วันนี้อยากเอาโอกาสการสร้างธุรกิจในยุคนี้มาเล่าให้ฟัง ...เรามักได้ยินว่า ยุคนี้ คนจะเปลี่ยนจากการซื้อของ มาเป็น การจ่ายเงินซื้อประสบการณ์มากขึ้น
คือ ‘From things to experience!!’
- จ่ายเงินให้ สิ่งของที่จับต้องได้ลดลง แล้วมาเพิ่มการจ่ายให้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้
นั่นเพราะ ...Sharing Economy หรือ วัฒนธรรมแห่งการแชร์ มันคือ วัฒนธรรมหลักของโลกยุคนี้
- การแชร์สิ่งที่เราทำให้คนอื่นเห็น แท้จริงแล้วคือ การเพิ่มมูลค่าให้ประสบการณ์ที่เราจ่ายทันที เช่น ถ้าเราไปกินอาหารมิชลินสตาร์ เราก็อยากจะถ่ายรูปแชร์ของไปในโซเชียล คนอื่นจะได้รู้ว่ามากิน
ถ้าคิดกลับกัน การกินของหรู การเที่ยว มันไม่สามารถแชร์ได้ ..คนเราอาจเที่ยวน้อยลง กินถูกลง - นั่นแปลว่า ‘การแชร์นั่นแหละ ที่เพิ่มราคาให้ประสบการณ์ ..คนยุคนี้ถึงยอมใช้เงินจ่ายให้ประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ’
..สิ่งที่เล่ามา มันจะส่งผลต่ออนาคตของหลายธุรกิจ ..ลองมองดูธุรกิจการผลิต ที่แต่ก่อนครองโลก วันนี้โรงงานต่างๆ ต้นทุนวัตถุดิบแพงขึ้น แรงงานแพงขึ้น แต่ขายของได้ถูกลง ..อยากให้คนซื้อเพิ่มยิ่งต้องแข่งกันลดราคา
ยิ่งแข่งกันลดราคา สินค้าก็มีค่าต่ำลง ..ใครๆ ก็มี แล้วมันจะเทียบได้อย่างไร กับการไปถ่ายรูปในร้านอาหารสุดหรู ในรีสอร์ตบนยอดเขาหิมาลัย
‘เธอแค่ซื้อกระเป๋าหรูเหรอ ...นี่ฉันได้ ไปพักที่โรงแรมห้องใต้ทะเลในมัลดีฟส์ ...เจสสส!!’ (อยากจะขายกระเป๋าทิ้ง แล้วไปบ้าง)
การปรับตัวของธุรกิจวันนี้ อย่าเอาแต่คิดทำธุรกิจแบบเดิม ..ต้องกล้าคิดนอกกรอบ
คนที่ผลิตสินค้า ก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นการขายประสบการณ์แทนการขายสินค้า
อย่าง Starbucks ก็ใช่นะ แทนที่จะขาย แค่กาแฟ ...เขาขายประสบการณ์การกินกาแฟ ขายเรื่องราว ขายสังคม ขายวัฒนธรรม ในราคาที่ร้านกาแฟปกติไม่สามารถตั้งได้
‘ประสบการณ์’ ในยุคนี้ คือ สิ่งที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิธีคิด และ วิธีการทำธุรกิจของคนยุคนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้
โจทย์เราคือ ‘จะเปลี่ยน จากแค่การขายสินค้า เป็นการขายประสบการณ์ได้อย่างไร ?’ ....นี่คือ โจทย์ท้าทายที่นักธุรกิจและคนรุ่นใหม่ต้องคิด
- แชร์ได้
- ขายเรื่องราว ขายวิธีคิด ขายจินตนาการ
- ราคา ต้อง ตั้งให้เหมาะสมกับ ประสบการณ์ที่ได้รับ (ตั้งถูกไป ก็ไม่จดจำ ตั้งแพงไป ก็อาจเป็นประสบการณ์ราคาแพงที่ไม่คุ้มค่า)
...แล้วคุณล่ะ คิดกับเรื่องนี้อย่างไร ?
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม