แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 13 ธันวาคม พ.ศ. 2563

7 ข้อ เร่งพอร์ตหุ้นโตไวในปี 2021

 7 ข้อ เร่งพอร์ตหุ้นโตไวในปี 2021


ปีนี้ถือเป็นปีที่หุ้นผันผวนมาก แต่ใครก็ตามที่กล้าซื้อช่วงที่คนส่วนใหญ่กลัว คือ ช่วงต้นปี กับช่วงปลายปี ..พอร์ตน่าจะบวกแบบดีเลยทีเดียว


แล้วปี 2021 เราควรทำยังไง ให้พอร์ตโตไว โตต่อไปมาดูกัน 


1. ‘หลักการออมหุ้น ยังใช้ได้เหมาะกับตลาดปัจจุบัน’ ...ตลาดปัจจุบันจะเห็นเลยว่า ไอ้หุ้นที่ขึ้น มันสามารถขึ้นได้แบบไร้เหตุผล ขึ้นอย่างบ้าคลั่ง หรือ ที่เขาพูดว่า ‘หุ้นมันขึ้นจนคุณต้องร้องขอชีวิต ...กรูไม่ไหว ทนรวยไม่ไหวแล้ว ขอขายก่อนนะ !!’ ....ออมหุ้นคือ ซื้อเมื่อถูก ซื้อตอนคนกลัว ซื้อตอนหุ้นลงแรง จากนั้นก็ถือๆ ทนรวยไป ...ยังใช้ได้ต่อในปีหน้าครับ


2. ‘การแหย่ ยังเป็นหลักจิตวิทยาการลงทุนที่สำคัญ’ ...คนที่ตกรถ ไม่ได้เข้าส่วนใหญ่ คือ รอให้ถูกที่สุด ซึ่งมันไม่มี สุดท้ายก็เลยไม่ได้เข้าเลย ...ทางแก้ในเชิงจิตวิทยาก็คือ ‘การแหย่’ ครับ ...เข้าไปเลย!! เข้าน้อยๆ ก่อนก็ได้ ขอให้กล้าซื้อ ...อันนี้จะช่วยในเชิงจิตวิทยาการลงทุน ให้เราเข้าใจหุ้นได้ดีขึ้น


3. ‘การพร่อง จะช่วยเรื่องการทนรวย ไม่หมูจนเกินเหตุ’ ...มือใหม่ กับ การขายหมู ในตลาดขาขึ้น เป็นเรื่องปกติ ...อุตส่าห์ถือมาตั้งนาน พอหุ้นขึ้นนิดเดียวก็ขาย จากนั้น หุ้นก็วิ่งไปต่อไกลๆ แบบไม่มีเรา ...ทางแก้ คือ ‘ขายบางส่วน เมื่อหุ้นวิ่งชนแนวต้านที่สำคัญ’ ...ขายบางส่วน จะช่วย ถ้าขายแล้วหุ้นย่อลงมา เราจะรับมือได้ง่ายขึ้น เพราะ เรามีกระสุนนั่นเอง


4. ‘หุ้นเล็ก ยังจะเป็นพระเอกในปี 2021’ ...ปลายปีนี้หุ้นใหญ่เป็นพระเอก เพราะ กองทุนและเงินไหลเข้า ...แต่ปีหน้า มันจะเป็นอีกปีที่โดดเด่นของหุ้นเล็กครับ ...เอาว่า มีหุ้นเล็กติดพอร์ตไว้บ้างนะ


5. ‘การอ่านพื้นฐานจะยากหน่อย ให้ใช้การบริหารพอร์ตเพื่อคุมความเสี่ยงแทน’ ...เอาตรงๆ ตั้งแต่ปีนี้ ใครใช้พื้นฐานอย่างเดียว ผมว่า ตกรถ ไม่ได้เข้าหุ้นหรอก เพราะ หุ้นกับพื้นฐานช่วงนี้ มันไม่ได้ไปด้วยกัน ...ใครคิดจะลงทุนภาวะนี้ ลองยืดหยุ่นสักนิดครับ จะเห็นโอกาสที่ดีกว่า ...แต่กระจายหน่อยเพื่อคุมความเสี่ยง


6. ‘ปีหน้าจะเป็นปีแห่งการ Leverage ใช้ได้ แต่ต้องระวัง’ ...ช่วงวิกฤตคนจะลด Leverage ลดมาร์จิ้น ลดบล็อก ลดทุกอย่าง ...แต่พอ Volume ตลาดมา พวกเครื่องมือ Leverage จะใช้กันหนักมาก โดยเฉพาะรายใหญ่ ...รายย่อยก็ใช้ได้ครับ แต่ให้คุมความเสี่ยงดีๆ อย่า Over trade เพราะ ถ้าใช้ Leverage เยอะไป พอร์ตแตกได้ !! 


7. ‘อารมณ์ตลาด เป็นสิ่งที่เราต้อง master ในภาวะนี้’ ...อารมณ์ตลาดคือ หุ้นขึ้นบางทีไม่มีเหตุผล แต่มันก็ขึ้นไปเรื่อยๆ แบบนี้เราอาจต้อง ถือตาม ไปขายเมื่อมันไปต่อไม่ไหว ...อยากจะบอกว่า บางครั้งเหตุผล ก็ใช้ไม่ได้ในบางช่วง ...เช่น น้ำมาแรง บางทีก็แค่ตามน้ำ ไม่ต้องมาหาเหตุผลว่า ..ด้วยความรู้ระดับ ivy league ที่ผมศึกษามา น้ำไม่น่าจะมาในฤดูนี้นะครับ ...’กว่าเหตุผลจะชัดเจน ทุกอย่างมันก็จบ รวมทั้งชีวิตเราด้วย’ 


เอาใจช่วยให้ปี 2021 เป็นปีลงทุนที่ดีของคุณนะครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 12 ธันวาคม พ.ศ. 2563

ธุรกิจรุ่นใหม่เริ่มจากคนที่รักเรา

 ‘ธุรกิจรุ่นใหม่ เริ่มจากคนที่รักเรา’


..การทำธุรกิจในอดีตเราจะเน้น ขาย ขาย และ ก็ขาย ..พอมีคู่แข่ง ก็ ลดราคาแข่งกัน ...จากนั้น นักการตลาดก็เข้ามา ผนวก ลด แลก แจก แถม ..จนมาถึงยุค influencer ในปัจจุบัน ‘ยุคเพื่อนแนะนำ ทรงพลังที่สุด!!’ 


1. ‘การสร้างธุรกิจในปัจจุบัน ต้องเริ่มจากลูกค้าที่รัก’ ..ถ้าทำสินค้าแค่ให้คนชอบ มันเกิดยากในยุคนี้ เพราะคู่แข่งเยอะ ...โจทย์แรกต้องสร้างสินค้าให้คนที่รัก ...ซึ่งแปลว่า เราต้องเลือกกลุ่มลูกค้าที่เฉพาะเจาะจงมากๆ เช่น คนรักแมว , คนรักการวิ่ง , คนรัก... ..ก็เริ่มจาก Passion เฉพาะนั่นแหละ


2. ‘สินค้าต้องบ่งบอกตัวตนของผู้ซื้อ’ ...สินค้ามี 2 แบบ หนึ่ง คือ ซื้อด้วยเหตุผล และ สอง คือซื้อด้วยอารมณ์ ...ถ้าขายกลุ่มเฉพาะ ต้องเจาะไปที่อารมณ์ในการซื้อเป็นหลัก ...เช่น ถ้าคุณซื้อกระเป๋าหนังธรรมดา อันนี้เหตุผล แต่ถ้าซื้อ Brandname อันนี้ต้องใช้อารมณ์ละ 


3. ‘ธุรกิจต้องขยายง่าย’ ...ธุรกิจแบบใหม่จะเน้นการ Scale คือ ขยายง่าย เช่น มีการออนไลน์ในสัดส่วนที่สูง การขยายก็ทำได้ง่ายขึ้น ...เป้าหมายของการขยายง่าย เพื่อให้เกิด Network Effect คือ ยิ่งลูกค้าเยอะ กำไรยิ่งโตก้าวกระโดด (ธุรกิจแบบเก่งจะโตแบบ Linear แต่ธุรกิจรุ่นใหม่จะโตแบบ Exponential) 


4. ‘ใช้ Leverage ให้มากที่สุด’ ...Leverage คือ ออกแรงน้อย แต่ให้ผลรับเยอะๆ ...ซึ่งโลกยุคใหม่ เรา Leverage ได้ทั้งใน ด้าน Finance , Business Operation รวมทั้ง Communication ....การเงิน เช่น การระดมทุนที่มากกว่าแค่กู้ธนาคาร ไปจนถึงการใช้ตลาดทุนในการระดมทุน , การสื่อสาร ตรงนี้ที่ influencer มีบทบาทในธุรกิจปัจจุบันค่อนข้างมาก 


5. ‘ทำเรื่องดี ต่อสังคม’ ...ปัจจุบันธุรกิจต้องดีต่อสังคม รวมทั้งสิ่งแวดล้อมด้วย ...ใช่!! มันหมายถึง ต้นทุนที่สูงขึ้น ...แต่มันสร้างภาพลักษณ์ที่ดี ซึ่งทำให้สามารถตั้งราคาที่สูงขึ้นได้เช่นกัน ...ต้องตอบให้ชัดว่า สินค้าและบริการของฉัน มันทำให้โลกเราดีขึ้นยังไง ?


6. ‘ลูกค้าที่มีปัญหาคือลูกค้าที่ได้รับการดูแลดีที่สุด’ ..อันนี้เป็นตลกร้าย เพราะ มันคือความจริงในทุกธุรกิจ โดยเฉพาะธุรกิจที่เกี่ยวข้องกับการบริการ ...ลูกค้ายิ่งงี่เง่า ยิ่งได้รับการบริการดีที่สุด ...ใครทำธุรกิจยุคนี้ ต้องเริ่มวางแนวทางแก้ปัญหา ลูกค้าที่มีปัญหา ตั้งแต่เริ่มธุรกิจกันเลย ...เพราะปัญหาเล็กๆ มันอาจลุกลามจนเป็นปัญหาใหญ่ได้รวดเร็วมาก


เอาใจช่วยนักธุรกิจรุ่นใหม่ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 11 ธันวาคม พ.ศ. 2563

7 ข้อ พ่อสอนว่า เกษียณยังไงให้มีสุข

 พ่อสอนว่า ‘เกษียณอย่างไรให้มีสุข’ 


...พ่อผม เกษียณ ตั้งแต่อายุ 40 กว่าๆ (นับถึงวันนี้ก็เกษียณมาแล้วเกือบ 30 ปี!!! ...เจสสส !!..ยังชิวอยู่!!) ...ต้องยกให้เขาว่า เขาเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านการเกษียณเลยทีเดียว 


หลายคนมองการเกษียณว่า ‘ไกลตัว!!’ ..ฉันอายุยังน้อย อย่าไปคิดให้มันปวดหัว ...ฮึม!! ตรงๆ นะ ...มันเป็นเรื่องที่ต้องคิด ยิ่งเราวางแผนเร็ว การเกษียณยิ่งเป็นความสุข 


1. ‘แยกให้ออกว่า เกษียณ กับ พักผ่อน มันคนละเรื่องกัน’ ...คนส่วนมากจะบอกว่า ถ้าเกษียณจะเที่ยวรอบโลก เที่ยวไปเรื่อยๆ ใช้เงินไปวันๆ ...ฮึม!! คุณเข้าใจผิดละ ...นั่นมันคือ พักผ่อน ...ทำงานหนัก พอวันหยุดเราก็อยากพักผ่อน ‘เหมือนวิ่งมาเหนื่อยก็พัก แล้วมีความสุข แต่ไม่ใช่เราจะพักชั่วชีวิต จริงไหมล่ะ !!’ 


2. ‘หาให้เจอว่า อะไรคือความสุขจากเรื่องเล็กๆ’ ...บางคนอาจจะเป็น การได้ล้างรถ , ลดน้ำต้นไม้ , วิ่งในสวนสาธารณะ ...อะไรก็ได้ ที่มันไม่ต้องมีข้อแม้มากในการทำ ...ความสุข ยิ่งเรื่องเล็ก ยิ่งง่าย คนๆ นั้นก็จะยิ่งมีความสุข 


3. ‘มี รายได้ จากสินทรัพย์ อย่างเพียงพอ’ ...เรื่องนี้เป็นการวางแผนระยะยาว ที่ใช้เวลาสร้าง 10-20 ปี ...คนที่วางแผนสร้าง สินทรัพย์ ให้ทำงานแทนเรา ยิ่งเริ่มเร็ว ยิ่งได้เปรียบ ...ยกตัวอย่าง คุณจะมานั่งเทรดหุ้นชั่วชีวิตคงไม่ใช่ ...แต่เราสามารถซื้อหุ้นดี แล้วรับปันผลชั่วชีวิต อันนี้สบายกว่า 


4. ‘มีงานที่ชอบ ที่สร้างรายได้’ ...คนส่วนใหญ่จะรู้จักแต่ งานที่ชอบ ที่เสียเงิน ....นั่นเรียกว่า ‘งานอดิเรก’ มันแค่เหมาะกับคนที่ยังทำงานอยู่ แต่สำหรับคนที่ไม่ทำงานแล้ว เราต้องหา ‘คุณค่าใหม่ของตัวเรา’ ...งานชอบ ที่ทำเงินด้วย !!


5. ‘ออกกำลังกายอย่างสม่ำเสมอ’ ..อันนี้ไม่มีข้อยกเว้นเลย ...ยิ่งเกษียณแล้ว ยิ่งต้องมีวินัยในการออกกำลังกาย ...คุณต้องออกกำลังกาย สม่ำเสมอ และ ทำมันแทนงานประจำเลยแหละ ...นี่คือ สิ่งที่สำคัญที่สุดเพื่อชีวิตที่สุขภาพดีและมีความสุข


6. ‘หากิจกรรมทำเพื่อคนอื่น โดยไม่หวังผลตอบแทน’ ...อันนี้เรียกว่า ‘คุณค่าของเรา’ ...คนเรามีค่า เพราะ เรามีค่าต่อคนอื่น ...หากิจกรรมเพื่อคนอื่นบ้าง โดยไม่หวังอะไรตอบแทน อันนี้จะช่วยให้เรามีความสุขอย่างเหลือเชื่อ ...ลองดูซิ 


7. ‘ใส่ใจเรื่องเล็กๆ ให้เป็นนิสัย’ ...ตอนเราตอนอายุน้อยๆ เราอยากเปลี่ยนโลก ...แต่พอเราอายุมากขึ้น เราก็รู้ว่า โลกมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลาอยู่แล้ว แม้จะไม่ต้องมีเราก็ได้ ...ดังนั้น เราจึงควรทำเรื่องดีๆ เล็กๆ น้อยๆ ตลอดเวลา เพราะ จริงๆ แล้ว เรื่องที่สำคัญที่สุดในชีวิตก็คือ เรื่องของความสัมพันธ์และครอบครัว ...และการทำให้ความสัมพันธ์ดี ครอบครัวมีสุข ก็คือ การใส่ใจเรื่องเล็กๆ ให้ดีที่สุดนั่นเอง


ทั้ง 7 ข้อนี้ ใครวางแผนได้เร็ว คุณยิ่งได้เปรียบครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


9 หลัก คัดหุ้นดี ปี 2021 จัดไป

 ‘อนาคตหุ้นไทย ไม่ใช่เทค แต่เป็น consumer !!’


วันนี้ไปทางไหนก็มีแต่คนพูดถึงหุ้นเทค ...น่าเบื่อมาก !! ..โอเคเข้าใจนะว่า วันนี้มันเป็นหุ้นที่ขึ้นมากที่สุดหลัง covid แต่ถ้าใครจะเพิ่งมาซื้อวันนี้ มันช้าไปแล้ว !!


ถ้าเรามาสังเกตคนที่กำไรเยอะๆ จากหุ้น หลายๆ เด้ง มักเป็นคนที่ ‘ซื้อนำเทรนด์ หรือ ก่อนที่ใครๆ จะพูดถึง’ ...แต่คนส่วนใหญ่ที่เสียหาย ติดดอย มักเป็นคนที่ซื้อตามเทรนด์ (ซื้อตามคนอื่น ถือเป็นเรื่องต้องห้ามในตลาดหุ้น เพราะ เราอาจติดดอย ถึงแม้จะซื้อหุ้นดีก็ตาม) 


มาพยายามค้นหากะนดีกว่าว่า ปีหน้า อะไรคือหุ้นที่จะนำเทรนด์ ในตลาดหุ้นไทย ?


1. ‘ต้องขายรายเล็ก ไม่ใช่ขายรายใหญ่’ คือ ผมเลือก B2C ไม่เอา B2B ...เพราะ ขายรายใหญ่ มันกำไรน้อย แต่ขายลูกค้า C (Consumer) กำไรดีกว่า

...ผมว่า ไทยเราเดินตามจีน ...วันนี้เศรษฐีรุ่นใหม่จีน รวยจากธุรกิจ consumer ในประเทศ เราก็น่าจะคล้ายๆ กัน 


2. ‘ขอเป็นธุรกิจตัวเล็กหน่อย’ ..อันนี้พูดถึง Market cap. ...เอาตรงๆ นะ ธุรกิจใหญ่มันมั่นคงจริง แต่ Growth มันไปยาก ...ถ้าคุณเป็นรายใหญ่แล้ว การโตมันจำกัด พวกนี้ถือกินปันผลน่ะดี แต่ถ้าหวังโตหลายๆ เด้งคงยาก


3. ‘เจ้าของเป็นคนรุ่นใหม่’ ..หลายคนพูดว่าคนรุ่นใหม่ชอบเสี่ยงเกินไป ...แต่ผมว่า มันเหมาะกับธุรกิจยุคนี้นะ ..ถ้าคุณจะ conservative แบบคนรุ่นก่อน ก็พอจะเข้าใจได้ ถ้าคุณทำธุรกิจผูกขาดหรือกิจการขนาดใหญ่ แต่ถ้าคุณอยากจะโต อยากจะขยายตลาด คุณต้องกล้าเสี่ยง (อายุต่ำกว่า 50 เอาบริษัทเข้าตลาด ผมถือว่า ยังรุ่นใหม่นะ ถ้าเป็นธุรกิจครอบครัว ต้องเป็น gen 2 หรือ gen 3 คุมนะ เป็น Decision Maker หลักถึงจะโอเค)


4. ‘รู้จักใช้ความได้เปรียบจากตลาดทุน’ ...เศรษฐีอายุน้อยทุกคน อาศัยตลาดทุน ในการสร้างตัวให้เร็ว ...ถ้ารอให้โตแบบ Organic มันช้าไปสำหรับยุคนี้ ...มันต้องรู้จัก การ ซื้อธุรกิจ การควบรวม การใช้เงินทุนราคาถูก มาสร้างการเติบโตแบบก้าวกระโดด (ใครเข้าตลาดหุ้นมาเพื่ออยู่เฉยๆ ผมว่า เราไปซื้อหุ้นแบงค์ถือสบายใจกว่า)


5. ‘นำเข้า สบายกว่า ส่งออก’ ...แต่ก่อนบ้านเรานำโดยธุรกิจส่งออก แต่ถ้าค่าเงินบาทแข็งแบบนี้ ...ส่งออกจะเหนื่อยมาก 


6. ‘ไม่ต้องถึงกับเป็นเทค แต่ต้องใช้เทคโนโลยีได้อย่างดี’ ...เมืองไทยเราอาจสู้ธุรกิจ Deep Tech กับอเมริกา และ จีนไม่ได้ ...แต่ธุรกิจที่ดีต้อง Adopt Technology เป็นส่วนสำคัญของธุรกิจ เพื่อให้ธุรกิจไม่ตกเทรนด์กับคนรุ่นใหม่ ...รวมทั้ง การใช้ เทคโนโลยีทำให้ต้นทุนการทำธุรกิจถูกลง สร้างความได้เปรียบในการแข่งขัน เช่น ขายผ่านออนไลน์ในสัดส่วนที่สูง , มีหน่วยงาน Online Support ที่แข็งแรง


7. ‘เป็นเจ้าของ Brand’ ...หมดยุคของการรับจ้างผลิตไปแล้ว ...ยุคนี้ต้องเป็นเจ้าของ Brand ถึงจะพอเอาตัวรอดได้ 


8. ‘มีการสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ ตลอด’ ...สมัยก่อนคิดสินค้าได้หนึ่งอย่างก็สบายไปทั้งชีวิต แต่วันนี้ไม่ใช่ ...ถ้าไม่มีความสามารถในการสร้าง New Product จะไม่สามารถเป็น Super Stock ได้เลย


9. ‘อยู่ในอุตสาหกรรมที่ได้เปรียบจากสภาพแวดล้อม’ ...เช่น สถานการณ์เอื้อ หรือ นโนบายมาสนับสนุนธุรกิจ


สังเกตว่า ผมให้ความสำคัญกับ ภายใน 8 ข้อ ..ให้ความสำคัญกับภายนอกแค่ 1 ข้อ ...แต่ไม่ได้หมายความว่า 1 ข้อไม่สำคัญ ...จริงๆ แล้ว ข้อ 9 สำคัญมากที่สุด เวลาเราอยากรวยแบบก้าวกระโดด 


‘ยุคนี้ คนเก่ง ก็ส่วนนึง ...แต่สำคัญที่สุด คุณต้องอยู่ถูกที่ ถูกเวลา’ ...ไม่ต้องเก่งมากก็ได้ แต่ถ้าอยู่ถูกธุรกิจ อาจรวยไม่รู้เรื่องก็ได้ 


สรุป ปีหน้า ...ผมเริ่มหาหุ้นเข้าพอร์ตผมละ ...คุณต้องรีบทำการบ้านคัดหุ้นเข้าพอร์ตกันดีๆ นะครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันอาทิตย์ที่ 6 ธันวาคม พ.ศ. 2563

6 กฏของโอกาส ที่คุณควรรู้

 กฏของโอกาสที่ทุกคนควรรู้


..เราทุกคนต่างมุ่งมั่นเพื่อคว้าโอกาสในชีวิต แต่มีไม่กี่คนที่จับมันได้ ..เอามันอยู่ ..แล้วส่งต่อโอกาสนั้นให้คนต่อไป 


มาดูกันดีกว่าว่า กฎของโอกาสที่ว่านี้คืออะไร ?


