แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 30 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปากกัดตีนถีบ


'ปากกัดตีนถีบ' เป็นเทรนด์ของประเทศกำลังพัฒนาเลยก็ว่าได้

ผมมีโอกาสเดินทางไปเมืองจีน ไปดูเมืองใหม่ที่เป็นฐานการผลิตของ IT ..สิ่งที่ผมเห็นคือ ความแตกต่างแบบสุดโต่งระหว่างคนรวยกับคนจน

อารมณ์แบบโรงแรมที่ผุดขึ้นกลางทะเลทรายก็ไม่ปาน ..มันแสดงถึงความแตกต่างสุดๆระหว่างเจ้าของโรงงานที่รวยและมี Connection กับ ชาวบ้านที่แทบไม่มีโอกาสอะไรเลย

พอมาดูก็รู้สึกว่า เมืองไทยแม้มีความแตกต่างมากแต่ก็ยังดีกว่าเมืองจีน ..'อย่างน้อยการศึกษาเราเปิดโอกาสมากกว่า'

สิ่งเดียวที่จะยกระดับฐานะของคนได้ก็คือ 

1. การศึกษา ..เพราะการศึกษาเปิดให้เราเห็นโอกาส และเป็นใบเบิกทางสู่โลกธุรกิจที่เราใช้ไต่เต้าสร้างตัว

2. ภาษาที่สอง (อังกฤษ/จีน) ..คนที่พูดได้สองภาษาขึ้นไป จะได้เปรียบทั้งเรื่องการเรียนรู้ และ โอกาสในอาชีพ

3. ความขยันและไม่เกี่ยงงาน เพื่อหานายที่ดี ..สิ่งที่จะเปิดโอกาสให้นายจ้างมองเห็นเรา และนั่นคือ การเปิดเวทีให้ตัวเราได้แสดงฝีมือ ..เมื่อเรามีนายดี เขาจะส่งเสริมเรา (เพราะนายที่เก่งและรวย เขาต้องการคนที่ไว้ใจ มากกว่าคนเก่ง)

4. ความใจกว้างและแบ่งปัน ..คนจนจะไม่รวยจากการทำงานหนักเพื่อเก็บเงิน เพราะเงินเดือนมันน้อยเกินไป แต่สิ่งที่จะยกระดับฐานะของคนจน คือ เอาเงินที่หาได้ต่อยอดทางความรู้และการสร้างเครือข่าย -- นี่เป็นเรื่องที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจ 

5. ไม่หยุดที่จะพัฒนาตัวเอง ..คนที่อยากสร้างตัวต้องมีความรู้กว้างและรู้มาก ..คุณต้องเป็นนักอ่าน อ่านให้มาก และ ห้ามหยุดพัฒนาตัวเอง 'คุณต้องเป็นคนทันสมัยและหัวก้าวหน้า' 

...ให้จำไว้ว่า Asset ที่สำคัญที่สุดของคุณคือ สมองและประสบการณ์

ทุ่มให้การศึกษาและพัฒนาตัวเอง ...ไปอ่านหนังสือได้แล้วครับ -- หนังสือและความรู้จะเปลี่ยนชีวิตคุณ !!

ไอ้พวกคนรวย กับ ไอ้พวกคนจน


"พวกคนรวย กับ พวกคนจน"

คุณเคยเห็นคนที่ชอบพูดสองคำนี้ไหม 'พวกคนรวย' กับ 'พวกคนจน' ...ลองดูซิว่าคนเหล่านี้มีปัญหาเรื่องวิธีคิด คือ 'Mindset ปิด'

คนที่ชอบพูดว่า 'พวกคนจน' คือ คนรวยที่ดูถูกคนที่ต่ำกว่า ..คนพวกนี้รวยไม่นาน สุดท้ายอาจจะซวยและจนได้ เพราะจะขาดบริวาร ขาดลูกน้องที่จริงใจ ..ก็เอาแต่ดูถูกคน จะมีใครโง่มาช่วยงานคนเหล่านี้ -- ลองคิดดูซิ คนที่รวยเพราะมีลูกน้องเก่ง ถึงสร้างธุรกิจสร้างอาณาจักร -- ใช่!! คนรวยที่ Self-made สร้างตัวเองจะไม่ดูถูกใคร เพราะเขาก็เคยจนมาก่อน แล้วสร้างตัวขึ้นมา รู้จักความเมตตาและการแบ่งปัน 

..ธุรกิจที่อยู่ไม่เกิน 3 Generation เพราะ ลูกๆหลานๆ ขาดความเข้าใจในหลักการนี้นั่นเอง

คนที่ชอบพูดว่า "พวกคนรวย" ..คนเหล่านี้จะปิด Mindset ไม่เรียนรู้จากคนรวยว่าเขาคิดและทำอย่างไรจึงรวย ..พอไม่เรียนรู้ ก็เลยไม่มีทางรวย 

จริงๆ คนเรา จะรวย จะจน มันอยู่ที่ Mindset คร่าวๆ ดังนี้

คนรวย จะมี Mindset บวก
1. ปัญหาคือโอกาส ..ชอบแก้ปัญหาเพราะรู้ว่าทุกปัญหามีโอกาสและมีเงินซ่อนอยู่
2. 'เงินทำงาน' คนรวยทุกคนเป็นนักลงทุนโดยธรรมชาติทุกคน รู้วิธีวางเงินทำงาน ..ทั้งชีวิตมุ่งสะสม Asset เพราะรู้ว่าทุกคนที่รวย ไม่ได้รวยจากรายได้ แต่รวยจากเปลี่ยนรายได้เป็น Asset แล้วมันโต
3. 'ชอบช่วยคนอื่น' คนรวยจะรู้ว่า ไม่ว่าเก่งแค่ไหน ก็ไม่มีทางรวยด้วยตัวคนเดียว ..ดังนั้น คนรวยจะชอบสร้างเครือข่าย และมีความเมตตากับลูกน้อง ..เข้าใจหลักการแบ่งปัน -- ถ้าเราให้กับคนที่ถูกต้อง มีแต่จะได้เพิ่มครับ

คนจน จะมี Mindset
1. เกลียดคนรวย เพราะคิดว่าคนรวยเอาเปรียบ ..จริงๆ ถ้าเขารู้วิธีคิดแบบคนรวย แล้วทำบ้าง ก็มีโอกาสรวย
2. ชอบคิดลบ และ มี'ข้ออ้าง' กับทุกเรื่อง ..ทำไม่ได้เพราะไม่มีเงิน และก็ชอบอ้างว่าไม่มี Connection ..ทั้งๆที่ทั้ง เงิน และ Connection มันสร้างได้จาก 'คิดบวก'

คร่าวๆก็คือ อย่าแบ่งชนชั้น อย่าใจแคบ อย่าหาข้ออ้าง อยากทำอะไรก็ลุย เริ่มจากหาความรู้ และมีความอดทน แล้วให้รู้จักแบ่งบัน มีเมตตาต่อลูกน้อง ยิ่งให้ ยิ่งได้

เหมือนผมเอาธรรมะมาพูด ...คุณไปอ่านธรรมะซิ มันคือ หลักสร้างเศรษฐีเลย เพียงแต่เราไม่ค่อยศึกษาตัวพระธรรม มัวแต่เน้นพิธีกรรม ...แปลกนะ !!

วันเสาร์ที่ 27 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คิด CLV แบบธุรกิจรุ่นใหม่


"คิด CLV แบบธุรกิจรุ่นใหม่"

CLV คือ Customer Lifetime Value ...เป็นเรื่องที่ธุรกิจรุ่นใหม่สนใจมากๆ ...จะเห็นได้ว่าในอดีตแทบไม่มีใครสนใจเรื่องนี้เลย เพราะ ธุรกิจสมัยก่อนคิดแบบ หาสินค้ามาขาย ขายหมดก็จบ แล้วก็หาสินค้าใหม่มาขาย แล้วก็จบ ...ธุรกิจซื้อมาขายไป ...หาลูกค้าใหม่ตลอดเวลา

แต่วันนี้โลกเปลี่ยนครับ ...ลูกค้าไม่ได้หาง่ายๆ แบบในอดีต เพราะเดี๋ยวนี้ สินค้าในโลกมันผลิตมาเกินความต้องการและเกินเงินที่ลูกค้ามี -- ไม่แปลกที่วันนี้ขายของยาก ...ทำให้ธุรกิจรุ่นใหม่หันมาสนใจ CLV เพราะ คิดง่ายๆ ว่า ลูกค้าเก่า มีแนวโน้มที่จะซื้อสินค้าเราซ้ำ ซื้อเพิ่ม หรือ จ่ายเงินให้เราง่ายกว่าลูกค้าใหม่

คนที่เข้าใจเรื่องนี้ จะให้ความสำคัญ กับการ "ส่งมอบคุณค่าให้ลูกค้า" มากกว่า แค่ขายสินค้า

คุณคิดดูนะ ถ้าเราไปซื้อของในประเทศที่ด้อยพัฒนา พ่อค้ามักเอาของห่วยๆ มาหลอกขายลูกค้า โดยไม่สนว่า ลูกค้าอาจไม่พอใจ ..ไม่สนใจว่างั้น ทำให้การทำธุรกิจแบบนี้ เหมือนการทำธุรกิจแบบคนคิดสั้น ..ในที่สุดก็ขายได้ครั้งเดียว แล้วเจ๊งในที่สุด

ต่างกับคนที่มอง ประโยชน์ของลูกค้าเป็นที่ตั้ง ก็จะขายสินค้าได้เรื่อยๆ เพราะลูกค้าได้ประโยชน์จากการจ่ายเงินให้เรา "เขาก็จะจ่ายให้เราไปเรื่อยๆ นี่แหละ CLV"

ผมนำเสนอเรื่องนี้ ก็อยากให้คนทำธุรกิจลองมองดูว่า "อย่าเอาเปรียบลูกค้า" แล้วมองให้ยาว ...สร้างประโยชน์ให้ลูกค้า แก้ปัญหาให้ลูกค้า ...แล้วคุณจะรวยครับ

บทความนี้ เหมือนเอาธรรมะมาเขียนเลยนะ ...รวยเพราะ จริงใจต่อลูกค้า -- ก็มันจริงนี่ครับ !!

เหมือนการทำธุรกิจรุ่นใหม่ มันใกล้ธรรมะเข้าไปทุกที ...555

คนเงินเดือนแสนทำไมรวยยาก

"คนเงินเดือนแสนทำไมรวยยาก"

คนเงินเดือน 100,000 บาท มักจะมีค่าใช้จ่ายประมาณ 120,000 บาท ..เฮ้ย!! จริงดิ

จริงครับ ...ข้อหนึ่ง ข้อสอง ข้อสาม

1. คนเงินเดือนแสน ทุกธนาคารจะยกให้เป็นลูกค้า Exclusive ดังนั้น จะมีบัตรเครดิตวงเงินสูงสุดขีดของทุกธนาคาร
2. คนเงินเดือนแสนมักเป็นผู้บริหารระดับสูง จะให้ขับรถยนต์กระจอกๆได้อย่างไร ...ดังนั้น ต้องกู้ซื้อเบนซ์ครับ
3. คนมีหน้าที่การงานดีแบบนี้ ย่อมต้องมีบ้านที่สมศักดิ์ศรี ดังนั้น กู้ซื้อบ้านไม่ต่ำกว่า 10 ล้าน เป็นเรื่องที่จำเป็น

สรุปสามข้อ ..ยังไม่รวมค่าใช้จ่ายตัวเอง ซื้อของให้สมฐานะ ..ค่าใช้จ่ายครอบครัว ..โรงเรียนอินเตอร์ของลูก ..ทั้งหมดเกินแสนครับต่อเดือน

กว่าจะผ่อนบ้านหมด แล้วลูกเรียนจบ ..ก็ใกล้เกษียณแทบไม่มีเงินเก็บ ...

ลูกคนเดียว เดี๋ยวนี้ให้การเรียนที่ดีที่สุด ก็ประมาณ 20 ล้านบาท ..จ่ายภาษีทั้งชีวิตจนเกษียณก็หลายล้าน ..ถ้าในอดีต พ่อแม่มีลูกหลายคน อย่างน้อยต้องมีใครสักคนที่เลี้ยงดูพ่อแม่

แต่วันนี้ลูกคนเดียว ...ให้เอาตัวมันเองให้รอดยังยาก -- แล้ว "คนเงินเดือนแสน" จะมีเงินเก็บได้อย่างไรครับ

ผมเสนอให้ ย้ายตัวเองจากคน Level 1 ที่ทำงานเพื่อเงิน ..เปลี่ยนเอาเงินนั้นมาวางให้มันทำงาน โดยการเรียนเรื่อง ออมในหุ้น / ออมในอสังหา / ออมในสิ่งที่เป็นเครื่องผลิตเงิน ...ออมแล้วอย่าขาย ให้เงินออมนั้นแหละเป็นเครื่องผลิตเงินจ่ายเงินเลี้ยงเราชั่วชีวิต ...เป็นคน Level 2 ขั้น Money Work for you

จริงๆ ชีวิตจะดี อย่าแค่ Work for Money ต้องเรียนวิธี Money Work for you ด้วยนะครับ

Money work for you ....ออมใน Asset ที่จ่ายปันผลให้เราชั่วชีวิต ...เงินก้อนนี้ไม่ใช่ออมเพื่อรวย แต่ออมเพื่อให้มันเป็นเครื่องผลิตเงินเลี้ยงเรา

...รวยไม่สำคัญ เท่ากับ มีอิสรภาพเหนือเงิน เพราะ เงินทำงานให้เรา -- จริงไหม ?

