แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2563

เสี่ยงขึ้น อาจไม่ได้การันตีว่ารวยขึ้น



‘เสี่ยงมากไม่ได้แปลว่ารวยขึ้น ...แต่เสี่ยงน้อยก็ไม่ได้การันตีความมั่นคง’ ...เฮ้ย!!

มีรุ่นน้องถามผมว่า ‘ถ้าอยากรวยเร็วในภาวะแบบนี้ ผมต้องเสี่ยงให้เยอะใช่ไหมพี่ ?’ 

...‘เดี๋ยวนะ !! ...ใช่เหรอ ?’

...ผมเชื่อว่า นี่คือ วิธีคิดของคนรุ่นใหม่ ...ทั้งการทำธุรกิจ และ การลงทุน เขาอยากเสี่ยงให้มากที่สุด เพื่อวัดดวงกันไปเลยว่า รุ่ง หรือ พัง!! 

...แล้วมันดีจริงหรือ ?

1. ‘การทำธุรกิจแบบ Start Up ต่างกับ SME ก็ตรงความเสี่ยง’ ...Start Up เน้นยอดขาย แต่ SME เน้นกำไร ...แน่นอน คนสำเร็จ Start Up ย่อมรวยมากกว่า แต่จำนวนคนสำเร็จจะน้อยลงแบบน่าตกใจ ...ผลลัพธ์ก็คือ จะมีคนรุ่นใหม่รวยสุดๆ อยู่ไม่กี่คน แต่คนส่วนใหญ่ซวย แบบอเมริกาที่เราเห็นอยู่ !!

2. ‘คนรุ่นใหม่จะเลือกการลงทุนที่ได้ผลเร็วที่สุดมากที่สุด’ ...คนรุ่นใหม่จะไม่ได้เลือกการลงทุน ที่ดิน หรือหุ้น ธรรดา ..แต่จะไปลุยที่ อนุพันธ์ คลิปโต หรือ สิ่งที่ Leverage ได้สูงๆ ...พูดง่ายๆ คือ ถ้าฉันมี 100 บาท แต่อยากเสี่ยง 1,000 บาท ...แปลว่า ราคาผันผวนนิดเดียว ก็หมดตัวได้เลย (ไม่ได้ผิดนะ ..แต่ก็ต้องเข้าใจว่า เรากำลังเล่นหวย ไม่ได้ลงทุน ก็เท่านั้นเอง)

3. ‘แต่ไม่เสี่ยงเลย ก็ซวยได้’ ....สิ่งที่เคยไม่มีความเสี่ยง อย่าง ตราสารหนี้ หรือ หุ้นกู้ วันนี้กลับเสี่ยงมหาศาล ...เหมือนว่า เราต้องนิยามความเสี่ยงของโลกนี้กันใหม่ ...ทุกวันนี้เราจะเห็นหลายๆ เคส เลยที่ หุ้น ดันเสี่ยงน้อยว่า หนี้ ...ทั้งที่ตราสารหนี้ให้ผลตอบแทนน้อยกว่า โอกาสขึ้นก็จำกัด ...ผมว่า ต่อไป เราต้องดูเป็นรายกรณีไป

4. ‘ในวิกฤตโควิด หุ้นใหญ่ กลับเสี่ยงกว่าหุ้นเล็ก’ ...เวลาพายุเข้า ต้นไม้ใหญ่ กลับ เสี่ยงกว่าต้นหญ้า ซะงั้น !!

5. ‘การโชว์ผลลัพธ์ของความสำเร็จเร็วไป อาจจะเป็นอุปสรรคสำคัญ ที่ทำให้เราไปไม่ถึงเป้าหมาย’ ...มีคำกล่าวที่น่าสนใจว่า ‘ยังไม่จน แต่ใช้ชีวิตแบบคนจน สุดท้ายจะไม่จน ...แต่ถ้ายังไม่รวย แต่ใช้ชีวิตแบบคนรวย สุดท้าย จะไม่รวย’ .....ทำให้เดาไม่ยากเลยว่า โดยเฉลี่ย คนรุ่นใหม่จะจนกว่า และ สำเร็จน้อยกว่าคนรุ่นก่อน 

6. ‘โควิด ทำให้รู้ว่า แค่เราดูแลตัวเอง มันก็ช่วยคนอื่นแล้ว’ ...ทุกวันนี้ความขัดแย้งมันเกิดจากคนมีเหตุผล ...ใช่ !! ‘ทุกคนมีเหตุผลของตัวเอง’ และ ก็คิดว่า เหตุผลของเราถูกต้องที่สุด ...ปัญหามันจะลดลง เมื่อเรายอมรับในเหตุผลคนอื่นบ้าง ...ในโลกการเงิน ผมเชื่อว่า การเริ่มจัดการ การเงินของตัวเราเองที่ดี จะลดปัญหาต่างๆ ที่ตามมาอย่างมหาศาล

7. ‘การลงทุน สามารถขจัดรากเหง้าแห่งความชั่วร้ายได้’ ...ความชั่วร้ายหลายๆ อย่าง เกิดจากไม่มีเงิน ...ถ้าเราวางแผนการลงทุนตั้งแต่วันแรกที่หาเงินได้ ก็จะลดปัญหาได้อย่างมากมาย ...บางครั้งการ DCA ใน ETF แบบง่ายๆ มันสามารถสร้างผลลัพธ์ในวงกว้างได้ดีกว่าที่เราคิด

สรุป ‘ความเสี่ยง แบบพอดีๆ คือ คำตอบ’ ...ในภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ การเสี่ยงมาก ก็เหมือนคน ที่ขับรถด้วยความเร็ว 200 กิโลเมตรต่อชั่วโมง ตลอดเวลา ...แน่นอน !! ด้วยตลาดที่ผันผวนขนาดนี้ โอกาสรถชนแล้วตาย มันสูงกว่า โอกาสไปถึงเร็วขึ้นอีกนิด

...ทุกวันนี้ ผมว่า เราต้อง คิดถึง ‘ความคุ้มค่าของความพยายาม’ ...การที่เราต้องการผลลัพธ์เร็วแค่ไหน เรามักจะใช่พลังงานที่สูญเปล่ามากขึ้น (ออกแรงเยอะ แต่ผลลัพธ์น้อย)

...เอาใจช่วย ให้ทุกคน หา จุดกึ่งกลางตรงนั้นของตัวเองให้เจอครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


9 ข้อควรรู้ หุ้นถอยมารับ หรือ ถอยมาทับ



9 ข้อควรรู้ ‘หุ้นถอยมารับ’ หรือ ‘ถอยมาทับ’

เมื่อตลาดหุ้นปรับฐาน เราก็ลุ้นกันว่า ‘ตลาดถอยมารับเรา’ หรือ ‘ถอยมาเหยียบเรา’ กันแน่ 

มีข้อสังเกต 9 จุด สำหรับหุ้นถอยมารับ ดังนี้

1. ‘บริษัทหนี้ไม่เยอะ’ ...รอบนี้ธุรกิจที่จะผ่านไปได้ก็คือ มีหนี้ไม่เยอะ 

2. ‘มีวิชาตัวเบา’ ...วิชาตัวเบาก็คือ ธุรกิจไม่มี Fix cost มากมาย ...เช่น คนงานเยอะ เวลานี้มีแต่ภาระ , โรงงานขนาดใหญ่ ...ยุคนี้ตัวยิ่งเบา ยิ่งมีโอกาสรอดมากกว่า

3. ‘หากินกับคนไทย’ ...เวลานี้ ธุรกิจที่หากินกับต่างชาติ จะมีความไม่แน่นอนสูง ...ระยะยาวก็คงไปได้ แต่ระยะสั้นอาจจะเหนื่อยหน่อย ...เราต้องวิเคราะห์เป็นกรณีไป

4. ‘เจ้าของ ไม่ขายหุ้น’ ...เจ้าของ เป็นตัวชี้วัดธุรกิจที่ดีมาก ...ถ้าหุ้นจะขึ้นต่อ เจ้าของต้องไม่อยากขายหุ้น ยิ่งซื้อเพิ่ม ยิ่งสร้างความมั่นใจ

5. ‘นักลงทุนรายใหญ่สนใจ’ ...ในภาวะแห่งความไม่แน่นอน ...นักลงทุนรายใหญ่มักเป็นคนที่ศึกษาลึก และ เห็นโอกาสไม่ได้แพ้เจ้าของ ...แต่ก็ต้องพิจารณาด้วยว่า นักลงทุนรายใหญ่กลุ่มนั้นเล่นสั้นหรือถือยาว เพราะ มันมีผลต่อการขึ้นลงของหุ้นอย่างมากเลยทีเดียว