1. ‘โอกาสมักเข้ามาในเวลาที่เราไม่พร้อม’ ...ถ้าเรารอให้เรารู้สึกพร้อม โอกาสมันก็จะผ่านไปเรียบร้อยแล้ว ...ให้รู้ไว้ว่า บางครั้งถ้าเราต้องโดดเข้าไป มันต้องลองสักตั้งนึงครับ !!


2. ‘โอกาสมักห่อหุ้มด้วยวิกฤตเสมอ’ ...สาเหตุที่คนส่วนใหญ่มักบ่นว่า ไม่มีโอกาสในชีวิต ก็เพราะ มัวแต่วิ่งหนีวิกฤต วิ่งหนีความเสี่ยง ...เลิกหนีครับ !! ...วิกฤตมาเมื่อใหร่ เราต้องเป็นคนที่ยกมือขึ้น แล้วบอกว่า ...งานนี้ผมรับเอง !!


3. ‘ถ้าครั้งนี้ไม่ได้ ก็ไม่ได้แปลว่าไม่มีครั้งต่อไป’ ...ยกตัวอย่างตลาดหุ้น วิกฤตมาเรื่อยๆ เลย ...คนส่วนใหญ่หนีกันหมด แต่กลายเป็นว่า ทุกครั้งมันเกิด Super Stock และสร้างเศรษฐีใหม่ตลอด ...ถ้ารอบนี้ไม่ได้ ...เดี๋ยวรอสักพัก วิกฤตรอบใหม่ ก็มาอีก ...สบาย!! ...งานยากๆ ส่งมา ...คนอื่นไม่ทำ ผมทำเอง !!


4. ‘ความล้มเหลวคือคะแนนของชีวิต’ ...ทุกคนเคยพลาด แต่ถ้าพลาดหนักๆ เขาเรียกล้มเหลว ...คนส่วนใหญ่จะเลิกตรงจุดนี้ ...ไอ้พวกบ้า ที่ลุกขึ้นมา แล้วเดินต่อ ก็คือ คนที่สำเร็จอย่างสูงในโลกความเป็นจริง ...ในโรงเรียนมักสอนให้เราหนีความเสี่ยง ...แต่ในชีวิตจริง มันสอนให้เราบริหารความเสี่ยง ‘ไม่หนี แต่คิดวิธี ควบคุมแล้วอยู่กับความเสี่ยง’ 


5. ‘การที่เราคิดตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ มันไม่ได้แปลว่าเราผิด’ ...ถ้าคนส่วนใหญ่บอกว่า ควรเลี้ยวซ้าย ...ผมจะมองไปทางขวา แล้วพยายามศึกษาว่า ทำไมทางขวาถึงไม่น่าไป ...บางครั้งมันก็ไม่น่าไปจริงๆ ...แต่บางครั้ง มันคือ จุดเปลี่ยนชีวิตเลยก็ว่าได้ 


อย่างการลงทุน ที่ผมกำไรเยอะๆ ได้หุ้นหลายเด้ง ก็คือ ครั้งที่ผม ซื้อสวนคนส่วนใหญ่นั่นเอง


6. ‘ถ้าเราได้รับโอกาส แต่ไม่ส่งต่อโอกาส มันจะค่อยๆ หายไป’ ...คนที่พยายามเก็บ กั๊ก โอกาสไว้กับตัว ไม่ยอมส่งต่อโอกาส สุดท้ายจะไม่เหลือโอกาสอีกต่อไป ....นี่คือ หลักธรรมชาติ ...ยิ่งพยายามกวักน้ำเข้าตัวมันยิ่งไหลออก ...แต่พอเราเริ่มดันออก มันยิ่งไหลเข้า ...การส่งต่อ จึงเป็นศิลปะ ของการสร้างโอกาสที่ยั่งยืน


ในการทำธุรกิจ ..คนที่รวยและเข้าใจมันแล้ว ควรถ่ายทอดความรู้ให้คนอื่นต่อไป ‘ยิ่งคุณสอน คุณยิ่งเข้าใจ ...เมื่อคุณให้ คุณยิ่งเติบโต’ 


ทั้ง 6 ข้อนี้ มันเปิดโอกาสให้ผมในตลาดหุ้น ...และผมเชื่อว่า มันสามารถปรับใช้กับธุรกิจและการลงทุนอื่นๆ อีกมากมาย


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 5 ธันวาคม พ.ศ. 2563

เทรดให้สุด แล้วไปหยุดที่พอร์ตระเบิด

 ‘อัตราทด พาเราไปสู่อิสรภาพได้เร็วขึ้น อย่างไร ?’


..การ Leverage หลักๆ ก็คือ ใช้เงินน้อย สอยเงินใหญ่ ...มีเงิน 1,000 บาท แต่เก็งกำไรได้ในฐาน หมื่น แสน ได้ 


ผมเจอน้องๆ หลายคน ไปลงทุนต่างประเทศอย่าง Forex , cryto และ หุ้นต่างประเทศ กันเยอะขึ้น ...สาเหตุหลักๆ ที่เขาบอกคือ ‘ใช้เงินน้อยกว่า และ มันกำหนดอัตราทด Leverage ได้มากกว่า’ 


อย่างในตลาดหุ้นไทย สินค้าที่ Leverage ได้ อย่างหุ้น ก็ประมาณ 2 เท่า ของเงินที่เรามี ...พอไป DW หรือ Block Trade อันนี้ไปได้ถึง 10 เท่า ละ ...คือ มี แสน แต่ยืมเงินโบรคเกอร์ ไปเก็งกำไรเงินล้าน ว่างั้น 


..เอาเป็นว่า ตกลง ยิ่งเราพร้อมเสี่ยง จะทำให้เรารวยเร็วขึ้นใช่ไหม มาดูกัน 


1. ‘การ Leverage สูงขึ้น ก็คือ การยืมเงินคนอื่นมาเล่นหุ้น’ ...เหมือนเราขับรถเร็ว ถ้าเราขับปลอดภัยย่อมไปถึงจุดหมายเร็วกว่าคนขับรถช้า 


2. ‘คนขับรถเร็ว มีความเสี่ยงมากกว่า แต่ต้องรู้ Limit’ ...ปัญหาของการ Leverage หรือ การยืมเงินโบรคเกอร์มาเล่นหุ้น คือ พอได้เงินเร็วมันจะติดใจ ...จากนั้น เราจะเหยียบคันเร่งมากขึ้นไปอีก จนมันเกิน Limit ความปลอดภัย นั่นแหละ ‘พอร์ตแตก หรือ พอร์ตระเบิด’ 


3. ‘เราจะรู้ Limit ที่เหมาะสมของการ Leverage ได้อย่างไร’ ...นี่คือ คำถามที่ยากมาก ...ก็เหมือนคนขับรถเร็ว คนนั้นต้องรู้ว่าความเร็วเท่าไหร่ ที่ฉันและรถของฉันเอาอยู่ ...บางคน 80 ก็เอาไม่อยู่ บางคน 120 ยังสบายๆ ...แต่ถ้าเกิน 200 ตลอดทาง ยังไงมรึงก็เอาไม่อยู่ !! ....ยกตัวอย่าง ถ้าคุณ Leverage 10 เท่า ก็คือ เทรดหุ้น 1,000,000 บาท แต่วางเงินแค่ 100,000 บาท (นอกนั้น ยืมโบรคเกอร์) ...แปลว่า ถ้าหุ้น ลงแค่ 10% เท่ากับว่า เงินที่เราวางเหลือ 0 ทันที ...นี่แหละ ที่เห็นคนพอร์ตแตก พอร์ตระเบิด ก็เพราะแบบนี้ ....ก็ใช่ หุ้นมันแกว่ง 10 % บ่อยมาก แปลว่า ใคร Leverage ในอัตราแบบนี้ มีโอกาสเจ๊งสูงมากๆ 


ก็ที่เล่าเรื่องนี้ เพราะ ปีนี้ มีมือใหม่เข้ามาลงทุนเยอะ ...พยายามเรียนรู้ให้มาก อย่าเพิ่งรีบเพิ่มเงิน ให้เราเข้าใจมันจริงๆ ก่อน


ไว้มีโอกาสจะมา เล่าเรื่องของ การ ‘เร่งพอร์ต’ แบบลึกๆ อีกที ...แต่ขอเตือนว่า คนที่อยากเร่งพอร์ต ควรมีประสบการณ์ในตลาดหุ้นมาแล้วในระดับหนึ่ง ...เคยติดดอย เคยขาดทุน เคยขายหมู มาแล้ว ถึงจะดีครับ !! 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 29 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

7 ข้อ สูตรสำเร็จของผู้ยิ่งใหญ่ในอนาคต

 ‘ใช้ชีวิตให้เหมือนกับหนังผจญภัยสักเรื่องนึง’ 


บางทีเราก็มาตั้งคำถามกับชีวิต ว่า ..จริงๆ เราควรจะใช้ชีวิตอย่างไร ดีที่สุด ?


ในความคิดของผม ...”ผมอยากใช้ชีวิต แบบที่คนเขาอยากจะเอาชีวิตเราไปสร้างหนัง หรือ เอาไปเขียนหนังสือ” 


...ชีวิตที่น่าจะเอาไปสร้างหนัง คงไม่ใช่แบบว่า ..เด็กคนหนึ่งเกิดมารวย และ เขาก็เรียนเก่ง และ เขาก็เป็นเด็กดี ...จากนั้นเขาได้เรียนโรงเรียนชั้นยอด ต่อด้วยมหาวิทยาลัยชั้นดี ...พอจบแล้วเขาก็แต่งงาน มีงานที่ดี มีครอบครัวที่มีความสุข ..จบ!!


...โห!! น่าเบื่อชิบหาย !!!


มันต้องแบบ ..เด็กคนหนึ่ง บ้านยากจน ลำบาก ...ต่อยกับลูก ผอ. โดนไล่ออก ...พ่อแม่ขายนา ส่งเรียนนอก ..พ่อเสียทิ้งหนี้ก้อนโตไว้เป็นมรดก ..หรือ แม่ป่วยกลับบ้านด่วน ...คือ มันต้องเจอ ความผิดพลาด เยอะๆ ..ล้มเหลวหลายที ...โหดๆ หน่อย ...เอาว่า plot ต้องประมาณนี้


7 ข้อ ‘สูตรสำเร็จ ของคนที่จะยิ่งใหญ่ในอนาคต’ 


1. ‘มีความฝันที่ยิ่งใหญ่’ ...ไม่ต้องถึงขั้นเปลี่ยนโลกหรอก เอาแค่ รักความก้าวหน้า มีเป้าหมาย และ มุ่งมั่น นี่แหละ เป็นจุดเริ่มที่ดีละ ....คนที่ยิ่งใหญ่ ไม่มีสายกลาง มีแต่สายสุด ...ทำอะไรมันสุด ...เพราะ ความสำเร็จ กับ ความสุข ในชีวิตจริง มันอยู่คนละสาย


2. ‘เจอวิกฤตแบบชีวิตเปลี่ยน’ ...ผมไม่เคยเห็นคนสุดยอดคนไหนที่ไม่เคยล้มเหลวหนักมาก่อน ...วิกฤตและความล้มเหลว เป็นครูคนแรกที่สำคัญมาก ...ใครเจอก่อน ตั้งแต่อายุน้อยๆ ถือว่าโชคดีจริงๆ 


3. ‘ต้องหาเงินเอง ตั้งแต่อายุน้อยๆ’ ..ใครเริ่มหาเงินเองก่อน ยิ่งโตเร็ว ...ฉลาด เข้าใจโลก ก็มาจากต้องหาเงินเองนี่แหละ (ลูกคนรวย จะลำบากหน่อย เพราะ พ่อแม่ คอยแต่จะให้เงินเรื่อย ...ทำให้เราเข้าใจโลกช้า)


4. ‘ต้องเดินทางไกลจากพ่อแม่’ ...อันนี้มันสอดคล้องกับข้อ 3 ...ถ้าห่างพ่อแม่ และ ต้องหาเงินเอง ...ยิ่งดี


5. ‘อยู่ต่างที่ ต่างแดน’ ...cross culture จะทำให้เราเป็นคนที่เปิดกว้าง ...คนส่วนใหญ่ มักจะเข้าใจวัฒนธรรมเดียว ...ถ้าใครอยู่ในหลายวัฒนธรรมจะมี mindset ที่กว้างว่า ยืดหยุ่นกว่า ...ลองดู startup ระดับโลก เกิดจากลูกหลานผู้อพยพแทบทั้งนั้น ...ไม่ต้องอะไรหรอก อย่างเมืองไทย เจ้าสัว ก็เชื้อสายจีนทั้งนั้น


6. ‘โดนโกง และ โดนหักหลัง’ ...การโดนโกง และ หักหลังที่แสบสุด คือ โดนจากคนใกล้ตัว ...ยิ่งโดนจากคนที่เราไว้ใจ หรือ โดนจากผู้ใหญ่ที่เคารพ ยิ่งโหดสุดๆ ...มันจะทำให้เด็กคนนี้ แกร่งมาก ...โชคดีจริงๆ !! 


7. ‘มีปัญหากับพระเจ้า’ ...คนที่เจอปัญหาชีวิตเยอะๆ หนักๆ ก็จะเริ่มมีปัญหากับพระเจ้า ว่า ...เฮ้ย!! ท่านมีปัญหากับผมหรือ ? ...ทำไมต้องกำหนดชีวิตและโชคชะตาที่โหดร้ายแบบนี้ให้ผมวะ ...? 


...แน่นอน ‘ไม่มีเสียงตอบรับ’ ..ไม่มีทางที่ดีกว่า ...ไม่มีแสงสว่าง 


แล้วไงต่อวะ ?


หลังจากเราเจอเรื่องที่เลวร้ายสุดๆ (ในความคิดเรา) เชื่อไหมว่า ‘บางคนเจอเรื่องหนักกว่ามึงอีก แค่เขาไม่ได้เล่าให้ฟังก็เท่านั้นเอง’ 


....หลังจากเรื่องร้ายสุดๆ ถ้าเราอดทนและเดินต่อ ชีวิตมันจะค่อยๆ ดีขึ้นอย่างช้าๆ 


...ช่วงชีวิตที่แย่มันโคตรนานเลย !! ...ก็เพราะ โลกมันกำลังทดสอบเรา ...ยิ่งเราโดน บีบอัด อย่างรุนแรง และ ยาวนาน ก็แปลว่า ‘คาร์บอนธรรมดาๆ อย่างเรา ..มันกำลังจากกลายเป็น เพชร!!’ 


...นี่แหละที่มาของคำพูดที่ว่า ‘แพ้เป็นถ่าน ผ่านเป็นเพชร’ 


ใช่!! ผมชอบศึกษาชีวิตคน ...จนพบว่า เด็กคนไหนก็ตามผ่านทั้ง 7 ข้อ ...เขามีชีวิตที่สนุกแน่ๆ และ ความสำเร็จก็อยู่ไม่ไกลละ ...คุ้มๆ ‘เกิดมาคุ้มครับ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 28 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เมื่อเราตัดสินใจ cut loss รอบใหม่ก็มาให้เราตกรถทันที

 ‘ทำไมคนติดดอย พอ Cut Loss ก็ตกรถต่อ ...สบายเงิบจริงๆ ตลาดหุ้น..ฮ่า ฮ่า’ 


ใครเป็นแบบนี้ยกมือขึ้นครับ !! 


...อย่าเสียใจ เพราะ คุณก็แค่เหมือนคนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นนั่นแหละ 


‘กว่าจะทำใจ Cut Loss ก็ถึงเวลาหุ้นขึ้นอีกครั้ง’ ...มาดูกันว่า มันเป็นเพราะอะไร ?


1. ‘เมื่อรายย่อย ขายหุ้นหมด ก็ถึงเวลาที่เขาจะเอาหุ้นขึ้น’ ...หุ้นจะขึ้นครั้งใหม่เมื่อรายย่อยยอม Cut Loss


2. ‘เวลาที่รายใหญ่กับเจ้าเก็บหุ้น ก็คือ ช่วงที่งบแย่ และ มีแต่ข่าวร้าย’ ...ซื้อหุ้นให้ถูก ก็ต้องภาวะที่คนส่วนใหญ่กลัวนั่นแหละ 


3. ‘หุ้นลงไหลๆ แบบไม่มี Volume เป็นช่วง บีบให้รายย่อยขายออกให้หมด’ ...ใครเข้าใจภาวะแบบนี้ จะซื้อได้ถูกมากๆ (แต่ต้องแกะงบ ดูสภาพคล่องว่าไม่เจ๊งนะ)


4. ‘ต้องลากขึ้นให้แรง ก่อนประกาศงบใหม่’ ...รอบใหม่ขึ้นแรงเสมอ เพื่อให้รายย่อยไม่กล้าซื้อตาม ...หุ้นขึ้นครั้งใหม่จึงไม่ค่อยมีรายย่อยไง


5. ‘ระหว่างทางขึ้น ทุบให้หลุดแนวรับ’ ...ถ้าไม่หลุดแนวรับ รายย่อยก็ยังถือกำไร ต้องทุบให้หลุดแนวรับ บีบให้เม่าขาย ...แล้วรีบยกกลับให้เม่าซื้อกลับไม่ทัน


6. ‘ลากให้สุด ไม่หยุดแค่แพง’ ...ทุกวันนี้การลากหุ้น ไม่มีมาลากแบบหน่อมแน้ม ...ต้องลากให้ทุกคน งง ว่า ตกลงกรูพลาดที่ขาย หรือ พลาดที่ไม่ซื้อตามใช่ไหม ?


