แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 30 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เปลี่ยนสินค้าให้เป็นประสบการณ์



วันนี้อยากเอาโอกาสการสร้างธุรกิจในยุคนี้มาเล่าให้ฟัง ...เรามักได้ยินว่า ยุคนี้ คนจะเปลี่ยนจากการซื้อของ มาเป็น การจ่ายเงินซื้อประสบการณ์มากขึ้น


คือ ‘From things to experience!!’


- จ่ายเงินให้ สิ่งของที่จับต้องได้ลดลง แล้วมาเพิ่มการจ่ายให้กับสิ่งที่จับต้องไม่ได้ 


นั่นเพราะ ...Sharing Economy หรือ วัฒนธรรมแห่งการแชร์ มันคือ วัฒนธรรมหลักของโลกยุคนี้


- การแชร์สิ่งที่เราทำให้คนอื่นเห็น แท้จริงแล้วคือ การเพิ่มมูลค่าให้ประสบการณ์ที่เราจ่ายทันที เช่น ถ้าเราไปกินอาหารมิชลินสตาร์ เราก็อยากจะถ่ายรูปแชร์ของไปในโซเชียล คนอื่นจะได้รู้ว่ามากิน 


ถ้าคิดกลับกัน การกินของหรู การเที่ยว มันไม่สามารถแชร์ได้ ..คนเราอาจเที่ยวน้อยลง กินถูกลง - นั่นแปลว่า ‘การแชร์นั่นแหละ ที่เพิ่มราคาให้ประสบการณ์ ..คนยุคนี้ถึงยอมใช้เงินจ่ายให้ประสบการณ์มากขึ้นเรื่อยๆ’


..สิ่งที่เล่ามา มันจะส่งผลต่ออนาคตของหลายธุรกิจ ..ลองมองดูธุรกิจการผลิต ที่แต่ก่อนครองโลก วันนี้โรงงานต่างๆ ต้นทุนวัตถุดิบแพงขึ้น แรงงานแพงขึ้น แต่ขายของได้ถูกลง ..อยากให้คนซื้อเพิ่มยิ่งต้องแข่งกันลดราคา


ยิ่งแข่งกันลดราคา สินค้าก็มีค่าต่ำลง ..ใครๆ ก็มี แล้วมันจะเทียบได้อย่างไร กับการไปถ่ายรูปในร้านอาหารสุดหรู ในรีสอร์ตบนยอดเขาหิมาลัย 


‘เธอแค่ซื้อกระเป๋าหรูเหรอ ...นี่ฉันได้ ไปพักที่โรงแรมห้องใต้ทะเลในมัลดีฟส์ ...เจสสส!!’ (อยากจะขายกระเป๋าทิ้ง แล้วไปบ้าง)


การปรับตัวของธุรกิจวันนี้ อย่าเอาแต่คิดทำธุรกิจแบบเดิม ..ต้องกล้าคิดนอกกรอบ


คนที่ผลิตสินค้า ก็ต้องเปลี่ยนให้มันเป็นการขายประสบการณ์แทนการขายสินค้า


อย่าง Starbucks ก็ใช่นะ แทนที่จะขาย แค่กาแฟ ...เขาขายประสบการณ์การกินกาแฟ ขายเรื่องราว ขายสังคม ขายวัฒนธรรม ในราคาที่ร้านกาแฟปกติไม่สามารถตั้งได้


‘ประสบการณ์’ ในยุคนี้ คือ สิ่งที่กำลังจะเข้ามาเปลี่ยนวิธีคิด และ วิธีการทำธุรกิจของคนยุคนี้ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้


โจทย์เราคือ ‘จะเปลี่ยน จากแค่การขายสินค้า เป็นการขายประสบการณ์ได้อย่างไร ?’ ....นี่คือ โจทย์ท้าทายที่นักธุรกิจและคนรุ่นใหม่ต้องคิด


- แชร์ได้


- ขายเรื่องราว ขายวิธีคิด ขายจินตนาการ


- ราคา ต้อง ตั้งให้เหมาะสมกับ ประสบการณ์ที่ได้รับ (ตั้งถูกไป ก็ไม่จดจำ ตั้งแพงไป ก็อาจเป็นประสบการณ์ราคาแพงที่ไม่คุ้มค่า)


...แล้วคุณล่ะ คิดกับเรื่องนี้อย่างไร ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

7 วิธี เพิ่มรายได้ในเวลาที่จำกัด



7 กฏ การหาเงินเก่งในเวลาที่จำกัด !!


