แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 25 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ลอดลายมังกร 2012 ตอน แกะระบบกงสี!!" ...โดย นักแกะรอยหยัก


"กงสี" คือ รูปแบบการทำธุรกิจ แบบรวมศูนย์เอา Family ครอบครัว เป็นแกนกลาง ...ธุรกิจทุกอย่างเริ่มจากกงสี แล้วแตกออกไป พอทำเงินเท่าไหร่ ก็ดึงกลับเข้ามากงสี ...เรื่องนี้มีทั้งข้อดีและข้อเสีย ...ในด้านดี เราเห็นอยู่แล้วว่า หลายๆตระกูลในเมืองไทยเติบใหญ่ ด้วยการขยายแบบกงสี ซึ่งบางตระกูลใหญ่มาก จนต้องทำ "ธรรมนูญของตระกูล"

ผมไม่ได้ตลก!! จริงๆ ก็ "รัฐธรรมนูญของครอบครัว" นั่นแหละ ...เขามีทำจริงๆ ซึ่งส่วนตัวผมว่าดีนะ มันชัดเจนดี เพราะ ปัญหาของหลายๆครอบครัวแตกแยกก็เพราะความไม่ชัดเจนนี่แหละ ..ถ้ามองกันรอบๆตัว เราจะเห็นว่าปัจจุบันธุรกิจต่างๆ กำลังเข้าสู่ "รุ่นที่ 3" ...อ้าว!! แล้วรุ่นที่ 2 กับ 1 ล่ะ ...ครับ รุ่นแรกนั่นรุ่น บุกเบิก กลุ่มนั้น เสื่อผืน หมอนใบ เข้ามาทำงานหนัก จากจับกังยัน ธนราชันย์ นั่นรุ่นที่หนึ่ง รุ่นปักร่างสร้างฐาน ...ต่อมารุ่นที่สอง เป็นรุ่นที่ เจ้าสัว ส่งไปเรียนกับ "ฝรั่ง" ...

พ่อผมเล่าให้ฟังว่า สมัยพ่อไปเรียน ...เวลาจะขึ้นเครื่องบิน ทุกคนในบ้านจะแต่งตัวกันอย่างดี ไปดอนเมือง มีการคล้องพวงมาลัย ใส่สูทอย่างเท่ห์ เพราะเวลานั้น แทบไม่มีใครมีโอกาสขึ้นเครื่องบิน ...ฮ่า ฮ่า นึกภาพเดี๋ยวนี้ เราลากแตะ ขาสั้น สะพายเป้ แล้วก็ขึ้นไปกระดิกเท้า ..ดิ๊ก ๆ ๆ ๆ ..ฮึม!! ช่างเป็นภาพที่ยากจะจินตนาการจริงๆ

รุ่นที่ 2 มักเกิดในตระกูลที่มีพี่น้องหลายๆ คน ...พวก Baby Boomer นั่นแหละ ... "ผมก็สงสัยนะ ทำไม พ่อแม่ มีพี่น้องหลายคนจัง ..แต่ละครอบครัวนี่เยอะอ่ะ ..." -- โอเค รุ่นนี้เขาเป็นรุ่นที่เห็นความแตกต่างระหว่างประเทศไทย กับ เมืองนอก ...ว่าแตกต่างราวฟ้ากับดิน ... สิ่งที่พ่อเล่าให้ผมฟัง มันทำให้ผมเห็นภาพความแตกต่าง คือ พ่อเล่าว่า ก่อนพ่อจะไปเรียนเมืองนอก ครอบครัวเรายังอาศัยอยู่ริมน้ำ ข้างๆ วัดเลย ...เวลาจะกินกุ้งก็โดด ลงเจ้าพระยา ..ส่วนเวลาขับถ่าย ก็อะนะ เข้าใจกัน..อิ อิ ...นั่นคือ ภาพก่อนจะไปเห็นว่าอเมริกา มันมีเครื่องอำนวยความสะดวกครบวงจร ...

ถ้าย้อนไปในช่วงเวลานั้น คนที่ได้ไปเมืองนอก มีน้อยมาก ...ก็แปลว่า คนที่ได้ไป ก็ต้องเป็นลูกของใครสักคนที่เป็น Someone นั่นแหละ ...เอ๊ะ!! ยังไง ...และที่อเมริกา ก็เป็นที่ ที่พ่อพบกับแม่ ...โอ้โห เหมือนนิยาย รักสุดขอบฟ้าเลย ..เอาเถอะ มาเข้าเรื่องเลยว่า สิ่งที่แตกต่าง ของคนในรุ่นที่ 2 คือ เขาได้ไปศึกษา และ เห็นโอกาส ที่จะสร้างให้เมืองไทย มีความเจริญ ...และ นั่นเป็นที่มาของคนรุ่นนี้ ที่เป็น Generation ที่นำพา Technology เครื่องอำนวยความสะดวก และ ฝรั่งหัวแดง เข้ามาในเมืองไทย ...แน่นอน!! รุ่นคุณและผม ไม่ได้เห็นภาพนั้น เพราะ เราเกิดมาในยุคที่ ความเจริญของเมืองไทย มันไม่ได้ด้อยไปกว่าอเมริกาเลย ...ผมว่า เอาจริงๆ วันนี้ กรุงเทพ สะดวกสบายกว่า เมืองนอกเสียอีก เพราะ มีทุกอย่าง แถมถูกกว่า ...ดังนั้น Trend มันเริ่ม Reverse คือ ฝรั่งเริ่มอยากมาอยู่เมืองไทยกันจริงๆ จังๆ แต่ก็แปลกอีกนั่นแหละ ที่เมืองหลวงของไทย และ ที่เจริญๆ มักตั้งในจุดล่อแหลม ..อย่างกรุงเทพ ตั้งในจุดที่อนาคตอาจจะเป็นเมืองที่อยู่ต่ำกว่า น้ำทะเล ...คงไม่ถึงขั้นเมืองบาดาล เพราะ ในที่สุดเราก็คงต้องสร้างเขื่อนแบบเนเธอร์แลนด์ ...หรือ อย่างภูเก็ต ที่วันนี้เป็นเมืองหลวงของฝรั่งไปแล้วก็ สุ่มเสี่ยงต่อ สึนามีเหลือเกิน ... เอาล่ะ สิ่งที่เราเห็นวันนี้ คือ ทั้งฝรั่งหัวแดง และ หัวดำ เริ่มอยากมาอยู่เมืองไทย ด้วยความสะดวก ความถูก ความครบทั้งธุรกิจ และ บันเทิง และ ที่สำคัญ ความเป็นจุดยุทธศาสตร์

ครับ!! สิ่งที่คนรุ่นนี้ไม่เห็นเหมือนรุ่นที่แล้ว คือ Connection Know Who ... คุณรู้ไหมว่า รุ่นที่สอง ที่เป็น กลุ่มแรกๆ ของเมืองไทย ที่ได้มีโอกาสไปศึกษาในต่างประเทศ -- พวกเขาไปเจอกันที่นั่น ...ทุกๆ ตระกูลที่ใหญ่ ก็ส่ง ลูกชาย ลูกสาว ไปเจอกันที่นั่น "ที่อเมริกา & อังกฤษ" ...ดังนั้น ผู้ใหญ่ในยุคนั้น จะรู้จักกันอย่างดี เรียกได้ว่า เจ้าสัวรุ่นที่สอง เขาวิ่งตบหัวเล่นกัน ในต่างประเทศ จากนั้น พอเรียนจบ ก็แยกย้ายกันกลับมาช่วย "กงสี" ของครอบครัว

แต่น แต้น!! ตำนาน กงสีในยุคที่สอง ...ก็คือ เหล่าทายาท ไปเรียนต่างแดน ไปรู้จัก เพื่อนรัก คู่แข่ง ซึ่งต่อมา ก็กลายเป็นเพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด กันในบางกรณี ..แต่ภาพที่เห็นได้ชัดเจนคือ คนรุ่นนี้ มี Connection  ถึงกันทั้งประเทศ -- ในยุคนี้ ประเทศไทยยังถูกปกครองด้วย "ทหาร" ...ฮึม!! หลายๆ คนอาจสงสัยว่า จริงๆ ปัจจุบันนี้เลย ก็ทหารมิใช่หรือ ...no no ไม่ใช่ ...คือ ที่บอกว่า เจ้าสัวในยุคที่สอง ปกครองด้วยทหารคือ ทหารมีอำนาจมาก ...หากคุณเป็นพ่อค้า คุณต้องมีภาพถ่ายกับนายพล ..มิเช่นนั้นอาจถูกกลั่นแกล้งในวงการได้ ..การเมืองในช่วงพ่อผม เขาเรียก การเมืองยุค ทหาร กับ องค์ชาย (Cadet & The Prince)... กล่าวคือ นักการเมือง ต้องมาจาก คุณเป็นหม่อม(เป็นจ้าว) หรือ ไม่คุณก็ต้องเป็นทหาร

สมัยนั้น Know Who สำคัญที่สุด เพราะ "อำนาจปากประบอกปืน" มันครองเมือง ...ผมยังจำได้ ตอนผมเด็กๆ ไปบ้านปู่ แล้วเห็น คนตัวดำๆ นั่งนิ่งๆ อยู่ ...ผมถามพ่อว่า "คนนั้นใครอ่ะพ่อ (ผอมๆ ตัวดำๆ ดูต่างจังหวัดนิดๆ)" ... "เฮ้ย!! นั่นมัน มือปืน" ...ผมถึง กับ "หน้าซีด!!" ....เล่าไปเล่ามา จะกลายเป็น เรื่อง จังโก้ ดราม่า ปลายกระบอกปืน ซะงั้น ...แต่สิ่งที่ผมอยากจะชี้ให้เห็นก็คือ กลบทในการแข่งขัน การสร้างตัว เกมที่เราอยู่ ในแต่ละยุค แต่ละสมัย มันมีรายละเอียดที่แตกต่างกัน ...บางคนหวังว่า จะเอาเทคนิคที่ใช้ได้ดีในรุ่นพ่อ มาใช้ในรุ่นตัวเอง แล้วคิดว่าจะชนะเหมือนที่พ่อทำ ...ผมว่า คุณกำลังหลงประเด็น ...ยกตัวอย่าง เหล้าพ่วงเบียร์ แน่นอนใช้ได้ดีในยุคนึง แต่ตอนนี้ คงใช้ไม่ได้ผล ต้อง "รับซาลาเปา พ่วงไปด้วยไหมครับพี่"...อิ อิ ล้อเล่นนะ ...เพียงแต่ ทุกๆ เกม การแข่งขัน มันขึ้นกับเราเลือก หยิบจับ กลยุทธ์ที่เหมาะกับสถานการณ์ต่างหาก ที่จะทำให้เรามี Competitive Edge !!

ย้อนกลับมาในเรื่อง "กงสี" ...ที่เราเกริ่นว่า มีจุดอ่อน ก็คือ "เขากล่าวว่า ธุรกิจ จะอยู่ไม่เกิน 3 Generation ...เป็นเสมือนคำสาบ" ..ซึ่งถ้ามองดีๆ หลายๆ ธุรกิจ เกินไปแล้วนะ ไปรุ่น 4 รุ่น 5 แล้ว ... ประเด็นมันอยู่ที่ว่า แต่ละรุ่นมีความเข้าใจในเรื่องการสืบทอดมากน้อยแค่ไหน ...คนที่ไม่เข้าใจ จะพยายาม แย่งตัวสมบัติ เช่น ฆ่ากันตาย แบ่งมรดก ..ซึ่งบอกตรงๆ มันเป็นเรื่องที่น่าเศร้ามาก ...ผมยังเคยคุยกับ คนรุ่นก่อนๆ เขาห่วงมากว่า ทรัพย์สมบัติที่เขาสร้าง สุดท้ายจะเป็นชนวนให้ลูกหลาน แตกแยก หรือ เรียก สมบัติเป็นพิษ!! ...สมบัติบางอย่าง เช่น ที่ดิน และ ธุรกิจ แบ่งยาก เพราะ ตีค่ายาก -- ทั้งหมดคือ ปัญหาในเรื่องของ "มุมมอง"

"มุมมอง!!!" (Mind Set)

ถูกต้อง!! จริงๆ แล้ว ทรัพย์สมบัติที่มีค่าที่สุดของแต่ละตระกูล คือ องค์ความรู้ และ Connection ที่สร้างสมมานับชั่วอายุคน ...การสั่งสมความมั่งคั่งเดิมทีจะ รวมศูนย์อยู่ที่ "ผู้นำตระกูล" ...ปัญหาจะเกิดเมื่อ ผู้นำตาย ที่เขาบอก "พ่อตายเหมือนถ่อหัก แม่ตายเหมือนแพแตก" ...มันเป็นธรรมชาติ ...ยกตัวอย่าง ต้นไม้ใหญ่ หรือ ตระกูล ..เขาสามารถสร้างความมั่งคั้่งได้หลายแบบ ..ส่วนใหญ่แบบ "กงสี" จะเอาทุกอย่างมารวมที่ต้นใหญ่(ต้นแม่) ส่วนต้นไม้ของลูกๆ สร้างแบบ กาฝาก ..."มีปัญหาอะไรมาเอากับพ่อ .." ส่วนอีกแบบ คือ สร้างให้ลูกๆ โต ..ตรงนี้ เมืองไทยจะมีน้อย เพราะ ส่วนมากมีอะไร ให้มาเอากับกงสีซะส่วนใหญ่ ..."ผมคุยกับทายาทธุรกิจ หลายๆคน ก็มีทั้งรู้สึกและไม่ดี ซึ่งบอกตรงๆ ไม่มีข้อสรุป เพียงแต่ว่า แต่ละตระกูล ต้องเข้าใจข้อดี ข้อเสียในแต่ละแบบซึ่งส่งผลแตกต่างกันราวฟ้าดิน.."

