แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพฤหัสบดีที่ 28 กันยายน พ.ศ. 2560

ดีสุด ถูกสุด ทนสุด อาจไม่ใช่สำหรับทุกคน



'จะ Disrupt อย่างไร ในธุรกิจยุคปัจจุบัน ?'


ทุกวันนี้คนรุ่นใหม่ไม่อยากเป็นลูกจ้าง ..เราจะเห็นคนรุ่นใหม่พยายามสร้างธุรกิจเองมากขึ้น ..เราเห็น Startup ผุดขึ้นเป็นดอกเห็ด 


แต่ปัญหาก็คือ ธุรกิจเหล่านี้ที่เกิดขึ้นมามีอัตราการรอดแล้วรวย ต่ำมาก ...จะว่าต่ำกว่า SME ทั่วไปอีก


เพราะเดิมที ยุคก่อน ใครอยากเป็นเถ้าแก่ก็จะเริ่มเปิดธุรกิจ SME เป็นของตัวเอง เริ่มจากฐานลูกค้าที่ตัวเองมี ค่อยๆ ทำ ค่อยๆ ขยาย แต่ Startup ไม่ใช่ 


เป้าหมายของคนรุ่นใหม่ทำธุรกิจคือ 'มุ่งให้โตเร็วที่สุด' ...การที่คนรุ่นใหม่คิดแบบนี้ได้เพราะ


1. ระบบการเงินเปลี่ยน เดิมทีทุนต้องมาจากธนาคารซึ่งให้เงินตาม สินทรัพย์ค้ำประกัน ...แปลตรงๆ ว่า ถ้าสมัยก่อนคุณไม่ได้ร่ำรวยหรือมีทรัพย์สินมาค้ำ แทบไม่มีโอกาสได้เงิน 


...แต่ทุกวันนี้ มีนักลงทุนจำนวนมากที่เรียกตัวเองว่า Angel ก็เอาเงินตัวเองมาลงทุนในธุรกิจใหม่ๆ โดยคำนึงถึงโอกาส ความสามารถ แทนที่จะมองทรัพย์สินค้ำประกัน ...จุดนี้ทำให้ คนเก่ง สามารถขายความสามารถ หาทุนได้ง่ายขึ้น โอกาสเลยเปิดกว้างขึ้น


2. เทคโนโลยีเปลี่ยน ..เดิมทีจะทำการค้าต้องลงทุนหนัก เช่น จะขายของก็ต้องมีหน้าร้าน ต้องลงทุนก่อน ..จะขยายสาขาก็ต้องใช้เงินหนักเข้าไปอีก ทำให้ธุรกิจดั้งเดิม ยิ่งขยายยิ่งกู้หนัก 


...ต่างกับธุรกิจทุกวันนี้ ที่การขยาย อาจหมายถึง การเพิ่มเนื้อที่ Server แค่เพิ่มคอมพิวเตอร์อีกเครื่อง ก็รับฐานลูกค้าได้เพิ่ม ...เทคโนโลยีทำให้เพิ่มฐานลูกค้า แต่ไม่ต้องเพิ่มต้นทุน เช่น คนใช้ Line เพิ่มอีกล้านคน ต้นทุนบริษัท Line แทบไม่เพิ่ม แต่โอกาสทำเงินของ Line เพิ่มมหาศาล 


(คนทำธุรกิจสมัยก่อน พอเจอ Business Model แบบนี้ ต้องร้องอุทานว่า พระเจ้าจอร์ส มันยอดมาก) 


แต่จุดแข็ง บางครั้งก็เป็นจุดอ่อน ...เพิ่มลูกค้า ต้นทุนไม่เพิ่ม จึงทำให้ทุกคน มุ่งแต่เพิ่มลูกค้า และ วิธีที่ดีที่สุดในการเพิ่มลูกค้าคือ 'ให้ใช้ฟรี!!' 

- นี่แหละ "กับดัก!!"


หลายคนลืมไปว่า 'คนที่จ่ายเงิน' กับ 'คนที่ชอบใช้ของฟรี' มันคนละกลุ่มกัน ...ทำให้ ไม่ว่าคุณจะหาลูกค้าที่ชอบใช้ของฟรีเพิ่มแค่ไหน บางครั้ง อาจแทบไม่ได้ตอบโจทย์ธุรกิจเลย เพราะ สุดท้ายเขาก็ไม่จ่ายเงินอยู่ดี


ทางแก้ของ หลายๆ Startup ก็เปลี่ยนจาก เก็บเงินลูกค้า ไปเก็บเงินจากขายโฆษณาแทน แต่ลืมไปว่า การที่ทำเงินจากโฆษณา มันไม่ใช่ทุกคนทำได้ 


..คนที่ทำได้ต้องเป็น Plarform ที่ใหญ่และผูกขาดเท่านั้น ...ในอดีตก็คือ ธุรกิจสื่อ ...ต่อมาก็อย่าง ธุรกิจโรงหนัง ..มาถึง รถไฟฟ้า ...ถ้าในส่วนออนไลน์ ก็คือ Facebook กับ Google 


- ใช่!! ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า ความสำเร็จของ Platform คือ The Winner Take All และ กินกำไรของทั้งอุตสาหกรรม ...คำถามคือ คุณคิดว่าจะชนะ คนที่ Monopoly เดิมได้อย่างไร ?


- 'เขาฟรี แล้วเราฟรีกว่า' ..'เขาดี แล้วเราดีกว่า' ...ไม่ใช่เลย พลาดอย่างแรง ...ครั้งนึง Microsoft พยายามสู้กับ Google ด้วยการสร้าง Search Engine ที่ดีกว่า ...ยังทำไม่ได้เลย


ที่เล่ามา ผมว่า การต่อสู้ ยังเพิ่งเริ่มต้นเท่านั้นเอง ....ธุรกิจใหญ่ดั้งเดิมในออฟไลน์ก็ยังอยู่ แต่โดนท้าทาย ..ธุรกิจใหม่ในออนไลน์ก็ยังคง ต่อสู้แย่งชิงพื้นที่ให้ตัวเองผูกขาดออนไลน์มากขึ้นไปอีก


คำถามคือ คุณและผม เรียนรู้อะไรจากการเปลี่ยนแปลงของโลกครั้งใหญ่อันนี้บ้าง ?


'การหาจุดยืนที่ดีที่สุด อาจไม่ใช่การขยายลูกค้าให้เร็วที่สุด ...หากแต่เป็นการเข้าใจว่าเรามีจุดแข็งอะไร - เลือกลูกค้ากลุ่มเป้าหมายได้ตรงกับจุดแข็งของเรา - เข้าใจปัญหาของลูกค้าของเราอย่างแท้จริง - และ สุดท้ายตอบสนองความต้องการตรงนั้น ให้เกิดความประทับใจที่สุดต่างหาก'


'ดีสุด ถูกสุด ทนสุด ..อาจใช้ได้ดีกับลูกค้าบางกลุ่ม ในขณะที่บางกลุ่มอาจไม่สนใจสิ่งเหล่านี้เลย' 


คนที่ยอมซื้อ รถไฟฟ้า Tesla คงไม่ใช่คนที่ชอบของถูกสุด หรือ ดีสุด แต่เขามองคุณค่าของการซื้อที่ต่างจากคนซื้อรถยนต์ปกติอย่างสิ้นเชิง (ถ้าคุณกล้ามอง รถยนต์ ใช้แล้วทิ้งเหมือนโทรศัพท์มือถือ คุณจะกล้าซื้อ Tesla ...คนที่ชอบซื้อนาฬิกาเป็นสินทรัพย์ จะไม่ซื้อ Apple Watch เพราะมันคนละจุดยืน)


...อยากจะบอกว่า โลกยุคใหม่ ไม่ได้ให้ที่ยืนแต่คนเก่งที่สุด แต่ให้ที่ยืนกับคนที่เข้าใจจุดยืนของตัวเอง และกล้าเดินในทางที่ตัวเองเลือกอย่างมั่นคงและชัดเจนที่สุดนั่นเอง'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 27 กันยายน พ.ศ. 2560

หุ้นเสี่ยง หรือ หวยเสี่ยง กว่ากัน



หุ้น หรือ หวย อะไรเสี่ยงกว่า ? ..หรือว่า มันบ้าคลั่งทั้งสองอย่าง ? ..อยากเล่าให้ฟังทั้ง 2 อย่าง ผ่านมุมมองของคนที่มองไม่เหมือนเรา !!


ความเสี่ยง แต่ละคน เหมือนกันหรือไม่ ?