1. “การเพิ่มความรู้” เป็นการทลายกำแพงโอกาส ให้เราผ่านไปได้ ..คนมีปริญญาถ้าไม่ขี้เกียจยังไงก็ไม่อดตาย ..ส่วนคนไร้ปริญญา ขยันแทบตาย รายได้อาจแค่พอเอาตัวรอด 


2. “การทำงานผลลัพธ์เท่าเดิม โดยเราออกแรงน้อยลง” ...ฟังดูเหมือนคนขี้เกียจ ที่คิดทุกวิถีทางให้ออกแรงน้อยลง แต่ให้ได้ผลงานเท่าเดิม ..แต่นี่คือ วิธีคิดของคนฉลาด (ทำน้อยลง ให้ได้งานไม่น้อยลง ..จะได้เอาเวลา ไปสร้างโอกาสที่มากขึ้น)


3. “การคิดวิธีได้เงินในเวลาที่เราหลับ” ..อันนี้เรื่องเดียวเลยคือ รู้วิธีให้เงินทำงานแทน ...จะเริ่มเรียนเป็นนักลงทุนจากสินทรัพย์อะไรก็ได้ ขอให้เริ่มนับหนึ่งให้เร็วที่สุด (ไม่มีคนรวยคนไหน ที่ไม่รู้วิธีทำเงินในเวลาที่หลับอยู่ ...คนรวยทุกคนเขารู้วิธีทำเงินขณะหลับ!!)


4. “การสร้างความไว้วางใจ” ...ยุคนี้ไม่มีใครรวยจากการทำงานหนักคนเดียว ...มีแต่รวยจากการช่วยกันทำงาน ...ไม่มีแล้วครับ ยอดมนุษย์ One Man Show (หนังยอดมนุษย์ Marvel เดี๋ยวนี้ ยังต้องเอา Batman + Superman + Spiderman + Iron man + Hulk + ...มารวมๆกันเลย) ....เราจึงต้องเรียนรู้วิธีการสร้างเพื่อนร่วมเดินทาง ที่ไว้วางใจในการร่วมกันเดินสู่เป้าหมาย 100%


5. “ทำสิ่งเดิม ด้วยต้นทุนที่ลดลง’ ...การทำสิ่งเดิมด้วยต้นทุนที่ลดลง เขาเรียกว่า ความชำนาญ ...ไม่ว่าจะทำอะไร ทำงานใด ต้องตั้งโจทย์ให้เราชำนาญขึ้น ทุกๆ ปี ...ของที่ฉันทำ ต้องทำให้ดีขึ้น และ ถูกลง ทุกๆ ปี 


6. “จัดสรรเวลาให้สิ่งที่รัก” คนเรามีทั้งงานที่ชอบ และ งานที่ไม่ชอบ ...แต่คนส่วนใหญ่จะจัดสรรเวลาทั้งหมดให้งานที่ตัวเองไม่ชอบ ..ผลลัพธ์คือ ทนทำ ความทุกข์ และ งานที่ไม่ค่อยจะได้เรื่องนัก 

(ทนทำ จำใจทำ จะให้สร้างงาน คุณภาพได้อย่างไร?) ...ให้เราจัดสรรเวลาไปทำงานที่รักด้วย ค่อยๆ แบ่งเวลา ค่อยๆ สร้าง ค่อยๆ ปั้น งานที่รัก ...วันนึงงานที่รักนั้นจะสร้างรายได้เลี้ยงคุณเอง (เขาเรียกจุดนั้นว่า จุดฟิน !!)


7. ‘งานใหญ่ ต้องแบ่งให้เล็ก แล้วทำให้เสร็จทีละงาน” ...ยุคนี้มีแต่คนฝันใหญ่ ฝันเปลี่ยนโลก แต่เอาเข้าจริง จะเป็นฝันเฟื่องมากกว่า ...เพราะยิ่งเทคโนโลยีก้าวหน้าเพียงใด คนเรายิ่งทำงานไม่เสร็จ ทำงานไม่จบ มากขึ้นเรื่อยๆ 


ข้อแนะนำของผมคือ ฝันใหญ่ ต้องแบ่งฝัน ออกเป็นงานเล็กๆ แล้วค่อยๆ ทำให้เสร็จทีละอัน 


...งานเล็กๆ ที่ทำจบ ดีกว่างานใหญ่ๆ ที่ไม่เคยจบ



ลองเอา 7 ข้อนี้ ไปปรับใช้กับงานที่ทำ ฝันที่คิด ชีวิตที่อยากไปถึง ...เชื่อว่า คุณจะหาเงินเก่งขึ้น 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 เรื่องที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตให้ดีขึ้น



“8 เรื่อง ที่ต้องตีลังกาคิด เพื่อเข้าใจชีวิตได้ดีขึ้น”

คิดเหมือนเดิม ชีวิตก็เหมือนเดิม ..ตีลังกาคิด ชีวิตอาจเปลี่ยนแปลง !! ...”เราสามารถให้โอกาสชีวิต ด้วยการตีลังกาคิด เปลี่ยนชีวิตด้วยตัวเรา”

1. ‘คำว่า ผู้ผลิต กับ ผู้บริโภค มันไม่มีเส้นแบ่งแล้ว’ ...คนเสพเพลง เสพคอนเทนต์ วันนี้สามารถลุกขึ้นมาสร้างเพลง สร้างวีดีโอ สร้างคอนเทนต์ ได้ทันที - จากคนเสียเงิน เปลี่ยนเป็นคนสร้างเงินได้ทันที

...

2. ‘คำว่า ลูกจ้าง กับ นายจ้าง มันก็แทบไม่เหลือเส้นแบ่ง’ ...เดิมทีนายจ้างคือ คนที่ใช้สมองเยอะ ออกแรงน้อย ..ส่วนลูกจ้าง คือ คนที่ใช้สมองน้อย ออกแรงเยอะ ...แต่วันนี้ลูกจ้างที่หนึ่ง ก็สามารถเป็นนายจ้างอีกที่หนึ่ง ...ออนไลน์เปิดกว้างให้คนธรรมดาเป็นเจ้าของธุรกิจตัวเองได้ ถ้ามีความสามารถ

...

3. ‘คำว่า เกษียณ หมดอายุไปแล้ว’ ...ยุคผมจะฮิต เรื่องเกษียณเร็ว แต่พอผมได้คุยกับคนรุ่นใหม่ยุคนี้ เขาสวนกลับมาว่า

 ‘แทนที่จะทนทำงานที่ตัวเองไม่ชอบ แล้วรีบๆ เกษียณ ...ทำไมไม่สร้างงานที่เราชอบจริงๆ แล้ว ทำมันด้วยความรักและความสนุกชั่วชีวิต’ 

....แม่งโคตรโดน!! (จริง!! คนจน คนไม่สำเร็จ มองงานเป็นความทรมาน ความทุกข์ ...คนรวย คนสำเร็จ เขาสร้างงานที่สนุก แล้วทำตลอดไป)

...

4. ‘คำว่า คนรวย กับ คนจน ไม่ได้วัดจากเงิน’ ..ยุคนี้เงินไม่ได้หายาก เพราะคนที่หาเป็นจะหาได้แทบไร้ขีดจำกัด ..แปลว่า เงินไม่ได้จำกัด ...สิ่งที่ทุกคนมีจำกัดคือ เวลาต่างหาก ...ดังนั้น รวยหรือจน ในยุคนี้ วัดกันที่ ‘ความสามารถในการเลือกใช้เวลาในสิ่งที่ชอบ’ 

(คนจน ต้องใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ไม่ได้ชอบ อันนี้เรียกว่า จน ...คนรวย เลือกใช้เวลาชีวิตทำสิ่งที่ชอบ ..ไม่ได้เกี่ยวเลยว่า มีเงินล้นฟ้า แต่วัดกันที่ความฉลาดในการเลือกใช้เวลาชีวิตที่มีอยู่จำกัด อย่างมีความสุข 

- คนที่ฉลาดใช้เวลา จะมีของแถมในชีวิต คือ ได้สร้างผลงาน และ ตำนาน ที่ฝากเอาไว้เป็น แรงบันดาลใจ และ สร้างประโยชน์แก่คนรอบๆ ตัว)

...

5. ‘คำว่า เด็ก กับ ผู้ใหญ่ ไม่ได้ใช้อายุวัดอีกต่อไป’ ...สมัยก่อนคนอายุน้อยคือเด็ก อายุเยอะคือผู้ใหญ่ ...ซึ่งยุคนี้ คนเราไม่ได้เติบโตตามอายุที่มากขึ้น ...คนจำนวนมากในยุคนี้ที่อายุเยอะ แต่ความเป็นผู้ใหญ่ไม่ได้เพิ่มขึ้นเลย

สิ่งที่ใช้วัดความเป็นผู้ใหญ่ คือ การยอมรับข้อผิดพลาด เรียนรู้ และเติบโตทางความคิด จากมัน ...ใช่!! ความกล้าหาญทางปัญญา คือ สิ่งที่ผู้ใหญ่ต่างจากเด็ก

...

6. ‘คำว่า ผู้นำ และ ผู้ตาม ไม่ได้ใช้ตำแหน่งหน้าที่การงานเป็นตัววัด’ ...อันนั้นเรียกว่า หัวโขน ...พอออกจากตำแหน่งเมื่อไหร่ ทุกคนเลิกให้ความสนใจ โดนเหยียบย่ำ นั่นแปลว่า สิ่งนั้นคือ หัวโขน 

แต่การเป็นผู้นำ คือ การแสดงความกล้าหาญ ในจุดที่ตัวเองอยู่ ...กล้าพูดความจริง ..กล้ายอมรับความจริง ...กล้าที่จะแก้ไขความคิดและความเชื่อที่ล้าสมัย 

จริงอยู่ โลกเรา ไม่มีอะไรที่ถูกหรือผิดอย่างแท้จริง ...มันขึ้นกับความเหมาะสมในแต่ละช่วงเวลา 

ดังนั้น ผู้นำ คือ คนที่กล้าเลือก กล้ายืนหยัด และ กล้ายืดหยุ่นที่จะเรียนรู้และเติบโต 

...

7. ‘คำว่า ผู้ให้ กับ ผู้รับ สามารถสลับกันได้ตลอดเวลา’ ...ไม่มียุคใดในโลก ที่คนเราจะสามารถเปลี่ยนเป็นผู้ให้ได้อย่างง่ายดายเท่าโลกยุคนี้ ...ผู้รับยุคนี้ สามารถลุกขึ้นมาเป็นผู้ให้ได้ทันที

ให้แรง ให้ความรู้ ให้ความคิด ให้โอกาส ให้กำลังใจ ให้ความสนุก 

เคล็ดลับของผู้ให้ ก็คือ คนที่จะก้าวไปเป็นผู้นำ ผู้ได้รับโอกาส ความสำเร็จ และ ได้รับความสุข

...

8. ‘คำว่า สำเร็จเร็ว หรือ ช้า ไม่ได้มีความหมายจริงๆ กับชีวิต’ ...ยุคนี้เราให้ความสำคัญกับความเร็ว ..สำเร็จเร็ว รวยเร็ว ทุกอย่างเร็ว โดยลืมคิดไปว่า ชีวิตเราจริงๆ เป็นวงกลม เป็นวัฏจักร ไม่ได้เป็นเส้นตรง

ไม่ว่าคนรวย คนจน คนมีชื่อเสียง คนไม่มีชื่อเสียง ก็ล้วนมี ปัญหา และ ความสุข ในแบบของตัวเอง

คนที่ไม่มีความสุขเลย คือ คนที่พยายามเอาวัฏจักรชีวิตของตัวเรา ไปเทียบกับคนอื่น เพราะ โอกาสและข้อจำกัด ในแต่ละช่วงชีวิต ของแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน

ลองเปิดใจ แล้วทำความเข้าใจ วัฏจักรโอกาส และข้อจำกัด ชีวิตของตัวเราเอง จะพบว่า เราใช้ชีวิตมีความสุขมากขึ้น เราสนุกและเราสำเร็จ ในแบบของเราเอง

ไม่มีคนเก่งที่สุด - ไม่มีคนรวยที่สุด - ไม่มีคนทุกข์ที่สุด - ไม่มีคนสุขที่สุด - คนที่อำนาจสูงสุด ก็คือ คนไร้อำนาจที่สุดในเวลาเดียวกัน ...หากเข้าใจ เราจะเลือกใช้ชีวิต ด้วยปัญญา ในจุดดีที่สุด ในจุดที่เราเลือกยืน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 23 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

7 ปัจจัย สร้างเงินล้านก่อนอายุ 30



‘7 ปัจจัยสร้างเงินล้าน’ ก่อนอายุ 30

1. ชอบเรียนรู้ สิ่งใหม่ และ ทักษะใหม่ๆ เสมอ ..ทำสิ่งเก่า เก่งแค่ไหนก็เป็นได้แค่ผู้ตาม ..กล้าทำสิ่งใหม่จึงจะเป็นผู้นำ

2. สนุกกับงานที่ทำ มากกว่า สนุกกับการจับจ่ายใช้สอย ...ทำแต่งานจนไม่มีเวลาใช้เงิน

3. ชอบเดินทาง แบบติดดิน ...เดินทางน่ะดี แต่ถ้าเดินทางแบบไฮโซ ได้แค่โก้ แต่ไม่ได้อะไร 

4. เริ่มเรียนรู้การลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย ...เศรษฐีทุกคน เรียนรู้เรื่องการลงทุนตั้งแต่อายุยังน้อย เพราะ เคล็ดลับความรวยมาก อยู่ที่เวลา ไม่ใช่เงิน

5. รู้วิธีหาเงินออนไลน์ตั้งแต่ยังเรียนไม่จบ ...ช่องทางออนไลน์สามารถ ทำน้อย ได้มาก หากรู้วิธี

6. ขายของเป็น (อย่างน้อยต้องขายตัวเองได้) ...เจ้าของธุรกิจทุกคนคือนักขาย อย่างน้อยต้องขายตัวเองเป็น 

7. มีปมชีวิต (ปมสร้างความมุ่งมั่น) ...ความเจ็บปวด และ ความกดดัน สร้างคาร์บอน ให้เป็นเพชร ...คนที่ชีวิตสบาย ชิลๆ จึงไม่ใช่ทางของผู้ยิ่งใหญ่ 