การสร้าง "ตระกูล" มีแก่น ก็คือ ครอบครัว ... และ นั่นคือ จุดเริ่มต้นของทุกๆ อย่าง ...ความมั่นคง เริ่มที่นั้น ...ถึงมีคำพูดว่า ครอบครัวไหนจะยั่งยืน ก็ขึ้นกับครอบครัวมีความเป็นปึกแผ่นกันแค่ไหน ...และ ถ้าสังเกตุให้ดี จุดเสื่อมของแต่ละตระกูล หรือ ขั้นราชวงศ์อาณาจักรจีนโบราณ ก็ล้วนมีจุดเริ่มต้นจาก ครอบครัว แตกแยกนี่แหละ (ฮึม!! หลายๆ คนเริ่มโทษ เมียน้อย แต่หลายคน โทษเมียเยอะ ..เอ๊ะ ยังไง แต่ปัญหา มันเกิดที่คุณเองนะ ไม่ได้เกิดที่คนอื่น ...พ่อผม สอนเสมอว่า ทุกอย่างเริ่มพิจารณาจากตัว ...วันใดที่คุณเริ่มหลงระเริง วันนั้นก็คือ จุดเริ่มของความเสื่อม)

การดำเนินเรื่อง กำลังเข้มข้น ...ไม้ต่อ !!  คือ การหาตัว "ทายาทตัวจริง ของตระกูล" ...คนไหน จะได้ดูแล ธุรกิจหลัก เดี๋ยว เสด็จเตี๋ย จะทำการคัดเลือก ทายาท ในวันขึ้น 15 ค่ำเดือน 8 ... ทุกคนเตรียมตัวให้ดี

"ใครล่ะ ที่จะเป็น ทายาท ตัวจริง ของตระกูล!!"






วันพุธที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ชาบู ชาบู" โอกาสของคนรุ่นใหม่ ไม่ต้องแย่งกัน


มีน้องๆ หลายคนมาถามผม ..."พี่ครับ ผมอยากรวยหมื่นล้าน เหมือนชื่อหนังสือพี่น่ะ"

โอ๊ว!! ตรูยังไม่มีเลยอ่ะ น้องเอ๋ย... เอางี้ มาทำความเข้าใจกันใหม่ -- เริ่มจาก หนึ่ง "ความจริง" ..สอง ทางเดิน ไปสู่ความจริง ดีไหม!!

ความจริง มันเริ่มจาก ความพร้อมในการเดินทาง ...ผมเชื่อเสมอว่า ความพร้อมมันเริ่มที่ความพอดี ... "พอ!!" ...ใช่!! ความพอเพียงนั่นแหละ ... บทที่หนึ่งของ การเริ่มสะสมความมั่งคั่ง มันไม่ได้เริ่มจากการซื้อทุกอย่างที่อยากจะได้ นาฬิกา กระเป๋าหรู โทรศัพท์ใหม่ คอมพิวเตอร์รุ่นล่า รถยนต์อีโคคันงามสุดแนว ..บลา ๆ ๆ -- จริงๆ แล้ว ความมั่งคั่งมันต้องเริ่มจากเรา Content ก่อน คือ เรา "พอเพียง" ในสถานะของเราก่อน ..นั่นแหละ เราถึงจะเริ่มเก็บเงินได้ -- บอกตรงๆ ขั้น "พอเพียง" นี่คนส่วนใหญ่ก็ทำไม่ได้แล้ว ไม่ต้องคิดเลยว่าขั้นต่อไปจะเป็นอย่างไร

มันมีสำรวจ เศรษฐีทั้งโลก ...ว่าคนที่มีเงินเกิน 1 ล้านเหรียญ (30 ล้านบาท) ของคนทั้งโลกกว่า 7,000 ล้านคน ...มีเพียง 10 ล้านคนเท่านั้น ที่มีเงินมากกว่า 1 ล้านเหรียญ -- จริงดิ!! ..จริงๆ นั่นเท่ากับว่า ที่เราเห็นคนส่วนใหญ่ อวดรวย ใช้ของหรูหรา ส่วนมาก กู้มาซื้อ ...กู้บัตรเครคิต ..ผ่อน ..Lease .. มาจากหนี้ทั้งนั้นแหละ


โอเค เมื่อเราเข้าใจแล้วว่า บทที่หนึ่งคือ การ Content "พอเพียง" ..การหยุดความอยากเบื้องต้น เป็นคุณสมบัติของคนรวย หรือ คนที่กำลังจะรวย เพราะ เขาจะเริ่มเก็บเงินได้ และมีทุนเริ่มต้น ...ขั้นต่อมา ต้องมองภาพใหญ่ให้ออกว่า ทิศทางของเงินและ Wealth ไปในทิศทางไหน --- "ประเด็นการอ่านทิศทางของ Wealth นี่ คนส่วนใหญ่ก็หลงประเด็น ...เพราะ เขาคิดว่า โอกาส หรือ สิ่งที่จะทำให้รวย คือ สิ่งที่คนส่วนใหญ่วิ่งแห่เข้าไปตามกัน... ไม่ใช่เลย!! ถ้าคิดแบบนั้น คุณก็เป็นแค่คนนึง ที่แห่เข้าไปขุดทองในยุคตื่นทองเท่านั้นเอง ซึ่งถ้าคิดดีๆ คนที่รวยจากยุคตื่นทอง ไม่ใช่นักขุดทอง แต่เป็นคนขายเสียม ขายเครื่องมือขุดทองต่างหาก ที่รวยกว่า"


ผมเชื่อว่า ทุกวันนี้ ถ้าเรามองไปรอบๆ ตัว จะเห็นการตื่นตัวเรื่อง "พลังงาน" โดย เฉพาะพลังงานทดแทน ... ใช่!! มันเหมือนสมัย Dot Com Boom น่ะ ...ยุคนั้น ใครตั้งชื่อบริษัทต้องห้อยท้ายชื่อด้วย .com มิเช่นนั้นจะ ไม่อินเทรนด์  ....ปี 2000 ผลก็คือ Dot Com Crash ...แล้วยุคฟองสบู่ของ Dot Com ก็จบลงด้วย เจ๊งกันระนาว ...เวลานั้น คนที่เรียนเกี่ยวกับ IT ในปี 2000 ก็ตกงานกันเป็นแถว ...หลังจากนั้นไม่นานอเมริกาก็เกิด Bubble ก้อนใหม่ ก็คือ "Property" ...บ้านของอเมริกา วิ่งไม่มีลง เป็นเวลายาวนาน จนทุกคนคิดว่า ยุคอสังหาตื่นทอง จะขึ้นแบบไม่มีวันลง ...ปรากฏว่า ปี 2008 Subprime Crash ก็คือ ตลาด Property เจ๊งกันระนาว ..ผลก็คือ คนที่แห่เข้าไปทำอาชีพนักพัฒนาอสังหา ก็เจ๊งกันเป็นแถว ...ผลกระทบของการเจ๊ง รอบนี้ ยังหลอกหลอนอเมริกาจนถึงปัจจุบัน ด้วยอัตราการว่างงานที่สูง

คำถามที่น่าสนใจ คือ จากนี้ไป คืออะไรล่ะ !!

นี่แหละ เรื่องยาก เพราะ สิ่งที่เกิดขึ้นปัจจุบันคือ ปัญหาหนี้ที่รัฐบาลของประเทศอย่างอเมริกา และ ยุโรป ซึ่งมีสัดส่วนเศรษฐกิจรวมกัน เกิน 50% ของขนาดเศรษฐกิจทั้งโลก ...บวกกับ ถ้าดูการไหลเวียนของเงิน เอาเงิน ดอลลาร์ + ยูโร จะเทียบเท่ากับ สกุลเงินที่ไหลเวียน ถึงเกือบ 90% ของเงินหมุนเวียนทั้งโลก -- ประเด็นที่เราเห็นชัดๆ ของทั้งอเมริกา และ ยุโรป คือ การแก้ปัญหาหนี้ ด้วยการ "พิมพ์เงินเพิ่ม" ...ใช่!! ไม่ Make Sense ...แต่เขาก็เลือกวิธีนี้ เพราะ มันมีวิธีแก้ แค่ 2 ทางคือ หนึ่ง แก้ด้วยปล่อยให้เศรษฐกิจพัง "เงินฟืด" ...สอง แก้ด้วย "พิมพ์เงิน" ซึ่งจะได้ผลก็คือ "เงินเฟ้อ" ในที่สุด -- แน่นอน !! ทั้งอเมริกาและยุโรปเลือก วิธีที่สอง คือ แก้ปัญหาด้วยการสร้างเงินเฟ้อ ..พิมพ์เงินไปเรื่อยๆ อย่างที่ทุกคนทราบกันดีว่า QE3 ที่อเมริกาประกาศ คือ การพิมพ์เงินแบบไม่มีระยะเวลาจำกัด -- Yes !! Unlimit !!

การพิมพ์เงิน หรือ เพิ่ม Supply ของเงิน กดดันให้ราคา Commodity พุ่ง ...ซึ่งถ้าคิดดีๆ Commodity อย่าง น้ำมัน , เหล็ก , ทอง , อาหาร , ถ่านหิน ,แร่ธาตุ ต่างๆ มันเป็น วัตถุดิบ หรือ ต้นทุนของทุกสิ่งในโลก ...ราคาของสิ่งต่างๆ เหล่านี้ ถูกกดดันให้ "ขึ้น" เพราะ แน่นอน การเพิ่ม Supply ของเงิน ยิ่งพิมพ์เงินเพิ่ม ..ราคา Commodity ย่อมเพิ่มขึ้น สวนทางกับมูลค่าเงินที่ลดลง ... เราเห็นอยู่แล้วว่า แค่เวลานี้ ราคาของ Asset ต่างๆ ในโลก มันแอบขึ้นแบบเงียบๆ ...ไม่ว่าจะเป็น บ้าน , ที่ดิน , ทอง , หุ้น

"ทางแก้!!" ...ไม่มีครับ -- ทุกอย่าง มันเป็นเหตุเป็นผลกันเสมอ ตามธรรมชาติ ดังนั้น สิ่งที่เราสามารถทำได้ ไม่ใช่การ ภาวนา !! ...แต่เป็นการเข้าใจ แล้ว วางตัวเอง อยู่ในจุดที่ได้เปรียบในวิกฤต

อย่างวันนี้ คนส่วนใหญ่แห่กันไปทำพลังงานทดแทน ...ซึ่งผมไม่เถียงว่า น่าสนใจ แต่ถ้ามองไปลึกๆ จะเป็นได้ว่า มันเป็นสิ่งที่คนส่วนใหญ่สนใจ ..ก็เท่ากับว่า โอกาสมันปิดแล้ว สำหรับ New Player ...คนที่ได้รับประโยชน์ก็คือ คนที่เข้ามาก่อนตั้งนานแล้ว ... ถ้าเรามองไปในอดีต คนที่รวยก็คือ คนที่ Control ทรัพยากร ..อย่างเช่น ใครเป็นเจ้าของ บ่อน้ำมัน ก็จะรวยมหาศาล ...ซึ่งสิ่งเหล่านี้ นำมาซึ่งการ แย่งยิง ..ทั้งนองเลือดและ ไม่นองเลือด เพื่อเข้าครองทรัพยากรทั่วโลก ...แต่คนส่วนใหญ่ลืมคิดไปว่า Supply ของทรัพยากรมันมีจำกัด มันเป็นสิ่งที่ใช้แล้วหมดไป ...นั่นคือ ปัญหา

คนรุ่นต่อมาที่ฉลาด ยกตัวอย่าง คุณเฉลียว (กระทิงแดง) , คุณ เจริญ (น้ำเมา) , คุณ ตัน (ชาเขียว) ...หรือ ล่าสุด คนที่รวยที่สุดในจีน เขาเลือกที่จะมา ครองครอง ทรัพยากร ที่มีมากกว่า น้ำมัน ...ซึ่งก็คือ Control "น้ำ" นั่นเอง ... น้ำที่เรากินกันนั้นแหละ ตั้งแต่ น้ำเมา ยัน น้ำดื่มชูกำลัง ไป น้ำ ๆ ๆ ...แต่สุดท้าย เราก็พบว่า คนเราดื่มน้ำได้จำกัด ...เพราะ เขาบอกว่า "ห้ามดื่มเกินวันละสองขวด โปรดสังเกตุคำเตือนบทฉลากก่อนดื่มทุกครั้ง" ...ฮ่า ฮ่า ขำขำ คิดไปนั่น ..แต่ก็จริงนะ วันนี้สังเวียน "น้ำ" มันเริ่มเปลี่ยนจาก Blue Ocean มาเป็น Red Ocean ไปเสียแล้ว

อะไรต่อไปดีละ ...ที่ไม่จำกัด !!