'ทำไมเศรษฐีเอาเงินส่วนใหญ่ที่ตัวเองไว้ในหุ้น มีเงินเพียงส่วนน้อยฝากธนาคาร ...ในขณะที่คนส่วนใหญ่มีเงินฝากธนาคาร แต่ไม่มีเงินอยู่ในหุ้น (ถ้ามีในหุ้นก็มักถือสั้นๆ)'


1. การมองความเสี่ยงต่างกัน ...คนทั่วไปสับสน ระหว่าง ความผันผวน กับ ความเสี่ยง ..หุ้นผันผวนในระยะสั้น แต่ระยะยาวให้ผลตอบแทนสูงสุดในทุกสินทรัพย์ ..ที่คนส่วนใหญ่มองว่า หุ้นเสี่ยง เพราะมองเรื่องความผันผวน


2. คนส่วนใหญ่ซื้อหุ้นแพง ชอบซื้อหุ้นเก็งกำไร ส่วนใหญ่ซื้อหุ้นปั่น ...แต่เศรษฐีมักซื้อหุ้นพื้นฐานดี และซื้อเวลาที่หุ้นนั้นมีข่าวร้าย ...ถ้าจะสรุปคือ คน 2 กลุ่มนี้ ซื้อของต่างกัน คนซื้อชอบซื้อทอง ในเวลาที่ทองราคาถูก แต่คนอีกกลุ่มกลับชอบซื้อขยะ แถมแห่ซื้อในราคาแพง


สรุปก็คือ เมื่อความรู้ต่างกัน โอกาสในชีวิตก็ไม่เท่ากัน


ยกตัวอย่างหุ้น เป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด คนรวยถือนานที่สุด คนรวยเล่นกับมูลค่าของหุ้น ..ถือหุ้นเอาปันผล และได้ผลพลอยได้คือมูลค่าของหุ้นที่โตเพิ่มขึ้นเป็นสิบเท่า ร้อยเท่า เหมือนที่ดิน และ สุดท้ายก็ใช้หุ้นเป็นเครื่องผลิตเงิน และใช้เป็นมรดกส่งต่อความมั่งคั่งให้ลูกหลานต่อไป


...แต่คนส่วนใหญ่กลับใช้หุ้นเป็นการเสี่ยงโชค และเล่นกับความผันผวนของราคา ..สนุกกับการขึ้นลงของราคา โดยแทบไม่สนมูลค่า 


ไม่ได้สรุปว่า มุมมองใครดีกว่าใคร เพียงแต่เปรียบเทียบให้เห็นว่า ในสิ่งเดียวกัน คนเราก็มองความเสี่ยงและผลตอบแทน ต่างกันอย่างสิ้นเชิง


ความเสี่ยง ไม่ได้ขึ้นกับว่า เรามีเงินมากหรือน้อย ...ยกตัวอย่าง หวย ถ้ามองในเรื่องความเสี่ยงคือเสี่ยงที่สุด แต่คนส่วนใหญ่ก็คิดว่าเขาลงทุนโดยซื้อหวยอย่างสม่ำเสมอ โดยหวังว่าวันนึงจะโชคดี 


ในขณะที่คนรวย ก็ซื้อหุ้นดี สะสม เวลาถูก แล้วปล่อยให้เงินต้น โตสิบเท่า ร้อยเท่าตามระยะเวลา


เรื่องนี้ผม เปรียบเทียบ เพื่อให้ลองศึกษาและมองความเสี่ยงใหม่ ...คนที่เข้าใจ เขาจะเปลี่ยนชีวิตด้วยตัวของเขาเอง โดยแทบไม่ต้องพึ่งโชคชะตา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เศรษฐีเกิดขึ้นได้อย่างไร แล้วอะไรสำคัญสุดในโลกทุนนิยม



'เมื่อไหร่จะเกิดสงคราม !!'


นี่เป็นสิ่งที่นักลงทุนหลายคนเฝ้ารอ ..มันฟังดูโหดร้ายและมองโลกในแง่ลบจริงๆ ในสายตาคนทั่วไป แต่มันก็เป็นเวลาที่ สินทรัพย์ทุกอย่างในโลกจะราคาลงแล้ว นักลงทุนสามารถซื้อสินทรัพย์ต่างๆ ในราคาถูก


แต่สิ่งที่น่าคิดคือ อะไรทำให้สินทรัพย์(เช่น หุ้น) จะลงมาซื้อขายกันราคาถูก


1. เจ้าของสินทรัพย์ร้อนเงิน ..ซึ่งเหตุการณ์แบบนี้เกิดขึ้นตลอดเวลา และไม่พร้อมกัน ส่วนใหญ่จะเกิดในเวลาที่เจ้าของสินทรัพย์ประสบปัญหา เช่น ธุรกิจขายของแย่ลง ขาดทุน ประกอบกับหนี้สินสูง ก็อาจมีจุดที่เจ้าของธุรกิจนั้นจะร้อนเงิน ยอมขายสินทรัพย์ตัวเองในราคาถูกๆ 


2. เจ้าของสินทรัพย์ไม่มีความรู้ ..อันนี้มักจะเกิดเวลา แบ่งมรดก เช่น เตี่ยตาย แล้วลูกๆ อย่างจะแบ่งมรดก ก็จะมีการขายที่ดิน ขายสินทรัพย์ออกมาให้เร็วที่สุด ...อันนี้รวมถึงทรัพย์สมบัติของสะสมของเตี่ย ที่จะเอามาขายทอดตลาดในราคาถูก เพราะลูกๆ ส่วนใหญ่ไม่มีความรู้ว่าอะไรราคาเท่าไหร่ ..ส่วนมากก็เสร็จพ่อค้าของเก่า หรือคนที่มีเงินสามารถซื้อของถูกๆ ในเวลานั้นๆ


3. เกิดวิกฤตเศรษฐกิจ หรือเกิดสงคราม อันนี้ก็จะมีของดีราคาถูกๆ ออกมาวางขายพร้อมกัน เพราะคนส่วนใหญ่ขาดเงินพร้อมๆ กัน 


ใช่!! ยกเล่าเหตุการณ์ทั้ง 3 มาเล่าให้ฟัง เพราะทุกครั้งที่เกิดเหตุการณ์เหล่านี้จะเกิดเศรษฐีใหม่ขึ้นมาทุกครั้ง 


และสิ่งที่ทำให้เศรษฐีเกิดใหม่ ถือกำเนิดขึ้น มันไม่ใช่เพราะเขาเอาเปรียบคนอื่น หรือ เป็นคนโหดร้าย ...เพราะทุกเหตุการณ์มันเกิดจากความพอใจของคนทั้ง 2 ฝ่าย จึงเกิดการซื้อขายขึ้น - คนขายอยากได้เงิน - ส่วนคนซื้ออยากซื้อสินทรัพย์ ...มันก็คือ การซื้อขายปกติในโลกทุนนิยมนั่นเอง


สิ่งที่ผมเรียนรู้จากเรื่องนี้ก็คือ 'ความรู้ ในเรื่องของสินทรัพย์ ต่างหากที่สร้างความเปลี่ยนแปลงในชีวิต'


เพราะจริงๆ แล้ว สินทรัพย์มีอยู่ทั่วไป การซื้อขายก็เกิดขึ้นตลอดเวลา ...แต่คนที่จะเปลี่ยน การซื้อขายธรรมดาๆ ให้สร้างตัวเปลี่ยนชีวิต ก็ต้องเป็นคนที่ศึกษาสินทรัพย์นั้นๆ จนชำนาญ ...ตีราคาเป็น รู้มูลค่า และอดทนรอจังหวะและโอกาสที่เหมาะสมนั่นเอง


นิทานเรื่องนี้ สอนให้รู้ว่า สินทรัพย์ที่มีค่าที่สุด ไม่ใช่สิ่งที่พ่อเรามี หรือ สิ่งที่เรามี ...แต่มันคือความรู้ที่เรามีต่างหาก ที่จะเปลี่ยนให้ชีวิตเราดีขึ้น หรือแย่ลง


'ในโลกที่เปลี่ยนแปลง เราอาจไม่จำเป็นต้องเป็นหมอดูทำนายให้แม่นยำว่า อะไรจะเกิดขึ้น หรือไม่เกิด ...หากแต่เราต้องเตรียมตัวให้พร้อมต่างหาก'


เตรียมความรู้ให้พร้อม ..เตรียมความรู้ที่จำเป็น


จัดไป !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 24 กันยายน พ.ศ. 2560

ทำอะไรให้ชีวิตมันดีจริงๆ



'ถ้าให้แนะนำ น้องๆ ได้ เรื่องเดียวเกี่ยวกับงาน จะแนะนำเขาว่าอะไรครับ ?'

เออ.. พอถามแบบนี้ยากเนอะ - เหมือนจะถามพ่อแม่ว่า ถ้าเราสอนลูก ได้อย่างเดียวจะสอนอะไร ?

ถ้าเป็นคุณจะสอน 'ท่าไม้ตาย' อะไร ?

แต่ในโลกความเป็นจริง พ่อแม่ทุกคนสอนมากกว่าหนึ่งข้อ ..สอนเยอะมาก สอนตั้งแต่เช้ายันเย็น สอนทุกวัน ...แต่ในมุมของลูก เรากลับรู้สึกว่า 'ทำไมต้องบ่นด้วย ..จะให้ทำยังไง ถึงจะพอใจ' - อ้าว!! เป็นงั้นไป ทำไมลูกแปลความหวังดี เป็นความอึดอัด

ถ้าพ่อแม่เคยมีชีวิตลำบาก เขาก็จะทำทุกอย่างเพื่อให้ลูกไม่ลำบาก ...เช่น ตอนพ่อแม่เด็กๆ ไม่ได้มีกินเหมือนสมัยนี้ วันนี้ก็เลยซื้อทุกอย่างที่เคยอยากกินให้ลูก 

เคยทำงานลำบาก ก็พยายามให้ทุกอย่าง เพื่อให้ลูกไม่ลำบาก ..สร้างบริษัทใหญ่โต เพื่อที่วันนึงลูกจะได้มีธุรกิจดีๆ ทำ โดยไม่ต้องลำบากสร้างเหมือนตัวเอง ..แค่เรียนให้เก่ง แล้วมารับสืบทอดกิจการไป

แต่ปัญหาก็คือ ..'ปัญหาในชีวิตของลูก มันเป็นคนละปัญหากับพ่อแม่' ...มันคนละปัญหากัน !! 