 ...จากนั้น ลากให้ทุกคนคิดว่า ‘ขาขึ้นครั้งนี้ไม่มีทางลง’ 


...แล้วเขาจะลากต่อไปอีก ไปอีก ไปอีก 


...จากนั้น ประกาศงบ ดีที่สุด ..แล้วลากไปอีก 


...สุดท้ายเม่าจะ บอกว่า โอเคกรูขอตามสักนิดละกัน ....จากนั้น ขาลงครั้งใหญ่ ก็มาถึง !!


พูดมาซะยาว ตกลงมีทางแก้ไหม ?


‘มีซิ!!’ 


1. ซื้อหุ้นถูก ที่ไม่มีใครเชียร์

2. ทนถือแม้ว่าหุ้นเริ่มแพง

3. ซื้อเพิ่มเมื่อเจ้าสับขาหลอก

4. ทยอยขายเมื่อมีข่าวดีสุดขีด และ ใครๆ ก็อยากซื้อ

5. ฝึกแบบนี้จนเราเชี่ยวชาญ 


‘ตลาดหุ้นมันไม่เคยได้ดั่งใจเรา แค่เราเข้าใจ การทำกำไรก็มีให้เราเรื่อยๆ ..มาทุกรอบ!!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 26 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เราอยู่ในยุคที่คนรวย ไม่ใช่คนที่มีเงินสดมากอีกต่อไป

 ‘เรากำลังอยู่ในยุคที่ คนรวย ไม่ใช่คนที่มีเงินสดมากอีกต่อไป’ 


ในอดีตการออมก็คือ การเอาเงินไปฝากธนาคารให้มีตัวเลขในบัญชีเยอะ ...ยิ่งมีเงินสดเยอะ เขาก็เรียกว่าคนรวย


แต่ช่วงไม่กี่ปีที่ผ่านมา เรายิ่งเห็นปรากฏการณ์ที่ตลาดหุ้น ขึ้นทำจุดสูงสุดไปเรื่อยๆ ทั้งที่โควิดก็ยังอยู่ เศรษฐกิจตกต่ำก็ยังไม่ได้ผ่านไป 


คำอธิบายเรื่องนี้ก็คือ ‘ระบบการเงินมันเปลี่ยน’


1. ‘การพิมพ์เงินอย่างมหาศาลของรัฐบาลทั่วโลก ส่งผลให้ เงินลดมูลค่า’ ...ซึ่งทำให้ สินทรัพย์ ราคาขึ้น ...คนที่จะรวยมหาศาลในยุคนี้ ก็คือ คนที่จับสินทรัพย์ถูกตัว และ กล้าที่จะถือผ่านความผันผวนของราคา ที่เรียกว่า ‘อดทนรวย’ นั่นแหละ 


2. ‘หาเงินเก่ง ไม่สำคัญเท่าลงทุนเป็น’ ...ภาวะเศรษฐกิจแบบปัจจุบัน ส่งผลให้หาเงินยาก คู่แข่งเยอะ ...แต่ในด้านการลงทุน ถ้าถูกตัว ถูกจังหวะ มันจะเติบโตแบบไม่คิดชีวิต ‘ขึ้นแหลก!!’ ...เราเห็นปรากฏการณ์หุ้น Tesla ที่ทำให้ Elon Musk ก้าวขึ้นมาเป็นเศรษฐีอันดับต้นๆ ของโลก ทั้งที่ธุรกิจยังไม่ได้ทำเงินมหาศาลเลย


3. ‘สินทรัพย์เสี่ยง น่าลงทุนกว่าสินทรัพย์ไม่เสี่ยง’ ...ในเมื่อคนส่วนใหญ่ วิ่งหาความชัวร์ ความมั่นคง ในยุคเศรษฐกิจย่ำแย่ ...สินทรัพย์ไม่เสี่ยง จึงเป็นสิ่งที่ทุกคนแย่งกันซื้อ จนราคาแพง บางครั้งแทบไม่คุ้มที่จะซื้อด้วยซ้ำ ...ตรงข้ามกัน สินทรัพย์เสี่ยงบางอย่าง กลับถูกเกินความจริง และ สามารถสร้างเศรษฐีได้ในอนาคต


4. ‘ตลาดทุนและการระดมทุน เปิดกว้างและหลากหลายขึ้น นี้คือโอกาสการสร้างตัวแบบก้าวกระโดดในยุคนี้’ ...การทำธุรกิจเพื่อหาเงินอย่างเดียวอาจจะไม่เพียงพอ ...ยุคนี้ การทำธุรกิจเพื่อเข้าตลาดหุ้น สามารถระดมเงินได้มากกว่า โตได้เร็วกว่า ใช้เงินตัวเองน้อยกว่า และ โตได้ไกลกว่า 


5. ‘สินทรัพย์คือ สิ่งที่เราต้องออม แทนการออมเงิน’ ...การออมเงินในยุคนี้ ต้องแทนด้วยการ ออมในสินทรัพย์แทน เช่น ออมในหุ้น ...การออมคือ การมองยาว ...ยิ่งมองยาว ก็ยิ่งต้องออมในสิ่งที่ราคาขึ้นต่อเนื่องในระยะยาว อย่างหุ้นคุณภาพนั่นเอง


6. ‘การบริหารความเสี่ยงรายบุคคล จึงกลายเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุดในโลกยุคใหม่’ ...การหาเงินยุคใหม่ ต้องมีรายได้หลายทาง ...การลงทุนก็เหมือนกัน ต้องวางแผนให้เข้ากับ Lifestyle ของเรา ...เช่น มนุษย์เงินเดือน อาจมี Active Income ที่เป็นเงินเดือนอยู่แล้ว การลงทุนก็ควรเป็นแบบ Passive อย่าง ออมในหุ้นปันผล (เพื่อเติมเต็ม สิ่งที่เราขาด)


สรุป ‘คนรวยต่อไป คือคนที่ ออมในสินทรัพย์อย่างต่อเนื่อง ...ซื้อสะสมไปเรื่อยๆ ...ยิ่งไม่ขายเลย ก็ยิ่งดี เพราะ ในระยะยาว มันจะเติบโต สวนมูลค่าเงินสดที่มีแต่ลดลง ...ยิ่งถ้าเราเลือกสินทรัพย์ที่ให้ปันผลด้วยอย่างหุ้น ...เราจะได้อิสรภาพทางการเงินแถมไปด้วย


เพราะ เงินปันผล จากการลงทุน คือ เงินทำงานแทน แม้ว่าเราจะหยุดทำงานไปแล้วก็ตาม


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 


วันเสาร์ที่ 21 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

เบื้องหลังคำถาม เขาคิดยังไง ?

 ‘เคยคิดไหมว่า คนถาม เขาคิดอะไรอยู่ ?’


ในฐานะอาจารย์สอนการลงทุน ..ผมจะได้รับคำถามเยอะมาก ...แต่ก่อน ก็เน้นหาคำตอบ ...พอมาวันนี้ ผมเริ่มอยากรู้เพิ่ม ว่า ทำไมเขาถามแบบนี้ ?


‘กลายเป็นว่า พอเรามาคิดว่า ทำไมเขาถามแบบนี้ มันทำให้เรา ให้คำตอบที่ตรงกับสิ่งที่เขาอยากรู้จริงๆ มากกว่า’ 


...”แปลว่า พี่แพ้ท ถามอย่าง ตอบอีกอย่าง ...แถๆๆ ไปใช่ไหมครับ ...ฮ่า ฮ่า” (ไอ้นี่ตลก หลอกด่า)


- ‘ผมอยากลงทุนโดยไม่เสี่ยง ..เอาผลตอบแทนเยอะๆ ในเวลาสั้น และ การันตี ผลตอบแทนด้วย ...มีไหมครับ ?’


...มีนะ ‘แซร์ลูกโซ่ไง’ ...การันตีผลตอบแทน ได้เงินเยอะ และ เร็ว อย่างเหลือเชื่อ ...แต่ !!


แต่คนส่วนใหญ่เสียหาย ...มีคนเพียงส่วนน้อย หัวๆ ที่ได้กำไรมหาศาลจากเกมนี้ ...โอเคไหม ? 


....ใช่!! คำถามแบบนี้ ผมเจอเยอะมาก ...เพราะ คนรุ่นใหม่ อยากสำเร็จเร็ว อยากหาช่องว่างของระบบ แต่ปัญหาก็คือ คุณพร้อมที่จะเสี่ยงแค่ไหน ?


...สมัยผม การลงทุนแปลกๆ มันจะผูกกับ สิ่งใหม่ๆ เสมอ ...ผ่านมาถึงวันนี้ การลงทุนแปลกๆ ก็ผูกกับสิ่งใหม่ๆ เหมือนเดิม 


1. เข้าใจยาก ...พูดแล้ว ดูล้ำ!! ...เราลงทุน ในการขุดแร่ที่ดาวอังคาร ...หรือ เรามี AI ที่เหนือกว่า Amazon ใช้ 10 เท่า ...เหรียญของเรา จะถูกใช้แทนเงินดอลลาร์ ในอนาคต ว่าไป !! (โคตรไร้สาระ สำหรับคนที่รู้ แต่คนทั่วไป มันล้ำโคตรๆ)


2. การันตีผลตอบแทน ...จ่ายเมื่อไหร่ เท่าไหร่ ชัดเจน


3. ต้องหาคนเพิ่ม ...เพราะ ข้อ 2 ที่ทำได้ เนื่องจาก มีข้อ 3 คือ มีคนโดนหลอกเข้ามาเพิ่ม เพื่อจ่ายเงินให้คนก่อนหน้าในข้อ 2 


กลับมาที่ความจริง 


1. การลงทุนที่ดี ต้องเข้าใจง่าย (อธิบายแล้วต้องมีเหตุผลชัด ไม่ งง)


2. การลงทุน ต้องมีความเสี่ยง ...ต้องบอกได้ว่า ‘ความเสี่ยง คืออะไร แล้ว เราจะเสียหายสูงสุดได้เท่าไหร่) ...ถ้าใครมาการันตีความเสี่ยง แปลว่า มันเป็นแชร์ลูกโซ่ ไม่ใช่การลงทุนละ 


3. การลงทุนจริงๆ ต้องไม่เกี่ยวกับการหาดาวน์ไลน์ ...’การลงทุน ต้องไม่ใช่การหาคนมาเพิ่ม’ (ของดีจริง เรายิ่งไม่อยากให้ใครรู้ ไม่มีมานั่งป่าวประกาศ)


4. เวลาเป็นสิ่งที่ควบคุมไม่ได้ในการลงทุน ...การลงทุนที่ได้ผลตอบแทนเยอะๆ มักจะคุมเวลาไม่ได้ ...แต่ถ้าการลงทุนไหนที่คุมเวลาได้ รู้ว่าได้เท่าไหร่ เมื่อไหร่ ชัดเจน ส่วนใหญ่จะเป็นการลงทุนที่ผลตอบแทนต่ำมากๆ 


ใช่ครับ !! ที่ยกเรื่องนี้มาเล่า เพื่อจะให้เข้าใจว่า ทุกวันนี้ คนจำนวนมาก ตกเป็นเหยื่อ ของแชร์ลูกโซ่ หรือ โดนหลอกให้ลงทุนในสิ่งที่เสี่ยงเกินไป เพราะ เขาใช้จุดอ่อนของเรา ‘ความโลภ’ ..มาล่อลวงเราให้หลงเชื่อนั่นเอง


...โอเค !! แล้ว ‘ช่องว่างของระบบ หรือ ทางลัด’ มันคืออะไรครับ ?


1. คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ช่องว่าง คือ สิ่งที่ทำง่าย แต่ผิด ...ช่องว่าง จริงๆ ต้องยาก ต้องเหนื่อย ต้องดูเสี่ยงมาก ...คนอื่นถึงไม่อยากทำ ...นี่แหละ ช่องว่างของจริง ....ถ้าเราย้อนดู StartUp ในโลกที่สำเร็จ ...แทบทุกธุรกิจ ทำในสิ่งที่โคตรเสี่ยง เช่น ยอมขาดทุน เพื่อเร่งยอดขาย จนธุรกิจใหญ่ ถึงค่อยกำไรจริง 


2. ทางลัด คือ การอดเปรี้ยวไว้กินหวาน ...ใช่!! ทางลัด จะได้เงินช้าเสมอ ...ถ้าได้เงินก่อน ได้เร็ว อันนี้ทางหลอกละ ....แต่ที่เขายอมได้เงินช้า เพราะ สุดท้ายเขาได้เงินใหญ่นั่นเอง (ช้าแต่เยอะ นี่แหละ ทางลัด ...กินทีหลัง อร่อยกว่า ประมาณนั้น)


ไว้ว่างๆ เดี๋ยวเรามาเจาะแนวคิด ของ ธุรกิจรุ่นใหม่ ว่า เขาหาทางลัดยังไง และ สำเร็จแตกต่างกับธุรกิจรุ่นเก่ายังไงกัน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันศุกร์ที่ 20 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

คนที่มีอิสระภาพ ก็คือ คนที่มีระเบียบวินัย

 

‘คนที่มี อิสระภาพ คือ คนที่มีระเบียบวินัย’

ฝรั่งเขาจะพูดว่า Freedom comes from Discipline!!

มันเป็น คำพูดที่โคตรจะ ขัดแย้งในตัวเอง ...คนมีระเบียบวินัย จะนำไปสู่การมีอิสระ !! ...อะไรวะ ?

...แต่บอกตรงๆ ว่า ยิ่งผมพยายามทำความเข้าใจ มันก็ยิ่งใช่ ...เพราะ ทุกคนที่มีอิสระ ในชีวิต มันเกิดจากคน คนนั้น มีวินัยอย่างสูงในสิ่งที่ตัวเองทำ ...และทำมันจนเกิดผลนั่นเอง

...อิสรภาพ ใครๆ ก็อยากมี จริงไหม ?

...เราอยากมีอิสระ ในการ เลือกดำเนินชีวิต ...แต่การที่ทุกคนจะสามารถมีอิสระ ในทางเลือกของตัวเอง มันมีขั้นตอนที่ไม่ง่าย ...ต้องบอกว่า โคตรยาก !!

มาดูกันว่า ..การจะเดินทางไปถึง Freedom เราต้องเจออะไรบ้าง ?

1. ‘งานง่ายๆ ไม่เคยให้ อิสระภาพกับเรา’ ...พูดง่ายๆ ว่า ใครก็ตามที่เลือกงานง่ายๆ เช่น งานที่ไม่ต้องใช้ความรู้มาก งานนั้นมักจะได้เงินน้อย แถมมีคนแทนเราได้ง่าย ...ใครเลือกงานแบบนี้ ชีวิตจะเหนื่อย แถมเงินน้อย จริงไหม ? (งานยาก งานที่ไม่มีใครอยากทำ ต่างหาก ที่นำเราไปสู่อิสรภาพ)

2. ‘ผู้เชี่ยวชาญในทุกด้าน มักเป็นคนที่มีระเบียบวินัยในการทำงานที่สูงมาก’ ...ศิลปินที่เป็นสุดยอด มักเป็นคนที่ทุ่มเททั้งชีวิต เพื่อสร้างผลงานในแบบที่ตัวเองเชื่อ ...เช่นกัน คนที่อยากจะเป็นสุดยอด ในงานของตัวเอง ก็ต้องมุ่งมั่นทำงานของตัวเอง แม้ว่าคนอื่นจะไม่เห็นด้วยกับเราก็ตาม

3. ‘คนที่ใช้ชีวิตไปเรื่อยๆ มักมีชีวิตที่ตกอับ’ ...อะไรก็ได้ ..ทำอะไรตามใจคือไทยแท้ !! ..ใครคิดแบบนี้มักจะซวย และ ตกอับ ...เพราะ การสร้างผลงานที่โดดเด่น ก็คือ การสร้างผลงาน ที่ขัดแย้งกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่

4. ‘คนที่เป็นสุดยอด ในสิ่งที่เขาทำ ก็คือคนที่อดทนทำ ในสิ่งที่ตรงข้ามกับมวลชน’ ...การสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ เปลี่ยนชีวิตผู้คน ก็คือ การอดทนสร้างความเชื่อให้เกิดผลลัพธ์จริง

ก็คร่าวๆ ประมาณนี้

คือ ใครก็ตามที่อยากมีอิสระ เช่น อยากมีอิสระในการทำงาน ...อยากมีอิสรภาพทางการเงิน ...ต้องขวนขวาย และ ทำตรงข้ามกับมวลชน อย่างสม่ำเสมอ

..สรุป คือ

ถ้าอยากมีอิสรภาพ ก็ต้องเริ่มจากการ มีระเบียบวินัย

- ถ้าอยากลดน้ำหนัก ไม่ใช่ไปหายาลดความอ้วน หรืออดอาหาร ...แต่คือการ ออกกำลังกายสม่ำเสมอ และ ลดอาหารอ้วน ...แค่นั้นก็ได้ละ

- ถ้าอยากรวยหุ้น ..ใม่ใช่วิ่งหาหุ้นเด็ด ...แต่แค่เรา แบ่งเงินมา DCA ใน ETF ...แค่นี้ก็รวยได้ในระยะยาวแล้ว

...จัดไปครับ !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

ตลาดหุ้นไทย เป็นขาขึ้นจริงจังแล้วหรือยัง

 


"ตลาดหุ้นไทย เป็นขาขึ้นหรือยังครับพี่แพ้ท ?"
 
ช่วงนี้เริ่มมีคำถามมากขึ้นว่า "ตกลงตอนนี้ ตลาดหุ้นมันเปลี่ยนเทรนด์ จากขาลง เป็นขาขึ้นแล้วใช่ไหม ทั้งๆที่พื้นฐานและเศรษฐกิจยังแย่แบบนี้อ่ะนะ มันจะไปได้เหรอ ?" 
 
ต้องอธิบายให้ฟังแบบนี้
 
..ตลาดหุ้น กับ เศรษฐกิจ มันไม่ได้ขึ้นลงพร้อมกันเป๊ะๆ ...ตลาดหุ้นมักวิ่งไป ล่วงหน้า แล้วพื้นฐานถึงค่อยตาม
อย่างตลาดในรอบนี้ ..มันเริ่มลงมาตั้งแต่ปี 2018 ที่จุดสูงสุดประมาณ 1800 จุด ลงมาเรื่อยๆ มาสุดที่ช่วงโควิด ประมาณ 900 กว่าจุด ...ไอ้ตอนมันเริ่มลง เศรษฐกิจก็ยังไม่ได้แย่ขนาดนี้ ..หุ้นเริ่มวิ่งลงละ ....พอมันมาช่วงโควิด เศรษฐกกิจเริ่มแย่จริง แต่ตลาดหุ้นมันก็เริ่มกลับตัวขึ้น ตั้งแต่ช่วงมีนาคมละ 
 
..นี่แหละตลาดหุ้น ..มันต้องคาดการณ์ล่วงหน้า !!
 