ใช่!! ผมว่า "เงิน" ...เพราะ รัฐบาลทั่วโลก ทั้งอเมริกา ยุโรป ญี่ปุ่น ...เริ่มบ้าเลือด พิมพ์เงินแบบไม่จำกัด ... ผลลัพธ์ที่จะเกิดขึ้นคือ Supply ของ "เงิน" จะเกิดขึ้นอย่างมหาศาล ... ผู้ใดก็ตาม ที่สามารถ Control Supply ของเงินมหาศาล ในรอบนี้ ...ผมว่า คุณจะเป็น เศรษฐี แน่นอน ...ฮึม!! หลายคน ฟังแล้ว งง ...จะบ้าหรือ เราจะ Control Supply ของเงินได้อย่างไร ...มันเป็นหน้าที่ของธนาคาร หรือ หลักทรัพย์ มิใช่หรือ

ใช่!! ผมว่าอุตสาหกรรม Hedge Fund มันกำลังก่อตัวขึ้นในเอเชีย ... หลายคนมองออกว่า ประเทศอย่าง อเมริกา พวกค้าปลีกเติบโต เขาก็มาเก็งกำไร ค้าปลีกในเอเชีย ซึ่งก็ได้รับผลกำไรกันมากมาย เพราะ ค้าปลีกในเอเชีย ก็เติบโตดังคาด ... แน่นอน ผมก็มองว่า เรื่องการเงินก็ไม่น่าต่างกัน ...อเมริกา และ ยุโรป ซึ่งมีการขยายตัวทางอุตสาหกรรมการเงิน อย่าง Hedge Fund , Private Fund , Private Banking มานาน ก็สร้าง Billionaire ที่สร้างตัวจากมื่อเปล่า ไม่ได้น้อยกว่าอุตสาหกรรมคอมพิวเตอร์เลย

ผมว่า Trend นี้มาแน่ ... "คนรุ่นใหม่ ก็ลองฝึกปรือ วิทยายุทธ์ กันให้ดีครับ"

คุณรู้ไหม อุตสาหกรรม การบริหารเงิน หรือ Money Management มันต่างกับอุตสาหกรรมอื่น ตรงที่ มันไม่ได้เริ่มที่เงิน แต่มันเริ่มที่ TRUST ...ครับ!! เรื่องของ ความไว้วางใจ หรือ TRUST เป็นสิ่งที่สร้างได้ยากที่สุด เพราะ ต้องอาศัยทั้ง เวลา และ ผลลัพธ์ ที่ต้องพิสูจน์ ...นั่นเป็นสาเหตุที่ว่า ทำไมอุตสาหกรรมอย่างการเงิน และ การบริหารเงิน เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ เพราะ มันต้องใช้ความอดทน และ ความเชื่อใจอย่างมาก ในการสร้าง ...และ ข้อดี คือ เมื่อคุณสร้าง TRUST ได้ มันกลายเป็น "สินค้า" ที่มี Barrier to Entry สูงมาก (ไม่ใช่!! พรุ่งนี้ ใครจะมาเปิดกิจการแข่งเหมือนร้านขายของชำ เพราะ TRUST ไม่ได้สร้างในวันเดียว ..มันเป็นการ สั่งสม ผลงาน และ ความไว้วางใจในระยะเวลาที่ยาวนาน)

อะไรที่สร้างง่าย ...ก็สิ้นไปง่าย ...ฉันใด ฉันนั้น -- ปัญญา + เวลา จึงเท่ากับ ความมั่งคั่งของแต่ละบุคคล

วิ่งไปซะไกล ...สิ่งที่สร้างโอกาสในการสร้าง Wealth ที่สูงที่สุด ก็คือ TRUST คือ ความไว้วางใจนั่นเอง ...โจทย์นี้ฟังดูง่าย แต่ทำยากที่สุด ... "นี่แหละ ที่มันขัดความเชื่อของคนส่วนใหญ่ เพราะ เงิน ไม่ได้สร้างจากเงิน แต่สร้างจาก TRUST และ ฝีมือต่างหาก" 






วันอาทิตย์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2555

ประชากร และ การค้า ที่กำลังเปลี่ยนแปลง คุณคิดว่าไง


เริ่มจากประชากร เอา จีน รวมกับ อินเดีย ..เป็นเกือบครึ่งของคนทั้งโลก ...และที่น่าสนใจคือ สองประเทศนี้ "คนแม่งโคตจรเก่ง" ..ฮึม!! มีใครกล้าเถียงผมไหมว่า คุณว่า คุณเก่งกว่า คนจีน และ อินเดีย ...

เดิมทีคนของทั้งสองประเทศนี้ "ขาดโอกาส ในการศึกษา เยอะมาก" ..แต่เดี๋ยวนี้เริ่มเปลี่ยนไป ...แต่ละปี อย่างประเทศจีนและอินเดียรวมกัน คนจบปริญญาปีละ 5 -8 ล้านคน ..วิศวะ หมอ นักการเงิน คอมพิวเตอร์ ...จริงๆ 5 - 8 ล้านมันเทียบเท่ากับ คนทำงานทั้งประเทศ Australia เลยนะ ..แม่เจ้า!! คือ ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า แต่ละปีมีคนที่มีโอกาสทางการศึกษาเพิ่มขึ้น ขนาดไหน !! -- แน่นอน คนที่มีการศึกษา ก็เสมือนได้รับโอกาสเริ่มต้นในชีวิต ที่จะสามารถ "ยกฐานะของตัวเอง หากมีความสามารถ" ...ย้ำว่า คนเหล่านี้ เขาได้รับโอกาส ในการยกฐานะของตัวเอง หากเขา มีความสามารถ

ใช่!! ไม่ได้แค่ได้รับการศึกษาปริญญาแล้วจะยกฐานะของตัวเอง แต่ต้อง มีความสามารถด้วย -- มันถึงเกิดภาพของการแข่งขันในเศรษฐกิจ ที่รุนแรงขึ้นในปัจจุบัน ...ผมว่า หลายๆ คน ไป Focus อยู่ที่ประเทศอย่างอเมริกา และ ยุโรป ซึ่งปัจจุบัน เป็นเศรษฐกิจที่ใหญ่ คือ เอาอเมริกา รวมกับ ยุโรป มีคนรวมกันประมาณ 800 ล้านคน แต่คิดเป็นสัดส่วน GDP หรือ มูลค่ารวมเป็น 50% ของ เศรษฐกิจโลก ...แต่ปัญหาคือ คน 800 ล้านคนนี่ เขาบริโภคแบบเกินตัวมานาน ..คิดดูนะ โลกทั้งโลก 7,000 ล้านคน ..แต่การบริโภคกลายเป็นว่าคน 800 ล้านคน บริโภคเท่ากับ 50% ของทั้งโลก เท่ากับว่า คนที่เหลืออีก 7,200 ล้านคน กินอีกครึ่งที่เหลือ

"ไม่สมดุลย์" ...ถูกต้อง ไม่สมดุลย์ ...มันถึงเป็นภาพที่เราเห็นในโลก คือ คนอเมริกา อ้วน น้ำหนักเกิน บริโภคเกิน รถหลายคัน ใช้น้ำมันเยอะ บ้านหลังใหญ่ ...และ ยังมีบ้านหลายหลัง ทุกบ้านมี เฟอร์นิเจอร์ มีทีวี มีเครื่องอำนวยความสะดวก ...ซึ่งของเหล่านั้น ผลิตมาจาก โรงงานนรก ใน เอเชีย ... "เห็นภาพ มากขึ้นแล้ว!!" ... คนเอเชีย ก็คือ ประเทศที่เป็น โรงงานนรก ..คือ ประชากรในประเทศ อดอยากปากแห้ง แต่สินค้าที่ผลิต ส่งไปขาย อเมริกา และ ยุโรป ...ยกตัวอย่างใกล้ตัว อย่างประเทศไทย เราผลิตเครื่องใช้ไฟฟ้าอันดับต้นๆ ของโลก ...เราผลิตรถยนต์อันดับต้นๆของโลก ..เราผลิตยาง ซึ่งเป็น จุดเริ่มของยางรถยนต์อันดับหนึ่งของโลก ..เราผลิตอาหารอันดับต้นๆ ของโลก ...เราเป็นเจ้าของ ปิโตรเคมี ทางด้านบรรจุภัณฑ์ อันดับหนึ่งของโลก ...เรามีบริษัทผลิตปลาทูน่า อันดับหนึ่งของโลก ...เยอะ !! ...ผมอยากจะชี้ มูลค่าแฝงของระบบเศรษฐกิจของเรามันโคตรเยอะ ..เราส่งออกเท่ากับ 70% ของ GDP ... ครับ นี่แหละ ภาพของ "โรงงานนรก" ของโลก จริงๆ อยู่ในบ้านเรา ...

คำถาม คือ ทำไมคนไทยไม่รวย !! ... และ ทำไมของดีๆ เราส่งออกหมด ...กุ้งยักษ์ เราส่งออก ..ทำไมกรู ไม่ได้กิน -- ต้องบินไปกินที่ Australia ...เฮ้ย!! มันไม่ใช่แล้วมั้ง !!

แต่!! คุณรู้ไหมว่า ภาพเหล่านี้ มันกำลังเปลี่ยน ...วันนี้นักธุรกิจ(เอกชน) เข้าไปลงทุนในต่างจังหวัด ...สมมุติผมไปจังหวัดนึง แล้ว ผมซื้อที่ดิน ซึ่งเดิมทีราคาไร่ละ 1 แสนบาท ...สมมุติผมซื้อ 1 ล้านบาทต่อไร่ เพื่อมาทำ Condo ขาย ..."คำถามคือ ที่ดินในจังหวัดนั้นจะมีราคาเปลี่ยนไปอย่างไร" ...ใช่ !! มันจะขึ้นทั้งจังหวัด ...เท่ากับว่า ผมในฐานะ Developer เข้าไปซื้อที่ดิน แล้วพัฒนาสำเร็จ ขายทำกำไร "ผมรวย นั่นคือมุมนึง" ...ส่วนอีกมุม มันเท่ากับว่า ผมเป็น Tipping Point หรือ ตัวจุดประกาย ที่ทำให้ Wealth หรือ ความมั่งคั่งของคนในจังหวัดนั้นเพิ่มขึ้นทันที ...ที่ดินขึ้นทั้งจังหวัด -- การแข่งขันประทุขึ้น Real-estate Developer ก็จะหลั่งไหล เข้าไปแย่งชิง ความสำเร็จ แล้วธุรกิจบริการอื่นๆ ก็จะ ขึ้นเป็นดอกเห็ดตามมา ... คำถามคือ แล้วมันเริ่มจากอะไรล่ะ !!

มันเริ่มจาก "โอกาส" ..วันนี้บ้านเรา เริ่มเข้าใจ AEC มากขึ้น ..จริงๆ มันไม่ได้มีอะไรเปลี่ยนแปลง เพราะ การค้ามันเกิดตั้งนานแล้ว ...เพียงแต่การกำหนด Theme ร่วมกันของ ASEAN ..มันทำให้เกิดปฎิกริยาการเร่งให้ตื่นตัวของทุกคน ...ผลก็คือ วันนี้การค้าชายแดนของไทย (เราเป็นศูนย์กลางทางภูมิศาสตร์ของ ASEAN ตั้งแต่โบราณนะ ...ผมฟันธงเลยว่า อนาคตก็ใช่ ถ้าเราเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง และ อย่าทะเลาะกันงี่เง่า แบ่งผลประโยชน์ไม่ลงตัว ...ตรงนั้นน่ะน่ากลัว) ..การค้าชายแดนของไทยเพิ่มขึ้น เป็นสิบเท่าตัว ...วันนี้ผู้ค้าปลีกที่เข้าใจ เขาไปเปิดศูนย์กระจายสินค้าแถวชายแดนเตรียมหมดแล้ว ...พอ AEC เปิด การค้าเสรี ...เดี๋ยวเพื่อนบ้านก็จะแห่มาซื้อสินค้าจากเรา -- คิดง่ายๆ เอาแค่เศรษฐีของ ลาว พม่า เขมร เวียดนาม ..เอาแค่เศรษฐีเขาสามารถมาซื้อสินค้าและบริการจากเราได้เสรี ...คุณว่าเขาจะมาไหม ...แน่นอน!! ...โอ๊ว!! โอกาสแบบสุดๆ

คุณรู้ไหมว่า เศรษฐีเดี๋ยวนี้ เขาคุยกันว่า จาก กรุงเทพ เขาบิน 1 ชั่วโมง ถึงเมืองหลวงของทุกประเทศใน AEC ...เท่ากับว่า ผมสามารถบินไปกินข้าวในย่างกุ้ง แล้ว กลับมา Meeting ที่กรุงเทพ ได้ทัน Dinner มื้อสุดหรู ในกรุงเทพอีกมื้อ ..."มรึงจะบินไปไหน" ...แต่มันมันส์น่ะ ...แล้วถ้าให้เลือกว่า คุณจะอยู่กรุงเทพ หรือ อยู่ในเวียดนาม เขมร ... ผมท้าเลยว่า คุณเลือกเมืองไทย (แถวรัชดา สีลม..ฮ่า ฮ่า) ..ไปถาม ผู้บริหารญี่ปุ่นเลยว่า ทำไมยู จะอยู่เมืองไทย ..."อ๋อ!! ไม่ต้องตอบ เพราะอ้าปากเห็นลิ้นไก่ เมืองไทยเป็น ศูนย์กลางของเมืองน่าอยู่ เราต้องขอบคุณ ชูวิทย์ ที่ปูทางไว้ดี ...วันนี้ผู้บริหารทั่วโลก อยากอยู่เมืองไทย เพราะ เรามีการแพทย์ที่ดี ..การบริการที่ดี ..อาหารที่ดี ..โรงแรมที่ดี ...อ่ะนะ มันเยอะมาก"