ทุกวันนี้ เราไม่ได้มีปัญหาเรื่องความอดอยาก แต่เรามีปัญหาเรื่อง 'มีกินมากไป' ..น้ำหนักเป็นปัญหา ..โรคที่เกิดจากสิ่งที่กิน มากไป - โลกวันนี้เปลี่ยนปัญหา จากความขาดแคลน กลายเป็น ปัญหาจากความมากเกินไป

วันนี้ปัญหาในเรื่องความรู้ ไม่ได้เรียนน้อยรู้น้อย แต่ปัญหาเกิดจาก ข้อมูล Overload ..มันมากเกินไป ..วันนี้คนเก่ง จึงไม่ได้เกิดจากการบริโภคให้มากที่สุด แต่กลายเป็น คนเก่งคือคนที่รู้จักเลือก

'คนฉลาดในยุคนี้ คือคนที่ปฏิเสธเป็น ...เลือกเป็น ...ปฏิเสธสิ่งที่ไม่จำเป็นในชีวิตออกไป'

"เอาครับ" - เป็นสิ่งที่ตอบง่าย ไม่ต้องคิด 

แต่คำว่า 'ไม่เอาครับ' มันนี้เป็น ทักษะสำคัญในยุคปัจจุบัน ที่ต้องฝึกฝน ...ฝึกเพื่อให้ชีวิตดี ฝึกให้ประสบความสำเร็จ

ใช่!! โลกทุกวันนี้พยายามยัดเยียดทุกสิ่งที่คนขายอยากขาย โดยไม่เคยถามเลยว่า คนซื้ออยากซื้อหรือไม่ ..มันจำเป็นและเป็นประโยชน์ต่อชีวิตของผู้บริโภคอย่างไร 

กลับมาที่คำถามเดิม ถ้าจะสอนท่าไม้ตาย เรื่องเดียวเป็นท่าไม้ตายให้ลูกจำได้ และเอาไปทำ ..คำสอนนั้นคืออะไร ?

สอนอะไรดี ..เอาเนื้อๆ ..ไม่เยอะ ..จะได้ทำได้ ..เอาไปใช้เปลี่ยนชีวิต

ผมขอแนะนำเรื่อง งานในอนาคตละกัน ...ที่น้องๆ ถามว่า เลือกอาชีพอะไรดีครับพี่ ?

'งานที่เราทำแล้วคนอื่นชอบเรา ในขณะที่เราก็ชอบตัวเองด้วยที่ทำงานนี้'

มีงานแบบนี้ด้วยหรือ ?

มีซิ ...คนที่ทำงานที่ทำแล้วคนอื่นรัก ในขณะที่ทำแล้วยิ่งรักตัวเอง - คนที่ประสบความสำเร็จทุกคนทำงานแบบนี้แหละ 

...มันเป็นงานที่ไปสมัครไม่ได้ ไม่ได้มีในเว็บสมัครงาน ไม่ได้มีในประกาศรับสมัครหางาน ...แต่เป็นงานที่ต้องสร้างขึ้นมาเอง

ลองตั้งโจทย์ แล้วเริ่มจากจุดที่เรายืน แล้วถามว่า 

- งานที่เราอยู่ปัจจุบัน ยิ่งทำ คนที่ชอบให้เราทำใช่หรือไม่ ? ...ถ้าไม่ใช่ ปรับดู ...ทำให้ดีขึ้น ทำตัวให้มีประโยชน์มากขึ้น ...หาความรู้ ความเชี่ยวชาญในงานที่ทำมากขึ้น

- งานนี้เรายิ่งทำแล้วก็ยิ่งชอบตัวเอง ใช่หรือไม่ ? ...ถ้าไม่ใช่ แปลว่า เราทำเพื่อเงินอย่างเดียว ...มันดีนะได้เงิน แต่มันไม่ดีพอ เพราะ ถ้าแค่ได้เงินเราจะไม่ชอบตัวเอง 

...มันต้องทำแล้วเรารู้สึกดี มันถึงจะครบ ต้องสมดุลย์ความสุข ที่ทำให้คนอื่นได้ดี ได้เงิน และ เราชอบตัวเอง

ไม่ง่าย ...มันเป็น Journey ที่เราแต่ละคน ค่อยๆ ปรับ ค่อยๆ สร้าง 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เมื่อทางเลือกมากขึ้น ความสุขในชีวิตจึงลดลง




'ลูกจะเป็นอะไรก็ได้ในโลกนี้ ที่ลูกอยากเป็น !!'


คนรุ่นใหม่ได้รับการเลี้ยงดู ในแบบที่พูดในประโยคนี้ ...ต่างกับรุ่นพ่อแม่ ปู่ย่า ของเรา ที่ไม่ใช่เราจะเป็นอะไรก็ได้ 


ถ้าเป็นบ่าว ต้องเป็นบ่าว ..ถ้าเป็นนาย ต้องเป็นนาย


- เรามักตัดสินว่า คนที่ด้อยกว่าเรา เขาน่าจะมีความสุขน้อยกว่าเรา ...เราแน่ใจหรือว่ามันเป็นแบบนั้นจริงๆ 


ทำไมคนที่ฆ่าตัวตาย มักเป็นคนที่มีมากกว่าคนทั่วไป ..รวยกว่า ..สำเร็จกว่า ...เราเคยสงสัยไหมว่าทำไมคนเหล่านั้นฆ่าตัวตาย หรือ ทำไมเขาถึงไม่มีความสุข


วันนี้ได้ดู TED Talk เรื่อง Paradox of Choice ก็ทำให้ฉุกคิดอะไรหลายๆ อย่าง


ภาพที่เอามาให้ดูนี่คือ ภาพของ ปลา (ซึ่งเปรียบเสมือนตัวเรา) ว่ายอยู่ในโถเล็กๆ กับปลาฉลาม ..มันเป็นคำพูดที่ย้อนแย้งมากๆ เสียดสีชีวิตคนปัจจุบัน ที่พูดว่า 'ทุกคนสามารถเป็นอะไรก็ได้ที่เขาอยากเป็น'


ใช่ !! เป็นอะไรก็ได้ ตราบเท่าที่โอกาสในชีวิตเราก็เหมือนโถใส่ปลาเล็ก ที่เราว่ายอยู่กับฉลามซึ่งแข็งแรง แถมได้เปรียบกว่าเรา (มันสามารถกินเราได้ตลอดเวลา) ...ตกลง นี่คือ ความหมายของ 'เป็นอะไรก็ได้ไง'


เรื่องของ Paradox of Choice เขาพูดว่า 'ยิ่งชีวิตมีทางเลือกมาก เรายิ่งหดหู่มากขึ้น' ...ผมว่า Steve Jobs น่าจะเข้าใจประเด็นนี้อย่างลึกซึ้ง จึงสร้าง iPhone ให้ผู้บริโภคต้องเลือกน้อยที่สุด


'เคยไหมที่ เราอยากซื้อสินค้าอันนึง แต่ทางเลือกมีเยอะ ..เยอะมาก มากจนสุดท้าย กรูไม่ซื้อดีกว่า !!'


นี่คือ โลกยุคใหม่ ที่ทางเลือกมีมาก จนเครียด ...เพราะทางเลือกสร้างให้เราคาดหวังมากขึ้น


เราคาดหวังว่า ทางเลือกเยอะๆ ทำให้เราสามารถเลือกสิ่งที่ดีที่สุดให้ชีวิตเรา ...ดังนั้น ทุกคนจะ คาดหวังให้ได้สิ่งที่ดีที่สุด เราทุกคนเต็มไปด้วยความคาดหวัง 


คำว่า 'ดีพอ' ไม่ใช่สิ่งที่คนรุ่นใหม่ต้องการ ..เพราะ เขาต้องการดีที่สุด (แต่ทุกคนลืมไปว่า ดีที่สุด มันไม่มี) เมื่อเราวิ่งหาสิ่งที่ไม่มี ...ทั้งชีวิตก็เลยหาไม่เจอ !!


สิ่งที่น่ากลัวก็คือ ยิ่งความคาดหวังในอะไรก็ตาม เราสูงมากเท่าไหร่ ..โอกาสที่เราจะผิดหวังก็สูงมากขึ้น


"ความคาดหวังที่สูง จึงเท่ากับ ความสุขในชีวิตที่ลดลง"


ผมมาฉุกคิดถึง คนยุคปัจจุบัน ว่า ทำไมทุกวันนี้ชีวิตเราสุขสบายมากขึ้น มีทางเลือกในชีวิตมากขึ้น แต่ความสุขในชีวิตถึงลดลงเรื่อยๆ 


ยิ่งเรามีตำแหน่งหน้าที่การงานยิ่งสูงขึ้น สำเร็จขึ้น รวยขึ้น เรายิ่งมีทางเลือกมากขึ้น ...ทางเลือกมากขึ้น ความคาดหวังสูงขึ้น ..โอกาสผิดหวังก็ยิ่งสูงขึ้น 


ในที่สุดความสุขในชีวิตก็ยิ่งลดลง


คำแนะนำของ Barry Schwartz’s คนนำเสนอ ทฤษฎีเรื่อง Paradox of Choice เขาแนะนำว่า ...ความสุขในชีวิต ง่ายนิดเดียว ...แค่ลดความคาดหวังลง เราก็มีความสุขง่ายขึ้นแล้ว


เออ!! จริง ...แต่ไม่ง่ายเลย ...เพราะเราอยู่ในสภาพแวดล้อมที่สร้างให้เราเปรียบเทียบตลอดเวลา ...เราอยู่ในโซเชียลที่เราเห็นแต่การอวดคนอื่นว่าชีวิตเราดีแค่ไหน เรากินหรูแค่ไหน เราไปเที่ยวไฮโซอย่างไร 


