แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 31 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

'ติดหุ้นปั่นทำยังไงดี ขาดทุนไป 50% แล้ว'


'ติดหุ้นปั่นทำยังไงดี ขาดทุนไป 50% แล้ว' ...นี่เป็นคำถามที่ผมเจอมากที่สุดในตลาดหุ้น 

ข้อควรรู้ : 

 "หุ้นปั่น ไม่มีพื้นฐาน ไม่มีปันผล ..มันมีแต่ข่าวดีที่หลอกให้คุณซื้อ" ..การที่คุณซื้อหุ้นปั่นแล้วติด เหมือนโดนหลอกให้ซื้อของปลอม ..เฮ้ย!! นี่มัน Rolex ปลอมนี่ ?!? (ซวยแล้ว) 

ทางแก้ ..มี 2 ทางเลือก คือ

  1.ถ้าคุณชั่วสักนิด คุณก็ไปหลอกขายให้คนอื่นติดหุ้นปั่นนี้แทน (อันนี้ขาใหญ่ในตลาดหุ้นชอบทำ เพราะการหลอกเพื่อนมันหลอกง่าย แค่ใช้คำว่า Inside มันก็เชื่อแล้ว) ..คุณชอบไหม ชั่ว แต่ รวย เอาไหม ?

  2. คุณขายไปซะ แล้วยอมรับว่า "ที่ติดหุ้นปั่นเพราะเรา โง่และโลภเอง" เอาความโง่ครั้งนี้เป็นครู แล้วเราจะเก่งขึ้น !!

มีคนถามผมต่ออีกว่า หุ้นปั่นที่เขาติด ถ้าไม่ขายจะเป็นอย่างไร ...ตอบง่ายๆ ก็คือ มันก็จะไม่มีทางขึ้น !!

เพราะ หุ้นปั่น คุณเล่นตรงข้ามกับเจ้ามือ ..ถ้าคุณติดหุ้นแล้วไม่ขาย ก็แปลว่า 'หุ้นอยู่ในมือรายย่อย' -- แล้ว เจ้ามือที่ไหนเขาจะลากหุ้นขึ้นให้รายย่อยรวยละครับ ?!?

"รับความจริง ..เรียนรู้เพิ่ม แล้วเดินต่อ"

โลกอาจไม่สวย แต่เราเปลี่ยนตัวเองได้ !!

'เมื่อไหร่ที่เราต้องเปลี่ยนให้ชีวิตดี๊ดี'


'เมื่อไหร่ที่เราต้องเปลี่ยนให้ชีวิตดี๊ดี' 

นี่เป็นคำถามที่หลายคนไม่กล้าถาม ..เพราะการเปลี่ยนตัวเอง หรือ Re-define ตัวเองเป็นเรื่องที่อึดอัดอย่างยิ่ง

"ทำไมต้องเปลี่ยนตัวเองในเมื่อทุกอย่างดีอยู่แล้ว" ...ใช่!! หากทุกอย่างดีอยู่แล้วก็ไม่ควรเปลี่ยน แต่ในชีวิตจริง คนส่วนใหญ่เดินมาถึงทางตันในที่ทำงาน ถึงทางตันในธุรกิจที่ทำ ถึงทางตันในชีวิต 

แต่ปัญหาคือ คนเหล่านี้ก็ยังดันทุรัง ทำสิ่งเดิมๆ หนักขึ้น แล้วก็หวังว่าชีวิตจะดีขึ้น รุ่งขึ้น ..ซึ่งมันเป็นไปไม่ได้ !!

ตัวชี้วัดว่าเมื่อเราต้องเปลี่ยนคือ 'More of the Same' แปลว่า งานที่เราทำ เราทำยิ่งหนักขึ้นแต่ผลลัพธ์ดีขึ้นนิดเดียว หรือ ไม่ดีขึ้น -- 'นี่แหละจุดที่เราต้องเริ่มเปลี่ยน'

การ'เปลี่ยน' ตัวเองง่ายๆ มีดังนี้
1. หาหนังสือที่ไม่เคยอ่านมาอ่าน -- 'จะได้มุมมองใหม่'
2. ลองคุยกับคนที่เราไม่คิดจะคุยด้วย -- 'จะได้เห็นมุมที่ไม่เคยมอง'
3. ลองเรียนอะไรใหม่ๆ -- 'จะเจอกลุ่มคนใหม่ ที่สนใจเรื่องใหม่ที่เราอยากรู้'
4. ลองทำสิ่งที่ไม่เคยกล้าทำ -- 'จะพบว่าความกลัว จริงๆมันไม่ได้น่ากลัวอย่างที่เราคิด'

ลองสำรวจตัวเอง แล้วดูว่าเมื่อเราที่เราต้องพาชีวิต ขึ้นไปอีก Level -- 'ใครคิดได้แบบนี้ เขาจะเก่งขึ้นทุกวัน รวยขึ้นเรื่อยๆ ชีวิตไร้ขีดจำกัด 

.. คนที่ไม่หยุดเรียนรู้ และกล้าทำสิ่งใหม่ จะมีชีวิตดี๊ดีนั่นเอง'


วันศุกร์ที่ 29 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แบบทดสอบระดับความรู้


'แบบทดสอบระดับความรู้' !!

คนส่วนใหญ่คิดว่าความรู้มีระดับเดียว คือ ความเข้าใจก็เพียงพอ ..ไม่ใช่ครับ -- ลองสังเกตดูซิครับว่า ในตลาดหุ้นมีความรู้ 2 ระดับ

ระดับที่ 1. 'ระดับความเข้าใจ' คนที่เข้าใจหุ้นส่วนใหญ่เข้าใจ แต่แค่เข้าใจพอต้องลงเงินจริงกลับไม่ทำตามที่วางแผนไว้ ..เช่น คนส่วนใหญ่จะรู้ว่าหุ้นดี ต้องซื้อข่าวร้ายจึงจะได้ราคาถูก แต่พอปฎิบัติจริงกลับไม่กล้าซื้อ -- จะผ่านระดับนี้ได้ มีเพียงการฝึกฝน ซื้อขายหุ้นจริงๆ เท่านั้นครับ

ระดับที่ 2. 'ระดับเชื่อมั่นในความรู้' ..นี่แหละครับคือ คน 20% ในตลาดหุ้น ที่เขาเล่นหุ้นกำไรในขณะที่คน 80% ขาดทุน ..เพราะเขาซื้อขายในฝั่งตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ -- วิธีดูง่ายๆ ว่าเราอยู่ในระดับนี้หรือยัง ให้สังเกตอารมณ์ตัวเองเมื่อฟังข่าวร้ายในตลาดหุ้น ..ใช่!! ถ้าฟังข่าวร้ายแล้วรู้สึกดี แล้วมองหาโอกาสทุกครั้งที่ข่าวร้าย -- คุณมาถูกทางแล้วครับ

คำแนะนำก็คือ 'ฝึกฝนเยอะๆครับ' เมื่อเราฝึกจนเชื่อมั่นในความรู้ เราจะกล้าที่สวนคนส่วนใหญ่ในตลาดทั้งเวลาซื้อและเวลาขาย

 ..นั่นแหละครับคน 20% ที่กำไร เสมอ ทุกๆรอบ !!

วันพฤหัสบดีที่ 28 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

เงินน้อยเริ่มธุรกิจ


'วิธีเริ่มธุรกิจใช้เงินน้อย ยุคนี้แบบง่ายๆ'

ธุรกิจมันมี 2 แบบ ในยุคนี้ คือ
1. "ธุรกิจใช้เงินเริ่มเยอะ" ..เช่น เปิดโรงงาน , เปิดร้าน ..ผมว่าให้คนที่เขาบ้านรวยทำเถอะ ขืนไปกู้มาทำก็หนักเข้าไปอีก !!

2. "ธุรกิจใช้เงินเริ่มน้อย" ..อันนี้เหมาะกับคุณและผม ..แต่ต้องอาศัยการเข้าใจ Technology สมัยใหม่ 

1. เริ่มตั้งแต่ Product เดี๋ยวนี้คุณทำ Crown Funding ได้ คือ ขอเงินลูกค้าล่วงหน้าได้ ..อย่างธุรกิจหนังสือ วันนี้ Ookbee ให้เราทำ Print On Demand คือ เก็บเงินลูกค้าก่อนพิมพ์หนังสือ 'ถ้าใครมีฐานแฟนคลับ คุณเป็นนักเขียนได้ทุกคน แถมไม่ต้องลงเงินก่อน ..แจ๋วไหม ?'

2. ร้านขาย ..คุณไม่ต้องคิดเลย 7-11 หรือ จะไปขายในห้าง -- เลิกคิด!! ...คนตัวเล็กต้องเอาช่องทางที่ใช้เงินน้อย ..ขาย Online ซิครับ เช่น แม่ค้า IG ..อย่างน้อยคุณก็รู้ว่าสินค้าคุณเป็นที่ต้องการหรือไม่ ?

จะเห็นได้ว่า วันนี้สิ่งสำคัญที่สุดไม่ใช่ การหาสินค้า หรือ หาที่ขาย แต่มันคือ การเริ่มหาลูกค้าต่างหากที่สำคัญที่สุด

เคล็ดลับ ของการทำธุรกิจใช้เงินน้อยก็คือ "คุณต้องมีฐานลูกค้า ก่อนที่คุณจะหาสินค้ามาขายเสียอีก" ...คนส่วนใหญ่ทำแล้วไม่ work เพราะดันเริ่มหาสินค้าก่อน ..ผิดทางครับ!!

การสร้างฐานลูกค้า คือ 
1. หาเรื่องที่สนใจ 
2. หาช่องทางสื่อสารเรื่องที่เราสนใจ เข่น Facebook , Instagram , Line@ และ อื่นๆ 
3. เริ่มโพสสื่อสารเรื่องที่เราสนใจ แล้วดูว่ามีคนคลิ๊ก Like ชอบเรื่องที่เราสนใจไหม ...ถ้าไม่มีแปลว่า ไม่มีตลาดครับ ..ถ้ามีไปข้อ 4
4. หาสินค้าที่เกี่ยวกับเรื่องที่เราสนใจและลูกค้าสนใจมาขาย
5. ทำไปเรื่อยๆ สม่ำเสมอ ขยายไปเรื่อยๆ
6. นี่แหละ การเริ่มธุรกิจใช้เงินน้อย 

จากนั้นเมื่อคุณมาถึงขั้นนี้ ผมจะสอนคุณต่อ ยอดว่า ฐานลูกค้าที่คุณมี จะสร้าง Value และ เงิน อย่างไร

 ...นี่แหละยุค Information Age ..จากศูนย์ก็สร้างเงินได้ ขอให้รู้วิธี และ มีความพยายาม !!