ครบ 7 ข้อ ยังไง ต้องมีเงินล้าน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 7 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

อายุ เท่าไหร่ ที่เราจะยอมให้ชีวิตมีความสุข



“อายุน้อย” ต้องเลือกทำสิ่งใหม่ สิ่งยาก สิ่งที่ยังไม่ได้ข้อสรุป ..เพราะนั่นคือโอกาสและการเติบโตแบบก้าวกระโดด


“อายุมากขึ้น” ..เมื่อเรารู้จักตัวเอง ต้องเลือกทำสิ่งที่เราถนัด เพราะ เราจะทำได้ดีกว่าคนอื่น


“อายุมากแล้ว” ..ต้องเลือกสิ่งที่ทำแล้วให้โอกาสคนรุ่นใหม่ เพราะ เมื่อชีวิตเรามั่นคง เราจะมีความสุขกับการให้โอกาสคนอื่น ..เพราะการเติบโต คือ การเรียนรู้ในความผิดพลาด และ กล้าที่จะยอมรับ เพื่อเราจะมีชีวิตและวิธีคิด ของผู้ที่เติบโต


“อายุเหลือน้อย” ต้องให้อภัย และ ยอมให้ตัวเรามีความสุขมากขึ้น


สุดท้าย อายุ เป็นเพียงตัวเลข ...การหมั่นเรียนรู้ การยอมรับ และ การให้อภัย ต่างหาก ที่จะบ่งบอก วุฒิภาวะที่แท้จริงของคนเรา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


10 เทคนิค การเลือกงานให้โตเร็วแบบคนรุ่นใหม่



10 เทคนิค เลือกงานที่ก้าวหน้าไวแบบคนรุ่นใหม่


งานมีแบบที่ทำไปเรื่อยๆ กับ งานที่เติบโตไว เลือกยังไง ผมสรุปให้ดังนี้


1. งานที่ทำในหน่วยงานใหม่ ..องค์กรธุรกิจปัจจุบันกำลังถูกท้าทาย ทุกองค์กรจึงต้องตั้งหน่วยงานใหม่ ..เพื่อทดลองทำสิ่งใหม่ๆ ให้เราเลือกทำงานตรงนี้


2. งานยาก ..งานยากจะไม่ค่อยมีคนอยากทำ เพราะคนส่วนใหญ่จะเลือกงานที่มั่นคง ..ให้เราเลือกงานยาก เพราะคู่แข่งน้อย โอกาสที่เราจะโดดเด่นเป็นไปได้สูง


3. งานที่เราต้องร่วมตั้งโจทย์ ...งานส่วนใหญ่คืองานที่ทำตามโจทย์ที่หัวหน้างานเป็นคนตั้ง ...ถ้าเราได้งานที่เราต้องร่วมตั้งโจทย์แปลว่า งานนี้เราทำสิ่งแปลกใหม่ ที่แม้แต่หัวหน้างานยังไม่เชี่ยวชาญเลย ..โอกาสที่เราจะพัฒนาตัวเองเป็นหัวหน้าได้เร็วมีความเป็นไปได้สูง


4. งานที่วัดผลงานไม่ใช่เวลาที่อยู่ในที่ทำงาน ...งานที่ต้องทำอยู่ที่ทำงานเป็นงานซ้ำซากที่สุดท้ายเครื่องจักรและหุ่นยนต์จะมาทำงานแทน ...ให้เลือกงานที่วัดผลงาน อย่าเอางานที่วัดเวลาเข้าออก


5. งานที่ไม่มีคู่มือการทำงาน ..งานที่มีคู่มือการทำงาน คือ งาน Operation ที่ทำไปเรื่อยๆ ไม่ก้าวหน้า ...งานที่ไม่มีคู่มือการทำงาน คือ งานก้าวหน้าที่เราเป็นส่วนนึงในการกำหนดทิศทาง 


6. อย่าเอาเงินเดือนเป็นที่ตั้ง ..ให้เอาผลลัพธ์ของงานเป็นที่ตั้ง เพราะการทำสิ่งใหม่ สิ่งที่มีอนาคต มักเป็นงานที่ตอนเริ่มยังไม่มั่นคง ยังได้เงินไม่มาก ...แต่ถ้าเราทำได้ดี สุดท้ายเงินและอนาคตจะตามมาเองในที่สุด


7. งานที่เราได้เคลื่อนที่ ...งานที่ไม่มีอนาคตคืองานที่ทำอยู่กับที่ งานแบบนี้เป็นต้นทุนที่บริษัทต้องการลด ..ยุคนี้ธุรกิจต้องการลดต้นทุน และลดสิ่งที่ทำอยู่กับ Office เพราะต้นทุนมันสูง ...งานที่มีอนาคตจึงเป็นงานที่เราเคลื่อนที่ มีต้นทุนต่ำและทำที่ไหนก็ได้