6. ‘ลงทุนเพิ่มในภาวะวิกฤต’ ...อันนี้เป็นหนึ่งในปัจจัยสำคัญที่สร้างความเติบโตให้ธุรกิจ ...เพราะ ในเวลาวิกฤต จะมีของดีราคาถูก สำหรับบริษัทที่การเงินมั่นคง ได้ลงทุนเพิ่มและขยายอย่างก้าวกระโดด

7. ‘ธนาคารสนับสนุน’ ...ธนาคารย่อมรู้จักธุรกิจของลูกหนี้เป็นอย่างดี เพราะ มีส่วนได้ส่วนเสียกับธุรกิจ ...ถ้าธุรกิจดี ธนาคารจะพร้อมสนับสนุนเงินทุน กู้สบาย เรียกว่า มีกระสุนเหลือเฟือว่างั้น 

8. ‘บริษัทมี Margin สูง’ ...บริษัทที่มี Net Profit Margin สูง หรือ อัตรากำไรสุทธิสูง เป็นการชี้ให้เห็นว่า เขามีความสามารถในการแข่งขันดีแค่ไหน ...คุมต้นทุนเก่งไหม ...สินค้าเหนือคู่แข่งหรือไม่ 

9. ‘Marketcap ไม่ใหญ่จนเกินไป’ ...ในภาวะปกติธุรกิจยิ่งใหญ่ ยิ่งได้เปรียบ ...แต่ในภาวะแห่งความผันผวนและสับสนในระดับโลก ทำให้บริษัทใหญ่ ยังคงเหนื่อย ...พูดง่ายๆ จิ๋วแต่แจ๋ว ลูกค้าชัด เป็นผู้นำในตลาดที่ตัวเองเก่ง เอาตัวรอดและรุ่งได้ง่ายกว่า โดยเฉพาะภาวะเศรษฐกิจแบบนี้ 

ก็ลอง พิจารณาหุ้น ที่เราอยากจะซื้อ ว่า หุ้นถอยมารับ หรือ ถอยมาทับ 

‘โอกาสมีเสมอแก่ผู้กล้า ...แต่วิกฤตก็มาเสมอกัน กับคนกล้าที่ไม่ดูตาม้าตาเรือ !!’ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam 

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ” 

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2563

จุดซื้อหุ้นที่ดี ต้องมีข่าวร้าย

‘จุดซื้อหุ้นที่ดี ต้องมีข่าวร้าย !!’

ตอนนี้ตลาดหุ้นขึ้นมาถึงจุดที่เถียงกันหนักมาก ...’เฮ้ย!! ลงได้แล้ว’ 

แบงค์ชาติ ก็ออกมาบอกว่า ธนาคาร ให้หยุดจ่ายปันผล ...ไม่ให้ซื้อหุ้นคืน ....’เฮ้ย!! ซวยแล้วดิ ?!?’

ขอสรุปเป็นข้อๆ ดังนี้

1. ‘ข่าวร้าย มีโอกาสได้ซื้อหุ้นถูก ...ข่าวดี มีโอกาสดอย แต่คนชอบ เพราะซื้อแล้วสบายใจ’ 

2. ‘ข่าวดี หุ้นขึ้นแรง คือ จุดที่แมงเม่าชอบ’

3. ‘ตลาดขาลง คือ จุดที่ข่าวร้าย หุ้นลงแรง ...ข่าวดี หุ้นไม่ค่อยขึ้น’ 

4. ‘ตลาดขาขึ้น คือ จุดที่ข่าวร้าย หุ้นลงน้อย ..พอข่าวดี หุ้นขึ้นแรง’

5. ‘ถ้ากองทุน และ ต่างชาติขาย จะกดดันหุ้นใหญ่ ...เพราะ กองทุน และ ต่างชาติ เขาซื้อหุ้นตัวใหญ่’ (ช่วงนี้ก็เหนื่อยหน่อย) 

6. ‘หุ้นตัวเล็ก จะขึ้นหรือลง ขึ้นกับ เจ้าของ และ รายย่อย ...ถ้าเจ้าของขาย ยังไงหุ้นก็ไม่ขึ้น ไม่ไปไหน ...เจ้าของเลิกขาย หุ้นหยุดลง ...ถ้าเจ้าของเริ่มซื้อ หุ้นจะเริ่มขึ้น’

7. ‘ธนาคารรอบนี้ ไม่ได้เป็นตัวปัญหาเหมือน Subprime ปี 2008 ....รอบนี้ Real Sector เป็นตัวปัญหา ...ส่วน โควิด เป็นตัวเร่ง ...ครั้งนี้ธนาคารกลับเป็นผู้ช่วยเหลือ มากกว่าเป็นตัวร้าย’ 

8. ‘ลูกค้ากำลังเปลี่ยนพฤติกรรม ...จะเกิดเศรษฐีใหม่มากมาย และ ธุรกิจเจ๊ง จำนวนมาก ...จะรู้ได้ไงว่าเราไปถูกทาง ...ดูง่ายๆ คนที่จับทาง New Normal ได้ ธุรกิจก็จะมียอดขายและกำไรโต ...คนชนะคือคนที่เลือกการเปลี่ยนแปลง เหนือความสบายใจ’

9. ‘ยุคนี้ Active Income หาได้ไม่ยาก แต่ Passive Income ยุคนี้ หายากมาก’ ...ผมยังมองตลาดหุ้นระยะยาว มีโอกาสให้ Passive Income ที่ดีที่สุด

10. ‘หุ้นพื้นฐาน ต่างกับ หุ้นปั่น ตรงผลประกอบการ และ เงินปันผล’ ...หุ้นปั่น คือ หุ้นขึ้นแต่พื้นฐานไม่ตาม สุดท้ายก็ต้องจบรอบในที่สุด 

สรุป หุ้นที่น่าสนใจในรอบนี้ คือ หุ้นเล็ก ที่เจ้าของ เริ่มกลับมาซื้อ ...ราคาสร้างฐาน ขึ้นมากกว่าลง (ยก Low ไปเรื่อยๆ) ...ธุรกิจเน้น Domestic Play 

แต่หุ้นใหญ่ ก็ยังไปต่อได้ เพียงแต่ ต้องตามพี่กอง กับ ฝรั่ง ...เขาลากก็ไป เขาขายก็แผ่ว 

ก็ลุ้นกันไปครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2563

ใครก็มองว่าไทยไม่มีอนาคต จริงหรือ

‘ใครๆ ก็พูดว่า ประเทศไทยไปต่อไม่ได้’ 

ธุรกิจเป็นแบบเก่า ระบบล้าสมัย สังคมคนแก่ ...ก็ว่ากันไป ...แต่เอาตรงๆ นะ ‘ผมมองตรงข้ามเลย’

ผมว่าตั้งแต่เราเข้าสู่โลกดิจิตอล และ Social Network ประเทศไทยเราได้ประโยชน์แบบเต็มๆ เลย ...ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับว่า เราต้องไฮเทคอะไรเลย แต่เราก็รุ่งได้ มาดูกัน

1. ‘โลก Social ทำให้ชาวโลกรู้จักประเทศไทย’ ...สมัยก่อนเราอ่อนเรื่องการนำเสนอ คนไทยพูดไม่เก่ง ขายตัวเองไม่เก่ง ...แต่วันนี้ คนอื่นมาช่วยเรานำเสนอประเทศไทย ...ผลลัพธ์ชัดๆ คือ การท่องเที่ยวเราโตขึ้นเรื่อยๆ นี่แหละ

2. ‘คนไทยไม่ดูถูกใคร’ ..ถ้าคุณไปอเมริกา หรือ ยุโรป เขามองเอเชียต่ำกว่า ...แค่มองก็ต่ำแล้ว การบริการ การดูแล การใช้ชีวิตย่อมไม่ง่าย เขาเรียก Second Class Citizen (เราคือคนชั้นสอง) ...แต่ในทางกลับกัน ฝรั่งมาไทย เรามองเขาเหนือกว่า ...เราจึงดูแลเขาดี ให้เกียรติเขา ‘ใครก็ชอบ เพราะ เราไม่ดูถูกคน’ ...ผลลัพธ์ชัดๆ คือ เรามีการบริการระดับโลก ต่อไปใครจะเรียนบริการ ไม่ต้องไปสวิส มาไทยครับ เหนือกว่า