ภาพทั้งหมด "เพิ่งเริ่ม" ..เศรษฐีที่ดินในต่างจังหวัด โดย เฉพาะ เมืองที่เชื่อมโยงกับ AEC จะ Boom... คนเหล่านี้จะรวย ไม่รู้เอาเงินไปทำอะไร ...ก็จะมีนักการเงินอย่างพวกผม เข้าไปจีบ แล้วชวน มาลงทุน เอากิจการเขาเข้า IPO ในตลาด เอาเงินเขามาลงทุน เอามาทำ Private Equity ..เอามาทำ Venture Capital -- เกิดแน่  !! เพราะ ผมจะไปคุยเอง ...ผมทำโครงการ ทายาทธุรกิจของธนาคารกรุงเทพอยู่ ...ผมรู้ว่าจะไปต่อยังไง ...ดังนั้น ตรงนี้เล่าให้ฟัง เพราะ ผมจะต้องทำให้มันเกิด (มุ่งมั่นๆ ๆ ) ...มันมันส์โคตรๆ คุณว่าไหมล่ะ ...นั่นคือ เงินและ ระบบเศรษฐกิจ จะขยายตัว ซึ่งเดิมทีทุกอย่างเชื่อมกับธนาคาร ..เดี๋ยวนี้ไม่ใช่ เพราะ เอกชน บางรายใหญ่กว่าธนาคารแล้ว ...บริษัทเขาระดมทุนได้เอง อย่าง SCC เขากู้ผ่านประชาชนโดยตรง ...เวลานี้ก็ 70% ของเงินกู้ เขาออก Bond (หุ้นกู้)เอง ..เพราะกู้ได้ถูกกว่ากู้ธนาคาร ...PTT ก็ทำแล้ว -- ผมจะบอกว่า Trend แบบนี้ มาแน่ แล้ว Financial Sector จะขยายอีกมหาศาล ...ทั้งในเรื่องของ Capital (ตลาดทุน) และ Financial (ตลาดเงิน)

การบริโภคภายในประเทศเราจะเพิ่มขึ้น จากที่เราส่งออก 70% ของ GDP ...ผมว่า ต่อไป การบริโภคภายในจะเริ่มขยายตัว อาจจะมาเป็นครึ่งนึง ..แล้วขยายเรื่อยๆ .. "ถ้าคนเรารวย เราก็มีเศรษฐกิจภายในที่แข็งขึ้น ..ของดี ก็กินกันเองบ้าง ไม่ต้องส่งออกหมด" ...

ภาพนี้ไม่ใช่แค่เมืองไทย ...แต่มันเกิดทุกประเทศใน AEC ..และ มันก็เกิดในประเทศที่คนเขาฉลาดกว่าเรา อย่างเช่น จีน และ อินเดีย ด้วย (ลองนึกภาพ แค่ไทยเราก็เยอะแล้ว ..แล้วจีน กับ อินเดีย ยิ่งเยอะกว่าเราอีก)

โลกเราเปลี่ยนไปแล้ว ..วันนี้มันขยาย จากพวกเรา จากเอเชีย ...ต้องถามว่า "คุณพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงหรือไม่" ...การเตรียมความพร้อม คือ การเข้าใจจุดแข็งของตัวเอง แล้ว พัฒนาต่อยอด จากจุดที่ "ตัวเรา" แข็ง ...แก่น จะไม่ได้มาจากคุณเป็น ลูกจ้างได้เงินเดือนเยอะๆ ...แต่แก่นคือ "ความเข้าใจในศักยภาพของตัวเอง ...เข้าใจ Connection ที่มี ...เข้าใจว่า เรารวมกับใคร กับอะไร แล้ว จะช่วยให้เกิดสิ่งที่เรียกว่า 1+1 เท่ากับ 4"

คนฉลาดในยุคต่อไป อยู่ยาก (One Man Show มันตายแน่ ..กินคนเดียวกินรวบ แบบมนุษย์โบราณ มันซวยแน่!!) ..แต่คนที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง รู้จุดแข็งตัวเอง รู้จุดแข็งคนอื่น รู้จักการ win-win ..ร่วมกัน 1+1 =4 ...คนเหล่านี้แหละ ที่น่ากลัว ...เพราะ เขาจะสร้าง Convergence ทางองค์ความรู้ และ ความสามารถ

ฮึม!! ถ้านึกไม่ออก ว่าจะเริ่มที่ไหน ...เข้ามา The Stock Master ของบัวหลวง ...ผมก็เป็นหนึ่งในคนที่เริ่ม สร้างเครือข่ายของคนรุ่นใหม่ ...ผ่านโครงการของธนาคารกรุงเทพและหลักทรัพย์บัวหลวง อย่าง "ทายาทธุรกิจบัวหลวง" ...เราดึงเข้ามารวมกับ โครงการของหลักทรัพย์บัวหลวงอย่าง "The Stock Master" (ซึ่งเตรียม Season ต่อไปเร็วๆ นี้!! ) ...นี่เป็นก้าวแรกของการ พยายามรวมองค์ความรู้ ของคนรุ่นใหม่ เข้ามาร่วมกันเดิน แบ่งปันความรู้ซึ่งกันและกัน ...นี่แหละ สังคม win-win ..ผมรวย คุณก็รวย ..."ใครว่าตัวเองถนัดด้านไหน แล้วอยากแบ่งปัน หาคนร่วมกันเดิน ...ก็เข้ามาแจมกัน"

แล้วเจอกัน ...คุณและผม เจอกันแน่ "คนเดียวเปลี่ยนประเทศไม่ได้หรอก ...ต้องเป็นกลุ่มคน ที่เก่งที่สุดในจุดที่ตัวเองยืน เข้ามารวมตัวกัน แล้ว win-win เดิมร่วม แบ่งปัน ซึ่งกันและกัน" ...นั่นแหละ กลุ่มคนที่จะเปลี่ยนประเทศ!!




วันเสาร์ที่ 20 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"The Curse" คำสาบของทรัพยากร


ในปัจจุบันคนส่วนใหญ่กำลังเข้าใจเรื่องของ ทรัพยากร ในมุมที่ผิด ...ผมไปอ่านบทความนึงที่เขียนเกี่ยวกับ The Curse of Resources ..ดูชื่อเรื่องน่ากลัวมาก แปลว่า "คำสาบของทรัพยากร" ...อ้าว!! ประเทศมีทรัพยากรเยอะๆ น้ำมัน เพชร แร่ธาตุ ป่าไม้ เหล็ก ...มีเยอะๆ ไม่ดียังไง !!

มันมีงานวิจัย ที่เข้ามาศึกษาในเรื่องนี้ ปรากฏว่า ประเทศที่มีทรัพยากรมีค่ามาก กลับมีการเจริญเติบโตทางเศรษฐกิจที่ช้าลง ...ฮึม!! ฟังดูไม่ค่อย Make Sense ..ผมเลยมานั่งคิดว่า ถ้าย้อนกลับมามอง "ตัวเรา" ..มันเป็นแบบประเทศหรือเปล่า -- การที่เราเกิดมารวย จำเป็นไหมว่า พ่อแม่เรารวย เราจะรวยเหมือนพ่อแม่ ...หรือ เราเกิดมาจน พ่อแม่เราจน เราจะจนเหมือนพ่อแม่

คุณคิดว่า เราถูกกำหนด ให้เป็นเหมือนพ่อแม่ ทั้งหมดหรือเปล่า ... "ไม่ใช่!!" ถ้าดูกันดีๆ ส่วนใหญ่ใช่ แต่มันก็มีบางคนที่สามารถทำได้ ..บางคนที่พูดถึง ก็คือ คนที่สามารถสร้างตัวมาแบบ Self-made คือ พ่อแม่จน แต่ลูกเป็น Billionaire ..และที่น่าสนใจคือ ประเทศที่คนรวยจาก Self-made แบบสร้างตัวเองใน Generation เดียว "กูมาเอง" มากที่สุด ก็คือ อเมริกา ..วันนี้ประเทศที่ Self-made มากตามมาแบบติดๆ ก็คือ จีน , รัสเซีย ...

หลายคนอาจสงสัยว่า ..อ้าว!! จีน เป็นคอมมิวนิสต์นี่ ทำไม คนยังสร้างตัวจากมือเปล่าได้อยู่ ...อย่าง Robin Li วันนี้อายุ 40 ต้นๆ ..เกิดจากครอบครัวที่ยากจน แต่ตัวเองมีความสามารถ ...วันนี้เขาเป็น Billionaire เจ้าของ Baidu ..ตัว Search Engine ที่ชนะ Google ในประเทศจีน และ ครองตลาด Search เกือบทั้งหมดในจีน ...เขานำบริษัทของเขาเข้าจดทะเบียนในตลาด NASDAQ ในอเมริกา ...





ประเด็นที่ผมจะชี้ คือ คนส่วนใหญ่หลงประเด็น คิดว่า การสร้างความมั่งคั่งของประเทศ มันขึ้นอยู่กับ ประเทศว่าร่ำรวยทรัพยากรเท่าไหร่ ..หรือ ขึ้นกับว่าคนนั้นๆ เกิดมารวยเท่าใด ...จริงๆ มันแทบจะตรงข้าม ในโลกแห่งความเป็นจริง... วันนี้ผมว่า เราต้องมองใหม่ คือ มองที่ "ตัวเรา" เป็นจุดเริ่ม ไม่ใช่มองที่ "แต้มต่อ" ...แน่นอน!! ประเทศที่มีทรัพยากรเยอะ อาจมี "แต้มต่อ" ที่ดีกว่าประเทศที่ไม่มีทรัพยากร ...แต่ในทางปฏิบัติ กลับกลายเป็นว่า ประเทศที่มีทรัพยากร จะยิ่งล้าหลัง เพราะ ผู้นำมัวแต่แย่งทรัพยากรกัน บางประเทศรบกันเลย อย่างในแอฟริกา ...ในแอฟริกาถ้าเรามาดูดีๆ ประเทศเหล่านี้ รวยน้ำมัน เพชร และ แร่ธาตุ ที่มีค่ามหาศาล แต่ประชากรส่วนใหญ่อดอยาก ..จริงๆ เรื่องนี้อธิบายได้ไม่ยาก เพราะ ดูง่ายๆ ก็เห็นเลยว่า ประเทศเหล่านี้ คนที่ได้ประโยชน์จากทรัพยากร มีเพียงผู้นำทหาร หรือ เผด็จการ ซึ่งเขาขายทรัพยากรแลกเงิน ...เอาเงินมาซื้ออาวุธ ให้กองกำลังตัวเองแข็งแรง ..เงินส่วนใหญ่ก็ฝากไว้ต่างประเทศ .."มันได้ใช้ สักเท่าไหร่ ...คิดดีๆนะ (พวกนี้ไม่ได้ฉลาดนะ เขาเป็นเครื่องมือของประเทศที่ฉลาดมากกว่า)

ปัญหาที่ตามมาของประเทศที่มีทรัพยากรมาก คือ "ค่าเงิน" มักจะแข็ง ...พอ "ค่าเงิน" แข็ง ...คุณคิดว่า ประเทศนั้นๆ จะสามารถผลิตสินค้าและบริการที่เป็นประโยชน์ อย่างเช่น อาหารการกิน ของใช้ต่างๆ ให้แข่งขันกับตลาดโลก ก็เป็นเรื่องยาก เพราะ ยกตัวอย่าง ประเทศที่ค่าเงินแข็งเพราะน้ำมัน จะปลูกข้าว ผลิตสินค้าขาย ...ก็คงส่งออกไม่ได้ เพราะ "มันแพง" ใครจะไปซื้อ ...ในทางกลับกัน เขาขาย ทรัพยากรได้เงินมาก ...เขาก็เอาเงินไปซื้อ "ของกิน ของใช้" จากประเทศอื่น เพราะ มันถูกกว่า -- สุดท้ายก็กลับมาวงจรอุบาทว์ คือ "ส่งออกแต่ทรัพยากร และ ก็นำเข้า อาหารและของใช้ต่างๆ" ...สรุปคนในประเทศ ไม่ต้องทำอะไร เพราะ เปิดกิจการอะไร เพราะมันแข่งขันไม่ได้

"คำถามคือ วิธีแก้ มีไหม" ..มีซิครับ!! ..ก็คือ ส่งออกพลังงานให้มันน้อย ...แล้วมาเน้น ที่การสร้างประเทศ ผลิตสินค้า และ บริการ ให้ทุกคนมีงานทำ ..."ผมมองประเด็นเรื่องพลังงานของเมืองไทยแล้วรู้สึกเสียวแทน ว่า ถ้าเราดันเจอน้ำมันมากจริงๆ (อย่างที่ตอนนี้หลายๆคนออกมาพูดกัน) -- คิดดีๆนะครับ ประเทศเราจะซวยขนาดไหน ...ไม่ใช่ดีนะครับ ...จะซวย!! ..เพราะ แค่นี้ประเทศก็ทะเลาะกันจะตายอยู่แล้ว ...ถ้าดันเจอว่า เราคือ ซาอุแห่งเอเชีย มีหวัง เกิดสงครามกลางเมืองแน่นอน ...พวกฝรั่งมันก็นั่งมอง ประเทศด้อยพัฒนาอย่าง ขำขัน ว่าคนเหล่านี้ช่างโง่จริงๆ เพราะ แท้จริงแล้ว การสร้างความมั่งคั่ง มันไม่ใช่ประเด็นว่า มีมากมีน้อย แต่มันขึ้นอยู่กับ ความสามารถในการ "จัดสรรค์" ต่างหาก"