8. เลือกงานที่เราได้เจอคนเก่ง ...คนส่วนใหญ่เลือกงานที่เงินเดือนเยอะ แต่สุดท้ายไม่ก้าวหน้า เพราะลืมนึกไปว่าสิ่งสำคัญกว่า คือ เราทำงานแล้วได้เรียนรู้จากคนเก่ง ...ความรู้ตรงนี้แหละที่จะเปิดอนาคตให้เรามากกว่า เร็วกว่า


9. งานที่ใช้ออนไลน์เยอะ ..งานเดิมมีคนเก่งอยู่เยอะแล้ว แต่งานออนไลน์คืองานที่เกิดมาพร้อมคนรุ่นใหม่ ..เราต้องเลือกงานที่เกี่ยวข้องกับออนไลน์มากๆ เพราะนี่คือจุดแข็งของคนรุ่นใหม่


10. เลือกบริษัทที่ให้โอกาสเรียนรู้จากข้อผิดพลาด ...สิ่งที่องค์กรยุคเก่าให้ความสำคัญคือ ห้ามผิดพลาด ..ซึ่งตรงข้ามกับองค์กรยุคใหม่ที่เรียนรู้แล้วเติบโตจากข้อผิดพลาด ...ให้เลือกองค์กรที่คิดและเติบโตแบบคนรุ่นใหม่ คือ ผิดพลาดไม่เป็นไร ขอให้กล้าลองสิ่งใหม่ๆ ล้มแล้วเรียนเติบโตไปด้วยกัน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 6 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

10 ข้อเตรียมใจ ก่อนไปทำธุรกิจส่วนตัว


10 ข้อเตรียมใจ ก่อนไปทำธุรกิจส่วนตัว

อยากรวยต้องเป็นเจ้าของธุรกิจ ก็จริงนะ !! ...ว่าแต่การเปิดธุรกิจมันก็ไม่ใช่เรื่องง่ายๆ ผมรวบรวมสิ่งที่เจ้าของธุรกิจมือใหม่ต้องเจอ มาให้ ประมาณนี้

1. 'เจ้าของธุรกิจส่วนตัว ไม่มีเวลาส่วนตัว' ..หลายคนคิดว่าธุรกิจส่วนตัวคือเวลาอิสระ ไม่ใช่ครับ ธุรกิจส่วนตัวแปลว่า ทั้งวันธรรมดาและวันหยุดทุกวันคือการทำงานครับ

2. 'เจ้าของธุรกิจ ทำเพื่อตัวเอง' ..เจ้าของธุรกิจส่วนตัวเป็นจำนวนมาก ที่ทำงานแค่จ่ายเงินลูกน้อง แค่พอจ่ายค่าเช่าที่ แค่พอจ่ายค่าใช้จ่าย แค่พอจ่ายภาษี และ จ่ายตัวเองแทบไม่ได้ ..พูดภาษาชาวบ้านคือ "กรูทำงานฟรีหรือนี่"

3. 'เจ้านายสบายชิวๆ' ..ไม่จริง คุณรู้ไหมว่าเจ้าของธุรกิจทุกคนทำงานหนักกว่าลูกน้อง ทำมากกว่าลูกน้อง ..ถ้าหารเวลาที่ลงไปเทียบเงินที่ได้ เขาได้น้อยกว่าค่าจ้างขั้นต่ำเสียอีก ..แม่เจ้า !!

4. 'เจ้าของธุรกิจเป็นนายของตัวเอง' ..เจ้าของธุรกิจมีนายมากที่สุด ..ลูกค้าคือนายคนแรก เขาเรียกลูกค้าว่าพระเจ้า ..ลูกน้องที่เก่ง คือนายคนที่สอง เพราะถ้าเลี้ยงมันไม่ดี มันจะออกไปทำงานให้คู่แข่ง ...เจ้าของธุรกิจมีทุกคนเป็นนาย ..โอววว !! ไม่นะ

5. 'มีธุรกิจส่วนตัว ก็คือมี Passive Income' ..จริงเหรอ? -- โลกสวยไปหรือเปล่า ธุรกิจส่วนตัวทำงานแลกเหงื่อต่างน้ำ คิดและเครียดทุกเวลา ..ไอ้ธุรกิจส่วนตัวที่เจ้าของหลุดได้ และกลายเป็น Passive Income คือ ธุรกิจที่เข้าตลาดหุ้นเท่านั้น

6. 'คนที่เปิดธุรกิจส่วนตัวตามโอกาสตลาดซวยทุกคน' ...คนส่วนใหญ่พยายามหา Trend เพื่อเกาะกระแสเปิดธุรกิจ โดยลืมคิดไปว่า มีคนอีกจำนวนมหาศาล ที่เกาะกระแสธุรกิจยอดฮิตพร้อมๆกับคุณ และที่สำคัญ มีบางคนที่เก่งธุรกิจนั้นมากกว่าคุณ และมีบางคนที่รักธุรกิจนั้นมากกว่าคุณเช่นกัน