3. ‘สินค้าไทยมีคุณภาพ’ ...ถ้าใครมีเพื่อนเป็นคนเพื่อนบ้านที่ทำธุรกิจ ลองคุยกับเขาดู จะพบว่า สินค้าไทยในประเทศเพื่อนบ้าน ได้รับการยอมรับในคุณภาพ ...เอาตรงๆ ดีกว่าสินค้าจีนด้วยซ้ำ ...นี่เป็นโอกาสอย่างมหาศาลในสินค้าบ้านๆ ที่โตได้อีกเยอะมาก

4. ‘ใครๆ ก็อยากอยู่เมืองไทย’ ...ผมไม่ได้พูดเพราะเป็นคนไทยนะ แต่เพื่อนนักธุรกิจผม ก็ล้วนอยากมีบ้านหลังที่สองในไทย เพราะ สะดวก ค่าครองชีพไม่แพง อาหารอร่อย ที่เที่ยวเยอะ เอาง่ายๆ ถ้าคุณมีเงิน ประเทศไทย คือ ประเทศที่คุณใช้เงินได้คุ้มที่สุด (เงินเท่ากัน อยู่เมืองนอกอาจจะธรรมดา มาเมืองไทย คุณอยู่เป็นเศรษฐีเลย)

5. ‘การแพทย์อันดับต้นๆ ของโลก’ ...โควิดทำให้เรารู้ว่า การแพทย์เราดีอันดับต้นๆ ของโลก ...คนที่มีเงินคือคนแก่ ซึ่งเขาย่อมอยากอยู่ในที่การแพทย์ดี ...ใช่!! ไทยก็คือ คำตอบเช่นกัน

6. ‘ตลาดหลักทรัพย์เปิด’ ...ตลาดที่อื่นก็เปิด แต่ต่างกันที่ เรามีนักลงทุนรายย่อย ที่แข็งแรง ...ถ้าเทียบตลาดอย่างสิงคโปร์ มีแต่นักลงทุนสถาบัน ...แต่บ้านเรามีนักลงทุนรายย่อยในสัดส่วนที่ประเทศเพื่อนบ้านอิจฉา ...ตรงนี้แหละ ที่ทำให้เรามีการระดมทุนที่ เปิดโอกาส !!

สรุป คือ ใครมองว่าไทยไม่ดี คุณอาจพลาดโอกาสการลงทุนครั้งใหญ่ในชีวิตเลยก็ได้ ...เพราะ ไทยคือ หนึ่งในประเทศที่ได้รับผลประโยชน์มากที่สุดประเทศหนึ่ง จากโลกดิจิตอลและ Social ที่ทำให้ชาวโลกรู้ว่า ‘ไทยน่าอยู่ การแพทย์ดี บริการเยี่ยม อาหารอร่อย ค่าครองชีพต่ำ ที่เที่ยวสุดและหลากหลาย’ ...ถ้าผมเป็นฝรั่ง หรือคนมีเงินในต่างประเทศ ผมจะเลือกบ้านหลังที่สองเป็นเมืองไทย 

...ใช่!! ตลาดหุ้นไทย ไปต่อได้ โอกาสสุดๆ ครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 14 มิถุนายน พ.ศ. 2563

6 วิธียืนระยะในตลาดหุ้นไทย

6 วิธี ยืนระยะในตลาดหุ้นไทย

‘เซียนหุ้นเต็มตลาด คนเก่งมากมาย แต่สิ่งที่หาได้ยากในตลาดหุ้นก็คือ คนที่ยืนระยะได้ มีน้อยมาก!!’ 

...ตลาดหุ้นก็เหมือนสนามรบ มีคนเก่งเข้ามาท้าทายจำนวนมาก ...ซึ่งคนได้กำไรมีมากมาย แต่คนที่จะสามารถยืนระยะ หรือ เอาตัวรอดและรวยในตลาดระยะยาว ต้องมีวิธีคิด ดังนี้

1. ‘วิธีคิดของการเข้ามาอยู่ในตลาด ไม่ใช่แค่เข้ามาหากำไร’ ...ถ้าถามว่า คนหาเช้ากินค่ำ ต่างกับ นักธุรกิจยังไง ...ก็ต้องตอบว่า วิธีคิดต่างกัน ...คนที่หวังเข้ามาทำกำไรรายวัน ก็เหมือน ทำงานแบบหาเช้ากินค่ำ ไม่ได้วางแผนเพื่อจะอยู่ระยะยาว สุดท้าย ก็เข้ามาได้ๆ เสียๆ งงๆ เหมือนคนเข้าตลาดหุ้นส่วนใหญ่ 

2. ‘ไม่คิดเอากำไรสูงสุด’ ...หลายคนอาจคิดว่า ‘ตลกแล้ว’ ใครจะไม่คิดอยากได้กำไรสูงสุด ...แต่เอาเข้าจริง ใครอยากได้กำไรสูงสุด มักจะถือหุ้นได้ไม่นาน ...กำไรไม่เท่าไหร่ก็ออก พอขายแล้วหุ้นไปต่อยาว แบบที่เรียกว่า ‘ขายหมู’ นั่นเอง ....คนที่ถือหุ้นได้ยาว เพราะ ไม่คิดจะได้กำไรสูงสุด

3. ‘มีแผนสำรองเสมอ’ ...คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่นหุ้น ก็จะหวังรวยเร็ว มีเงินเท่าไหร่ก็ใส่สุดๆ ...ช่วงแรกๆ มักกำไรดี แต่การใส่สุดตลอดในระยะยาว จะโดนหนักมากๆ เสียหายหนักเวลาตลาดปรับฐาน ...พอเจอแบบนั้น จะเข้าสู่ช่วง Mindset พัง ...ทำอะไรก็ผิด แล้วไปต่อไม่ได้ ....ดังนั้น ถ้าไม่อยากเจอภาวะแบบนั้น ต้องวางแผนสำรองทุกครั้ง เช่น ถ้าหุ้นไม่ขึ้นอย่างที่คิด แล้วมันลงต่อ เราต้องรู้ว่าจะทำยังไงต่อ !!

4. ‘ต้องใฝ่รู้ แต่หูหนัก’ ...คนส่วนใหญ่ ไม่ใฝ่รู้ แถมหูเบา พวกนี้ ถูกชักจูงง่ายๆ โดยข่าวลือ ข่าว inside ...หุ้นวงใน ...บอกเลย 90% ของข้อมูลวงใน คือ ของปลอมทั้งนั้น ...จากประสบการณ์ส่วนตัวที่ผมเสียหายหนักๆ จากตลาดหุ้น ล้วนมาจากเล่นตามข้อมูลวงใน ‘หนักสุดๆ’ ...สรุป ฟังให้มาก ศึกษาให้เยอะ แต่ต้องหูหนัก ไม่เชื่ออะไรง่ายๆ 

5. ‘หุ้นมหาชน ไม่ทำให้ทุกคนรวย’ ...หุ้นยอดฮิตที่ใครๆ ก็พูดถึง ...มักทำให้คนเสียหาย ...คนรวยคือ เจ้ามือ ที่ซื้อตั้งแต่ด้านล่าง ...ทุกครั้งที่คนพูดถึงหุ้นตัวไหนเยอะๆ ผมจะหนีห่าง ...ถ้าผมมีบางทีผมใช้เป็นโอกาสขายทิ้งเลย ...เพราะ หุ้นยอดฮิต ส่วนใหญ่มักจะอยู่ปลายรอบ ใกล้ๆ ดอย ...’ซื้อปั๊บ ก็ติดดอย เหมือนคนส่วนใหญ่นั่นแหละ!!’