วันศุกร์ที่ 26 มิถุนายน พ.ศ. 2558

เข้าใจ Social Fabric


'ขายของอย่างไรในยุคขายยาก'

คนที่จะขายสินค้าและบริการได้เก่งในยุคนี้แบบ Steve Jobs คือ สามารถสร้างสินค้าและบริการที่ 'โดน' มากๆ ต้องเข้าใจสิ่งที่เรียกว่า Social Fabric 

'อะไร คือ Social Fabric?'

มันคือการเข้าใจเนื้อผ้าของสังคม พูดง่ายๆคือ เข้าใจคนอย่างมาก รู้ว่าลูกค้าคิดอะไรและต้องการอะไร

คนที่แกะ Social Fabric ได้ จะสามารถขายของได้ดีในทุกสภาวะ ...ผมว่านี่มันคือ สวรรค์ของทุกธุรกิจเลยแหละ

เรามาดูตัวอย่าง Social Fabric ของ 'นักลงทุนรายย่อย' ว่าเขาต้องการอะไร

1. 'เขาต้องการกำไร' อันนี้ใครๆก็รู้ แต่จริงๆ เขาต้องการสิ่งที่ไม่ผันผวน ซึ่งมันขัดกับผลกำไร ..เพราะอะไรที่ไม่ผันผวนย่อมไม่ให้ผลตอบแทน ดังนั้น สินค้าทางการลงทุนที่เหมาะกับรายย่อยต้องราคาแกว่งน้อย (ตลาดหุ้น โคตรแกว่ง)

2. 'ไม่มีเวลา' ดังนั้น ทุกอย่างที่นำเสนอให้รายย่อย ต้องเคี้ยวง่าย ฟังแล้วเข้าใจทันที ..สรุปว่าสินค้าและบริการต้องอธิบายเข้าใจภายใน 5 นาที (วันนี้สินค้าการเงิน แทบไม่มีใครเข้าใจเลย)

3. 'ต้องการคนที่ไว้ใจ' สิ่งที่เกี่ยวกับเงิน มันคือเรื่องความไว้วางใจหรือ Trust ...นี่แหละ ต้องตีโจทย์นี้ให้ขาด ..ฉันต้องการเพื่อนที่ฝากเงินแล้วรู้ว่าโตชัวร์และไว้ใจได้ -- ช่วยดูให้หน่อย ฉันเชื่อคุณ (ทุกคนเดี๋ยวถูก เดี๋ยวผิด ไม่รู้จะเชื่อใครแล้ว?)

4. สินค้าและบริการในโลกการเงินวันนี้ แทบไม่มีอะไรตอบโจทย์เลย ทำให้คนส่วนใหญ่ไม่อยากลงทุน ไม่อยากเรียนรู้ ไม่อยากเกี่ยวข้อง (เงินและการลงทุน เกินความเข้าใจของคนธรรมดา)

เรามาแกะ Social Fabric ด้านงานเงิน ก็หงายเงิบ เพราะ มันแทบจะตอบไม่ได้เลยว่า จะออกแบบสินค้าการลงทุนอย่างไรให้ตอบโจทย์เหล่านี้ ...และที่น่าสนใจ คือ ทุกข้อทั้งสี่ของรายย่อย มันเป็นความคิดที่ผิดแบบสิ้นเชิง !!

นี่แหละโอกาส !! ..โจทย์ยิ่งยาก โอกาสยิ่งดี เพราะ ถ้าเราตอบโจทย์ได้ เราจะครอบครองตลาดนี้ไปเลย

ลองดู Steve Jobs  เขาตอบได้ว่า ลูกค้าต้องการคอมพิวเตอร์ที่เล็กและโทรศัพท์ได้ ..สามารถเล่น Internet และดูทีวีได้ดี คือมันต้อง work  !! -- ก่อนหน้า iPhone ไม่มีใครตอบโจทย์นี้ได้ดีพอ -- โอกาสจึงเป็นของ Steve Jobs นั่นเอง

'ยิ่งยาก ..ผลสำเร็จ ยิ่งหอมหวน' 

One Man Corporation ตอนที่ สอง


'One Man Corporation ตอนที่สอง' คือ การหาทางจากตอนที่หนึ่ง

ขั้นแรก คือ ฝันแล้วเจอทางตัน แล้วท้อ แล้วก็หา 'ข้ออ้าง' แล้วก็เลิก ...ก้มหน้า ทนทำสิ่งที่ทำ หยุดฝันชาตินี้ ..เตรียมสานฝันชาติหน้า

..ผมว่า อย่ารอชาติหน้า ให้เกิดมารวย มีเส้นสาย -- ผมว่า เริ่มมันชาตินี้ ไอ้ตอนไม่มีเงิน ไม่มี Connection นี่แหละ ..'ถ้าทำได้ บอกเลย เราจะโคตรภูมิใจ ..รู้สึกว่า ถ้ารู้แบบนี้กรูเริ่มสู้นานแล้ว'

มาขั้นที่สองเลย คือ ขั้นการต่อสู้ ..ทำดังนี้

1. 'สร้างเวที ให้ตัวเอง' ..ยุคนี้เวทีสร้างได้เอง แค่มี Social Network ก็เริ่มสร้างเวทีได้ตั้งแต่ยังเป็นลูกจ้าง ...ผมเองเริ่มแบบนี้เลย ก่อนเป็นนักเขียน ผมสร้างฐาน Fan Club ก่อนใน Internet -- ไม่แปลกที่พอผม เขียนหนังสือขายจึงเป็น Best-Seller ทันที ..ก็เพราะใช้เวลาสร้างฐานลูกค้าก่อนทำธุรกิจ

มีหลายคนถามว่า ก็ทำธุรกิจหนังสือ มันง่ายนี่ ..เฮ้ย!! โคตรยาก ..คนไทยไม่อ่านหนังสือ ธุรกิจนี้ปราบเซียน สำนักพิมพ์ส่วนใหญ่เจ๊งนะครับ ...ดังนั้น ถ้าธุรกิจหนังสือ สร้างฐานลูกค้าได้ก่อน ...ธุรกิจอื่นๆ ยิ่งสร้างง่ายกว่าอีก

ยกตัวอย่าง ..ถ้าคุณทำร้านกาแฟ คุณก็ให้ความรู้คนเรื่องสุดยอดกาแฟ จากทั่วทุกมุมโลก , วัฒนธรรมกาแฟ , ทุกอย่างเกี่ยวกับกาแฟ การชง การปลูก การผลิต การสร้างทุกอย่างเกี่ยวกับกาแฟ ...แล้วคุณก็ไม่ต้องเปิดร้านกาแฟ 

จะเปิดร้านกาแฟทำไม ..คุณเป็นผู้เชี่ยวชาญด้านกาแฟ ..คุณควรจะบินไปทำงานในร้านกาแฟต่างๆ ทั่วโลก ..แล้วถ่ายทอดเรื่องราวของคุณผ่าน ตำนานกาแฟ ..หรือ คุณก็มาสมัครเป็นลูกจ้างในธุรกิจกาแฟ ..คุณต้องหาคนที่รักกาแฟแบบคุณ และมี Passion ในเรื่องกาแฟคล้ายๆคุณ เพียงแต่คุณต้องเป็นผู้ขับเคลื่อนเรื่องราว โดยใช้ตัวคุณดำเนินเรื่อง 

การเชื่อมต่อที่ดีที่สุด ของคุณกับกลุ่มคนที่รักกาแฟ ควรทำผ่าน Social Network หรือ Online จนมีจำนวนมากพอแล้ว ...ถึงค่อยสร้างสถานที่เชื่อมต่อ ซึ่งผมจะไม่เรียกว่าร้านกาแฟ ..แต่ผมจะเรียกว่า 'วัดร่องขุ่นแห่งกาแฟ' -- Landmark of Coffee

คุณว่ายากไหม ? ...ทั้งหมดที่เล่ามามันคือ สิ่งที่ผมทำจริงๆ เพียงแต่ผมเลือกเรื่อง 'การลงทุนในหุ้น' แทนเรื่องกาแฟ ...ผมรวมกลุ่มคน สร้างความรู้ และ รวมกลุ่มคนที่เป็นนักลงทุนทั่วประเทศผ่าน Social Network...จนวันนี้เกิดชุมชนนักลงทุนมากมาย และผลแห่งการสร้างความรู้ตรงนี้ ผมก็กลายเป็น หนึ่งในผู้นำ ของอุตสาหกรรมการลงทุน -- คำถาม คือ คุณมี Passion ในเรื่องไหนล่ะ ก็เลือกเรื่องนั้นแหละ สร้างเรื่องราว สร้างชุมชนขึ้นมา !!

2. 'การต่อยอด' การต่อยอดหลังจากมีกลุ่มความสนใจ ก็คือ การตอบโจทย์เรื่อง 'การแก้ปัญหาให้คนเหล่านี้ และการสร้างประโยชน์' นี่คือ การปั้น 'สินค้าและบริการ ที่มีตลาดรองรับเรียบร้อย' ..วันนี้โลกเราไม่ต้องการทางเลือกเพิ่มในสินค้าและบริการแบบเดิม 

แต่โลกต้องการสินค้าและบริการใหม่ ที่ตอบโจทย์การแก้ปัญหาและสร้างประโยชน์

เหมือนอย่างที่คนไม่ต้องการมือถือแบบเดิมๆ แต่แค่ออกแบบใหม่จาก Nokia แต่โลกต้องการ Smartphone ที่ตอบโจทย์ชีวิตได้ดีกว่า แบบ iPhone ทำ

คุณเริ่มเห็นภาพแล้วใช่ไหมครับว่า ...คนที่จะสามารถออกแบบ สินค้าและบริการใหม่ ที่ตอบโจทย์ตลาด ก็คือ คนที่สร้างตลาดนี้ขึ้นมาเอง ด้วย Passion ด้วยความหลงไหล ด้วยความเข้าใจในกลุ่มคนที่มีความชอบเรื่องนี้ร่วมกัน 

คุณรู้ไหม วันนี้บริษัทใหญ่ๆ มาจ้างผม เพราะต้องการให้ผมมาช่วย ออกแบบ สินค้าและบริการ ที่นักลงทุนรุ่นใหม่ต้องการ ...เพราะวิธีการทำธุรกิจมันเปลี่ยนใหม่

สรุปง่ายๆ ดังนี้

1. สร้างลูกค้า เข้าใจลูกค้า เข้าใจปัญหาและความต้องการ

2. เอาจากข้อ 1 มาสร้าง สินค้า และ บริการที่ตอบโจทย์ตลาดจริงๆ แบบที่ iPhone ทำ

ครับ!! One Man Corporation มันไม่ได้เริ่มที่เงิน ..แต่มันเริ่มที่ Connection ที่เราสร้างจาก Social Network ที่เราเชื่อมต่อคนที่ชอบและรักในสิ่งที่เหมือนๆกับเรา คือ สร้างเส้นสายยุคใหม่นั่นแหละ จากนั้น คุณจะรู้เองว่า สินค้าและบริการที่เปลี่ยนโลกมันคืออะไร

Reverse Thinking Business Model ...ลองคิดกันดูครับ !!