7. 'เงินคือเป้าหมายที่ดี แต่เป้าหมายที่ไม่ใช่เงินต้องตั้งไวว้ด้วย' ..ร้อยทั้งร้อยของคนเปิดธุรกิจที่มีเป้าหมายว่าอยากรวย มักซะซวยเกือบทุกคน ..ส่วนคนที่มักสำเร็จจากธุรกิจส่วนตัว มันคือ คนที่อยากทำธุรกิจนั้นด้วยใจ -- ตั้งเป้าที่ไม่ใช่การเงินไว้ด้วย เพราะ มันจะช่วยนำทางในวันที่ธุรกิจลำบาก

8. 'ธุรกิจส่วนตัวที่สุดยอดหนึ่งอัน ใช้เวลาสร้างทั้งชีวิต' ..ไม่มีคำว่า สำเร็จเร็วในโลกความเป็นจริง ..คุณเลิกดูเถอะ พวกคนสำเร็จข้ามคืน เพราะนั่นคือตัวอย่างของคนหนึ่งในล้านที่ไม่ใช่คุณแน่นอน ..คนอย่างคุณต้องพยายามจึงสำเร็จได้ด้วยตัวเอง -- คนจริงครับ!!

9. 'หัวหน้ายุคนี้ต้องกินทีหลัง' -- Leader Eat Last !! --ยุคนี้ลูกจ้างเขามีอิสระ เขาเปลี่ยนงานเมื่อไหร่ก็ได้ ..คุณต้อง 'ยิ่งให้แก่เขา คุณถึงจะได้ใจจากเขา' ..ไม่มีคำว่าลูกน้อง หรือ ลูกจ้าง เพราะพนักงานที่เก่ง คุณต้องมองเขาเป็นหุ้นส่วน Business Partner

10. 'ถ้าขายไม่เป็น อย่าคิดเปิดธุรกิจส่วนตัว' ..ถ้าสินค้าคุณไม่ได้สุดยอด จนทันขายตัวมันเองได้แบบ Apples ..คุณจะต้องรู้วิธีที่จะขายมัน ...ไปเรียนเรื่องการขายสำหรับคนตัวเล็ก ไปเรียนเรื่องการโฆษณาสำหรับคนตัวเล็ก ..เพราะคนเล็กที่จะใหญ่ ต้องไม่ทำแบบคนตัวใหญ่ -- แต่ทำตรงข้ามครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 4 พฤศจิกายน พ.ศ. 2560

เมื่ออายุเข้าเลข 4 จึงรู้ว่า



เมื่ออายุเข้าเลข 4 จึงรู้ว่า


สมัยก่อน 30 ยังแจ๋ว ..แต่ยุคนี้ผมว่า 40 ก็ยังแจ่ม แถมเรียนรู้โลก และเข้าใจตัวเองมากขึ้น 


1. รายได้ที่เพิ่มขึ้นไม่ได้ทำให้เรารวยมากขึ้น ..เพราะหนี้สินก็เพิ่มขึ้นตาม (เจ็บ!!)


2. อายุมากขึ้นไม่ได้ทำให้เราฉลาดขึ้น ..หากเราหยุดเรียนรู้ตั้งแต่วันที่เรียนจบ


3. ความล้มเหลวไม่ได้ทำให้เราตกต่ำ แต่มันทำให้เราเติบโต ..ตราบเท่าที่เรายังเดินต่อและไม่ล้มเลิก


4. เงินมากและโชคดีที่เข้ามาตั้งแต่อายุยังน้อย มันไม่ได้ช่วยสร้างแต้มต่อ ...แต่มันสร้างอีโก้และความประมาท ที่จะนำเราสู่ความผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต


5. ความรู้ที่มากมายแค่ไหน ก็ไร้ประโยชน์ หากเราไม่ได้เอาความรู้นั้นมาปฏิบัติ เพื่อทดสอบว่าเหมาะกับเราหรือไม่ ...ความรู้ที่เราทำแล้วใช่ เรียกว่า ปัญญา ..สิ่งนี้แหละที่จะนำพาชีวิตไปสู่จุดที่เราต้องการ


6. ลูกน้องและเพื่อนร่วมงานไม่ใช่คู่แข่ง ..คนเราไม่ได้สูงขึ้นโดยการเหยียบคนอื่นให้ต่ำลง ...เรือจะลอยสูงขึ้น เมื่อเราแบ่งปัน ช่วยเหลือ คนรอบข้าง ..แล้วน้ำจะพาเรือของเราให้ลอยสูงขึ้นเอง