6. ‘คุณจะรวยมากจากหุ้นไม่กี่ตัว ไม่ใช่จากหุ้นทั้งพอร์ต’ ...ถ้าคุณคิดดีๆ จะพบว่า การที่พอร์ตเราโต ส่วนใหญ่มันมาจากหุ้นไม่กี่ตัว ที่ขึ้นหลายๆ เด้ง ...มันไม่ใช่ขึ้นจากหุ้นทุกตัว

 ...เรามักเสียดายว่า ‘รู้อย่างนี้ ควรซื้อหุ้นตัวนี้ให้เยอะกว่านี้’ ....ทางแก้ คือ ซื้อหุ้นที่ดีเพิ่ม เมื่อถูกทาง ...จะบอกว่า ข้อนี้ยากที่สุด อาศัยประสบการณ์และชั่วโมงบินในการอ่านเกม ....ใครเข้าใจหลักการนี้ พอร์ตจะโตแบบก้าวกระโดด 

ลองสำรวจตัวเองว่า เราเข้าใจหลักการยืนระยะในตลาดหุ้นดีแค่ไหน ...จัดไปครับ!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2563

หุ้นใหญ่ ซื้อตอนลง หุ้นเล็ก ซื้อตอนขึ้น

‘หุ้นใหญ่ ซื้อตอนลง ...แต่หุ้นเล็กต้องซื้อตอนขึ้น’ 

พี่พูดไร !!...ขัดความรู้สึกโคตรๆ 

ก่อนหน้านี้ถ้าใครดูหุ้นลึกๆ จะรู้เลยว่า ‘หุ้น’ ในตลาดมีพฤติกรรมที่หลากหลาย

ใช่!! ถ้าเรามอง หุ้น ทุกตัว เหมือนกัน อาจพลาดโอกาสมากมาย

หลายปีที่ผ่านมา SET เป็นขาลง ...เรียกได้ว่า ยุคมืดของ VI เลย ...ถ้าดูสถิติจะเห็นเลยว่า หุ้นใหญ่ เวลาลง มักจะลงเฉลี่ย 50% (คิดง่ายๆ พอร์ตของคนส่วนใหญ่ ตอนตลาดจบรอบ ก็ลงประมาณนั้นแหละ ..เงินหายครึ่งนึง !!) 

แต่ถ้าไปดู พอร์ตคนที่ชอบเล่นหุ้นตัวเล็ก จะหนักกว่า ...เฉลี่ยน่าจะขาดทุนประมาณ 70% ...บางตัวลง 90% เรียกได้ว่า ‘สาบส่ง กันไปเลย’ 

แต่พอตลาดเปลี่ยนทิศ ตั้งแต่ กลางมีนาคม มันเกิดปรากฏการณ์ที่ไม่เคยเกิดมาก่อน คือ 

‘นักลงทุนมือเก๋า ตกรถ ...มือใหม่ ย่ามใจ’

...วันนี้คำถามที่น่าสนใจคือ ‘เล่นไงต่อ’ 

ส่วนตัว ผมไม่ทำนายตลาด ...’ตลาดมา Volume เข้า ก็แปลว่า รอบใหม่ มันมา ..ก็ลุยเลย ...ไม่ต้องมาเสียเวลาว่า ...เฮ้ย!! ลงไม่สุด เดี๋ยวรอลงให้สุดแล้วค่อยเข้า’ 

ทุกวันนี้เครื่องมือการลงทุนที่ช่วยรายย่อย ต้องบอกว่า ครบเครื่อง 

อย่างวันนี้ใครที่รับตั้งแต่ต้นรอบ หุ้นใหญ่ขึ้นเกิน 50% ...หุ้นเล็กเกิน 100% ...เอาง่ายสุดนะ ใช้เครื่องมืออย่าง TradeMaster ตั้ง Trailing Stop ไปเลย ‘พูดง่ายๆ ถ้าคุณขึ้นต่อ ก็ให้ถือต่อไป แต่ถ้าย่อ เราก็กำหนดเลยว่า เราจะให้ Stop Loss กี่ % จากราคาล่าสุด’ 

...ถ้ากำไรเยอะแล้ว ก็ตั้ง Trailing Stop ลึกหน่อย บางทีตั้ง 20% ยังได้เลย ....ก็ให้หุ้นมันแกว่งเยอะหน่อย เราก็ Let Profit Run ได้ยาวขึ้น 

ใช่!! ที่พูดมา เพื่อให้เข้าใจว่า ทุกวันนี้ ถ้าโอกาสมา เราก็ลุยไปกับโอกาส แต่เราบริหารความเสี่ยงให้ดี ก็พอแล้ว

มาถึง ‘หุ้นใหญ่ ซื้อตอนลง ...หุ้นเล็ก ซื้อตอนขึ้น’ ...จริงๆ มันคือ ‘หุ้นใหญ่ มันต้องซื้อตอนถูก ...เทียบพื้นฐานไม่แพง ปันผล สมเหตุสมผล ...รอย่อ ทยอยรับ ออมได้’

แต่หุ้นเล็ก เล่นคนละแบบเลย ...มีหลายคนถามผม ‘พี่แพ้ท ผมอยากเล่นหุ้นแถว 2 แถว 3 ทำไง?’ 

...หุ้นเล็ก ต้องซื้อตอนแพง ...ตอนที่พื้นฐานมาทันราคาส่วนใหญ่เขาออกกันแล้ว ...ตัวเล็กต้องอ่าน เกมรายใหญ่ ใช้กราฟเป็นหลัก พื้นฐานประกอบ ....ใครจะฝึก แนะนำให้เริ่มจากเงินน้อยๆ (ซึ่งหุ้นมัน Volume ไม่เยอะอยู่แล้วก็เหมาะเลย ...แถมเรายังได้ ฝึกอ่านเกมรายใหญ่อีกด้วย)

ก็เอาใจช่วย ลงทุนแบบมีชั้นเชิงนะครับ จัดไป 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ตลาดหุ้นลงหนัก แต่หุ้นบางตัวก็ลิ่งได้


‘ตลาดหุ้นลงหนัก แต่หุ้นบางตัวก็ลิ่งได้ !!’

ลิ่ง คือ Ceiling ราคาพุ่งขึ้นจุดสูงสุดของวัน 

..ที่น่าสนใจกว่าก็คือ ‘เราเคยถามตัวเองไหมว่า ...ทำไมทุกครั้งที่หุ้นลง พอร์ตเราลงหนักเลย ...แต่ทีหุ้นลิ่ง ไม่เห็นมีในพอร์ตเราเลยอ่ะ ?!?’

เอาสรุปให้ฟัง 

1. ‘คนส่วนใหญ่จะกล้าๆ กลัวๆ รอให้หุ้นวิ่งก่อนถึงตาม’ ...การทำแบบนี้ มักโดนตบหัวทิ่ม คือ เราเข้าปั๊บหุ้นหยุดขึ้น หรือ ซื้อปั๊บลงเลย ...ไม่ใช่ซวย แต่คือเราเข้าไม่มีจังหวะ คราวหน้าถ้าไม่เข้าก่อนมวลชน ก็ให้รอปรับฐานแล้วเข้าก็ยังทัน

2. ‘หุ้นใหญ่ วิ่งไกลๆ ยาก’ ...ก็เพราะหุ้นใหญ่ซื้อโดยกองทุน ซึ่งเขาต้องแข่งกันทำกำไร ทำให้หุ้นจะออกทรง ดีดแรง และ ตบหัวทิ่ม ตลอดเวลา ...แต่อย่างน้อย คนเล่นหุ้นใหญ่ก็รู้ว่า มันจะขึ้นต่อ ตราบเท่าที่หุ้นยัง ยก Low ขึ้นเรื่อยๆ (‘ยก Low’ คือ ทรงหุ้นที่ลงแล้ว ไม่หลุดจุดต่ำสุดก่อนหน้านี้ ...ซึ่งเอาตรงๆ ตอนนี้หุ้นส่วนใหญ่ ก็ยก Low ทั้งนั้น)

3. ‘หุ้นเล็ก ลิ่ง แต่ไม่มี Volume ให้เข้า’ ...อันนี้ก็ไม่แปลกอีก ...มีคนถามว่า พี่แพ้ท สังเกตยังไงว่า หุ้นตัวนี้จะลากกันแล้ว ? ...’โอโห!! ตอบกันยาวเลย ...เอาแบบเบสิคก่อน ดูที่ Volume ...ก่อนลิ่ง Volume มันจะเหือดแห้ง ...พูดให้เห็นภาพ ถ้าจะมีสึนามิเข้า น้ำทะเลจะถูกดูดหายไปเลย นั่นแหละ’ (ไม่เหมือนตัวใหญ่นะ ที่มี Volume ดังนั้น การเข้า ก็ต้องมีศิลปะ ประสบการณ์ ว่ากันไป)

4. ‘หุ้นขึ้น ไม่จริงหรอก’ ...นี่คือ คำพูดของคนที่ไม่ได้ซื้อหุ้น ...คราวหน้าถ้าคิดแบบนี้ ลองซื้อเล่นๆ ดู ...เชื่อไหมว่า อาจจะกำไรแบบ งงๆ ...ถ้าคุณเข้าใจ Mindset ของคนส่วนใหญ่ คุณจะได้เปรียบในตลาดหุ้น ....’คนส่วนใหญ่ คิดไง ...สวน!!’