ทำไมเสียวหมี่ Xiaomi รวยเร็วนัก


หลายคนอาจแทบไม่เคยได้ยินชื่อ Xiaomi ผู้ผลิตมือถือของจีน ที่ถือเป็นบริษัท Start-Up ที่รวยเร็วมากๆ

 ..วันนี้มูลค่าของ Xiaomi ก่อนเข้าตลาดคือ 1.3 ล้านล้านบาท (คิดง่ายๆ คือ มูลค่าบริษัทมือถือแห่งนี้ มากกว่า บริษัทร้อยปีปูนซีเมนต์ไทยถึงกว่า 2 เท่าตัว)

'ทำอย่างไร บริษัทที่ตั้งมาไม่ถึง 10 ปี จึงโตเร็วเช่นนี้'

1. บริษัท Xiaomi ไม่ทำธุรกิจแบบที่บริษัทมือถืออื่นๆทำ คือ 'คุณภาพดีมาก ขายถูกมาก และขายจำนวนมากๆอย่างบ้าคลั่งในเวลาสั้นๆ ที่ไม่เคยมีใครในโลกทำได้ -- เวลาเขาทำ Promotion เขาใช้ 2 นาที ขายแสนเครื่อง !! ..งง ไหม?' ..เพราะ ไม่มีหน้าร้าน ขายผ่าน Online ทั้งหมด..แล้วเอาต้นทุนการขายลดไปราคาคืนให้ลูกค้า

2. บริษัทไม่มีงบโฆษณา ให้ลูกค้าบอกต่อๆกันเอง

3. ไม่มีแผนกมากมาย เน้นประหยัดทุกอย่างเพื่อคืนกำไรให้ลูกค้า (ถ้าเทียบกับมือถือรายใหญ่ๆ ไม่มีทางลดต้นทุนได้เท่านี้ ..ภาพมันคล้ายๆ Low Cost Airline เทียบกับสายการบินปกติ -- คนละต้นทุน)

4. เน้นขยายเร็วที่สุด แต่เลือกตลาดที่ตัวเองถนัด 

ที่ Xiaomi สำเร็จ เพราะเขาใช้เทคโนโลยีทุกอย่างที่ไม่สามารถใช้ในอดีต เช่น การ Outsource เพื่อลดต้นทุนอย่างรวดเร็ว ..การขายผ่าน Alibaba.com แบบใช้ Promotion ไม่กี่นาทีขายเป็นแสนเครื่อง ซึ่งไม่มีทางที่หน้าร้านปกติจะทำได้

"แน่นอน เราไม่สามารถเลียนแบบ Xiaomi มาใช้กับธุรกิจเรา แต่เราเรียนรู้จากเขาได้" ดังนี้

1. ใช้เทคโนโลยีเพิ่มความได้เปรียบให้มากที่สุด ..เขาลดต้นทุน ขายปริมาณสูงในเวลาสั้นๆ และ ใช้ Social Media ในการโฆษณาแบบปากต่อปาก ..จากนโยบาย ดีและถูกแบบเหลือเชื่อ !!

2. มุ่งสร้างประโยชน์ให้ลูกค้ามากที่สุด

3. ตัดทุกอย่างที่ไม่จำเป็น ..องค์กรที่ทุกคนมีประสิทธิภาพ ไม่มีตำแหน่งที่ไม่สร้างรายได้

ใช่ !! หาก Xiaomi ต้องการชนะ Apples เขาต้องเดินทุกอย่างที่ Apples ไม่ทำ เหมือนที่ Facebook ทำทุกอย่างที่ Google ไม่ทำ จึงท้าทาย Google ได้นั่นเอง !!

ลองเอาวิธีคิดแบบ "จุดยืนชัด ของ Xiaomi มาปรับใช้น่าจะดีครับ"

วันพุธที่ 27 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

หนี้สินยุคนี้ไม่ได้ช่วย


หนี้สินยุคนี้ไม่ได้ช่วย !! ...นั่นมันธุรกิจโบราณ ยุค Industrial Age ..ยุคนั้นใครกู้มาสร้างโรงงานก็รวย แต่ยุคนี้มันยุค Information Age มันต้อง 'ไม่มีหนี้'  

เราต้องเข้าใจ กลไกการแข่งขันของธุรกิจในยุคต่างๆ ว่าอะไรทำให้เราได้เปรียบ และ อะไรทำให้เราซวย

อย่างเรื่อง 'หนี้' มันเหมาะกับธุรกิจใหญ่ ๆ แต่มันไม่เหมาะกับธุรกิจ Start-up เล็กๆ อย่างพวกเรา

'เคยเห็นคนที่ ทำงานเพื่อแค่ใช้หนี้ไหม ? ..นั่นแหละ เขาติดกับดัก !!...เหนื่อย และ โตยาก'

ทางแก้

1. 'ล้างหนี้' ..โดยถอยมามองจริงๆ ว่า เราขายอะไรแล้วทำไมต้องสร้างหนี้ ในเมื่อยุคนี้มันเริ่มธุรกิจได้ด้วยคอมพิวเตอร์เครื่องเดียว ...มันอาจจะแปลว่า Skill คุณยังไม่พอ ..คุณต้องเข้าใจเครื่องมือ Online ที่ช่วยทำมาหากิน -- ถ้าไม่รู้ ต้องเรียน อย่าทำถึกๆ ไปเรื่อยๆ ไม่ Work  ...เหนื่อย และ เสียเวลา !!

2. 'อยากรวยเร็วเกินไป ทั้งที่เรายังอ่อน' ...ผมว่าเดี๋ยวนี้คนอยากรวยเร็ว มันติดกับดักชัดๆ เพราะคนเหล่านี้มักขยายธุรกิจเร็วทั้งๆที่ยังไม่เก่ง ..อันตรายมาก -- เหมือนเรียนกระบี่สองวัน แล้วคิดจะออกรบน่ะ 'ระวังตายคนแรก' 

3. 'เงินมาก ทำให้เราใช้สมองน้อย' ..คิดก่อนที่จะสร้างหนี้ เพราะเมื่อมีหนี้ สมองคุณจะเริ่มคิดอะไรไม่ออก ..จากนั้นคุณก็จะทำธุรกิจแบบสิ้นคิด ..เชื่อผมดิ ผมเคยทำมาแล้ว เจ๊งแล้วในต่างประเทศ -- กู้ให้เยอะขยายให้เร็ว นั่นแหละ ทำธุรกิจแบบลูกคนรวย ..เจ๊ง ดิครับ !!

เอาล่ะ ...ไปล้างหนี้ !! ...แล้วถอยหนึ่งก้าว คิดเยอะๆ 

...'ให้ทำธุรกิจแบบนักคิด ไม่ทำธุรกิจแบบสิ้นคิด'

จัดไป !!

ธุรกิจฉันเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง


'ธุรกิจฉันเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง ?'...นี่คือ คำถามแรกเลยที่ผมต้องถามก่อนเริ่มธุรกิจ

ทุกวันนี้ผมยึดหลัก Co-Creation ทำธุรกิจ Start-Up กับคนหลายๆ คน ..มันง่ายมากในยุคนี้ที่เราสามารถเริ่มธุรกิจโดยใช้เงินไม่มาก ..ก็อย่างที่พูดขำขำ ว่า คอมพิวเตอร์หนึ่งเครื่องกับกาแฟซักแก้วก็เปิดธุรกิจได้แล้ว !!

วันนี้คนรอบๆ ตัวผมก็เริ่มธุรกิจกันเยอะมาก เพราะอย่างที่บอกมันง่าย ..อย่างน้องผมเขาก็ร่วมกับเพื่อนขายเค้กผ่าน Instagram เริ่มจาก Delivery ตาม Order ..วันนี้เริ่มขยายไปเปิดตาม Event ต่างๆ และเริ่มมีลูกค้าประจำ ..พูดง่ายๆ วันนี้ขอให้ทำเถอะ -- นั้นแหละ เริ่มธุรกิจแล้วครับ !!

เครื่องช่วยยุคใหม่
1. Social Network เป็นทั้งหน้าร้าน และ ที่ขาย ไม่ต้องไปเปิดร้านให้เหนื่อยยาก (มีฐานลูกค้าประจำชัด แล้วค่อยคิด) ..นี่แหละตัวทดลองการเริ่มที่ดีเลย เพราะถูก !!

2. 'มือถือ' ยุคนี้การติดต่อ และ Outsource การผลิตทำง่าย มันเป็นการเริ่มทดลองตลาด แต่สุดท้ายเราต้องควบคุมการผลิตเอง ..แต่มันก็เป็นการเริ่มที่ดีครับ -- Good Start!!

3. 'Crown Funding' วันนี้ถ้า Idea ดีพอ สามารถขอเงินคนอื่นมาเริ่ม ..แต่ดีกว่าคือ เงินคนรอบข้าง ..เพราะมันเป็นการทดสอบตัวเองด้วยว่า เราขาย Idea เป็นไหม .. เพราะคนที่ขาย Idea ยากสุดคือ คนใกล้ตัว ...มันเป็น ข้อสอบ ที่ดี !! (คนขาย Idea ไม่เป็น ทำธุรกิจใหญ่ไม่ได้ ..Skill นี้ต้องฝึก ๆ ๆ และ ฝึก)

สุดท้ายกลับมาที่คำถามที่สำคัญที่สุด ที่จะบอกว่าธุรกิจเรารอดแล้วดี แล้วโตได้ ขึ้นกับว่า 'ธุรกิจฉันเป็นประโยชน์ต่อใครบ้าง ?'

ตอบเลย ทำการบ้าน ..จัด!!

วันอังคารที่ 26 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

แม่ผมเกษียณแล้วทำอะไรดี


"แม่ผมเพิ่งเกษียณครับ ท่านกำลังเครียดเลย มาถามผมว่า แม่ทำอะไรต่อดี ?"

เปล่าเลย แม่ผมไม่ได้เครียดเรื่องเงิน เพราะ ท่านอยู่ได้ด้วย Port 'ออมในหุ้น' ที่ไม่ต้องขายก็อยู่ได้ชั่วชีวิต เพราะ เงินปันผลที่ได้ มันมากกว่าค่าใช้จ่ายรายเดือน ...ดังนั้นเรื่องเงินไม่ใช่ปัญหาครับ แต่ปัญหาคือ แล้วทำอะไรดีล่ะ ?

พ่อผมเกษียณตั้งแต่อายุ 45 ..ตอนผมอยู่ มัธยมปลาย แม่ผมทำงานต่อจนอายุ 60 แล้วค่อยมาเกษียณวันนี้ ...ท่านเป็น มนุษย์เงินเดือน ที่ทำงานเก่งจนเป็นถึง ตำแหน่งผู้บริหาระดับสูงในองค์กรระดับประเทศ

แต่ปัญหาคือ เดี๋ยวนี้ อายุ 60 ปี ..ยังไม่แก่เลย ...นี่แหละ ปัญหาใหญ่คนรุ่นต่อไป ...คุณเกษียณแล้ว งง ?!?

เพราะ 'งาน' มันคือ การอธิบายตัวตน ...คนเห็นตัวเรา ให้เกียรติเรา เพราะ งานที่เราทำ แต่อยู่ดีๆ ถ้าต้องหยุดทำงาน อันนี้แหละ Shock !!  ...เพราะเป็นใครก็ปรับตัวไม่ทัน คุณทำงานเดิมมา 30 กว่าปี จนเชี่ยวชาญในงานที่ทำ แล้ววันนึงให้หยุด ก็จิตตกซิครับ !!

ทางแก้จริงๆ ไม่ใช่มาแก้ในวันที่ใกล้เกษียณ แต่มันต้องเริ่มวันนี้เลยครับ อย่ารอให้ถึงวันนั่นเพราะมันช้าไป

วันนี้ที่เราต้องทำคือ
1. เข้าใจก่อนว่า 'งาน' คือ การอธิบายตัวตนของเรา ..ถ้าไม่ใช่ ต้องปรับให้ใช่ ..โดยเริ่มจาก Part-time สิ่งที่ใช่แล้วค่อยๆ ย้ายไปให้งานถูกจริตเราในที่สุด -- 'เปลี่ยนงาน ..ถูกต้อง'

2. เตรียม 'Port เงินเลี้ยงเรา เมื่อหยุดทำงาน' เช่น ออมในหุ้นปันผล , ออมในอสังหาให้เช่า แล้วห้ามขายนะ เพราะเราจะเอาเงินปันผล ไม่ใช่เงินก้อน (มีเงินก้อน ปวดหัว ..ถึงเยอะก็ปวดหัว คิดดีๆ)

เราต้อง เตรียมสบายก่อนเกษียณ เตรียมสิ่งที่อยากจะทำหลังเกษียณตั้งแต่วันนี้ 

..ไม่แน่นะ ถ้าคุณทำได้ดี อีกไม่กี่ปีข้างหน้าคุณจะได้ทำทุกอย่างที่อยากจะทำหลังเกษียณโดยไม่ต้องรอ !!