จากนี้ไปตลาดก็จะเริ่มเป็นขาขึ้นอย่างจริงจัง ...น่าจะขึ้นชัดๆ แล้ว Fund Flow ไหลเข้าจริงจัง ก็ช่วงปีหน้า ...ตอนนี้หุ้นใหญ่ๆ ก็จะได้รับเม็ดเงินก่อน ...คนซื้อในช่วงนี้ ก็เริ่มเก็บเพราะ พื้นฐานมันถูก ..แม้ผลประกอบการยังมองไม่เห็นอนาคต แต่รู้แน่ ว่าบริษัทเหล่านี้รอดแน่ ...พอทุกอย่างดี เดี๋ยวมันก็พุ่ง เขาก็ช้อนรับก่อน
..ก็หุ้นใหญ่วิ่งก่อน ...พอเริ่มตึงๆ เดี๋ยวหุ้นกลาง หุ้นเล็ก ก็จะมา
 
อีกประเด็นที่น่าสนใจ คือ "แล้ว รอบต่อไป ของการขึ้น หุ้นตัวไหนจะเป็น Super Stock" 
 
คำว่า Super Stock จากนี้ไป ผมให้นิยามว่า หุ้นที่ขึ้น 5-10 เด้งขึ้นไป ..เพราะ ถ้าหุ้นตัวใหญ่ ในแต่ละรอบ มันจะขึ้นน้อยกว่านั้น ...พูดง่ายๆ ว่า หุ้นดี หรือ หุ้นเดิม ที่เคยแจ๋ว ...มันจะไม่เป็น Super Stock ในรอบถัดไป ...แต่มันก็ลงทุนได้ เพราะ หุ้นดี ยังไง ก็ให้ผลตอบแทนที่น่าพอใจ
 
ก็นั่นแหละ จุดแตกต่างระหว่าง "รวย กับ รวยมากๆ" ...แต่เอาเถอะ เอาแค่ "รวย" ก็พอแล้ว ....ส่วนมันจะ รวยมากๆ ก็ขึ้นกับว่า ในแต่ละรอบ เราคัดหุ้นที่จะ Sexy ในรอบต่อไปได้หรือไม่นั่นเอง
โดยสรุป 
 
ตลาดหุ้นไทยจากนี้ไป จะเริ่มเป็นขาขึ้นเบาๆ และ เป็นขาขึ้นชัดเจนในปีหน้า เข้าสู่ Wave 3 ใน SET (ซึ่ง Wave 3 นี่แหละ ที่จะสร้างความมั่งคั่งอย่างแท้จริง ทุกๆ รอบนั่นเอง) 
 
หุ้นใหญ่ และ หุ้นที่เป็น Super Stock ในรอบที่ผ่านมา จะให้ผลตอบแทนที่ดีพอใช้ได้ แต่จะไม่ขึ้นหลายๆ เด้งแบบเดิมแล้วก็เท่านั้นเอง ..เราเรียกว่า "หุ้นกลุ่ม มั่นคง แต่ไม่มั่งคั่ง" 
 
ส่วนหุ้นที่จะเป็น หุ้น "มั่งคั่ง" ในรอบนี้ ก็ต้องคิดให้ได้ว่า อะไร คือ เทรนด์ ของการทำธุรกิจจากนี้ไป
ก็เอาใจช่วยทุกคน ....อย่างน้อยลงทุนบ้าง มีหุ้นมั่นคงไว้ในพอร์ต ..และ ก็แบ่งเงินบางส่วนมาคัดหุ้น Sexy ติดปลายนวมไว้บ้าง ..ก็ลุ้นกันไปครับ
 
สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันอาทิตย์ที่ 1 พฤศจิกายน พ.ศ. 2563

อยากเลือกชีวิต เล่นหุ้นสายชิว เอาแบบนี้เลย


 ‘ชีวิตเราเลือกได้ จริงหรือ?’ 


เอาตรงๆ สมัยก่อน ผมก็คิดว่า ชีวิตมันไปตามดวง ..ปล่อยมันตามดวง เละ ตุ้มเป๊ะ เกือบกลับมาไม่ได้ !!


ขอพูด 3 เรื่อง ใหญ่ๆ ละกัน ‘เรียน งาน เงิน’ ว่า เรามีทางเลือกอะไร ?


1. ‘เรียน’ ...ยุคผม คนเรียนเก่ง ต้องไป หมอ หรือ วิศวะ ...ถ้าเรียนอ่อน ไปสายศิลป์ ...ไม่มีทางเลือกเลย ...แต่จริงๆ ทางเลือก มันขึ้นกับเรานะ 


ผมเรียนไม่แย่ แต่ก็ไม่เก่งมาก ..ผมก็คิดว่า ถ้าผมเลือกเรียนสายศิลป์ ผมก็จะดีขึ้น ...เหมือน คุณเลือกคู่ชก ..ถ้าเราไปเลือกต่อยกับนักมวยมืออาชีพ เราอาจจะเละง่ายๆ จริงไหม ? 


สรุป ..ผมเลือก สายศิลป์ ...จากที่เคยเรียนได้กลางๆ ผมกลายเป็น Top ห้องของสายศิลป์ 


จากนั้น พอเรียน มหาวิทยาลัย ผมใช้สูตรเดิม คือ เรียนอะไรก็ได้ ที่จบง่ายสุด และ เกรดดีสุด 


...ขอบอกเลย ชีวิตในมหาวิทยาลัยผม โคตรสนุก เรียนง่าย จบเกรดดีอีก 


ผมเริ่ม เข้าใจแล้วว่า ‘ชีวิตเรา เราต้องเลือกเอง’ การเลือกสนามที่เราเก่ง เราย่อมได้เปรียบ 


2. ‘งาน’ ...เรื่องงาน ตอนแรกๆ สารภาพเลย ผมพลาด ...ดันไปเลือกงานที่ไม่ถนัด แต่มันอยู่ในกระแส เพราะ คิดว่า น่าจะรวยง่าย 


ผมเลือก ทำงานร้านอาหารในต่างประเทศ ...บอกเลย 10 ปีนั้น โคตรไม่มีความสุขเลย ...งานมันไม่ใช่ตัวเรา 


พอกลับมาเมืองไทย ผมเลือกงานใหม่ เอาที่ผมชอบ คือ งานเขียน ...พอดีผมเป็นคนชอบเขียน ก็เริ่มจากงานเขียน เขียนฟรีในบล็อก จนรวมเล่ม ...แล้วก็ต่อ ยอดจากจุดนี้ 


สรุปว่า มันโคตรใช่เลย ทำไม่ยาก เพราะ ผมชอบอยู่แล้ว ...จากนั้น ต่อยอด มาเป็น อาจารย์ ก็ใช่อีก 


ถึงจุดนี้เลยเข้าใจเลยว่า ‘การเลือกงานตามกระแสมันโคตรทุกข์ แต่ถ้าเริ่มจากงานที่เป็นตัวเรา แล้วค่อยๆ มองโอกาสต่อยอด มันสนุก แล้วไปได้ไกลกว่า’


3. ‘เงิน’ ...การหาเงิน มันขึ้นกับนิสัยเรา 


อย่างผม ชอบ Passive เพราะ ผมไม่ชอบ Active ก็เลยต้องศึกษา ทุกอย่าง ที่จะทำให้ผมมีรายได้แบบ Passive 


ก็ศึกษา ทั้ง ธุรกิจ อสังหา มาจนเจอหุ้น 


อย่างหุ้น ถ้า Active ก็ต้องเทรด ซื้อขายบ่อยๆ บอกเลยไม่แนวอ่ะ 


พอมา ‘ออมหุ้น’ อันนี้ใช่เลย ..ซื้อครั้งเดียว จากนั้น ให้หุ้นทำงานให้เรา 


ทุกวันนี้ การลงทุนผม ค่อนข้างสบาย คือ ซื้อทุกครั้งเวลามีวิกฤต นอกนั้นอยู่เฉยๆ ให้เงินมันทำงาน 


มันสบายแบบที่หลายคน งง ว่า ‘ทำไมมรึง ชิวจังเลยวะ ?’ 


....ครับ !! ที่เล่ามา ทั้ง 3 เรื่อง 


เรียน / งาน / เงิน 


ผมว่า เราเป็นคนเลือกทางเดินเอง นั่นแหละ 


ถ้าเรา อยากได้ชีวิตแบบไหน ...เราก็แค่เลือก แบบนั้น 


ใช่!! ‘ชีวิตเลือกได้’ ...เราอย่าปล่อยชีวิตให้มันไปเรื่อยๆ ...เราต้องลุกขึ้นมา แล้วกำหนดทางเลือกที่มันเหมาะกับเราครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ใครสนใจศึกษาหุ้นแนวชิวๆ แบบผม ก็แนะนำ หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง 


วางแผงที่ร้าน SE-ED ทุกสาขา ...เชื่อเลยว่า ‘แนวทางลงทุนที่ผมเสนอ จะเหมาะกับคนที่อยากเลือกชีวิตแนวนี้ครับ’ ...จัดไป !!


 


7 จุด ที่เปลี่ยนมือใหม่ให้เก๋าเกม

 ‘มันยังเหลือเหตุผลอะไร ที่ทำให้หุ้นขึ้น ?’


ผมมักเจอคำถามนี้ เวลาที่หุ้นกำลังเปลี่ยนเป็นขาขึ้น !!


ความตลกร้ายก็คือ ...คนที่ถามเขามักจะขายหุ้นทิ้ง เลิก!! ถอดใจ หรือไม่ก็โยกเงินไปตลาดอื่น ไปซื้ออะไรก็ว่าไป


...ต้องเล่าให้ฟังว่า ตลาดหุ้นมันเป็นอะไรที่ยากมากๆ สำหรับมือใหม่ แต่ถ้าคุณสังเกตดีๆ จะพบว่า ...”ในขณะที่มันโหดกับมือใหม่ แต่มันกลับเป็นสวรรค์ของมือเก่าเลยก็ว่าได้ !!”


...สวรรค์ และ นรก มันอยู่ในจุดเดียวกันได้ไง มาดูกัน 


1. ‘จังหวะของการเต้น’ ...มือใหม่จะซื้อหุ้นเพิ่มเวลาข่าวดี ..แต่มือเก่าจะซื้อหุ้นเพิ่มเวลาข่าวร้าย ...หัวใจก็คือ การเตรียมเงิน แบ่งไม้เข้าซื้อตามจังหวะ 


2. ‘จุดยึดเหนี่ยว’ ...จุดยึดเหนี่ยวของมือใหม่อยู่ที่อารมณ์ของเขาเพียวๆ เลย มันเลยแกว่งมาก ซื้อขายหุ้นนี่ตามอารมณ์เลย โคตรเหวี่ยง ...แต่มือเก่า จะใช้พื้นฐานของหุ้นตัวนั้น เป็นจุดยึด เขาเลยกล้าทยอยซื้อ แม้จังหวะที่หุ้นไม่มีข่าวดีเลย


3. ‘คุณถามใครล่ะ’ ...มือใหม่มักถามมือเก่า ...แต่มือเก่า เขาไม่ถาม แต่จะดูกราฟ เพราะ กราฟหุ้น มันบอกพฤติกรรมของคนที่เล่นหุ้นเกือบทั้งหมด ...เช่น Volume น้อย ราคาลงแรง อันนี้มันแสดงว่า การลงใกล้จะสุดละ ...หรือ Volume เยอะ ราคาทิ้งลง อันนี้ห้ามรับ ต้องรอ ....หรือ ราคาลงแรง หลุดแนวรับ แต่มีการกระชากกลับ อันนี้ต้องรีบซื้อด่วนเลย


4. ‘คุณเชื่อคนง่ายแค่ไหน’ ...มือใหม่มักเชื่อคนง่าย ใครบอกว่าดี ก็รีบซื้อ ...คิดว่าของดีๆ มันจะมาง่ายๆ ...โดนดิครับ ...รับ IPO มาเต็มๆ โบรคบอกว่าดี ...เออ!! ถ้ามันดีจริง รายย่อยจะแทบไม่ได้หุ้นเลย คิดดีๆ ...หรือ แบบจัดเต็มในหุ้นยอดฮิต (จบไม่สวยซักราย) ...มือเก่า ส่วนมากหูหนัก มักทำสวนข่าวด้วยซ้ำ ...ถ้าคนเชียร์เยอะ ขายทิ้งเลย ...คนถอดใจ ต้องทยอยเก็บ เดี๋ยวรอบใหญ่มา


5. ‘เราคือคนส่วนน้อย หรือ คนส่วนใหญ่’ ...ทุกครั้งที่ งง ต้องถอยมาแล้วคิดว่า ‘คนส่วนใหญ่จะตัดสินใจทำยังไงกับสถานการณ์นี้ ...แล้วเราต้องทำตรงข้าม!!’ ...นี่แหละ มือเก่า ...มีบาดแผลมากมาย จากความโลกสวย ...จากนั้นต้องเรียนรู้เพื่อจะอยู่รอดจริงๆ ในระยะยาว


6. ‘มันไม่เหลือเหตุผล ที่ทำให้หุ้นขึ้น’ ...เศรษฐกิจแย่ , มีโรคระบาด , เราไม่มีเทคโนโลยีของอนาคต , ประเทศเราจบแล้ว ....อาจารย์สอนเลข บอกว่า ลบ กับ ลบ กลายเป็นบวก ...นั่นแหละ จุดซื้อ (ในตลาดหุ้น ยิ่งมืด ยิ่งเห็นดวงดาว ...แต่ต้องตั้งใจมองนะ!!) 


7. ‘คุมความเสี่ยงของตัวเอง’ ...อันนี้สำคัญสุด ...ไม่ว่า ใครจะพูดยังไงก็ตาม สุดท้าย เราเท่านั้น ที่เข้าใจความเสี่ยงของตัวเอง 


เคล็ดลับที่มือเก่า อยู่รอดทุกวิกฤตและรวยขึ้นเรื่อยๆ ก็เพราะ เขาคุมความเสี่ยงของตัวเองได้ดี 


วิธีง่ายสุดคือ Prepare for the Worst & Hope for the Best !!


ใช่!! ทุกครั้งที่ซื้อ ‘เตรียมว่า แย่สุด แล้วเราต้องไม่ซวย ก็ซื้อเท่านั้นแหละ ...แล้วหวังว่า ถ้ามันดี ก็รวยไปเรื่อยๆ’


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2563

ความอ้วนเป็นปัญหาของผม

 “ความอ้วนเป็น ปัญหาของผม” ...ตั้งแต่เด็ก ผมคือ “เด็กอ้วน” มาตลอด 


...เอาตรงๆ นะ ตอนเด็กรู้สึกเฉยๆ ..มารู้สึกว่ามันเป็นปมชีวิต ก็ตอนเริ่มเป็นวัยรุ่น ... “ก็เรามันอ้วน เลยไม่กล้าจีบสาว” ...โคตร ไม่ Self !!


ชีวิตมาเปลี่ยน ตอนมัธยมปลาย ช่วงนั้น เริ่มยืดตัว ...พุงลด ตัวสูงขึ้น ...แต่หลังจากนั้นไม่นาน ก็กลับมาอ้วนอีก 


จนวันนึง ผมเริ่มคิดว่า ...เราแก้ปัญหาอันนี้ยังไง ?


ใช่!! มันก็มีหลายวิธีนะ มีทั้งแบบ เร็วๆ หรือ แบบช้าแต่ยั่งยืน 


ผมเชื่อนะ ว่าคนส่วนใหญ่ เลือกแบบแรก ... “อยากลดน้ำหนักให้เร็วที่สุด” เช่น อดอาหาร , กินยาลดความอ้วน , ออกกำลังกายหนักๆ


ปัญหาของการลดความอ้วนเร็วๆ ก็คือ ส่วนใหญ่จะกลับไปอ้วนเหมือนเดิมหรือ หนักกว่าเดิม 


สุดท้ายผมมาเข้าใจว่า ปัญหาจริงๆ ของความอ้วน ก็คือ “วิถีชีวิตของเรา” ..เช่น ชอบกินของอ้วน แต่ไม่ออกกำลังกาย ...ถ้าเราลดน้ำหนัก แต่ไม่ปรับวิถีชีวิต ...อีกไม่นาน เราก็กลับไปอ้วนเหมือนเดิม 


“ทางแก้ที่ยั่งยืนกว่า คือ เปลี่ยนวิถีชีวิต” 


เดี๋ยวนะ ...วิถีชีวิต พูดแบบเข้าใจง่ายๆ คือ “กิจวัตรประจำวัน” 


ส่วนตัวผมยังชอบกิน ก็แค่ลดของอ้วนลง แต่ยังกินปกติ ไม่อดอาหาร ...จากนั้น ผมสร้างกิจวัตรของการออกกำลังกายวันละ 1 ชั่วโมง ...เริ่มจาก เดิน ...ไปเดินเร็ว ...จากนั้น ก็วิ่ง ...สรุป ทุกวันนี้ ผมวิ่งเกือบทุกวัน วันละ 1 ชั่วโมง 


ถามว่า เล่าเรื่องนี้ทำไม ...เพราะ มันเหมือนกับ การแก้ปัญหาทางการเงินเลย


“คนที่ยังไม่รวย ไม่ใช่เพราะ หาเงินไม่เก่ง ...แต่เขาแค่ ยังไม่เปลี่ยนวิถีชีวิตให้เป็นคนรวย ก็เท่านั้นเอง” 


เฮ้ย!! “วิถีชีวิตคนรวย” ..คืออะไร ...ใช้ของแพง กินของหรู ไฮโซ ...บลา บลา บลา ...ไม่ใช่เลย!! ....วิถีชีวิตคนรวยจริงๆ คือ 


“ใช้เงิน น้อยกว่าที่หาได้” ....ใครทำได้ ผ่านข้อที่ 1


“ซื้อของเงินสด เต็มจำนวน ไม่กู้” ...ถ้ากู้มันจะเริ่มนิสัยของคนจน คือ ทำงานใช้หนี้ไปวันๆ นั่นแหละ ...ใครทำได้ผ่านข้อที่ 2


“เอาเงินไปลงทุน สร้างรายได้แบบ Passive” ...คนรวย คือ คนที่มีรายได้มาหาเราหลายๆ ทาง ...ง่ายสุดเลย ก็เช่น ซื้อหุ้นปันผล แล้วรับเงินปันผล ถือไปเรื่อยๆ ไม่ขาย ...นั่นก็ Passive Income แล้ว ....ถ้าเราเอาเงินไปลงทุนก่อน แล้วใช้แค่ปันผล นี่แหละ รวยจริง ...เพราะ เงินต้น ยังอยู่ ...เราใช้แค่ ดอกผล เท่านั้นเอง ...ใครทำข้อที่ 3 ได้ แปลว่า คุณเริ่มเป็นนักลงทุนแล้ว !!


“ทำข้อ 1-3 วนไปเรื่อยๆ จนเงินปันผล มากกว่า ค่าใช้จ่าย” ...ใช่!! แค่นี้ ก็โคตรรวยละ ...ถ้ามีปันผล มากกว่า ค่าใช้จ่าย ....คุณเกษียณได้เลย นี่แหละ “คนรวย” 


สรุป ผมอยากจะบอกว่า ปัญหาโลกแตก อย่างเรื่อง “ความอ้วน” หรือ “เงิน” ...มันต้องเริ่มแก้ให้ถูกวิธี ...คือ เริ่มจากเปลี่ยน วิถีชีวิต ของเราในเรื่องนั้นๆ 


ใช่!! พอเราเปลี่ยนได้ ...เราก็ “รอผอม สุขภาพดี”... “รอ รวย” ชีวิตดี 


เอาใจช่วยทุกคนนะ ...รู้นะ ว่า โคตรยาก เพราะ ผมทำมาแล้ว ...การันตี ยากจริง ...แต่ต้องทน ทำไป ...ลุยไป ...พอถึงแล้วเราจะภูมิใจในตัวเอง ....คุณสุดยอด มากครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 


วันอาทิตย์ที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2563

Growth & Multiple ที่ขับเคลื่อนหุ้นหลายเด้ง ในตลาดหุ้น


 ‘ทำไมราคาหุ้น ถึงแพงกว่ากำไรเสมอ ?’