กระแส One Man Corporation


'มาแรง กระแส One Man Corporations'

คือ ธุรกิจที่เริ่มจากคน คนเดียว ซึ่งเหมาะกับยุคข้าวยากหมากแพง แถมต้นทุนสูง และขายของยากแบบในปัจจุบัน

แนวทางของ One Man Corporation มีตัวอย่างสำเร็จมากมายในต่างประเทศ อย่างใน Silicon Valley เช่น Steve Jobs , Bill Gates หรือ Mark Zuckerberg ก็ล้วนเริ่มจากโรงรถ (มันเป็นการเปรียบเปรยว่า ธุรกิจจากโรงรถ แต่จริงๆ Apples , Amazon หรือ Google ก็เริ่มจากโรงรถจริงๆนั่นแหละ)

คุณว่า หลักการ ของ One Man Corporations มีอะไรบ้าง ..แน่นอน !! ไม่มีคำว่า ฟลุ๊ค เพราะคนเหล่านี้ 'โคตรฝีมือ' ..ซึ่งผมรวมหลักการเริ่มต้นของคนเหล่านี้ประมาณนี้

1. มี Idea ที่ 'คิดต่าง' จากธุรกิจเดิมๆ ที่เขาทำกัน แต่ไม่มีเงิน ..ข้อแรกคือ คิดต่างแต่ขาดเงิน ซึ่งมันดี เพราะถ้ามีเงิน เราจะไม่คิดต่าง เราจะคิดตามคนอื่น แต่เราจะใช้วิธีลงทุนให้มากกว่า ทำให้ดีกว่าเดิม ซึ่งยุคนี้บอกเลยว่า ถ้าคิดแค่ต่อยอด เราเป็นได้แค่ธุรกิจ SME เล็กๆ ..มันใช้เงินเริ่มต้นเยอะ แถมขยายยาก เพราะคู่แข่งทำตามง่าย (จบเห่ ตั้งแต่ลงเงิน)

2. 'คิดจากข้อจำกัด' ..การที่เงินน้อย เลยต้องหันมามองจุดแข็งของตัวเอง ว่าถ้าไม่มีเงินจะเริ่มจากอะไร -- ก็เริ่มจากคำถามที่ว่า 'ถ้าเราขายตัวเองวันนี้ คนจะซื้ออะไรของเรา?' ...เอาจุดขายนั้นแหละ เดินไปสมัครงาน ในบริษัทที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เราอยากเริ่ม ไปเสนอเลยว่า 'ผมมี Idea จะเปลี่ยนธุรกิจคุณ 1 2 3 ..กาง Business Plan ออกมา'

3. 'คุณจะเจอทางตันที่สอง' ..คือ ไม่มีใครเห็นด้วยกับคุณ -- นี่คือ ขั้นที่คนส่วนใหญ่เลิก ไม่เดินต่อ เพราะคิดว่า สิ่งที่ตัวเองคิด ไม่น่าจะเกิดได้จริง ...แต่คุณลืมไปว่า ทุกสิ่งใหม่ๆ เช่น iPhone , Google หรือ Amazon ล้วนเกิดจากสิ่งที่คนส่วนใหญ่มองว่าเป็นไปไม่ได้ในตอนที่เขาเริ่มทั้งนั้น

4. 'Dream Parking' ขั้นนี้คือ การพักฝันของคุณชั่วคราว แล้วหาบริษัทที่อยากรับคุณเข้าทำงาน ..ครับ !! มาถึงจุดนี้ คุณมีข้าวกินละ แต่งานมันไม่ใช่ที่คุณอยากทำไง คุณจะเอาไงต่อ -- ทั้งหมด 4 ข้อ คุณก็กลายเป็นมนุษย์เงินเดือนเหมือนคนทั่วๆไป แต่จุดต่างคือ คุณยังมีฝันที่พับรอไว้เพื่อวันนึง จะกางออกมาใช้ !! (วันไหน?)

คุณเข้าใจหรือยังครับว่า คนทุกคนก็มีจุดเริ่มไม่ต่างกัน มีฝัน ไม่มีเงิน ไม่มีใครยอมรับ และก็ขาดประสบการณ์ จึงไม่มีเวทีในการแสดงฝีมือ 

ถ้าเป็นสมัยก่อน คนอื่นๆ ก็จะแนะนำให้คุณไปเรียนปริญญาอีกใบซิ หรือ ไปเรียนด๊อกเตอร์เลย จะได้มีคนยอมรับคุณมากขึ้น

สุดท้ายอายุคุณก็ปาเข้าไปใกล้ๆ 40 ..วันที่คุณเริ่มมีภาระครอบครัว มีความรับผิดชอบมากขึ้น เงินเดือนมากขึ้น -- ฝันคุณก็จะจางลง  คุณก็คิดว่า ตัวฉันคงทำได้แค่นี้ เพราะไม่ได้เกิดมารวย ไม่ได้มีเส้นสาย ได้แค่นี้ก็ดีที่สุดแล้ว !!

จริงเหรอครับ ?

Steve Jobs นี่เด็กกำพร้านะ , คุณตันไม่ได้เกิดมารวยนะ เส้นสายก็ไม่มี , คุณเจริญ ก็ไม่ได้เริ่มจากบ้านรวย พ่อแม่ทำร้านอาหารเล็กๆ แต่ทำไมคนเหล่านี้ทำได้ ?

คราวหน้า ผมจะมาเล่าวิธี 
หนึ่ง การสร้างเครือข่าย Connection from Zero
และ สอง 'การสร้างเงิน' 

'ข้อจำกัด' ไม่ได้อยู่ที่ 'ข้ออ้างที่ทุกคนพยายามหามาปรอบใจตัวเอง' แต่ข้อจำกัดอยู่ที่ 'คนไม่สู้' 

(คนมีสองแบบ หนึ่ง ไอ้พวกหาข้ออ้าง พวกนี้ไม่ต้องสู้ แค่หาข้ออ้างก็ไม่ต้องสู้แล้ว สบายดี ..สอง คือ คนสู้ พวกนี้มันหาวิธี มันต้องมีทาง ..มีดิ ...อย่าหยุดหาซิ ..ลุกดิ..อย่าหยุดหาทาง) 

...อย่าคิด 'อ้าง' คิดแต่ 'หาทางไปให้ได้'



วันพฤหัสบดีที่ 25 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ไม่ แพ้ ก็ชนะ ...ไม่มีตรงกลาง


มัน Bubble ยังไง ? ...นี่คือ สิ่งที่เราต้องทำความเข้าใจ

ในหนังสือ เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่ หรือ The Art of Bubble ..มันเป็นการมาถกความคิดกันอย่างหนัก ระหว่างผม ซึ่งเงินส่วนใหญ่ลงทุนระยะยาวในหุ้น เรียกว่า "ออมในหุ้น" ว่างั้น กับ หยง ซึ่งเงินส่วนใหญ่เขาเล่นสั้น คือ เล่นหุ้น แต่ไม่วางเงินยาวในตลาดหุ้น ถ้ามีอะไรก็พร้อมขายถือเงินสดได้ตลอดเวลา

...ดังนั้น มันจะเป็นการวมความคิดที่ Paradox "ตรงข้าม" แต่เป้าหมายเดียวกัน -- "แปลกไหมครับ ? ..ทำคนละด้าน เรียกว่า เกือบตรงข้ามกัน แต่ทำไมเป้าหมายเหมือนกัน ...ตลกดีนะ ผมว่ามันเป็นเสน่ห์ของตลาดหุ้น ที่ไม่ว่าคุณจะเล่นวิธีไหนแนวทางไหน สุดท้ายก็วิ่งไปหาเป้าหมายเดียวกัน"

เอาจริงๆ ระยะยาว ในตลาดหุ้น มันไม่ได้มีคนแพ้ชนะอย่างแท้จริง ...คนที่แพ้ก็คือ คนที่เลิกเล่นก็เท่านั้นแหละ -- คุณคิดดีๆนะ เวลาคุณเล่นเกมเศรษฐี เกม Monopoly ที่เราเล่นกันตั้งแต่สมัยเด็กๆ ...นี่คือ แบบจำลองระบบทุนนิยม หรือ ตลาดหุ้น ที่เขาแอบสอนเราผ่านเกมเลยนะ

คุณจำได้ไหม คนที่มันส์ที่สุด ก็คือ คนที่ได้ซื้อที่ดินดีๆ เอาไว้ ซื้อบ้านสีเขียว แล้วก็ซื้อโรงแรมสีแดง ...คนที่เล่นแล้วเซ็งสุด คือ คนที่ไม่ซื้อที่ดิน แล้วต้องเดินไปเรื่อยๆ ตกที่ใครก็จ่ายเงิน จ่ายเงิน ...นี่แหละ คนส่วนใหญ่ ในโลกจริงๆ วันนี้ทุกคนที่ไม่ใช่นักลงทุน ก็เหมือนคนที่เดินไปเรื่อยๆ ไม่ได้เป็นเจ้าของที่ดินอะไรเลย ...พอเดินไปตก เซ็นทรัล ก็จ่ายเงิน ...เดินไปตก 7-11 ก็จ่ายเงิน ...เดินไปตก ปตท. ก็จ่ายเงิน ..เดินไปตกที่ไหนก็เสียเงินตลอด ...พวกนี้ผู้บริโภค ที่อยากจะเลิกเล่นเกมนี้ แต่ชีวิตจริง คุณเลิกไม่ได้ คุณต้องเป็นทาสต่อไป

ตรงกันข้าม พวกเจ้าของที่ดิน เจ้าของบริษัท พวกนี้คือ อีกฝั่งที่รับเงินตลอด ...คุณสังเกตไหมหลายๆคนที่เข้ามาเล่นหุ้น แล้วเลิกอย่างรวดเร็ว เพราะ ตลาดหุ้นมันสอนความเจ็บปวดของโลกทุนนิยมในเวลาที่รวดเร็ว ...คนที่ยอมแพ้ คิดว่าตัวเองเลิกเล่นหุ้น แล้วชีวิตจะออกไปสบาย ..ไม่ใช่!! คุณก็ไปเจอโลกจริงๆ ข้างนอก ซึ่งเหมือนตลาดหุ้นเป๊ะ เพียงแต่ "รอบ" การเดินมันช้ากว่า

ใช่!! ชีวิตจริง มันก็มีแค่ หนึ่ง คนเลิก ..พวกนี้คือ ผู้แพ้ในระบบ ..เครียดครับ ไม่มีทางออก จน เครียด คิดไม่ออก หนีไม่ได้ ไหนจะภาระ แบกรับครอบครัว ...คุณรู้ไหมทางออกมีทางเดียว ก็คือ เปลี่ยนจากผู้แพ้ เป็นผู้ชนะ

เฮ้ย!! จริงๆ ครับ ผมนั่งถกประเด็นนี้กับหยง นานมาก เราเห็นตรงกันเลยว่า ไม่มีคนตรงกลาง ...มันมีแค่ผู้ชนะ หรือ ไม่ก็แพ้ เลย

เอาล่ะ ..ผมเว้นช่องทางความคิดให้คุณบ้าง ...ลองไปอ่านหนังสือ เล่มนี้แล้วตอบกับตัวเองซิครับ ว่าคุณคิดยังไง -- แล้วคุณจะวางแผนชีวิตตัวเองอย่างไร หลังจากนี้ เพราะ เราเข้าสู่โลกของฟองสบู่นานแล้ว

โลกที่เงินกู้ต่ำ ...ใครๆก็กู้โดยเฉพาะ คนรวย บริษัทใหญ่ ..เอาเงินมาปั่นราคาสินทรัพย์ ให้ที่ดิน ให้ทุกอย่างแพง ..ให้คุณอยู่ไม่ได้ ...ให้คุณลืมตาอ้าปากไม่ได้ ...แต่กดรายได้คุณไว้ เงินเดือนนั่นแหละ ขึ้นช้าที่สุด ...แปลว่า ทาสยุคใหม่ มีอยู่จริงครับ ...คนที่ต้องทนก้มหน้าทำงาน โดยไม่รู้ว่าพรุ่งนี้ครอบครัวจะอดตายหรือไม่

ทางเลือกมีเพียง หนึ่ง แพ้ ..สอง ชนะ ....ทางชนะ คือ การเลือกเป็นนักลงทุน -- คำว่านักลงทุน คุณต้องเข้าใจ ระบบทุนนิยม ..เข้าใจ Cycle ของ Asset ต่างๆ ..และเข้าใจการวางเงินทำงาน

 -- เริ่มที่ความรู้ ลองอ่านกันดู แล้วมาคุยกันครับ ...ผมว่า ทุกอย่างเราเลือกเองแหละ แพ้ หรือ ชนะ ? 

วันพุธที่ 24 มิถุนายน พ.ศ. 2558

ปรากฏการณ์สำลักหุ้น ...รวย หรือ จน ล่ะ

ปรากฏการณ์สำลักหุ้น ...รวย หรือ จน ล่ะ

เอ้า!! เรื่องมันมีอยู่ว่า -- 'การเป็นนักลงทุน อาจไม่ใช่แค่เล่นหุ้น' ...คุณเข้าใจไหม ?

ตลาดหุ้นสอนหลายๆ อย่างที่ผมไม่คิดว่าจะได้เรียนจากตลาด เช่น "ธรรมะ" ...พูดแล้วเหมือนตลก
ไอ้ตลาดแห่งความโลภนี่นะ ที่สอนธรรมะ (บ้าหรือ ?)

"จริงๆ คุณดูซิ" ...ผมถามอย่างนึง ในตลาดหุ้นมีใครไม่เคยขาดทุนหนัก ...ไม่มี 

แปลว่าทุกคนเคยขาดทุนหนัก อย่างน้อยก็ครั้งนึง ...และส่วนใหญ่คนอยู่ในตลาดยิ่งนานจนกลายเป็นเซียนหุ้น มันหลายครั้งที่ขาดทุนหนัก ...แต่คุณไม่แปลกใจหรือว่า ทำไมคนที่ขาดทุนหนัก 80% เลิกเล่น ออกจากตลาดไป ...แต่มันมีพวกบ้าอยู่ 20% ที่ไม่ยอมเลิก 

ใช่!! มีคนอยู่ 20%  ที่ไม่ยอมเลิก ...จะว่าด้อด้าน จะว่าดันทุรัง แต่ถ้าถามเขา เขาคงตอบว่า "ก็ผมไม่ยอมแพ้" ...คุณรู้ไหมผลลัพธ์ของคนเหล่านี้สุดท้ายเป็นยังไง ?

