แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 23 ธันวาคม พ.ศ. 2562

4 อาชีพ ควรรู้แบบ ESBI

4 อาชีพควรรู้ แบบ ESBI

หนึ่งในหนังสือที่เปลี่ยนความคิดผมในเรื่องการเงินเล่มแรก ต้องบอกเลยว่าคือ หนังสือ พ่อรวยสอนลูก Rich Dad Poor Dad

ครั้งแรกที่ได้อ่าน ก็ตอนผมยังเรียนอยู่มหาวิทยาลัย ...เออ 20 ปี ก่อนนุ่น ..555

Robert kiyosaki ผู้เขียน เขาอธิบาย อาชีพในโลกใบนี้ แบบเข้าใจง่ายมาก เป็น 4 อาชีพ คือ ESBI

1. ‘E = employee คือ อาชีพ ลูกจ้าง’ ...อาชีพนี้มักเป็นอาชีพแรกของคนส่วนใหญ่ คือ ทำงานให้นายจ้าง ..หลักคือ เอาแรงงานและเวลาเราขายแลกเงินเดือน

ข้อดีของอาชีพแบบนี้ คือ หาเงินง่าย แต่รวยยาก...ที่ว่าง่าย เพราะ เราแค่เดินไปสมัครงาน ก็ได้แล้ว ...แต่รวยยาก เพราะ ‘ขายเวลา’ มันเป็นสิ่งที่เราใช้แล้วหมดไป จำกัด

2. ‘S = Self-employ คือ ทำธุรกิจส่วนตัว’ ...อาชีพเจ้าของธุรกิจส่วนตัวฮิตสุดสำหรับยุคนี้ เพราะ คนรุ่นใหม่ ใครๆ ก็อยากเปิดธุรกิจส่วนตัว

ข้อดี ของทำธุรกิจส่วนตัวคือ มีโอกาสรวย แต่ข้อเสีย คือ มีโอกาสเจ๊ง ...ลูกจ้าง แบบแรก อย่างมากก็ตกงาน ก็หางานใหม่ แต่เจ้าของธุรกิจถ้าพลาดคือ เจ๊ง หมดตัว หรือ เป็นหนี้

แต่ข้อจำกัดของ ‘การทำธุรกิจส่วนตัว’ คือ รวยยาก ...เพราะ ใช้แรงงานตัวเองเข้าแลก เหมือนแบบแรก ดังนั้น หยุดทำงานไม่ได้ ...หยุดเมื่อไหร่เงินก็ไม่เข้าแล้ว

ตัวอย่างของ Self-employ ก็เช่น ธุรกิจ SME , ค้าขาย , มืออาชีพ เช่น หมอเปิดคลินิคของตัวเอง , ช่าง เปิดอู่ซ่อมรถของตัวเอง , พ่อครัวเปิดร้านอาหาร ...ก็มืออาชีพทั้งหมดแหละ ซึ่งคนเหล่านี้หาเงินได้มากกว่ากลุ่มแรก แต่ก็หยุดไม่ได้ เลยรวยยากนั่นเอง

3. ‘B = Business Owner คือ เจ้าของธุรกิจที่มีระบบ’ ...จริงๆ ก็คล้ายแบบที่สอง คือ เป็นเจ้าของธุรกิจเหมือนกัน แต่ต่างกันที่ แบบที่สาม เป็น ธุรกิจที่สร้างระบบ

ตัวอย่างชัดๆ ของแบบที่สาม ก็คือ ‘เป็นเจ้าของธุรกิจที่สามารถเอาเข้าตลาดหุ้นได้’ ...หลายคนอาจจะคิดว่า ต้องเป็น อุตสาหกรรมขนาดใหญ่ แต่ปัจจุบัน เราเห็น ธุรกิจทั้วๆไป ที่สร้างระบบได้ แบบร้านอาหาร , ร้านนวด ก็สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ หากรู้จักการสร้างระบบ เช่น After You , MK สุกี้ , Com7 , SPA เป็นต้น

หัวใจของแบบที่สาม จึงเป็น ‘ระบบ’ ...ต้องออกแบบธุรกิจ ให้พึ่งระบบ ไม่ใช่พึ่งเจ้าของ แปลว่า ธุรกิจต้องทำเงินได้ แม้ไม่มีเจ้าของก็ตาม

ทุกวันนี้มี ผู้ให้คำปรึกษา วางระบบ และ พาธุรกิจเข้าตลาด เยอะแยะ ทำให้ เรื่องนี้ไม่ได้ไกลเกินเอื้อมของคนปกติอีกต่อไป

4. ‘I = Investor คือ อาชีพนักลงทุน’ ..หลักๆ ของอาชีพนักลงทุน คือ การซื้อสินทรัพย์แล้วให้มันทำงานแทนเรา

ใช่!! ทุกอาชีพ สามารถผันตัวสู่ อาชีพนักลงทุนได้ทันที ไม่ต้องรอ ขอให้ มีเงินเริ่มต้นเล็กน้อย กับ มีความรู้ ...ก็สามารถเริ่มได้แล้ว

แต่คนส่วนใหญ่ มักเข้าใจผิดว่า แค่ซื้อขายหุ้น ก็คือ นักลงทุน แต่ไม่ใช่ครับ ...ถ้าซื้อขายหุ้นเร็วๆ แบบ Trader อันนั้น เป็น S ไม่ใช่เป็น I

เพราะ I หรือ Investor (นักลงทุน) คือ ต้องให้เงินทำงานแทน เช่น ออมในหุ้น แล้วกินปันผล , ออมในอสังหา แล้วกิน ค่าเช่า

อาชีพนักลงทุนนี่แหละ ถ้ามี ปันผล มากพอ ก็สามารถมีอิสรภาพทางการเงิน เรียกได้ว่า เกษียณได้แบบสบายที่สุดนั่นเอง

ลองสำรวจตัวเองว่าเราอยู่กลุ่มอาชีพไหน แล้วจะผันตัวไปสู่อาชีพอื่นได้อย่างไร ...เอาใจช่วยครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 22 ธันวาคม พ.ศ. 2562

6 ข้อควรรู้ ออมหุ้นแบบ DCA ยังไงให้ไม่มีทางเจ๊ง

6 ข้อควรรู้ ว่าออมหุ้นแบบ DCA อย่างไรให้ไม่มีทางเจ๊ง

การ DCA หรือ Dollar Cost Average คือ การทยอยซื้อหุ้นเท่าๆ กัน ทุกเดือน เหมือนออมเงิน มันทำให้เรารวยได้อย่างไร มาดูกัน

1. ‘การ DCA ฝึกให้เรามีวินัยในการออมเงิน’ ...การซื้อเท่าๆ กันทุกเดือน จะฝึกนิสัยการออมอย่างมีวินัย ซึ่งเป็นนิสัยเบื้องต้นของคนรวย

2. ‘การ DCA เหมาะกับคนที่ไม่ค่อยมีเวลา แต่อยากออมหุ้น’ ...การเล่นหุ้นให้กำไรต้องให้เวลา ถ้าไม่ดูอาจติดหุ้นได้ ...แต่การ DCA ทำได้แม้คนไม่มีเวลาดูหุ้น ขอแค่มีความสม่ำเสมอ ซื้อเท่ากันทุกเดือนก็สามารถรวยจากหุ้นได้

3. ‘การ DCA ไม่ต้องเลือกหุ้น จึงเหมาะกับคนที่อ่านงบการเงินไม่เป็น ให้สามารถลงทุนหุ้นได้’ ...การ DCA ควรซื้อกองทุนดัชนี เช่น BMSCITH ซึ่งเป็นกองทุนดัชนี หรือ ETF ...กองทุนแบบนี้เราสามารถได้ผลตอบแทนเท่าตลาดหุ้น คือ เฉลี่ยที่ 12% ต่อปีในระยะยาวนั่นเอง

4. ‘การ DCA สามารถทยอยซื้อหุ้น โดยไม่ต้องรอช่วงตลาดวิกฤต’ ...ปกติการจะซื้อหุ้นให้ได้ราคาดี ต้องมีประสบการณ์ และ เฝ้ารอเวลาที่หุ้นมีวิกฤต ...แต่การ DCA สามารถทยอยซื้อได้ทันที ทุกๆ เดือน โดยไม่ต้องรอ (เพราะช่วงที่ตลาดแพง เราก็จะซื้อได้น้อย ..พอตลาดถูกเราก็ซื้อได้เยอะ ..ทำให้ในระยะยาว เราก็จะมีหุ้นดีเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ โดยไม่ต้องรอจังหวะ)

5. ‘การ DCA สามารถใช้เงินน้อย ทยอยออมเหมือนฝากเงิน’ ....ขั้นต่ำในการออม ETF เช่น BMSCITH เราสามารถซื้อขั่นต่ำเหมือนซื้อหุ้น แถมใช้เงินน้อย คือ เริ่มต้นที่พันกว่าบาท ก็เริ่มออมได้แล้ว (ถ้าอยากออมอัตโนมัติ ก็สามารถติดต่อ ใช้บริการออมหุ้นอัตโนมัติกับบัวหลวง โดยเริ่มที่ 10,000 บาท ต่อเดือน ...ติดต่อได้ที่บัวหลวง 02-618-1111)

6. ‘การ DCA ใน ETF ไม่มีทางเจ๊ง เหมือนหุ้นรายตัว’ ...แน่นอน การออม ETF อาจไม่ได้รวยเป็นสิบๆเท่าเหมือนหุ้นรายตัว แต่ก็ลดความเสี่ยงที่บางคนซื้อหุ้นผิดตัว แล้วเจ๊งได้ ....การออมใน ETF เหมือนเราซื้อทั้งตลาด จึงไม่มีทางเจ๊ง เพราะ เสมือนเราซื้อทั้งตลาดนั่นเอง

ในระยะยาว การออมแบบ DCA จึงเป็น ทางเลือก ที่ใช้เงินน้อย เสี่ยงต่ำ แถมให้ผลตอบแทนเฉลี่ยเท่ากับตลาดหุ้น ซึ่งเป็นการลงทุนที่ผลตอบแทนสูงที่สุดในสินทรัพย์ ...และ สามารถเริ่มได้ทันทีที่เราพร้อม

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

5 ข้อ ทำไมคนรุ่นใหม่ ควรซื้อหุ้นปี 2020

5 ข้อ ‘ทำไมคนรุ่นใหม่ ต้องซื้อหุ้นในปี 2020’

1. ‘หุ้น คือ สินทรัพย์ ที่ทำให้เจ้าของรวยมากที่สุด’ ...คนส่วนใหญ่มักจะคิดว่า สินทรัพย์ที่ทำให้เจ้าของรวยมากที่สุดคือที่ดิน แต่ไม่ใช่ เพราะ ที่ดินให้ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาว คือ 10% เฉลี่ยต่อปี ในขณะที่หุ้นให้ 12% เฉลี่ยต่อปี

2. ‘หุ้น คือ สินทรัพย์ ที่มีสภาพคล่องมากที่สุด’ ...พูดง่ายๆ ว่า หุ้น สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้ง่ายที่สุด ...ง่ายกว่าอสังหา เพราะ มีตลาดหลักทรัพย์ ที่มีการซื้อขายต่อวันหลายหมื่นล้านบาท

3. ‘หุ้น คือ สินทรัพย์ ที่ให้ Passive Income แบบง่ายที่สุดแล้ว’ ...คนที่อยากมีอิสรภาพทางการเงิน มักซื้อสินทรัพย์ที่มีค่าเช่า เช่น ซื้ออสังหาแล้วเก็บค่าเช่า ซึ่งปัญหาคือ ไม่มีคนเช่า หรือ เก็บค่าเช่ายาก ...แต่หุ้นที่ดี จะจ่ายปันผลอย่างสม่ำเสมอ เป็น Passive Income ที่ไม่ปวดหัวเลย

4. ‘หุ้น คือ สินทรัพย์ ที่ใช้เงินน้อย สามารถซื้อได้’ ...หากเราต้องการซื้อคอนโดปล่อยเช่า ต้องใช้เงินเยอะ หรือ อาจต้องกู้เพื่อซื้อ ...แต่หุ้นสามารถซื้อน้อยๆ ได้ ขั้นต่ำก็คือ ซื้อครั้งละ 100 หุ้น ...ยกตัวอย่าง คุณสามารถเป็นเจ้าของโรงพยาบาลที่ใหญ่ที่สุดในประเทศไทย อย่าง รพ.กรุงเทพ ด้วยการใช้เงินเริ่มต้นเพียง 2,500 บาท (หุ้น BDMS ราคาประมาณ 25 บาท ซื้อขั้นต่ำ 100 หุ้น ก็เท่ากับว่า เงิน 2,500 บาท คุณก็เริ่มเป็นเจ้าของ รพ. ได้แล้ว)

5. ‘หุ้น สามารถ เล่นสั้นก็ได้ ถือยาวก็ได้’ ...สินทรัพย์ส่วนใหญ่ ต้องถือยาว ซื้อขายยาก แถมมีภาษีในการซื้อขาย เช่น ที่ดิน ...แต่หุ้นได้รับการยกเว้นภาษี ในการซื้อขาย ..ส่วนคนที่ถือยาว ก็สามารถ ออมเงินในหุ้น เหมือน ออมในเงินฝาก แถมได้ทั้งปันผลที่สูงกว่าดอกเบี้ย ...และยังมีโอกาสที่มูลค่าหุ้นเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ

ใช่!! ดีจริงๆ ‘แล้วทำไม คนส่วนใหญ่ ที่ซื้อหุ้นแล้วถึงขาดทุน หรือ เจ๊งล่ะ ?’