หลายคนสงสัยว่า หุ้นบางบริษัท กำไรแค่ 100 ล้านบาทต่อปี ...แต่ทำไมราคาหุ้นจึงเป็น 1,000 ล้านบาท


โห!! อธิบายยาวละ ...แต่จะบอกว่า ‘นี่คือ เสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่ทำให้เจ้าของ และ นักลงทุน กลายเป็นเศรษฐี’


การรวยจากหุ้นเยอะๆ มันก็คือ เรื่องนี้แหละ ...มันเป็นความสัมพันธ์กัน ระหว่าง Growth & Multiple


‘Growth’ คือ กำไรของหุ้นที่เติบโต ...อันนี้เป็นเสมือนเจ้ามือตัวจริง ที่กำหนดว่า ราคาจะขึ้นหรือลง


‘Multiple’ คือ ‘ตัวคูณของกำไร’ ...ตัวนี้แหละ ที่ทำให้หุ้นขึ้นลง หลายๆ เด้ง ...Multiple จะถูกขับเคลื่อนด้วยอารมณ์ของนักลงทุน ...แบบว่า แห่ซื้อหุ้นแพงที่วิ่งขึ้น และ ทิ้งหุ้นขายหนีเวลาหุ้นลง 


ผมขอสรุปเป็น ข้อๆ ดังนี้


1. ‘นักลงทุนให้ค่า ตัวคูณ เป็นเท่าๆ ของกำไร’ ...นักลงทุนยอมซื้อหุ้นแพงกว่ากำไร เป็นเท่าๆ ขึ้นกับการเติบโตของธุรกิจ ...เราเรียกค่านี้ว่า P/E ...เช่น P/E 10 ก็คือ นักลงทุนยอมซื้อหุ้น 10 เท่าของกำไร (ถ้าหุ้นตัวนี้ไม่ได้เข้าตลาด ต้องทำกำไรอีก 10 ปี ถึงจะมีมูลค่าเท่า P/E 10 นั่นเอง)


2. ‘ค่า P/E จะสูง หรือ ต่ำ ขึ้นกับการเติบโตของกำไรบริษัท’ ...เช่น กำไรโตปีละ 10% ค่า P/E ก็ควรจะประมาณ 10 เท่า ...กำไรโต 20% ค่า P/E ก็น่าจะประมาณ 20 เท่า


3. ‘นักลงทุนสามารถรวยจาก ค่า P/E ที่สูงขึ้น และ ก็สามารถเจ๊ง จากค่า P/E ที่ถูกปรับลง’ ....ถ้าเราซื้อหุ้นที่ P/E 10 จากนั้น กำไรเติบโตเยอะ ...นักลงทุนคนอื่น อาจยอมซื้อที่ P/E ที่สูงขึ้น เช่น 20 เท่า ...คนที่ซื้อไว้ก่อนหน้าย่อมกำไรมหาศาล 


ในทางกลับกัน หากเราซื้อหุ้นที่ P/E สูง แล้วกำไรเกิดแย่ลง ...นักลงทุนคนอื่นอาจไม่ยอมซื้อหุ้นนี้ที่ P/E สูงอีกต่อไป ...ดังนั้น คนที่ถือก่อนหน้า ย่อมขาดทุนมหาศาล 


4. ‘หุ้น P/E สูง ระวัง การเติบโตลดลง’ ...เพราะ แค่การเติบโตลดลง เราก็สามารถติดดอย ทั้งที่บริษัทก็ไม่ได้เจ๊ง ...แต่เราเจ๊งเรียบร้อย !!


5. ‘หุ้น P/E ต่ำ ระวังมันไม่โต’ ...หุ้น P/E ต่ำ โดยมากปลอดภัย แต่กับดักของมันคือ ไม่โต ดังนั้น คนถือ อาจได้แค่ เงินปันผล เป็นหลัก (แต่ถือแล้วราคาหุ้นก็ไม่ไปไหน)


6. ‘คนที่รวยหุ้นหลายเด้ง เกิดจาก ซื้อหุ้น P/E สูง ตั้งแต่ตอนที่มันต่ำ แล้วทนถือได้’ ...เราต้องรู้ว่า กำไรบริษัทนี้จะโต 


ถ้าเราสามารถเลือกหุ้นที่กำไรโต 3 เท่า ในเวลา 3-5 ปี เราก็จะเจอหุ้น 5 เด้งนั่นเองครับ


นี่แหละเสน่ห์ของตลาดหุ้น Growth & Multiple ที่ถูกขับเคลื่อนด้วย Greed & Fear ของนักลงทุน ...ใครอ่านขาด คนนั้นคือผู้ชนะครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2563

6 ทัศนคติ ที่จะทำให้ชีวิตดีขึ้น รุ่งขึ้น

 6 ทัศนคติ ที่จะทำให้ชีวิตเราดีขึ้น รุ่งขึ้น


..คนเราคิดแบบไหน ผลลัพธ์ชีวิตก็จะเป็นแบบนั้น ...เลยมีคำถามเกิดขึ้นว่า ‘แล้วคิดยังไง จึงจะ ผลลัพธ์ ให้รวย รุ่ง ดี อ่ะ’ ...โอเคมาดูกัน


1. ‘ความผิดพลาดครั้งนี้ มันเกิดขึ้นจากเรา’ ...ทุกคนย่อมเคยเจอ ความผิดพลาดในชีวิต และบ่อยครั้งที่เราชอบโทษคนอื่น ..โทษพ่อ โทษแม่ โทษเพื่อน โทษคนอื่น อาจจะทำให้เรารู้สึกดีขึ้น แต่มันไม่ทำให้ชีวิตดีขึ้น ...เพราะ การโทษคนอื่น ไม่ทำให้เราเรียนรู้ และ สุดท้ายเราก็อาจจะผิดพลาดเรื่องเดิมๆ ซ้ำแล้ว ซ้ำอีก 


ยอมรับความผิด เรียนรู้ แล้วแก้ไข ...เราจะโตขึ้น เก่งขึ้น ทุกครั้งที่ผิดพลาด


2. ‘ความสำเร็จครั้งนี้ เพราะทุกคนช่วยกัน’ ...คนส่วนใหญ่เวลาผิดพลาดจะ โทษว่า ดวงไม่ดี ..แต่ถ้าสำเร็จจะบอกว่า เพราะ ฝีมือของฉันเอง ...’ฉันผิดพลาดเพราะดวงไม่ดี แต่ฉันสำเร็จเพราะฝีมือ!!’ ...เอาตรงๆ นะ ความสำเร็จที่ยกตัวเอง จะเป็นอุปสรรคสำคัญต่อความสำเร็จที่มากขึ้นในครั้งต่อไป 


ไหนๆ ครั้งนี้ ก็สำเร็จอยู่แล้ว ...การยกเครคิตความสำเร็จ ให้คนที่เราแคร์ ย่อมมีประโยชน์มากกว่ายกตัวเอง ....’ทีมผมเก่ง’ , ‘ลูกน้องผมเก่ง’ , ...แล้วคนที่คุณแคร์จะช่วยให้เราสำเร็จต่อไป 


3. ‘งานที่ฉันทำ แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้คนอื่น’ ...ลึกๆ แล้วเราทุกคนอยากมีเหตุผลดีๆ ที่เรามีชีวิตอยู่ ทุ่มเท ทำงานหนักเพื่อสิ่งที่ดี ...ใช่!! ลึกๆ แล้ว เราทุกคนอยากที่จะเป็นคนดี 


การตั้งเป้าหมาย ด้วยสิ่งที่ดี จะทำให้เรา ภูมิใจในสิ่งที่เราทำ สนุกกับมัน อย่างมีพลัง ...นี่แหละ คือ การให้ความหมายกับชีวิตที่ขับเคลื่อนด้วย Passion และ Power !!


4. ‘การสร้างความสำเร็จอย่างยั่งยืน เริ่มที่กิจวัตรประจำวัน’ ...คนเราพูดขยายความสำเร็จจน over ...จริงๆ แล้ว ความสำเร็จแทบทุกเรื่อง มันเริ่มที่การเปลี่ยนกิจวัตรประจำวันเล็กๆ นี่แหละ ....เช่น คนที่อยากลดน้ำหนัก เราเริ่มที่สร้างนิสัยการตื่นมาวิ่งทุกเช้า มันจะลดน้ำหนักยั่งยืนกว่า การลดน้ำหนักเร็วๆ แล้ว สุดท้ายกลับไปโยโย่ หนักกว่าเดิม , หรือ การลงทุนให้รวย มันเริ่มง่ายๆ ที่การแบ่งเงินมาลงทุน ก่อนจ่ายเงิน อย่างสม่ำเสมอ 


5. ‘ถูกของเรา อาจไม่ใช่ถูกสำหรับคนอื่น’ ...สมัยเด็กผมมักใช้ความคิดของผม ในการตัดสินคนอื่น และตัดสินสิ่งต่างๆ ...คนนี้ ทำถูก , คนนี้ทำผิด ....แต่พอเราโตขึ้น เราก็เข้าใจมากขึ้นว่า ‘สิ่งที่ถูกยิ่งกว่า คือ เราไม่ไปตัดสินคนอื่น ดีที่สุด’ 


ผมชอบคำพูด ที่ว่า ‘โลกเราเจริญเพราะ ความรัก’ ...ใช่!! เราทั้งสร้าง พัฒนา ทำสิ่งที่ดีเพราะเรามีความรัก ....แต่ถ้าวันใดที่ความเกลียดเกิดขึ้น เราอยากที่จะทำลาย ...ทำลายทั้งคนรอบข้าง และ ทำลายตัวเอง ...ให้มันพังกันทุกคน !! (ไม่น่าจะดีนะ)


6. ‘เลือกสิ่งที่เสี่ยงกว่า ที่เราคุมความเสี่ยงได้’ ...มีน้องมาปรึกษาผมว่า เขาอยากรุ่ง อยากประสบความสำเร็จ ....ผมก็บอกไปว่า ‘ชีวิตคือ ทางเลือกเสมอ’ ...เรามีทางเลือกให้เราได้เลือกตลอดเวลา ...ถ้าอยากก้าวหน้า ก็ให้เลือกทางเลือกที่เสี่ยงกว่า แต่ให้แน่ใจว่า ความเสี่ยงนั้นไม่ทำให้ชีวิตพัง 


เส้นบางๆ ระหว่าง การพนัน กับ การลงทุนอย่างชาญฉลาด ก็คือ การควบคุมความเสี่ยง บนทางที่เราเลือกเองนั่นแหละ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




7 ข้อควรรู้กับการ อดทนรวย

 7 ข้อควรรู้ กับการ ‘อดทนรวย’


คำว่า ‘อดทนถึงที่ได้ดีทุกคน’ สามารถใช้กับหุ้นได้ ..แต่!! คุณต้องเข้าใจ 7 ข้อนี้


1. ‘อดทนรวย ใช้ได้กับสินทรัพย์เท่านั้น’ ...การจะถือแล้วรอให้สิ่งนั้นราคาขึ้นจนเรารวย ต้องแน่ใจว่า สิ่งนั้น เป็น สินทรัพย์ (ถ้าไม่ใช่สินทรัพย์ ทนถือไป ก็ไม่ขึ้น เสียเวลาเปล่า)


2. ‘มันต้องไม่ใช่เงินทั้งหมดของคุณ’ ...คนส่วนใหญ่มักมีแนวคิดกับการลงทุนคล้ายๆ การพนัน คือ จัดเต็ม มีเท่าไหร่ใส่หมด!! ...เออ!! มันเหมาะกับธุรกิจนะ แต่มันไม่เหมาะกับการลงทุน ...การลงทุนต้องลงเป็นพอร์ต ไม่ใช่ใส่เป็นตัว ต้องระวังจุดนี้ให้ดีครับ


3. ‘เราต้องตีมูลค่าของสินทรัพย์เป็น’ ...ในเรื่องหุ้น การตีราคาสินทรัพย์ คือ เราต้องอ่านงบการเงินได้ ...พูดง่ายๆ คือ อ่านงบ ต้องบอกได้ว่า หุ้นตอนนี้ ถูกหรือแพง (แต่แค่นี้ไม่ใช่ทั้งหมดนะ การรู้ว่าถูกหรือแพง มันแค่เริ่มต้น ก้าวแรกของการเป็นนักลงทุนจริงจัง)


4. ‘เข้าใจวัฏจักรของราคา’ ...ทุกอย่างที่มีราคา ย่อมมี ‘รอบ’ เสมอ ...คือ เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป แล้วเกิดขึ้นใหม่ วนแบบนี้ไปเรื่อยๆ ....มืออาชีพจะซื้อสินทรัพย์ตอน ดับไป เพื่อรอการเกิดขึ้นใหม่ของรอบต่อไป ...แต่มือสมัครเล่น มักซื้อในช่วงที่ดี มีคนเชียร์ กำลังคึกคัก ซึ่งมักอยู่ในจังหวะที่แพงเสมอ


5. ‘กล้าซื้อในวิกฤต’ ...การกล้าซื้อในวิกฤตเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แต่จริงๆ มันเริ่มมาจาก เราวางแผนเพื่อเตรียมเงินที่จะซื้อหุ้นในวิกฤต ....เพราะปกติถ้าไม่เตรียม เราจะไม่มีเงินตอนที่ตลาดเกิดวิกฤต (ก็ซื้อไปข้างบนหมดแล้ว พอตลาดเกิดวิกฤต ก็ติดดอย ไม่มีเงินมาช้อนซื้อเพิ่ม) ...ดังนั้น จุดสำคัญ คือ เตรียมเงินก้อนนึงไว้เสมอเพื่อวิกฤต แล้วพอมันเกิดวิกฤต เราต้องกล้าเอาเงินนั้นออกมาซื้อ (ใช่!! โคตรยาก ..คนที่ทำได้เลยโคตรรวยไง)


6. ‘ถืออย่างน้อยผ่าน 2 วิกฤต’ ...ในตลาดหุ้น วิกฤตใหญ่มาทุกๆ 10 ปี ...คนที่เริ่มต้นดี คือ ได้ซื้อตอนวิกฤต ...แต่การจะรวยสุด จนมีอิสรภาพทางการเงิน ต้องกล้าที่จะ ถือผ่าน 2 วิกฤต ...สิ่งที่ทำให้คนส่วนใหญ่ถือได้แค่รอบเดียวเพราะ ไม่สามารถทนให้ราคาหุ้นย่อลงมาเยอะๆ (พอราคาลงมา ก็ขายไป จากนั้น พอรอบใหม่ ก็ต้องมาเริ่มทุกอย่างใหม่นั่นเอง)


7. ‘สร้างทัศนคติของการคิดต่างอย่างสม่ำเสมอ จนเป็นนิสัย’ ...ข้อนี้สำคัญสุด เพราะ คนที่สำเร็จไม่เหมือนใคร ก็ต้องเป็นคนที่คิดต่างจากคนอื่น ..คำว่า คิดต่างนี่เข้าใจยาก เพราะ ทุกคนก็คิดว่าตัวเองคิดต่าง แต่เอาเข้าจริง มันเหมือนๆ กัน


การจะวัดว่า ‘เราเป็นคนคิดต่าง’ ต้องฝึกดูว่า เราเห็นโอกาสทุกครั้งไหมในเวลาที่เกิดวิกฤต ...เห็นแล้วเรากล้า Take Chance อันนั้นไหม ? ...ก็ถ้า เห็น แต่ไม่ทำอะไร มันก็เหมือนไม่เห็นนั่นแหละ 


‘ก็รู้แบบนี้ ฉันรวยไปนานแล้ว’ ..ครับ!! งั้น รอบนี้ อย่าพลาด ขึ้นครั้งนี้ต้องมีเรานะ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

วันศุกร์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2563

7 ข้อ Selfmade ยังไงให้รวยกว่าคนได้มรดก

 7 ข้อ Selfmade อย่างไร ให้รวยกว่า คนได้มรดก


เราปฏิเสธไม่ได้ว่า โลกยุคนี้ คนที่ Selfmade สามารถรวยได้มากกว่าคนได้มรดก ...ไม่ว่าจะเป็น Jeff Bazos , Elon Musk , Mark Zuckerberg ..ถ้าลองไป list รายชื่อจะพบว่า คนที่รวยแบบสุดขีดจำนวนมาก สร้างตัว ด้วยตัวเอง 


ใช่!! บ้านเราอาจจะมีน้อยมาก แต่เราก็เห็น ‘อายุน้อยร้อยล้าน’ เกิดขึ้นจำนวนมาก จากธุรกิจที่หลากหลาย 


ผมขอรวบรวม แนวทางการสร้างตัวของคนเหล่านี้มาให้ 7 แบบ ลองดูซิว่า แบบไหนที่เอาไปปรับใช้กับเราได้บ้าง


1. ‘อย่าคิดใหญ่ ให้ทำอะไรบ้านๆ’ ...หลายคนอาจคิดอยากทำโรงไฟฟ้า ธุรกิจสัมปทาน หรือ ผูกขาด ...นั่นคือ เจ้าสัวยุคเก่าครับ ...เจ้าสัวยุคนี้ เริ่มจากธุรกิจบ้านๆ เช่น ขายสุกี้ , เปิดร้านขนมหวาน , ขายขนมขบเคี้ยว , ขายน้ำดื่ม , ขายคอม , ขายเครื่องสำอางค์ , ขายอาหารเสริม ...ข้อแรก สอนเราว่า อย่าเริ่มแข่งกับคนตัวใหญ่ ให้เริ่มแข่งกับคนตัวเล็ก แล้ววางแผนโตจากจุดนั้นแหละ


2. ‘อย่าแค่ขายดี แต่ให้สร้างระบบ’ ...การขายดีไม่ทำให้เรารวย เพราะ วันนึงขายดี อาจมีวันนึงขายไม่ดี ..สิ่งที่ต้องสร้างคือ ‘ระบบ’ ...ต้องคิดตั้งแต่ยังเล็กๆ ว่า ธุรกิจจะสามารถขยายได้อย่างไรโดยไม่มีเรา ...ท่องไว้ ‘ระบบ’ คือ หัวใจของการขยาย


3. ‘ลูกค้าต้องคลั่งไคล้ในสินค้าเรา’ ...ถ้าธุรกิจเราคือการขายสินค้าธรรมดาเพื่อตัดราคาคนอื่น ต้องปรับตัวด่วน เพราะ มันไปต่อยาก ...ยุคนี้ต้องเริ่มจาก ลูกค้าที่คลั่งไคล้ ...ยอมจ่ายแพง ...ใช้แล้วแนะนำเพื่อนต่อ ...ภาษาคนรุ่นใหม่ เขาบอกว่า ‘มันเริ่มจาก Passion’ ...ก็ถูกของเขานะ ...สินค้าที่ไปต่อได้ นอกจากแค่ คุณภาพดี มันต้องมี ‘อารมณ์’ ร่วม 