ใช่ !! คนเรา จะรวย ...ประเทศ เราจะรวย ...ไม่ใช่เรามีมากมีน้อย ...แต่ขึ้นกับการจัดสรรค์ และ แบ่งกันอย่างฉลาด ..."ทุกคนมั่งคั่งได้หมด" ...ดูอย่างอเมริกา วันนี้เขาพูดเรื่อง North Dagota


 ..ตอนนี้เจอน้ำมันเยอะมาก แถมเป็นน้ำมันที่คุณภาพดีมาก ...นอกจากนี้เขาเจอ Shale Gas เยอะมากๆ ...แต่ทำไม เขาไม่เห็นต้อง ทะเลาะเกิดสงครามกลางเมือง ...ผมว่า ประเด็นนี้น่าสนใจมาก ..เพราะ อเมริกา คนเขาค่อนข้างฉลาด ...จริงๆ ประเทศที่พัฒนาแล้ว เขารู้ว่า กลไก ของความมั่งคั่ง ไม่ได้ขึ้นกับ ทรัพยากร แต่ขึ้นกับการจัดสรรค์ ...การที่อุตสาหกรรม อย่างทรัพยากร จะเจริญ ก็คือ มันเป็นแค่หนึ่งในอุตสาหกรรม ที่เขามี ...ดังนั้น ความเจริญ ในจุดนี้ ก็จะกระจายตัวสู่ อุตสาหกรรมอื่นๆ ...มีการจ้างแรงงาน และ ใช้เทคโนโลยี ...พูดง่ายๆ ว่า ความเจริญของเขา มันเป็น สมดุลย์ ดังนั้น ไม่ว่าอุตสาหกรรมอะไรจะเจริญ มันก็จะช่วยดึงอุตสาหกรรมอื่นๆ ให้เจริญตาม ..ยกตัวอย่าง ผมอยู่ในอุตสาหกรรมการเงิน ...ผมก็สามารถเข้าไปช่วย บริษัทพลังงาน ระดมทุนในตลาด ...ออกหุ้นกู้ ...ก็สร้างเงินหมุนเวียนในระบบ ...คนที่อยู่ใน IT ก็สามารถเข้าไปเป็นหนึ่งใน Supplier ของบริษัทพลังงาน ...หรือ อย่างบริษัทสร้างบ้าน ก่อสร้าง ก็สามารถเข้าไปสร้างชุมชน ที่รองรับ อุตสาหกรรมพลังงาน และ ชุมชนบริเวณนั้น เพื่อรองรับ คนงานจำนวนมาก ...ซึ่งมีทั้งแรงงานราคาถูก ไปถึง แรงงงานระดับวิศวะ ขั้นสูง , ผู้บริหาร , บริษัทต่างชาติ ..แล้ว เดี๋ยว 7-11 และ Central ก็จะตามไปเปิดร้านค้า โรงแรม ...แล้ว Major ก็จะไปเปิดโรงหนัง ...จากนั้นบริษัทต่างๆ ก็จะแห่ไปทำธุรกิจ ...เรียกได้ว่า จริงๆ แล้วมูลค่าที่เกิดมันเกิดโดยรวม หากผู้มีอำนาจแบ่งผลประโยชน์ลงตัวเท่านั้นเอง

...ผมเห็นตัวอย่าง อย่าง Australia ผมเข้าไปอยู่ค่อนข้างนาน ...เลยเห็นภาพเลยว่า การที่ประเทศเขามีทรัพยากร อันดับต้นๆ ของโลก ในทุกอย่าง ...แต่ด้วยการ จัดสรรค์ ที่ดี มีกฏระเบียบ มันเลยไม่มีใครทะเลาะกัน ...จากนั้น เมื่อ Project เกิด มันก็สร้างชุมชน สร้างธุรกิจเกี่ยวเนื่องมากมาย ...

ครับ!! ผมว่า ท้ายสุด เราต้องหันมามองที่ "ตัวเอง" ..เพราะ การที่เราจะสร้างความมั่งคั่ง มันไม่ใช่เรามี "แต้มต่อ" เท่าไหร่ (อาจจะช่วยในเบื้องต้น แต่ในระยะยาว ผมว่า มันอยู่ที่ตัวเรานะ ไม่ได้อยู่ที่แต้มต่อ) ...วันนี้ประเทศเรา และ เพื่อนบ้าน ดำเนินมาค่อนข้างสวย เพราะ คิดดีๆ นะ เอเชียเราคือ "โรงงานผลิต สินค้า และบริการที่กินได้ ใช้ได้" มากที่สุดในโลก ..แค่ในเมืองไทย เราผลิตสินค้าอุปโภคบริโภค อันดับหนึ่งของโลกมากมาย หลายอุตสาหกรรม ...มองง่ายๆ ถ้าโลกเรามีวิกฤต เราอยู่ได้นะ เรามีอาหาร น้ำ เรามีพลังงาน  ...แต่อย่างอาหรับ จะให้มันกินน้ำมัน แทนข้าวจะไหวไหม ..หรือ อย่างยุโรป จะให้มันกิน Louis Vuitton แทนอาหาร คงจะไม่ดี -- เรามาถูกทางแล้ว เพียงแต่เราเข้าใจ "จุดแข็งของตัวเอง" แล้วพัฒนาจากจุดแข็ง ต่อยอด เป็นเรื่องที่สำคัญ ... อย่าหลงประเด็น!!

วันจันทร์ที่ 8 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ลอดลายมังกร 2012" ตอนที่ 2 ...พาชมโรงงานของอาเหลียงยุคใหม่


คราวที่แล้วเกริ่น ในเรื่องของ ธุรกิจยุคใหม่ ...ไม่ได้เริ่มที่หยาดเหงื่อ และ เลือด ...แต่ต้องเริ่มด้วย "ความคิด" และ "วิกฤต"

เฮ้ย!! "ความคิด" อันนี้พอจะเข้าใจ ...แต่ไอ้เริ่มที่ "วิกฤต" ต้องขยายความกันหนักแล้ว ....มันคืออะไร

ประเด็นนี้น่าสนใจมาก ...เพราะ เมื่อใดก็ตามที่ ประเทศใดก็ตาม เจริญขึ้น ...ยกตัวอย่างประเทศไทย -- คนในประเทศก็ย่อมเก่งขึ้น เท่ากับว่า การทำธุรกิจ เราเจอแต่กับคนเก่งๆ ..ดังนั้น การที่เราจะสามารถ "หาจุดที่เราดีที่สุด ที่เป็นจุดที่เราอยากจะยืน" ...มันต้องอาศัย มากกว่า "ความคิด ปกติ" ...ตัวช่วยเราก็คือ "วิกฤต"

หากใครเคยเจอคำสอนของนักลงทุนเก่งๆ เขาจะพูดเรื่องของ เวลาตลาดขาขึ้น ใครๆก็รวย นั่นเรื่องปกติ แต่เวลาตลาดขาลง -- เขาบอกว่า "ยูจะเห็นเลยว่า ใคร Swim Naked ...คือ แก้ผ้าว่ายน้ำ ..ว่านั้นเถอะ!!" ....คำสอนนี้ผมว่า ลึกซึ้ง เพราะ ถ้าคิดให้ดีแล้ว มันเป็นเรื่องปกติมากว่า ในเวลาตลาดดี ใครๆก็รวย ก็ขยายธุรกิจ และ ลงทุนมหาศาล ก็จะรวยกันทุกคน ..แต่ตัววัดว่า ใครรวยจริงแล้วอยู่รอดได้ต้องดูขาลง เพราะ ถ้าคิดให้ดีแล้ว การที่จะทำธุรกิจ หรือ ลงทุน ...เราหวังว่าเราจะรวยระยะยาว ไม่ใช่จะรวยแค่ขาขึ้น แล้วล้มละลายขาลงเหมือนคนส่วนใหญ่ ...ซึ่งในอดีต ยกตัวอย่างวิกฤตต้มยำกุ้ง สมัยนั้นมีคนไทยรวยมหาศาล แต่พอวิกฤตผ่านไป ...ประเทศไทยเหลือแต่คนเคยรวย!! ...คุณว่าอะไรคือ ปัญหา ...ที่ทำให้คนเหล่านี้ ดีในขาขึ้น แต่ซวยในขาลง !!

ถูกต้อง !! Liquidity หรือ สภาพคล่อง .... "คุณคิดให้ดีนะ ไม่ว่าจะเป็น การลงทุน หรือ การทำธุรกิจ ไม่มีใครโง่ อยากขาย Asset ของตัวเอง หรือ ธุรกิจ ในราคาต่ำๆหรอก ..นอกเสียจากว่า เขาขาด สภาพคล่องทางการเงินอย่างรุนแรง ...แล้วก็โดน เจ้าหนี้บีบให้คืนหนี้ ...นั่นหมายความว่า คนเก่งเหล่านี้ พลาดในเรื่องของการไม่ประมาณตน ซึ่งในอดีตทั้งคนไทย และ ฝรั่ง ก็มักจะพลาดในเรื่องนี้ เหมือนกัน ...ใช่แล้วครับ นี่เป็นหนึ่งใน "กับดัก" Classic อีกอย่างของคนเก่ง ก็คือ ไม่เคยเตรียมใจสำหรับ ขาลงของ Cycle ...และทำให้เมื่อ ขาลง มาจริงๆ เขาก็เจ๊งทันที!!"

ในระบบเศรษฐกิจ สิ่งที่น่ากลัวที่สุดคือ Real-Estate เพราะ มันเป็น Asset ประเภทหนึ่งที่ราคาขึ้นแล้ว ไม่มีลง ...มันจะขึ้นไปเรื่อยๆ ๆ ๆ ..ไม่มีลง ...และ มันจะลงทีเดียว และลงแรงมาก คือ Crash แบบ Sub-Prime ของอเมริกา หรือ แบบวิกฤตต้มยำกุ้งของเมืองไทย ... สิ่งที่ผมจะชี้ให้เห็นคือ ...ผู้ที่มีประสบการณ์ เขาจะรู้ว่า ในที่สุดการขึ้นย่อมมีการลง ...และ การที่เราจะสามารถทนต่อวิกฤตแบบบ้าคลั้งได้ เราต้องท่องคำว่า "สภาพคล่อง" ...เราต้องมี "ถุงแดง" ที่เตรียมเอาไว้เสมอ -- ทั้งหมดที่พูดมา ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่ "อาเหลียง 2012 ต้องเผชิญ" ก็คือ เราต้องเข้าใจ Cycle ของสิ่งต่างๆ ที่จะผันผวนมากขึ้น ... 

"ความเก่ง ในลอดลายมังกร 2012 ต้องตอบโจทย์ ได้ทั้งขาขึ้น และ ขาลง" ... ถ้าเรา แจ๋ว จริง ขาลง เราต้องอยู่ได้ และ นั่นคือ โจทย์ สำคัญที่เราแต่ละคนต้องตอบให้ได้ ในการทำธุรกิจยุคใหม่ ...ซึ่งสิ่งสำคัญที่เราจะทำให้เรา อยู่รอดในขาลง หรือ วิกฤต ก็คือ ...เราต้อง Control Risk (จำกัดความเสี่ยง) ได้ ... มีคนถามผมว่า "พี่ครับ !! ถ้าผม ไม่รู้ว่าการจำกัดความเสี่ยงแปลว่าอะไร ..นั่นแปลว่าอะไรครับ" -- "ฮึม!! ก็แปลว่า เอ๊งไม่เข้าใจความเสี่ยงเลย ...ดังนั้น สิ่งที่เอ็งทำ ความเสี่ยงไร้ขีดจำกัด ...ไปหาให้เจอ ไม่งั้น ขาลงคราวหน้า เอ๊ง จะเป็นหนึ่งใน ผู้ประสบภัย!!"