1. ซื้อหุ้นปั่น หรือ หุ้นพื้นฐานไม่ดี ...แก้ได้ ด้วยการฝึกอ่านงบการเงินให้เป็น
2. ซื้อหุ้นดี แต่ซื้อผิดจังหวะ ...แก้ได้ ด้วย ฝึกดูกราฟ จับจังหวะราคาให้เป็น

มีคอร์สสอนไหม ? ...มีครับ

ผม และ คุณหยง มีคอร์สออนไลน์ ที่สอนแบบครบเครื่อง ให้ความรู้ จากมือใหม่ จนเข้าใจงบ อ่านกราฟ เข้าใจรอบหุ้น สามารถเทรดสั้น และ ออมหุ้นระยะยาวได้ ‘ครบ’

คอร์สออนไลน์นี้ เป็น การรวมคอร์สที่ดีที่สุด ของผมและคุณหยง ทั้ง 4 คอร์ส คือ
1. คอร์ส มือใหม่มากอยากเล่นหุ้น
2. คอร์ส มือใหม่หัดใช้เทคนิค
3. The Stock Blueprint ‘เทรดสั้น ขยันทำเงิน’
4. The Stock Blueprint ‘สร้างเงินไหล กำไรยั่งยืน’

จากราคาเต็ม คือ 40,000 บาท ...เราลดพิเศษ สมนาคุณส่งท้ายปี เหลือเพียง 9,900 บาท เท่านั้น

ใช่!! เรียนทั้งหมดเพียง 9,900 บาท (เรียนออนไลน์ สมัครแล้วเริ่มเรียนได้ทันที เรียนได้ทุกที่ ทุกเวลา จัดไป)

ใครสนใจเรียนทัก Line ไปที่ @thestockblueprint
หรือ โทร 063-191-0816

‘ผมเชื่อว่า ความรู้และประสบการณ์แพ็คนี้ทั้งของผมและคุณหยง จะช่วยเปลี่ยนชีวิตการลงทุนของคุณเช่นกัน’

วันอาทิตย์ที่ 15 ธันวาคม พ.ศ. 2562

8 เรื่องควรรู้ ทำไงให้เป็นคนดัง

8 เรื่องควรรู้ ทำไงให้เป็นคนดัง

ยุคนี้ใครๆ ก็อยากดัง เพราะ ชื่อเสียง ตามมาด้วย โอกาส และเงิน ...แถมโลกยุคนี้ ก็เปิดโอกาสให้คนธรรมดาสามารถขึ้นมาเด่น ดัง ไม่ยาก ...เรามาดูกันว่า เราควรรู้อะไรเพื่อไปเป็นคนดัง ?

1. ‘คนดังเริ่มจากคนไม่ดัง’ ...ไม่มีใครเกิดมาแล้วดังเลย ยกเว้นลูกดารา แต่นั่นไม่ใช่ปัญหา ...ขอแค่รู้ว่า ‘ความไม่ดัง’ เป็นจุดเริ่มของความดัง เราทุกคนเริ่มตั้งเป้าหมายได้ (ไม่มีอะไรเกินเอื้อม)

2. ‘คนดังเริ่มจากการทำอะไรแตกต่าง และ มีประโยชน์’ ...คนแตกต่างเฉยๆ ก็เป็นแค่คนแปลก ...แต่คนแปลกที่สร้างประโยชน์ ทุกคนมีโอกาสดังครับ ...เช่น ตลกยังสร้างรอยยิ้มและความสุข ...แล้วเราจะสร้างประโยชน์อะไรบนความแตกต่างดี ?

3. ‘สร้างสิ่งใหม่ ไปให้สุด’ ...ในโลกธุรกิจ เราจะได้ยินคำว่า Start Up ...ที่มันต่างจากธุรกิจทั่วไป ตรงที่ ‘ไปให้สุด’ ....ถ้าเรามีอะไรจะเสีย ผมจะแนะนำให้ทำแบบ 80/20 คือ เน้นสิ่งถนัด แล้วเสริมจุดแข็งเอา ...แต่ถ้าไม่มีอะไรจะเสีย มันต้อง ‘ใหม่ แล้วไปให้สุด!!’ ....ใช่!! ไม่มีคนดัง ที่เกิดจากทำอะไรกลางๆ

4. ‘เราทุกคนคือ Super Hero ที่มีแต่เราเท่านั้น ต้องหาพลังวิเศษให้เจอ’ ....ใช่!! จริงๆ คุณอาจจะเป็น Superman ก็ได้ แค่ตอนนี้คุณยังหามันไม่เจอ ...หาต่อ อย่าท้อครับ ‘คุณ คือ โคบาล !!’

5. ‘คนดัง ต้องมีพลังเชื่อมโยงแบบสม่ำเสมอ’ ...หลายคนคิดว่า คนดัง คือ คนติส คนหน้าตาดี แต่จริงๆ แล้ว คนดังทุกคนคือ นักการตลาด ....ทุกคนรู้อย่างชัดเจนว่า อะไรที่ทำให้เขาเชื่อมกับมวลชน ...เขาก็จะสื่อสารแบบนั้น อย่างต่อเนื่อง ‘สม่ำเสมอ’

6. ‘คนดัง คือ ผู้รับใช้สังคม’ ...ยุคนี้เราจะไม่เห็นดารา ที่ทำตัวหยิ่ง หรือ เข้าไม่ถึง แบบในอดีตแล้ว ...เพราะ ทุกวันนี้ ชื่อเสียงและ อำนาจ มันมาพร้อมความรับผิดชอบที่ยิ่งใหญ่ ....โจทย์ที่สำคัญ คือ เราจะเป็นผู้รับใช้อะไรในสังคมนี้

7. ‘ไม่มีพื้นที่ส่วนตัว สำหรับคนดัง’ ...ยุคนี้เราจะอ้างไม่ได้หรอกว่า นี่เฟสฉัน ฉันจะโพสอะไรก็ได้ ..คนดังตกม้าตายก็เพราะไม่เข้าใจเรื่องนี้ ...เมื่อทุกที่คือที่สาธารณะ เราถึงต้องพยายามฝึกและเข้าใจให้ดี

8. ‘ออนไลน์ คือ ส่วนขยายพื้นที่การรับใช้ และ สร้างประโยชน์ให้ผู้คน’ ...สื่อใหม่ๆ ในโลกออนไลน์เกิดขึ้นตลอดเวลา ...หลายๆ บริษัทคิดว่า ถ้าจะดังในเฟส
ก็แค่จ่ายค่าโฆษณา บูทเข้าไป ...แต่ผิดถนัด เพราะ ยุคนี้มันเป็นยุคของ Earn Media คือ เราไม่สามารถจะแต่จ่ายเงินแล้วได้มัน ...ยุคนี้ต้องใส่ความคิด และ ใส่แรง

ถ้าให้เลือกสิ่งสำคัญที่สุด ผมเลือก ‘ความสม่ำเสมอ’ เพราะ ชื่อเสียง เงินทอง และ การยอมรับ มันเกิดจากเราทำสิ่งนั้นอย่างสม่ำเสมอ ...นี่แหละ สำคัญที่สุดครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อควรรู้ ของอาชีพ Freelance

8 ข้อควรรู้ ของอาชีพ Freelance

โลกยุคนี้เปิดโอกาสให้เรามีรายได้ แม้ไม่ทำงานประจำ ...แต่ที่หลายๆ ไม่เข้าใจ คือ คิดว่า งานไม่ประจำ คือ งานสบาย

...แต่ไม่ใช่เลย !! ...มาดูกันว่า 8 ข้อ ที่ควรพิจารณาสำหรับ งานไม่ประจำ ทำเงินกว่า นั้นคืออะไร ?

1. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีวินัย’ ...คนทำมีงานประจำ เรามีกำหนดหน้าที่และสิ่งที่จะทำชัดเจน ...แต่งานไม่ประจำ ต้องสร้างวินัยที่ชัดเจน ...ดังคำพูดที่ว่า ‘คนมีวินัย คือ ผู้มีอิสระจากทาสอารมณ์’

2. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีลูกค้าประจำ’ ...คนส่วนใหญ่ มักเข้าใจผิดว่า คนที่ไม่ทำงานประจำ ก็มักจะรับงานแบบใครจ้างก็ได้ ..ไม่ใช่ !! อันนั้น เรียกรับจ้างทั่วไป

...การที่เราจะมีลูกค้าประจำ ต้องมี “สองกว่า” แสดงว่า

หนึ่ง เราเชี่ยวชาญกว่า

..สอง  เราจบงานเร็วกว่า (ยุคนี้ ความเร็ว คือ ความต่างของมืออาชีพ) ...แค่ทำงาน ใครทำก็ได้ แต่ฉับ ‘จบงานได้เร็วกว่า’

3. ‘Freelance ที่ดี ต้องวัดผลได้ชัดเจน’ ...การจ้างงานปกติ ใช้ระบบเหมา ...ก็ผมให้คุณเดือนละ 50,000 บาท ก็เหมาๆ โดยหวังว่า ลูกจ้างจะทำกลับมาได้มากกว่า 10 เท่า ของที่จ่าย ...แบบนี้คือ ลูกจ้างงานปกติ ....แต่ Freelance คือ จ้างเฉพาะ ดังนั้น เราต้องวัดผลได้ชัดเจน

4. ‘Freelance ที่ดี ต้องไม่มีวันหยุด’ ...พนักงานปกติเขาหยุด 2 วัน ดังนั้น Freelance ได้วันทำงานเพิ่มมาอีก 2 วันต่อสัปดาห์ นั่นเท่ากับ 100 วันต่อปี ที่ได้เพิ่ม!! ....ดีไงฟระ ?!? ...ดังนั้น ต้องเปลี่ยน Mindset ในการทำงานใหม่ คือ งานต้องสนุก ...ทำงานตลอดเวลา ถ้าไม่สนุก ตายเลย !!

5. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีรายได้ประจำ’ ...รายได้ประจำ ตรงนี้ ควรมาจากการลงทุน เช่น ลงทุนในหุ้นแล้วได้เงินปันผล (ไม่ใช่เทรดหุ้นนะ แต่ซื้อหุ้น เน้นเอาปันผลเป็นหลัก) ...ตรงนี้จะช่วยลดความไม่แน่นอนของรายได้ในอาชีพนี้

6. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีความอิน’ ...ความอิน มันคือ Passion ...จะเห็นว่า อาชีพใหม่ๆ ในยุคนี้ เกิดจากความชอบ ทำเพราะชอบ ยิ่งทำได้ดี ยิ่งได้เงิน ขยับขยายไปเรื่อยๆ ...เพราะ ถ้าเป็นเรื่องที่เราชอบ เราจะอยากทำ อยากศึกษา ...พอทำได้ดี เงินจะตามมาครับ

7. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีระบบ’ ...จุดอ่อน ของอาชีพอิสระ คือ ไร้ระบบ ...พอไร้ระบบ ถึงจะทำเงินได้ แต่ขยายไม่ได้ ...หลายๆ คนทำ Freelance ได้ดี แต่ทุกอย่างขึ้นอยู่กับตัวเอง ...จะไปต่อยาก ...การศึกษาและวางงานเราให้เป็นระบบ คือ การต่อยอดขั้นต่อไปที่สำคัญที่สุด ...ให้ดูคนสำเร็จ ถาม ปรึกษา แล้วพาตัวเองให้มีระบบ

8. ‘Freelance ที่ดี ต้องมีความฝันที่ยิ่งใหญ่’ ..อันนี้ตรงข้ามกับนิสัยของคนเป็น Freelance ที่รักความชิว และ ติสแตก ....ความฝันธรรมดาไม่มีประโยชน์ เพราะ มันแค่คิดสนุกๆ ...แต่ความฝันที่ยิ่งใหญ่ มันมักจะเป็นสิ่งที่ดี มีประโยชน์ต่อผู้คน มีประโยชน์ต่อประเทศ หรือ มีประโยชน์ต่อโลกมนุษย์ ....ความฝันจะกำหนดเป้าหมาย ...สุดท้าย แรงดึงดูด จะพาคนสุดยอดมาเจอกัน

เอาใจช่วยคนรุ่นใหม่ สร้างงาน สร้างอาชีพ และ รายได้ใหม่ เปลี่ยนตัวเอง เปลี่ยนสังคม ...ไทยให้ดี !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 10 ธันวาคม พ.ศ. 2562

คุณจะขายอะไรให้คนเกษียณ ?


‘คุณจะขายอะไรให้คนเกษียณ ?’

หนึ่งใน Megatrend ของโลก ที่เติบโต และ เงินมหาศาล คือ เทรนด์ของ ‘ผู้สูงอายุ หรือ คนเกษียณ’

ถ้าใครจับตลาดนี้ได้ ก็อาจเป็น มหาเศรษฐีกันได้เลยทีเดียว ...แต่ประเด็นสำคัญ คือ ‘แล้วคุณจะขายอะไรให้คนเกษียณ ?’

ผมเห็นบริษัทนึง พยายามสร้าง ‘บ้านพักคนเกษียณ ที่มีทุกอย่างครบครัน ตั้งแต่คนดูแล ไปยัน การรักษาพยาบาล’ ...ฮึม!! ดูดีมาก น่าจะขายดี ...แต่ปรากฎว่า ขายไม่ได้ครับ !!

คุณคิดดูซิ ...คนแก่อยากได้การดูแลรักษาพยาบาลที่ดี แต่ไม่มีใครอยากอยู่ในโรงพยาบาล ...แล้วถ้าคุณเอา concept ของความครบครันนี้ไปขาย ...มันก็จะเป็นโครงการ ที่มีแต่คนสูงอายุ ที่พร้อมตาย มาอยู่รวมกัน

วันดีคืนดี เพื่อบ้าน ห้องนุ้นก็ตาย ..ห้องนี้ก็ตาย ...สลับกันตาย ...มันคงหดหู่น่าดู ที่ตึกนี้จะเป็นศูนย์รวมของคนใกล้ตาย หรือ โครงการผีสิงนั่นเอง

‘อ้าว!! ก็นี่ไง Megatrend จับตลาดคนเกษียณไง’

ถ้าคิดเร็วๆ นะ ...หากอยากขายของคนเกษียณ คนที่มีทั้งเงิน และ มีทั้งเวลา ผ่านโลกมาเกือบทุกอย่างแล้ว ไม่น่าจะต้องการสินค้าและบริการอะไรมากมายแล้ว ...ถ้าจะขาย ผมจะขาย ‘ความหวัง และ เป้าหมายใหม่’

ผมยังนั่งคุยเล่นๆ กับเพื่อนเลยว่า ถ้าเราแก่ เกษียณแล้ว อยากอยู่ที่ไหน ...ทุกคนบอกเป็นเสียงเดียวกันเลยว่า อยากอยู่ท่ามกลางคนหนุ่มสาว ...เออ!! โจทย์ยากชิบหาย เพราะ คนหนุ่มสาว เขาคงไม่ได้อยู่ท่ามกลางคุณ ..555

ดังนั้น การขายของให้คนเหล่านี้ จะขาย แค่สินค้า และ บริการ ไม่ได้ ...มันต้องขายสิ่งที่เขาขาด ดังนี้

1. ‘ความหวัง และ เป้าหมายใหม่’ ...สินค้าหรือ บริการที่จะขายเขา ต้องเป็นตัวแทน ของความหวังใหม่ ความหนุ่มสาว และ ชีวิตชีวา

2. ‘ความมั่นคงทางการเงิน’ ...คนเกษียณคงไม่ได้อยาก รวยสิบเท่า ร้อยเท่า เหมือนคนหนุ่มสาว แต่น่าจะอยากได้ ความแน่นอน และ การันตีความมั่นคง ...ในต่างประเทศ มี product เช่น reverse mortgage คือ แทนที่จะกู้เงินแล้วผ่อนบ้านทั้งชีวิต ...อันนี้ เอาสินทรัพย์ที่ตัวเองมี มาวาง แล้วทยอยได้เงินจากสถาบันการเงินไปเรื่อยๆ เท่ากันทุกเดือนจนกว่าจะตาย ...นี่ออกแบบดีๆ นี่น่าสนใจเลยทีเดียว

3. ‘ขายความหนุ่มสาว’ ...อะไรที่ใช้แล้ว หนุ่มสาวขึ้น สุขภาพดีขึ้น น่าสนใจ

4. ‘ขายสุขภาพที่ดี’ ...แต่ไม่อยู่ในโรงพยาบาลนะ ...เขาต้องการบริการสุขภาพ แต่ขออยู่ให้ไกลโรงพยาบาล และ เข้าโรงพยาบาลให้น้อยที่สุด

5. ‘ขายอำนาจ และ การยอมรับ’ ...คล้ายๆ อาชีพนักการเมืองเลยนะ ...แต่อย่าเล่นการเมืองเลย ...มันโดนถอนหงอกแบบไม่จำเป็น ...ถ้าใคร Package อำนาจ และ การยอมรับ ในแบบที่ไม่โดนถอนหงอกนี่ขายดีแน่นอนครับ

6. ‘ขายเพื่อนที่รู้ใจ’ ...สิ่งที่เรามีน้อยลงเรื่อยๆ เมื่ออายุมากขึ้น คือ เพื่อนที่รู้ใจ ...เออ !! ไม่ต้องเป็นคนก็ได้ จะเป็นหมา เป็นแมว หรือ หุ่นยนต์ ให้มันรู้ใจ น่ะขายดีแน่นอน

เอาแค่นี้ก็ คิดกันไม่ออกแล้ว ...แต่ที่แน่ๆ คนที่ทั้งมีเงิน และ มีเวลา เขาไม่ซื้อแค่ สินค้า หรือ บริการ ธรรมดาหรอก ...เขาจะซื้อ ประสบการณ์ ที่เขาขาดต่างหากล่ะ

ลองคิดกันดู ...The Megatrend of Wealth !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ฉันจะขายอะไรให้คนจีน ?


‘ฉันจะขายอะไรให้คนจีน ?’

มีคนบอกว่า ขายของให้คนจีน ขอคนละบาท ก็ได้แล้ว พันล้าน !! ...เออ !! พูดง่ายเยอะ แต่ทำจริงล่ะ ?

คิดซิ คุณจะขายอะไร ให้กับประเทศ ที่มีสินค้าทุกอย่าง ในราคาที่ถูกกว่า แล้วขายของให้คนทั้งโลก !!

คนจีนมาเที่ยวไทยปีละ 10 ล้านคน ถือเป็น 1 ใน 3 ของคนที่มาเที่ยวไทย ทำรายได้เกือบครึ่งของรายได้ 1.9 ล้านล้านบาท ต่อปี

มาดูกัน ขายอะไรดี ?

1. ‘คนจีนซื้อ ธุรกิจ ไม่ซื้อสินค้า’ ...สินค้าเขามีเยอะกว่าเรา ...เขาสนใจสิ่งที่อยู่เบื้องหลังของสินค้า ก็คือ ธุรกิจ

2. ‘คนจีน ซื้อสินทรัพย์ ไม่ซื้อขยะ’ ...จีนเป็นคนผลิตขยะขายคนทั้งโลกอยู่แล้ว สิ่งที่เขามองหาคือ สินทรัพย์ ...สิ่งที่ซื้อแล้วราคาเพิ่มในอนาคต

3. ‘คนจีนซื้อ ประสบการณ์’ ...คนที่มีทุกอย่าง เขาจะมองหาประสบการณ์ที่แตกต่าง ที่หาไม่ได้ในประเทศเขา ...ถ้าประสบการณ์นั้นหาได้ในบ้านเขา จะมาบ้านเราทำไม

4. ‘คนจีนซื้อโอกาส’ ...โอกาส เหนือ กว่าประสบการณ์ตรงที่ นอกจากได้สัมผัสแล้ว ยังมีโอกาสทำเงินได้ในอนาคตอีกด้วย

5. ‘คนจีนซื้อคนเก่ง’ ..หลายคนบอกว่า คนจีนเอาเปรียบ แต่จริงๆ เขาเอาเปรียบเฉพาะคนที่เขาเอาเปรียบไม่ได้ ...นอกจากบริษัทฝรั่งที่กล้าจ้าง กล้าซื้อคนเก่ง ก็มีเจ้าสัว นี่แหละ ที่กล้าซื้อคนเก่ง

ใช่!! สิ่งที่ผมได้เรียนรู้ ในการทำธุรกิจ และ คบหากับคนจีน ก็คือ เขาไม่น่าคบ !! ...เฮ้ย ไม่ใช่ เขาก็น่าคบอยู่ แต่เราต้องรู้ว่า จริงๆ เขาต้องการอะไร ก็เท่านั้นเอง

ถ้าขายของให้คนจีนง่าย ..คุณไม่ได้คุยกับคนจีนแล้ว นั่นคนไทย ..555

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องไม่ใช่แค่นั่งรอลูกค้า


‘ธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องไม่ใช่แค่นั่งรอลูกค้า’

สมัยก่อน แค่ขายของดี ทำเลดี เดี๋ยวก็มีลูกค้ามาเอง ...แต่ยุคนี้ ลูกค้ามีทางเลือกมาก จะมัวแต่นั่งรอลูกค้าคงไปไม่รอดครับ

1. ‘มีแบรนด์’ ...หลายคนคิดว่า มีชื่อก็คือมีแบรนด์แล้ว แต่ไม่ใช่ ...การมีแบรนด์คือ ‘มีสิ่งที่ลูกค้าจดจำอย่างชัดเจน’

2. ‘มีความชัดเจน’ ...โลกเราผ่านยุค ขายของชำไปแล้ว ...คนที่อยู่ได้ในยุคนี้คือ มีของชัดเจน ...ลูกค้าของร้านที่ชัดเจน คือ คนที่มี Passion ในสิ่งนี้ เช่น ร้าน Amazon จะขายคนคอกาแฟไม่ได้ ...ภาษาชาวบ้านของ ความชัด ก็คือ ความลึกในสิ่งที่ขาย

3. ‘เข้าถึงลูกค้า’ ...การมีแค่หน้าร้านวันนี้ถือเพียงการเข้าถึงเพียงครึ่งเดียว เพราะ อีก 50% คือ ลูกค้าต้องการซื้อจากออนไลน์ที่สะดวก ...เราต้องจัดการช่องทางออนไลน์เพื่อลูกค้าด้วย