สิ่งเหล่านี้ ไม่ได้ช่วยให้เราชีวิตดีขึ้นหรือ สำเร็จมากขึ้นเลย ...แต่เราก็ชอบดู ชอบเปรียบเทียบคนอื่น เพื่อจะได้กลับมาหดหู่ และรู้สึกว่า ใครๆ ก็ดีกว่าเรา


ถามจริงๆ ครับ อ่านมาถึงตรงนี้ 'คุณได้ฉุกคิดอะไรบ้าง ?' เล่าสู่กันฟังหน่อย 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันเสาร์ที่ 23 กันยายน พ.ศ. 2560

งานหนักหักโหมไม่ได้เปลี่ยนชีวิต แต่ทำสม่ำเสมอวันละนิดนั่นแหละเปลี่ยนทั้งชีวิตเรา



'มีเคล็ดลับของความร่ำรวย มาฝาก ...เราทุกคนรู้ว่า การลดน้ำหนัก ไม่ใช่การออกกำลังกายอย่างหนักในวันเดียว ..เพราะมันไม่ลด ...แต่การออกกำลังกายวันละนิดอย่างสม่ำเสมอทุกวันต่างหาก ที่สามารถทำให้เราน้ำหนักลดและหุ่นดี สุขภาพดี'


สิ่งที่เล่ามา มันก็เหมือน การสร้างความร่ำรวย ..การที่จะรวย ไม่ใช่การทำงานหนักแบบสุดๆ หนึ่งวัน ..ซื้อหวยหนึ่งวันแล้วลุ้นว่า สิ้นเดือนชีวิตเราจะเปลี่ยน (ไม่ใช่!! มันไม่เปลี่ยน) 


..แต่มันคือการทำงานอย่างสม่ำเสมอต่างหาก ที่เปลี่ยนชีวิตเรา


คุณรู้ไหมว่า ถ้าคุณออกกำลังกายทุกวัน วันละครึ่งชั่วโมง ..วันไหนที่คุณหุ่นดี ...ใช่!! คุณไม่รู้ แต่ถ้าคุณทำทุกวัน หุ่นคุณก็จะดีขึ้นเรื่อยๆ มันคือ Process ..มันคือ การเดินทาง ...มันไม่ใช่เป้าหมายอย่างที่หลายคนคิด


การสร้างความร่ำรวยก็เหมือนกัน ยกตัวอย่าง คุณออมในหุ้นทุกเดือน ออมไปเรื่อยๆ เราตอบไม่ได้หรอกว่า วันไหนจะรวย ...แต่เรารู้ว่า วันนึงเราจะรวยอย่างแน่นอน


แต่เรื่องตลกก็คือ 'สิ่งที่ผมเล่ามา เป็นเรื่องธรรมดาที่ใครๆ ก็รู้ แต่ในชีวิตกลับมีน้อยคนที่ทำ' 


- คนอยากลดน้ำหนัก คุณจะเห็นเขาลุกขึ้นมาออกกำลังกายอย่างหนักไม่กี่วัน จากนั้นก็เลิก 


- คนอยากรวย ลุกขึ้นมา จริงจังเล่นหุ้น หรือ ทำธุรกิจ แป๊บๆ ก็เลิก


- บางคนหาทางง่ายกว่านั้น ซื้อหวยทุกงวด คิดว่า หนึ่งวัน หนึ่งครั้ง จะเปลี่ยนชีวิตทั้งหมดของเขา


ไม่!! มันไม่ใช่เลย ...เคล็ดลับ คือ ความสม่ำเสมอ ..การลุกขึ้นมาทำอย่างสม่ำเสมอ วันละนิด วันละนิด แล้ววันนึงเราจะพบว่า ..เฮ้ย!! เรารวยแล้ว 


- ไม่เกี่ยวกับดวง หรือ โชค ..ไม่ต้องลุ้น 


ลดน้ำหนักทำได้ , ความรวยสร้างได้ ..วันละนิด 


อยากอ้วน ก็ทำได้ ..เหมือนกัน วันละนิด - อยากจน ก็ทำได้ วันละนิด


ตอบให้ได้ว่า 'วันละนิด' ของเราคืออะไร นั่นแหละสิ่งที่จะเปลี่ยนทั้งชีวิตของเรา


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 22 กันยายน พ.ศ. 2560

ออมเงินในสิ่งที่เสี่ยง ให้รวยที่สุด



'เล่นหุ้น' ..ถ้าไม่เล่นเพื่อเงินแล้วเพื่ออะไร ..ใครๆ ก็บอกว่าเสี่ยง แล้วมันแย่อย่างนั้นจริงเหรอ ?


- ถ้าไม่ต้องการเงินจะเล่นหุ้นทำไม ..ดังนั้น แน่นอนลึกๆ คนที่เข้าตลาดมีเป้าหมายอะไรบางอย่างที่เกี่ยวกับเงินแน่นอน 


แต่ปัญหาคือ 'ใครก็ตามที่ตั้งเป้าว่าจะโกยเงินเร็วๆ จากตลาดมักพลาดและติดกับดักตลาดหุ้นง่ายๆ แล้วสุดท้ายก็กลายเป็นคน 80% ที่อยากเข้ามาโกย แต่สุดท้ายเสียหายหนัก !!' 


- การตั้งเป้าหมายที่ดีกว่า คือ 'ใช้ตลาดหุ้นเป็นแหล่งออมเงิน ..แทนที่จะออมเงินโดยฝากธนาคาร เราอาจพิจารณาตลาดหุ้นเป็นแหล่งออมเงินแทน ซึ่งมันมีข้อดีดังนี้' 


1. หุ้นเป็นสินทรัพย์ที่ให้ผลตอบแทนสูงสุด สูงกว่าที่ดิน ดังนั้น การออมเงินในหุ้นที่ดี ก็ให้ผลตอบแทนสูงที่สุดในระยะยาว


2. หุ้นที่ดี ให้ปันผลอย่างสม่ำเสมอ อันนี้ที่ทำให้ระยะยาว หุ้นได้เปรียบที่ดิน (ที่ดินระยะยาวให้ผลตอบแทน 10% ต่อปีแต่ไม่มีปันผล ส่วนหุ้นให้ 12% และมีปันผลด้วย)


3. คนส่วนใหญ่ใช้หุ้นเป็นสิ่งที่เอามาเล่นแบบเข้าบ่อน วัดดวง ซึ่งคนเหล่านี้ 80% เสียหายจากมัน แต่ทำไมเราไม่เลือกเป็น 20% คือ เป็นคนส่วนน้อยที่มาวางเงินทำงานในหุ้นแทน


4. ข้อด้อยของหุ้น คือ ความผันผวนระยะสั้น ก็คือราคาหุ้นมันแกว่งนั่นเอง ..คนที่เข้าใจจุดนี้ แก้ง่ายๆ ด้วยการถือยาว เพราะยังไงระยะยาวมันขึ้นไปเรื่อยๆ แค่มองปันผลแทนมองราคาหุ้นก็ช่วยได้แล้ว


5. หุ้นไม่เสียค่าเก็บรักษา เหมือนสินทรัพย์อื่น ..ถ้ามีบ้านก็มีค่าใช้จ่ายซ่อมแซม มีสิ่งของก็ต้องดูแล แต่หุ้นในพอร์ต ไม่มีค่าใช้จ่ายในการถือ แถมมันดูแลเรา เพราะนอกจากระยะยาวราคาจะขึ้นแล้ว ยังให้เงินปันผลเลี้ยงเราอีก


ที่เล่ามาจะบอกว่า 'ทุกอย่างมีข้อดี มีข้อเสีย มีคุณ มีโทษ ...การเข้าใจมอง และเลือกรับ ข้อดี แล้วใช้ความรู้ปิดความเสี่ยง จะทำให้เราเห็นในสิ่งที่คนอื่นไม่เห็น - ผมเรียกสิ่งนี้ว่า คุณจะเห็นโอกาส ที่คนอื่นมองไม่เห็นนั่นเอง'


หุ้น ให้ผมมากกว่าเงิน มันเตือนสติ และ ให้ข้อคิดผมมากมาย ...ลองเอาวิธีคิดนี้ไปปรับใช้ซิครับ


'มองและเข้าใจ ในสิ่งที่คนอื่นมองข้าม หรือ มองไม่เห็น'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 14 กันยายน พ.ศ. 2560

ยุคนี้ความสมบูรณ์แบบ คือความไม่สมบูรณ์แบบ



ยุคนี้เราหาความไม่สมบูรณ์แบบ !!


สมัยก่อนคนจะวิ่งหาความสมบูรณ์แบบ Perfect ..ใครที่พัฒนาตัวเองให้สมบูรณ์แบบก็มีโอกาสในชีวิตมากกว่าคนอื่น


แต่ลองสังเกตซิ ยุคนี้โอกาสอยู่ที่ความไม่สมบูรณ์แบบ ...ยุคนี้เราไม่สามารถคิดสินค้าขึ้นมาแล้วขายมันไปเรื่อยๆ โดยไม่พัฒนาไม่ได้


มันแปลตรงๆ ว่า ...อะไรก็ตามที่เราคิดว่ามันสมบูรณ์แบบแล้ว มันกำลังจะตกยุค หมดอายุ เริ่ม Out ..กำลังล้าสมัย


ดังนั้น เราต้องพัฒนาตัวเรา หรือ สินค้าของเราให้เป็น Version แบบ iPhone เริ่มตั้งแต่ รุ่น 1 เลย ...นี่ขนาด iPhone พัฒนาตลอด เวลานี้ พอออกรุ่น 10 เริ่มมีคนพูดว่า มันกำลัง Out ละ - คิดอะไรไม่ออกแล้วหรือ ?