"รวยไง!!" -- พอไม่เลิกมันก็เลยกลายเป็นเซียนหุ้นไง ..แค่นั้นเอง ...ตลกดีนะ ไอ้คำว่า "รวยไม่เลิก" ผมว่ามันตลาดหุ้นชัดๆ ...เพราะ ตลาดหุ้นมันเหมือน "ที่ดิน" ..คือ มันเป็น Asset และ มันก็มี ที่ดิน ทำเลดี กับ ทำเลห่วย 

คนที่เป็นมือใหม่ ต้องโดนหลอกซื้อของห่วย ก็เป็นเรื่องธรรมดา ไอ้เล่นตามข่าวโดนหลอกซื้อหุ้นปั่นแล้วติด อันนี้โดนทุกคน ...แต่พวกที่ลุกขึ้นมาใหม่ มันเรียนรู้จากประสบการณ์ไง ...แล้วสุดท้ายเขาก็รู้ว่า จริงๆ ตลาดหุ้น ไม่ต้องเริ่มที่เงิน แต่มันเริ่มที่ความรู้ ..เพราะ หุ้นระยะยาวมันโตเป็นสิบเป็นร้อยเท่า ...คิดง่ายๆ เงินเท่าไหร่ก็ได้ ถ้ามันโตร้อยเด้ง ยังไงคุณก็รวย 

แต่ตลาดหุ้นมันแถมปันผลให้คุณด้วย ...มันเป็น Asset ที่เป็น "เครื่องผลิตเงินในเวลาเดียวกัน" 

"ธรรมะไหมล่ะ" ...ดอกไม้งาม มีหนามหมดแหละ ...คุณมีความรู้พอที่จะเด็ดโดยไม่ให้หนามตำมือ ...ผมว่าวันนี้คุณลองเลย ลองศึกษาธรรมะจากตลาดหุ้น 

เอาบทเรียนแรกเลย ...ลองซื้อหุ้นที่คุณคิดว่ามันรวยช้า ในเวลาที่ไม่มีใครเชียร์ให้ซื้อ และ คุณก็ไม่อยากซื้อด้วย ... "ลองใช้เงินน้อยๆ ใส่เข้าไปดู คุณจะเรียนรู้ธรรมะ อย่างนึงที่สอนว่า ในดี มีเสีย ..และในเสีย มีดี ..." 

มันส์มาก ...ผมสอนตัวเอง โดนเอาประสบการณ์นี่แหละ ตบหน้าตัวเอง "มันเหมือนคนบ้านะ ที่ยืนกรานทำตรงข้ามกับคนส่วนใหญ่ตลอดเวลา ..แต่มันส์จริงๆ ฮ่า ฮ่า"  

...แล้วคุณจะร้อง อ๋อว่า มันแค่นี้เองหรือนี่ !!!! ...

ลองดู

เคล็ดลับสำเร็จแบบญี่ปุ่นที่เราไม่มอง


'เคล็ดลับสำเร็จแบบญี่ปุ่นที่เราไม่มอง'

หลายคนคิดว่าความสำเร็จต้องทำสิ่งใหญ่ๆ ต้องสุดขีด แต่หารู้ไม่ว่า ความสำเร็จจริงๆมันเริ่มที่จุดเล็กๆ 

อย่างเช่น 'ภูมิใจในงานที่ทำ' ..แค่นี้ก็เหนือชั้นแล้ว ?!? -- ยังไง ?

คุณดูคนญี่ปุ่นซิ ทุกคนภูมิใจในงานที่ตัวเองทำ และ ไม่มีคำว่างานกระจอกเหมือนเรา 

ยกตัวอย่างชัดๆ เช่น การทำอาหารขาย คนไทยก็จะเน้น ขายถูก ลดต้นทุน ..และเจ้าของสบาย ..การผัดข้าวยังให้คนงานพม่าผัดเลย ..คุณคิดดูซิ การทำอาหารไทยจริงๆมันยากกว่า 'ปั้นข้าว' แต่คนปั้นข้าวในญี่ปุ่น เขาเรียกตัวเองว่าเป็น ซูซิเชฟ เขาแต่งกายไม่ต่างกับเชฟฝรั่ง เอาจริงและพิธีพิถันกับการทำซูซิ เหมือนทำงานศิลปะ ..ทำไปก็ภูมิใจในงาน

แต่ของเราผัดข้าว ก็ให้คนงานผัด ..ในมุมมองของลูกค้ามันต่างกันสิ้นเชิง

จริงๆ ไม่มีงานกระจอก มันมีแต่เราคิดเองว่ากระจอก เราก็เลยทำงานลวกๆ แบบขอไปที ..แน่นอน ผลก็คือ ลูกค้าก็มองเรากระจอกเช่นกัน -- เพราะเรามองตัวเองอย่างไร มันก็แสดงออกมาแบบนั้น สุดท้ายคนก็มองเรากระจอก

ในทางตรงกันข้าม ถ้าคุณมีความภูมิใจในงานของตัวเอง เราเห็นคุณค่างานของเรา คนอื่นก็จะให้เกียรติเราเช่นกัน -- ก็เหมือนอย่างที่เรามอง ซูซิเชฟของญี่ปุ่น 'โคตรแจ๋ว โคตร Passion เลย'

'ไม่มีใครกล้าดูถูกคนที่รักและภูมิใจในหน้าที่ของตัวเองหรอก' 

หลายคนที่ยังหางานที่รักไม่ได้ ผมว่าลองเริ่มจาก ภูมิใจในงานตัวเอง แล้วพิถีพิถัน ใส่ใจรายละเอียดของงานตัวเอง ...มันน่าจะเป็นการเดินทางเข้าสู่ Passion ขั้นที่หนึ่ง

'ไม่มีงานกระจอก ..ทุกงานสร้างตำนานได้ ลองคิดดูดีๆซิ'

จัดไป!!

วันอังคารที่ 23 มิถุนายน พ.ศ. 2558

คนรุ่นใหม่ Slow Life ?


'คนรุ่นใหม่ Slow Life ?'

วันนี้เราเริ่มได้ยินกระแส คนรุ่นใหม่ Slow Life กันมากขึ้น ..คือ ชิวเกิน ? 

เราต้องมองให้เข้าใจก่อนว่า คนแต่ละ Generation เกิดในสภาพแวดล้อมที่ต่างกัน ย่อมมองไม่เหมือนกัน ...อย่าง Baby Boomer ที่วันนี้เป็นเจ้าของกิจการใหญ่โต เกิดในช่วงที่ความต้องการมากกว่าคนผลิตสินค้า คือ Demand มากกว่า Supply แถมหลังสงครามมันคือช่วงแห่งความลำบาก ทุกอย่างต้องเริ่มสร้างใหม่ ..ประเทศไทยหลังสงครามโลกครั้งที่ 2 จึงเป็นยุคแห่งการสร้างตัว "ลอดลายมังกร เสื่อผืน หมอนใบ ขยัน ประหยัด อดทน"

..ดังนั้น ความสำเร็จในยุคนั้นคือ การทำอะไรก็ได้ ต้องขยัน ต้องอึด ทุกอย่างเป็นโอกาสขอให้สู้และอดทน -- ทำให้ยุคนั้นมีค่านิยมของการสู้ชีวิต ทำแล้วเก็บ ไม่ใช้เพราะรู้ซึ้งถึงความยากลำบากในช่วงนั้น

แต่คุณมาดู ยุคนี้ซิ Gen Y มักเป็นรุ่นที่ 3 ของครอบครัว ..ปู่สร้าง พ่อขาย ก็ถึงลูกก็สบายดิครับ แล้วไงต่อล่ะ ?

...Gen Y เกิดมาในยุคของ สบายกาย ลำบากใจ -- เพราะวันนี้คนผลิตสินค้ามันเกินความต้องการบริโภค จนทั้งโลกพลิกตัวเข้ามาจุดสมดุลย์ในการผลิต คือ ธุรกิจต่างๆ เริ่มขายของไม่ได้ -- เหนื่อย!! เพราะคนผลิตสินค้าเหมือนๆกัน มากเกินไป ...จนมันเข้าสู่ Peak หรือ จุดสูงสุดของยุคอุตสาหกรรม 

วันนี้สิ่งที่เราจะเจอคือ การเปลี่ยนพฤติกรรมของผู้บริโภคทั้งโลก คำถามที่เกิดขึ้นคือ

1. การทำงานหนัก เพิ่มผลผลิต เพื่อลดราคา สุดท้ายสร้างสินค้าที่ดีต่อลูกค้า หรือ สร้างขยะกันแน่ ?

2. ผลผลิตที่เกิน เช่น กำลังการผลิตของโรงงานต่างๆที่กู้และขยายจนเกินความต้องการ จะจัดการกับ ผลผลิตส่วนเกินอย่างไร -- คุณจะใช้โฆษณา ซึ่งไม่ work เพื่อดึงดูดให้คนซื้อสินค้าที่จริงๆลูกค้าไม่ต้องการ หรือ คุณจะเปลี่ยนวิธีคิดในการสร้างสินค้าและบริการใหม่ ?

3. ปัญหาการสร้างหนี้ของธุรกิจทั้งโลกที่กู้กันเกินตัวเพื่อขยายธุรกิจ ..ส่งผลให้เงินล้นระบบ และดันราคา Asset ทั่วโลกให้แพงเกินจริง จนวันนี้การทำธุรกิจมีต้นทุนที่สูงเกินจริง ..วันนี้คุณจะซื้อที่ดินเอามาทำธุรกิจ แทบจะไม่คุ้มอีกต่อไป ..แปลว่าอะไร ? -- Bubble เมื่อไหร่จะแตก ?...แล้วหลังจากแตก คนที่คิดว่าตัวเองรวย จะซวยแค่ไหน ?

4. เงินเท่าไหร่ก็ไม่พอเกษียณ เพราะเราแสวงหาเงินก้อน มากกว่า กระแสเงินสด ..ซึ่งไม่เคยมีใครเกษียณแล้วสบายใจ หากไม่มี Passive Income ซึ่งคนส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจประเด็นนี้เลย

5. คนส่วนใหญ่ทำงานที่ไม่ชอบเพื่ออะไร ..เพื่อให้ผลงานห่วย ..เพื่อให้ชีวิตเครียด -- พอเครียดและผลงานห่วย ก็ได้เงินน้อยตามมา -- 'ทำไมต้องเดินตามเส้นทางเดิมล่ะ?'

..ทั้งที่วันนี้โลกเราให้ทางเลือกกับคนที่ทำงานที่รักแถมได้เงิน เช่น คน 10% ของทุกสายอาชีพ ...คนส่วนใหญ่ยังคิดว่างานคือ 'กรรม' ทั้งที่คน 10% เขาทำงานเพื่ออธิบายตัวตน 

...คำว่า เกษียณไม่มีอยู่จริงสำหรับคน Top ในทุกอาชีพ

คุณคิดดีๆ ซิ แล้วจะพบว่า อีก 10 ปี คนที่เข้าใจ และเตรียมพร้อมกับการเปลี่ยนแปลงของโลกในทุกอาชีพ จะทิ้งห่างคนที่ไม่เข้าใจอย่างไม่เห็นฝุ่น ทั้งด้าน การเงิน และ ความสุขในชีวิต

โลกกำลังเปลี่ยนแล้วจริงๆ ครับ ...คุณพร้อมรับมันหรือยัง ?

วันจันทร์ที่ 22 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มดล้มช้าง ได้ไหม


'มดล้มช้างไดัไหม'

วันนี้เราอยู่ในโลกที่เห็นสิ่งที่เป็นไปไม่ได้ แล้วเป็นไปได้ จนเรา งง ว่า ตกลงมันยังไงกันแน่ !!