ในอดีต เรามีเครื่องมือ ไม่มากในการ Control Risk ...เราจะเห็น นักธุรกิจเก่งๆ ในอดีต จะใช้ การ Diversify Risk ...ดูง่ายๆ อย่าง CPF ...บริษัท CP เอง เขาลดความเสี่ยงโดย การกระจายความเสี่ยง...คือ มีธุรกิจ ครอบคลุมไปหมด ..เพราะ ใน Cycle ธุรกิจ ...ทุกอย่าง ไม่ได้แย่พร้อมกัน ..ถ้าใครเข้าใจเรื่อง Investment Clock จะเข้าใจว่า ...ขาขึ้นอะไรดี ขาลงอะไรดี ...เช่น ขาขึ้น อสังหา และ Commodity ดี ...แต่ขาลง Consumption ดี... เมื่อเข้าใจ Timing ของแต่ละธุรกิจ ก็สามารถเลือก กระจายความเสี่ยงใน Port ...ครับ!! นั่นเป็นในอดีต ที่เครื่องมือจำกัดความเสี่ยงแทบไม่มี ...เขาถึงต้องกระจายความเสี่ยง เพื่อลดความเสี่ยง ...ดังนั้น เรื่องนี้ สะท้อนมาใน Nature ของธุรกิจในเมืองไทย ที่มักจะทำตัวเป็น Congomorate คือ ทำทุกอย่าง หรือ เสถียรในตัวเอง ...ในมุมของเจ้าของ ผมว่า โอเค เพราะในขาลง ก็จะมีอะไรมา Balance รองรับ ..สลับดีแย่กันไป ...แต่ในมุมนักลงทุน ผมว่า อนาคตเราต้อง Focus มากขึ้น ...ยกตัวอย่าง ถ้าจะให้ผมลงทุน ในธุรกิจที่ "จับฉ่าย" หรือ Congomorate มากๆ ...เหมือนเราลงทุนในร้านโชว์ห่วยน่ะ ...มันขาดความ Specialize ...สู้เราลงทุนในธุรกิจที่เฉพาะเจาะจง ไม่ได้ ...ซึ่งผมไม่แปลกใจ ถ้าในอนาคต กิจการต่างๆ จะชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ และ โชว์ Focus ของธุรกิจตัวเอง แบบชัดเจน ...หลายคนอาจจะสงสัยว่า ในอดีตทำไม่ได้ แล้วในอนาคตจะทำได้อย่างไร 

"ทำได้ครับ ...เพราะ ตลาดการเงิน และ การลงทุน มันเปิดกว้างขึ้น ...มันมีเครื่องมือ ในการป้องกัน ความเสี่ยงที่หลากหลายขึ้น..." ...ยกตัวอย่าง Futures หรือ Options -- ผมว่า เรามีเครื่องมือในการ Hedge ความเสี่ยงที่ดีมาก แต่ปัจจุบันที่เจ๊งกัน เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่ได้ใช้เพื่อ Hedge แต่ยังใช้เพื่อการเก็งกำไร Specurate สุดขีด ..."ไม่แปลกครับ ...ในยุคเริ่มต้นของทุกตลาดในโลก เริ่มด้วย บ้าบอเสมอ...แต่สุดท้ายมนุษย์จะเรียนรู้ และ สร้างสมดุลย์ใหม่ ที่เข้าสู่ทางสายกลางมากขึ้น"

ใช่!! "ลอดลายมังกร 2012" ต้องเรียนรู้ การลงทุนด้วย ...ต้องเข้าใจเครื่องมือของการ Hedge ความเสี่ยง และการ Control Risk ที่มากขึ้น .... ต้องเข้าใจว่า "ทุกวิกฤต" คือ โอกาสที่เราจะ "เติบโตแบบก้าวกระโดด" ...และ ต้องเข้าใจว่า Liqudity หรือ สภาพคล่อง คือ "สายเลือด" ของทุกธุรกิจและการลงทุน ที่ต้องรักษาไว้ ตลอดชีพ --- สิ่งที่ผมพูดมา หลายคนอาจมองว่า เป็นเรื่อง Common Sense แต่ขอบอกว่า มันเป็น Common Sense ที่เป็นหัวใจของความสำเร็จ ในยุค "ยอดลายมังกร 2012" นั่นเอง

ไว้โอกาสหน้า ผมจะเอา ตัวอย่างของ ธุรกิจ ที่ ทำได้ดีมีอนาคต  ..มาชำแหละให้เห็นๆ กัน!!

"ความจริงใจ อยู่ที่ใด" ...การแกะรอย สัปดาห์ที่ 5 ของ ทางเดินสู่ Master



"สัปดาห์นี้เราพา The Stock Master ทั้ง 28 ชีวิต มาเปลี่ยนบรรยากาศที่ ตลาดหลักทรัพย์แห่งประเทศไทย" ...วันนี้เราเปิดให้บุคคลทั่วไปมาเป็นสักขีพยาน ในการอบรม

เนื้อหา จัดหนักสัปดาห์นี้ของ The Stock Master เราพุ่งไปที่ 2 ประเด็น คือ หนึ่ง Asset Allocation และ สอง Portfolio Management

"ต่างกันยังไงฟระ!! ...เป็นคำถามที่โดน ยิงขึ้นมา" -- ต่างครับ ต่างมากมาย ...ดังนี้ จ๊า!!

Asset Allocation เป็นเรื่องของการ จัดสรรค์วางเงินของเราในภาพใหญ่ ว่า "เงินทั้งเนื้อทั้งตัวที่เรามี ควรจะวางอยู่ที่ใด" ...ในอดีต สมัยโบราณ เงินฝากให้ดอกเบี้ยสูง ..เราก็ไม่ต้องคิดมากว่าจะวางเงินไว้ที่ไหน -- ก็ออมไว้ในเงินฝาก ก็จบประเด็น ...แต่ปัจจุบัน มันไม่ง่ายอย่างนั้น เมื่อเงินเฟ้อและ ค่าครองชีพจี้ตูด ..และตลาดการเงินพัฒนาไป เรื่องของความาเข้าใจใน "การออม" ต้อง Advance ขึ้น ... คือ จะมาหวังว่า จะได้เงินฝากสูงๆ แบบในอดีต คงต้องไปหาใน ประเทศด้อยพัฒนา ที่เงินเฟ้อสูงๆ แต่ปัญหาก็คือ เราอาจจะได้ดอกเบี้ยสูงจริง แต่สุดท้ายเงินอาจจะหายไปเลย ..จริงป่ะ!!

"การออม ต้องเปลี่ยนไป" ...ใช่!! หากต้องการเก็บเงินแล้วรวยขึ้น ไม่ใช่ยิ่งเก็บยิ่งจน ... เรื่องนี้น่ากลัวมาก จริงๆ

เอาล่ะ Asset Allocation หรือ การ "วางเงินให้เพิ่มมูลค่า" ต้องเริ่มจากความเข้าใจก่อนว่า Asset น่ะมีอะไรบ้าง

"คุณรู้ไหม วันนี้เราคุยเรื่อง Asset ..บางคนยังพูดถึง รถยนต์ หรือ กระเป๋า Louis Vuitton อยู่เลย ...ไม่ใช่นะ!! -- Asset คือ สิ่งที่ถือครองแล้วมูลค่าของมันต้องเพิ่มขึ้นตามกาลเวลา ...สิ่งที่เราต้องคำนึงมากขึ้นคือ วันนี้ผมเริ่มลำบากใจที่จะจัดว่า "เงินฝาก" เป็น Asset เพราะ มันแพ้เงินเฟ้อกระจุยกระจาย ..."

มีผู้เข้าสัมมนา ยกมือขึ้นถาม "คุณแพ้ทบอกมาเลยดีกว่า ว่า แล้วคุณแพ้ทเองน่ะ วางเงินยังไง ...ไม่ใช่มานั่งพูดๆ ทฤษฎี ..เอาของจริงมาเล่าเลยว่า -- คุณเองน่ะ วางเงินยังไง!!"

โอ๊ว!! พี่ครับ ...ถามยังงี้ -- ก็ถูกใจผม ..."ได้เลย ถามมาจัดไป" -- โอเค เริ่มจากผมเองก่อน ตัวผม อายุไม่เยอะ ...ผมรับความเสี่ยงสูง ...และ ต้องการสร้างความมั่งคั่งเป็นเป้าหมายหลัก ...ดังนั้น อย่างกรณีผม ผมเลือก 2 Asset เท่านั้น คือ "หุ้น" กับ "ตราสารหนี้ Money Market Fund" (ยกตัวอย่าง Money Market Fund ที่ผมใช้ ก็อย่าง กองทุน ธนทวี ...ผมวางเงินในธนทวี แทนบัญชีเงินฝาก เพราะ หนึ่ง ความเสี่ยงพอๆ กับเงินฝาก และ สอง มันให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก และไม่เสียภาษี ...แปลว่า ทัพหน้าของเงินผม ผม "จัดเต็ม" กับหุ้น ...ส่วนทัพหลัง ผมก็วางในที่ให้ผลตอบแทนดีกว่าเงินฝาก ...ข้อเสียของกองทุนอย่าง ธนทวี คือ T+1 แปลว่า สภาพคล่องมันช้ากว่าเงินฝาก 1 วัน ...แค่นั้นเอง!! -- แต่ในมุมของผม มันโอเค เพราะหุ้น ผมจ่ายเงิน T+3 ดังนั้น ผมสามารถโยกเงิน ระหว่าง หุ้น กับ ธนทวี ..ได้อย่างสบาย "เรียกได้ว่า ทัพหน้า และ ทัพหลัง พร้อม!!")  ....ครับ!! อันนี้เป็นตัวอย่าง ของคนอย่างผม ที่เอาความได้เปรียบของการมีความรู้ในเรื่องของ Asset ต่างๆ ก็สามารถสร้างผลตอบแทนได้เพิ่มโดยที่ความเสี่ยงเท่าเดิม 

เอาล่ะ..แล้วคนทั่วไป ที่อาจจะรับความเสี่ยงได้น้อยกว่าผม จะแบ่งเงินใน Asset อย่างไร

"เป็นคำถามที่ดีครับ" ..แต่คุณรู้ไหมว่า คนที่จะตอบได้ดีที่สุด ไม่ใช่ ที่ปรึกษาทางการเงิน แต่เป็น "คุณเอง" ต้องเข้าใจว่า คุณเข้าใจ Asset ไหนๆ ได้ดี ...เพราะ ขอฟันธง เลยว่า Asset ที่แตกต่างกัน มันต่างกันที่ความผันผวน ...เท่านั้นเอง ...ส่วนความเสี่ยง "เราเอง" คือ ผู้กำหนด

คุณรู้ไหมว่า "คนอย่างผม ที่หลายคนมองว่า โคตรเสี่ยง เพราะ เงินทั้งหมดอยู่ใน "หุ้น" กับ "Money Market Fund" ...จริงๆ ไม่ได้เสี่ยงกว่าคนทั่วไป" ...เพราะผมเข้าใจ และ จำกัดความเสี่ยงในการลงทุนของผมอย่างชัดเจน

ผมว่าคำถามที่เราต้องตอบ คือ "ถ้าพรุ่งนี้ตลาด Crash แบบปี 2008 หรือ 1997 ...Port ของคุณจะโอเคหรือไม่ ...ถ้าคุณตอบว่าไม่โอเค ...ผมบอกเลยว่า ตอนนี้คุณวาง Asset Allocation ได้ไม่ดีพอ.. คำถามต่อไป ถ้าพรุ่งนี้ตลาดจะวิ่งไป Boom สุดๆ ..คุณจะรวยขึ้นหรือไม่ ...ถ้าคุณตอบว่าไม่ ...ก็แปลว่า ตอนนี้คุณวางเงินไม่โอเคเช่นกัน"

ถูกต้อง!! การวาง Asset Allocation ไม่ใช่ว่าคุณต้องวางใน ทอง/หุ้น/เงินฝาก/น้ำมัน/ตราสารหนี้/หุ้นกู้/Property Fund เท่าไหร่ ...แต่ การตอบโจทย์ของการบริหารความมั่งคั่งที่ถูกต้อง คุณต้องตอบคำถาม ให้ได้ว่า ถ้าตลาดไม่เป็นอย่างที่คุณคิด คุณจะต้องโอเค ...นั่นแหละ ถึงจะเป็น การวางเงินที่ถูกต้อง!!

โอ๊ว!! โคตรยาก!!

ถูกครับ ...โคตรยาก ...เพราะ ถ้าง่าย ทุกคนคงรวยกันทั้งประเทศแล้วจริงไหม ....กลับมาที่ตัวผม การที่ผมสามารถจะโอเค ไม่ว่า ตลาดหรือเศรษฐกิจจะเป็นอย่างไร ก็เพราะ ผมแบ่งการบริหารเงินออกเป็น 2 ส่วน คือ "ระยะสั้น" และ "ระยะยาว" ...ใน "ระยะยาว" ผมวางเงินให้ทำงาน Money work for me ในหุ้นปันผล ที่ผมจะซื้อเมื่อราคามัน โอเคเท่านั้น ตรงนี้ผมเอา Fundamental เข้ามาดู เช่น ถ้าผมเจอหุ้นปันผล 10% สม่ำเสมอ และ P/E , P/BV ต่ำ ...ผมไม่สนเลยว่า ตลาดจะมองอย่างไร เพราะ หุ้นแบบนี้ผมโหลดเข้า Port ระยะยาว แล้วถือเฉยๆ ไม่ต้องขาย ..ผมจะได้ปันผลสูงทุกปี (ห่วยสุด 10 ปี ผมก็ได้เงินต้นคืน) ..ดังนั้น ความเสี่ยงผมคือ "ความเข้าใจ และ ความเย็นของเงิน" -- ถูกต้อง ผมแค่ใช้หลักคิดของการ โยกเงิน จากเงินฝากประจำ มาฝากในหุ้นแทน ..."เห็นไหมครับ ว่า วันนี้คนส่วนใหญ่พูดเรื่องการออม เขาจะมองแต่ การฝากเงินธนาคาร ..แต่ผม ออมในหุ้นพื้นฐานและปันผลสูง ในเวลาที่ดี ...นี่คือ ความแตกต่าง ที่วางเงินเฉยๆ แต่ให้ผลตอบแทนต่างกันมหาศาล" -- ความต่างก็คือ "ความเข้าใจนั่นเอง"

"ระยะสั้น" ผมแบ่งเงินประมาณ 30% มา Trade ...อันนี้เป็นเรื่องของการ Work For Money ...หลายคน งง ว่า ...ทำไมต้องมี "ระยะสั้น" ...ตรงนี้เนื่องจากเมื่อผมศึกษาหาความรู้การลงทุนมากขึ้น ผมก็เข้าใจเรื่องการใช้ Technical Analysis มาช่วยในการ Trade & Leverage -- ซึ่งจุดนี้ ผมใช้เงินเพียง 30% ของเงินที่มี ผมก็สามารถ Leverage ความเสี่ยงได้ Cover ทั้ง Port ...แปลว่า ในวิกฤต "รุนแรง" ผมก็ไม่จำเป็นต้องขายหุ้นใน Port "ระยะยาว" เพราะ ใน Port ระยะสั้น สามารถสร้างผลตอบแทนในขาลง ที่ครอบคลุมความเสี่ยงทั้งหมดได้แล้ว (ยกตัวอย่างผม Trade TFEX ที่สามารถ Leverage ได้มากถึง 20 เท่าของเงินวาง ...แต่ผมเองไม่เคย Leverage เกิน 2 เท่าของความเสี่ยงเลย ...นี่เป็นเรื่อง ที่หลายคนสงสัยเช่นกัน) ...

