'จะ Disrupt อย่างไร ในธุรกิจยุคปัจจุบัน ?'
ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง ..เราจะเห็นคนรุ่นใหม่พยายามสร้างธุรกิจเองมากขึ้น ..เราเห็น Startup ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด
แต่ปัญหาก็คือ ธุรกิจเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมามีอัตราการรอดแล้วรวย ต่ำมาก ...จะว่าต่ำกว่า SME ทั่วไปอีก
เพราะเดิมที ยุคก่อน ใครอยากเป็นเถ้าแก่ก็จะเริ่มเปิดธุรกิจ SME เป็นของตัวเอง เริ่มจากฐานลูกค้าที่ตัวเองมี ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขยาย แต่ Startup ไม่ใช่
เป้าหมายของคนรุ่นใหม่ทำธุรกิจคือ 'มุ่งให้โตเร็วที่สุด' ...การที่คนรุ่นใหม่คิดแบบนี้ได้เพราะ
1. ระบบการเงินเปลี่ยน เดิมทีทุนต้องมาจากธนาคารซึ่งให้เงินตาม สินทรัพย์ค้ำประกัน ...แปลตรงๆ ว่า ถ้าสมัยก่อนคุณไม่ได้ร่ำรวยหรือมีทรัพย์สินมาค้ำ แทบไม่มีโอกาสได้เงิน
...แต่ทุกวันนี้ มีนักลงทุนจำนวนมากที่เรียกตัวเองว่า Angel ก็เอาเงินตัวเองมาลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยคำนึงถึงโอกาส ความสามารถ แทนที่จะมองทรัพย์สินค้ำประกัน ...จุดนี้ทำให้ คนเก่ง สามารถขายความสามารถ หาทุนได้ง่ายขึ้น โอกาสเลยเปิดกว้างขึ้น
2. เทคโนโลยีเปลี่ยน ..เดิมทีจะทำการค้าต้องลงทุนหนัก เช่น จะขายของก็ต้องมีหน้าร้าน ต้องลงทุนก่อน ..จะขยายสาขาก็ต้องใช้เงินหนักเข้าไปอีก ทำให้ธุรกิจดั้งเดิม ยิ่งขยายยิ่งกู้หนัก
...ต่างกับธุรกิจทุกวันนี้ ที่การขยาย อาจหมายถึง การเพิ่มเนื้อที่ Server แค่เพิ่มคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง ก็รับฐานลูกค้าได้เพิ่ม ...เทคโนโลยีทำให้เพิ่มฐานลูกค้า แต่ไม่ต้องเพิ่มต้นทุน เช่น คนใช้ Line เพิ่มอีกล้านคน ต้นทุนบริษัท Line แทบไม่เพิ่ม แต่โอกาสทำเงินของ Line เพิ่มมหาศาล
(คนทำธุรกิจสมัยก่อน พอเจอ Business Model แบบนี้ ต้องร้องอุทานว่า พระเจ้าจอร์ส มันยอดมาก)
แต่จุดแข็ง บางครั้งก็เป็นจุดอ่อน ...เพิ่มลูกค้า ต้นทุนไม่เพิ่ม จึงทำให้ทุกคน มุ่งแต่เพิ่มลูกค้า และ วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มลูกค้าคือ 'ให้ใช้ฟรี!!'
- นี่แหละ "กับดัก!!"
หลายคนลืมไปว่า 'คนที่จ่ายเงิน' กับ 'คนที่ชอบใช้ของฟรี' มันคนละกลุ่มกัน ...ทำให้ ไม่ว่าคุณจะหาลูกค้าที่ชอบใช้ของฟรีเพิ่มแค่ไหน บางครั้ง อาจแทบไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจเลย เพราะ สุดท้ายเขาก็ไม่จ่ายเงินอยู่ดี
ทางแก้ของ หลายๆ Startup ก็เปลี่ยนจาก เก็บเงินลูกค้า ไปเก็บเงินจากขายโฆษณาแทน แต่ลืมไปว่า การที่ทำเงินจากโฆษณา มันไม่ใช่ทุกคนทำได้
..คนที่ทำได้ต้องเป็น Plarform ที่ใหญ่และผูกขาดเท่านั้น ...ในอดีตก็คือ ธุรกิจสื่อ ...ต่อมาก็อย่าง ธุรกิจโรงหนัง ..มาถึง รถไฟฟ้า ...ถ้าในส่วนออนไลน์ ก็คือ Facebook กับ Google
- ใช่!! ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ Platform คือ The Winner Take All และ กินกำไรของทั้งอุตสาหกรรม ...คำถามคือ คุณคิดว่าจะชนะ คนที่ Monopoly เดิมได้อย่างไร ?
- 'เขาฟรี แล้วเราฟรีกว่า' ..'เขาดี แล้วเราดีกว่า' ...ไม่ใช่เลย พลาดอย่างแรง ...ครั้งนึง Microsoft พยายามสู้กับ Google ด้วยการสร้าง Search Engine ที่ดีกว่า ...ยังทำไม่ได้เลย
ที่เล่ามา ผมว่า การต่อสู้ ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ....ธุรกิจใหญ่ดั้งเดิมในออฟไลน์ก็ยังอยู่ แต่โดนท้าทาย ..ธุรกิจใหม่ในออนไลน์ก็ยังคง ต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ให้ตัวเองผูกขาดออนไลน์มากขึ้นไปอีก
คำถามคือ คุณและผม เรียนรู้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งใหญ่อันนี้บ้าง ?
'การหาจุดยืนที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การขยายลูกค้าให้เร็วที่สุด ...หากแต่เป็นการเข้าใจว่าเรามีจุดแข็งอะไร - เลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับจุดแข็งของเรา - เข้าใจปัญหาของลูกค้าของเราอย่างแท้จริง - และ สุดท้ายตอบสนองความต้องการตรงนั้น ให้เกิดความประทับใจที่สุดต่างหาก'
'ดีสุด ถูกสุด ทนสุด ..อาจใช้ได้ดีกับลูกค้าบางกลุ่ม ในขณะที่บางกลุ่มอาจไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย'
คนที่ยอมซื้อ รถไฟฟ้า Tesla คงไม่ใช่คนที่ชอบของถูกสุด หรือ ดีสุด แต่เขามองคุณค่าของการซื้อที่ต่างจากคนซื้อรถยนต์ปกติอย่างสิ้นเชิง (ถ้าคุณกล้ามอง รถยนต์ ใช้แล้วทิ้งเหมือนโทรศัพท์มือถือ คุณจะกล้าซื้อ Tesla ...คนที่ชอบซื้อนาฬิกาเป็นสินทรัพย์ จะไม่ซื้อ Apple Watch เพราะมันคนละจุดยืน)
...อยากจะบอกว่า โลกยุคใหม่ ไม่ได้ให้ที่ยืนแต่คนเก่งที่สุด แต่ให้ที่ยืนกับคนที่เข้าใจจุดยืนของตัวเอง และกล้าเดินในทางที่ตัวเองเลือกอย่างมั่นคงและชัดเจนที่สุดนั่นเอง'
#ภาววิทย์กลิ่นประทุม