แต่ในมุมของธุรกิจ วันนี้เราคุยเรื่องธุรกิจ Start-Up เล็กๆ จาก Silicon Valley ล้มบริษัทยักษ์ใหญ่มากมาย ...คำถามคือ บริษัท Start-Up เหล่านั้น ต่างกับ SME ในบ้านเราอย่างไร มาดูกัน

บริษัท Start-Up เหล่านั้น ตั้งขึ้นมาด้วยวัตถุประสงค์ คือ Disrupt!! คือ ต้องการเปลี่ยนโลก เปลี่ยนอุตสาหกรรม เปลี่ยนธุรกิจ!! โดยอาศัย Technology มาช่วย ...เช่น

 Amazon สร้างขึ้นท้าทายค้าปลีกทั้งระบบ โดยที่ทำทุกอย่างไม่เหมือนกับค้าปลีกดั้งเดิมเลย

Google ทำทุกอย่างไม่เหมือนสื่อเดิมเลย

Facebook ทำทุกอย่างตรงข้ามกับ Google

Tesla ทำตรงข้ามกับบริษัทรถยนต์อื่นๆ

Space X ทำตรงข้ามกับที่ NASA ทำ

พูดง่ายๆว่า ธุรกิจ Start-Up ต้อง              'แหกกฏ'ดังนี้

1. ทำตรงข้ามกับอุตสาหกรรมเดิม หรือ ทำตรงข้ามกับสิ่งที่คนอื่นทำๆกัน

2. ทำได้ต้นทุนถูกกว่า ..เปิดร้าน 24 ชม. โดยไม่ต้องมีหน้าร้าน ด้วยเงินน้อยกว่า

3. โดนใจกว่า ..ธุรกิจเดิมจะเลือก Mass  หรือ Niche แต่ Online ทำได้พร้อมกัน เป็น Mass-Customize

4. ใช้คนน้อยลง แต่ประสิทธิภาพสูงขึ้น ทำให้ขยายธุรกิจได้ง่าย Scalability 

แต่ SME คือ ทำธุรกิจเหมือนเดิม เช่น เห็นคนอื่นขายดีเลยขายบ้าง ..จุดเด่นยังไม่มี ..ทุกอย่างขึ้นอยู่กับเจ้าของ (เจ้าของหยุดไม่ได้ เพราะไม่ได้ใช้ Technology อะไรมาช่วย) ..ต้นทุนก็ไม่ได้ต่างจากธุรกิจที่เขาทำๆอยู่อาจจะสูงกว่า ก็อาศัยเจ้าของทำให้หนักช่วยลดต้นทุน

ลองสำรวจดูว่าธุรกิจเราเป็นแบบไหน ...ถ้าอยากโต อยากใหญ่ มันต้องวางแผนเพื่อใหญ่ คือ 'แหกกฏที่คนอื่นทำๆกัน - ต้นทุนต่ำกว่า - ขยายง่ายกว่า - มีจุดแข็งชัดเจน'

ตอบให้ได้ว่า ธุรกิจเราสามารถ 'แก้ปัญหาและสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า มากขึ้น โดยใช้ต้นทุนต่ำลง'

 ..ไม่ง่าย แต่ต้องตอบให้ได้ครับ !!

วันเสาร์ที่ 20 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อะไรเอ่ย ในตลาดหุ้น?

'อะไรเอ่ย ในตลาดหุ้น?'

อะไรเอ่ย เหมือน อ่อน แต่ แข็ง ...เหมือน จน แต่ รวย ...เหมือน แย่ แต่ ดี ...

ตอบ 'หุ้นดี' ที่รายย่อยไม่ซื้อ หรือ ซื้อก็ถือทนรวยไม่ได้

แล้ว อะไรเอ่ย เหมือน แข็ง แต่ อ่อน ...เหมือน รวย แต่ จน ...เหมือน ดี แต่ แย่ ...

ตอบ 'หุ้นปั่น' ที่รายย่อย ชอบซื้อ ..ยอมซื้อเพราะเหตุผลเดียวคือ มีข่าวว่าจะดี ..ทั้งที่งบการเงินห่วย แล้ว Story ก็ไม่ Make Sense

สรุปคือ 
1. ข่าวดี คือ เวลาซื้อหุ้นที่ห่วย
2. หุ้น Turnaround มักไม่ Turn เพราะจริงๆ มันคือ หุ้นปั่น
3. หุ้นปั่นคือ เจ้ามือ เล่นกับ รายย่อย ..คนที่ซวยคือรายย่อยเสมอ 
4. รายย่อยเคยซื้อหุ้นดี แต่ทนรวยไม่ได้ ขายหมด ยิ่งขึ้น ยิ่งขาย ...แต่หุ้นปั่นที่เน่าติด Port สามารถถือได้ตลอดไป ...บ้าโคตร ?

ใช่!! ...บ้าโคตรๆ คุณว่าไหม ?!?

คุณเคยเห็น Office ของ Google ไหม


'คุณเคยเห็น Office ของ Google ไหม'

ถ้าใครยังไม่เคยเห็น ลอง Search Google ดูซิว่า Office ของพวกเขาหน้าตาเป็นยังไง

'ทำไมมันแปลก อย่างนั้น' ..นี่คือคำถามแรกที่เกิดขึ้นในใจ ทันทีที่ผมเห็นภาพของ Office ของพวกบริษัท Start-up โดยเฉพาะที่ Silicon Valley 

คือมัน 'แนว' สุดๆ ..ตั้งแต่การตกแต่งแบบแปลกๆ ใส่ความสดใส ใส่ความสนุก ..ทั้ง Concept อย่าง Google เอง มีโรงอาหาร และ มี Shopping Mall เล็กๆในที่ทำงาน มีที่รับเลี้ยงเด็ก พี่ฝากสัตว์ มีที่ออกกำลังกายแบบครบวงจร -- สรุปเป็นคำพูดว่า 'บ้าไปแล้วครับพี่น้อง !!'

ผมนั่งคิดตั้งนาน กว่าจะคิดออกว่า "เขาสร้าง Office แบบนั้นเพื่ออะไร เพราะมันเหมือนแพงและไร้สาระ"

มันลึกซึ้งกว่านั้น ดังนี้

1. 'Asset คือ คน' ..องค์กรเหล่านี้หาเงินจาก Idea คน ดังนั้น ต้องแสดงจุดยืนของความนอกกรอบ แหกกฏ เพื่อย้ำเตือนพนักงานว่า เราไม่ใช่บริษัทธรรมดา -- คนรุ่นใหม่จึงอยากมาทำงานด้วยมากมาย

2. 'Unique Identity' ..ธุรกิจเหล่านี้เน้นความแนว ความใหม่ เน้นเสนอทางเลือก ดังนั้น ทุกการสื่อสาร และ ภาพลักษณ์ ต้องเน้นย้ำจุดยืน -- และการสร้าง Ofiice แบบนี้ ทำให้องค์กรมี Identity และ ตัวตนชัด 

3. 'Free Advertising' ..ธุรกิจเหล่านี้ใช้เงินโษณาน้อย เพราะทุกอย่างที่เขาทำ มันน่าเอาไปคุยต่อ ...นี่แหละเขาถึงดัง คนรู้จัก โดยแทบไม่ต้องโฆษณา ..Idea Worth Spreading!!

แค่ 3 ข้อ ก็คุ้มแล้ว แถมสร้างตันตนชัด แล้วสามารถยืนอยู่บนจุดแข็งตัวเองอีกนาน

'สิ่งที่ทำไม่ศูนย์เปล่า เหมือนไร้สาระ แต่มีเป้าหมาย และ ฉลาดล้ำลึก'

ลองไปแต่ง Office เราบ้างสิครับ ..แต่คิดดีๆก่อนนะ ว่าองค์กรเราใช่แบบนั้นหรือไม่

ยุคทองเกิดหลังยุคมืดทุกครั้ง


'ยุคทอง เกิดหลังยุคมืดทุกครั้ง'

ผมว่าเรื่องนี้ใครๆก็รู้ แต่เอาเข้าจริง ไม่ได้เข้าใจอะไรเลย 

'ทุกคนอยากรวยเร็ว แต่เวลาทำจริง ดันทำตรงข้ามวิ่งแห่เข้าหาหายนะ ..ถ้าเป็นตลาดหุ้น กว่าคนเหล่านี้จะตัดสินใจซื้อหุ้นก็ใกล้ดอยเต็มที่ ..เรียกว่า กว่าคนเหล่านี้จะอยากซื้อหุ้น มันก็เข้าถึงช่วง Peak ที่ตลาดใกล้ลงเต็มที่แล้ว' -- เคยสงสัยไหมครับว่าทำไมจึงเป็นเช่นนั้น

เพราะคนส่วนใหญ่ชอบเดินตามกัน แห่ตามกัน ..สังเกตคนที่นำฝูงคนมักไม่ค่อยตาย แต่พวกคนตามแห่ส่วนใหญ่ซวย ..ก็พวกนี้แหละครับ 

ผมอยากจะบอกว่า ทุกอย่างมันมี Cycle มีรอบของมัน คือ ดีไปแย่ แล้วก็ แย่ไปดี -- ใช่!! ถ้าซื้อตอนดี เดียวจะซวยเพราะมันจะไปแย่ ...แต่ถ้าซื้อตอนแย่ มันจะรวย เพราะมันวิ่งไปดี

ก็คนส่วนใหญ่ซื้อตอนดีไง เลยซวย ..ข่าวดี ..ดูดี ..ใครๆก็ซื้อ ..แบบนี้จริงๆ ต้องหนีให้ห่าง

แค่นี้เองครับ ..เหมือนง่าย แต่คิดให้หนักแล้วจะพบว่า ที่คนส่วนใหญ่พลาด มันก็แค่นี้นั่นแหละ !!

วิธีสร้างจุดแข็งจากจุดอ่อน


'วิธีสร้างจุดแข็งจากจุดอ่อน'

ผมเห็นคนส่วนใหญ่มักบ่น หรือชอบหาข้ออ้างว่า ตัวเองเงินน้อย จะไปสู้คนเงินเยอะได้อย่างไร หรือ เราบริษัทเล็กจะไปสู้บริษัทใหญ่อย่างไร ? 

จริงๆทั้งหมดมันเป็นแค่ 'ข้อจำกัด' ที่คุณมโนขึ้นมาเอง เพราะ ยุคนี้ความมีเยอะ หรือ ความใหญ่ อาจไม่ได้เปรียบเลย เพราะเราอยู่ในยุค Information Age เรียบร้อย ที่การแข่งขันวางอยู่บน

1. 'ความเร็ว' ใครสนองตอบตลาดเร็วกว่า คนนั้นได้เปรียบ ซึ่งการใช้ Internet เร็วกว่า การใช้ หน้าร้านจริงๆ ที่ต้นทุนสูง

2. 'ความถูก' บน Platform ของ Online มันเป็น Low Cost อย่างสายการบิน คุณจะเห็นเลยว่า Low Cost กับ Full Airline อย่างการบินไทย มันวางบนคนละต้นทุน 

3. 'ความใกล้ชิดลูกค้า' เดี๋ยวนี้ Social Network  ทำให้เราใกล้ชิดลูกค้า รู้ความต้องการ และ Feedback โดยแทบไม่ต้องใช้ Market Research (ถ้าคุณใช้เป็น 'องค์กรใหญ่ส่วนมากใช้ไม่เป็น เอา Social Media มาใช้แบบ Main Media ก็หว่านเงิน แล้วไม่ได้ผล')

ดังนั้นธุรกิจเล็กหากเอาจุดแข็งตัวเองเข้าสู้ ก็ไม่ได้เสียเปรียบธุรกิจใหญ่ ...อย่างผมเล่นหุ้น ผมก็ใช้ Robot (เอา New Technology มาใช้ ก็จะได้เปรียบถึงแม้ตัวเล็ก) ..วิธีซื้อขายหุ้น ผมก็ใช้วิธีดูว่า เงินเราน้อย เราสามารถเล่นวิธีไหนที่รายใหญ่หรือคนเงินเยอะเขาทำไม่ได้ ก็คือ หา Niche ของตัวเอง

ด้วยวิธีนี้ถึงแม้ เงินผมไม่มาก แต่ผมก็ใช้จุดแข็งตัวเอง หาจุดยืนเท่ห์ๆ ในตลาดหุ้นได้ 

จะเห็นได้ว่า 'จิ๋ว แต่ แจ๋ว' ยุคนี้เต็มไปด้วยโอกาส ..ขออย่างเดียวอย่าไปแลกหมัดกับรายใหญ่ เท่านั้นเราก็สบายแล้วครับ 

วันศุกร์ที่ 19 มิถุนายน พ.ศ. 2558

มีเงินใช้ไม่ต้องทำงาน แบบไม่ต้องมีเงินถุงเงินถัง



"มีเงินใช้ไม่ต้องทำงาน แบบไม่ต้องมีเงินถุงเงินถัง"

วันนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดกันมาก คิดว่าคนที่สามารถมีอิสรภาพทางการเงิน หรือ ไม่ต้องทำงานแล้วมีเงินไหลเข้ามาชั่วชีวิต คือ คนที่ต้องมีเงินถุงเงินถัง -- คือ คิดว่าต้องมีเงินเยอะ ...สังเกตไหมคนส่วนใหญ่เลยมักจะบอกว่าอยากรวยเร็ว ...พอถามว่าเท่าไหร่ ก็บอกกันเป็น 100 ล้าน -- เฮ้ย!! เว่อร์ไป ..มันไม่ใช่ทุกคนจะมีเงินขนาดนั้นได้

แต่สิ่งที่ทุกคนทำได้ คือ "การมีเงินใช้แบบไม่ต้องทำงานต่างหาก" ...คนที่ทำแบบนี้ได้คือ ต้องเป็นนักลงทุนระยะยาว เช่น ออมในหุ้น แล้วลงทุนติดต่อกันประมาณ 10 ปี

"ทำไมต้อง 10 ปี"