5. ‘หุ้นใหญ่ จบรอบแล้ว’ ...ต้องถามว่า คุณมอง ‘รอบไหน’ ...รอบเล็ก รอบกลาง รอบใหญ่ หรือ รอบ ของหุ้นรายตัว ...ยกตัวอย่างหุ้นใหญ่ ที่ปรับฐาน มันเพิ่งดีด มาจากจุดต่ำสุดของรอบใหญ่ ...ถ้าคนเล่นยาว จริงๆ เป็นจังหวะเก็บเพิ่มด้วยซ้ำ 

6. ‘โอกาสซ่อนอยู่ในความแตกต่าง’ ..ถ้าวันนี้เรายังเล่นหุ้นตามคนอื่น ‘เล้นหุ้นแบบมวลชน’ : อ่านข่าวแล้วมาดู ซื้อหุ้นที่เขาเชียร์ ขึ้นมาเยอะแล้ว ก็เข้าซื้อแบบกล้าๆ กลัวๆ ...ลองถอยมามองตัวเอง แล้วหาจุดยืนที่แตกต่าง เราอาจพบแนวทางการลงทุนที่ดีขึ้นครับ

วันนี้ลองเปิดใจมองตลาด ผมว่า เราจะเห็นโอกาสที่น่าสนใจมากๆ ...ถ้าปิดใจ เราอาจพลาดโอกาสครั้งใหญ่ไปอย่างน่าเสียดายครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันเสาร์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2563

หุ้นขึ้นได้ไง สงสัยไหม

‘หุ้นขึ้นได้ยังไง สงสัยไหม?’

..ใครซื้อวะ ? ...ทำไมมันซื้อแพง ซื้อแพงขึ้นไปเรื่อยๆ ? ...แล้ว มันไม่กลัวติดดอยหรือ ?

ใจเย็นๆ มาทำความเข้าใจกลไกการขึ้นของหุ้นกัน

1. ‘หุ้นจะขึ้นได้ ต้องมีคนอยากซื้อมากกว่าคนขาย’ ...ที่รายย่อยมักพูดว่าทำไมฉันขายหุ้นทีไรมันขึ้นต่อทุกที ...เพราะ คุณขายไป แต่มีคนอยากซื้อมากกว่านั้น ....ดังนั้น การขายเวลาที่แรงซื้อเข้า มักขายหมู หุ้นขึ้นต่อ

2. ‘แรงซื้อหุ้นดูจากไหน’ ..ถ้าคุณมีโปรแกรมอย่าง TradeMaster ของบัวหลวง เขาจะแยกให้ดูหุ้นแต่ละตัวเลยว่า จาก Volume การซื้อขาย ...คนซื้อกี่บาท / คนขายกี่บาท ...ดูคร่าวๆ เราก็พอจะเดาได้แล้วว่า หุ้นจะไปต่อหรือไม่

เบื้องต้นเลย !! ...ถ้า Volume เข้าในขาขึ้น มันแปลง่ายๆ ว่าโอกาสไปต่อสูง (แต่ถ้า หุ้นลงหนัก แล้ว Volume เยอะ อย่ารีบเข้า เพราะ มันจะลงต่อลึก)

3. ‘หุ้นขึ้นเกินพื้นฐานได้ ไม่ใช่เรื่องแปลก’ ...ตลาดต่างประเทศเช่น อเมริกา เป็นหนักกว่าเราอีก หุ้นที่คนชอบ เช่น Amazon หรือ Tesla ราคามันสามารถขึ้นไปในจุดที่ไม่สมเหตุสมผล แล้วก็ยังวิ่งไปได้เรื่อยๆ ...สุดท้าย ‘แรงซื้อ’ มันสามารถเข้าไปเรื่อยๆ อย่างไร้เหตุผล โดยเฉพาะโลกยุคนี้ ที่เงินล้นระบบ

(ยุคนี้ Supply ของเงินมันล้นระบบ ...เราจะเห็น สินทรัพย์ ผลัดกัน ขึ้นแบบไม่สมเหตุสมผล ...แต่ถ้าเราจับจังหวะดี เราอาจรวยง่ายๆ เลยก็ได้!!)

4. ‘กองทุนมีผลต่อหุ้นใหญ่ที่สุด’ ...คนที่สามารถลากหุ้นให้ขึ้นยาว หรือลงลึกได้ คือ กองทุน หรือ รายใหญ่ เพราะ เขามีเงินเยอะ ...รายย่อยซื้อขายไม่กี่ช่องก็หมด แต่กองทุน หรือ รายใหญ่ กว่าจะเข้าออกหมด ก็ทำหุ้นขึ้นไปไกลแล้ว (หรือลงลึกแล้ว)

การที่คุณรู้กฏข้อนี้ ...มันแปลว่า ถ้าหุ้นมันไปไกลแล้วจริงๆ ก็ยังตามได้ (แค่ยก Trailing Stop ตามไป บางทีเราอาจได้รอบใหญ่ถึงจะไม่ได้เข้าต้นรอบ แถมเราไม่ติดดอยด้วย เพราะ เราออกด้วย Trailing Stop เลย) ...หรือ ถ้าหุ้นมันลงลึก จุดนั้นควรทนถือต่อ ไม่ควร Cut Loss แล้ว เป็นต้น

5. ‘หุ้นเล็กไม่ควรเล่นสั้น เพราะเราจะเสียเปรียบรายใหญ่’ ...หุ้นใหญ่ กองทุนคุม ...หุ้นเล็ก คุณเจอเจ้ามือ หรือ เจ้าของ ....ความยากง่ายแตกต่างกัน ...หุ้นใหญ่มักเล่นเป็นรอบตามผลประกอบการ ...การจะลากไกลๆ อาจจะมีไม่บ่อย ...แต่หุ้นเล็กไม่ได้เล่นตามผลประกอบการ มันเล่นตาม รอบใหญ่ของธุรกิจ ...ถ้าชอบถือยาว หุ้นเล็กอาจกำไรมากกว่า

ก็คร่าวๆ ประมาณนี้ ...ถ้าเราเปิดใจเรียนรู้ ผมว่าตลาดหุ้นมันสอนอะไรเรามากมายจริงๆ ...ที่แจ๋วสุดคือ ได้ทั้งความรู้ และ ได้เงินด้วย !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทำไมหุ้นถึงลง สงสัยไหม

‘เคยสงสัยไหม ทำไมหุ้นถึงลง’

..มีน้องเข้ามาถาม ‘พี่แพ้ท ทำไมหุ้นถึงลงได้ครับ สงสัย ?’ ...ผมก็ถามว่า ‘แล้วไม่สงสัยเหรอว่า ทำไมหุ้นถึงขึ้นได้ ใครซื้อ แล้วเขาจะไปซื้อแพงๆ เพื่ออะไร ?’

เออ!! ตอนแรกไม่สงสัย พอพี่แพ้ทพูดขึ้นมา ผมเริ่มสงสัยละครับ

มาดูกัน ‘ทำไมหุ้นลง’

1. ‘เพราะมีคนต้องการขายมากกว่าคนซื้อ’ ...หุ้นเป็นสินค้าชนิดหนึ่งที่มีจำนวนจำกัด ถ้าคนต้องการขายมากกว่าหุ้นก็จะลง

2. ‘แปลว่า ทุกราคาที่หุ้นลงมา มันมีคนซื้อ’ ...ถูกต้อง การที่หุ้นจะลงมาได้แสดงว่า มีคนซื้อทุกราคาที่ลง ...ไม่ต้อง งง ว่า ทำไมเขาไม่รอ จะได้ถูกกว่านั้น ...เอาตรงๆ นะ คนที่อยากซื้อเขาก็ไม่รู้หรอกว่า หุ้นจะลงไปแค่ไหน ...เขาเลยต้องทยอยรับ เพราะ ถ้ารอ แล้วหุ้นไม่ลง อาจไม่ได้ซื้อ สรุป อดได้หุ้น

 (ก็นั่นแหละ ในเวลาที่เรากลัวเทขาย มันมีอีกคนที่ เขากล้า อยากซื้อ ...ทุกครั้งที่ซื้อขาย ลองคิดเรื่องนี้ดู คุณจะเข้าใจตลาดหุ้นมากขึ้น)

3. ‘ถ้าราคาหุ้นลงหนัก แปลว่า รายใหญ่ขายครับ’ ...รายใหญ่อาจเป็นกองทุนที่ถือ , เจ้าของหุ้น ..พูดง่ายๆ ราคาจะลงหนักได้ รายใหญ่ต้องขาย ...ถ้ารายใหญ่ไม่ขาย หุ้นไม่สามารถลงหนักได้ ...ต่อไป หุ้นลง ลองถามซิ รายใหญ่คนไหนขาย

4. ‘หุ้นจะลงไปจนหมดแรงขาย นั่นแหละจุดกลับตัว’ ..เวลาที่หุ้นลง มันจะดูเหมือน หุ้นลงแบบไม่มีวันขึ้น แต่จริงๆ ไม่ใช่ ...หุ้นจะลงไป จนคนขาย ขายหมด ...จากนั้น หุ้นจะหยุดลง ...’ออกข้าง’ Side way !!