4. ‘มีการเล่าเรื่องราว’ ...ยุคก่อนคนแค่ต้องการซื้อสินค้า แต่ยุคนี้ คนต้องการซื้อประสบการณ์ ...ประสบการณ์ก็คือ การเล่าเรื่องราวของสินค้า ซึ่งยุคนี้ เราต้องเล่าเรื่องราวของ สินค้า บริการ ผ่าน social media ซึ่งต้อง ‘สนุก และ เกี่ยวข้องกับชีวิตของลูกค้า’ (นักเขียนยุคนี้ไม่ได้ตกงาน แต่มีงานเยอะขึ้น ต้องฝึกเล่าเรื่องราวให้ สนุก และ เกี่ยวข้อง)

5. ‘มีระดับ’ ...คนไทยจะลิงค์ระหว่างราคากับคุณภาพ ...ของแพงมักแปลว่า ของคุณภาพดี ...แต่ที่สำคัญกว่า คือ ของแพงต้องให้คุณภาพที่แพงกว่า ...อย่าดูถูกลูกค้าโดยเอาของห่วยมาขายราคาแพง เพราะ ไม่มีใครโง่ ...วัตถุดิบคุณต้องดีกว่า รายละเอียดต้องเนี้ยบกว่า รับประกันคุณภาพที่นานกว่า ...หมดยุคของการขายของธรรมดาให้ราคาถูก เพราะตลาดนั้น ถูกธุรกิจรายใหญ่จับจองไว้หมดแล้ว

6. ‘มีลูกค้าเป็นเพื่อน’ ...ยุคนี้ต้องพัฒนาจากลูกค้า ไปเป็นเพื่อน ...เราอยากแนะนำเพื่อนให้ได้สิ่งที่ดีเหมือนกับเรา ...หมดยุคการโฆษณาแล้ว มันแพงขึ้นเรื่อยๆ ...สร้างเพื่อน คือ การตลาดของธุรกิจยุคนี้

ลองสำรวจธุรกิจเราดูว่า จะเพิ่มให้ครบ 6 ข้อ ...รับรอง รุ่ง ครับ ฟันธง !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

อาชีพไหนจะตกงานก่อน ในปี 2020

‘อาชีพไหนจะตกงานก่อนกัน ในปี 2020!!’

ปี 2020 เชื่อได้ว่า จะเป็นปีที่ มีหลายอาชีพที่จะตกงาน ...ตกงานเป็นเบือว่างั้น ...มาดูกันว่า อาชีพไหนเสี่ยงตกงานสูงสุด

เรามาแบ่ง ประเภทของคน ในทุกอาชีพก่อน ...เพราะ ทุกอาชีพ มีคนงานอยู่ 3 ประเภท ...ไอ้ที่เราเห็นคนพูดกันว่า อาชีพนั้น จะหายไป ..อาชีพนี้ตกงาน ...มันไม่ได้อยู่ที่อาชีพ !! ...แต่มันอยู่ที่ประเภทของคนงานต่างหาก

1. ‘คนที่บริษัทขาดได้ และ รู้ว่าจ้างมาทำอะไร’ ...ถ้ารู้ว่าจ้างมาทำอะไร งานแบบมีคู่มือ บอกชัดว่า ทำอะไร อันนี้เป็นงานที่บริษัท พยายามจะเอาเครื่องจักร หุ่นยนต์ และ AI มาทำแทน เพราะ มันทำถูกกว่าคน ...แล้วนี่บริษัทบริษัทขาดได้ แปลว่า เป็นงานระดับล่าง ...ประเภทนี้ ตกงานคนแรก ...เพราะ งานระดับล่าง งานแรงงาน งานซ้ำๆ สามารถแทนด้วยเครื่องจักรราคาไม่แพง งั้นใช้เครื่องจักรแทนเลย

2. ‘คนที่บริษัทขาดไม่ได้ แต่รู้ว่าจ้างมาทำอะไร’ ...อันนี้คล้ายแบบแรก เพียงแต่ มีความรู้ ความเชี่ยวชาญมากกว่า ...คือ ผู้มีประสบการณ์ ผู้เชี่ยวชาญในบริษัทนั่นแหละ ....พวกนี้ ถ้าจะใช้เครื่องจักรมาแทน จะเป็นเครื่องจักร หรือ AI ราคาสูง เลยตกงานช้าหน่อย ...ยิ่งประเทศกำลังพัฒนา(ด้อย) แบบบ้านเรา ก็จะเอาเทคโนโลยีมาช้ากว่าอเมริกา หรือ ประเทศพัฒนา ก็จะยังพอมีเวลาได้หายใจบ้าง ..ปี 2020 ยังไม่ตกงานครับ

3. ‘คนที่บริษัทขาดไม่ได้ แต่ไม่รู้ว่าจ้างมาทำอะไร’ ...มีบริษัทยักษ์ใหญ่ด้านการสื่อสารในบ้านเรา ไม่ขอพูดชื่อ เดี๋ยวพาดพิง ...ตึกสำนักงานใหญ่ของเขาตั้งอยู่บนถนนรัชดา จะมีลิฟต์แยก ที่นำคุณขึ้นที่สูง เป็นชั้นที่คนธรรมดาขึ้นไม่ได้ ..คุณต้องไม่ธรรมดา ...บริษัทนี้จ้างคนจำนวนมาก ที่พนักงานทั่วไป จะไม่รู้ว่า คนเหล่านี้ทำอะไร ‘วันๆ มันทำอะไรวะ ?!?’ ...แต่ค่าจ้างคนเหล่านี้สูงมาก (สูงจนไม่สามารถเปิดเผยตัวเลขได้)

คนเหล่านี้แหละ ที่จะไม่โดน Disrupt เพราะ บริษัทยังไม่รู้เลย ว่า ‘จ้างมันทำไมวะ ..555’

ล้อเล่น !! ...จริงๆ คนเหล่านี้แหละ ที่จ้างโคตรคุ้ม บางคนสามารถกอบกู้ ทั้งบริษัทเวลาเกิดวิกฤต ...บางคนทำรายได้ ให้บริษัทไม่รู้จักกี่เท่า

เล่ามาถึงตรงนี้ จะบอกว่า สมัยก่อนมีไม่มีบริษัทที่กล้าจ้างคนแบบนี้ ...แต่ยุคนี้ มีคนแบบนี้อยู่เกือบทุกบริษัท คนเหล่านี้ คือ ‘อาวุธลับของเจ้าของนั่นเอง’

พอเล่าเรื่องนี้แล้วสนุก เพราะ ทุกวันนี้ผมได้มีโอกาส พบปะ พูดคุยกับคนแบบนี้มากขึ้น ...ต้องบอกว่า เมื่อเทคโนโลยีเปลี่ยน ตำแหน่งการใหม่ๆ ก็เกิดขึ้นตาม

ไว้มีโอกาสผมจะมาเล่าต่อว่า คนเหล่านี้ เขาสมัครงานกันยังไง ...เขาทำอะไร ? ...เขาเรียนอะไรมา ? ...และ เขาพัฒนาตัวเองอย่างไร ให้มาถึงจุดที่เขายืน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ชีวิตเปลี่ยน เริ่มที่เป้าหมาย

‘สิ่งที่เปลี่ยนชีวิตเรามากที่สุด โดยออกแรงน้อยที่สุดคืออะไร ?’

ถ้าให้เลือก ข้อเดียว ..ทำอย่างเดียว ...ผมเลือก ‘การตั้งเป้าหมาย’

เดี๋ยว !! ...ไม่ใช่แบบที่คนส่วนใหญ่คิดนะ

“ผมก็มีเป้าหมายครับ หัวหน้าสั่งอะไร ผมก็ทำตามเป้าหมายได้ตลอด” ...ไม่ใช่นะ !! ...อันนี้เรียก ‘ทำตามสั่งไปเรื่อยๆ’

ในโลกธุรกิจ คุณแทบไม่เห็นร้านอาหารตามสั่ง ที่เติบโต ยิ่งใหญ่ ...มันมีแต่ร้านเฉพาะทางเท่านั้น ที่ยิ่งใหญ่ขยายเป็นอาณาจักร ...หลักๆ ก็เพราะ ‘การตั้งเป้าหมาย’ นั่นเอง

คนเราจะขับรถ ถ้าไม่ตั้งว่าจะไปไหน มันก็จะขับวนไปวนมา เหมือนกับชีวิตคนส่วนใหญ่ ที่ทำงานไปเรื่อยๆ ไม่ว่าจะตั้งใจ ทำหนักแค่ไหน มันก็วนอยู่ตรงนั้นแหละ

‘เฮ้ย!! ทำไมชีวิตผมไม่ก้าวหน้าเลย ทำงานโคตรหนัก ...เออ ก็เอ็ง ขับวนไง !!’

มาดูหลักการตั้งเป้าหมาย แบบง่ายๆ 5 ข้อ มีดังนี้

1. ‘เป้าหมายต้องเป็นตัวเลข’ ...ถ้าบอก ผมจะรวย มันลอย มันไปต่อไม่ได้ วัดผลไม่ได้

2. ‘เป้าหมายต้องมีระยะเวลา’ ...ถ้าเป้าหมายไม่มีการกำหนดระยะเวลา จะเรียกว่า ‘ความฝัน’

3. ‘เป้าหมายต้องมีความอึดอัด’ ...ถ้าการตั้งเป้าทำให้เรารู้สึกสบายๆ ชิวๆ อย่าตั้งเป้าหมายเลยครับ ..ทำไปชีวิตก็เหมือนเดิม ...เป้าหมายที่ดี ต้องโคตรอึดอัด ออกจาก Comfort Zone ทำสิ่งใหม่ ลองสิ่งที่ไม่คิดจะลอง เช่น เอาคนอ้วน มาวิ่งทุกเช้า ชีวิตเปลี่ยนแน่นอน ฟันธง !!

4. ‘เป้าหมายต้องมีรางวัล’ ...รางวัลก็คือ ภาพความสำเร็จเมื่อเราถึงเป้าหมาย ...ตัวนี้จะเป็นแรงส่งระหว่างทางเมื่อเราท้อแท้ เราก็จะมีภาพนี้เตือนใจ ว่า ‘มรึงต้องไปต่อ !!’

5. ‘เป้าหมายต้องมีความรู้’ ...เคล็ดลับของคนที่สำเร็จทุกคน เขามีความรู้ หรือ Know How ตั้งแต่วันแรกที่เขาเริ่มแล้ว ...ยกตัวอย่าง คนที่รวยเป็น 100 ล้านจากหุ้น (ไม่มีใครฟลุ๊ค) เขารู้ตั้งแต่วันแรกแล้วว่า เขาจะไปถึง 100 ล้านได้อย่างไร และ เมื่อไหร่

มีคนถามว่า ‘อ้าว!! แล้วถ้าผมไม่รู้ ผมก็ไปไม่ถึงใช่ไหม ?’