นี่ขนาดสินค้าระดับโลกนะ ยังต้องพัฒนาปรับ Version ของตัวเองตลอดเวลา ...มันถึงเวลาแล้วล่ะที่เราต้องถามตัวเองว่า วันนี้ตัวเราอยู่ใน Version ไหนแล้ว รุ่น 1 ..รุ่น 2 ..รุ่น 5 'อย่าหยุด!!'


ฟังดูเหมือนเหนื่อย ที่เราหยุดไม่ได้ แต่มันเป็นพื้นฐานของสิ่งมีชีวิตและธรรมชาติอยู่แล้ว ..น้ำนิ่ง คือ น้ำเน่า 

..คนนิ่ง เลยเป็นคนเอ้าท์ (ใกล้เน่าแต่ยังไม่ถึงขั้นนั้น)


ทำให้การเรียนรู้ เป็นเรื่องสนุก ...การเรียนรู้อะไรใหม่ๆ นี่แหละ จุดเริ่มต้นของทุกความสนุกและความท้าทาย ...มองให้ถูก แล้วเราจะเห็นว่า โลกนี้เต็มไปด้วยโอกาสแม้ในวิกฤต


เมื่อเราเรียนรู้เพิ่ม 1 อย่าง ก็เท่ากับเราเปิดโอกาสอีก 1 อย่าง เข้ามาในชีวิต !!


เราที่พัฒนาต่อเนื่อง ...ความไม่สมบูรณ์แบบของเรา คือ ความสนุกของชีวิตที่เติบโต 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันพุธที่ 13 กันยายน พ.ศ. 2560

ว่ากันไปเรื่องไอโฟน X



วันนี้ Timeline ผมเต็มไปด้วยเรื่องนี้ ..ไอโฟน X เปิดตัว 


ไม่มียุคใดในโลก ที่สื่อเปลี่ยนไปเช่นนี้ ..มันเปลี่ยนการรับรู้ข่าวสารของมนุษย์ไปแบบหน้ามือหลังมือ


นี่เท่ากับว่า Apple ได้โฆษณาฟรีจากคนทั้งโลก โดยแทบไม่ต้องจ่ายค่าโฆษณาเลย ...มานั่งคิดว่า แล้วเราเรียนรู้อะไรจาก Apple ได้บ้าง


1. อย่าสร้างสินค้าธรรมดา เพราะของธรรมดาไม่เป็นข่าว ..ต้องสร้างของไม่ธรรมดา ..จริงๆ เรื่องนี้ Elon Musk รู้ดี จึงสร้างรถ Tesla ..แล้วคนจะช่วยโฆษณาให้เราเอง 


2. สร้างความประหลาดใจอยู่เสมอ และใหม่ตลอด ...คงไม่มีอีกแล้วที่คิดอะไรขึ้นมาหนึ่งอย่างแล้วขายได้ตลอดไป ...ต้องปรับปรุงสินค้าและบริการตลอดเวลา - เหมือนเดิมแปลว่า Out !! 


3. ของแพงขายได้ ..แทบคิดไม่ทันเลยว่า เรามาถึงยุคที่โทรศัพท์เครื่องละครึ่งแสนกันตั้งแต่เมื่อไหร่ ...หลายคนคงต้องขายบ้าน เพื่อซื้อโทรศัพท์กันละ (คนสมัยก่อน ไม่ว่ารวยแค่ไหนก็ไม่กล้าซื้อของแพง ยุค Baby Boom ..คนยุคต่อมาก็กล้านิด ๆ Gen X ...หลังจากนี้ คงได้เห็น กางเกงใน ตัวละแสน , หมวกใบละล้าน ...คนยุคนี้ไม่สนเลยว่า จ่ายแสน ใช้ 2 ปีทิ้ง ..ชิวๆ ..555)


4. เรื่องราวของสินค้า คนติดตามเหมือนหนังเลย ..ยุคนี้จะสร้างสินค้าอะไรต้องเตรียมเขียนตำนานด้วย ...ใช่!! นักเขียน ควรผันตัวมาสร้างเรื่องราวในสินค้าและบริการ ...คนยุคนี้ซื้อสินค้าด้วยอารมณ์ จึงต้องสร้างอารมณ์จากเรื่องราวและตำนาน


5. Apple สอนมวยคนทำธุรกิจยุคใหม่ โดยเขาทำให้เห็นเลยว่า ธุรกิจที่ดีต้องกำไร ..สินค้าและบริการของ Apple ทุกตัวมี Margin ที่สูงมาก 


ประมาณนี้ ..ว่ากันไป !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม




วันจันทร์ที่ 11 กันยายน พ.ศ. 2560

คนเราสามารถสร้าง Asset ได้อย่างไร



คุยกับเยอะ จนหลายคนเข้าใจแล้วว่า คนที่รวย เพราะเขามี Asset เยอะ ...แล้วก็ Asset ยิ่งถือ ราคายิ่งขึ้น 

ก็รวยกันไปตามๆ กัน

แต่มีอีกประเด็นที่น่าสนใจคือ 'แล้วคนเราสร้าง Asset ได้อย่างไร ?'

ถ้าคุยกันเรื่อง Asset มันมีหลักการง่ายๆ 3 ข้อ คือ

1. สิ่งนั้นเป็นที่ต้องการของมนุษย์ (Demand)
2. สิ่งนั้นมีจำนวนจำกัด (Limited Supply)
3. สิ่งนั้นยิ่งเก็บนาน ราคายิ่งเพิ่ม (Durability : ความคงทน)

เรามาดู สินค้าที่มนุษย์สร้างขึ้น ในอดีต ส่วนใหญ่เป็น Asset ทั้งนั้น อย่างบ้าน สมัยก่อนก็เป็นไม้จริง ไม่ใช่ไม้อัดแบบในปัจจุบัน ทำให้ขนาดผนังบ้านโบราณ ยังสามารถขายได้มีราคา

โต๊ะ เก้าอี้ เตียง สมัยก่อน ไม้จริง แกะสลัก ฝังมุก ..พวกนี้ Built to Last สร้างให้ทรงคุณค่า แล้วอยู่ตลอดไป ...ต่างกับ โต๊ะ ตู้ เตียง ปัจจุบัน ทำจากไม้คุณภาพต่ำ ใช้สักพักก็เจ๊ง ..จึงไม่แปลกที่สิ่งของ สินค้าที่สร้างในปัจจุบันล้วนทำมาเพื่อใช้ชั่วคราว แล้วสุดท้ายก็ทิ้งเป็นขยะ

พูดแค่นี้ ผมเชื่อว่า หลายคน Get เข้าใจเลยว่า ทำไมคนสมัยก่อนรวยง่าย เพราะทุกสิ่งรอบตัวคือ Asset แม้เขาลงทุนไม่เป็น แต่สิ่งของทุกอย่างที่ซื้อก็ยิ่งเก็บราคายิ่งเพิ่ม เรียกได้ ทุกการใช้จ่ายของคนสมัยก่อน มันก็การลงทุนอยู่แล้ว

แต่มาดูคนปัจจุบันซิ ทุกการใช้จ่าย มันคือซื้อสิ่งที่สุดท้ายราคาลดลงเรื่อยๆ ..ซื้อขยะนั่นเอง ...เดี๋ยวนี้คนจึงรวยยากไง เพราะ เราเก็บสะสมแต่ขยะ 

คำถามกลับมาที่ แล้วทุกวันนี้ คนเราจะสร้าง Asset อย่างไร ?

ก็ตอบง่ายๆ เลย คือ สร้างสินค้าตามหลัก 3 ข้อของ Asset ก็ได้แล้วครับ

ถ้ายกตัวอย่าง สินค้า Brand Name เช่น Patek หรือ Rolex เขาก็พยายามทำสินค้าเขาให้เป็น Asset 

- นาฬิกาเขา คนต้องการ (โฆษณาให้อยากได้ อัดงบเข้าไป ..เอาไปให้ดาราใส่ กระตุ้นความอยาก)

- นาฬิกาของเขา สร้างแบบ จำกัด (Limited Edition ..รุ่นนี้มีแค่ 200 เรือนทั่วโลก อะไรก็ว่าไป ..มุกนี้ Ferrari ก็ใช้อยู่เนืองๆ ..กระเป๋า Hermes ก็ใช้เหมือนกัน ...ไม่ใช่ใครก็ซื้อได้)

- นาฬิกาเขาขึ้นราคาทุกปี เช่น กำหนดไปเลย ราคาจะขึ้น 10 % ทุกปี ..ถ้าไม่ซื้อ ราคาจะขึ้นไปเรื่อยๆ - เอาให้แน่ใจเลยว่า ไม่ซื้อวันนี้ จะไม่ได้ซื้อราคานี้อีก (ตรงนี้ ต้องระวังนะ เพราะบางแบรนด์ชอบมั่ว ถ้าขืนทำ ลดแลกแตกแถม มันคือการหักหลังลูกค้า ..ก็พังมาหลายแบรนด์แล้ว)

คนที่ทำ Asset อื่นๆ ก็มี อย่างเช่น ศิลปิน 

อย่าง อ.เฉลิมชัย ก็เป็นคนนึงที่สร้าง Asset ในระดับปรมาจารย์ ...เอาง่ายๆ ว่า แกเข้าใจหลักการตลาด / เข้าใจความต้องการของคนรวย และ เข้าใจหลักการสร้าง Asset ...แค่นี้ก็รวย แบบชาตินี้ไม่มีวันจนแล้วจร้า !!