4. ‘เข้าตลาดหุ้นได้’ ...เศรษฐีรุ่นใหม่ที่รวยแล้วสบาย คือ คนที่สามารถพาธุรกิจของตัวเอง เข้าไปในตลาดหุ้นได้ ...หัวใจคือ การสร้างระบบ การควบคุมภายใน และ การวางแผนเติบโตอย่างเป็นระบบ ....เงินตัวเอง หรือ เงินกู้ธนาคาร ไม่พอให้คุณโตก้าวกระโดด ...ต้องเงินจากตลาดหุ้น นี่แหละ โตก้าวกระโดดของจริง 


5. ‘อดเปรี้ยวไว้กินหวานได้’ ...โดยปกติคนที่สำเร็จเร็ว ก็อยากโชว์ อยากใช้เงิน ...แต่ถ้าใครใช้เร็วไป มันไปไม่ไกล ...ยกตัวอย่าง คนที่สามารถเข้าตลาดหุ้นได้ จะได้เงินก้อนใหญ่ ...ถ้าเอาเงินก้อนนั้นมาขยายอย่างจริงจัง ก็จะทำให้ธุรกิจโตได้อีกมหาศาล 


6. ‘เลือกทางเดิน ที่เสี่ยงกว่าเสมอ’ ...อันนี้เป็นความแตกต่าง ระหว่าง Selfmade กับ คนที่ได้มรดก ...คนที่ Selfmade มักเลือกทางเลือกที่เสี่ยงกว่า สุดโต่งกว่า ...ส่วนคนที่ได้มรดก จะเลือกทางเลือกที่ปลอดภัย เพราะ เขาเสียไม่ได้ และไม่ควรเสีย ...จุดนี้เอง ทำให้พวก Selfmade เจอโอกาสที่คนอื่นไม่เจอ ...นั่นคือ น่านน้ำใหม่ , ธุรกิจใหม่ ....มันก็เริ่มจาก เลือกทาง ที่ไม่ค่อยมีใครกล้าทำนั่นแหละ


7. ‘กล้าที่จะให้รางวัลลูกน้อง’ ...คนที่ Selfmade เขาหาเงินมาเอง ก็ย่อมกล้าที่จะจ่าย จะให้รางวัลลูกน้องที่เก่ง ...ทำให้เขาได้ใจลูกน้องมากกว่า ...เมื่อทีมแข็ง และ เก่ง มันก็ไปต่อได้ไม่ยาก 


เอาตรงๆ นะ คนที่มีฐาน เขาก็ย่อมมีแต้มต่อ เริ่มง่ายกว่า แต่หลังจากนั้น มันขึ้นกับ ฝีมือ และ การต่อยอด ที่จะกำหนดว่า ด้วยตัวเรา เราไปได้ไกลแค่ไหน 


เอาใจช่วยนักสู้ชีวิตทุกคน ...จัดไปครับ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 14 ตุลาคม พ.ศ. 2563

จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผม

 


‘จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผม’ 
 
..ไม่ได้แบบอยู่ดีๆ ก็ค้นพบพรสวรรค์ ...เอาว่า จุดเริ่มต้นของผมในตลาดหุ้น คือ ช่วงที่ผมอายุ 20 กว่าๆ ไปเรียน ป.โท ที่ออสเตรเลีย แล้วก็ทำธุรกิจร้านอาหารไปด้วย ...คือ แบบเปรี้ยว ฟิตจัด ...เจ๊งครับ!! ...เรียนก็ไม่จบโท ...อ้าว ซวยดิ!! 
 
เคว้งเลย.. แบบเป๋เลยกรู !! ...เอาตรงๆ วันนั้น มันไปต่อไม่ได้ แต่ไม่อยากกลับประเทศ ...อยากกลับบ้านเก่ามากกว่า (วันนี้ย้อนนึกแล้วขำ แต่เอาตรงๆ วันนั้น ไม่ขำ)
 
เวลาผมทำอะไร ทุ่มสุดๆ ...ก่อนเจ๊ง นี่เกือบรวยเลยนะ เพราะ เปิดร้านอาหารไปตั้ง 5 สาขา แล้วกำลังวางแผนจะทำ แฟรนไชส์ แต่ดันมาเจอวิกฤตเศรษฐกิจ ....สายป่านไม่พอ ก็จบ ...รู้เลยว่า ‘คนต่างชาติ มันเป็นชนชั้นที่ไม่ง่ายเลย โดยเฉพาะเอเชียอย่างเรา’ ..เลยเข้าใจคนเลยว่า การเริ่มอะไรเองมันยากแค่ไหน 
 
‘เอาเถอะ ผ่านมาแล้ว’ ...แต่คุ้มนะ ...ผมว่า การล้มเหลวในวันนั้น มันสอนอะไรเยอะมาก
ที่สำคัญมันลด ego ลง และเพิ่มความฉลาดมากขึ้นว่างั้น
 
...จริงๆ กลับประเทศไทยมาในเวลานั้น ...โคตรเข็ดขยาด ไม่กล้าทำอะไรแล้ว กลัวล้มอีก ...ก็เลยไปสมัครเป็นลูกจ้าง ...หางานทำ ...ผมจะมาเอาดีกับการเป็นลูกจ้าง แล้วไต่เต้าเป็นผู้บริหารมืออาชีพให้ได้ !!!
 
....จุดเริ่มต้นในตลาดหุ้นของผมคือ พ่อเรียกไปคุย บอกว่า ไม่ต้องไปคิดมาก ที่เอาเงินที่บ้านไปเจ๊งที่ออสเตรเลีย
 
“เอ่อ!! พ่อครับ ...พูดแบบนี้ ผมคิดมาก หนักเข้าไปอีก”
 
พ่อบอกว่า เงินที่เจ๊งไปแล้วช่างมัน แต่พ่อแม่เหลือเงินเก็บอยู่นี่ก้อนสุดท้ายแล้ว ...เอาไปช่วยดูซิ ว่า จะลงทุนยังไง ให้มันดี 
 
....ผมนอนไม่หลับเลย ....เอาตรงๆ ที่กลับมาเป็นลูกจ้าง เพราะ ไม่อยากเป็นภาระให้ครอบครัวอีก ...ไม่อยากจะแตะเงินที่บ้านอีกแล้ว ...เจ๊งไปเยอะแล้ว พอแล้ว 
 
...แต่ก็ พ่อให้โจทย์มาแล้ว ผมก็ต้องทำ 
 
‘โจทย์ผมก็คือ เสียไม่ได้ เพราะ นี่เป็นเงินเกษียณก้อนสุดท้าย ...’
 
...เข้าตลาดปั๊บ ...ต้นปี 2008 ...ปลายปี Hamburger Crisis ...’รับน้องใหญ่เลย !!’ ...อวกดิครับ เข้าตลาดปั๊บ ก็เจอ วิกฤตตลาดหุ้น 2008 อีก !!
 
ผมได้เรียนรู้ ก็คือ 
 
1. ‘โลกนี้ช่างโหดร้าย โดยเฉพาะโลกการเงิน’ ...ไม่มีอะไรง่ายๆ ...ดังนั้น ผมจะซื้อหุ้นเวลาที่ผมรู้สึก ไม่สบายใจ กังวล (ถ้าซื้อหุ้นตอนที่เราสบายใจ แปลว่า ซื้อแพง ...เดี๋ยวมีหนาว ...ถ้าซื้อหุ้นถูก ต้องตอนที่ไม่สบายใจ งงๆ แบบตลาดหุ้นไทยปีนี้เลย)
 
2. ‘อะไรที่คนอื่นว่าดี แปลว่า มันไม่มีกำไรเหลือแล้ว’ ...ถ้าใครชวนผมลงทุนในอะไรก็ตามที่มันกำลังฮิต ...ใครๆ ก็กำไร ....ผมจะถอย ...หรือ ถ้าผมมี ผมจะทยอยขายทิ้ง เพราะ หลังจากนั้นไม่นาน นรกรอ เราอยู่แน่นอน
 
3. ‘เตรียมพอร์ต สำหรับ Worst Case ที่สุดเสมอ’ ...มีคนถามผม ทำไมผมเล่นหุ้นชิวมาก ...ผมบอกเลย หุ้นระยะยาวทุกตัวที่ผมเลือก ผมวางเลย ว่า ถ้าไม่ศูนย์ไปเลย ก็ 5 เด้ง ...สมมุติพอร์ตผม 1 ล้าน ผมเลือกหุ้นเลย 10 ตัว ลงตัวละ แสน ...ทุกตัวต้องซื้อ ‘ต้นรอบ’ ...ก่อนซื้อ มันต้องมีศพข้างบนเยอะๆ แล้วอ่านงบ ต้องรอดได้แบบไม่ต้องเพิ่มทุน ...หุ้นพวกนี้ ถ้าไม่เจ๊งไปเลย ก็หลายเด้ง (ด้วยวิธีการนี้ ผมแค่เลือกหุ้นถูกสัก 2 ใน 10 ตัว พอร์ตก็โตกระฉูดละ ...แล้วหุ้นที่เจ๊งไปเลย เอาตรงๆ นะ อย่างมาก มี 1-2 ตัว พอร์ต ก็แทบไม่กระทบ) ...ถ้าทำนานพอ พอร์ตโตขึ้น ทีนี้ปันผลเริ่มเลี้ยงเราละ 
 
4. ‘ออมในหุ้นไปเลย’ ...พูดง่ายๆ ถือหุ้นแทนเงินฝากเลย ...ซื้อหุ้นดี ในจุด ต้นรอบ จากนั้นไม่ขายเลย ...ถือรับปันผล ...ให้ปันผลนั่นแหละเลี้ยงเรา ...ผมคำนวณแล้วว่า ทำแบบนี้ไปเรื่อยๆ วันนึง ต้องรวยก่อนเกษียณแน่ๆ
เอาเข้าจริง ทำมาแค่สิบกว่าปี ...ปันผลผมมากกว่า ค่าใช้จ่ายรายเดือนแล้ว ...เฮ้ย!! นี่มันคือ Passive Income มากกว่า expense ก็คือ อิสรภาพทางการเงินแล้ว 
 
ไม่ได้รวยมากมาย ...แค่เริ่มสบายทางการเงิน ...พอเรามี passive แบบนี้ ก็ไม่จำเป็นต้องเลิกทำงานนี่ ? ...เพียงแต่เราทำงาน แบบไม่กดดัน 
 
สรุปว่า สิ่งที่ผมเรียนรู้ มันทำแล้วดี ...มันดีกว่า แนวคิดตอนเด็กๆ ที่ทำสุด ถ้าไม่สำเร็จ กรูยอมตาย ...นั่นมันละครน้ำเน่า ...จะพันล้านอะไรบ้าบอ 
 
ชีวิตจริงน่ะ ...มันต้องวางแผนชัด ไม่เพ้อฝัน แล้วอดทนทำตามแผน ...ผมฟันธงเลย คนที่สำเร็จในชีวิตจริง มันต้อง ‘วิธีการชัด แล้วอดทน’ 
 
อดทนรวย !! ....ใช่ ‘อดทนรวย’ ครับ
 
เขียนมาซะยืดยาว จะบอกว่า ‘แนวทางการลงทุนของผม ...ผมได้เขียน แชร์ ทั้งวิธีคิด วิธีทำ ไว้ในหนังสือเล่มใหม่’ ...หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง 
 
ก็ฝากไว้ครับ สำหรับคนที่สนใจลงทุนในหุ้น หรือ จะซื้อฝาก พ่อแม่ พี่น้อง เพื่อน แฟน ...ส่งความรู้และแรงบันดาลใจ ในการเปลี่ยนชีวิต ผ่านหนังสือ ที่อ่านง่ายๆ ตรงๆ กันได้ครับ
จัดไป !! ‘อดทนรวย’ 
 

หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง วางแผงแล้วครับ

 

‘ทยอยวางแผงแล้วครับ ที่ร้าน SE-ED น่าจะทุกสาขานะครับ’ ...หรือ สั่งซื้อที่ร้าน SE-ED ออนไลน์ ได้ที่ลิงค์นี้ครับ
....หนังสือเล่มในรอบ 5 ปีของผมเลย ..’ห่างหายจากการออกหนังสือเล่มใหม่ไปนานมากเลย!!’ 😅
 
...’เล่มนี้เขียนเพื่อให้ คนที่เป็นมือใหม่สนใจเล่นหุ้น หรือ คนที่กลับมาเล่นหุ้น ให้เข้าใจตลาดหุ้นยุคนี้ที่เปลี่ยนแปลงแบบง่ายๆ สไตล์ผม 
 
คือ เล่นหุ้นให้ถูก มันต้องไม่ซับซ้อน และ ผลลัพธ์แบบเหนื่อยครั้งเดียวแต่ให้ผลลัพธ์ตลอดไป’

‘อยากเข้าใจหุ้นยุคนี้ แบบง่ายสุด ถูกสุด ..หนังสือเล่มนี้เลย ..ส่งต่อความรู้ และ แรงบันดาลใจ ของตัวเรา หรือ ให้เพื่อน พี่ น้อง ก็ใช้หนังสือนี่แหละครับ!!’

วันจันทร์ที่ 12 ตุลาคม พ.ศ. 2563

หนังสือ มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง


‘ทำไมผมยังเขียนหนังสือ ที่เป็นเล่มอยู่ ...ยุคนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือกันแล้ว!!’ 

  ...ต้องบอกตรงๆ ว่า ผมเริ่มจากการเป็น ‘นักเขียน’ ...เขียนหนังสือหุ้น ก็เป็นสิบปีละ ...เขียนมาเป็นสิบเล่ม สิ่งที่ผมสังเกตเห็นการเปลี่ยนแปลง ก็คือ ‘คนซื้อหนังสือน้อยลงเรื่อยๆ ...เอาจากตัวผมเอง ก็ยังซื้อหนังสือน้อยลงเลย’ ...แต่คนอ่านไม่ได้ลดลง ...ทุกคนวันนี้คนกลับอ่านเพิ่ม ศึกษาเพิ่ม ‘คนรุ่นใหม่ใฝ่รู้กันมากขึ้นเรื่อยๆ เพียงแต่รูปแบบการอ่านมันเปลี่ยนไปก็เท่านั้นเอง’ 

  แต่ส่วนตัว ผมก็ยังคิดว่า ‘หนังสือที่เป็นเล่มมันยังมีเสน่ห์’ ...แม้จะทำแล้ว แทบไม่ได้เงินก็ตาม ฮ่า ฮ่า ฮ่า (หัวเราะแบบแห้งๆ ..555) 

1. มันราคาไม่แพง ใครๆ ก็ซื้อได้ 

2. มันรวบรวมความคิด แบบไม่กระจัดกระจาย 

3. มันส่งต่อแรงบันดาลใจ (อยากให้ของขวัญเปลี่ยนชีวิตดีๆ ก็ซื้อหนังสือดีๆ ให้ ...ใช้เงินน้อยสุด ในการเปลี่ยนชีวิตแล้ว) 

4. ‘Classic’ มันขลังดี ...บทความออนไลน์เขียนแล้วมันหายไป แต่หนังสือ มันจารึกตลอดไป ...ขลังโคตรๆ ละ เลยต้องทำต่อไป ‘หนังสือ เล่มใหม่นี้ มีดีอะไร ?’ 

 พอผมอายุมากขึ้น ..ประสบการณ์มันก็เพิ่ม ...ความเกรียนมันก็ลด ...เวลากลับไปเปิดอ่านหนังสือเล่มเก่าๆ บางทียังรู้สึกว่า ‘ช่างกล้านะ’ ...วันนี้พอเราผ่านเรื่องราวต่างๆ ...เราก็รู้จักตัวเองมากขึ้น ...ชัดเจนขึ้น และ เลือกสิ่งที่ใช่กับตัวเรา

 หนังสือ ‘มือใหม่หุ้น ลงทุนเก่ง’ เล่มนี้ก็เช่นกัน ผมเขียนขึ้น ให้คนรุ่นใหม่ที่สนใจหุ้น สามารถเข้าใจตลาดหุ้นที่เปลี่ยนไป ได้แบบง่ายๆ ...พร้อมทั้งเสนอแนะวิธีการที่ผมทำแล้วได้ผลดี ... ‘ทำยังไงให้รวยจากหุ้น ...ต้องรวยแล้วสบายด้วย ไม่ใช่แค่รวยเฉยๆ’ 

ใครกำลังศึกษาเรื่องหุ้น หรือ อยากส่งต่อ ความรู้และแรงบันดาลใจให้เพื่อน พี่น้อง หรือใครก็ตาม ก็ลองใช้หนังสือเล่มนี้ได้ครับ จัดไป 

 #มือใหม่หุ้นลงทุนเก่ง #ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 หลักคิด ผ่านทุกวิกฤตสบายสบาย

 7 ข้อคิด ปรับตัวอย่างไรในช่วงเศรษฐกิจไม่ดี


วันนี้คนบ่นกันเยอะว่า เศรษฐกิจไม่ดี ขายของไม่ได้ คู่แข่งก็เพิ่ม แต่รายจ่ายก็ไม่มีลด ...แต่ก็มีหลายๆ คนที่แทบไม่กระทบเลย ..บางคนดีขึ้นอีก ...เอาตรงๆ พวกนี้เขามีของดีอะไร จะไปเช่ามาบูชาบ้าง !!


ผมพอจะสังเกตแล้ว รวบรวมวิธีคิดของคนที่ปรับตัวได้ แถมดีขึ้น ทุกวิกฤต มาลองดูกัน


1. ‘คนเหล่านี้ไม่เคยคุยเรื่องปรับตัวเลย ...เพราะ เขามีวิถีการทำงานที่ต้องปรับตัวตลอดเวลาอยู่แล้ว’ ...งานแบบใหม่ มันจะต้องปรับปรุงให้ดีขึ้นทุกวัน อย่างพวกงานไอที เราจะเห็นเขาเขียนโปรแกรมพัฒนา version ไปเรื่อยๆ ไม่หยุด ...ถ้าเราฝึก ปรับปรุงงานที่เราทำทุกวัน เราจะแทบไม่ต้องสนคำว่า ปรับตัว เพราะ เราทำอยู่แล้วเป็นวิถีชีวิตของเราเลย


2. ‘คนที่มุ่งสร้างรายได้หลายทาง’ ...สมัยก่อนจะพูดกันว่า ต้องมีเงินเก็บ แต่เอาตรงๆ นะ ยุคนี้ ต้องมีรายได้หลายทาง ...อย่างผม สายหุ้น ก็ต้องมี ‘ออมหุ้น’ บ้าง เพื่อรับปันผลชิวๆ ไม่ใช่มัวแต่เทรด ...สายธุรกิจก็ต้องมีสร้างระบบ สร้างเชน ขายแฟรนไชส์อะไรก็ว่าไป


3. ‘คนที่ชอบเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ’ ...วันนี้เราเห็นธุรกิจโตเร็ว ออนไลน์อะไรพวกนี้ เพิ่งมาบูม ไม่กี่ปีเอง ...แปลว่า คนที่เป็นนักธุรกิจรุ่นใหม่ ก็คือคนที่เรียนรู้และทำสิ่งใหม่ๆ ไปเรื่อยๆ ...อย่าหยุดเรียนสิ่งใหม่ๆ ครับ แล้วโอกาสใหม่ๆ จะโผล่มาเรื่อยๆ


4. ‘อย่าดูถูกเงินน้อย’ ...บางคนไม่ริเริ่มทำอะไรใหม่ๆ เพราะ มองว่า เงินมันน้อย ไม่คุ้ม ...แต่ธุรกิจรุ่นใหม่ๆ ก็เริ่มยากจุดที่เงินน้อยทั้งนั้นแหละ ...เราเห็นไอเดียที่สมัยก่อนไม่ได้เรื่อง กลายเป็นธุรกิจรุ่งเรือง เพราะ เทคโนโลยีมันเปลี่ยน เช่น ธุรกิจเล็กแต่กล้าสร้างแบรนด์เอง (ถ้ายุคก่อน ต้องรับจ้างผลิต) แต่ยุคนี้มีออนไลน์ ธุรกิจเล็กก็สร้างแบรนด์ได้ แล้วใหญ่ได้ ...ต้องกล้าเปิดใจมองครับ


5. ‘โอกาสไม่อยู่ที่คิด แต่อยู่ที่ทำ’ ...หมดยุคนักคิดแล้วครับ ...ยุคนี้เป็นยุคของนักทำ ...เอาตรงๆ ถ้าคุณไปศึกษา Model ของ Start up จะเห็นเลยว่า ธุรกิจรุ่นใหม่ที่ประสบความสำเร็จส่วนใหญ่ ไอเดียตอนเริ่ม กับ วันที่สำเร็จ มันแทบจะเป็นคนละเรื่องกันเลย ...ใช่ !! ทำเลย แล้วค่อยๆ คิดตามไป 


6. ‘เงินใครล่ะ’ ...เรื่องเงินเป็นปัญหาของธุรกิจสมัยก่อน แต่ทุกวันนี้ ถ้าคุณมีธุรกิจที่ดี ...มีคนพร้อมลงทุนให้คุณ ...แต่เงินก้อนแรก ต้องเป็นเงินเรา ...’เงินยุคนี้ สามารถวิ่งเข้ามาอย่างไม่จำกัด สำหรับธุรกิจที่ดีเท่านั้น ....ส่วนธุรกิจธรรมดา แค่หาเงินมาหมุนยังแทบไม่รอด!!’