5. ‘พื้นฐานคือ Guideline ของราคาเท่านั้น’ ...พื้นฐานของหุ้น เหมือน ราคาที่ควรจะเป็น ...แต่ในชีวิตจริง เราก็เห็นสินค้าจำนวนมากขายถูกกว่า หรือแพงกว่า ราคาที่ควรจะเป็น ....พูดง่ายๆ ทุกครั้งที่ราคาหุ้น ไม่สอดคล้องกับพื้นฐาน มันคือโอกาสทุกครั้งแหละ !!

6. ‘หุ้นจะไม่ลงจนศูนย์ หากธุรกิจยังไปต่อได้’ ...หุ้นเจ๊ง ต่อเมื่อกิจการไปต่อไม่ได้ ...บางครั้งการช้อนซื้อหุ้นที่ได้ราคาถูกจริงๆ คือ เราต้องสวมหมวกของนักลงทุนระยะยาว ...เขาจะเข้าซื้อหุ้นเมื่อมันคุ้มที่จะถือ ...คร่าวๆ มี 2 เรื่อง ..1. ราคาซากคุ้ม (Deep Value Stock) และ 2. ถือรับปันผลคุ้ม (Dividend Stock)

ครั้งต่อไป เวลาหุ้นลง ลองลดความตกใจ แล้วลองมอง 6 ข้อนี้ ...มันจะช่วยให้เราเข้าใจตลาด และ เป็นนักลงทุนที่ดีขึ้น

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


5 ปัจจัยสู่ 100 เด้งในตลาดหุ้นไทย

‘อะไรสำคัญสุด ในการทำให้ประสบความสำเร็จในการลงทุน’

...คนส่วนใหญ่จะตอบว่า ‘เงิน’ ...ก็ไม่ผิด แต่มันไม่ถูกทั้งหมด

เพราะ ถ้าเงินสำคัญสุด คุณต้องไม่เห็นคนรวยเจ๊งหุ้น ...ใช่!! คนรวยนี่ตัวเจ๊งหนักเลย ‘มีเงินเยอะให้เจ๊งไง’

...เอาจริงๆ ผมว่า ‘การยืนระยะ สำคัญที่สุด’ ...ผมได้มีโอกาสพูดคุยกับนักลงทุนที่ประสบความสำเร็จในประเทศไทยจำนวนมากมาย ...สิ่งที่เหมือนกัน คือ ‘ไม่มีใครเลิกเล่นหุ้น!!’

...’แก่ แค่ไหน ก็ไม่เลิก ...เหมือนกันทุกคน ...แถมยิ่งแก่ ยิ่งเท่ห์ ...ปกติคนรุ่นใหม่จะไม่อยากฟังคนแก่ ...แต่คนแก่ในตลาดหุ้น มีแต่คนอยากฟัง อยากรู้จัก อยากเข้าถึง’

ผมขอสรุป สิ่งที่ต้องมีเพื่อรวยหุ้น ดังนี้

1. ‘อึด’ ...การยืนระยะ ...ถ้าใครคิดจะเข้ามารีบๆ รวย บอกเลย อย่าเข้ามา จะเสียเงินเปล่าๆ ...ผมฟันธงเลยด้วยสถิติ คนที่เข้ามาเล่นหุ้นไม่ถึง 5 ปี ส่วนใหญ่ได้ๆเสียๆ ...ได้น้อย เสียหนัก

พอพ้น 10 ปีขึ้น เริ่มกำไรต่อเนื่องละ ...พ้น 20 ปี รวยทุกคน มากน้อยแล้วแต่ ...นานกว่านั้น ยิ่งรวย ....แต่คนส่วนใหญ่ เลิกเล่นใน 6 เดือนตามสถิติ

2. ‘เงินเย็น’ ...เงินมาก เงินน้อย ไม่สำคัญเท่าเงินเย็น ...ด้วยสถิติ คนที่เอาเงินร้อนมาเล่น กู้มาเล่น ส่วนใหญ่อยู่ไม่นาน ..ช่วงแรกอาจได้ แต่สุดท้าย เขาจะหายไปเฉยๆ ‘เจ๊งดิ!!’

3. ‘ความรู้เพิ่ม’ ...คนเรามี 2 แบบ ...หนึ่ง คือ พวกที่ความรู้ไม่เคยเพิ่ม พวกน้ำเต็มแก้ว ...สอง คือ พวกที่น้ำไม่เต็มแก้ว เรียนรู้เพิ่มตลอด ...ทุกคนที่เข้าตลาดจะมีช่วงเสียหาย พลาด ...ถ้าใครเรียนรู้จากมันแล้วสู้ต่อ มักจะประสบความสำเร็จในที่สุด (สถิติของเซียนหุ้น มักจะมีค่าเฉลี่ยที่เจ๊ง 2 ครั้ง ก่อนจะมาเป็นเซียน)

4. ‘มีหุ้นที่ถือไม่ขาย’ ...หลายคนแย้งผมว่า เขาก็เล่นหุ้นมาเกิน 20 ปี ทำไมยังไม่รวย ...ให้เดานะ เขาอาจจะเล่นมานาน แต่แค่ ซื้อมาขายไป ไม่ได้ถือหุ้น ....พวกรวยเปลี่ยนชีวิต มันคือ ถือหุ้น ...เอาง่ายๆ ถ้าคุณคิดรวย 5 เด้ง อันนี้ถืออย่างน้อย 5 ปี ....ถ้าอยากรวย 10 เด้ง ต้องถืออย่างน้อยก็ 10 ปี ....พวกที่รวย 10 เด้ง คือ เขาถือหุ้นอย่างน้อย 20 ปี ....ไม่มีทางลัด มีแต่ความเข้าใจ และ ความอดทนครับ

(สำหรับคนที่มีเงินเดือน ผมแนะนำ DCA ใน ETF ไปเลย ใส่เดือนละเท่าๆ กัน เริ่มจาก 5,000 บาทเอง ...อันนี้ทำได้เลย)

5. ‘อยู่กับความผันผวนได้’ ...เรื่องนี้ยากมาก ...และบอกเลยสำคัญมาก ....ผมเคยถามนักลงทุนว่า ‘ถ้าคุณต้องการกำไร 5 เด้ง คือ 500% ..คุณยอมทนขาดทุนได้ก็ %’ ....รู้ไหมว่า ส่วนใหญ่ จะตอบว่า ทนได้ 10%

‘ฟันธง!!’ คุณขายก่อน ....ไม่มีทางถือถึง 5 เด้ง ....เอาเด้งเดียวยังยากเลย ...เพราะ สมมุติหุ้นจะขึ้นไป 100 % ...ระหว่างทางมันต้องมีย่อ อย่างน้อยก็ 30% ....การที่คุณทน Stop Loss ได้แค่ 10% มันหลุดอยู่แล้ว สรุป คุณขายก่อนถึงเป้าแน่นอน ‘ทนไม่ได้’

ก็ประมาณนี้ 5 ปัจจัย สู่เป้าหมาย 100 เด้งในตลาดหุ้น ...จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันศุกร์ที่ 5 มิถุนายน พ.ศ. 2563

พื้นฐานหุ้นกับราคา เกี่ยวข้องกันอย่างไร

‘พื้นฐานหุ้น กับ ราคา เกี่ยวข้องกันยังไง ?’

ช่วงนี้หลายๆ คนบ่น ‘ตกรถ’ ...ราคาหุ้นขึ้น แต่พื้นฐานมองไป ไม่น่าจะดี เหมือนราคาที่พุ่งขึ้นไป !!