อยากเก่งทุกอย่าง ทุ่ม 20 ชั่วโมง


"อยากเก่งทุกอย่าง ทุ่มไป 20 ชั่วโมง" 

เด็กสมัยนี้ที่ผมเจอคือ เขาอยากเก่งทุกอย่าง ทำได้ทุกอย่าง ..พอดีไปเจอคลิ๊ปนี้จาก TED Talk ของ Josh Kaufman ..เขาพูดประเด็นนี้ไว้น่าสนใจมาก

เขาพูดว่า ตัวเขาเป็นคนสมาธิสั้น และ ก็ไม่ค่อยมีเวลา แต่เขาอยากทำอะไรได้หลายๆอย่าง ในโลกทุกวันนี้ที่ 'ไม่มีใครมีเวลา' ...ครั้นจะทำตาม กฏ 10,000 ชั่วโมง เพื่อเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องใดเรื่องนึง ก็ไม่มีเวลา 

เขาเลยไปค้นคว้าว่า คนเราสามารถพัฒนา Skill ใหม่ๆ ต้องใช้เวลาน้อยที่สุดเท่าไหร่ เพื่อรู้ว่าเราจะ 'ไปต่อ หรือ เลิก!!' -- เช่น อยากเล่นหุ้น , อยากเล่นกีตาร์ , อยากว่ายน้ำ , อยากตีกอล์ฟ , อยากขี่เจ๊ตสกี , อยากขี้จักรยาน

ที่ Josh พบ คือ "มนุษย์จะพัฒนา Skill อย่างก้าวกระโดดใน Skill ใหม่ใน 20 ชั่วโมงแรก" (ดูกราฟในภาพครับ) 

ก็คือ การใช้เวลา Part-time วันละ 40 นาทีมาฝึกติดต่อกัน 30 วัน ก็จะรู้แล้วว่า เราจะไปต่อ หรือ เลิก

ผมว่าแนวคิดเขาน่าสนใจ เพราะ คนส่วนใหญ่ทำแค่ 10 นาที ก็เลิกแล้ว หรือ บางคนลองแค่ไม่กี่วันก็ไม่เอาแล้ว 

ก็ลองดู จัดไป 20 ชั่วโมง ..แต่มันมีรายละเอียดหลายๆอย่างในการจัดเตรียมองค์ประกอบในการฝึกฝน 20 ชั่วโมง เพื่อให้เป็น 20 ชั่วโมง หรือ 1 เดือนที่คุ้มค่า ซึ่งหลักๆ ก็คือ

1. เตรียมความรู้เบื้องต้นให้พร้อม
2. เตรียมเครื่องมือให้พร้อม
3. ลงมือทำเลย โดยอาจมีหนังสือเป็นโค๊ช อยู่ใกล้ๆ

ลองดูซิครับ ก่อนหาตัวเองเจอแล้วทุ่ม 10,000 ชั้วโมง เพื่อกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญ ...ลอง 20 ชั่วโมงแรกแบบจริงจังก่อน 

จัดไป !!


ได้ความรู้ใหม่เมื่อคุยกับเศรษฐียาง


เวลาผมเดินสายสัมมนาสอนหุ้น ก็จะเจอกับคนที่หลากหลายมาเรียน ครั้งนี้เจอกับเศรษฐียางตัวจริง เลยถามเขาไปว่า "เมื่อไหร่มะนาวจะราคาตก?" ..เฮ้ย!! ไม่ใช่ เห็นคนฮิตปลูกมะนาวกันจนหนังสือการปลูกมะนาว ขึ้น SE-ED Best-Seller กันเป็นสิบๆ เล่ม 

สงสัยอนาคตจะเป็นยุคที่ทุกคนต้องปลูกมะนาว ?

เศรษฐีท่านนี้บอกผมว่า "ผมเรียนเรื่อง Cycle ของหุ้นที่คุณภาววิทย์สอนเรื่อง รอบ ของการ เกิดขึ้น - ตั้งอยู่ - ดับไป ...ก็ย้อนมามองถึงธุรกิจที่สร้างให้เขาเป็นเศรษฐีคือ เขาปลูกยางมาตั้งแต่เขายังหนุ่ม เห็นตั้งแต่ราคายางถูกๆ ขึ้นไปแพง จนคนฮิตปลูก ..วันนี้ที่เพิ่งมาฮิตปลูกกันตอนยางแพง วันนี้ก็เจ๊ง หรือ กำลังโค่นยางรับเงินจากรัฐบาล"

เขาบอกผมว่า ตลาดหุ้นมี Cycle คนชอบซื้อตอนแพง แล้วก็มาขายตอนถูก ..ซื้อข่าวดี มาขายข่าวร้าย ..โคตรบ้า !!

แต่ 'ยางพารา' ก็แบบนี้ ตอนแพงก็แห่ปลูก พอ ยางถูกก็แห่กันเจ๊ง ...จริงๆ มันต้องทำตรงข้าม ...วันนี้ดิ ที่ต้องเริ่มปลูกยาง อีก 5 ปี กรีดได้ ราคาก็น่าจะแพงแล้ว -- รู้แค่นี้ชนะคนทั้งตลาด ดีจริงๆ 

ผมเลยถามเศรษฐีท่านนี้ว่า 'แล้วมะนาวล่ะครับ ตอนนี้ถึง Cycle ไหนแล้ว ..555'

เขาตอบว่า 'ไม่รู้ ..ที่รู้คือ รอบหน้า ยางมาเขาก็ชิวแล้ว ...ไม่ตัดหรอก ..รอรวย '

ทนรวยซินะ!! ..ตามที่คุณภาววิทย์บอก ..555

2 คำถาม ก่อนเข้าตลาดหุ้น

"2 คำถามที่คุณต้องถามก่อนเข้าตลาดหุ้น"
 
'ผมไม่ได้แค่สอนวิธีการ มันไม่ work' ..หลายคนคิดว่า การลงทุน การเล่นหุ้น ก็เหมือนการเรียนหนังสือ ที่ท่องๆไปแล้ว ทำตามก็ work แล้วรวยได้ทันที

'เฮ้ย!! ถ้าแค่ท่องจำและทำตาม ..มันรวยกันทั้งตลาดแล้ว ..แต่นี่คือ คน 80% เจ๊งทั้งๆที่มีความรู้ มีทั้งเงิน ..คุณเคยถามไหมว่า ทำไมคนเหล่านี้ถึงเจ๊ง ?' ...ถ้าเราไม่ถาม สุดท้ายเรานั่นแหละที่จะกลายเป็นคน 80% นั่นแหละที่เจ๊ง ...และเจ๊งด้วยมือตัวเอง !!

ตลกไหมจริงๆ ตลาดหุ้นมีแค่ ซื้อกับขาย ...แค่ โยนหัวก้อยยังมีโอกาสชนะ 50% แต่พอเราตั้งใจกลับเหลือโอกาสชนะเพียง 20% (เพราะ 80% เจ๊งตามสถิติของจริงในตลาด)

ที่เล่ามาเพราะจะบอก คอร์สสัมมนาที่ผมจัด ไม่ได้สอนแค่ How to ..แต่สอนที่มา และ วิธีคิดดัวย ..นี่คือ Key Success Factor ของการเป็นนักลงทุน !!

2 คำถามที่คุณต้องถามก่อนเข้าตลาดหุ้น 

1. อยากรวยแนวไหน ? ..ถ้าอยากรวยช้า แต่รวยจริง อันนี้เรียนไม่ยาก แต่ต้องมีความอึด 

..ส่วนถ้าอยากรวยเร็ว อันนี้สนามยาก คุณต้องรู้ทั้ง Mindset รู้ทั้ง อ่านงบ ..รู้อ่านกราฟ ..รู้อารมณ์ตลาด..รู้เกมเจ้ามือ -- เห็นไหมเปลี่ยนโจทย์นิดเดียว การศึกษาเยอะคนละเรื่องเลย ..ปัญหาที่คนส่วนใหญ่เจ๊ง เพราะเลือกสนามรวยเร็ว แต่ดันศึกษาไม่พอ ก็โดนซิครับ !!

2. พร้อมสำลักน้ำก่อนว่ายน้ำเป็นไหม ? ..เพราะคนส่วนใหญ่เปิดบัญชีหุ้นแล้วก็เจ๊งเลิกใน 6 เดือน ..ทำแบบนี้เสียเวลาครับ ..เล่นๆเลิกๆเสียเวลา ..ถ้าจะเลิกก็อย่ามาเล่น เพราะ ทุกคนในตลาด เศรษฐี และ เซียนทุกคน เขาสำลักน้ำมาก่อนที่จะว่ายน้ำเป็น ...พอเป็นแล้วก็สบาย 

...เตรียมตัวสำลักน้ำ แต่อย่าเลิก ..'เพราะ คนที่เลิกเล่นหุ้นมีกรณีเดียวคือ เจ๊ง ..เพราะไอ้ที่ล้มแล้วลุก สุดท้ายหาทางตัวเองเจอ ก็รวยไม่เลิก'

ใช่!! ในตลาดหุ้น ล้มเหลวได้ แต่อย่าล้มเลิก ..ผ่านได้ คุณรวยไม่เลิก แค่นั้นจริงๆ -- สัจธรรมตลาดหุ้น !!

เราเรียนรู้อะไรจากวงการ Fashion


"เราเรียนรู้อะไรจากวงการ Fashion" ..น่าเรียนมาก ..55

วันนี้เราเข้าสู่ยุคที่ สินค้าเกินความต้องการ และโฆษณาก็ใช้ไม่ได้ผล ..มันทำให้เราต้องมาหาวิธีใหม่ว่า 'แล้วจะทำอย่างไร ที่ใช้เงินน้อยแต่เข้าถึงลูกค้าเยอะได้'

ก็กลับมาที่วงการ Fashion ซึ่งมีมานาน แต่เรายังไม่ได้ศึกษาเขาจริงๆจังๆ ...ผมมาพบว่า จริงๆ วงการ Fashion เขาทำสิ่งนี้มานานแล้วคือ ทำ Product & Concept Viral -- โจทย์คือ เอากลุ่มลูกค้าที่เป็น Hard Core Fan มาดูการเปิดตัวสินค้าใหม่ แล้วต้องทำให้คนเหล่านี้ wow จนต้องไปพูดต่อ เป็น Viral นั่นเอง

ใช่!! คุณคิดเหมือนผม -- Steve Jobs คือ คนที่เอาแนวคิดของวงการแฟชั่นมาใช้กับการเปิดตัวของสินค้า Apple ...นี่แหละ อาวุธลับ Steve Jobs 

คุณลองดูซิว่า วิธีคิดแบบนี้มันปรับใช้ได้อย่างไรกับธุรกิจคุณ ให้สุดยอดบ้าง ...ลูกค้าตั้งใจมาดูเปิดตัวสินค้า แถมยังโฆษณาบอกต่อให้คุณอีก 'ทำได้ไง'  ..เทพมาก!!