ลองเอา Idea การสร้าง Asset ไปใช้กับ สินค้า และ แบรนด์ที่คุณสร้าง น่าจะดีนะครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ชีวิตคือทางเลือก ต้องเลือกให้เป็น



'ทำงานไม่เกี่ยงงาน แต่ทำไมยังไม่รุ่ง ไม่ประสบความสำเร็จ'


ประสบความสำเร็จจริงๆ เป็นทางเลือก ไม่ใช่ทางบังคับ


คนที่ทำงานไม่เกี่ยง ทำงานไม่เลือก มันดีในช่วงที่เริ่มต้นที่เรายังขาดประสบการณ์ เพราะการขาดประสบการณ์ก็เท่ากับว่า ขาดทางเลือก ...ตอนนั้นต้องไม่เลือก ต้องทำ ทำ และ ทำ เพื่อหาประสบการณ์


แต่เมื่อเรามีประสบการณ์แล้ว เราต้องเลือกให้เป็น !!


ยกตัวอย่าง ถ้าเราไม่มีกิน เราก็ต้องกินทุกอย่างที่มันมี เลือกไม่ได้ แน่พอเราเริ่มมีกิน ความสำเร็จอยู่ที่การเลือก ..ถ้ามีทางเลือกแล้วยังกินไม่เลือก มันก็จะออกมาไม่ดี อ้วนไป ..ทำงานหนักไป จนแยกไม่ออกว่า อะไรคือโอกาส อะไรไม่ใช่โอกาส


ดังนั้น คนที่เริ่มมีประสบการณ์ เริ่มมีทางเลือก ต้องฝึกเลือก พัฒนาฝีมือในการเลือกโอกาส ...คนเราไม่มีเวลาพอที่จะทำทุกอย่าง คว้าทุกโอกาสตรงหน้า ...การเลือกจึงเป็นองค์ประกอบสำคัญของคนที่อยากประสบความสำเร็จ


ซึ่งมีขั้นตอนดังนี้


1. ตอนไม่มีทางเลือกให้ทำทุกอย่าง (อย่าเลือก)

2. พอเริ่มมีประสบการณ์จะเริ่มมีทางเลือก ต้องพัฒนาความสามารถในการเลือก 


การเลือก ที่ดี มี 3 ส่วน คือ 


หนึ่ง เลือกในสิ่งที่เราทำได้ดี ..อันนี้จะเกิดเมื่อเราได้ลองทำจริงๆ 


สอง เลือกในสิ่งที่เราอยากทำ ..อันนี้เราทำแล้วเราสนุก เรามีความสนุก และงานมันอธิบายตัวเราได้ดี


สาม เลือกในสิ่งที่คนอื่นชอบให้เราทำ ..อันนี้คนอื่นก็เห็นด้วยว่าเราทำได้ดีแล้วอยากให้เราทำอีก


ถ้าใครได้งานครบ 3 ส่วน ที่กล่าวมา แปลว่า คุณเลือกงานได้เหมาะกับตัวเอง เลือกทางที่ดี และ เลือกที่จะประสบความสำเร็จนั่นเอง


ใช่!! 'เมื่อมีทางเลือก ต้องเลือก' ..เลือกให้เก่ง เลือกให้เป็น 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอังคารที่ 5 กันยายน พ.ศ. 2560

เรียนอะไรถึงจะเป็นนักลงทุนที่เก่ง



มีรุ่นน้องถามว่า 'เรียนอะไร ถึงจะได้เป็นนักลงทุน ที่เก่ง ?'


ผมเล่าให้ฟังเยอะว่า อาชีพนักลงทุน คือ คนที่สั่งการให้เงินทำงานแทนเราได้ ..แถมเป็นอาชีพที่ยิ่งแก่ยิ่งรวย ..ทำเต็มเวลาก็ได้ ทำเป็นอาชีพเสริมก็ได้ เลือกได้เอง ..เป็นอาชีพที่ไม่มีหัวหน้า ไม่มีลูกน้อง ..ดีชั่วอยู่ที่ตัวเอง ..ผลลัพธ์วัดได้ตรงๆ เลย คือ เงินเราโตขึ้นเรื่อยๆ 


ดีนะ ...แต่ถามว่า 'เรียนอะไรถึงเหมาะกับการเป็นนักลงทุน ?'


ก็มี 5 เรื่องที่ต้องเรียน (ซึ่งส่วนใหญ่มันไม่ได้สอนในโรงเรียน) ดังนี้


1. เรียนเรื่องสินทรัพย์ ...อันนี้ผมเน้นย้ำบ่อย เพราะยิ่งโลกพัฒนาก้าวหน้า สินค้าและสิ่งรอบๆ ตัวที่เราจ่ายเงินซื้อมันจะไม่ใช่สินทรัพย์ ..คิดง่ายๆ คนเราได้เงินมา 100 บาท จ่ายสัก 90 เก็บ 10 ..แต่ที่มันแย่คือ 90 ที่จ่าย มันเป็นขยะหมด ไม่ใช่สินทรัพย์ ..คนยุคใหม่ จึงมีชีวิตเหมือนคนเก็บขยะ คือ ทำงานหนัก เพื่อสะสมขยะ เพื่อเอามาเก็บในบ้าน ..บ้านแสนแพงก็คือ ถังขยะ 


2. เรียนเรื่องการตีราคาสินทรัพย์ ...สินทรัพย์ทุกอย่าง สำคัญอยู่ 2 เรื่อง คือ หนึ่ง ราคา สอง มูลค่า ...ถ้าคุณคิดว่าคุณเก่งในสินทรัพย์ใด ต้องแยกให้ขาด บอกความแตกต่างให้ได้ว่า สินทรัพย์อันนี้ 'ราคา' ต่างจาก 'มูลค่าเท่าไหร่' (ถ้าตอบไม่ได้ คุณคือ มือสมัครเล่น)


3. การเข้าใจคนอื่น ...การเป็นนักลงทุน ไม่ใช่สักแต่ว่า ก้มหน้าก้มตาเก็บสินทรัพย์แบบมั่วๆ แต่ต้องศึกษา 'คน' ด้วย ...เช่น ถ้ามองย้อนไปในอดีต คุณรู้ว่า ประเทศจีนต้องเจริญ คนจีนต้องรวยขึ้น ..ถ้ารู้แบบนี้คุณต้องสะสม สินทรัพย์ที่คนจีนชอบ เช่น หยก , ของสะสมจีน (ที่ผมพูดเรื่องนี้ เพราะผมเคยอ่านประวัติของนักสะสมของเก่าชาวจีนคนนึง วันนี้เขาเป็นคนรวยระดับโลก จากการเป็นนักสะสม ..อาชีพก่อนที่เขาจะมาเป็นนักสะสมคือ คนขับแท็กซี่ ..นี่คือ เรื่องจริง)


4. การเข้าใจธรรมมะ ...ไม่ใช่แต่ไปทำบุญ ใส่บาตร ปล่อยนก ปล่อยปลา นั่นมันแค่เสี้ยวเดียว ..จริงๆ ธรรมะที่ต้องเข้าใจในฐานะนักลงทุนคือ 'ทางสายกลาง และ การปล่อยวาง' ..2 เรื่องนี้ ไม่สามารถเข้าใจจากแค่อ่านตำรา ต้องปฏิบัติอย่างเดียว ...นักลงทุนที่เก่ง คือ คนที่มอง 2 ด้านเสมอ อยู่ในฝั่งผู้ให้ และ อยู่ในฝั่งผู้รับ 


5. การฝึกมองการณ์ไกล ...อันนี้เหมือนง่าย แค่ยิ่งโลกหมุนเร็ว คนรุ่นใหม่ยิ่งมองสั้นลงเรื่อยๆ วันนี้ทุกคนต้องการทุกอย่าง 'ทันที' นี่คือ จุดอ่อนของคนรุ่นใหม่ ...ผลก็คือ ทุกคนมองเร็ว มองสั้น ...การจะเป็นนักลงทุนต้องฝึกมองไกล


นี่แหละ 5 เรื่องต้องเรียนรู้ ฝึกฝน เพื่อให้เรามีอีกหนึ่งอาชีพเสริม 'อาชีพนักลงทุน'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


เรื่องของ Zug เมืองใน Swiss ที่ใช้แต่ Blockchain Technology



"ลองนึกภาพที่โลก ไม่มีคนกลาง ไม่มีรัฐบาล แต่มีคอมพิวเตอร์มาควบคุมเรา ..เฮ้ย !! เริ่มเกิดขึ้นจริงๆ แล้ว (แต่ผมว่า ยังต้องมีตำรวจ ไม่งั้นต้องสร้างหุ่นยนต์สังหารมาคุม อาชญากรรมแทน..ล้ำว่ะ!! ..แต่ดีไหมอ่ะ?)"


นี่เป็นเรื่อง Zug เมืองเล็กใน Swiss ที่มีคนแค่ 30,000 คน แต่เขาใช้ Blockchain เข้ามาจัดการชีวิต ตั้งแต่ Passport และเอามาเป็นตัวกลางในการใช้ชีวิต


อันนี้ล้ำโคตร เมืองทั้งเมือง ใช้ Blockchain Technology ...ก็ต้องใช้เวลาแล้วค่อยมาดูกันว่า อนาคตของ Zug จะเป็นยังไงต่อไป !!