เพราะ 10 ปี มันครบ Cycle ของรอบตลาด ..ในรอบตลาดคือ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" ...กินเวลาต่อรอบประมาณ 10 ปี โดยที่หุ้นทุกตัวจะวิ่งจากแย่ที่สุดไปดีที่สุด ประมาณ 5-10 เท่า แล้วก็จะดับไป ...แล้วก็เริ่มรอบใหม่ -- ที่พูดคือ หุ้นพื้นฐานดีมีปันผล ...แต่ในกรณีหุ้นปั่นที่คนส่วนใหญ่เล่นแล้วติด อันนั้นขอบอกว่า คุณซวยอย่างเดียว เพราะ หุ้นปั่นมันไม่ได้มีรอบ หรือ Cycle แบบที่ผมพูดถึง (หุ้นปั่นต้องไปถามเจ้ามือเองครับ ..55)

"เคล็ดลับของการมีเงินใช้ไม่ต้องทำงาน แบบไม่ต้องมีเงินถุงเงินถัง" ก็คือ การเข้าใจ 3 อย่าง
1. เข้าใจ Mindset ของนักลงทุน
2. อ่านงบการเงินเป็น รู้ว่า อะไรคือ หุ้นพื้นฐานดี ..อะไรคือหุ้นปั่น
3. ดูจังหวะจากกราฟ อันนี้คือ เข้าใจ Cycle ของตลาดและหุ้นแต่ละตัว

ทั้งหมดนี้สามารถเรียนได้ ในคอร์สสัมมนา 2 วัน "คอร์สมือใหม่เข้าใจหุ้น" ..คือ การเอาความรู้ทั้งหมดที่เล่ามา สรุปให้เข้าใจง่าย แล้วเรียนจบใน 2 วัน ..ใครสนใจเข้ามาดูรายละเอียด ค่าใช้จ่าย , สถานที่สัมมนา และ วันเวลาที่จัด คลิ๊กดูและจองได้ที่นี่ครับ http://www.stock2morrow.com/course/seminar_courses_list.php?id=1

เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่


"ฟองสบู่" หรือ Bubble ...คนส่วนใหญ่จะรู้ว่า มีฟองสบู่ก็เมื่อมันแตกแล้วซวยเรียบร้อย ...ฟองสบู่แตก ก็จะซวยทั้งหมด มากน้อยว่ากันไป ...ประเด็นคือ คนที่เตรียมตัวดีกว่า อาจจะเจ็บน้อย แล้วพร้อมกว่าในการเก็บเกี่ยวโอกาสหลังฟองสบู่แตก !!

"แต่สำหรับคนที่ หลงระเริงในฟองสบู่ สุดท้ายก็มักจะพูดว่า 'รู้งี้' ..ก็แบบนี้แหละครับ กว่าคนเราจะรู้งี้ ก็เมื่อมันสายเกินไป -- ความล้มเหลวจึงเป็นครูที่ดีที่สุดที่ทุกคนต้องเจอไงล่ะ ...โหดจัง

(ครับ ก็เพราะ โลกแห่งความจริง มันไม่ได้สีชมพู ..เราจึงต้องเรียนรู้ แพ้บ้าง ชนะบ้าง แล้วมีสติอยู่กับความจริง ยังไงล่ะครับ)

หนังสือ เล่นหุ้นในตลาดฟองสบู่ ...The Art of Bubble เป็นวิธีคิด วิธีการ และ ประสบการณ์ จากคนสองประเภทที่เล่นหุ้นต่างกันอย่างสิ้นเชิง คือ "แพ้ทเล่นยาว หยงเล่นสั้น" ...เราจะมาเปิดเคล็ดลับว่า แท้จริงแล้ว เรากำหนดตลาดไม่ได้ และก็ไม่ควรเอาชีวิตไปวางพาดไว้กับตลาดหุ้น ...สิ่งที่เรากำหนดได้ ทั้งสั้นและยาว มันก็คือ "ความเสี่ยง"

ผมและหยง เรียก วิธีคิดนี้ว่า "การปิดประตูแพ้ ทุกครั้งที่คิดวางเงินลงทุน" นี่คือ ปรัชญา และ ความเชื่อทั้งหมดของพวกเรา

ไม่ว่าตลาดจะเป็นอย่างไร ...เราจะปิดประตูแพ้ให้กับตัวเอง เพื่อชนะทั้งตลาดขึ้นและลง
ก็นี่เลยครัชชช -- ไปสอยกันสักเล่ม ฝากเพื่อนๆ นักลงทุน มากระแทกวิธีคิด วิธีเดิน ในตลาดหุ้นยุคนี้

...ที่ร้าน SE-ED และ ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ...ยุคนี้ความรู้สำคัญที่สุดครับ ...ความรู้จัดหนัก !!

วันพฤหัสบดีที่ 18 มิถุนายน พ.ศ. 2558

อยากเป็นนักการเงินจะเริ่มอย่างไร


"อยากเป็นนักการเงินจะเริ่มอย่างไร "

เด็กรุ่นใหม่จำนวนมากวันนี้อยากทำธุรกิจการเงิน บริหารเงิน ที่ปรึกษาการเงิน ผู้จัดการกองทุน ..ก็ไม่แปลกเพราะ วันนี้ Financial Sector มันโตเร็วกว่า Real Sector

แต่คุณไม่คิดหรือว่า ทุกอย่างอยู่บนกฏของ "เกิดขึ้น-ตั้งอยู่-ดับไป" ...แล้ววนเวียนไปเป็นรอบๆ แบบนี้ตลอดไป ...ถ้ามองวงการเงิน Financial Sector ผมว่า อยู่ใน Zone ตั้งอยู่ รอการดับไปของรอบนี้ ...ส่วน Real Sector คือ ธุรกิจการผลิต การเกษตร Commodity พวกส่วนที่จับต้องได้จริงๆ มันกำลังเปลี่ยนจากช่วงที่ดับไปเข้าสู่ช่วงขาขึ้น "เกิดขึ้น" ในไม่ช้า

ผมคงไม่ลงรายละเอียดว่า ผมมอง Zone และ รอบของสิ่งต่างๆ อย่างไร ...แต่ผมอยากจะชี้ให้เห็นว่า อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่เริ่มสนใจ มันแปลตรงๆว่า สิ่งนั้นมันน่าจะแพง หรือ Bubble ไปเรียบร้อย รอการแตกหรือ รอการจบรอบ ...แต่อะไรก็ตามที่คนส่วนใหญ่ไม่สนใจ สิ่งเหล่านั้นมักจะถูก ราคาไม่แพง เพราะ คนไม่เห็นค่า ...สิ่งเหล่านี้ต่างหาก ที่เราต้องเข้าซื้อเก๊งกำไร หรือ ให้ความสำคัญในการศึกษาให้มาก

ผมตอบคำถามดีกว่า ว่า ถ้าอยากเป็นนักการเงิน ต้องทำอย่างไร ?

ตอบง่ายๆ คือ เริ่มจากเงินตัวเอง ...หลายคนบอกมีน้อย -- ก็นั่นแหละดี !! ก็เริ่มจากบริหารเงินตัวเองที่น้อยๆ จากหลักพัน หลักหมื่น ให้มันเติบโตได้ ด้วยการทดลองซื้อ ผลิตภัณฑ์ทางการเงินต่างๆ ด้วยตัวเอง ตั้งแต่ กองทุน , ประกัน , หุ้น , ตราสารหนี้ ...จริงๆ คือ ถ้าเราอยากรู้อะไรจริงๆ เราต้องลองซื้อทุกอย่าง เพียงแต่ใช้เงินให้น้อยที่สุด แล้วทำความเข้าใจตราสารต่างๆ -- ที่ให้ใช้เงินจริงๆ เพราะ เราจะได้เข้าใจจริงๆ

"คุณไม่มีวันเข้าใจ อารมณ์การซื้อขายหุ้นหรอกว่า ทำไมคนส่วนใหญ่ทำตรงข้ามกับสิ่งที่ควรจะทำ ...หากคุณไม่ลองใช้เงินจริงๆ ซื้อดู"

ถูกต้อง!! คนส่วนใหญ่เข้าใจผิดว่าต้องเริ่มจากเงินเยอะๆ ทดลองเงินคนอื่นก่อน ...ไม่ใช่เลย -- มันต้องเริ่มจากเงินน้อยๆ ลองผิดลองถูก จาก Port เล็กๆ ของเรา จนเราเข้าใจก่อน ...ส่วนตำราและทฤษฎี มันแค่ส่วนประกอบ เพราะ ตรงนั้นคนอื่นๆ เขาก็อ่านก็สอบเรื่องเดียวกับเรา ตรงนั้นไม่สามารถสร้างความแตกต่างให้ตัวเรา -- สิ่งที่สร้างความแตกต่างให้ตัวเราคือ เราลงเงินจริง ทดลองจาก Port เล็กๆ ของเราจนเข้าใจ ทุกๆ อย่างที่เราจะขาย ที่เราจะให้คำปรึกษาคนอื่น

อย่าขายจักรยาน ถ้าคุณยังไม่เคยขี่ ...

ขี่เลย ...วันนี้เลย ...กลัวไรครับ ?

คู่แข่งคุณส่วนใหญ่เขาไม่เคยขี่จักรยานด้วยซ้ำ ...ถ้าเรากล้าขี่เอง เราจะโดดเด่น แตกต่าง -- นี่คือ การเริ่มต้นที่ดีที่สุดครับ !!

คุกของคำว่า อาชีพ


"คุกของคำว่า อาชีพ"

ผมคุยกับคนรุ่นใหม่จำนวนมาก จนพบว่า คำว่า "อาชีพ" มันเป็นกรอบ และ ข้อจำกัดที่สำคัญของคุณรุ่นใหม่

"อะไรคือ กรอบ" ...กรอบ ก็คือ กรงขัง นั่นเอง ...ก่อนอื่น ลองทำความเข้าใจคำว่า "อาชีพ" ให้ดี

คำว่าอาชีพ จริงๆ เพิ่งถูกสร้างขึ้นมาพร้อมๆกับโลก อุตสาหกรรม ก็ไม่กี่สิบปีที่ผ่านมาเท่านั้นเอง ...เพราะ ก่อนที่โลกเราจะเข้าสู่โลกอุตสาหกรรม เรายังเป็นสังคมเกษตรอยู่เลย ...ในยุคเกษตรกรรม ทุกคนคือ เจ้าของธุรกิจ ...กล่าวคือ ทุกคนมีที่นาของตัวเอง สร้างผลผลิตครบวงจร เลี้ยงครอบครัวของตัวเอง มีลูกหลานก็สอนให้ทำทุกอย่างด้วยตัวเอง เพาะปลูก เลี้ยงสัตว์ ทำอาหาร ..ทุกอย่างพอเพียงเลี้ยงตัวเอง ...ถ้าผลิตมากหน่อยก็เอาไปแบ่งขายที่ตลาด ...วิถีชีวิตก็สุขในแบบนั้น อยู่ได้ด้วยตัวเอง

แต่พอโลกอุตสาหกรรมเกิดขึ้น ...เกิดการผลิตจำนวนมาก ในราคาที่ถูกลง ..เราได้สินค้าต่างๆ ตั้งแต่ เครื่องมือ เครื่องใช้ อาหาร สิ่งอำนวยความสะดวก ในราคาที่ถูกมาก ...ทำให้คนส่วนใหญ่หันไปซื้อสินค้าใช้แทนที่จะปลูกเอง ทำเอง ...ซื้อเขาง่ายกว่า ...ในที่สุดการเปลี่ยนจากทำเองไปซื้อเขา ก็ทำให้ตัวเองตกงานในที่สุด(ลูกหลานก็ไม่มีงานด้วย) ...ลูกหลานเริ่มต้องออกจากบ้าน ไปเรียนรู้วิชาในโลกอุตสาหกรรม เพราะ โลกนี้แบ่งคนตามหน้าที่ แบ่งตามอาชีพ ...เน้นให้คนถนัดเฉพาะเรื่องใดเรื่องหนึ่ง

ยุคนี้เกิดคำว่า บริษัท , องค์กร ...และ ธุรกิจเหล่านี้ก็ใหม่ขึ้นเรื่อยๆ ...คนที่รวยที่สุดคือ "เจ้าของ หรือ นายทุน" ส่วนทุกคนก็เปลี่ยนตัวเองเป็น "แรงงาน"​ที่ทำงานตาม "อาชีพ" ที่องค์กรเหล่านี้กำหนดให้ทำ ...สิ่งที่ต้องทำ คือ ทำตามคู่มือปฏิบัติงาน ...ทำให้ได้มากที่สุด

ส่วนสิ่งที่ห้ามทำ คือ "ห้ามคิด" ...ให้ก้มหน้าอ่านคู่มือการทำงาน

ไม่นาน คนเหล่านี้ก็พบว่า "อาชีพ" ของตัวเอง ถูกแทนด้วยเครื่องจักร ...คนเหล่านี้ถูกทำลายอาชีพให้หายไป ...เกิดเป็นอาชีพใหม่ ที่คนเหล่านี้ต้องไปเรียนรู้แล้วเริ่มใหม่ ...วนเวียนไปแบบนี้เรื่อยๆ