เงินเข้าเมื่อหมดคำถาม


"เงินเข้าเมื่อเราหมดคำถาม"

ขอแชร์เรื่อง กฎ 10,000 ชั่วโมง คือ มนุษย์ทุกคนสามารถเชี่ยวชาญในเรื่องใดก็ได้ถ้าเราศึกษาเรื่องนั้น 10,000 ชั่วโมง

เขาเอาตัวเลขมาจาก การเรียนด๊อกเตอร์ ในสาขาใดก็ตามใช้เวลาประมาณ  5 ปี หรือ 10,000 ชั่วโมง (แต่ถ้าบ้าพลัง อาจเร็วกว่านั้น)

ดังนั้น วันนี้ที่ทุกท่านอยากเก่งหุ้น ...ก็ทุ่มศึกษา ฝึกฝน อย่าเพิ่งตั้งเป้าเป็นเงิน ให้เชี่ยวชาญเดี๋ยวพอเราหมดคำถาม เงินจะวิ่งมาเอง 

เงินจะวิ่งเข้าผู้ที่เชี่ยวชาญในทุกธุรกิจ 

ตัววัดว่าเราถึงระดับไหน ก็คือ "เราหมดคำถาม แต่เราต้องตอบคำถามยากๆ จากคนอื่น ..ยิ่งเราตอบได้ทุกคำถามในธุรกิจที่เราทำ -- คุณรวยแน่ เพราะคุณรู้จริงเรื่องนั้นแล้วล่ะ จัดให้หนัก อยากเป็นอะไร ทุ่มไป 10,000 ชั่วโมง"

จัดไปครับ

วันจันทร์ที่ 25 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

อะไรแปลว่าคุ้ม สุดขีด


"อะไรแปลว่าคุ้ม ?" ..อันนี้น่าสนใจมากเพราะใครที่ตีโจทย์แตกคุณอาจเป็นได้แบบ Hermes

คุณลองเดาซิว่าต้นทุนการผลิตกระเป๋า Hermes แต่ละใบเท่าไหร่ ..'ไม่น่าจะมากจริงไหม'..แต่ราคาขายคือ หลักแสนบาท

'ถ้าเราสามารถซื้อ Hermes หลักแสน ได้ในราคาที่ถูกกว่านั้น แม้เพียงเล็กน้อย เราจะ ร้องออกมาเลยว่า -- โคตรคุ้ม!!'

คำถามคือ อะไรแปลว่าคุ้ม ?
1. ซื้อกระเป๋าราคาสูงกว่าต้นทุนมหาศาล
2. คุณภาพกระเป๋าที่พิถีพิถันในทุกขั้นตอนผลิตจนถึงมือลูกค้า
3. กระบวนการส่งกระเป๋าสู่มือลูกค้าผ่านร้านของ Hermes ที่ควบคุมทุกประสบการณ์ของการส่งมอบ 'สุด Premium สุด Exclusive '
4. สินค้าที่ผลิตจำนวนจำกัด จนกลายเป็น Asset และ ของสะสม 'เก็บแล้วราคาขึ้น'(ในขณะที่สินค้าทุกวันนี้ เก็บแล้วราคาลง ..คุณว่า Hermes ทำได้อย่างไร?)
5. เราซื้อได้ถูกกว่าคนอื่น ..คุ้มมาก!! เดี๋ยวขายต่อจะกำไรทันที (แต่คนส่วนใหญ่ไม่ได้ขายต่อ)

ก็ประมาณนั้น แต่ที่สำคัญ คุ้ม มันคือ 'อารมณ์ความรู้สึก'

ยุคนี้เราเข้าสู่ การตลาดที่ใช้ Emotion เรียบร้อย 

...โจทย์คือ 'เมื่อเราส่งสินค้าถึงมือลูกค้า แล้วเขาร้องว่า โคตรคุ้ม ..รับประกันว่าเจ้าของ Brand นั้นจะโคตรรวย!!"

ผมว่า OTOP ของไทยมีอะไรต้องเรียนรู้จาก Hermes อีกพอสมควรครับ

กฏสิบเท่า

"กฎสิบเท่า" 

คนที่เงินเดือนหมื่นจะคิดแบบคนที่เงินเดือนหมื่น ...พอคูณสิบ 'คนที่เงินเดือนแสน จะคิดแบบคนเงินเดือนแสน' ..แล้วก็คูณอีกสิบ 'คนที่เงินเดือนล้าน จะคิดแบบคนเงินเดือนล้าน'..นี่คือ กฎสิบเท่า 

หลายคนคิดว่า ..อ้าว!! แล้วแต่ละคนคิดไม่เหมือนกันเหรอ ..นึกว่า ทุกคนมีระบบความคิดเหมือนกัน 

'ไม่เลย' ..ยกตัวอย่าง พนักงานเงินเดือนหมื่นจะคิดว่า ถ้าทำงานตามนายสั่งได้ดี สุดท้ายอนาคตงานจะก้าวหน้า ..ใช่!! ก้าวหน้า แต่มันจะก้าวหน้าในระดับเงินเดือนหมื่นเหมือนเดิม ..พอใกล้ๆ เกษียณก็อาจมีเงินเดือนหลายหมื่น แต่เขาจะไม่กระโดดสิบเท่าไปเงินเดือนหลักแสน

ยกตัวอย่างคนเงินเดือนหลักแสน พวกนี้จะไม่ใช่พนักงานที่ทำตามโจทย์ที่นายสั่ง แต่พวกนี้จะเป็นพนักงานที่คิดตั้งโจทย์ ..บางครั้งคิดโจทย์แทนเจ้าของด้วยซ้ำ ว่า แทนที่เจ้าของอยากลงทุนขยายตลาดแบบนี้ ทำไมไม่ทำแบบนี้แทนล่ะ ?

เจ้าของอาจจะ อยากขยายยอดขายปีนี้เพิ่ม 1 เท่า ..ซึ่งมันเป็นโจทย์ที่ More of the Same คือ ทำงานหนักขึ้นเยอะ แต่ผลลัพธ์เพิ่มขึ้นนิดเดียว 

ถ้าตั้งโจทย์ใหม่ "ทำไมนายไม่ เพิ่มยอดขายตามกฎสิบเท่า คือ ตั้งเป้าปีหน้าทำยอดขายให้เพิ่ม 10 เท่าเลย -- ถ้าตั้งโจทย์แบบนี้ คุณจะไม่สามารถทำวิธีเดิมแล้วยอดขายเพิ่ม 10 เท่าได้ มันต้อง Re-define แนวทางใหม่"

ถูกต้อง กฎสิบเท่า คือ การ Re-define ชุดความคิดใหม่ ...ผมใช้ได้ผลกับงานของผมในฐานะขยายฐานลูกค้า , ใช้ได้ผลกับผลกำไรของบริษัท , ใช้ได้ผลกับการขายหนังสือ และ ธุรกิจส่วนตัว ..มันส์สุดขีด !! 

โคตรท้าทาย ..ลองคิดดูซิครับ ถ้าคุณจะทำสิ่งที่คุณทำอยู่ให้ดีขึ้นสิบเท่า ..ทำยังไง ?

'คงไม่ใช่คิดแบบเดิม ทำเหมือนเดิมนะ'

ทำไม Asset ในต่างประเทศจึงแพง


ทำไม Asset ในต่างประเทศจึงแพง ? 

ส่วนนึงเพราะ ต่างประเทศมีภาษีมรดก ดังนั้น ถ้าประเทศไทยเริ่มมีภาษีมรดก จะทำให้ Asset ทุกอย่างของราคาขึ้น 

ใครรวย ?

The Collector หรือ นักสะสม Asset จะรวยขึ้น สุดๆ 

ประเด็นนี้น่าสนใจดีนะครับ เพราะคนรวยทุกยุคทุกสมัยก็รวยจาก Asset ราคาขึ้นทั้งนั้น

การเริ่มสะสม Asset ไม่ได้จำเป็นต้องรวยแล้วถึงเป็นนักสะสมได้

ลองไปดู YouTube อ.เฉลิมชัย เรื่องการเก็บสะสมงานศิลปะ ..มันจะเปิดโลก เกี่ยวกับมุมมองเรื่องการรวยจากการสะสม Asset ไปเลย 

จัดไป !!

คนเดียวใหญ่ไม่ได้ในยุค Co-creation


"คนเดียวใหญ่ไม่ได้ในยุค Co-creation"

การเริ่มธุรกิจยุคนี้ไม่ยาก ใช้เงินน้อย เริ่มได้ด้วยคนๆ เดียว 'สมอง กับ คอมพิวเตอร์ และก็กาแฟสักแก้ว' ..แต่มันใหญ่ยาก เพราะโลกยุค Co-creation ต้องมีคนสองประเภทร่วมด้วยช่วยกัน คือ 

1. "นักแหกกฎ" ..คนนี้ทำหน้าที่คิด ทำสิ่งใหม่ๆ คิดภาพใหญ่ คิด Strategy คิดวิธีการ ..คิด ๆ ๆ -- จุดอ่อนของคนเหล่านี้คือ คิดเก่งวางแผนเก่ง แต่อ่อนเรื่องรายละเอียด

2. "นักจัดการ" ..คนนี้ทำหน้าที่ 'สะท้อนความคิด ทำ ปฎิบัติ' ใส่ใจรายละเอียด -- จุดอ่อนของคนเหล่านี้คือคิด แต่จุดแข็งคือ ลงรายละเอียด ..ทำ  ๆ ๆ

ใช่!! หมดยุคของ ข้ามาคนเดียว หรือ ยุคอัศวินม้าขาวแล้ว ..ยุคนี้ต้อง Co-creation ยุค "คู่หู คู่ฮา"

ธรรมชาติไม่ได้สร้างให้คนๆ เดียวเก่งทุกอย่าง มันจึงสร้างสรรพสิ่งให้เป็นคู่ ..หากคุณรู้ว่าคุณเก่งเรื่องอะไร ลองหาคู่หู ที่เก่งตรงข้ามกับคุณ ..แล้วคุณจะเรียนเรื่อง 'การเปิดใจรับฟัง' 

นั่นแหละ หัวใจของความสำเร็จของธุรกิจยุคใหม่ !!

จัดไป !! คู่หู คู่ฮา 

เงินซื้ออะไรได้

'เงินซื้ออะไรได้ ..เรื่องนี้น่าคิด'

เงินอาจซื้อความสุขไม่ได้ มันซื้อได้แต่ความสบายให้กับเรา ..อันนี้ผมว่าจริง !!

แต่คุณเคยคิดไหมว่าเงินเรา มันซื้อความสุขให้คนอื่นได้ ..เงินสามารถซื้อความสุขให้คนที่เรารัก ให้ลูกน้องเรา ให้เพื่อนเรา ให้บริวารของเราได้ !!

โจทย์นี้น่าสนใจนะ เพราะมันเป็นโจทย์ที่ มากกว่าแค่'เงิน' มันคือ การรู้จักใช้เงินที่เรามี สร้างอะไรดีๆ ให้คนรอบข้าง เล็กๆน้อยๆ ..ไม่!! ผมไม่ได้พูดถึงการแจกเงินแบบบ้าคลั่ง แต่ผมหมายถึง การรู้จักแบ่งปันเล็กๆน้อยๆ ให้กับคนรอบข้างที่เรารักและเขารักเรา 

เมื่อเราทำได้ ..สุดท้ายมันจะนำความสุขมาให้เราได้เช่นกัน

น่าคิด จัดไป !!


คนเก่งแต่หลงประเด็น ..ผิดทาง


"คนเก่งแต่หลงประเด็น ..ผิดทาง" ..อันนี้เป็นเรื่องน่าเสียดาย เสียดายความเก่ง และ ความสามารถ

คุณรู้ไหมยุคนี้ บางคนจบด๊อกเตอร์ แต่เขายังไม่แน่ใจเลยว่าสิ่งที่เรียนมาเขาชอบหรือเปล่า -- เฮ้ย!! เอ๊งบ้าไปแล้ว นี่ล้อเล่นใช่ไหม ..'เรื่องจริงครับ'

พูดง่ายๆว่าหลายคน เรียนจนกลายเป็นผู้เชี่ยวชาญในเรื่องต่างๆ แต่กลับไม่ใช่สิ่งที่ตัวเองชอบ ..แล้วชีวิตมันจะมีความสุขได้อย่างไรครับ ..แล้วงานมันจะดีได้ไง ..น่าแปลกไหมที่เรา แคร์มุมมองคนอื่น(สังคม ครอบครัว ฐานะ) มากกว่ามองความรู้สึกของเราเอง

ผมขอเสนอ 2 ประเด็นให้คนที่อยากค้นหาตัวเอง ให้ใช้ 2 สิ่งนี้นำทาง

1. 'ความรัก' ปราศจากสิ่งนี้ ไม่มีทางที่จะสร้างผลงานยิ่งใหญ่หากเราไม่รักในสิ่งนั้น ..สมองอาจสำคัญ แต่'หัวใจ'สำคัญกว่า คิดดีๆ ?