..จริงๆ แล้ว เบื้องหลังพวก Cryptocurrency ทั้งหมดเช่น Bitcoin มี เทคโนโลยีที่ชื่อว่า Blockchain ซึ่งนี่แหละ ที่มันล้ำหน้ามาก เพราะถ้าเทคโนโลยีทำสำเร็จ มันจะแปลว่า ต่อไปโลกเราไม่ต้องมีคนกลาง


ยกตัวอย่าง 


- โอนเงิน คุณไม่ต้องมีธนาคารเลย 

- ซื้อขายหุ้น ไม่ต้องมีโบรคเกอร์ ไม่ต้องมีตลาดหลักทรัพย์

- ซื้อขายที่ดิน ไม่ต้องมี สำนักงานที่ดิน

- หน่วยงานเกือบทั้งหมดของรัฐบาล ไม่ต้องมี

- ใช่!! เป็นแนวคิด ที่โคตรโหด สุดโต่ง และ เริ่มทดลองใช้กันจริงๆ 


ถ้าสำเร็จ คือ ธุรกิจที่เป็นตัวกลาง จะเจ๊งทั้งหมด เหลือแต่ Blockchain ซึ่งก็คือ ระบบคอมพิวเตอร์ที่ดูแลคุณ ..เออ !! เหมือนดูหนัง Sci-fi ที่มนุษย์ทำงานใต้ระบบคอมพิวเตอร์อะไรแบบนั้น


แต่อย่าเพิ่งตกใจไป มันยังไม่เปลี่ยนพรุ่งนี้ ...มันกำลังอยู่ในขั้นของการทดลองเริ่มต้น เพราะมันไม่ง่าย


อย่างพวก Cryto อย่าง Bitcoin ที่คือ เขาเอาระบบ Blockchain ไปสร้างเงินดิจิตอลขึ้นมา แล้วทดลองในโลกจริงๆ ซึ่งได้ผลบางส่วน


เช่น คนยอมรับ โอนเงินไม่ต้องเสียค่าธรรมเนียม โอนไปไหน ให้ใคร ไม่มีใครรู้ 


แต่ก็ยังมีข้อเสียที่ต้องแก้ไขเช่น ค่าเงินมันผันผวนมาก ขึ้นลงสุดโต่ง จนไม่สามารถเอาเงินเราทั้งหมดไว้ในนี้ได้ ไม่งั้นตอนขึ้นจะรวยมาก ตอนลงอาจจะเป็นยาจกกันไปเลย , มีการใช้โอนเงินสำหรับธุรกรรมผิดกฏหมายได้ง่าย , เรื่องความปลอดภัยก็ยังมีข้อกังขา เพราะเมื่อไม่มีใครรู้ว่าใครโอนให้ใคร เวลากระเป๋าเงินดิจิตอลโดนขโมย ก็จับมือใครดมไม่ได้ และ ไม่รู้จะไปเอาผิดกับใคร (ฟังจุดนี้ แล้วใครคิดจะเป็นโจรดิจิตอล ที่ไม่มีทางโดนจับ ก็คงจะมาศึกษาสายนี้แหละ)


ที่เอาเรื่องนี้มาให้ดู ไม่ใช่ชวนให้ไปเล่น Bitcoin (เพราะถ้าจะเล่น Bitcoin ต้องซื้อแบบหุ้น คือ ถ้าเล่นต้องมี StopLoss เพราะเวลามันเปลี่ยนจากขาขึ้นเป็นขาลง มันจะลงได้ 50-70% น่าจะคล้ายๆ หุ้นเลยแหละ)


แต่เรื่องที่น่าสนใจคือลองศึกษาเทคโนโลยี Blockchain ไว้ก็ดี ...ผมเชื่อว่า ในอนาคตอันใกล้ ตัว Blockchain น่าจะเข้ามามีบทบาทในการเปลี่ยนแปลง ในหลายๆ อุตสาหกรรมเลยทีเดียว


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 3 กันยายน พ.ศ. 2560

ความลับของเศรษฐี ตอนที่ 2



มีเรื่องนึงของเศรษฐีที่คนส่วนใหญ่ลืมมอง คือ 'ก่อนที่ตระกูลนึงจะรวยเป็นเศรษฐี เคยมีคนนึงในตระกูลที่เขาเป็นคนจนมาก่อน'

..แล้วอะไรล่ะ ที่ทำให้คนนึง กลายเป็นคนจนคนสุดท้ายของตระกูล ?

ใช่!! เราต่างเป็นคนที่อยากเป็นคนจนคนสุดท้ายของตระกูล เพราะจากนี้ไป ฉันจะเปลี่ยนให้ทั้งตระกูลมีชีวิตที่ดีขึ้น 

วันนี้ขอเสนอคำสอนของเศรษฐีในเรื่องของเวลา 

'เวลา' คือ สิ่งที่เราแต่ละคนมีจำกัด ...คนยิ่งเก่ง ยิ่งใช้เวลาไม่เป็น ถ้าเขาไม่ฝึกที่จะเรียนรู้ในเรื่องของเวลา

ไม่ว่าคุณจะเก่งแค่ไหนก็ตาม เวลาคือ ข้อจำกัด ...

ผมมีเพื่อนเก่งๆ หลายคนที่บ่นว่า 'อยากมีเวลาเกินวันละ 24 ชั่วโมง จะได้มีเวลาสะสางทุกอย่างที่อยากทำให้เสร็จ' ...แต่มันทำไม่ได้

สิ่งที่เศรษฐีมักสอนลูกคือ 'การรู้จักใช้คน' ..การใช้คนคือ การที่เราสามารถใช้เวลาของคนอื่นมาช่วยในการทำให้เราทำงานได้มากขึ้น และทำให้เราบรรลุเป้าหมายเร็วขึ้น

แต่ปัญหาก็คือ 'ทำไมคนอื่นต้องเอาเวลาที่มีคุณค่าของเขามาให้เราล่ะ ?'

ข้อแลกเปลี่ยนมีดังนี้ 

1. คนเก่งต้องการมีคุณค่าและมีความหมาย ...ความเก่งทำให้คุณทำอะไรได้มากมาย แต่ความเก่งไม่ได้ให้ความหมายในชีวิตเรา ..เพราะคนเรามีความหมาย เพราะเราได้ทำเพื่อคนอื่น และเราได้เป็นส่วนนึงของสิ่งที่ยิ่งใหญ่กว่าตัวเรา (เศรษฐีต้องมองการณ์ไกล มีฝันที่ชัดเจน และกำหนดเป้าหมายนั้น ให้เป็นสิ่งที่จับต้องได้)

2. คนเก่งต้องการโอกาสในการทำงานร่วมกันคนอื่น ..ปัญหาของคนเก่งคือ คนที่ชอบทำทุกอย่างด้วยตัวเอง ..การที่เขามีโอกาสได้ทำงานร่วมกับคนเก่ง จะทำให้เกิดผลลัพธ์ที่เพิ่มขึ้นเป็นเท่าทวีคูณ

3. คนเก่งต้องการปิดทุกประตูความเสี่ยง ..การที่คนเก่งยอมทำงานให้ใคร ก็เพราะคนนั้น ยอมรับความเสี่ยงแทนให้ ลงเงินให้ รับความเสี่ยงแทน ..ปิดประตูความผิดพลาดให้

4. คนเก่งต้องการการยอมรับในผลงานที่ตัวเองทำ สิ่งนี้สำคัญกว่าเงินเสียอีก (คนเก่งไม่เคยอดตาย เพราะเขาเอาตัวรอดได้เสมอ แต่การได้รับการยอมรับต่างหากที่สำคัญกว่า)  ..เงินก็ดี แต่การยอมรับสำคัญที่สุด 

5. รางวัลที่ดีพอ ...เศรษฐีสามารถรักษาคนเก่งได้ เพราะเศรษฐีให้รางวัลคนเก่งมากพอที่ไม่คุ้มจะไปทำงานที่อื่น ..คำว่า ไม่คุ้ม คือ 'ให้ผลตอบแทน น้อยที่สุด แต่เพียงพอที่จะไม่คุ้มไปทำงานที่อื่น' ..Always Underpaid!!