7. ‘คุมรายจ่าย ให้เหมือนเศรษฐกิจย่ำแย่ตลอดไป’ ...คนที่ผ่านได้ทุกวิกฤต คือ คนที่คุมรายจ่ายได้ดี ...คิดง่ายๆ แบบนี้ ‘สิ่งที่เราได้ ควรมากกว่าที่เราจ่ายเยอะๆ’ เช่น ซื้อของ ลองดูซิว่า สิ่งที่เราได้รับคุ้มเงินที่จ่ายไหม ...ใช่!! ส่วนใหญ่ไม่คุ้ม (ต้องพยายามลด) ....เวลาลงทุนผม แหย่ เสมอ คือ เริ่มน้อย แต่ถ้าอันไหนดี ค่อยอัดเพิ่มหนักๆ 


หรือ อย่างใช้เงิน ผมสร้างกฏเหล็กกับตัวเองว่า ของที่ไม่จำเป็น ผมต้องใช้เงินปันผล มาซื้อเท่านั้น


 (ไม่ใช่แค่เอากำไรมาซื้อนะ ...นี่เอาปันผลมาซื้อ ...แปลว่า เงินต้นยังอยู่ตลอด) 


ผมว่า 7 ข้อคิดนี้ น่าจะสร้าง ‘วิถีของคนที่สามารถผ่านได้ทุกวิกฤตครับ’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2563

6 ข้อ เจ้าของรู้อะไรที่รายย่อยไม่รู้

 6 ข้อ เจ้าของรู้อะไรที่รายย่อยไม่รู้


บางครั้งรายย่อยคิดว่าเจ้าของรู้ แต่จริงๆมันไม่ใช่ ...มาดูกัน


1. ‘พื้นฐาน คือ เจ้ามือตัวจริงในระยะยาว’ ...ถ้าผลประกอบการดี ยังไงหุ้นก็ขึ้น ...แต่งงบ ยังง่ายกว่า พยายามลากหุ้นขึ้น 


2. ‘หุ้นที่รายย่อยถือเยอะ มันจะหนัก แล้วก็ขึ้นน้อย’ ...หุ้นที่จะขึ้นเยอะๆ เจ้าของต้องเก็บหุ้น ในช่วงที่รายย่อยขายหุ้น ...ถ้ารายย่อยถือน้อย หุ้นจะเบา วิ่งง่าย ว่างั้น


3. ‘การลากแล้วเทขาย มันรวยน้อย ...ที่รวยมากคือ ลากทั้งพื้นฐานและราคา’ ...ยุคก่อนจะเห็นเจ้ามือ ลากหุ้นแล้วขายทิ้ง ...แต่ยุคนี้มันกลายเป็น ลากให้ทะลุฟ้าไปเลย ...รวยสุด ยุคนี้ การเทขายเอาเงินสด เป็นเรื่องรอง


4. ‘นักลงทุนที่กำไร จะช่วยให้หุ้นน่าสนใจขึ้นไปอีก’ ...หุ้นช้ำ กับ ไม่ช้ำ คือ อยู่ที่คนเสียหายในหุ้นนั้นๆ ...ยิ่งหุ้นตัวไหน ทำคนเสียหายเยอะๆ ...อนาคตของหุ้นก็จะมืดมนตาม !!


5. ‘หุ้นก็เหมือนสินค้า จะฮิต จะแพง มันต้องมีศิลปะ’ ...เริ่มจากของมันดีจริงไหม ...คนซื้อแล้ว เขาได้กำไรไหม ..โฆษณาเกินจริงไหม ...มีพ่อยก แม่ยกไหม ...ทำให้หุ้นน่าสนใจ เหมือน สินค้ายอดนิยม


6. ‘หุ้นใหญ่ไปโตยาก แตกแล้วโตรวยกว่า’ ...บริษัทแม่ มันใหญ่ โตยาก ...ยุคที่โลกผันผวนแบบนี้ แตกธุรกิจแล้วขยายให้เร็ว รวยกว่า 


ก็พยายาม รู้ให้ทันเจ้า เราก็พอจะหาที่ยืนได้ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ เร่งพอร์ตอย่างไร ให้ไม่เสี่ยง ไม่เจ๊ง

 6 ข้อควรรู้ ‘เร่งพอร์ตอย่างไร’ ให้ไม่เสี่ยง ไม่เจ๊ง


การเร่งพอร์ต ก็คือ การใช้ Leverage เข้ามาช่วย ซึ่งมีอยู่หลายวิธี ...ก็เอาที่เรารับความเสี่ยงได้น่ะดีที่สุด


1. ‘ซื้อเพิ่มเมื่อถูกทาง’ ...รายย่อยมักคิดว่า ‘รู้งี้ซื้อมากกว่านี้ !!’ แต่จริงๆ เราสามารถซื้อหุ้นเพิ่มเมื่อมันขึ้น ...บางคนอาจมองว่าซื้อแพง แต่จริงๆ มันคือ ซื้อถูก ตราบเท่าที่หุ้นยังอยู่ใน Trend ขาขึ้น


2. ‘หุ้นไม่ขึ้น หรือ ลง ให้ขายทิ้งไป’ ...อันนี้ก็เป็นการคัดหุ้นที่ยังไม่ใช่ขาขึ้นออกจากพอร์ต ...บางทีหุ้นนั้นๆ อาจจะพื้นฐานดีนะ แต่มันยังไม่ใช่ขาขึ้น ...การขายทิ้งไปก่อน ก็ทำให้เรามีเงินไปซื้อหุ้นที่ขึ้นได้มากขึ้น


3. ‘การเข้าครั้งแรก ต้องเตรียมพลาดเสมอ’ ..การเตรียมพลาด คือ ไม่ทุ่มเต็มหน้าตักในครั้งแรก เพราะ เราไม่มีทางรู้ว่า หุ้นที่เราเลือกจะขึ้นจริงอย่างที่เราคิด


4. ‘การซื้อสวนเทรนด์ ต้อง Limit เป้าซื้อชัดเจน’ ...ปัญหาของการช้อนซื้อหุ้นถูก คือ มันลงต่อไปเรื่อยๆ จนกลายเป็นขาดทุนหนักได้ ..ดังนั้น เราต้องกำหนดก่อนเลยว่า หุ้นตัวนั้น จะซื้อมากที่สุดแค่ไหน ...แล้วก็ทยอยซื้อแค่นั้นพอ


5. ‘ต้องแบ่งเงินมาซื้อหุ้นเติบโตด้วย’ ...อาจจะแบ่งสัก 10-20 % ของพอร์ต มาเลือกหุ้นเติบโต ...ซึ่งบางครั้ง หุ้นที่เติบโต อาจดูไม่ถูก และ ปันผลไม่สูง ณ จุดที่ซื้อ แต่ถ้ามันโต ก็ยอมรับได้


6. ‘การใส่ Leverage และ Margin ต้องมีจุด Stop Loss ที่ชัดเจน’ ...ถ้าเราใช้ Leverage หรือ Margin อย่าพนันกับมัน ...ถ้าผิดทาง ต้องหนีให้เร็ว ...จะได้มีโอกาสมาสู้ครั้งใหม่เสมอ


ใช่!! เราเร่งพอร์ตให้โตเร็วๆ ได้ ...แต่อย่าลืมประเมินความเสี่ยงครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อต้องดู นักลงทุนสาย growth

 8 ข้อต้องดู นักเล่นหุ้นสาย growth


เดิมทีเล้นหุ้น value ก็ปันผลดีอยู่แล้ว ...แต่ยุคนี้ ควรคัดหุ้น growth เข้าพอร์ตด้วย เพื่อเร่งให้พอร์ตเราโตเร็วขึ้น


มาดูกันว่า ต้องมองอะไรบ้าง


1. ‘หุ้นตัวไม่ใหญ่’ ...เอา Market Cap. ต่ำกว่าหมื่น ...หุ้นเล็ก เบากว่า มันจะขึ้นได้เร็วและแรงกว่า


2. ‘ธุรกิจอยู่ในตลาดที่ขายง่าย’ ...ยกตัวอย่าง สินค้าอุตสาหกรรม ย่อมขายยากกว่า สินค้าอุปโภคบริโภค (ยุคนี้คนเก่ง ไม่สำคัญเท่าคนที่อยู่ถูกที่ ถูกเวลา)


3. ‘มี Net Profit Margin สูง’ ...สินค้าที่มีความสามารถในการแข่งขัน ย่อมทำให้ธุรกิจ ได้กำไรสูง 


4. ‘อยู่ในธุรกิจที่คู่แข่งอ่อนแอ’ ...คิดง่ายๆ ถ้าคู่แข่งเป็นรายใหญ่ ...ก็มักจะขยายยาก ไปต่อยาก


5. ‘ธุรกิจขยายได้ โดยไม่ต้องลงทุนสูง’ ...ธุรกิจโบราณเน้นความใหญ่ ทุนสูง แล้วผูกขาด ...แต่ยุคนี้เน้นธุรกิจตัวเบา วิ่งไว ปรับตัวเก่ง


6. ‘มองเห็นว่า กำไรโต 3 เท่า ใน 5 ปี ทำได้ไหม’ ...นี้คือ โจทย์คัดหุ้น 5 เด้ง ของผม ...ถ้าคุณทำกำไรบริษัทโตได้ 3 เท่า ใน 5 ปี ...คุณคือ หุ้น 5 เด้งครับ


7. ‘ต้องเป็นหุ้นที่ไม่ค่อยมีคนขาย’ ...ดูง่ายๆ ว่า ไม่มีคนขาย คือ เวลาตลาดลง หุ้นตัวนี้จะลงน้อยกว่าตลาด ...เวลาตลาดขึ้น หุ้นตัวนี้จะขึ้นมากกว่าตลาด (ใช้กราฟช่วยดูประกอบ)


8. ‘เจ้าของต้องเข้าใจเกมการเงิน’ ...Money Game ต้องใช้ให้ครบเครื่อง ...M&A เป็น , เข้าใจ Warrant , ...เอาง่ายๆ เจ้าของ รู้จักใช้เครื่องมือทางการเงินเข้ามาช่วย (หุ้นที่เจ้าของเข้าใจเครื่องมือทางการเงิน มักเทรด P/E ค่อนข้างสูง)


ก็คร่าวๆ เอาไว้ดูหุ้น growth ครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

7 ข้อ หุ้นต้องห้าม อย่าเข้าไปยุ่ง

 7 ข้อ หุ้นต้องห้าม อย่าเข้าไปยุ่ง


 มีหุ้นบางตัวที่อยากจะเตือนรายย่อยว่า เราไม่ควรเข้าไปยุ่ง เพราะ เสียหายหนักกันมาเยอะแล้ว


1. ‘หุ้นที่ไม่มีผู้ถือหุ้นใหญ่’ ..พวกหุ้นที่ผู้ถือหุ้นใหญ่ไม่มี หรือ ถือน้อย เช่น ผู้ถือหุ้นใหญ่สุด ถือ 5% อะไรพวกนี้ ระวังให้มาก ...คิดง่ายๆ ถ้าหุ้นดี มันต้องมีเจ้าของ 


2. ‘หุ้นที่ Volume เข้า แบบผีเข้า ผีออก’ ...หุ้นที่ Volume การซื้อขายแบบแปลกๆ ...ต้องระวังว่า เวลา Volume หาย อาจขายไม่ได้ ติดนานเลย


3. ‘หุ้นที่ธุรกิจไม่มีกำไร’ ...หุ้นที่ไม่มีกำไร มันต้องระวังเป็นพิเศษ คิดง่ายๆ ธุรกิจขาดทุน มันจะดีได้อย่างไร 


4. ‘หุ้นที่ ไม่มี สินค้าขายดี’ ...หุ้นบางตัว เปลี่ยนธุรกิจไปเรื่อยๆ มั่วไปตามกระแส ย่อมไม่ใช่ธุรกิจที่ดี ...หุ้นดี สินค้าต้องดี ลูกค้าต้องชัดเจน และ ค้าขายแบบยั่งยืน


5. ‘หุ้นที่ P/E สูง แต่กำไรดันไม่โต’ ...หุ้น P/E สูงได้ ถ้า E หรือกำไร มันโตจริงๆ ...แต่ก็ต้องระวังว่า การเติบโต มันคงไม่มีตลอดไป ...สุดท้ายถ้า P/E สูงเกินไป หรือ นานเกิน ก็ต้องระวังให้ดี


6. ‘หุ้นที่มีข่าวดีเยอะๆ’ ...ข่าวยิ่งดี ยิ่งเป็นปลายรอบ ...คิดไว้เลยว่า ใกล้ดอย แล้ว !! 


7. ‘หุ้นที่เจ้าของและรายใหญ่ แห่ขาย’ ...ยิ่งหุ้นแพง ทั้งเจ้าและนักลงทุนรายใหญ่ ยิ่งอยากขาย เพราะ เขาต้นทุนต่ำ ...คนเหล่านี้ขาย รายย่อย ต้องระวัง


ก็เป็นข้อสังเกตคร่าวๆ สำหรับหุ้นที่รายย่อยควรระวัง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

8 ข้อ ที่เรามักคิดผิดในตลาดหุ้น

 8 ข้อ ที่เรามักคิดผิดในตลาดหุ้น


1. ‘ราคาหุ้นกับพื้นฐาน ต้องไปด้วยกัน’ ...อันนี้ต้องระวัง เพราะ หุ้น กับ พื้นฐาน สามารถวิ่งไม่เหมือนกัน หรือ บางครั้ง วิ่งตรงข้ามกัน เป็นเวลานานเลยทีเดียว


2. ‘ตลาดหุ้นเสี่ยงมากกว่าทำธุรกิจ’ ...ใช่ หุ้นมันเสี่ยง แต่จริงๆ เราจำกัดความเสี่ยงได้ ด้วยการ Stop Loss และ กระจายความเสี่ยง ...จุดนี้ทำให้การเล่นหุ้นเสี่ยงน้อยกว่าการทำธุรกิจ


3. ‘หุ้นทุกวันนี้ผันผวน จนไม่น่าถือยาว’ ...แต่ในระยะยาว ความผันผวนจะลดลง และ ผลตอบแทนจะเพิ่มขึ้น ...ยิ่งวางแผนจะถือหุ้นนานแค่ไหน ความผันผวนยิ่งลดลง


4. ‘ตราสารหนี้ปลอดภัยกว่าหุ้น’ ...นั่นคือทางทฤษฎี แต่ในทางปฏิบัติจริง ...เวลาธุรกิจมีปัญหา เขาก็ไม่จ่ายหนี้เช่นกัน ...ดังนั้น เวลาวิกฤตมันก็เสี่ยงเหมือนกัน แต่ตอนดี หุ้นขึ้นได้มากกว่าเยอะ


5. ‘การ DCA ต้องเลือกทำในหุ้นที่มั่นคง’ ...จริงๆ การ DCA ควรทำใน กองทุนดัชนี พวก ETF ...ดีกว่า ทำกับหุ้นรายตัว (เพราะ ETF กระจายความเสี่ยงได้ดีกว่า และ ใช้เงินเริ่มต้นน้อยกว่า)


6. ‘หุ้นที่ยอดฮิต ต้องรีบซื้อ’ ...ส่วนใหญ่หุ้นยอดฮิต มักทำให้รายย่อยเสียหาย ...เพราะเข้าแพง แล้วติดดอย ขาดทุนหนัก


7. ‘ตลาดมีแต่ข่าวร้าย อย่าเล่นหุ้น’ ...ในตลาดจริงๆ เราจะสามารถซื้อหุ้นดี ในราคาถูก ก็เฉพาะเวลาที่มีตลาดมีข่าวร้ายเยอะๆ นี่แหละ 


8. ‘คนที่รวยจากหุ้น คือ คนที่ซื้อขายเร็วๆ’ ...คนที่ซื้อขายบ่อยๆ มักผิดพลาดสูง ...แต่คนที่ถือหุ้นนานที่สุด มักรวยที่สุด เพราะ หุ้นยิ่งถือนาน ยิ่งขึ้นแบบทบต้น


ลองทบทวน วิธีคิดของเรา แล้วปรับเปลี่ยนให้เราคิดแบบผู้ชนะในตลาดหุ้นนะครับ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อใช้ดู ว่าหุ้นตัวไหนจะขึ้น

 10 ข้อต้องดู ‘จะรู้ได้อย่างไร ว่าหุ้นตัวนี้จะขึ้น ?’


มีนักลงทุนมือใหม่ มาถามผมตรงๆ เลยว่า ...พี่แพ้ท จะรู้ได้ไงว่าหุ้นจะขึ้น ?