2. 'ความกล้า' ปราศจากความกล้า เราก็ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆ ..แล้วการทำสิ่งเหมือนเดิม ท่องตำรา How to แล้วจะทำงานด้วยความรู้เดิมๆ แล้วหวังผลลัพธ์ที่แตกต่าง ..ไม่มีทาง!! -- อยากเปลี่ยนโลก เปลี่ยนประเทศ เปลี่ยนตัวเอง เริ่มจาก 'ความกล้า' ทำสิ่งใหม่ แค่นั้นเอง 

ลองคิดดู 'รัก & กล้า' จัดไป !!

'คิดเผื่อ'เพื่อตัวเอง


'คิดเผื่อ'เพื่อตัวเอง ...คำพูดนี้ฟังดูแปลกๆ แต่ผมเชื่อว่า มันคือ กฏข้อนึงที่สำคัญสู่ ความรวยและความสำเร็จ

คุณเคยถามไหมว่าทำไมคนส่วนใหญ่ไม่รวย ? ...ทั้งที่คนส่วนใหญ่ก็เก่ง ก็ฉลาดทั้งนั้น ไม่เห็นมีใครโง่สักคน แต่ทำไมไม่รวย 

และเคยถามไหมว่า บางคนทำไมรวย ทำไมเขาได้รับการยอมรับ ?

ตอบง่ายๆ ..คนที่รวยและประสบความสำเร็จ คือ คนที่'คิดเผื่อ'คนอื่นไง

คนที่คิดเผื่อคนอื่นจะสร้างผลงานของตัวเองให้เป็นประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป สร้างผลงาน สร้างตำนาน สร้างวิธีการ สร้างองค์ความรู้  ..ใช่!! คนเหล่านี้เขาทำงาน ไม่ทำแค่ทำงานธรรมดาๆ แต่เขาทำงานเพื่อสร้างประโยชน์ต่อคนรุ่นต่อไป

นี่แหละนิยามของ 'ทำงานแล้วสนุกและรวย'

ภาษาอังกฤษเขาเรียกว่า 'Work = Passion'

'มันได้ความสนุก เพราะคนจะเรามีความสุขที่ได้ทำประโยชน์ให้คนอื่น ..แล้วจะดีแค่ไหนถ้าทำแล้วได้เงินและการยอมรับตามมาด้วย'

ลองค่อยๆ ปรับ งาน ที่คุณทำให้เริ่มเป็นประโยชน์ หรือ ค่อยๆปรับงานอดิเรกคุณให้สร้างประโยชน์ต่อคนรุ่นหลัง ดูซิครับ !!


วันอาทิตย์ที่ 24 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ยิ่งให้ยิ่งได้ใช้งานอย่างไร


"ขยายความยิ่งให้ยิ่งได้ใช้ได้จริงหรือ" ..รุ่นน้องมาถามผมว่า ที่ผมเล่าว่ายุค Information Age มันต้อง 'ให้ก่อนรับ' ช่วยยกตัวอย่างหน่อย -- คิดไม่ออก !!

ดูอย่าง อ.เฉลิมชัย ซิ ที่แกทุ่มทั้งเวลาและเงินตัวเองสร้างวัดร่องขุ่น ดูเหมือนแกไม่ได้อะไร ..แต่ดูดีๆซิ

แก 'ให้' โดยสร้างงานศิลปะระดับโลกไปก่อน จนกลายเป็นสถานที่ท่องเที่ยวระดับโลก ..ประโยชน์ที่อาจารย์สร้าง ทำให้คนในชุมชนนั้นรวย เชียงรายมีสถานที่ท่องเที่ยว เป็น Landmark ที่ทำให้เงินนักท่องเที่ยวสะพัด ทุกคนได้ประโยชน์ ..ประเทศไทยก็ยังได้ประโยชน์จากผลงานของอาจารย์เฉลิมชัย

สุดท้ายผลก็กลับมาสู่แก ทำให้ผลงานของอาจารย์เฉลิมชัยทุกอย่างมีราคาสูงแพง ภาพเขียนแกวันนี้แต่ละภาพเป็นสิบล้าน ..นี่ไงยิ่งให้ยิ่งได้

อาจารย์เฉลิมชัยสอนผ่านการทำงานทั้งชีวิตให้พวกเราเห็นว่า "สร้างประโยชน์ให้คนอื่นก่อน สุดท้ายเราก็ได้รับกลับคืนไม่รู้กี่เท่าทวีคูณ"

ผมว่านี่แหละชีวิตที่มีคุณค่า !! ...โคตรเจ๋ง

"ยิ่งให้ ยิ่งได้" ใช้ได้ทุกยุคสมัยครับ !!

การเริ่มต้นทำธุรกิจใช้เงินน้อย

"การเริ่มต้นทำธุรกิจใช้เงินน้อย" ..แบบเบื้องต้นมี 4 ประเภท ดังนี้

1. 'การทำสัมมนา' ..อันนี้คือการ 'ขายความรู้และ Knowhow ..ซึ่งถ้าเราเก่งเราจะแถม Knowwho และ Connection ต่อยอดให้คนเรียนด้วย (แต่การให้ Knowwho อันนี้ขั้น Advance สำหรับวิทยากรที่เชี่ยวชาญ ไว้ผมจะค่อยๆ อธิบายรายละเอียด) -- การทำสัมมนาคือ การ Package สิ่งที่เรารู้เพื่อประหยัดเวลาลองผิดลองถูกให้คนที่สนใจในเรื่องที่เราเชี่ยวชาญ "เรื่องอะไรก็ได้" ..คนยอมจ่ายเงินให้สิ่งนี้ ..อย่างตัวผมเอง ผมเลือกหัวข้อ 'การเล่นหุ้นและการลงทุน'

 ..คนที่สนใจทำธุรกิจสัมมนาต้องเลือกเรื่องที่เรามี Passion

2. 'การทำหนังสือ' อันนี้ต้นทุนจะสูงกว่าแบบแรก แถมได้เงินน้อยกว่า ..แต่หนังสือเป็นการประกาศให้คนจำนวนมากรู้ว่า 'เราเก่งเรื่องอะไรและเรามี Passion ในเรื่องไหน' ...การทำหนังสือวันนี้ต้นทุนต่ำกว่าในอดีตมาก ..ข้อดีคือ หนังสือเหมือน นามบัตรใบใหญ่ สู่โอกาส -- เรียกหล่อๆ ว่า "หนังสือ = เวทีสู่โอกาส ที่เราปั้นเอง"

3. 'การเป็นที่ปรึกษา : Consulting ' อันนี้ต่อยอดจากที่เราเชี่ยวชาญมาหาเงินจากการให้คำปรึกษา ซึ่งทำได้ทั้ง ส่วนบุคคลและบริษัท ..ตอนเริ่มธุรกิจให้คำปรึกษา ผมก็เริ่มจากให้คำแนะนำส่วนบุคคล จนวันนี้ผมได้รับโอกาสจากบริษัทขนาดใหญ่ ให้มาเป็นที่ปรึกษาการลงทุนในวงที่กว้างขึ้น ..อันนี้ก็เป็นธุรกิจแบบนึงที่หาเงินจากความเชี่ยวชาญของตัวเอง

4. 'Co-creation' อันนี้ยากขึ้นไปอีก เป็นการ Matching ของโอกาสในการเอาความเชี่ยวชาญของเรา ไป Match กับคนที่สนใจในสิ่งนี้ ซึ่งจะเป็นบริษัท หรือ นักธุรกิจ ก็ได้หมด ..คล้ายการเริ่มธุรกิจ Start-Up นั่นแหละครับ

ก็มี 4 ประเภท ธุรกิจ ที่เริ่มจากเงินน้อย แต่ต่อยอดทำเงินได้มหาศาล ...แต่อย่างแรก ต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่า เราเชี่ยวชาญและมี Passion ในเรื่องอะไร

จัดไป คิดๆๆ 

วันเสาร์ที่ 23 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5 วิธีคิด ผู้ประกอบการรุ่นใหม่


"5 วิธีคิด ผู้ประกอบการรุ่นใหม่"

1. "สร้าง Identity ให้สินค้า" ..ในยุคก่อนเราพูดกันเรื่องสร้าง Brand แต่ยุคนี้เราล้ำไปถึงการสร้าง Identity ให้สินค้า ..โดยการใส่ตัวตนให้สินค้า ..เช่น Apple ใส่ชีวิตและวิธีคิด Steve Jobs ลงไปเลย -- เพราะยุคนี้ลูกค้าซื้อของที่บอกตัวตนของเขา 

2. "เริ่มและจบในตัวเอง"  ..ทำ Vertical  Intregration มันดีกว่าในยุคนี้ถ้าเราทำตั้งแต่ผลิตไปจนถึงการขายถึงมือลูกค้าเอง และนี่คือ จุดเด่นของมือถือก้องโลก Xiaomi "เสี่ยวหมี่" 

3. "ตั้งราคาให้สูง" ..เพราะราคาสูง สื่อถึงคุณภาพที่ดี "High Price = High Quality"-- ยุคนี้คนตัวเล็กต้องแข่งกันแพง เพราะถ้าแข่งกันถูกเราเสียเปรียบรายใหญ่

4. "สร้างสินค้าให้เป็น Asset" ..ใช้วัตถุดิบคุณภาพสูง ใส่ใจรายละเอียด ใส่ใจคุณภาพ และการสร้างเรื่องราวให้สินค้า  ..เป็นนักเล่าเรื่อง The Story Teller !!

5. "ทำและขยายธุรกิจจากคนรัก" ..ทำธุรกิจกับลูกค้าที่รักเรา ให้รักเราสุดๆ ดีกว่าทำธุรกิจกับคนที่แค่ชอบเรา ..เพราะเขาจะช่วยเราขาย ช่วยขยาย ช่วยบอกต่อ 



รับช่วงธุรกิจคิดต่อยอด


"รับช่วงธุรกิจคิดต่อยอด" ...อันนี้ไม่ง่าย แต่ถ้าทำได้ จะสุดยอดมาก!!

ยุคนี้ธุรกิจมันกำลังเปลี่ยนมือจากรุ่นสู่อีกรุ่น 
"สิ่งที่ต้องคิดคือ โดยส่วนใหญ่ ธุรกิจที่ทำให้พ่อรวย จะไม่ทำให้ลูกรวย ..เหมือนซื้อหุ้นตามเซียน หุ้นที่ทำให้เซียนรวย จะทำให้เราซวย ...คิดดีๆ ?"
..มันมี 2 ทางเลือก

1. "รับธุรกิจมาทำแบบเดิม" เช่น พ่อทำโรงแรม ลูกก็มาบริหารต่อ โดยไม่ดูเลยว่า ตลาดมันเปลี่ยน โรงแรมมันก็เก่า ทำเลมันก็เปลี่ยน ..พวกนี้ทำแล้วลง เสี่ยงเป็น NPL หนี้เสียในที่สุด "เจ๊ง!!"

2. "รับมาเปลื่ยน" เช่น เอาโรงแรมมาเปลี่ยนปรับปรุงแบบ 360 องศา ดูใหม่ ทันสมัย สร้างลูกค้าใหม่ ...ตรงนี้ที่ทายาทธุรกิจไม่ค่อยกล้าทำ เพราะ 'กลัว' ..กลัวว่าใส่เงินเพิ่มแล้วจะไม่ดี ...'ความกลัว คือ ศัตรูของการสร้างสิ่งใหม่ !!'