"ทำไมผมถึง ไม่ Leverage สูง" (เพราะผม เข้าใจว่า เราทุกคนผิดพลาดได้นั่นเอง) ..คุณรู้ไหมที่ Lehman Brother องค์กรที่ตุนยอดมนุษย์ ที่จบ Harvard ไว้มากมาย ..ที่เขา เจ๊ง ก็เพราะ Leverage สูงเกือบ 30 เท่า -- และ นั่นคือ "กับดักของคนเก่ง" ...เพราะ เขาคิดว่า เราสามารถอุดช่องโหว่ ในทุกความเสี่ยง และ ความผันผวน ...แต่ในความเป็นจริง ..โลก มันสอนให้เรารู้ว่า ...ไม่ว่าคุณจะเก่งเท่าไหร่ ก็ตาม คุณจะต้องเผื่อ Room of ERROR !! ไว้เสมอ

ท่องไปเลยครับ ...เราต้องเผื่อ ช่องว่างสำหรับ ความผิดพลาด และ ความโง่ของเราเอง -- ผมเองท่องเรื่องนี้ขึ้นใจ เพราะ ชีวิตผมในครั้งนึง เคยผ่านความล้มเหลวแบบนั้นมาแล้ว ..และผมสาบานกลับตัวเองว่า ผมจะต้อง เผื่อช่องว่างให้กับตัวเอง สำหรับการล้มเหลว เพื่อที่ว่า "การผิดพลาดของผม" จะสามารถลุกขึ้นมาได้ใหม่เสมอ

ยกตัวอย่างของ TFEX หากใครเริ่มเล่น ผมขอแนะนำเป็นการส่วนตัวเลยว่า ให้วางเงินอย่างน้อย 50% ของมูลค่าสัญญา ...ยกตัวอย่าง ตอนนี้ตลาด 800 จุด ก็เทียบเท่ามูลค่าสัญญาประมาณ 800,000 บาท ..."มือใหม่ ไม่ควรวางเงินน้อยกว่า 400,000 บาท" ดังนั้น ถ้าคุณมีเงิน 1 ล้าน -- คุณไม่ควรเล่น TFEX มากกว่า 2 สัญญา ในเบื้องต้น ... "ครับ!! หลายคน อาจ งง ว่า ทำไมผม เผื่อความเสี่ยงไว้สูง ...แต่เชื่อผมเถอะ ...ผมหวังดี ...แล้วเมื่อเจอเหตุการณ์จริง คุณจะเข้าใจครับ" ...แต่พอคุณเก่งและชำนาญแล้ว ผมเชื่อว่า คุณจะสามารถวางเงิน และ Control Leverage ของคุณได้อย่างถูกต้อง 

ฮึม!! อย่าเพิ่งท้อ ...หลายคนอ่านมาถึงจุดนี้ อาจจะเริ่มท้อว่า ทำไมการลงทุนมันซับซ้อนและน่าปวดหัวขนาดนี้ ...แต่ผมขอบอกตรงๆ นะ มันโคตรท้าทายเลย ...ผมเคยคิดว่าผมเก่งในโลกของธุรกิจ และ การตลาด ...แต่พอมาศึกษาโลกการเงิน ผมพบว่า มันมีเรื่องที่มากมาย ที่ผมต้องศึกษา ...เป็นที่มาของการเดินทางศึกษาหาความรู้ในทุกวันของผม ...และ รู้มาก็ถ่ายทอดไป ...ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ -- วันนี้ผมรู้เท่านี้แหละ ...เรื่อง Asset อื่นๆ ผมก็พอรู้บ้าง ...ใครถามมาก็พอจะแนะนำได้ ..เอาไว้เดี๋ยวจะเอา Asset อื่นๆ มาเล่าให้ฟังถึงข้อดี ข้อเสี่ยในบทความต่อๆไป ... แต่สิ่งสำคัญ ที่ผมอยากจะย้ำอีกครั้งคือ "ความเสี่ยง ไม่ได้อยู่ที่ Asset (มันผันผวนแตกต่างกันเท่านั้น)"

-- ความเสี่ยงจริงๆ อยู่ที่ "ตัวเรา ผู้บริหารความเสี่ยงต่างหาก ...ยิ่งเข้าใจความผันผวนของแต่ละ Asset แล้วจัดการความเสี่ยงได้ ก็แปลว่า เข้าใจความเสี่ยง!!" (ฝากไปคิดกันครับเพื่อนๆ นักลงทุน) 

วันพฤหัสบดีที่ 4 ตุลาคม พ.ศ. 2555

"ลอดลายมังกร 2012" เขาจะมีพล๊อตเรื่องอย่างไร



ทุกวันนี้เรากำลังอยู่ท่ามกลาง ระบบทุนนิยมที่นับวันจะเปลี่ยนแปลงและผันผวนมาก และ เร็วขึ้นเรื่อยๆ 

ถ้าใครมองย้อนกลับไปช่วง 30 - 40 ปีที่ผ่านมา ... ดูเหมือน โลก ทั้งโลก จะเปลี่ยนชนิดที่ว่า "พลิกโลก"

ผมอ่านเรื่องราวของเศรษฐีหลายๆคน ที่เราเรียกว่า "เจ้าสัว" นั่นแหละ ... ถ้าในประเทศไทย ส่วนมาก "เจ้าสัว" ก็จะเป็นคนจีน ลำบากมาก่อน 

ใช่!! ลอดลายมังกร "อาเหลียง" มันเป็นภาพที่สะท้อนความมั่งคั่งของเมืองไทย ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ...จริงหรือ!! 

คือ ภาพของการทำงานหนัก ไต่เต้าตั้งแต่ รถเข็น ไปเป็นกรรมกร แล้วก็ทำงานหนักจนเป็น หลงจู๊ และ ในที่สุดก็ได้แต่งงานกับลูกสาวของ เศรษฐีเจียง .."ฮึม!! ใครคือ เศรษฐีเจียงฟระ" ..เอาเถอะ ภาพของชายหนุ่มที่ทำงานหนัก ก็ได้ลูกสาวของเศรษฐีเป็นสะพาน สร้างตัว และ Connection เพิ่มขึ้น ...ค่อยๆ สร้างอิทธิพล และ ขยายธุรกิจ ..รู้หลบ รู้หลีก ...และแล้วก็ถึงเวลา ที่จะพา "เมียจีน และ ลูกๆ ที่ทิ้งเอาไว้ก่อนมาเสี่ยงโชก" มาเมืองไทย ... ผมว่าภาพนี้มัน วนเวียนอยู่ในสมองเรา ว่า การที่จะรวยต้องมี Pattern แบบที่ว่ามานี้

แต่จริงๆ แล้ว เมื่อโลกมันเปลี่ยน ระบบทุนนิยมเข้ามามากขึ้น ...สิ่งต่างๆ ที่เล่ามา ไม่ว่า Process การสร้างความมั่งคั่ง ระบบ Connection ต่างๆ ..ผมว่ามัน พลิกไปคนละเรื่องเลย ...สมัยก่อน การจะจับจองทำการค้าเราทำอะไรก็ได้ เพราะ ประเทศเราไม่มีอะไร ...ถ้าจะให้เห็นภาพก็ คล้ายๆ พม่า เวลานี้ ที่ทุกอย่างเพิ่งเริ่มต้น ...ทหารยังครองอำนาจ ...อย่าซ่าให้มาก มิเช่นนั้น จะโดนลากไปเก็บ!! -- ปัจจุบันนี้ เอาอย่างกรุงเทพ ผมเชื่อว่า คุณภาพชีวิตของคนกรุงเทพ เทียบกับประเทศที่เจริญแล้ว แทบไม่แตกต่างกัน ...เรามีห้างสรรพสินค้า และ ร้านสะดวกซื้อ ที่สะดวกกว่าต่างประเทศ เรามีระบบแท็กซี่ที่อำนายความสะดวก ..ไปไหนมาไหนสะดวก(รถติดโคตรๆ) ...เรามีอาหารอยู่ทุกที่ ..ร้านกาแฟเสริฟถึงปั๊ม ...ด้วยค่าใช้จ่ายที่เท่ากัน ผมว่า ในเมืองไทยให้ คุณภาพชีวิตที่สูงกว่าอเมริกาอีก ...คิดดีๆนะ ..มันแปลว่า ทุกอย่างที่อำนวยความสะดวกได้มีคนจับจองไว้หมดแล้ว !!

ถ้าวันนี้คุณเป็นคนบ้านนา ...แล้วอยากจะมาเสี่ยงโชคในเมืองหลวง ..หรือ คุณเป็นคนต่างชาติ ที่พึ่งแอบเข้ามา เพื่อหางานทำ ..."คุณพอจะคิดออกไหมว่า Step ที่คนๆนั้น จะก้าวขึ้นมาเป็น "อาเหลียง" แห่ง ลอดลายมังกร จะวางแผนอย่างไร" ...จ๊าก!! คิดไม่ออก ไม่เห็นภาพเลย ...ถูกต้อง เพราะ ทุกวันนี้ประเทศอย่างไทย โดย เฉพาะกรุงเทพ มันมีสิ่งที่เราต้องการจะมีในระบบ Brick & Mortar คือ สิ่งที่จับต้องได้ เกือบจะทุกอย่างแล้ว ...ดังนั้น ไม่แปลก ที่เราจะทำอะไรก็ตาม ในสิ่งที่คนอื่นทำแล้ว เช่น ร้านอาหาร , ร้านกาแฟ , ขับแท็กซี่ , มอเตอร์ไซค์รับจ้าง -- ครับ!! ไม่ว่าอะไรก็ตามที่คุณคิดว่าจะเปิด มันต้องใช้เงิน(เยอะ) ..คำถามแรก คุณที่เพิ่งนั่งรถทัวร์มาถึงพระนคร จะเอาเงินที่ไหนมาเปิด ..และ คำถามที่สอง ..ถ้าเปิดแล้วทำไม่ดีกว่า คนที่เปิดอยู่เดิม ก็ต้องเจ๊ง -- เรื่องนี้ ลูกคนรวย เข้าใจดี เพราะ ลูกคนรวย(รวมถึงผมเองด้วยในอดีต) เคยคิดว่า ผมสามารถทำได้ดีกว่า คนที่ทำอยู่เดิม ...ดังนั้น ก็อัดเงิน เริ่มจะหวังจะทำให้ดีกว่าคนที่ทำอยู่เดิม ด้วยความรู้ทางการตลาด (ก็หลายๆ คนก็ไม่รอดอ่ะนะ ...ผมเองในอดีต ตอนเปิดร้านอาหารก็ไม่รอดเหมือนกัน) ..ประเด็นคือ ผมมีทั้งเงินทุน (บ้าง) และ มีผมความรู้ที่จบปริญญาตรี จากธรรมศาสตร์ ..ผมมี 2 อย่างยังไม่รอดเลย ...แล้วถ้าไม่มีจะรอดไหม!!

"จะรอดได้ไงเล่า!!" ...เอ๊ะ !! เรื่องนี้หลายๆ คนอาจจะเริ่ม งง ว่า ผมจะชี้ประเด็นอะไร

ครับ!! ผมอยากเล่าเรื่องของ Mark Zuckerberg ..ผมว่ามันเป็น Case Study ของการสร้างตัว ในยุคที่บ้านเรามีทุกอย่างๆแล้ว ...ผมว่านี่แหละ "ลอดลายมังกรยุค 2012" มันไม่ได้เริ่มที่ ทำงานหนัก ...ใช้เงินเยอะๆ ฟาดเข้าไป ..หรือ ใช้ Connection บีบบังคับ ...แต่มันเริ่มที่ "ความคิด"

"ลอดลายมังกร 2012 ...พระเอก ต้องเริ่มที่ความคิด!!"