ใช่!! ...เพราะ คนที่รู้ ก็ไม่ใช่ทุกคนจะไปถึง ...แต่อย่างน้อย คนที่ไปถึงทุกคนคือคนที่รู้ไง

‘คนเก่งทุกคน ไม่ได้รวย แต่คนรวยทุกคน ต้องเก่ง (แมร่งเก่งทุกคน เขี้ยวด้วย..555)’

ใครอ่านถึงตรงนี้ ก็ลอง สำรวจเป้าหมายของตัวเองกันดูครับ ...เพราะ การตั้งเป้าหมาย คือ การเปลี่ยนชีวิตที่มีประสิทธิภาพที่สุดนั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

7 หลักการ ที่ทำให้คนรวยซื้อของแล้วรวยขึ้น

7 หลักการที่ทำให้คนรวย ซื้อของแล้วรวยขึ้น

ปกติ การซื้อเท่ากับ ‘จนลง’ ...แต่คนรวย ใช้หลักการ 7 ข้อนี้ เพื่อซื้อแล้วรวยขึ้น

1. ‘ซื้อของที่คนต้องการ ในเวลาที่เขาไม่ต้องการ’ ...พูดภาษาชาวบ้าน ซื้อของในช่วงวิกฤต อันนี้เป็นพื้นฐานของการได้ของถูกเลย

2. ‘มีเงินสด ในเวลาที่คนอื่นไม่ค่อยมี’ ...การมีเงินสดในเวลาที่คนอื่นไม่มี ไม่ได้หมายความว่า เราต้องรวยมาก ..แต่ประเด็นอยู่ที่การบริหารเงิน เช่น ถ้าคนอื่นกำลังซื้อ เขาจะสะสมเงินสด ...เมื่อใดที่คนอื่นสะสมเงินสด เขาจะเริ่มซื้อ

3. ‘ซื้อของที่สามารถเปลี่ยนเป็นเงินสดได้เมื่อต้องการ’ ....ของที่เปลี่ยนเป็นเงินสดได้ ในเวลาที่ต้องการ แปลว่า สิ่งนั้นมีคนต้องการ เป็นของสะสม ...สามารถเก็บสะสม ไว้แทนการออมเงินได้

4. ‘ซื้อของที่มีจำนวนจำกัด หรือ มีน้อย’ ...ของที่ผลิตไม่จำกัด คือ ของที่ใช้แล้วทิ้ง เป็นขยะ ไม่มีค่า ...แต่ของที่ผลิตจำกัด หรือ ผลิตน้อย มีโอกาสที่จะเปลี่ยนเป็นสินทรัพย์ หรือ ของสะสมได้ ในที่สุด

5. ‘ศึกษาประวัติ มีความรู้ ในสิ่งที่เขาซื้อ’ ...ถ้าเรามีความรู้ มีความเชี่ยวชาญ ในของอะไรก็ตาม เราจะสามารถซื้อของที่ดี และซื้อของนั้นได้ในราคาดีกว่า คนที่ไม่มีความรู้

6. ‘ซื้อของที่มีอายุยืนยาว’ ...ของที่ใช้แล้วทิ้ง มันแทบไม่มีราคา ยกตัวอย่าง นาฬิกา แบตเตอรี่ ไม่มีทางแพงกว่า นาฬิกา ไขลาน เพราะ อันนี้สร้างมาให้ทิ้ง ส่วนอีกอันสร้างให้อยู่ตลอดไป

7. ‘ซื้อของ เพื่อเป็นมรดก’ ...หลายคนคิดว่า ของที่เป็นมรดก ต้องเป็นของแพงเสมอ ...จริงๆ แล้ว อาจเป็นของที่มีคุณค่าทางจิตใจก็ได้ ...ยิ่งของนั้น มีคุณค่าทางจิตใจต่อคนหมู่มาก ยิ่งมีราคา ...ส่วนใหญ่ของเหล่านี้ก็ได้ไปอยู่ในพิพิธภัณฑ์ในที่สุด เพราะ หาค่าไม่ได้ 

ครบ 7 แล้ว ...ลองย้อนสำรวจตัวเรา ว่าเรามีนิสัยซื้อของแล้วรวยขึ้นแบบคนรวยกี่ข้อแล้ว ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 13 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

หาเงิน กับ สร้าง Wealth ต่างกันอย่างไร

‘หาเงิน กับ สร้าง Wealth ต่างกันอย่างไร ?’

หลายคนคงสงสัยว่า ถ้าอยากสร้าง Wealth (ความมั่งคั่ง) ก็ให้เร่งหาเงินเยอะๆ เร็วๆ ไม่ใช่เหรอ ?

ไม่เหมือนกันครับ ขอยกตัวอย่างให้เข้าใจมากขึ้น

สมมุติว่า ‘เงิน คือ น้ำ’

‘การหาเงิน’ ก็คือ พอเราเจอแหล่งน้ำ เราก็รีบไปตัก ..คนไหนเร็วก็ตักได้ก่อน ...เหมือนธุรกิจในทุกวันนี้ เช่น มีคนเอาของมาขายออนไลน์ จะขายดีช่วงสั้นๆ จากนั้นจะมีคู่แข่งเร็วมาก 

‘การสร้าง Wealth’ เป็นอีกวิธีคิดนึง ในการสร้างตัว ที่เชื่อว่า ‘เราต้องทำทุกวิถีทาง ให้แหล่งน้ำใหญ่ขึ้นก่อน แล้วค่อยตักทีหลัง’

ฟังดูง่าย ...แล้วทำอย่างไรล่ะ ?

ขั้นแรก คนที่จะสร้าง Wealth จะต้อง พัฒนาที่ภาชนะ ในการตักน้ำ ...ภาชนะก็เปรียบเสมือนความรู้ ความเชี่ยวชาญ

ขั้นที่สอง การสร้างแหล่งน้ำให้ใหญ่ขึ้น ก็คือ การสร้างสินทรัพย์ ขึ้นมาทำงานแทนเรา

ถ้าไปศึกษาวิธีการสร้าง Wealth ของคนรวยทั้งโลก จะพบว่า แทบทุกคน สร้างตัวจาก การสร้าง สินทรัพย์ แล้ว ให้สินทรัพย์นั้นโตแทนเขา หาเงินแทนเขา

ในตลาดหุ้น ‘การหาเงิน’ ก็คือ การเทรด ซื้อมา ขายไป ...ส่วน ‘การสร้าง Wealth’ ก็คือ การซื้อหุ้นดี แล้วไม่ขายเลย หรือ ทนถือให้นานที่สุด

ใช่!! การ Balance (รักษาสมดุลย์) ของ การ ‘หาเงิน’ กับ ‘การสร้าง Wealth’ เป็นศิลปะ ...เรียกว่า ศิลปะแห่งการสร้างเศรษฐีนั่นแหละ 

ลองสำรวจตัวเอง ว่า วันนี้ เราทุ่มเท เวลากี่ % ในการ ‘หาเงิน’ และ ใช้เวลากี่ % ในการ ‘สร้าง Wealth’ 

...ถูกต้อง คนส่วนใหญ่ มักเข้าใจว่า รีบหาเงิน แล้วจะรวย ...แต่จริงๆ แล้ว เขายังไม่เคยเริ่ม ‘สร้าง Wealth’ สักที !!

ค่อยๆ แบ่งเงิน แบ่งเวลามาสร้าง Wealth กันครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 11 พฤศจิกายน พ.ศ. 2562

10 ข้อ ดูอย่างไรว่าใช่แชร์ลูกโซ่

10 ข้อ ดูอย่างไรว่าใช่แชร์ลูกโซ่

ทุกวันนี้แชร์ลูกโซ่มันได้คืบคลานเข้ามาเป็นส่วนนึงของสังคมไทยไปเรียบร้อย ...น่ากลัวมาก เพราะผมเอง ตอนสมัยเรียนก็โดนไปเต็มๆ เข็ดถึงทุกวันนี้ ..มาดูกัน

1. ‘ผลตอบแทนดีเกินจริง’ ...ในวงการลงทุนจริงๆ ผลตอบแทน 10% ต่อปี ถือว่าหล่อแล้ว ...แชร์ลูกโซ่จะใช้ผลตอบแทนล่อให้เราโลภ

2 ‘การันตีผลตอบแทน’ ...ในการลงทุนจริงๆ อย่างในตลาดหุ้น หรือ อสังหา ไม่มีใครการันตีผลตอบแทน เพราะ มันทำไม่ได้ ...ที่พูดกันคือ ผลตอบแทนเฉลี่ย ...ดังนั้น ถ้ามีการันตีผลตอบแทน ต้องระวังดีๆ 

3. ‘จ่ายเร็ว สม่ำเสมอ’ ...ได้คืนทุกเดือนนี่ตลกแล้ว ถ้าไม่ใช่หวยใต้ดิน หรือ ปล่อยกู้นอกระบบ ..การลงทุนจริงๆ ไม่มีอะไรที่คืนเงินเร็วขนาดนั้น

4. ‘คนลงทุนไม่ต้องมีความรู้ และ ไม่ต้องทำอะไรเลย’ ..ลงทุนจริงๆ ทุกอย่างต้องศึกษาหาความรู้ ..ถ้าเป็นการลงเงินที่ไม่ต้องมีความรู้อะไรเลย เริ่มน่าสงสัยครับ

5. ‘เป็นการลงทุนที่ดูล้ำ แบบที่เราไม่เข้าใจ’ ...แชร์ลูกโซ่มักผูกกับเรื่องใหม่ๆ ...อะไรก็ได้ที่คนรู้ว่ามีแต่ไม่รู้เรื่อง ...เงินคริปโต , ค่าเงิน , ธุรกิจ IT , Platform แปลกๆ ...เอาง่ายๆ ว่า ธุรกิจที่เขาชวนมันฟังดูล้ำ แต่เราไม้รู้เรื่องอะไรเลย

6. ‘มีการชวนคน แล้วผลตอบแทนเพิ่ม’ ...ถ้าการลงทุนอะไรก็ตามที่เริ่มมีการชวนคนแล้วผลตอบแทนเราเพิ่ม มันเริ่มน่าสงสัย ...ยิ่งถ้าชวนแล้วเพิ่มเป็นหลายๆขั้น ก็ชัวร์ละ แชร์ลูกโซ่แน่ๆ 

7. ‘มักเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ’ ...ก็แน่นอน ถ้าในประเทศ มันง่ายไป ...ต้องเกี่ยวข้องกับต่างประเทศ ระหว่างประเทศ ...เวลาคืนเงินจะได้มีข้ออ้าง ว่าเงิน กำลังติดขั้นตอนนั่นนี่ ...มั่วได้ว่างั้นเถอะ

8. ‘กลุ่มคนที่มาลง หลากหลายมาก’ ...ปกตินักลงทุนแต่ละประเภท ก็จะเป็นคนที่เป็นนักลงทุนอยู่แล้ว เห็นหน้าก็รู้แล้ว ...แต่ถ้าแชร์ลูกโซ่ ถ้าเราเดินเข้าไปในห้อง จะเห็นตั้งแต่ นักธุรกิจ แม่ค้า ตาสี ตาสา ..คือ มีทุกสาขาอาชีพ มารวมตัวกันแบบหลากหลายสุดๆ

9. ‘มีรถหรู ของหรูหรา โชว์รวย มาชวนคุณ’ ...การลงทุนจริงๆ เขาจะชวนด้วย แผนธุรกิจ และ สินค้าจริงๆ ที่เขาขายแล้วได้รับการยอมรับ ...แต่แชร์ลูกโซ่ มักจะชวนคุณด้วย รถหรู , คนธรรมดาที่เราไม่เคยรู้จัก อยู่ดีๆ เขาก็พลิกชีวิตข้ามคืน ขับ supercar มาถ่ายวีดีโอให้เราดู ...ดูซิ อยากเป็นอย่างเขาไหม นั่นนี่ ...ฮ่า ฮ่า 

10. ‘บริษัทไม่ใช่ของจริง’ ..อันนี้ดูยาก เพราะ พวกแชร์ลูกโซ่ มักหาภาพบริษัทในต่างประเทศ ที่เราเช็คข้อมูลไม่ได้มานำเสนอ ...บริษัทใหญ่จริงๆ ส่วนใหญ่ต้องอยู่ในตลาดหุ้น หรือ มีชื่อเสียงยาวนาน

ก็ประมาณนี้ ...ที่สำคัญที่สุดคือ ถ้าเราลงทุนไปด้วยความโลภ ไม่ต้องมีความรู้ ยิ่งพาเพื่อนมา ผลตอบแทนยิ่งเพิ่ม ลงเหมือนโดนป้ายยา ก็ให้สงสัยไว้ก่อนเลยว่ามันแปลกๆ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ว่าแล้วก็ ขอชวนลงทุนของจริงบ้าง ...ออมในหุ้น กับ หลักทรัพย์บัวหลวง 

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 


ปล. รถหรู ผมก็มีนะ ...ชวนมาลงทุนจริงๆ กันดีกว่าครับ ..555

วันพฤหัสบดีที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ทำไมจีนจึงเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีพันล้าน


‘ทำไมจีน จึงเป็นดินแดนแห่งเศรษฐีพันล้าน’ Billionaire Maker !!