สรุป 'การบริหารเวลา' คือ การรู้จักใช้คนเก่ง รู้จักการดูแลคนเก่ง ให้คนเก่งมาร่วมทำงานตามเป้าหมายยิ่งใหญ่ที่เราฝันไว้

ถ้าบริหารคนเก่งได้ คุณจะเป็นคนสุดท้ายของตระกูลที่รู้จักคำว่า ยากจน

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

โอกาสธุรกิจ ปั้นชีวิตให้รุ่ง ตอนที่ 1



โอกาสธุรกิจ ปั้นชีวิตให้รุ่ง ตอนที่ 1

ทำไมบางคนพูดว่า ชีวิตเต็มไปด้วยโอกาส ยุคนี้หาเงินง่าย และทำได้ตลอดเวลา ..ในขณะที่บางคนพูดว่า ยุคนี้หาเงินยาก โอกาสน้อยลงเรื่อยๆ คิดอะไรก็มีคนทำหมดแล้ว ..จะเริ่มอะไรก็ไม่มีเงิน

'คุณเป็นคนแบบที่ 1 หรือ แบบที่ 2'

ผมมีเพื่อนทั้ง 2 แบบ ทั้งแบบที่ 1 และแบบที่ 2 ..มันเหมือนคน 2 คนนี้ อยู่ในโลกคนละใบกัน ..แต่ที่มันแปลกคือ ทั้งสองก็เป็นเพื่อนกัน แต่เขามีชีวิตต่างกันอย่างสิ้นเชิง

คุณอาจจะมองว่า อ้าวทำไม คนที่ 1 ที่ชีวิตมีแต่โอกาสไม่ยอมช่วยเพื่อนคนที่ 2 ที่ชีวิตมีแต่อุปสรรค ทำอะไรก็ติดขัดไม่สำเร็จ

 ...ใช่!! มันแปลก เพราะแต่ก่อนผมก็คิดเหมือนคุณ 

จนในที่สุดผมมาเข้าใจว่า จริงๆ แล้ว ในโลกนี้ไม่มีใครช่วยใครได้เลย ถ้าตัวเขาเองไม่เปลี่ยนวิธีคิด ..คุณลองนึกซิ ถ้าเพื่อนคนที่ 1 ชวนคนที่ 2 มาทำงาน เขาก็ทำงานด้วยกันไม่ได้ ยกตัวอย่าง 

1. พอเกิดวิกฤต คนที่ 1 ก็จะเห็นแต่โอกาส เพราะเขามองที่โอกาส ในขณะที่คนที่ 2 จะเห็นแต่วิกฤต ก็เพราะเขามองหาแต่วิกฤต (คุยกันไม่รู้เรื่อง)

2. ถ้าเอาเงินให้คนที่ 2 เขาก็มักใช้เงินเพื่อสร้างปัญหาเพิ่ม เพราะโลกของเขาเต็มไปด้วยปัญหา ..เขารายล้อมตัวเขาไปด้วยคนที่มีนิสัยคล้ายๆกัน คือ กลุ่มเม้าส์แตก นินทาคนนุ้นคนนี้ ว่าไม่ดียังไง แย่อย่างไร ในขณะที่ตัวเอง ก็ไม่เคยคิดจะทำอะไรเลยนอกจากนินทา ...คนเหล่านี้ไม่เคยคิดลงทุน ไม่เคยคิดหาความรู้เพิ่ม เพราะมองไม่เห็นว่าอะไรจะมีอนาคต ..แน่นอนเขาใช้เงินเพื่อแก้เครียด ช็อปปิ้งเพื่อระบายความทุกข์ 

3. เวลาที่คนอื่นได้ดี คนเหล่านี้ก็จะยิ่งน้อยเนื้อต่ำใจ ตัดพ้อว่า ทำไมตัวเราไม่ได้เกิดมาเป็นลูกเศรษฐี ..แล้วก็ทำตัว ประชดชีวิต ตามแนวทางของเขาต่อไป

ใช่!! ที่เล่ามาคือ เรื่องจริง ...แต่เพื่อนทั้ง 2 คนนี้ ไม่ได้เป็นเพื่อนสนิทกัน เป็นแค่เพื่อนที่เคยเรียนโรงเรียนเดียวกัน ...นั่นแปลว่า เด็กทั้งสองคนนี้ เคยมีฐานะและชีวิตไม่ได้ต่างกัน

แต่เมื่อเวลาผ่านไป ด้วยวิธีคิดของแต่ละคน ก็นำพาให้เขามีวิถีชีวิตที่ตัวเองเลือกมอง

คนที่ 1 ก็คบอยู่กับคนที่คิดเหมือนเขา คือ มองทุกอย่างเป็นโอกาส ..ขนาดมีวิกฤตยังมองหาแต่โอกาสเลย ..มองหาความดี จากผู้คน ..แน่นอนคนทุกคนมีทั้งดีและไม่ดี ..แต่คนประเภทแรก เขาเลือกจะมองสิ่งดีของแต่ละคน ..แล้วเรียนรู้สิ่งดี ปรับใช้ เรียนรู้ไป 

ในขณะที่คนที่สอง ก็ใช้ชีวิตอยู่ตามความคิดลบ ..เลือกมองแต่ข้อเสียในแต่ละคน และเลือกที่จะปิดตัว ไม่เรียนรู้ 

ที่เล่ามา ผมไม่ได้จะบอกว่า สรุปแล้วเราต้องคิดแบบไหน ...เพียงแต่อยากจะบอกว่า คนเราล้วนเป็นไปอย่างที่เขาคิดและเลือกที่จะมองโลก

ถ้าทั้งชีวิต คุณเลือกที่จะมองหาสิ่งที่ดี มองหาทางแก้ปัญหา มองหาโอกาสในเวลาที่วิกฤต มองหาสิ่งที่ดี แล้วเรียนรู้จากผู้คน ..เก็บเกี่ยวความรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเอง แล้วปรับปรุง เปลี่ยนแปลง พัฒนาความคิดและความเข้าใจโลก ...คนที่คิดแบบนี้ ก็จะมีสังคมที่แวดล้อมไปด้วยคนที่เหมือนๆ กัน - สุดท้ายผลลัพธ์ของชีวิตก็จะค่อยๆ ปรากฏให้เห็นในแบบที่เราเลือกนั่นเอง

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

เรียนรู้เรื่องคุณค่าและความสมดุลย์ ป้องกันโรคซึมเศร้า



"องค์การอนามัยโลกคาดว่าภายในปี 2563 โรคซึมเศร้าจะเป็นสาเหตุให้ประชากรโลกเจ็บป่วยมากที่สุดเป็นอันดับ 2 และก้าวสู่อันดับ 1 ในปี 2573"


- โรคซึมเศร้าเป็นสาเหตุการฆ่าตัวตายทั้วโลกกว่า 800,000 คน เช่น คนมีชื่อเสียงระดับโลก อย่าง เชสเตอร์ , Robin Williams , Heath Ledger , Kurt Cobain , Amy Winehouse ..จากคนที่เป็นโรคซึมเศร้ากว่า 300 ล้านคนทั่วโลก 


- เฉพาะเมืองไทยมีคนเป็นโรคซึมเศร้าแล้วกว่า 3 ล้านคน


- แต่คนส่วนใหญ่ยังไม่รู้จักโรคซึมเศร้า ..หรือ ไม่รู้ว่าตัวเองเป็นอยู่ !!?


- คนที่จากไป ไม่ใช่ว่าเขาไม่เข้มแข็ง แต่เป็นเพราะเขาเจ็บป่วย (คนส่วนใหญ่มักมองคนที่เป็นโรคซึมเศร้าว่า อ่อนแอ ไม่เข้มแข็ง) ..มันกระแดะรึเปล่า ? ..อ่อนน่า!! 


- ในอดีต มนุษย์ต่อสู้กับความอดอยาก ไม่มีกิน แต่วันนี้เราต่อสู้กับ จิตใจของตัวเองแทน


- ยิ่งโลกพัฒนาทางเทคโนโลยีแค่ไหน ร่างกายเราสบายขึ้นแค่ไหน จิตใจจะหนักและเหนื่อยขึ้นเป็นเงาตามตัว


- ยิ่งหุ่นยนต์และเครื่องจักร เข้ามาทดแทนแรงงานมนุษย์ เราจะอยู่กับตัวเรามากขึ้น มีเวลาให้คิดมากขึ้น (สมองถูกออกแบบให้จดจำ และคิดแต่สิ่งลบๆ สิ่งแย่ๆ เพราะ สมองสร้างให้ป้องกันมนุษย์จากภัยอันตราย ..ซึ่งบางครั้งการทำงานแบบนี้ของสมองกลับทำให้เรายิ่งอันตรายในเรื่องของจิตใจ)


- Social Network ทำให้มนุษย์ใกล้กันมากที่สุด เท่าที่โลกนี้เคยมีมา และมันก็ทำให้เราต้องเปรียบเทียบกับคนอื่นมากที่สุด ..นำมาซึ่งความน้อยเนื้อต่ำใจ ในชีวิต ในตัวเอง มากที่สุด


- วัตถุยิ่งเจริญ จิตใจเราจะยิ่งเสื่อม (เมื่อได้อย่างนึง ย่อมสูญเสียอีกอย่าง ตามกฏธรรมชาติ)


- ลองแบ่งเวลา มาศึกษาตัวเอง เข้าใจตัวเอง ว่าจริงๆ เราอยู่ในโลกนี้เพื่ออะไร ?


1. คนที่ตอบว่า อยู่เพื่อคนอื่น (ฉันอยู่เพื่อลูก/ฉันอยู่เพื่อเธอ/ฉันอยู่เพื่อพ่อแม่) จะมีความสุขยาก มีความทุกข์ง่าย เพราะเราเอาความสุขไปฝากไว้กับคนอื่นที่เราควบคุมไม่ได้ ...การอยู่เพื่อคนอื่น ไม่ใช่สิ่งผิด แต่ถ้ามันมากเกินไป มันจะกลับมาทำร้ายตัวเรา


2. ถ้าหาเหตุผลให้เรารักตัวเองไม่ได้ เราจะไม่สามารถรักใครจริงๆ ได้ ..คนที่บอกว่าขาดใครไม่ได้ จริงๆ ไม่ใช่ความรัก แต่มันคือความอยากครอบครอง อยากเป็นเจ้าของ ที่ไม่ต่างจากความเห็นแก่ตัวเท่านั้นเอง


3. การรักตัวเอง และการทำเพื่อคนอื่น จึงต้องพอดี พอดี และมีทางสายกลาง ..ให้ตัวเราได้รักตัวเอง และเรียนรู้ที่จะรักคนอื่นไปพร้อมๆ กัน


คุณค่าของคนเรา จึงอยู่ที่เราทำอะไรให้เรามีค่าต่อคนอื่น และ มีคุณค่าต่อตัวเราเองพร้อมๆ กัน


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