คือ วันนี้ มันต้องเอาเงินเก็บใส่กระเป๋า อย่าเพิ่งเอามาละลายโง่ๆ ...ขั้นแรก ต้องคิด ...คิดว่า จะเริ่มยังไง ..แน่นอน!! สิ่งที่คุณจะทำ มันควรจะเป็นสิ่งที่ คิดแล้วว่า มันมีประโยชน์ต่อมนุษย์ ...เช่น ลองคิดว่า วันนี้ตัวเรา ต้องการสินค้าและบริการใด ที่มันยังไม่ถูกใจเรา ...มันต้อง List ลงมาใส่กระดาษ ...เขียนเป็น Wist List ที่เราอยากให้มี แต่ยังไม่มี

จากนั้น Step ที่สอง ต้องเอา List ทั้งหมด มาไล่ดูใหม่ แล้วหาตัวไหน ธุรกิจ สินค้า หรือ บริการไหน ที่ใช้เงินน้อยที่สุด ... "นี่เป็นการ Scan หาโอกาส ที่มีในสังคมที่เราอยู่" 

แต่มันไม่ได้ง่ายแค่นั้น ที่จะเริ่มเป็นธุรกิจ ..."สิ่งที่น่าสนใจมากกว่านั้น คือ ยิ่งความรู้เฉพาะทางของเรามีมากขึ้น ...โอกาสในการสร้างธุรกิจ ที่ต้นทุนต่ำ คู่แข่งน้อย โอกาสเยอะ จะมีมากขึ้นเรื่อยๆ" ..ใช่!! พระเอก ของลอดลายมังกร 2012 คงต้องมีความรู้ก่อน ...ไม่ว่าเขาจะเรียนจบไม่จบ เขาต้องพาตัวเองเข้าไปอยู่ในสถานศึกษาให้ได้ ...อย่าง Mark Zuckerberg เขาเรียนไม่จบ แต่เขาได้เข้าไปในมหาวิทยาลัย (ฮึม!! ไม่ได้ไปขายบริการนะ..อิ อิ) ...แต่เข้าไป เพื่อเรียน เพื่อศึกษา เพราะ คิดให้ดีนะ ในปัจจุบัน โอกาสใหม่ๆ มันเริ่มที่โรงเรียน และ สถานศึกษา ...ที่นั่น Mark ได้พบกับเด็กคนอื่น ที่มีความสามารถในด้านต่าง ๆ ...พบคนที่มีความฝัน ...พบอาจารย์ ..พบองค์ความรู้ที่จะสามารถเอามาต่อยอดธุรกิจ ...ดังนั้น การเข้าไปในสถานศึกษา เช่น มหาวิทยาลัย มันเป็นจุดเริ่มต้นที่ดี แม้เราจะรู้ว่า ที่นั่นจะมุ่งสอนเพียงให้เราเป็นลูกจ้างที่ดีก็ตาม ...แต่แน่นอน เป้าหมายเราชัด เรามี Wist List ที่เราอยากจะทำ ...เรามีความฝัน ...แต่การเดินทางมันต้องมี Step ...มีขั้นมีตอน ...ดังนั้น ต้องเข้าสู่ระบบการศึกษา ..เรียนจบได้ยิ่งดี ...แต่สิ่งที่สำคัญกว่าใบปริญญา คือ องค์ความรู้ ที่คุณจะเอามาต่อยอด เป็นสินค้า และ บริการที่ตอบสนองความต้องการของมนุษย์

"หาสิ่งที่ เราต้องการ แต่ยังไม่มีใครทำ ...หาสิ่งที่ทำให้ชีวิตมนุษย์ดีขึ้น แต่ยังไม่มีใครทำ" ...หาไม่ง่ายใช่ไหม -- ใช่!! ถ้ามันง่าย คงรวยกันไปทั้งโลกแล้วล่ะ

ที่ผมเล่ามา มันเป็น "โครงเรื่องของ ลอดลายมังกร 2012" ...ที่มันต้องเริ่มจาก "ความคิด" ..ไม่ใช่ เริ่มจาก หยาดเหงื่อและการสะสมเงินสด ...คิดดีๆ นะ แต่ก่อน คือ การทำงานหนักหนัก และ สะสมอดออม -- แต่เดี๋ยวนี้ มันเป็นการเริ่มที่ความคิด ..และ สะสมองค์ความรู้ และ ประสบการณ์ ...ยิ่งถ้าประเทศเปิดมากขึ้น (วันนี้ก็เริ่มแล้ว) เงินสามารถหาได้จาก Venture Capital ...วันนี้หลายๆ องค์กรเริ่มแล้ว อย่าง INTUCH หรือ องค์กรต่างๆ เริ่มมีทุนที่ให้กับคนที่มี Idea -- การที่จะเข้าถึง Fund หรือ เงินทุนเหล่านี้ มันมีวัตถุประสงค์เดียวคือ ต้องการหา Success Idea ...จริงๆ หลายๆ คนอาจบอกว่า งั้นเงินตัวเอง ..ก็ทำได้ แต่การที่เรา เริ่มจากเงินทันที ผมว่า น่าจะเจ๊งซะมากกว่า ..โจทย์แรกต้องเริ่มจาก Idea แล้วเขียนเป็น Project แล้วต้อง "Pitch สื่อสาร ความคิด" ให้กับเจ้าของเงินให้เข้าใจ -- ถ้าคิดให้ดี ที่เขาพูดว่า จะรวยต้อง Other People Money .."ผมเห็นด้วย แต่เห็นด้วยในมุม ที่ไม่ใช่เราไปเอาเปรียบคนอื่น ...แต่มันเป็นมุม ที่ว่า การที่คนอื่นจะเอาเงินของเขามาลงทุนกับเรา ...ย่อมแสดงว่า Idea ของเรา มัน Make Sense ในสายตาของคนอื่น ...ดังนั้น Other People Money ในมุมนี้ คือ การเอามุมมองคนอื่นมาช่วยตัดสินว่า Idea ของเรามันทำเป็นธุรกิจได้จริง -- เรียกว่า มีคนอื่น ที่ช่วยคิด และ เอาเงินมาลงให้" ...ครับ ทั้งหมดที่เล่ามา มันเป็น Process ของการสร้างตัวของคนรุ่นใหม่ อย่าง Mark Zuckerberg ที่สร้าง Facebook ในสังคมอเมริกา ที่มีทุกอย่างแล้ว ...

มามองเมืองไทยบ้าง ..."ผมว่า Process ในการคิด ทำธุรกิจ" ต้องทำมาเป็น Step แบบเดียวกับ Mark Zuckerberg แต่แน่นอน ...โอกาสที่เราจะได้เงินคนอื่น อย่างใน Silicon Valley คงจะยากกว่า ...แต่สุดท้าย ก็เอาเงินตัวเอง นี่แหละ ..หรือ ไม่ก็เงินเรื่ยไร จากเพื่อนสนิท มิตรสหาย ..มาเริ่ม -- ทั้งหมดที่พูดมา ผมอยากจะให้คุณคิดเพิ่มมากกว่า แค่ อยากทำธุรกิจ แล้วก็ไปเอาเงินมาเปิดร้าน ที่ยังไม่รู้เลยว่า ใครคือ ลูกค้า เปิดทำบ้าอะไร ...มันเจ๊งอยู่แล้ว -- สิ่งสำคัญต้องไม่เริ่มที่ "เงิน" ...ต้องเริ่มที่ "ความคิด" และ คิดอย่างรอบครอบ ...ประมาณนั้นครับ เป็นการเริ่มต้นที่ Make Sense ...

ที่เล่ามา ผมเล่าจากประสบการณ์จริงอ่ะนะ ...เพราะ ผมเอง เคยผ่านมาแล้ว ..เดิมทีผมเริ่มธุรกิจจาก "เงิน" ตอนผมไปเรียน ออสเตรเลีย ก็ไปซื้อร้านอาหาร แล้วเอาการตลาด เข้าไปเปลี่ยนแปลง ผมทำ Menu ใหม่ ทำ Cencept ใหม่ ..อาหารของผมเป็น Noodle Bar in a Box ...เท่ห์มาก ..ลูกค้าเลือก เส้น เลือกผัก เลือกซอส ...แล้วผมก็ Cook ให้ดูต่อหน้า ใส่กล่อง Chinese Style Box หิ้วไปเลย ..."คุณว่า Idea ผมเท่ห์ไหม" -- ตอนนั้นผมคิดว่า ผมต้องเป็น Mcdonald ในวงการ Asian Food แน่นอน ... สิ่งที่ผมทำเวลานั้น คือ ผมเอาเงินทางบ้านไปเพิ่ม , กู้เพิ่ม และ ขยายสาขาออกไปเลย 5 สาขา ..ผมวาง POS เป็นคอมพิวเตอร์ เพื่อคุม Stock และ จัดการเรื่อง การขายทุกร้านอาหาร Noodle Bar ของผม -- ใช่!! สวยหรูมาก ...จากนั้น 2 ปี ผมเจ๊ง!! ..."เวลานั้น ผมถามตัวเองเลย ...กรูผิดไรฟระ ทุกอย่างคิดอย่างเท่ห์ ทำไมไม่รอด"

คุณรู้ไหม ผมพลาดอะไร ที่ทำให้ เซนร้านอาหาร ในออสเตรเลียของผม เจ๊ง ไม่เป็นท่า!!

ใช่!! ผมพลาดเพราะ หนึ่ง Cost "ต้นทุน" มากเกินไป ..ทุก Gimmick การตลาด มันใช้เงินมหาศาล 
สอง People "ผมไม่มีทีม" เพราะที่นั่น ผมจ้างได้แค่ เด็ก แบบที่ทำ แม๊กโดนัลด์ ...ผมไม่มี Team ที่มี Passion ที่จะช่วย Drive ธุรกิจ ...ผมมีแต่แรงงาน ที่มองแต่ค่าจ้าง 
สาม Cycle "ผมขยายผิด Cycle" ด้วยความใจร้อน ผมอยากสำเร็จเร็ว ทำให้ผมขยาย 5 สาขา ในเวลาเพียง 2 ปี ไปในเมืองต่างๆ ซึ่งกระจายทั้งหมด ห่างกันกว่า 5 ชั่วโมง ...ช่วงนั้น ผมขับรถขึ้นลง NSW เป็นว่าเล่น 
นี่ยังไม่รวม เรื่อง "ครัวกลาง" ที่ผม Set ขึ้นมา พร้อม "รถตู้" ที่ผมถอย มาเมื่อใช้ขนส่ง วัตถุดิบ

ในช่วงนั้น ผมมีสูตรอาหาร Thai Noodle ที่อร่อยมาก และ ผมคิด "ซอส" ที่ใครทำก็ได้ แล้ว Pack ผัก และ เนื้อ เป็น Serve "Ready to Cook" (ผมสอนเด็กฝรั่ง ให้ Cook อาหารไทยได้อร่อย) ..และนี่ก็เป็นจุดผิดพลาด อย่างร้ายแรง -- "คุณรู้ไหม ฝรั่งเขารับไม่ได้ ที่ให้ฝรั่งกันเอง มาทำอาหารไทย ...เขาอยากได้คนไทย Cook ให้เขา!!" 

ผมกำลังจะบอกคุณว่า ในโลกความเป็นจริง ..กับสิ่งที่เราคิด มันแตกต่างกันมาก ...และนี่เป็นเหตุผลนึง ที่หลายๆคน "ความรู้ท่วมหัว เอาตัวไม่รอด" เพราะ เขาอยู่กับ ความรู้ตามตำรา ที่ไม่เอามาพลิกแพลง ปรับใช้กับชีวิต เรียกว่ามี Knowledge แต่ขาด Experience ...คนเราถึงไม่ควรทรนงว่า ข้านี่จบปริญญาตรี โท เอก ...แล้วข้าจะต้องเก่งกว่า อาแป๊ะร้านก๋วยเตี๋ยว ..ดังนั้น ความสำเร็จในยุคใหม่ ผมเชื่อว่า มันต้องเป็นการผสมผสานระหว่าง "ความรู้ในระบบการศึกษา ก็คือ โรงเรียน ไปจน ปริญญา" ...เป็นเบื้องต้น ...แล้วเพิ่ม ปริญญาชีวิต ก็คือ ความรู้ที่กลั่นจากประสบการณ์จริง ...อันหลังที่ วัดยาก แต่ดูได้ จาก เงินเดือน เป็นเบื้องต้น ... "สุดท้าย คนเราจะถูกให้ค่า ตามที่มูลค่าที่เราสามารถสร้างให้กับ องค์กร หรือ สังคม ...ผมจะบอกคุณว่า คนที่เขามีเงินเดือนมากน้อยในสังคม มันมีเครื่องชี้วัดเป็นทุกสิ่งที่ผมเล่ามา ...ยุคนี้ผมยอมรับว่า สิ่งต่างๆมันเปลี่ยน หลายๆคนอาจมองว่า การสร้างตัวมันยากขึ้น ...จริงหรือ"

"ไม่จริงเลย" ...การสร้างตัวในยุคนี้ ไม่ได้ยาก แต่วิธีมันเปลี่ยน ...อยู่ที่เราเข้าใจหรือเปล่า ...เพราะมัน พลิกเป็นเริ่มที่ความคิด ไม่ใช่ แรงงาน ... คนเราเดี๋ยวนี้ อย่าง Mark Zuckerberg , Bill Gate , Larry Page ...คนเหล่านี้ Billionaire ในอเมริกา 2 ใน 3 ...Self Made คือ สร้างตัว หมื่นล้าน ใน Generation เดียว ก็คือ "เขาสร้างเอง" ... อย่าท้อครับ ..ผมว่า ทุกอย่างเริ่มจากเข้าใจทางเดิน มีทัศคติที่ถูก และ สุดท้าย ต้องมีความอดทน

....เรื่องนี้ ยังไม่จบ "ลอดลายมังกร 2012" ... "แนะแนว วิธีเปลี่ยน แบบไงดี เดี๋ยวเจอกัน จะเล่าให้ฟัง!!"

 to be Continue... 

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