1. ‘ตลาดในประเทศใหญ่’ ...ยุคนี้ตลาดใหญ่ได้เปรียบ เพราะ มีเม็ดเงินไหลเวียนในประเทศเยอะ

2. ‘โอกาสขยายธุรกิจระดับโลก’ ...จีนได้ชื่อว่าเป็นโรงงานของโลก เพราะ ผลิตสินค้าให้ทั้งโลก ...คล้ายๆ อเมริกาที่ทำอะไรก็สามารถขยายในระดับโลก 

3. ‘สร้างแบรนด์สินค้าของตัวเอง’ ...การเป็นโรงงานรับจ้างผลิตมาก่อนทำให้จีนเรียนรู้ Know How จากคนอื่น จากนั้น ก็เอามาต่อยอดสร้างสินค้าแบรนด์ของตัวเอง ...จุดนี้แหละ ที่ทำให้ธุรกิจจากกำไรน้อยๆ กลายเป็นธุรกิจกำไรเยอะ ก็เพราะสร้างแบรนด์

4. ‘มีนักลงทุนที่ไม่ใช่แค่ธนาคาร’ ...ปกติประเทศเล็กๆ นักธุรกิจจะหาเงินทุนก็ต้องกู้ธนาคาร ซึ่งมีข้อจำกัดเยอะ เช่น ต้องมีทรัพย์สินมาค้ำประกัน ...แต่จีนคล้ายๆ อเมริกาตรงที่มี Angel และ Venture Capital จำนวนมาก ที่ลงทุนในธุรกิจใหม่ โดยไม่สนใจสินทรัพย์ค้ำประกัน แต่ดูจากศักยภาพธุรกิจ

5. ‘มีรัฐบาลที่ปกป้องธุรกิจในประเทศ’ ..อันนี้ชัดเจน รัฐบาลจีน จะสนับสนุนธุรกิจในประเทศแล้วพยายามกีดกันธุรกิจใหญ่ๆ ของต่างประเทศ ...เช่น Google โดนกัน ทำให้ Baidu เป็นยักษ์ใหญ่แบบผูกขาดในจีนในเรื่องการค้นหาข้อมูล

6. ‘กล้าลงทุนในโครงสร้างพื้นฐาน’ ...ตัดถนน สร้างรถไฟ สร้างสิ่งอำนวยความสะดวก มหาศาล ...ยิ่งรัฐบาลจ่ายเงินลงทุนใน infrastructure ก็ยิ่งทำให้ประเทศเจริญ การขนส่งสะดวก และ ต้นทุนต่ำลง ..ซึ่งสุดท้ายทำให้ราคาที่ดินทั้งประเทศเพิ่ม จุดนี้ก็ทำให้คนจีนมีทรัพย์สินที่ราคาสูงขึ้น

7. ‘กล้าประกาศสงครามกับคอรัปชั่น’ ...ประเทศที่คอรัปชั่นเยอะ จะรวยกระจุก จนกระจาย เพราะ ทุกธุรกิจจะรุ่งหรือร่วง ขึ้นกับเส้นสาย ไม่ได้ขึ้นกับฝีมือ

8. ‘คนจีนออมเงินเยอะ หนี้น้อย’ ...จุดนี้ที่ทำให้จีนได้เปรียบอเมริกาในสงครามการค้า เพราะ คนจีนออมเงินมากกว่า 

9. ‘ลงทุนกับการศึกษาและเทคโนโลยี’ ...เรื่องเทคโนโลยีคือหัวใจสำคัญของรายได้คน ...ถ้าประเทศสามารถสร้าง innovation ก็จะทำให้คนมีรายได้สูง

10. ‘คนจีนขยัน’ ...วัฒนธรรมการทำงานของจีนเป็นแบบ 996 คือ ทำงานตั้งแต่ 9 โมงเช้า ถึง 3 ทุ่ม 6 วันต่อสัปดาห์ ...เพราะคนจีนเชื่อว่า งานหนักไม่เคยทำให้ใครตาย ...โหดมาก !!

แค่ 10 ข้อนี้ ก็เป็นตัวอย่างที่ชี้ให้เห็นว่า Billionaire Maker เขาทำได้อย่างไร !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2562

8 ข้อคิด ของงานที่ทำแล้วรวยตลอดกาล


8 ข้อคิด ของงานที่ทำแล้วรวยตลอดกาล

ทุกวันนี้หลายคนบ่นว่า งานหนัก เงินน้อย ขายของไม่ได้ ตกงาน หางานทำไม่ได้ ...เลยเอา ข้อคิดของงานที่ทำแล้วรวยตลอดทุกยุค ทุกสมัย มีดังนี้

1. ‘งานที่เอาเวลาเราเข้าไปแลก มันรวยยาก’ 

2. ‘งานที่ใครทำก็ได้ ทำหนักแค่ไหนก็ไม่รวย’ ...เพราะ เขาหาคนแทนเราได้ง่ายๆ 

3. ‘ต้องสร้างระบบ ให้ธุรกิจเดินหน้าได้โดยไม่มีเรา’ ...จริงๆ แล้ว หัวใจหลักที่ทำให้คนเอาธุรกิจเข้าตลาดแล้วรวยมากๆ ก็เพราะเรื่องระบบนี่แหละ 

4. ‘ต้องสร้าง แบรนด์’ ...ไม่ว่าจะเป็นตัวเราเอง หรือ ธุรกิจเรา ในยุคนี้สิ่งสำคัญที่สุดที่ทำให้เรามีราคา มีความแตกต่าง มีความยั่งยืน ก็คือ ต้องสร้างแบรนด์

5. ‘ทำธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับสินทรัพย์ จะรวยง่าย’ ...เช่น เกี่ยวกับอสังหา หรือ หุ้น เพราะ ถ้าเราเก่ง เราจะซื้อของเป็น ซื้อแต่ของดี ...ขายไม่ได้ เก็บไว้ราคายังขึ้นเลย ...สินทรัพย์ยุคนี้ แตกแขนง สร้างเศรษฐีมากมาย ...ทะเบียนรถ , เบอร์โทรศัพท์ ...บอกตรงๆ เมืองไทย มีโอกาสมากมายแบบฝรั่ง งง ..เฮ้ย !! อะไรที่เป็นเลข คนไทย เอามารวยได้หมด 

6. ‘งานที่คู่แข่งน้อย’ ...ธุรกิจยอดฮิต อย่าทำ เพราะ คู่แข่งเยอะ ...ยุคนี้ต้องเริ่มคิดจาก สิ่งที่คนอื่นไม่คิดจะทำ หรือไม่อยากทำ

7. ‘งานที่คนซื้อใช้เหตุผลรวยยาก ...งานที่คนซื้อใช้อารมณ์ ในการซื้อ รวยง่ายกว่าเยอะ’

8. ‘อย่าทำงานที่เป็น Mass ให้ทำงานที่ขายตลาดเฉพาะ Niche’ ...ยุค social องค์กรใหญ่จะทำทุกอย่างเพื่อจับตลาด Mass ...เราอย่าไปแข่งกับรายใหญ่ ให้มุ่งไปในจุดแข็ง จุดเล็กๆ ที่เราได้เปรียบ

ใช่!! หาจุดยืนที่ชัด ยิ่งมีหลายข้อ ยิ่งมีโอกาสรวยง่ายกว่า

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 22 ตุลาคม พ.ศ. 2562

10 ข้อ เช็คลิสต์ ก่อนเอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น


10 ข้อ เช็คลิสต์ ก่อนเอาธุรกิจเข้าตลาดหุ้น

1. ‘อยู่ในอุตสาหกรรม ที่กำลังเติบโต’ ...ตลาดหุ้นไม่ได้สนว่า ธุรกิจคุณกำไรเท่าไหร่ แต่เขาสนใจว่า กำไรโตปีละเท่าไหร่ 

2. ‘เป็นผู้นำ ในจุดเล็กๆ ของตัวเอง’ ...ปลาเล็กที่โดดเด่น ดีกว่า ปลาใหญ่ที่ไม่มีอะไรโดดเด่นเลย

3. ‘มีกำไร ให้ปันผล’ ...หุ้นที่นักลงทุนซื้อแล้วถือยาวอย่างสบายใจ ต้องกำไรและจ่ายปันผลสม่ำเสมอ

4. ‘เจ้าของถือหุ้นใหญ่’ ...ยิ่งเจ้าของถือหุ้นมากแต่ไหน เขาก็จะยิ่งที่งานหนีกเพื่อธุรกิจมากเท่านั้น

5. ‘มีกลุ่มนักลงทุนที่ถือยาว’ ...นักลงทุนระยะยาวจะทำการบ้านอย่างดีแทนเราได้ในระดับนึง

6. ‘ธุรกิจคือชีวิตเจ้าของ’ ...ชื่อเสียง และ ความร่ำรวย ของเจ้าของอยู่ในธุรกิจนี้ ..เป็นการการันตีว่าเขาจะทำทุกอย่างเพื่อธุรกิจ

7. ‘หนี้น้อย’ ...ในโลกที่แข่งขันสูง คนที่สามารถปรับตัวได้เร็วคือคนที่ตัวเบาที่สุด ...หนี้น้อยเป็นวิชาตัวเบาที่บ่งบอกฝีมือของเจ้าของ

8. ‘สร้างสินค้า Best Seller ได้เรื่อยๆ’ ...โลกยุคนี้ การขาย สำคัญน้อยกว่า สินค้าที่ดี ...เพราะ สินค้าที่ดี มันขายได้ด้วยตัวของมันเอง

9. ‘Know Who สำคัญกว่า Know How’ ...ปั้นธุรกิจในประเทศไทย รู้จักใคร สำคัญมากๆ 

10. ‘โปร่งใส ไม่เอาเปรียบ’ ...หุ้นที่ดีแบบยั่งยืน คือ ธุรกิจที่เอาลูกค้าเป็นที่หนึ่ง เอาพนักงานเป็นที่สอง ...แล้วก็ดูแลผู้ถือหุ้นแบบโปร่งใส ไม่เอาเปรียบ

ถ้าธุรกิจใครมี 10 ข้อนี้ มันแทบการันตีความสำเร็จในการเอาหุ้นเข้าตลาด 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ต้องมีเงินเท่าไหร่จะเกษียณสบายยุคนี้

‘ต้องมีเงินเท่าไหร่จึงจะเกษียณสบายในยุคนี้’

คนยุคก่อน มีดอกเบี้ยสบายๆ แต่ยุคนี้คือ ยุคเงินฝากดอกเบี้ย 0% แปลตรงๆ ว่า ‘ไม่มีดอกเบี้ย’

1. ‘คนที่เกษียณสบายยุคนี้ ต้องมีเงินใช้เดือนละ 100,000 บาท ตกปีละ 1.2 ล้าน’ ...ถ้ามีเงิน 10 ล้านฝากธนาคาร แปลว่า อยู่ได้ 10 กว่าปีก็เงินหมดแล้ว

2. ‘คนที่มีเงินน้อยมักวางเงินส่วนใหญ่ในเงินฝาก ทำให้ไม่มีผลตอบแทน ...คนที่มีเงินเยอะ มักวางเงินส่วนน้อยในเงินฝาก แต่เงินส่วนใหญ่เอาไปลงทุน’ ...ทำให้ผลตอบแทนเฉลี่ยของคนทั่วไปอยู่ไม่ถึง 1% ...ในขณะที่คนลงทุนจะได้ผลตอบแทนเฉลี่ย 5-10 เท่า 

3. ‘คนที่กล้าวางเงินส่วนใหญ่ในการลงทุน มักจะเริ่มทำตั้งแต่ตัวเอง ยังมีเงินไม่เยอะ’ ...แล้วก็ทำต่อเนื่อง ...ยิ่งมีเงินเยอะขึ้น ก็ยิ่งเพิ่มสัดส่วนเงินลงทุนมากขึ้นเรื่อยๆ