แต่เขาลืมไปอย่างนึวว่า ทุกอย่าง อยู่ในกฏ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" ไม่เว้นธุรกิจของเรา

การจะเปลี่ยนให้ดีขึ้น ต้องสร้าง Life Cycle ใหม่ให้กับ สินค้าเดิม ..ในภาษาวิชาการเขาเรียก การ Re-define ดังนี้

1. สร้างตัวตนใหม่ให้กับสินค้า คือ สร้าง Identity ใหม่ ..คิดดูดีๆ วันนี้คนซื้อของเพื่อตอบ Identity ของตัวเอง ..กิน Starbucks  ซื้อ Hermes เที่ยว ศรีพันวา เพราะต้องการตอบ Identity ของตัวเอง "จ่ายเพื่อแสดงตัวตนของฉัน!!" ...คนรุ่นใหม่เขาไม่ได้ซื้อของแค่ใช้ แต่เพื่อแสดงตัวตน -- หมดยุคซื้อของแค่ปัจจัย 4 มานานแล้ว !!

2. 'ประกาศตัวตน ให้คนรับรู้' ..ยุคก่อนใช้โฆษณา อันนั้นมันความคิดขององค์กรใหญ่เงินหนา คนตัวเล็กเล่นเกมนั้นมีแต่ตาย ..ยุคนี้คนตัวเล็กเขาใช้ สื่อกระแสรอง Social Media ในการสื่อสาร ..คุณตันสร้างหมื่นล้านใน 4 ปี เพราะเขาคือผู้เชี่ยวชาญเรื่องนี้ !!

นี่แหละ ทางเลือกคร่าวๆ ของ ทายาทธุรกิจต้องคิดให้หนัก !!

ไม่!! มันไม่ได้เริ่มที่เงิน ..มันเริ่มที่ "คิดเป็น" ..เมื่อคิดเป็น เดี๋ยวธนาคารจะเอาเงินมาให้ ..นักลงทุนจะขนเงินมาให้ 

'ความเสี่ยง คือ การทำสิ่งเดิม แล้วหวังผลลัพธ์ที่ดีขึ้น ..และความเสี่ยงที่สุด คือ การไม่กล้าเสี่ยงทำอะไรใหม่ๆเลย ..เพราะยุคนี้ เราควบคุมความเสี่ยงได้'

-- ลองคิดดูครับ !!

ต๊อบ มาแล้ว


ต้อนรับ 'ต๊อบ' สู่ชุมชน Stock2morrow ..หลายคนอาจจะรู้จักต๊อบผ่านหนัง วัยรุ่นพันล้าน !! -- ก็ดูสนุกดี แต่เอาจริงๆ นะ คุณว่าอะไรที่ทำให้คนๆ นึงประสบความสำเร็จในชีวิตตั้งแต่อายุยังน้อย

ผมว่าถ้าเทียบต๊อบ ก็ไม่ต่างจาก Young Rich ใน หุบเขาเปลี่ยนโลก The Silicon Valley ..คนเหล่านี้ บ้าดีเดือด ตีลังกาเดิน คิดไม่เหมือนใคร ทำงานยิ่งกว่าไปเที่ยว 'แปลก' แต่เขาก็มีอะไรที่เหมือนๆ กัน คือ

1. 'ในขณะที่คนส่วนใหญ่เลี้ยวขวา คนเหล่านี้เลี้ยวซ้าย' ...Yes !! ช่างกล้า ..ช่างบ้า

2. 'เขาคิดเหมือนกันว่า อย่างมากก็เจ๊ง แล้วไงวะ?' ..ล้มก็ลุกแค่นั้น ทุกคนที่สำเร็จก็แบบนี้ทั้งนั้น ..มีแต่คนทั่วๆไปเท่านั้นที่ไม่เคยเจ๊ง -- "แต่ที่แน่ๆ ฉันไม่ใช่คนทั่วไป ..กรูไม่ธรรมดา!!"

3. 'ล้มแล้วเรียน ปาดน้ำตา เดินต่อ' ..คนส่วนใหญ่ชีวิตไม่เคยล้มด้วยซ้ำ แล้วจะเรียนรู้จากอะไรล่ะ ? ..คิดว่าเรียนตอนปริญญาแล้วนั่นจะทำให้เราสำเร็จ แบบนี้มันรวยทุกคนในโลกแล้ว ..ความรู้ในระบบมันแค่พื้นฐาน ..แต่ความเชี่ยวชาญที่ทำให้เราแตกต่างและสำเร็จเศรษฐี มันเรียนจากชีวิตจริง !! ..ล้มแล้วก็เรียน

4. 'อยากช่วยคนอื่น' ..คนอย่างต๊อบ รวยแล้ว จะมาออกหนังสือ จัดสัมมนาทำไม ..และขอบอกว่า สิ่งที่ต๊อบมาสอนในสัมมนาให้ที่ Stock2morrow เป็นความรู้ที่ไม่ธรรมดา ..มันคือประสบการณ์จริงไง ..ยิ่งช่วยคนอื่น ยิ่งแชร์ ตัวเองกลับยิ่งดี ..นี่คือ กฎของโลกยุค Information Age

5. ผมว่าคุณไป จัดหนังสือ ต๊อบมาอ่านต่อดีกว่า ...เราเอาเรื่องราวคนอื่น มาจุดไฟในตัวเรา ..ยุคนี้มันคือยุค มือเปล่าสร้างพันล้าน แต่ไม่ใช่แค่มือ ต้องมาพร้อมสมอง 

ความคิดในยุคนี้ ..ยิ่ง 'โดน' ยิ่งดัง ..ยิ่งได้เงิน และ ที่สำคัญ 'ความคิด ไม่เสียเงิน และสามารถทำเงินอย่างทรงพลัง!!'

คุณลองสังเกตซิว่า คนอย่างต๊อบ และ คุณตัน ใช้เงินโฆษณา น้อยกว่าบริษัทใหญ่ๆ แต่ผลลัพธ์ดังกว่า โดนกว่า -- เคล็ดลับเหล่านี้แหละที่คุณต้องเรียนจาก 'คนจริง' !!

จัดไป !!

วันศุกร์ที่ 22 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

ทางเดินคนรุ่นใหม่อาจไม่ง่าย


"ทางเดินคนรุ่นใหม่อาจไม่ง่ายอย่างที่หลายคนคิด!!" ...

หนึ่งในทางที่ผมเลือกเดินคือ "สายอาจารย์" คือ เดินสายสอนทายาทธุรกิจของบัวหลวงทั่วประเทศ ...สิ่งที่ผมสัมผัสกับคนเหล่านี้อาจเป็นมุมที่หลายคนไม่รู้

"พ่อเป็นเจ้าของโรงงานใหญ่โต เพื่อนๆ อิจฉาคนเหล่านี้ แต่เบื้องหลัง เขากำลังจะรับช่วงธุรกิจจากพ่อ ..โรงงานพันล้านผลิตสินค้าให้แบรนด์ระดับโลก ที่โดนกดราคาไม่งั้นเขาอาจย้ายไปสั่งของที่พม่าหรือจีน ..ค่าแรงขั้นต่ำที่ขึ้นติดคอ ...โรงงานพันล้าน มาพร้อมหนี้ 900ล้าน พร้อมคนงาน 500 คน ที่ไม่ชอบเจ้าของโรงงาน ..และที่สำคัญ พ่อไม่เคยถามผมว่า ผมอยากทำโรงงานแบบพ่อหรือเปล่า ..เรียนสูง แต่ไม่ชอบสิ่งที่เรียน เพราะต้องเรียนเพื่อรับภาระครอบครัวในฐานะลูกชายคนโต" 

..คุณว่าทายาทธุรกิจเหล่านี้ เขาเลือกได้ไหมว่าเขาอยากทำอะไร ?

1. ไม่รักในสิ่งที่ทำ แต่ต้องทำ เพราะ ต้องทำไง !!
2. ล้มไม่ได้ ..ทำงานด้วยความกลัว และ ความกดดัน
3. คนที่ไม่รักในสิ่งที่ทำ ..ยากที่จะคิดนอกกรอบ จึงพาธุรกิจเข้าสู่ขาลง 

และนี่คือ ตำนานเจ้าสัว และ โรงงานนรก กับ ทายาทธุรกิจ ที่กำลังจะปิดฉากลงในฐานะ 'มังกรผู้เดินท่ามกลางความกลัว และไร้วิญญาณ" 

วันนี้ธุรกิจทั่วโลก กำลังเปลี่ยนจาก "ยุคอุตสาหกรรมที่เจ้าของโรงงานรวย มาสู่ยุค Information Age ที่คนอย่าง Jack Ma รวย ..คนอย่าง Mark Zuckerberg รวย" ..ต่างกันที่คนนึง ถูกบังคับให้เดินในทางที่เลือกไม่ได้ กับ อีกคนซึ่งเลือกชีวิตเอง และมี Passion ในสิ่งที่ทำเพราะทำเพื่อเปลี่ยนโลก 

ยุคนี้ คนช่วยเหลือคนอื่น และให้โอกาสคนอื่น โดนอาศัยเทคโนโลยีและระบบคิดใหม่แบบ Jack Ma รวยขึ้นเรื่อยๆ "ยิ่งรวย ยิ่งเปลี่ยนระบบแบบเดิม ยิ่งสำเร็จ ก็ยิ่งรักในสิ่งที่ทำ ..มันคือ วงจรการคิดใหม่สู่โลกที่ฉันสร้างตัว ด้วยตัวของฉันเอง ..ฉันรวยเพราะให้โอกาสคนอื่น ...คนอย่าง Jack Ma ทำไมถึงโชคดีเช่นนี้ ?"

Jack Ma โชคดี เพราะ 
1. เขาเกินมาจน ..เขาเลยต้องเลือกทางเดินชีวิตเอง
2. เขาไม่มีเส้นสาย ..เขาเลยไม่เคยมีกรอบที่ต้องเดิน ..จึงเดินโคตรนอกกรอบ
3. เขาหน้าตาไม่ดี ..เพราะไม่มีทั้งเงิน ไม่มีทั้งตระกูล แถมหน้าตาก็ไม่ดี เลยไม่มีอะไรจะเสีย

นี่คือ "ข้อได้เปรียบของ Jack Ma" ..เพราะฉันไม่มีทางให้เดินลง จึงต้องเดินขึ้นไง !!

ชีวิตคนทุกวันนี้มีทางเลือก คือ ถนน 2 ทาง
1. 'ถนนในเมือง' ทางเดินที่คนส่วนใหญ่เลือก มี Carrer Path , มีคำว่าอาชีพ , มีเพื่อนเดินมากมาย , มีเงินเดือน มีแม้กระทั่งแผนที่ให้เดิน แต่ปัญหาคือ รถมันติด และ คุณไม่สามารถขับรถข้ามหัวคนที่เดินทางมาก่อนได้

2. 'ถนนในป่า' ทางเดินนี้ของ Jack Ma ..ถนนยังไม่มีเลย ..ทางแม่งมืด ..ไม่มีแผนที่ ทางนี้ที่ผมอยากชวนคนรุ่นใหม่มาลองเดิน

การเริ่มธุรกิจวันนี้ จริงๆ แทบไม่ต้องใช้เงิน มันเริ่มจากหนึ่งคนกับคอมหนึ่งเครื่อง โรงรถ และ ความแตกต่าง

"ผมเลือกสายนี้ครับ ..ผมเดินมาระยะนึงแล้ว ..ผมยังไม่เห็นปลายทาง ..แต่ผมว่ามันดี ..เพราะเราเลือกคำว่าอาชีพเอง เราเลือกวิธีหาเงินเอง ..เราสร้างงานในแบบของเราเอง"

ว่าแต่ คุณสนใจศึกษา เส้นทางนี้ไหมครับ ?

บ้าดีนะ ? ..แต่ผมว่า โคตรมันส์ !!