ใช่!! ใครๆ ก็รู้ว่า ถ้าประกาศงบ มันจะต้องแย่ เพราะช่วงที่รับโควิดเต็มๆ คือ Q2 ...พอมองต่อไป ก็เดาอะไรไม่ถูก เพราะ ช่วงนี้เศรษฐกิจ Real Sector จริงๆ มันกระทบหนักมาก

ก็นั่นแหละครับ เลยมีคำถามว่า ‘ราคาหุ้น กับ พื้นฐาน ทำไมมันไม่สอดคล้องกัน’

ต้องเล่าให้ฟังอย่างนี้ว่า

โดยปกติ ตลาดหุ้น มีทั้งช่วงที่พื้นฐานวิ่งสอดคล้องกับราคา แล้วก็มีช่วงที่พื้นฐานกับราคาวิ่งไม่สอดคล้องกัน

เรามาดู กัน

1. ‘ช่วงที่พื้นฐานกับราคาไปด้วยกัน’ ...นี่คือ ตลาดในช่วงปกติ ...กล่าวคือ ถ้าหุ้นตัวไหนผลประกอบการดี ราคาก็จะขึ้น ...งบไม่ดี หุ้นก็ลง

2. ‘ช่วงที่พื้นฐานกับราคา ไม่ได้ไปด้วยกัน’ ...อันนี้ คือ “ช่วงวิกฤต &Bubble” ...ช่วงวิกฤต ราคามักลงไปลึกกว่าพื้นฐานจริงค่อนข้างเยอะ (ประมาณต้นปี 2020 ที่ตลาดลงแรงหลุด 1,000 จุด ตอนนั้น หุ้นหลายๆ ตัวถูกมากๆ ถูกเกินพื้นฐาน)

...อีกอันที่คนไม่ค่อยพูดถึงคือ ช่วงฟองสบู่ (Bubble) ...อันนี้บ้านเราไม่ค่อยได้เห็นมากนัก แต่ก็พอมีนะ ...หุ้นจะวิ่งเกินพื้นฐาน แล้วไหลขึ้นไปเรื่อยๆ จาก Demand และ Volume ที่เข้าไปเรื่อยๆ

ถ้าถามว่า ช่วงนี้ถึงขั้น Bubble หรือยัง ?

ต้องบอกว่า ‘ยัง’ แต่ถ้าตลาดยังวิ่งไหลขึ้นไปมากกว่านี้ เราก็อาจเข้าถึง โซนที่ตลาด Bubble ได้เหมือนกัน

‘เราต้องเล่นยังไงดี ?’

ตอบตรงๆ คือ ‘ตามน้ำครับ!!’

ในเมื่อช่วงนี้เริ่มชัดเจนมากขึ้นว่า กำลังเข้าสู่ภาวะที่ พื้นฐานกับราคาไม่ไปด้วยกัน ...ก็ควรใช้เครื่องมือ Technical เข้ามาช่วย

ถ้าหุ้นที่ซื้อขึ้นต่อ จริงๆ ไม่ควรรีบขาย แต่ควรตั้ง  Let Profit Run เอาไว้ คือ ราคาไปต่อก็ทนถือไป แต่ถ้าราคาไม่ไป มันย่อหนักๆ ค่อยขายทิ้ง Stop Loss

ซึ่งปัจจุบันการ Let Profit Run ทำได้ง่ายขึ้น เพราะ มีโปรแกรมอัตโนมัติ อย่าง บัวหลวง มีตัว iAlgo และ TradeMaster สามารถตั้ง Let Profit Run ให้เฝ้าให้ตามที่เรารับความเสี่ยงได้

สมมุติคนที่รับความเสี่ยงได้มากหน่อย ...อยากเล่นรอบใหญ่หน่อย อาจตั้ง Stop Loss ไว้ที่ 15-20 % ก็ทำได้ ...ที่สำคัญ ถ้ามันเริ่มไม่ไปจริง ก็ออกได้ทันไม่ติดดอย

ก็เอามาแนะนำเป็นความรู้ ในช่วงตลาดไม่ปกติอย่างในปัจจุบันครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันนี้สิ่งที่หลายคนบอกว่าไม่เสี่ยง อาจเสี่ยงสุดนะ

‘วันนี้สิ่งที่หลายคนบอกว่าไม่เสี่ยง อาจเสี่ยงสุดนะ’

‘ความเสี่ยงที่แท้จริง ไม่ได้อยู่ในที่ที่เรามองเห็น’

สิ่งที่แบ่งคนเลย ผมว่าคือ ‘การมองเห็นความเสี่ยง’

เดี๋ยวนะ!! ..ผมไม่ได้พูดถึงความเสี่ยงที่คนส่วนใหญ่เข้าใจ

คนส่วนใหญ่จะมองความเสี่ยงตรงหน้า มองเห็น หรือ เชื่อตามๆ กันว่าเสี่ยง

ยกตัวอย่าง หุ้น ...ตั้งแต่ผมเริ่มเล่นหุ้นจริงจัง คนอื่นจะมองว่า ผมเป็นนักพนัน ..ชีวิตโคตรเสี่ยง  ...’คุณแพ้ท อยู่ได้ไง ชีวิตแบบนี้ ..หุ้นขึ้นลงผันผวนแบบนี้ จัดการชีวิตยังไง’

เอาตรงๆ ผมเป็นหนักกว่าที่หลายคนคิดอีก

‘เงินส่วนตัว ส่วนใหญ่ ผมทิ้งไว้ในหุ้นเลย ..กินปันผลเอา ...เงินสด ก็มีไว้บ้าง แต่ไม่เยอะ ...พูดง่ายๆ เงินสดก็รอเข้าหุ้นตอนตลาดเกิดวิกฤตแค่นั้นแหละ’

ที่บ้าน คุณพ่อ คุณแม่ ผมบริหารให้หมด ...คือ เลือกหุ้น จัดสรรเงินแล้วก็ซื้อหุ้นเกือบทั้งหมด ...ให้เขากินปันผลไปเรื่อยๆ

...พอบอกแบบนี้ หลายคนตกใจมากว่า ‘เฮ้ย!! เงินส่วนใหญ่อยู่ในตลาดหุ้น จะแน่ใจได้อย่างไร ?’

เอาตรงนะ ในโลกนี้ ความเสี่ยง มี 2 แบบ

1. ‘ความเสี่ยงที่มองเห็น’ ...ผมว่า หุ้น นี่โคตรแฟร์ เพราะ เป็นความเสี่ยงที่มองเห็น ...ถ้ามันดี มันขึ้นให้เห็นเลย ปันผลมาเต็ม ...ถ้ามันแย่ มันก็ลงให้เห็นเลย ชัดเจน ...แบบนี้ จัดการง่าย เพราะ เราจะรู้อย่างชัดเจนเลยว่า จะแบ่งเงินยังไง ซื้อแบบไหน ....อย่างผมก็เลือก ‘ออมในหุ้น’ เพราะ ต้องการให้หุ้นทำงานแทนเรา ...ก็คิดแบบเจ้าของบริษัทเลย

2, ‘ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น’ ...อันนี้ยากละ เพราะ ช่วงหลังๆ เรื่องแบบนี้เกิดถี่มากขึ้นเรื่อยๆ ...ฝรั้งเขาเรียก Black Swan ...ปรากฎการณ์หงษ์ดำ คือ เรื่องที่ไม่น่าจะเกิด ...’แต่ถ้าเรามองดีๆ ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา ผมว่า เราอยู่กับ Black Swan ตลอด ...ตั้งแต่ น้ำท่วม , Trump ได้เป็นประธานาธิปดี , นี่มาโควิด ใครจะคิดว่า ชีวิตนี้ไปไหนต้องใส่หน้ากาก ...แต่มันเกิดไง แล้วถี่ขึ้นเรื่อยๆ ...อย่างการบินไทยเจ๊ง ก็ไม่มีใครคิดว่าจะเกิด ...ตรงๆ นะ อย่างตราสารทางการเงินที่เขาบอกเสี่ยงต่ำ หรือการันตีความเสี่ยง ที่คนส่วนใหญ่มองว่า ไม่เสี่ยง ...อันนี้คือ ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น เพราะ เราไม่รู้ว่า อะไรที่ไม่คาดฝันจะเกิดขึ้นอีก

สรุป ‘ยุคนี้นะ อะไรคนอื่น บอกว่าไม่เสี่ยง ต้องระวัง เพราะ ความเสี่ยงที่มองไม่เห็น ไม่คาดฝันมันเกิดได้บ่อยขึ้น’ ...มาถึงหุ้น มันเสี่ยงแบบเห็นๆ ก็เลย ทำให้เราระวัง และ ออกแบบพอร์ต ให้จัดการความเสี่ยงตั้งแต่วันแรกที่ซื้อแล้ว

ก็อยากจะบอกเพื่อนนักลงทุนว่า ยุคนี้ อย่าวิ่งหนีความเสี่ยง ...ไอ้ที่เจ๊งหนักๆ เพราะ ไปลงในสิ่งที่การันตีความเสี่ยง สุดท้ายหายทั้งก้อน

...’ไม่มีอะไรที่ไม่เสี่ยง ...หนีให้ไกลจากคนที่การันตีความเสี่ยง ...เพราะมันการรันตีไม่ได้ แต่มันจัดการได้ด้วยการสร้างการลงทุนเป็นพอร์ตนั่นเอง’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

สนใจเปิดบัญชีหุ้น หรือ ออมหุ้น คลิ๊กที่นี่เลย
http://bls.tips/pawawitTeam

หรือ โทร 02-618-1111 บอกทีมงาน ว่า “เอาแบบออมหุ้นอัตโนมัติ ที่พี่แพ้ทแนะนำ”

วันพุธที่ 3 มิถุนายน พ.ศ. 2563

หุ้นขึ้นเยอะ ดันซื้อน้อย ..หุ้นขึ้นน้อย ดันซื้อเยอะ แก้ไงดี

‘หุ้นขึ้นนะ ...แต่ตัวที่ซื้อน้อย มันขึ้นเยอะ ...ตัวที่ซื้อเยอะ ดันขึ้นน้อย’ ...แก้ปัญหานี้ยังไงดี ?

