..สรุป มันก็เป็นอย่างที่เห็น คือ อเมริกาและยุโรป "ถอยหลังเข้าคลอง ..จากประเทศร่ำรวยกลายเป็นประเทศลูกหนี้"

..ผมสงสัยว่า ปัจจุบัน บริษัทในบ้านเราที่ไปเรียนแบบ วิธีบริหาร"เน่าๆ"จากเขา มันทำถูกแล้วหรือ --ทำไมไม่มองไปที่ Steve Jobs ซึ่งสิ่งที่เขาทำก็ไม่ได้ "พิศดารอะไร" เขาเพียงแต่ เอาความต้องการของลูกค้าตั้ง แล้ว "มุ่งทรัพยากรทุกอย่าง"เพื่อสร้างสินค้า ที่"ลูกค้าต้องการ"..และนี่เป็นที่มาของ Ipod , MACBOOK , Iphone และล่าสุด Ipad เมื่อเขาผนวกสินค้าเหล่านี้กับยี่ห้อ "Apple" ก็เป็นอัน "เสร็จขบวนการ..ขายดีเป็นเทน้ำเทท่า"

บทสรุปของการแข่งขัน จึงไม่ใช่อะไรที่สวยหรู เพียงแต่มัน"ต้องใช้ได้ และตอบสนองลูกค้า" วันนี้ทุกคน แข่งกันเปิดร้านกาแฟ ,ดาราแข่งกันเปิดร้านขายเสื้อ ..อะไรคือ "ความแตกต่าง และอะไรที่ลูกค้าต้องการ"..ทุกวันนี้ บริษัทต่างๆของไทยอาศัยเพียงโชคช่วย (เผอิญโชคดี ที่อเมริกาและยุโรป ดันเดินสะดุดขาตัวเอง เพราะแทนที่จะสร้าง Innovation เพื่อสนองตลาด กลับมา"ตัดราคา"เพื่อทำลายตลาดตัวเอง ซะงั้น) ..ยังไง ก็ถือว่า เราโชคดี แต่จากนี้ไป ผมว่าเราต้องอ่านเกมการแข่งขันให้ออก ..การมุ่งแต่ใช้แรงงาน และ แข่งด้วยราคา ไม่ใช่ทางออกใน ระยะยาว

..การมุ่งสู่ Innovation ใหม่ๆ ต่างหากที่เป็นคำตอบ วันนี้บ้านเราคุณไปดูได้เลยตาม มหาลัยลาดกะบัง เทคโนต่างๆ วิทยาลัยต่างๆ มีองค์ความรู้ Innovation ต่างๆมากมาย วันนี้เด็กไทย ทำหุ่นยนต์กู้ระเบิดไปแข่งชนะระดับโลก , เด็กราชฏัฏ ส่งเด็กเข้าประกวดการออกแบบ ระดับสากล

..ปัญหาของบ้านเราวันนี้ "ทุนมันอยู่ในกลุ่มหัวโบราณ" Innovation ใหม่ๆจึงไม่ได้รับ Funding ซึ่งก็คือ ไม่สามารถขายได้ .."ทุนในมือคนบื่อ"-- ก็เลยวนอยู่ในธุรกิจ ถึกๆ ..รับจ้างผลิต ..แรงงานนรก กับ เกษตรเบียดเบียนชาวบ้าน ..ไม่รู้เมื่อไหร่บ้านเราจะ"คิดได้สักที"...

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