ผมว่า เขาคงอยากฟังว่า ‘ผมรู้ข้อมูลวงใน แบบ insider อะไรแบบนั้น ..แต่ไม่ใช่เลยครับ’ 


เอาเป็นว่า ผมขอรวบรวมจุดสังเกต อะไรที่บอกว่าหุ้นอาจจะขึ้น มาให้ลองไปดูกัน


1. ‘มี Volume เข้า’ ...ถ้า Volume เข้า ก็แปลว่า มีคนเริ่มให้ความสนใจหุ้นตัวนี้


2. ‘Free Float ลดลง’ ...การดู Free Float จะบอกว่า รายย่อยถือกี่เปอร์เซ็นต์ของทั้งหมด ...ถ้ามันลดลง ก็บอกเป็นนัยๆ ว่า มีรายใหญ่มาเก็บหุ้น


3. ‘ขาดทุนลดลง’ ..โดยมากหุ้นจะลง ในตอนที่ธุรกิจขาดทุน ...การขาดทุนที่ลดลง ก็อาจเป็นสัญญาณที่ดี ในการหยุดลง และ อาจเป็นจุดกลับตัวของหุ้นได้


4. ‘Free Cashflow เริ่มเป็นบวก’ ...อันนี้ก็เป็นสัญญาณที่ดี ...ที่บอกว่า การเงินเริ่มเข้าที่เข้าทาง (เวลาหุ้นขึ้นรอบใหญ่ๆมักเป็นช่วงที่ Free Cashflow เป็นบวก)


5. ‘มีข่าวมากขึ้น’ ...แต่ข้อเสียของข่าว คือ บางครั้งกว่าจะมีข่าวดี หุ้นก็ไปไกลแล้ว ...เราเลยใช้เป็นเพียงส่วนประกอบ


6. ‘มีข่าวร้าย แต่หุ้นไม่ลง หรือเริ่มขึ้น’ ...อันนี้โชว์ ความต้องการซื้อที่ไม่ใช่รายย่อย (เพราะ รายย่อยชอบซื้อข่าวดี ...คนซื้อในข่าวร้าย มักเป็นรายใหญ่)


7. ‘ระดมได้เงินเพิ่ม’ ..อาจจะเป็นการ เพิ่มทุนสำเร็จ ...แน่นอน คนถือเดิมอาจไม่ชอบ แต่ส่วนใหญ่หลังเพิ่มทุน มักทำให้ธุรกิจผ่านวิกฤตไปได้ (อันนี้รวมถึง Biglot / การควบรวมกิจการ ต่างๆ ด้วย)


8. ‘มีสัญญาณ Divergence ทางเทคนิค’ ...ถ้าราคาลงต่อ แต่ indicator ไม่ลงต่อ หรือขึ้น อาจเป็นจุดที่น่าลุ้นในการกลับตัวของหุ้น


9. ‘ราคาเริ่มขึ้น’ ...อันนี้ดูกราฟตรงๆ เลย ...ก็พอราคาเริ่มขึ้น ก็อาจเป็นจุดเริ่มของการกลับตัวได้ 


10. ‘เข้ากับกระแสของกองทุน’ ...ต้องยอมรับว่า เงินของกองทุน มีผลต่อหุ้นมากในปัจจุบัน ...ซึ่งกองทุนมักเล่นหุ้นเป็นรอบ มี Theme ที่ค่อนข้างชัดเจนว่า ช่วงนี้จะเล่นหุ้นกลุ่มไหน ...ส่วนใหญ่ หุ้นกลุ่มนั้นก็จะได้รับผลพลอยได้ไปด้วย


ก็ลองใช้เป็นข้อสังเกต ทำการบ้านหาหุ้นขึ้นกันนะครับ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย

http://bls.tips/pawawitTeam 


หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

วันเสาร์ที่ 19 กันยายน พ.ศ. 2563

อุปสรรคต้องผ่านของคนออมหุ้น

‘สองเรื่องที่เซ็งที่สุดของนักออมหุ้น’ ...รับมือไง ?


หนึ่ง คือ ‘ซื้อแล้วหุ้นลงหนัก’ 

สอง คือ ‘หุ้นไปไกลแล้วไม่ขาย สุดท้ายมันกลับมาที่เดิม’ 


ตรงๆ เลยว่า ใครที่เป็น นักออมหุ้นตัวจริง แบบซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย จะต้อง ‘เซ็งสุดๆ’ กับ 2 เรื่องนี้ ...ผมจะเล่าให้ฟังว่า แล้วเขาแก้ปัญหานี้กันอย่างไร ?


1. ‘ประสบการณ์สอนผมว่า บางปัญหาไม่ได้ต้องการให้แก้ไข แต่ต้องการให้เราปรับตัวอยู่กับมัน’ ...ใช่!! ปัญหาที่ว่ามา มันคือ สิ่งที่เรา ในฐานะ นักออมหุ้น ต้องปรับตัวอยู่กับมัน 


2. ‘ให้เรากลับมาทบทวน เป้าหมายของสิ่งที่เราทำ’ ..ต้องถามตัวเองว่า ที่เราตั้งเป้าหมายในการ ออมหุ้น เพื่อที่เราจะ ‘ให้เงินทำงานแทนเรา’ หรือ ‘ต้องการใช้ตัวเองหาเงินต่อไป’ ...ใช่!! ถ้าเป้าหมาย คือ ให้เงินทำงานแทน ก็ต้องยึดมั่นที่เป้าหมายเดิม แล้วทำต่อไป


3. ‘การซื้อแล้วหุ้นลงหนัก ปรับได้ด้วย ซื้อหุ้นที่ลงหนักไปแล้ว ค่อยซื้อ’ ...ประสบการณ์สอนผมอีกว่า ไม่มีหุ้นเด็ดที่ขึ้นแบบไม่มีวันลง ...ดังนั้น ไม่ว่าผมจะชอบหุ้นตัวนั้นแค่ไหน ถ้าไม่ได้ซื้อต้นรอบ ผมก็จะรอให้มันจบรอบ แล้วค่อยไปซื้อในรอบใหม่


4. ‘หุ้นที่ขึ้นไปเยอะแล้วสุดท้ายลงมาที่เดิม’ ...ประสบการณ์นี้สอนให้รู้ว่า ‘เราอ่านธุรกิจไม่ขาด’ แปลว่า จริงๆ ธุรกิจนั้น มันไม่ได้เติบโต มันแค่ปั่นเป็นรอบๆ ไม่เหมาะจะเอามาออม ...ก็แค่เรียนรู้ แต่อย่าล้มเลิกเป้าหมาย แล้วมาเหมารวมว่า การออมหุ้นมันไม่ work แล้ว ...เพราะจริงๆ แล้วเราแค่เลือกหุ้นผิด ก็ค่อยๆ พัฒนาฝีมือไปครับ


5. ‘เมื่อเราเข้าใจทั้งสองปัญหา เราก็จะผ่านไปได้ แล้วพอร์ตค่อยๆ เติบโต’ ...คนส่วนใหญ่เมื่อเจอปัญหา ก็อาจล้มเลิกไป หรือ คิดว่ามันคงไม่ใช่สำหรับเรา ...แต่จริงๆ แล้ว เขาอาจจะเข้าใกล้ความสำเร็จอีกเพียงไม่กี่เก้า 


‘ทนรวย’ อีกนิด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 6 กันยายน พ.ศ. 2563

8 จุดต้องชัด ..ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจยุค New Normal

8 จุดต้องชัด ..ให้ทันการเปลี่ยนแปลงของธุรกิจยุค New Normal 


พอเกิดโควิด มันเกิดการเปลี่ยนแปลงหลายๆ อย่างในธุรกิจ ...ก็คือ บางธุรกิจก่อนมีโควิดก็ไม่ค่อยดีนะ แต่พอเกิดโควิดกลับดีขึ้นมาอย่างน่าประหลาดใจ ...ในทางกลับกัน บางคนเคยดีมาก ก่อนโควิด แต่ตอนนี้กลับแย่ไปเลย 


มาลองทำความเข้าใจ การเปลี่ยนแปลงธุรกิจกัน


1. ‘เที่ยวนอกหาย เที่ยวไทยเพิ่ม’ ...คนไทยมาเที่ยวในประเทศ แต่ยังเที่ยวสั้นๆ โดยขับรถเป็นหลัก ...ธุรกิจในสายนี้เลยมีลูกค้ามากขึ้น


2. ‘ฝรั่งเที่ยวหาย แต่ฝรั่งอยากอยู่ยาวมี’ ...อันนี้มันทั้งโลก คือ การเดินทางมันลดลง แต่หลังจากนี้ ไทยจะกลายเป็นบ้านหลังที่สองของคนต่างชาติ ...คนจะอยากมาปักหลักในไทยเพิ่ม รวมถึงธุรกิจด้วย


3. ‘ออนไลน์ดีมาก แต่มันต้องทำจริงจัง ลงทุนด้วย’ ...ถ้ามองแค่ขายออนไลน์แต่ไม่ลงทุน สุดท้ายที่ที่เราไปฝากขายจะบีบ จนเราไม่เหลือกำไรอะไรเลย ...การวางแผนขายจริงจัง จะเป็นโอกาสในอาชีพตรงนี้ขนาดใหญ่เลย


4. ‘SME ต้องมองการเข้าตลาดหุ้น เป็นแผนระยะยาวด้วย’ ...วันนี้เราเห็นร้านขนม ร้านเครื่องสำอางค์ ร้านขายคอม ร้านสุกี้ เข้าตลาด เป็นธุรกิจพันล้าน หมื่นล้านได้ ...แปลตรงๆ ว่า ต่อไป ธุรกิจอะไรก็เข้าตลาดได้ ขอแค่เริ่มวางแผนให้ดี


5. ‘ปิดหน้าร้าน เปิดโชว์รูม’ ...ต่อไปร้านขายไม่จำเป็น เพราะ สั่งออนไลน์สะดวกกว่า เราก็ประหยัดกว่า ...แต่ถ้าจะมีหน้าร้าน มันต้องเป็นที่ ขายประสบการณ์ ...เหมือนอย่าง Tesla มีหน้าร้าน แค่เอาไว้โชว์ของ แต่ขายจริงๆ สั่งออนไลน์เอา ...ถ้าจะให้ดี แค่โชว์รูม มันไม่พอ ต้องเป็นพิพิธภัณฑ์ ...สร้าง Total experience ไม่ใช่แค่ขายของ ต้องขายความรู้สึกที่ดีสุดๆ 


6. ‘ยุบ Sale เปลี่ยนเป็น Call Center & CRM’ ...ออนไลน์ก็จริง แต่มันต้อง High Touch คือ ต้องพูดคุยกับคนจริงๆ ...ลูกค้าออนไลน์ก็อยากคุยกับคนจริงๆ ไม่ใช่คุยกับ AI ...หลักๆ คือ ถ้าเขามีปัญหา เขาต้องการให้มนุษย์แก้ปัญหาให้ (พวก AI เอาไว้ขายอย่างเดียว หรือ แนะนำสินค้า ตามข้อมูล ...เรื่องบริการ และ จัดการปัญหา ต้องใช้คนครับ)


7. ‘ของมันต้องมี จะโตอีกมหาศาล’ ...คนรุ่นใหม่ เขาซื้อของ ไม่เหมือนคนรุ่นก่อน ...นิยามที่ขายได้ คือ ต้องหาให้ได้ว่า เราจะเป็นคนขาย ของมันต้องมีอย่างไร ?


8. ‘แตกแล้วโต’ ...หมดยุค รายใหญ่ผูกขาดแล้ว มันเอ้าท์ ...ต่อไป ต้องแตกแล้วโต ...ถ้าธุรกิจไหนดูโต แตกธุรกิจออก ดันเข้าตลาดหุ้น ให้มันโต ...นี่คือ ยุคของคนตัวเล็ก ที่เร็ว และ ชัดเจนแม่นยำ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ เล่นหุ้นให้กำไรไม่ยาก แต่เล่นหุ้นให้พอร์ตโตโคตรยาก

 ‘6 ข้อ เล่นหุ้นให้กำไรไม่ยาก แต่เล่นหุ้นให้พอร์ตโตโคตรยาก’


ซื้อหุ้นมา พอเด้งขึ้นก็ขาย กำไรหมูๆ ...แต่ปัญหาของหลายๆคน ที่มาปรึกษาก็คือ 


‘กำไรเรื่อยๆ นะ แต่ทำไมพอร์ตไม่โตสักที ?’


1. ‘ก็เหมือนทำงานหาเงินไปวันๆ บางคนได้เงินมหาศาล แต่ก็ไม่รวยสักที’ ....การเล่นหุ้นก็เหมือนการทำงานหาเงินปกติแหละ แต่ถ้าอยากพอร์ตโต ต้องวางแผน ...ใช่!! ‘แผนสร้างพอร์ตให้โต’ 


2. ‘แผนพอร์ตโต ต้องเริ่มจากเปิด 2 พอร์ต’ ...พอร์ตนึงเอาไว้เล่นทำกำไรระยะสั้น ...ส่วน พอร์ตสอง ต้องเอาไว้เก็บหุ้นระยะยาว ...พอร์ตสองนี้ ทำหน้าที่ซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย เก็บไปเรื่อยๆ เหมือนออมเงินเลย (พูดง่ายๆ พอร์ตสอง เราซื้อหุ้นแล้วเก็บเหมือนเงินฝากธนาคารเลยแหละ)


3. ‘พอร์ตแรกจะทำกำไรให้เราเรื่อยๆ ...แต่พอร์ตสองจะเริ่มทำเงินให้เราจริงๆจังๆ หลังจาก 10 ปีผ่านไป’ ...พอร์ตแรก ก็คือ ‘เราทำงานเพื่อเงิน’ ...ส่วนพอร์ตที่สอง ก็คือ ‘ให้เงินทำงาน’ (ในที่นี้ เราให้หุ้นทำงานแทนเรา ..ที่เราได้คือ ปันผล ที่มันค่อยๆ โตขึ้น)


4. ‘พอร์ตแรก เล่นหุ้นตลาด ...พอร์ตสองเล่นหุ้นอินดี้’ ..หุ้นตลาดก็คือ หุ้นที่ใครๆ ก็เล่นกัน ...หุ้นยอดฮิต นั่นแหละ ...ส่วนพอร์ตสอง เราจะเก็บหุ้นที่คนไม่ค่อยสนใจ ไม่ค่อยมีใครเชียร์ อาจจะหุ้นขนาดเล็กหน่อย ที่ไม่มีบทวิเคราะห์ เราต้องวิเคราะห์เอง (ซึ่งไม่ยาก เรียนอ่านงบ ไม่กี่ชั่วโมงก็ทำเองได้แล้ว ...ส่วนที่ยาก คือ การฝึกฝน หาหุ้น และ ชั่วโมงบิน) 


5. ‘พอร์ตแรกใช้เงินเยอะ ..พอร์ตที่สอง ใช้เงินน้อย’ ...ช่วงแรกเราก็มักจะอยากได้เงินเร็วๆ ก็เล่นพอร์ตแรกให้เยอะหน่อย ฝึกฝน การเข้าออก ซึ่งพอร์ตแรกนี้ ควรเล่นด้วยเทคนิค แล้วเข้าออกวาง Stop Loss (ถ้ามีเครื่องมือ Stop Loss อัตโนมัติแบบ TradeMaster ของบัวหลวง ช่วยนี่ ยังไงก็ไม่ติดหุ้น เพราะ เรากำหนดจุด Stop Loss เช่น 10% ได้ตั้งแต่ซื้อหุ้นเลย ...แปลว่า เลวร้ายสุด เราก็เสียแค่ 10% ไม่ติดหุ้น) ...พอร์ตที่สอง คือ เริ่มจากเงินน้อย ทยอยซื้อหุ้นถูก หุ้นต้นรอบ (จริงๆ พอร์ตสองนี่ ไม่ต้องตั้ง Stop Loss เลยก็ได้)


6. ‘ถ้าเราเล่นอย่างถูกวิธี เมื่อเวลาผ่านไป พอร์ตสอง จะเริ่มชนะ พอร์ตแรก’ ....เมื่อทำไประยะเวลาหนึ่ง พอร์ตสองจะเริ่มชนะพอร์ตแรก ...จากนั้น เราจะเริ่มรู้สึกตัวว่า ....เฮ้ย!! แค่ถือหุ้นรับปันผลก็สบายแล้ว แถมพอร์ตโตด้วย ..หลายๆ คนพอมาถึงจุดนี้ ก็จะเทรดน้อยลง เล่นยาวขึ้น 


นั่นแหละ รู้ตัวอีกที พอร์ตเราก็โตแล้ว !!


ก็ลองเอาไปปรับใช้กันดูครับ ...จัดไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 4 กันยายน พ.ศ. 2563

7 ข้อควรรู้ ว่าทำไม หุ้นไม่เคยหยุดขึ้นแค่มันแพง และก็ไม่เคยหยุดลงแค่มันถูก

 7 ข้อควรรู้ ว่าทำไม หุ้นไม่เคยหยุดขึ้นแค่มันแพง และก็ไม่เคยหยุดลงแค่มันถูก


ปีนี้ต้องพูดเลยว่า ‘มือใหม่’ เข้าตลาดลงทุนเยอะมาก ...ทั้งหุ้นไทย หุ้นต่างประเทศ ทอง และ สินทรัพย์อื่นๆ ...ความยากก็คือ การทำความเข้าใจการขึ้นลงของมันนี่แหละ ?!?


1. ‘หุ้นไม่เคยหยุดขึ้น แค่มันแพง’ ...ยิ่งปลายๆ รอบ มันจะยิ่งแพงแล้วแพงอีก ...สะบัด ผันผวน แล้วขึ้นต่อไปอีก ...นั่นก็เพราะ ธรรมชาติของหุ้นแพง คือ มันอยู่ในขาขึ้น ...ถ้าจะเชียร์แล้วกำไรเร็วๆ มันก็ต้องเชียร์หุ้นแพงนี่แหละ (ออกให้ทันด้วยนะ)


2. ‘หุ้นถูก ไม่เคยหยุดลง เพราะแค่มันถูก’ ...หลายคนจะเจอประสบการณ์ หาหุ้นถูก ซื้อเต็มที่ แล้วมันก็ลงต่อไปอีก ...ยิ่งซื้อ มันก็ยิ่งลง ...เพราะ หุ้นถูก มันอยู่ในขาลง ก็แค่เราไม่รู้ว่า จุดต่ำสุดมันอยู่ตรงไหน ...การ Limit จำนวนที่ต้องการซื้อ จะลดความเสี่ยงของการติดหุ้นครั้งใหญ่ 


3. ‘ความถูกแพง มันเป็นแค่ความรู้สึก’ ...คำว่าถูกแพงของนักลงทุนมือใหม่ ใช้ความรู้สึกเป็นหลัก ...ถ้าเราใช้สถิติเข้ามาช่วยจะ เข้าใจความถูกแพงที่แท้จริงมากขึ้น ...เช่น ขาลงใหญ่จะลงเฉลี่ย 70% ที่ RSI Oversold ..และจุดกลับตัว จะเกิด Divergence ทางเทคนิคใน Time Frame ใด อันหนึ่งเสมอ


4. ‘เมื่อมวลชน วิ่งเข้าซื้อสินทรัพย์ใด ...ขาขึ้นครั้งใหญ่ มันใกล้จบลงแล้ว’ ...ใช่!! ถ้ามันเกิดกระแสตื่นทอง ในอะไรก็ตาม แปลว่า หลังจากนั้นมันจะขึ้นไม่เยอะแล้ว ...หรือ หากขึ้นต่อ ก็จะขึ้นแบบผันผวนมาก จนยากที่จะเก็งกำไร


5. ‘โอกาสครั้งใหญ่ มันมักจะอยู่ในที่ ที่มันดูเสี่ยง ดูไม่แน่นอน’ ...อ้าว!! แล้ว เราจะแยกระหว่าง ‘โอกาส’ กับ ‘หายนะ’ อย่างไร ...ง่ายๆ ก็ โอกาส มันวางอยู่บน Calculate Risk (ความเสี่ยงที่เราประเมินแล้ว) ...แต่ การพนัน คือ Non-calculate risk (ความฝันล้วนๆ)


6. ‘การขึ้นครั้งนี้ ไม่เหมือนเดิม’ ...จริงๆ แล้ว ทุกการขึ้นครั้งใหญ่ ก็ต้องตามด้วยการลงครั้งใหญ่ ...ไม่มีการขึ้น ที่ไม่มีวันลง ...และ ก็ไม่มีการลง ที่ไม่มีวันขึ้น (นอกจากมัน เจ๊ง เท่านั้นแหละ)


7. ‘ธรรมชาติของขาขึ้นจะยาวนานกว่าลงเสมอ’ ...’ทนรวย’ ในขาขึ้น จึงเป็นเรื่องยาก ...การคืนกำไรมหาศาลในเวลาสั้นๆ ก็เป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ และ ฝึกจัดการ


ลองทำความเข้าใจสิ่งที่เราลงทุน เราจะเรียนรู้ที่จะรวย และอยู่กับมันได้ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