ฉันมีลูกค้าเป็นเพื่อน


ธุรกิจจะดีสักแค่ไหน ถ้า "ฉันมีลูกค้าเป็นเพื่อน " ..เพราะทุกวันนี้ คุณเชื่อเพื่อน มากกว่าเชื่อบริษัท ...คุณซื้อหุ้นตามเพื่อนจริงป่ะ(คุณทำแต่มันไม่ดี..555) ..เพื่อน!! ทำให้คุณตัดสินใจซื้อมากกว่าโฆษณา จริงไหม?

ดังนั้น หนึ่งในสุดยอด Business Strategy ที่ Harvard Business School จะต้องหันมามองก็คือ "กลยุทธ์ฉันมีลูกค้าเป็นเพื่อน"

มีหลักการดังนี้

1. "ให้เขาก่อน" มอบความรู้ มอบสิ่งดีๆ ให้เขาฟรีๆ อย่าหวง ..ให้ก่อน !!

2. "พยายามเข้าใจเขา" ..ต้องพยายามเข้าใจเขาว่าจริงๆ เขาต้องการอะไร ธุรกิจมันมีแก่นคือ 'แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า แค่นั้นเอง ..เดี๋ยวเงินจะตามมาเอง' 

เช่น ลูกค้าที่เล่นหุ้นของผม เขาไม่ได้ต้องการเทรดหุ้นบ่อยๆ แต่เขาต้องการกำไร ..ถ้าผมสนใจแต่ค่า คอมมิชชั้นในการซื้อขายหุ้น ผมก็ต้องพยายามให้เขาซื้อขายบ่อยๆ ซึ่งผลลัพธ์คือเขาน่าจะเจ๊ง แต่ผมรวย ซึ่งมันไม่ work 

...ดังนั้น ผมต้องคิดใหม่ คือ สอนเขาให้ลงทุนเป็นตามแนวที่เหมะกับตัวเขา นี่แหละ กลยุทธ์เปลี่ยนห้องค้าเป็นห้องเรียน -- ให้ประโยชน์เขาก่อน แล้ว เขาจะเป็นเพื่อนเราเอง !!

แค่นี้ ไม่ว่าคุณจะทำธุรกิจอะไร คุณจะค่อยๆเปลี่ยนลูกค้าเป็นเพื่อน 

...โคตร work บอกเลย ..ผมใช้แล้ว work กับธุรกิจหมื่นล้านอย่าง หลักทรัพย์บัวหลวง 

..ผมเชื่อว่าถ้าคุณเอาไปปรับใช้ มันน่าจะดีกับธุรกิจคุณเช่นกัน

จัดไป!!

จุดตาย นักธุรกิจมือใหม่


"จุดตาย นักธุรกิจมือใหม่" ..คนรุ่นใหม่อยากทำธุรกิจส่วนตัว ต้องระวังจุดตายข้อนี้

คือ "ความใส่ใจ" ..ลองคิดดีๆ คุณจะพบเลยว่า การเริ่มธุรกิจวันนี้ไม่ได้ยาก มีเงินก็เปิดร้านกาแฟ เปิดร้านอาหาร เปิดบูติกโฮเทล ได้ไม่ยาก 

..'เปิดง่าย แต่ยากที่ Maintenance คือ การใส่ใจ!!' -- นี่คือ สิ่งที่ฝรั่ง ต่างจากคนไทย

สังเกตไหมว่าคนไทยจะเน้นที่เปิด สร้างให้ใหญ่ จัดหนักไว้ก่อน ..แต่ฝรั่งเขาจะเน้นที่ 'สร้างแล้วดูแลได้' 

จุดนี้เองที่ ลูกค้า เห็นความแตกต่าง ..และนี่แหละที่ลูกค้า ตัดสินว่าจะ 'ใช้ซ้ำ และบอกต่อ' ซึ่งคือ หัวใจของความสำเร็จ !!

สังเกตโรงแรมของไทยสร้างให้ใหญ่ แต่มักเกินตัว สุดท้ายดูแลไม่ได้ ..เก่า สกปรก ไม่เปลี่ยน ไม่ปรับปรุง เพราะอยากประหยัด จ่ายไปเยอะ ทุนยังไม่คืน -- นั่นแหละ "โรงแรมสวย แต่ห่วย" ..คุณไม่คิดหรือว่า ลูกค้าสัมผัสได้ถึงความใส่ใจและดูแลปรับปรุง ..ตำราธุรกิจเขาถึงเน้นเรื่อง Passion และการใส่ใจเรื่องเล็กๆน้อยๆ 'เจ้าของดูเอง'

ก่อนจะเป็น Starbucks ที่ก้องโลก เจ้าของดูเองทุกจุดในร้าน ทุกการบริการ ..กลั่นจนเกิด System ระบบที่ 'คุณภาพทุกจุด ..ขนาดที่ว่า การพูดคุยจำชื่อลูกค้าทุกคน ยังถูกเขียนในคู่มือการทำงานของพนักงาน'

ธุรกิจที่สำเร็จโคตรๆ ไม่มีฟลุ๊ค ..แบบว่าพ่อรวย เอาเงินมาเปิดร้าน แล้วให้พนักงานพม่าดูแล -- คุณเจ๊งแน่นอน !!

ลองสำรวจธุรกิจคุณเอง แล้วถามว่าคุณมี Passion เพียงพอในสิ่งที่ทำหรือยัง ? ..ถ้ายังนั่นแหละเส้นบางๆ ที่คุณยังไม่รวย

"ใส่ Passion ลงไป .." -- แล้วกิจการคุณจะค่อยๆดีขึ้น เหมือนมีเทพเจ้ามาช่วย ..คุณไงเทพเจ้า!!

วันพุธที่ 20 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

5 เรื่องที่ใช้ เปลี่ยนชีวิตในโลกยุคใหม่

วันนี้ขอโพสเบาๆ หลังผ่านกระแส นะครับ

(ซึมไปหนึ่งวัน อิ อิ ..ผมอ่าน Comment นึงก็เข้าใจเลยว่า บางคนเขาไม่ได้อ่านสิ่งที่ผมถ่ายทอดเพื่อเอาประโยชน์ แต่เขาอ่านเพื่อจับผิด ..อันนั้นก็เกินความควบคุมน่ะครับ -- ยังไงผมก็ยังเสนอจุดยืนของผมตรงๆแบบนี้นะ ใครไม่ชอบผม อย่ามา Follow เพื่อจับผิดผมเลย ..การที่ผมวางตัวถ่ายทอดความรู้และมุมมองในโลกที่เปลี่ยนแปลง ย่อมมีหลายๆ คนที่เสียประโยชน์ ก็ว่ากันไปครับ)...555

สิ่งที่เปลี่ยนไปในวันนี้ ผมเชื่อว่า โลกเรากำลังเข้าสู่ยุคเปลี่ยนผ่าน ซึ่งเราจะเห็นได้ว่า "สินค้าบางอย่างที่เคย ขายได้ดี วันนี้อาจจะขายไม่ได้" , "สื่อเดิม ที่เคยมีอำนาจในการตัดสินใจ กลับกลายเป็นวันนี้แทบไม่มีอำนาจ" , "สื่อใหม่อย่าง Social Media มีพลังจริง แถมฟรีอีกต่างหาก แต่ปัญหาคือ ไม่สามารถควบคุมได้เลย" ..ทั้งหมดที่ว่ามา มันเป็นเพียงจุดเริ่มต้นของการเปลี่ยนแปลง

หนังสือในช่วงที่ผ่านมาของผม ล้วนแล้วแต่เป็นการใช้ตัวผมเองนี่แหละ เป็นหนูทดลองในเรื่องราวใหม่ๆ ...แล้วลองผิดลองถูก จากนั้นก็ถ่ายทอดบทเรียนผ่าน Facebook และ ก็รวมเล่มเป็นหนังสือ หลายๆ เล่มใน SE-ED ...

ผมรวมเป็นแนวคิดสั้นๆ เบาๆ วันนี้ 5 เรื่องครับ

1. ยุคนี้เส้นแบ่งระหว่างลูกจ้าง กับ นายจ้าง ไม่ชัดแล้ว ..เพราะ ลูกจ้างยุคนี้สามารถเริ่มธุรกิจส่วนตัว ที่สามารถทำหลังจากเวลางาน เป็นแนว Part-time Passion เหมือนอย่างที่ผมทำ ..ผมทำ ธุรกิจหนังสือ และ การสัมมนา นอกเวลางาน , ผมทำ Start-Up ธุรกิจเล็กๆ เกี่ยวกับ Robot ...ผมพบเลยว่า ใครเข้าใจแก่นของยุค Information Age คุณสามารถ 'เริ่มธุรกิจ ใช้เงินนิดเดียว แต่โอกาสมหาศาล' ...ใช่ ธุรกิจ Start-up ใช้เงินทุนต่ำกว่าเปิดร้านกาแฟเสียอีก แต่โอกาสทำเงินมหาศาล ...อันนี้เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ที่ผมอยากนำเสนอคนรุ่นใหม่เรื่องที่หนึ่ง "คือ คุณรวยได้ ไม่ต้องเริ่มที่เงินนั่นแหละ"

2. การสร้าง Connection หรือ เส้นสายในยุคใหม่ ไม่ได้แบ่งด้วยตระกูล แบบยุคก่อน ...เดี๋ยวนี้สังเกตไหมครับ เรามีสังคมต่างๆ เช่น สังคมนักลงทุน , สังคมของคนที่สนใจเรื่องต่างๆ ...พวกนี้คือ Connection ชั้นดี ของคนที่สนใจเรื่องต่างๆ มารวมตัวกันด้วย "งานอดิเรกที่รัก" ..จากนั้น คนเหล่านี้แหละที่เปลี่ยน งานอดิเรกให้ทำเงิน ...อย่างเล่นหุ้นนี่ ผมเป็นหนึ่งใน Founder ของชุมชน Stock2morrow ร่วมกับ คุณป้อม ปิยพันธ์ ...มันเริ่มจากคนไม่กี่คนที่รักการลงทุน จนกลายมาเป็นสังคมนักลงทุนรายย่อย ที่ใหญ่ที่สุดในเมืองไทย ซึ่งวันนี้ขยายไปสู่การพัฒนาตัวเองด้านต่างๆ ...ยุคนี้ไม่มีชนชั้นที่แบ่งจากตระกูล แต่มันแบ่งจากความชอบ หรือ Passion ต่างหาก ...ผมว่า คนสุดยอดของแต่ละอุตสาหกรรมในยุคต่อไป ก็เริ่มจาก Passion นี่แหละครับ ...อันนี้เป็นเรื่องที่สองที่ผมนำเสนอ คือ "หาเพื่อน" หาคนเดินด้วย ที่มี Passion คล้ายๆ คุณ คนเหล่านี้แหละคือ เพื่อนร่วมเดินทางสู่ฝันของคุณ

3. ยุคนี้ชีวิตเปลี่ยนเมื่อเปลี่ยนความคิด ...ผมได้มีโอกาสรู้จักกับ ดร.ต้อง ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ ...สิ่งที่น่าสนใจคือ เราทุกคนล้วนวิ่งมาเจอปัญหาหรือทางตันในชีวิต ไปต่อไม่ได้ ..ดร.ต้อง ทำให้ผมรู้ว่า การข้ามความกลัวตรงนั้น มันคือ การ Change Mindset ..ภาษาวิชาการเรียกว่าการ Re-define ..พูดแล้วเหมือน ตลก แต่อันนี้ของจริง คือ คนที่ Re-define ตัวเองได้ ชีวิตจะพุ่งขึ้น 10 เท่า ...ถ้าดูจากเงินในกระเป๋า ก็คือ จะรวยขึ้นได้ 10 เท่า ทุกครั้งที่ยอมเปลี่ยน "ชุดความคิด" ...อันนี้เป็นหนึ่งในองค์ความรู้ ที่ผมเขียนหนังสือ ร่วมกับ ดร.ต้อง ..วันนี้มาถึงเล่มที่ 3 "สร้างล้านแรกต้องแหกกฏ" ..คนเราเปลี่ยนง่ายนิดเดียว Change Mindset ..จากนั้นที่เล่นหุ้นเจ๊งจะพลิกเป็นกำไร ..ผมทำเห็นผลกับคนหลายๆ คนจริง มันน่ามหัศจรรย์มาก