คุณรู้ไหมกับดัก ของคำว่า อาชีพ มันมีกลไก อยู่แค่นิดเดียว ...มันแบ่งคนเป็น 2 กลุ่ม

กลุ่มที่ 1. "คนสร้างอาชีพ" พวกนี้คือ นายทุน เจ้าของ ..เขาสร้างอาชีพเพื่อที่จะมาเป็นแรงงานในธุรกิจของเขา ...หน้าที่เขาคือ ดูว่าลูกค้าต้องการอะไร จากนั้น เขาก็สร้างอาชีพนั้นๆ ขึ้นมา พร้อมวิธีการทำงาน แล้วไปจ้างแรงงานมาทำงาน ...พอตลาดเปลี่ยน เขาก็สร้างอาชีพใหม่ -- คนเหล่านี้ คือ "คนสร้างอาชีพ" ..คนเหล่านี้รวยตลอด ไม่ว่าโลกจะเปลี่ยนไปอย่างไร เพราะ เขากำหนดเกมตามลูกค้า

กลุ่มที่ 2. "มืออาชีพ" พวกนี้คือ คนที่ทำหน้าที่ตามอาชีพได้อย่างดีเยี่ยม แต่สุดท้ายกลายเป็นว่า อาชีพที่ตัวเองเชี่ยวชาญ มันถูกแทนด้วยเครื่องจักร หรือ คอมพิวเตอร์ ..ก็ทยอยตกงาน ...ต้องดิ้นรนค้นหางานใหม่ ...คนเหล่านี้ คือ คนที่ทำงานตามอาชีพที่คนกลุ่มแรกกำหนด

มีทางแก้ให้คนกลุ่ม 2 ครับ

คือ แทนที่คนกลุ่ม 2 จะมานั่งรอว่า คนกลุ่มแรกจะสร้างอาชีพอะไร ก็เอาเวลามานั่งคิดเหมือนคนกลุ่มแรก จะดีกว่าไหม ? ...ก็เอาเวลามานั่งคิดว่า ลูกค้าและตลาดในอนาคต ต้องการซื้ออะไร "อะไรที่แก้ปัญหา และ สร้างประโยชน์ ให้ผู้บริโภคในอนาคต" ...จากนั้น เราก็มุ่งสร้างสิ่งนั้นให้เป็น "อาชีพ" ที่เรากำหนดสร้างขึ้นมาเอง ...โดยไม่ต้องรอให้คนกลุ่มแรก สร้างให้เราเดิน

ดีกว่าไหมครับ ...ลุกขึ้นมากำหนดชีวิตและ อาชีพตัวเอง ...ไม่ต้องรอให้คนอื่นมากำหนดให้ !!

แค่ยิ้ม ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วครับ

"แค่ยิ้ม ชีวิตก็เปลี่ยนแล้วครับ"

มีน้องหลายคนมาปรึกษาผมว่า เขาไม่เก่งอะไรเลย จะเริ่มหาโอกาสในชีวิตอย่างไร ...อยากได้จุดเริ่มที่ดี !!

ฮึม!! คำนี้น่าสนใจ "อยากได้จุดเริ่มที่ดี ในชีวิต -- เริ่มไงวะ ...ฮ่า ฮ่า"

ผมมีคำแนะนำ เริ่มจากเป็นคน "ยิ้มง่าย" ...ใช่!! ไม่ได้ตลก -- คนว่าคนทั่วโลกมาเที่ยวประเทศไทยอันดับต้นๆ ของโลก ทำเงินปีละเป็นแสนๆ ล้าน ก็ไม่ใช่เพราะ "สยามเมืองยิ้มเหรอ ?" ...คนทั้งโลกเขาติดใจรอยยิ้มของคนไทย

สิ่งที่แฝงในรอยยิ้มของคนไทย คือ อะไร ?

คนในโลกที่เห็นชัดๆ คือ มี หนึ่ง พวกยิ้มยาก สอง พวกยิ้มง่าย

พวกยิ้มยาก ไม่ต้องถาม ไม่มีใครอยากคุยกับเขา ..รู้สึกไม่เป็นมิตร
แต่พวกยิ้มง่าย ..ชอบก็ยิ้ม ..โกรธก็ยังฝืนยิ้ม ..ทุกข์ก็ยิ้มสู้ ...เหนื่อยก็ยังทนยิ้ม ...คนเหล่านี้มีเสน่ห์มาก เพราะ มันบ่งบอกถึงนิสัยลึกๆของคนไทย ที่มองโลกแง่ดี และ พร้อมให้อภัย -- คนไทยให้อภัยคนง่าย และ นี่คือ สุดยอดเสน่ห์ของคนไทย

จริงๆ สิ่งที่แฝงในเมืองไทย คือ เราเป็นเมืองสร้างสรรค์ (ดูสิ่งแปลกใหม่ที่เราสร้างในอดีตซิ ..วัด , ศิลปะ , บั้งไฟ , อาหารวิจิตร , มวยไทย , วัฒนธรรมที่โดดเด่น , การไหว้ที่คนทั้งโลกหลงไหล และอื่นๆ อีกมากมาย) ..เมืองที่เหมาะกับการทดลองสิ่งใหม่ๆ ทำอะไรนอกกรอบ ก็คือ เมืองที่คนให้อภัยกันง่าย มีรอยยิ้ม มีความสนุกสนาน ...ตั้งแต่โบราณ เมืองไทย มีความสร้างสรรค์ ตั้งแต่ ศิลปะ วัฒนธรรม วิถีชีวิต อาหารการกิน ...ทุกครั้ง มีเอกลักษณ์​ และ มีอัตลักษณ์ -- Uniqueness & Identity ...นี่เป็นเหตุผล ที่ว่า ทำไมคนทั้งโลกถึงอยากมาเที่ยวเมืองไทย

แต่ปัญหาคือ ช่วงหลังเราเสียอธิปไตย ทางความคิดสร้างสรรค์ และ วัฒนธรรม เพราะ ทุนนิยม โยนเงินเข้ามา ทำให้ทุกคนเปลี่ยนสิ่งที่เราทำ ไปทำสิ่งที่ทำแล้วได้เงินเร็วกว่า ...ทั้งที่จริงๆ แล้ว ถ้าเรามองฝรั่งเศส ซึ่งเป็นประเทศที่เต็มไปด้วย เอกลักษณ์ และ อัตลักษณ์ คล้ายๆเรา แต่เขาไม่เปลี่ยนเข้าหาเงิน -- ฝรั่งเศสยังคงจุดยืนของตัวเอง ทำสิ่งที่ตัวเองทำ สร้างจุดเด่น ...ขนาดทำการเกษตร อย่างปลูกองุ่น ยังสร้างไวน์ให้เป็นสินค้าที่ทั่วโลกยอมจ่ายในราคาแพงมากๆ (ต่างกับไทย ที่ขายข้าว เหมือนโดนหลอก ...ไม่มีการสร้างมูลค่าเพิ่ม ไม่มีการแปรรูป)

ใช่!! เมื่อใดก็ตามที่เราเห็น จุดเด่น และ คุณค่าของตัวเอง ....เราจะรวยขึ้น สิ่งที่เราทำจะมีเอกลักษณ์ และ มีอัตลักษณ์​ สามารถขายได้ในราคาแพง ...การไม่ตามคนอื่น ไม่ได้แปลว่าเราจะจนลง ...แต่มันแปลว่า เราจะรวยและมั่งคั่งขึ้นต่างหาก

เริ่มจาก "ยิ้ม" เปิด Idea บวก และ การให้อภัยทั้งคนอื่น และ ตัวเอง ...กล้ามีจุดยืน แล้วลองทำสิ่งใหม่ๆ ...ถูกผิด ก็ยิ้มสู้ -- นี่คือ คนไทยรุ่นใหม่ครับ

เราเก่งที่สุดในจุดที่เรายืนครับ !!

คนบ้าที่ทำงานทั้งเจ็ดวัน


"คนบ้าที่ทำงานทั้งเจ็ดวัน"

คุณว่าที่ต้องทำงานทั้ง  7 วันเป็นคนน่าสงสารไหมครับ ...เพราะ คนทั่วไปทำงาน 5 วันก็อยากจะตายอยู่แล้ว ...ดังนั้น เวลาหลังเลิกงานและวันหยุด ปล่อยฉันให้พักผ่อนเถอะ -- แต่น่าแปลกนะ ที่คนบ้าที่ผมพูดถึง เขาทำงานหนักพิเศษหลัง 5 โมงเย็น และ ก็หนักพิเศษในวันหยุด -- "คุณว่าเหตุใดคนเหล่านี้จึงบ้าเช่นนี้ !!"

ครับ "ผมเอง" เป็นหนึ่งในคนบ้าเหล่านั้น ที่ทำงานเจ็ดวัน และ ทำงานหนักพิเศษหลังห้าโมงเย็น และ วันหยุด ...จริงๆ แล้วคนที่ทำงานเจ็ดวันมี 2 ประเภท

1. "กลุ่มคนทำงานเจ็ดวันที่น่าสงสาร" ...คนเหล่านี้ต้องทนทำงานที่ไม่อยากทำ แต่รายได้ไม่พอ จึงต้องหางานที่ไม่ชอบอีกอันมาเสริม ..ดังนั้น ที่ต้องทำงานเจ็ดวันเพราะรายได้ไม่พอ จึงต้องเพิ่มเวลาในการทำงาน -- อันนี้เป็นกลุ่มคนที่น่าสงสารจริงๆ เพราะ ทำงานที่ไม่ชอบแถมหนักสุดๆ

2." กลุ่มคนทำงานเจ็ดวันที่ไม่น่าสงสาร" ..กลุ่มคนเหล่านี้ก็คือ คนแบบคุณและผมนี่แหละ ที่เริ่มจากมีงานประจำ แล้วเอาเวลาหลัง 5 โมงเย็น และ วันหยุด มาหางานที่อยากทำ ...หลักๆ ก็คือ การเปลี่ยนงานอดิเรกให้ทำเงินนั่นเอง ..ยกตัวอย่างของผมเอง คือ งานอดิเรกผมคือ การหาหนังสือดีๆมาอ่าน และ ก็หาความรู้โดยการดูทีวี ดู Internet ...ผมก็เอาเวลาว่างผมนี่แหละ มาทำงานอดิเรก อ่านหนังสือ หาความรู้ จากนั้น ผมก็เขียน Blog เพื่อรวบรวมสิ่งที่รู้ -- ช่วงแรกๆ ผมทำฟรีครับ ไม่มีใครจ่ายเงินให้ผม ในการทำงานอดิเรก ..แต่พอผมเขียนได้จึงจุดนึง จนเริ่มมีแฟนคลับมาติดตามสิ่งที่ผมเขียน -- ผมได้เงินครับ !!

กลายเป็นว่า งานอดิเรก กลายเป็นโอกาสให้ผมมีอาชีพเสริม ก็คือ อาชีพนักเขียน , อาชีพวิทยากร , อาชีพอาจารย์ และ สุดท้ายโอกาสของงานที่ผมอยากทำก็มาจากงานอดิเรก คือ ผมได้งานใหม่ เป็นที่ปรึกษาการลงทุนที่บัวหลวง ..ก็คือ งานสอนคนเล่นหุ้นนั่นเอง (เฮ้ย!! โคตรโชคดี บริษัทมาจ้างให้ทำ สิ่งที่ผมทำอยู่แล้ว -- จริงๆ โชคดีมันน่าจะมาจาก ผมสร้างมันขึ้นมาต่างหาก)

วันนี้ผมกลายเป็นคนบ้าทำงานเจ็ดวัน ...แต่มันสนุกครับ ...ผมทำงานหนัก แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันสนุก เพราะ ผมอยากทำ ..ผมมีความสุขในการได้ขึ้นเวทีสอนคน มากกว่าไปเที่ยวต่างประเทศ สนุกกว่าไป Shopping ...และนอกจากความสุข มันได้ความสุขด้วย -- คุณรู้ไหมว่า ทุกครั้งที่ผมมองแววตาของคนที่มาเรียนกับผมบางคน ผมรู้สึกว่า คำพูดบางอย่างของผม ได้กระตุ้นอะไรบางอย่างในตัวเขา ...ใช่!! ผมหลงไหลในการสร้างแรงบันดาลใจ ..ผมชอบท้าทายคน ..กระตุ้นคน ...inspire ..หรือ แม้กระทั่งกดดัน ให้เขาเปลี่ยนชีวิตของตัวเอง -- เฮ้ย!! มันมีความสุขสุดๆ ที่เราสามารถเปลี่ยนให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นในเวลาไม่กี่ชั่วโมงที่เขาเจอผม

ผมถึงเข้าใจว่า วันนี้คนส่วนใหญ่เข้าใจคำว่า "งาน" ไม่ถูกต้อง ...คนส่วนใหญ่คิดว่า "งาน" คือ การทำสิ่งที่เกลียด ..ต้องทำให้เสร็จๆ ไป ต้องเอาเงินเป็นที่ตั้งแล้วได้เงินมาก ..ทำให้หนัก จบให้เร็ว -- ผมว่าไม่ใช่เลย

ผมว่า "งาน" ที่สุด In-Trend ในยุคนี้ คือ งานที่คุณอยากจะตื่นขึ้นมาทำทั้ง 7 วัน ...แต่งานแบบนี้ เราต้องสร้างเอง คือ ใช้เวลาหลังงานประจำและวันหยุดเอามาเปลี่ยนงานอดิเรกให้ทำเงิน และ เอาจริง -- ในที่สุดคุณก็จะได้งานในแบบที่ผมพูดถึง

ผมท้าทายให้คุณลองทำ ...ผมอธิบายได้เท่านี้(เพราะสิ่งที่อธิบายไม่ถูก คือ ความสุข และ ความอิ่มเอิบในงานที่ได้ทำ)

 ..แต่เรื่องความมันส์ และ สนุก คุณจะพบเมื่อคุณได้สร้างงานแบบที่ผมบอกขึ้นมาด้วยตัวคุณเอง

 ....โคตรแจ๋ว ...ลองดู -- ใครเริ่มทำแล้ว หรือ ทำได้แล้วก็มาเล่าสู่กันฟังบ้างนะครับ !!