7. เงินและโอกาสมีอยู่รอบตัว ถ้าเราไม่สามารถคว้าเงินและโอกาสนั้นได้ แปลว่า ความรู้ความสามารถเรายังไม่ถึง ...ให้เพิ่มความรู้และความสามารถให้เพียงพอ จากนั้นเงินและโอกาสจะเปิดให้เราอย่างน่าประหลาดใจ


8. การใช้ชีวิตเพื่อให้ดูดีในสายตาคนอื่นเป็นชีวิตที่เหนื่อยแสนสาหัส ...เพราะยิ่งเราพยายามดูดีในสายตาคนอื่นมากเท่าไหร่ สุดท้ายเราจะเกลียดตัวเองมากขึ้นเท่านั้น


9. ไม่มีใครที่ได้อะไรมาโดยที่ไม่เสียอะไร ...ผู้นำต้องเสียสละ , เจ้าของต้องสร้างงานให้ลูกจ้าง , นักธุรกิจต้องแก้ปัญหาให้ผู้คน , นักลงทุนต้องอดทน , นักเก็งกำไรต้องเปลี่ยนวิกฤตให้เป็นโอกาส , เศรษฐีต้องยอมใช้น้อยในปัจจุบันเพื่อความร่ำรวยที่มากกว่าในอนาคต , ผู้รู้ย่อมต้องร่ำเรียนใฝ่หาความรู้ตลอดชีวิต 


10. เมื่ออายุ 40 จึงรู้ว่า คนเราไม่ได้เสียใจกับสิ่งที่ทำผิดพลาด แต่เราเสียใจกับสิ่งที่ไม่ได้ทำมากกว่า ...ถ้ารู้อย่างงี้ ...


รู้อย่างงี้ จะไม่ใช้ชีวิตที่เหนื่อยและหนัก เพียงเพื่อจะได้ดูดีในสายตาคนอื่น ..ซึ่งแท้จริงแล้ว ไม่ได้มีใครสนใจสิ่งที่เราทำหรอก


 ...ให้เลิกทำสิ่งที่สูญเปล่า แล้วกลับมารักตัวเอง แคร์คนรอบข้างที่รักเราจริงๆ แล้วใช้ชีวิตให้พูดได้เต็มปากว่า 


‘เราภูมิใจ ในสิ่งที่เราเลือกทำ ได้สนุก ได้เรียนรู้ และได้เติบโต จากผลลัพธ์ในสิ่งที่เราเลือก’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คนพิเศษของคุณคือใคร



"สินค้า" ที่ทำมาขายทุกคน จะขายไม่ได้เลย !!

...อันนี้เป็นความเข้าใจที่ผิดพลาดของคนส่วนใหญ่ อย่างแรง !!

คนส่วนใหญ่เข้าใจว่า การทำสินค้าที่ดี คือ การผลิตสินค้าที่คนส่วนใหญ่ต้องการ .."ทำสินค้าที่ทุกคนต้องใช้ ดีไหม?"

รถเบนซ์ ไม่ได้ทำมาขายทุกคน ..ถามหน่อยว่าใครอยากได้บ้าง ? - ใครๆ ก็อยากได้

Starbucks ไม่ได้ผลิตกาแฟถูกๆ มาขายทุกคน ..ถามหน่อย ใครอยากกินบ้าง ? - ใครๆ ก็อยากกิน

กระเป๋า Hermes แพงโคตรๆ ไม่ได้ทำมาขายทุกคน "มีเงิน ยังซื้อบางรุ่นไม่ได้" ...ถามหน่อยใครอยากได้บ้าง ? - ผู้หญิงทุกคนอยากครอบครอง

IPhone โทรศัพท์บ้าอะไร โคตรแพง ..ถามหน่อยใครอยากได้บ้าง ? - ใครๆ ก็อยากได้

หนังสือแจกงานศพ แจกฟรี ..ถามหน่อยมีใครเปิดอ่านบ้าง ? - ไม่มีใครอ่านเลย

ร้านกาแฟที่เปิดริมทาง รอให้ใครก็ได้แวะมาซื้อ ? - ร้านแบบนี้แทบไม่มีลูกค้า

ร้านค้าที่ซื้อของมาขาย เปิดร้านรอคนมาซื้อ ? - ร้านที่รอใครก็ได้ ช่วยมาซื้อหน่อย ..ไม่มีใครอยากซื้อ

สินค้าที่ผลิตมาขายทุกคน ไม่มีใครอยากได้หรอก ..ยิ่งทำ ยิ่งจน !!

สินค้าที่ผลิตมาขายเฉพาะคนที่พิเศษ ขายคนไม่ธรรมดา ..ใครๆ ก็อยากได้

นี่คือเคล็ดลับ ของธุรกิจที่น่าขบคิดกัน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