4. "คนเราไม่มี Limit หรอกครับ" อันนี้ผมร่วมเดินทางกับ หยง ...ผมกับหยงรู้จักกันเมื่อ 6 ปีที่แล้ว ตัวผมยังไม่มีอะไร ..ตัวหยงก็เทรดหุ้นเจ๊งอย่างหนัก ...เรามาเจอกัน เหมือนคนที่มันโดนกัน คือ "กรูกับมึงเจ๊งเหมือนกันเลย" ..ผมเลือกเดินสาย ลงทุนระยะยาว ส่วนหยงเลือกเดินสายเทรดเดอร์มืออาชีพ ..เราร่วมกันเขียนหนังสือ Freedom Trader ..จากวันนั้นถึงวันนี้ Port ส่วนตัวของพวกเราโตเป็นสิบเท่า จริงๆ มันก็ไม่ได้มีอะไรน่าตื่นเต้น เพราะหลายๆคนในตลาดมีเก่งกว่าพวกเราเยอะ ...แต่พวกเรามี Passion อย่างนึง ระหว่างผมและหยงที่ตรงกัน คือ "เราชอบสอนคน เราชอบเป็นอาจารย์" ...วันนี้ผมกับหยงกำลังจะออกหนังสือ Freedom 2 ซึ่งมันเป็นการฟันธงตลาดหุ้นแบบโคตรตรง เพราะพวกผมไม่เชื่อฝรั่ง ไม่เชื่อใคร ..องค์ความรู้ที่เรามี เราเรียนตรง ล้มลุกจากเลือด แผลเต็มหลัง ดังนั้น นี่คือ ความเชื่อของพวกผม ซึ่งไม่ได้บังคับให้ใครเชื่อตาม ดีก็รับไป ไม่ดีก็ทิ้งไว้ตรงนี้ ...อันนี้เป็นองค์ความรู้เรื่องที่สี่ ผมและหยงเชื่อว่า เราทุกคนสูงขึ้นไปเรื่อยๆ สำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแค่เราไม่หยุดเรียนรู้ และ ถ่ายทอดในเวลาเดียวกัน -- พูดแล้วแมร่งดูหล่อ แต่ผมเชื่อแบบนั้นจริงๆ ผมและหยงจะไม่หยุดเรียนรู้และสอนคนในเรื่องการลงทุน

5. "การได้ร่วมงานกับผู้ใหญ่ ที่เชื่อมั่นในตัวเรา มันโคตรดีบอกเลย" ..ตัวผมไม่เคยมองตัวเองเป็นลูกจ้าง เพราะผมทำงานไม่ใช่เพราะต้องทำ แต่ทำเพราะผมอยากทำ "กรูรวยอยู่แล้ว แต่ 'งาน' มันคือ การอธิบายตัวตนของผม และ ผมจะไม่เคยหยุดอธิบายตัวตนผ่านสิ่งที่ผมทำ (เงินน่ะเอา ไม่ใช่ไม่เอา ..55 -- แต่งานที่ใช่ ผมว่าสำคัญกว่าครับ)" ...ที่หลักทรัพย์บัวหลวง ผมได้เจอผู้บริหารรุ่นใหม่ที่โคตร Open พูดชื่อ ก็ไม่น่ามีปัญหานะ เสี่ยโบ๊ และ ป๋าเนส ..ที่แห่งนี้ผมได้ลองทำสิ่งใหม่ๆ ที่ผมไม่คิดว่าองค์กรอย่างนี้จะกล้าทำ ...โคตรมันส์ -- คุณลองดูนวัตกรรมต่างๆ ที่บัวหลวงออกมาบริการลูกค้าซิ ตั้งแต่เอา Robot มาบริหารเงินให้ลูกค้า , ให้รายย่อยใช้ Robot เองอย่าง iAlgo หรือ เครื่องวัดฝีมือเล่นหุ้นอย่าง iTracker ที่เอามาวิเคราะห์และเปลี่ยนพฤติกรรมการลงทุน เหมือนมีหมอมาวิจัยว่า คุณต้องปรับปรุงอะไร , ไหนจะโครงการ Stock Master ที่สอนลูกค้าเล่นหุ้นใช้เงินจริง (ในวันที่เราเริ่ม บอกเลย โคตรบ้า..ใครกล้าทำ?) ..องค์ความรู้ที่ห้านี้คือ ผมว่าเราต้องเปิดใจ ..บางทีสิ่งที่คุณคิดว่าเป็นไปไม่ได้ มันก็เป็นไปได้ ..ผมว่า แค่เรากล้า ชนะความกลัว เราก็เริ่มต้นสิ่งใหม่ๆ ได้แล้วครับ

ก็ 5 ข้อ จุดยืน ...ซึ่งผมจะเดินต่อไป ...จะทำ Passion นี้ ให้มันยิ่งใหญ่ ...เพราะ ผมไม่เคยหยุดเดิน !!

กรูสู้ ...กรูบอกเลย ..555

วันอังคารที่ 19 พฤษภาคม พ.ศ. 2558

6 ข้อควรคิด เกี่ยวกับ "ใบปริญญา"

6 ข้อควรคิด เกี่ยวกับ "ใบปริญญา"

1. มีใบปริญญาดีกว่าไม่มี 
2. ไม่มีใบปริญญา ไม่ได้แปลว่า ชีวิตจะไม่ประสบความสำเร็จ หรือ รวยไม่ได้
3. การยึดติดใบปริญญา บางครั้งอาจจำกัดให้เรามองแค่จุดนั้น ทั้งที่ตัวเราอาจมีความสามารถมากกว่านั้น
4. เราใช้เวลาแค่ 4 ปีเรียนปริญญา ความรู้แค่ตรงนั้นอาจพอให้ได้เงินเดือนขั้นต้น แต่อาจไม่พอให้เรารวย
5. ยุคก่อนใช้ใบปริญญาตัดสินคน แต่ยุคนี้วัดที่ความสามารถจริงๆ
6. อย่างไรก็ตาม เรียนให้จบปริญญา ..ก่อนที่กระบี่จะอยู่ใจ คุณต้องเริ่มฝึกกระบี่ก่อน !!

-- ความรู้ต่างๆ เราเรียนเพื่อที่จะทิ้ง ไม่ใช่เรียนที่จะจำ และคงเหลือเพียง "ความเข้าใจ"

ไม่ได้มีวิธีเดียว ในการขึ้นเขาเหลียงซาน

"ไม่ได้มีวิธีเดียว ในการขึ้นเขาเหลียงซาน" ...จริงๆ มันมี 4 ข้อคิดบนทางมืด !!

คนไทยส่วนใหญ่ จะคิดว่า มีทางเดินทางเดียวสู่เขาเหลียงซาน ...ก็คือ ต้องเดินเหมือนคนส่วนใหญ่ ทำเหมือนคนส่วนใหญ่ ...แล้วไงล่ะ ในเมื่อทุกคนมีเวลาชีวิตเท่ากัน -- ถ้าคุณทำเหมือนคนส่วนใหญ่ เดินเหมือนคนส่วนใหญ่ แล้วคุณจะเก่ง และ สำเร็จ กว่าคนส่วนใหญ่ได้อย่างไร ?

ใช่!! ในเมื่อมนุษย์เรามีเวลาเท่ากัน ...ถ้าเราอยากได้ผลลัพธ์ชีิวิตที่แตกต่าง เราก็คงต้องเลือกทางเดินที่คนส่วนใหญ่ไม่เดิน ... "ถ้าคนส่วนใหญ่เดินทางขวา ...คุณลองเดินทางซ้ายดูซิ !!"

อ้าว!! ทำไมไม่เดินล่ะ ? -- ก็ทางมันมืดอ่ะครับ ..กลัวฮะ Fear จัง !!

ก็นั่นแหละ ก็เพราะทางมันมืดไง มันไม่รู้ว่า มีอะไร ...ทางซ้าย ไม่มีกำหนดว่า จบปริญญาตรีแล้วได้ หมื่นห้า ..ทางซ้าย ไม่จบปริญญา แล้วได้เดือนเป็นแสนก็ได้ ..เป็นล้านก็ได้ หรือ ศูนย์ก็ได้ ...นี่ไง ..มันมืด มันเลยมันส์ ...555

4 ข้อคิด บนทางมืด
1. ทางที่คนส่วนใหญ่ไม่เดิน ไม่ใช่ไม่มีทาง แต่มันแค่ดูไม่น่าเดิน ..ลองเดินดิ มันส์ !!
2. ทางมืด คู่แข่งน้อย ...คนเดินสายนี้ คุณต้องเป็นผู้นำ อย่างน้อย ก็ต้อง นำตัวเองล่ะ !!
3. ทางมืด มีโอกาสแซง คนอื่นได้ เพราะ "รถไม่ติด ไม่ต้องข้ามหัวใคร ..คุณฉีกมากๆ"
4. ทางมืด น่ะล้มง่าย ...เจ็บ แต่ได้เรียนรู้ -- หลายคนน่ะไม่รู้ว่า คนที่โคตรเก่งยุคนี้ ไม่ใช่เพราะผมแค่อ่านหรือเรียนเยอะ แต่เพราะ เขาแผลเยอะ ...ล้มโคตรเยอะ ...แถมล้มในทางที่คนอื่นไม่เดิน ..พอล้มแล้วต้องลุกขึ้นมาเอง ..นั้นแหละเลยเก่ง !!

...เอาล่ะ เชิญชวน พี่น้อง ...นักสู้ เลี้ยวซ้ายมาเดินทางสายนี้กัน ...ผู้นำ "ตัวเอง"

จัดไป !!

ผมต้องทำหนึ่งอย่างที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ

"ผมต้องทำหนึ่งอย่างที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ !!" ...อันนี้คือ หลักปฏิบัติของผมเลย

เพราะ ผมเชื่อว่า ถ้าเราต้องการให้ชีวิตดีขึ้น ก้าวหน้าขึ้น มันก็ต้องกล้าทำอะไรที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ "Dare to Do - One Thing Every Year"...ผมถึงวางกฏกับตัวเองว่า "ผมต้องทำหนึ่งอย่างที่ปีที่แล้วไม่กล้าทำ !!"

คุณว่าแปลกไหม ที่คนส่วนใหญ่ อยากให้ชีวิตดีขึ้น ชีวิตเปลี่ยน แต่กลับ "ทำเหมือนเดิม" --ตรงๆ นะ "ฝันโคตรเด็ก!!" ถ้าทำอะไรเหมือนเดิม ผลลัพธ์มันจะเปลี่ยนได้อย่างไร

คำถามที่เจอคือ "แล้วถ้าไม่สำเร็จ ยิ่งไม่เสีย Self แย่เหรอ ?"

 ...ไม่เลยครับ เพราะ ผมเอง ทุกปีที่ทำอะไรแปลกๆ ใหม่ๆ ส่วนใหญ่ ไม่สำเร็จ ..แต่สิ่งที่น่าสนใจคือ พอผมล้ม มันก็ไม่ได้เสียหายอะไรมาก เพราะ สิ่งที่ผมอยากทำใหม่ๆ ในแต่ละปี แม้จะเปิดธุรกิจก็เริ่มแบบแทบไม่ใช้เงินสักบาท ...ไอ้การล้มเบาๆ ทุกปี นี่แหละ ที่ทำให้ผมเก่งขึ้น แกร่งขึ้น เข้าใจโลกมากขึ้น

"ผมไม่หวงครับ ...ใครจะเอาเคล็ดลับนี้ของผมไปใช้ก็ได้ ...โคตร Work ครับ บอกเลย !!"

จัดไป !! 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