4. ‘การสร้างพอร์ตการลงทุน ที่ดี ควรใช้เวลามากกว่า 10 ปี ในการทยอยลงทุน’ ...คนที่ขาดทุนจากการลงทุนส่วนใหญ่คือคนที่เข้ามาลงทุนระยะสั้น ..ถ้าใครวางแผนปั่นพอร์ต ค่อยๆ ซื้อเป็นเวลา 10 ปีขึ้นไป แทบจะไม่มีโอกาสเจ๊งเลย ...เพราะเขาอยู่นานพอจนเข้าใจรอบของตลาด

5. ‘คนที่ลงทุนจริงจัง ส่วนใหญ่สามารถมีอิสรภาพทางการเงินก่อนเกษียณ’ ...เพราะเขาได้ประโยชน์ 2 เด้ง หนึ่ง จากพอร์ตที่โตเร็วกว่าที่อื่น และ สอง จากเงินปันผล ที่ค่อยๆ โตอย่างต่อเนื่อง (หุ้นปันผลดี ส่วนมากสามารถคืนทุนจากแค่รับเงินปันผล ไม่เกิน 20 ปี หลังจากนั้น คือ Passive Income ชั้นดี ตราบที่ไม่ขาย ตลอดไป)

6. ‘เงินเริ่มต้นการลงทุนจริงๆ หลักพัน ก็เริ่มออมหุ้นได้แล้ว โดยใช้ ETF เช่น ซื้อกองทุน BMSCITH แบบ DCA เท่าๆ กันทุกเดือน’ ...แล้วค่อยๆ เพิ่มขึ้น เมื่อเรามีเงินมากขึ้น

7. ‘กลับมาตอบคำถามเริ่มต้นว่า ต้องมีเงินเท่าไหร่ถึงจะเกษียณสบายแบบไม่ต้องลงทุนเลย ?’ ...คำตอบ คือ ประมาณ 100 ล้านบาท ...เอาไปฝากประจำ จะได้ ประมาณปีละล้าน แบบไม่ต้องไปยุ่งกับเงินต้น

8. ‘ในส่วนคนที่ลงทุนระยะยาวเป็น จะเริ่มสบายเมื่อพอร์ตการลงทุน เช่น พอร์ตออมหุ้น ออมกองทุน เริ่มแตะ 10 ล้านบาท’ ...ผลตอบแทนเฉลี่ยในระยะยาวของตลาดหุ้น จะมากกว่าเงินฝากประมาณ 10 เท่า นั่นเอง 

ที่เล่าเรื่องนี้ให้ฟัง เพราะ อยากให้ทุกคนเห็นภาพว่า การลงทุนระยะยาว อย่างออมหุ้น ออมกองทุน มันทำให้คนยุคนี้เกษียณสบาย และ เกษียณเร็วกว่า คนที่ไม่เข้าใจอย่างมากเลยครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


7 ข้อควรรู้ กับ Career Path ยุคใหม่


7 ข้อควรรู้ เกี่ยว Career Path ยุคใหม่

1. ‘การมีตำแหน่ง และ หน้าที่การงาน ..Career Path ที่ดีคือ สิ่งที่ลูกจ้างทุกคนต้องการในอดีต’ ...แต่ปัจจุบันเรามีคำใหม่ ที่เข้าใจโลกและการเปลี่ยนแปลงมากกว่าเดิม เรียกว่า Career Landscape

2. ‘Career Path คือ โตในแนวตั้ง ...แต่ Career Landscape คือ การเติบโตในแนวนอน’ ...มนุษย์เรามีความสูงจำกัด แต่ขยายออกข้าง(พุง) ไม่จำกัด ..555

3. ‘Career Landscape คือ การแตกแขนงองค์ความรู้เดิม ให้เกิดสิ่งใหม่’ ...เช่น เอาอาหาร มาผสมความรู้วิทยาศาสตร์ กลายเป็น ฟิวชั่น ...เปลี่ยนอาหาร เป็น ศิลปะราคาแพงที่กินได้ 

4. ‘Career Landscape คือ การขยายการเรียนรู้ ไปสู่สิ่งที่เราชอบ’ ...ภาษาคนทำงานแบบนี้เขาเรียกว่า ตามหา Passion

5. ‘Career Path มีหัวหน้างานตัดสินผลงาน ..แต่ Career Landscape มีมวลชนเป็นคนตัดสินผลงาน’ ..เด็กคนนึงลุกขึ้นมาถ่ายวีดีโอขำๆ ลง YouTube สนุกๆ ...หลังจากนั้น เขาก็ยึดตรงนี้เป็นอาชีพจริงๆ 

6. ‘Career Path หมดอายุ วันที่คุณเกษียณจากตำแหน่ง แต่ Career Landscape อยู่กับคุณจนวันตาย’ ...ไม่มีใครมาพรากตัวคุณไปจากคุณได้ 

7. ‘คุณไม่สามารถติดสินบนมวลชน ให้รักคุณได้’ ...ความจริงใจ และการเดินทางสู่ Passion จึงเป็นของจริงที่ไม่มีทางลัด

เมื่อเราเข้าสู่ สังคมและอาชีพรุ่นใหม่ ที่ผู้ตัดสินคือมวลชน ...ผมเชื่อเสมอว่า หุ่นยนต์ และ เครื่องจักร อาจมาแทนคน ในเรื่อง ความแม่นยำ การคำนวณ ความสม่ำเสมอ แต่มันจะไม่มีทางมาแทน จินตนาการและ ความฝันของเราได้ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2562

10 ข้อ ควรรู้เพื่อรวยขึ้น 100 เท่า

10 ข้อ ควรรู้ที่จะทำให้เรารวยขึ้น 100 เท่า

1. ‘ถ้าจะรวยขึ้น 1 เท่า เราก็แค่ออกแรง ทำงานหนักเพิ่มขึ้น’ ....หาเงินจากแรงงานเป็นสิ่งจำเป็นพื้นฐาน แต่มันไม่ทำให้เรารวย 

2. ‘ถ้าจะรวยขึ้น 10 เท่า เราต้องเริ่มใช้สินทรัพย์ทำงานแทน’ ...สินทรัพย์คือสิ่งมหัศจรรย์ในโลกนี้ ที่คนรวยสร้างขึ้นมาเพื่อรักษาความมั่งคั่ง และ ส่งต่อให้ลูกหลาน

3. ‘ถ้าจะรวย 100 เท่า เราต้องไม่คิดจะขายสินทรัพย์’ ...ยกตัวอย่างหุ้นดีๆ ขึ้นเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ในระยะยาว แค่คนส่วนใหญ่ ‘ทนรวยไม่ได้’

4. ‘สินทรัพย์ ต้องซื้อเมื่อพร้อม ..ดีกว่าซื้อเมื่อถูก’ ..ถ้าเราซื้อสินทรัพย์ ในเวลาที่เราไม่พร้อม ไม่ว่ามันจะถูกแค่ไหน สุดท้ายเราก็อาจรักษามันไม่อยู่

5. ‘สินทรัพย์ที่จะทำให้เรารวย ไม่ได้ขึ้นกับว่าสินทรัพย์อะไร แต่ขึ้นกับความรู้และความเชี่ยวชาญที่เรารู้จริงๆ ในสินทรัพย์นั้นๆ’

6. ‘สินทรัพย์ที่ดีที่สุด บางครั้งก็ไม่ใช่สิ่งที่ราคาขึ้นมากที่สุด’

7. ‘สินทรัพย์จะขึ้นในเวลาที่คนส่วนใหญ่ ไม่ได้ครอบครองสินทรัพย์นั้นๆ’

8. ‘เวลาที่น่ากลัวที่สุดในการซื้อสินทรัพย์ คือ เวลาที่ทุกคนที่อยากได้สินทรัพย์นั้น เขาได้ซื้อหมดแล้ว’ ...วันที่มีแต่ข่าวดี คือ วันที่สินทรัพย์นั้นๆ น่ากลัวที่สุด

9. ‘หัวใจของการรวยจากสินทรัพย์ คือ การลงทุนสินทรัพย์เป็นพอร์ต แบบกระจายความเสี่ยง’ 

10. ‘สินทรัพย์ที่ทำให้เราเกษียณได้แบบมีอิสรภาพทางการเงิน ก็คือ สินทรัพย์ที่ให้เงินปันผลแบบที่เราไม่ต้องไปยุ่งกับมัน’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันอังคารที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2562

ทำไมเราไม่ควรซื้อของที่อยากซื้อในเวลาที่อยากได้


7 ข้อควรรู้ ว่าทำไมไม่ควรซื้อของที่อยากได้ ในเวลาที่เราอยากได้จริงๆ 

ทุกคนล้วนมีเวลาที่อยากได้ ของบางอย่าง ...มันคัน ...ไม่ต้องพูดมาก ก็ของมันต้องมี และนี่คือ 7 ข้อ ควรรู้ก่อนตัดสินใจจ่ายเงินซื้อครับ

1. ‘เวลาเราอยากได้ เราจะใช้อารมณ์ในการตัดสินใจ มากกว่าเหตุผลเสมอ’ ...เมื่ออารมณ์เหนือเหตุผล เราจะเสียเปรียบเสมอในการต่อรอง

2. ‘เรามักจะอยากได้ของมี่คนอื่นอยากได้’ ...เมื่อ Demand ความต้องสูงกว่า Supply ราคาจะพุ่งขึ้นอย่างน่าตกใจ จนบางครั้งไม่สมเหตุสมผล

3. ‘การไม่ตามใจตัวเอง ในเวลาที่อยากได้ เป็นทักษะที่จำเป็นในโลกที่มีของไม่จำกัด แต่เงินในกระเป๋าเราแสนจะจำกัด’

4. ‘การซื้อช้า ไม่ได้หมายความว่า ไม่ให้ซื้อ เพียงแต่การชะลอการซื้อ มันทำให้เรารู้ว่า จริงๆ แล้ว เราอยากได้มันจริงๆ หรือเปล่า’ ...ถ้าชะลอการซื้อแล้วก็ยังอยากได้ เราจะได้รู้ว่า เราต้องการมันจริงๆ แหละ 

5. ‘ทุกวันนี้แล้วเรามีของที่ไม่จำเป็น หรือ ขยะ เต็มบ้าน ก็เพราะ เราซื้อของในเวลาที่อยากซื้อนั่นแหละ’

6. ‘อย่าซื้อเงินผ่อน ให้เก็บเงินก้อนแล้วค่อยซื้อเงินสด’ ....เพราะการจ่ายเงินเต็มมันช่วยกรองอีกชั้นว่า เราอยากได้ของนั้นจริงๆ ใช่หรือไม่

7. ‘วิธีคิดนี้ใช้ได้ดีกับ การซื้อหุ้นด้วย’ ...คนที่ติดหุ้น ติดดอย ส่วนมากเพราะ ซื้อหุ้นที่อยากซื้อในเวลาที่อยากซื้อ ....แต่คนลงทุนระยะยาวที่ประสบความสำเร็จ มักรอซื้อหุ้นเวลาวิกฤต หรือ ช่วงที่มีข่าวร้ายๆ 

มันสรุปได้ว่า คนเหล่านี้ อดทนรอมากกว่า คนทั่วไป 

‘ซื้อในวิกฤต ก็คือ ซื้อในเวลาที่เราไม่ได้อยากซื้อ ...ที่สำคัญเรากำหนดให้เกิดวิกฤตไม่ได้ ...บ่อยครั้งที่คนเหล่านี้ ต้องซื้อหุ้นที่ไม่ได้อยากได้ด้วยซ้ำ’

สรุป ‘ฉันซื้อหุ้นพื้นฐานดี ตัวที่ไม่ได้อยากได้ ในเวลาที่ไม่มีใครอยากซื้อ’ ...มันคือ ตลกร้าย ของโลกใบนี้จริงๆ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