ในฐานะที่ปรึกษาการลงทุน บอกเลย ผมเจอคนมาถามแบบนี้เยอะมากๆ ‘พี่แพ้ทครับ!! ..ทำไมหุ้นที่ผมซื้อเยอะ มันขึ้นน้อย ...แต่หุ้นที่ซื้อน้อยมันขึ้นเยอะ!! ...จะแก้ปัญหานี้ยังไง?’

บอกก่อนนะ ...’นี่คือปัญหาคลาสสิคของคนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้น ...ถ้าคุณเจอปัญหาแบบนี้ ไม่ต้องตกใจ คุณไม่ได้แปลกประหลาดอะไร ...คุณแค่เหมือนคนส่วนใหญ่เท่านั้นเอง’

ทางแก้ !!

อย่างแรกเลย ผมจะปรับ Mindset ก่อน

‘หนึ่งถ้าคุณไม่อยากเหมือนคนส่วนใหญ่ ขั้นแรก คุณต้องไม่คิดแบบคนส่วนใหญ่’

แล้วคนส่วนใหญ่ คิดยังไง ?

...คนส่วนใหญ่ มักซื้อหุ้นที่มั่นใจเยอะ ...หุ้นที่ไม่มั่นใจก็ซื้อน้อย ...แต่เอาเข้าจริง ถ้าเรารอจนมั่นใจแล้วซื้อ มันมักจะได้หุ้นแพง หรือไม่ก็ขึ้นน้อย

ดังนั้น อย่างแรก ผมจะให้ คุณแบ่งเงินในการซื้อหุ้นเท่ากันเลย

ยกตัวอย่าง ถ้าคุณมี 1 แสน ผมจะให้แบ่งซื้อหุ้น 5 ตัว ซื้อเท่ากันเลย คือ ตัวละ 20,000 บาท ...แค่นี้คุณก็จะแก้ปัญหาเรื่อง ‘Bias’ ...แก้ความลำเอียงของ Mindset เรา !!

...ขั้นที่ 2 การเติม ‘ซื้อเพิ่ม’ ...ปกติเราจะซื้อเพิ่ม เวลาเราขาดทุน ที่เขาเรียก ‘ถัวขาลง จะได้เฉลี่ย ให้ต้นทุนถูกลง’

บอกตรงๆ นะ ภาวะ ตลาดแบบนี้ มันไม่เหมาะกับการถัวขาลง เพราะ หุ้นลง มักลงต่อ บางทีลงจนเจ๊งไปเลย

ทางแก้ คือ ซื้อเพิ่มตัวที่ขึ้น ...แต่ต้องให้มีระยะห่าง เช่น ซื้อเพิ่มเมื่อหุ้นขึ้น 30% ขึ้นไป

ถ้าทำได้ แค่ 2 ข้อนี้ ...ผมว่า มันจะแก้ปัญหาที่กล่าวมาได้ทันที

ใช่!! ‘ขัดความรู้สึกโคตรๆ’ จริงไหม ?

แปลว่า คุณมาถูกทาง

‘การที่เราจะกำไร เราต้องคิดไม่เหมือนคนส่วนใหญ่’ ...อึดอัด แต่กำไร ฝึกไป แล้วการลงทุนเราจะค่อยๆ ดีขึ้น

จริงๆ มีวิธีการอีกมากมาย ...เราค่อยๆ ฝึก แล้วทุกอย่างจะค่อยๆ เริ่มเปลี่ยน ...เริ่มจากวิธีคิดเปลี่ยน ...สุดท้ายผลลัพธ์จะเปลี่ยนตาม

จัดไป ...ลองฝึกกันดู !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ซื้อหุ้นช่วงไหน กำไรทั้ง 3 ขา

‘การซื้อหุ้นที่กำไร ต้องอยู่ในภาพที่ไม่ครบ’

มีคนมาปรึกษาผมเรื่องหุ้น ว่าซื้อหุ้นยังไง ให้ได้กำไร ...’เพราะเขาซื้อหุ้นทีไร มักจะขาดทุน’

ผมก็บอกไปว่า ‘ถ้าเรารอให้ภาพทุกอย่างครบ มักจะซื้อช้าเกินไป ปลายรอบ ติดดอย’

ในการลงทุนมันมีอยู่ 3 ขา

ขาที่หนึ่ง คือ พื้นฐานบริษัท ..ขาที่สอง ภาพรวมตลาด ..และขาที่สาม ความพร้อมของเรา

ที่ยากที่สุด คือ ‘ความพร้อมของเรา’ ...ซึ่งในเรื่อง ความพร้อมของเรา ส่วนใหญ่ เราจะรอให้เรารู้สึกดีก่อนถึงจะค่อยเริ่มซื้อหุ้น

พูดง่ายๆ ถ้าเรารอให้ เรารู้สึกดี กล้าซื้อ ..เรามักจะกล้าซื้อในเวลาที่ตลาดอยู่ปลายๆ รอบ ...พอซื้อปั๊บ ‘ติดดอยทันที!!’

ทางแก้ คือ ‘ซื้อเมื่อไม่พร้อม’ ดังนี้

หนึ่ง ‘พื้นฐานผ่าน’ ..ช่วงพื้นฐานผ่านที่ได้ราคาดีที่สุด คือ ซื้อหุ้นหลังจากที่บริษัทเพิ่งผ่านวิกฤต เช่น บริษัทขาดทุน แต่ไตรมาสนี้เริ่มกลับมามีกำไร ...ถ้าเรารอให้กำไรชัดเจน ราคามักจะวิ่งไปไกลแล้ว ...การซื้อที่ดีที่สุดคือ ช่วงที่เพิ่งผ่านวิกฤต

สอง ‘ภาพรวมตลาด’ ...ดูแบบง่ายที่สุด ก็คือ เราควรเข้าซื้อในช่วงที่ตลาดเล่นง่าย ...ในตลาดหุ้นจริงๆ มันมีแค่ 2 ช่วง คือ หนึ่ง ตลาดเล่นยาก อันนี้โอกาสขาดทุนสูง ..สอง ตลาดเล่นง่าย ..คือ ช่วงที่มีมือใหม่เข้าตลาดเยอะ และ ซื้ออะไรก็กำไรง่ายๆ (ถ้าดูตลาดหุ้นไทย เราจะเห็นเลยว่า ใครซื้อหุ้นตั้งแต่กลางเดือนมีนาคม เป็นต้นมา มันคือ ช่วงตลาดเล่นง่าย) ...หลับตาซื้อยังกำไรเลย !!

สาม ‘ความพร้อมของเรา’ ...อันนี้คือ การสำรวจอารมณ์ของเราเอง ...ดูง่ายๆ ถ้าเรา ‘อยากซื้อ’ ควรรอ ...แต่ถ้าเรา ‘ไม่อยากซื้อ ควรลุย!!’

สรุป ...การซื้อหุ้นแล้วมีโอกาสกำไรสูง ต้อง

1. ‘ซื้อในช่วงที่ตลาดเล่นง่าย’

2. ‘ซื้อหุ้นที่เรา ไม่อยากซื้อ’

3. ‘เลือกหุ้นที่ พื้นฐานดีขึ้น’

ถ้าเราเลือกหุ้น ได้ครบ 3 ปัจจัยนี้ ...ก็มีแนวโน้มที่ว่า ‘เราจะชนะมากกว่าแพ้เสมอ’

จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