รู้เท่าทัน Gen และ การเปลี่ยนแปลง

‘รู้เท่าทัน Gen กับ การเปลี่ยนแปลง’

ทุกวันนี้คนเราถูกแบ่งเป็น Gen ตามปีที่เกิด บนความเชื่อที่ว่า ‘สภาพแวดล้อม และ ประสบการณ์’ เป็นสิ่งที่ทำให้แต่ละคนแตกต่างกัน

- Baby-boomer เกิดในช่วง 1945 - 1960 ...เกิดหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 โลกเพิ่งผ่านความยากลำบาก พ่อแม่มีลูกมาก ทุกคนมุ่งสร้างตัวเพื่อให้ครอบครัวของตัวเองมั่นคง ...คนกลุ่มนี้ ทำงานหนัก แต่ใช้น้อยประหยัด และ มุ่งสะสมสินทรัพย์ เช่น บ้าน ที่ดิน เงินทอง ...คนที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มนี้ คือ คนที่ทำงานหนัก ทำเยอะ ใช้น้อย สะสมสินทรัพย์ มีความอดทนสูง มีอุดมการณ์ รักชาติ และ เสียสละ 

- Gen X เกิดในช่วง 1961 - 1980 ...นี่คือ ยุคของมืออาชีพ การศึกษาสูง มีอาชีพการงานที่มั่นคง มีความกบฏในตัวเอง เป็นยุคที่นำพาธุรกิจจากความเป็นเถ้าแก่ เข้าสู่องค์กรมืออาชีพ ...กลุ่มนี้จะมองโลกตามความเป็นจริง ซึ่งอยู่กึ่งกลาง ระหว่าง Baby boomer ที่มองโลกตามอุดมคติ และ กลุ่ม Gen Y ที่มองโลกบวกมากเกิน ...คนที่ประสบความสำเร็จในกลุ่มนี้คือ คนที่เข้าใจว่า Career Path ต้องถูกแทนด้วย Career Landscape คือ การไม่ยึดติดทักษะของตัวเอง แต่มองโอกาสจากการเพิ่มทักษะใหม่ๆ เสริมสิ่งที่ตัวเองเชี่ยวชาญ 

- Gen Y เกิดในช่วงปี 1981 - 1995 ...นี่คือ ยุคของ Start-Up ที่โอกาสนอกออฟฟิศ มันมีมากกว่าโอกาสในออฟฟิศ ...จุดแข็งของคนยุคนี้คือ คิดบวก พร้อมรับความเปลี่ยนแปลง กล้าลุย แต่จุดอ่อนคือ ‘ประสบการณ์’ ...คน Gen นี้ มีความกดดันสูงที่สุด โดยเฉพาะ ความคาดหวังของพ่อแม่ ...Gen Y ส่วนใหญ่เป็นลูกของ Baby boomer ที่ประสบความสำเร็จทั้งที่ตัวเอง คาดหวังน้อย เลยมองว่า ‘ฉันหวังน้อย ยังสำเร็จแบบนี้ ดังนั้น ลูกฉันซึ่งเป็น Gen Y ก็ต้องยิ่งดีกว่าฉันแน่นอน’ (แต่เขาลืมไปว่า โลกทุกวันนี้ การแข่งขัน สูงมากกว่ายุคเขามาก พอเจอความคาดหวังของพ่อแม่ กดดันเข้าไปอีก เราก็จะเห็น คน Gen Y เป็นโรคเครียด โรคซึมเศร้า กันเยอะ) ....กลุ่ม Gen Y ที่ประสบความสำเร็จ คือ คนที่มุ่งไปที่การค้นหา ความถนัดและ ความชอบของตัวเอง แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะนั้นให้โดดเด่น ...เราจะเป็นคน Gen Y จำนวนมาก กลายเป็น Micro Influences เป็น Net Idol ซึ่งเป็นการ ‘ปักธง’ ในการสร้างอาชีพและงาน ในโลกยุคใหม่ ...ซึ่งไม่มีความสำเร็จชั่วข้ามคืน ...ทำให้คน Gen Y ที่ค่อยๆ พัฒนางานเล็กๆ ของตัวเอง อย่างค่อยเป็นค่อยไป มักประสบความสำเร็จกว่าพวกที่รีบเร่งแล้วพยายามหา Shortcut ในชีวิต ....คำแนะนำ สำหรับคน Gen Y คือ อย่าเพิ่งลาออกจากงาน แต่ให้เรียนรู้จากงาน แล้วค่อยๆ ผสม Talent Matrix จนคุณพร้อมที่จะก้าวออกไปยืนด้วยตัวเองจริงๆ 

- Gen Z เกิดในปี 1995 เป็นต้นไป ...คนกลุ่มนี้เกิดท่ามกลาง Technology และ การเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่ของโลก ...เมื่อเขาเกิดมาในยุคที่ โลกร้อน การเมืองวุ่น เศรษฐกิจแย่ มันทำให้คนกลุ่มนี้ อยากที่จะเปลี่ยนแปลงโลก ..ถ้า Gen Y คิดบวกเกิน คุณ Gen Z คือ กลุ่มที่คิดลบเกิน ...ทั้งที่จริงๆ แล้ว ชีวิตความเป็นอยู่ ความสะดวกสบายในชีวิต เขาเป็นกลุ่มที่สบายกว่า Baby Boom เยอะมาก เรียกว่า สบายที่สุดก็ว่าได้ ....คนกลุ่ม Gen Z ที่ประสบความสำเร็จสูงที่สุดในรุ่นเดียวกัน คือ คนที่หันมาสนใจการเข้าใจตัวเอง พัฒนาและเพิ่มศักยภาพของตัวเอง แทนที่จะไปเปลี่ยนคนอื่น

ใช่ครับ !! คนแต่ละรุ่น ก็มีทั้งจุดแข็งและจุดอ่อน ของตัวเอง ....ใครก็ตามที่เข้าใจ แล้วมุ่งเปลี่ยนแปลงตัวเอง ก็จะกลายเป็นคนที่ประสบความสำเร็จสูง และ มีความสุขมากที่สุดนั่นเอง

‘เมื่อเราเดินทางไปรอบโลก ต่อสู้กับทุกอย่าง เราจะพบว่า ตัวเองว่างเปล่า ไม่มีความสุข ...เพราะ ศัตรูที่น่ากลัวที่สุดของมนุษย์ในยุคนี้ ก็คือ ตัวเราเอง ...การหันมาศึกษาตัวเรา เพื่อรู้เท่าทันอารมณ์ แล้วค่อยๆ พัฒนาทักษะอย่างค่อยเป็นค่อยไป จะทำให้เรามีชีวิตที่ดีที่สุดนั่นเองครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2562

ผมไม่มีออฟฟิศ ไม่ได้แปลว่า ผมไม่มีงานทำ


‘ถ้าไม่เข้าออฟฟิศ แปลว่าคุณไม่ได้ทำงาน !!’

สมัยที่ผมเริ่มทำงานใหม่ๆ เจอผู้ใหญ่พูดแบบนี้กับผม ...ทำผมอึ้ง กลับไปนอนคิดว่า ‘ก็จริงนะ ในยุคเขาน่ะ มันไม่มี Internet ถ้าจะทำงานก็ต้องมาที่ออฟฟิศซิจบไหม’ ...แต่วันนี้มันไม่ใช่แล้ว 

1. ‘ถ้าเข้าออฟฟิศ แล้วคุณไม่มีผลงาน มันก็แปลว่า จริงๆ คุณไม่ได้มีผลงานไง’ ...การมานั่งออฟฟิศ ยุคนี้คือต้นทุน ...ค่าเช่า ค่าไฟ สารพัด ...ถ้ามาแล้วไม่ได้งานกลับบ้านประหยัดกว่า

2. ‘คนที่ไม่มีออฟฟิศ ตามงานง่ายกว่า’ ...ถ้าไม่มีออฟฟิศแปลว่า คุณต้องพร้อมให้ตามตัวตลอดเวลา ...ดังนั้น ในช่วงเวลาพักผ่อน ในร้านกาแฟ และ ในวันหยุด ก็คือ เวลาทำงาน

สักพักหัวหน้าก็ Line มา ‘เฮ้ย!! งานที่สั่งเสร็จยัง ส่ง Line มาเลยนะ กูรออยู่’

3. ‘คนที่มีความรับผิดชอบ อยู่ที่ไหนเขาก็มีความรับผิดชอบ’ ...ส่วนคนไม่รับผิดชอบ ถึงมันนั่งอยู่หน้าเรา มันก็ไม่มีความรับผิดชอบเหมือนเดิม

4. ‘การประชุมที่ไร้ประสิทธิภาพที่สุด คือ การประชุมอยู่ทุกวันนี่แหละ’ ....ส่วนการประชุมที่สร้างรายได้มหาศาลและจุดเปลี่ยนให้บริษัทส่วนใหญ่อยู่นอกเวลางาน ...แล้ว ถ้ามึนนิดๆ ความคิดมันโลดแล่นเลย

5. ‘ขี้เกียจ หรือขยัน ไม่สำคัญเท่า ผลงานที่ออกมา’ ...เรื่องของการขี้เกียจหรือขยัน มันคือ การแสดง ...เฮ้ย!! หัวหน้ามาแล้ว เก็บมือถือเร็ว ...แต่เรื่องผลงานมันคือ ของจริง ไม่ใช่การแสดง

6. ‘ทำให้ลูกค้ารัก ดีกว่าทำให้นายรัก’ ...ถ้าผมเป็นหัวหน้า ผมจะชอบลูกน้องที่ลูกค้ารัก ...เอ็งไม่ต้องมาทำให้กูรัก ถ้าลูกค้ารักเอ็ง เดี๋ยวกรูจะรักมรึงเองนะ !!!

7. ‘อย่าบ่นว่าบริษัทไม่ทำอะไรให้เรา แต่ให้เราถามตัวเองว่า เราทำอะไรเพื่อบริษัทบ้าง’ ...ฝึกให้ก่อนขอ แล้ว เราจะเป็นนักต่อรองที่ไม่มีใครกล้าปฏิเสธ 

8. ‘บริษัทที่ดีไม่จำเป็นต้องมีตึกใหญ่โต แต่ให้ดูว่า ธุรกิจนี้มีลูกค้าที่รักเขามากแค่ไหน’ ...แก่นของธุรกิจคือลูกค้า ...ส่วนแก่นของสุดยอดธุรกิจ คือ ธุรกิจที่ลูกค้าเทิดทูน 

...คน Like ไม่สำคัญเท่าคน Love !!

9. ‘อยากรู้ว่าผู้บริหารปฏิบัติต่อพนักงานอย่างไร ให้ดูว่า ลูกน้องเขาปฏิบัติต่อลูกค้ายังไง’ ...ธุรกิจที่บริการดี เอาใจใส่ลูกค้า เดาได้เลยว่า เขามีนายที่ดีและเอาใจใส่เขา ...เหมือนกันเป๊ะ !!

10. ‘การไม่เอาสถานที่มาเป็นกรอบความคิด ธุรกิจเราจะตอบโจทย์ลูกค้ามากขึ้น’ ...สาเหตุหลักๆ ที่ธุรกิจเรา ทำงาน 9-5 หยุดวันหยุด ...ก็เพราะเราเอา สถานที่ มาเป็นตัวตั้ง ....แต่ถ้าเราเอาลูกค้าเป็นตัวตั้ง 

เราจะออกแบบ ธุรกิจ ที่ ติดต่อได้ 24 ชั่วโมง ไม่มีวันหยุด ด้วยต้นทุนที่ต่ำลง อย่างน้อยครึ่งนึง 

ใช่ครับ !! วันนี้เทคโนโลยีทุกอย่าง มันพร้อมให้เราบริการลูกค้าได้ดีขึ้น ในต้นทุนที่ถูกกว่าเดิม 

แต่ความยากคือ การเริ่มที่จะเปลี่ยนแปลงจากจุดที่เราคุ้นเคยแล้วรู้สึกปลอดภัยนั่นเอง 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม







บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