วันพุธที่ 17 มิถุนายน พ.ศ. 2558

วิธีประเมินโอกาสรวยในสิ่งที่ทำอยู่


'วิธีประเมินโอกาสรวยในสิ่งที่ทำอยู่'

อันนี้เป็นคำถามที่หลายๆคนเคยหาคำตอบอยู่ รวมทั้งตัวผมเองก็ด้วย ...คุณอาจจะเคยอ่านประวัติของเศรษฐีเมืองไทยที่เริ่มจากไม่มีเงิน จนวันนี้รวยมหาศาล เช่น คุณเจริญเริ่มจากที่บ้านเป็นร้านขายหอยทอด หรือ คุณตันที่เริ่มจากเป็นลูกจ้างธรรมดา ...แล้วทำไมวันนี้เขาทำสิ่งที่แตกต่างจากธุรกิจที่บ้านอย่างสิ้นเชิง

'คุณคิดว่ายังไง -- ถ้าที่บ้านมีธุรกิจเล็กๆ เช่น ร้านก๋วยเตี๋ยว , ร้านขนม , ร้านขายของ , ร้านขายปลีก , โรงงานห้องแถว , ร้านขายส่ง -- คุณจะต่อยอดธุรกิจที่บ้าน หรือ คุณจะไปเริ่มธุรกิจใหม่เลยจะดีกว่า ?'

วิธีดูว่า 'จะทำต่อ' หรือ 'สร้างเองใหม่' ดูดังนี้

1. ลูกค้า ...ใครคือลูกค้าของธุรกิจที่บ้าน ..เราต้องตอบให้ได้ว่า เราสามารถขยายฐานลูกค้าจากสิ่งเดิมที่ทำได้ง่ายหรือไม่ -- ถ้าคำตอบคือไม่ ..คุณเริ่มเหนื่อยแล้ว !!

2. คู่แข่งคือใคร ..เดิมธุรกิจที่บ้านคุณสมัยก่อน น่าจะมีคู่แข่งน้อย แต่ลองดูว่าวันนี้คู่แข่งเยอะไหม -- วิธีวัดคือ ถ้าคุณขึ้นราคา ยอดขายสินค้าคุณจะหายไปแค่ไหน ? ...ถ้าคุณมีคู่แข่งมากขึ้นราคาก็ไม่ได้ คุณกำลังอยู่ในสนามรบของสิ่งที่คุณทำ(สงครามราคา) ...คุณเหนื่อยคูณสอง !!

3. ลูกจ้าง ...คุณหาคนงานง่ายไหม ? และ คุณสามารถจ้างคนแพงกว่าที่อื่นแค่ไหน ..ถ้าคุณไม่สามารถจ่ายค่าจ้างได้แพงกว่าคนอื่น แปลว่า คุณอยู่ในธุรกิจ Price War ที่แข่งเรื่องราคา(สินค้าใครทำก็ได้) โอกาสหาคนเก่งมาทำงานให้คุณ ยากครับ ..คุณคือธุรกิจนั่นเอง และไม่มีทางหยุดพักได้ ..คุณเหนื่อยคูณสาม !!

4. อันนี้มันเชิงเทคนิคนิดนึง คือ ธุรกิจที่อยู่ใน Old Business Model ที่แข่งสูง ไม่มีจุดเด่น เล่นแต่ราคา และหาคนงานยาก พวกนี้กำไรจะน้อย คือ Net Profit Margin จะต่ำ แค่ประมาณ 10% ...ธุรกิจแบบนี้คือ Red Ocean รวยยากครับ

แต่ถ้าคุณทำธุรกิจที่ Net Profit Margin เกิน 30% ขึ้นไป คุณคือ New Business Model ประเภท Blue Ocean ..ธุรกิจแตกต่างชัดเจน มีจุดขาย ไม่ได้แข่งด้านราคา หาคนเก่งทำงานไม่ยาก เพราะคนเก่งอยากทำงานในธุรกิจแบบนี้แหละ

ประมาณนี้ครับ ลองสำรวจว่า ธุรกิจของคุณอยู่ตรงจุดไหน แล้วคุณจะพบคำตอบว่า ทำต่อ หรือ ทำใหม่ ?

ไม่ง่ายครับ แต่วันนี้โลก กำลังเปิดทางเดินให้คนรวยรุ่นใหม่เริ่มสร้างตัวครับ !!

ไม่รู้เรื่องอนาคตของงานเรา อาจเสียเวลาทั้งชีวิต

"ไม่รู้เรื่องอนาคตของงานเรา อาจเสียเวลาทั้งชีวิต"

วันนี้โลกเต็มไปด้วย นวัตกรรม และ ผลิตภาพ ...ภาษาอังกฤษคือ Innovation & Productivity
แต่ปัญหาคือ คนส่วนใหญ่ไม่ได้คิดว่า จริงๆ แล้ว ยิ่งโลกพัฒนาไปมากแค่ไหน คนยิ่งตกงานเท่านั้น -- มันคือ เหรียณสองด้าน 'ด้านดีคือชีวิตสบายขึ้น แต่อีกด้านคือไม่มีงานทำไง'

นั่นแปลว่า เมื่อเวลาผ่านไป งานจะถูกทดแทนด้วย Innovation เช่น เครื่องจักร , คอมพิวเตอร์ และ หุ่นยนต์ ...ส่วน Productivity ก็คือ การใช้แรงงานและคนน้อยลง แต่ใช้เครื่องมือและเครื่องจักรสร้างผลผลิตที่มากขึ้น -- ยิ่งโลกพัฒนาไปแค่ไหน ...เครื่องจักร กับ หุ่นยนต์ก็จะแทนคนมากขึ้นเรื่อยๆ

ดังนั้น คนในยุคนี้ ก่อนที่จะเลือกเรียน หรือ ทำงานอะไร ลองคิดก่อนว่า "สิ่งที่เราจะเรียน หรือ งานที่เราจะทำ จะถูกแทนด้วยเครื่องจักรเมื่อไหร่ ...ตอบให้ได้แล้วจะรู้ว่า อนาคตของงานเราจะเป็นอย่างไร -- เพราะมันไม่ดีแน่ หากเราทำหน้าที่หนึ่งจนเราเชี่ยวชาญ แล้วมาพบว่า สิ่งที่เรากำลังทำอยู่จะถูกแทนด้วย เครื่องจักร คอมพิวเตอร์ หรือ หุ่นยนต์ จริงไหมครับ ?" 

วิธีมองง่ายๆ ว่าเครื่องจักรจะมาแทนเราหรือไม่ มองได้ดังนี้
1. ถ้างานที่เราทำมันคือการทำสิ่งเดิมซ้ำ เช่น งานในโรงงาน , งานสายพานการผลิต ...งานพวกนี้ เครื่องจักรทำได้ดีกว่า แม่นยำกว่า ดังนั้น ใครทำงานแบบนี้ในอนาคตจะมีเครื่องจักรมาทำแทน

2. งานอันตราย ..งานที่อันตราย เช่น งานก่อสร้าง , งานในเหมือง , งานในที่อันตราย ..จะถูกแทนด้วยหุ่นยนต์มากขึ้นเรื่อยๆ ...แต่วันนี้งานแบบนี้มักได้ค่าแรงสูง เพราะ เราเสี่ยงชีวิตในการทำงานนั้น

3. งานที่เกี่ยวกับข้อมูล ความจำ ..พวกนี้จะถูกแทนด้วย คอมพิวเตอร์ที่ประมวลผลจำนวนมากๆได้ดีกว่าสมองคน และ ความจำดีกว่าคน

งานที่เครื่องจักรแทนมนุษย์ยาก คือ

1. งานที่ต้องคิดนอกกรอบ ...เพราะ หุ่นยนต์ เครื่องจักร และ คอม มีหน้าที่ทำตามคำสั่ง -- ดังนั้น "งานคิดนอกกรอบ คือ งานมนุษย์"

2. งานศิลปะ ..เพราะ งานศิลปะ คือ งานที่แสดงความคิดสะท้อนตัวตน คือ การสร้างอัตลักษณ์ ...งานแบบนี้คือ ขาย Identity ....เครื่องจักรทำไม่ได้ เพราะ มันไม่ได้สร้างมาให้มีตัวตน -- ความ Art ยังเป็นของมนุษย์ต่อไป

3. งานดูแลลูกค้า(งานบริการ) ...คนไม่อยากคุยกับหุ่นยนต์ ...งานที่ดูแลคนสำคัญ หรือ ลูกค้าพิเศษ ...ยังเป็นงานของคนต่อไป

4. งานขาย ..การขายคือศิลปะแห่งการสื่อสาร ...เบื้องหลังสุดยอดการขาย มีมนุษย์อยู่ เช่น มี Steve Jobs อยู่เบื้องหลังสินค้าที่ขายดีอย่าง iPhone

ผมว่า เราต้อง Art และ คิดนอกกรอบ และ ใส่ใจมนุษย์ เราจะมีงานทำชิวๆ ตลอดไปครับ !!

เคล็ดลับของคนเกษียณเร็วสุดขีด


'เคล็ดลับของคนเกษียณเร็วสุดขีด'

เกษียณเร็วเดี๋ยวนี้มันธรรมดาไปแล้ว ..ยุคนี้ต้องเกษียณเร็วสุดขีดถึงจะ In-Trend

จริงๆมาเข้าใจ 'หัวอกคนอยากเกษียณเร็วกันก่อนว่า ทำไมถึงอยากเกษียณเร็ว'

คนที่อยากเกษียณ หลักๆ เพราะ 

1. ไม่ชอบงานที่ทำ ..อยากเกษียณจากงานที่ไม่ชอบที่ทำอยู่ แล้วมีอิสระไปทำสิ่งที่ชอบ
2. เงินไม่พอ ..กรูเครียด

มาแก้ทีละข้อ

1. คนที่เกลียดงานที่ทำ ต้องถามตัวเองก่อนว่า ถ้าเกษียณจะทำสิ่งที่ชอบคืออะไร ..ลองคิดต่อไปว่า สิ่งที่เราชอบสามารถเปลี่ยนเป็นงานที่ทำเงินได้หรือไม่ เช่น สมมุติเราชอบท่องเที่ยว อยากเกษียณเพื่อเที่ยว ..ลองคิดซิว่าเราสามารถทำเรื่องการเที่ยวให้เป็นธุรกิจทำเงินได้ไหม -- เพราะถ้าทำได้ คุณจะได้มีเป้าหมายในการปั้นงานใหม่ ที่เราชอบและทำเงินด้วย ...ถ้าได้ทำงานที่รักแล้วได้เงิน ผมว่าคุณจะลืมคำว่าเกษียณไปเลย กลายเป็น 'ฉันอยากทำงานทุกวันเลย'

2. เงินไม่พอ ..อันนี้มันผลมาจากข้อแรก ก็คุณทำงานที่ไม่ชอบ ก็เลยทำแบบให้เสร็จๆ ..ผลงานมันก็เลยไม่ดี ..แล้วจะรวยได้ไง?

ทางแก้คือ เอาเวลาหลัง 5 โมงเย็นมาตอบโจทย์ข้อหนึ่ง ..หาคำตอบให้ได้ 

ถ้าทำได้คุณจะกลายเป็นคน 1% ในโลกที่ได้ทำงานที่รักและทำเงินเยอะด้วย

เจสสส!! มีคนจ้างฉันให้ทำสิ่งที่ฉันรัก

'งาน' นี้เราต้องหาเอง และสร้างขึ้นเองครับ -- เอาใจช่วยให้คิดให้ออก !! 

...แล้วคุณจะอยู่ในส่วนของคนที่โชคดีที่สุดในโลก 'โชคดีน่ะ เราเป็นคนสร้างเอง' -- จัดไป !!

แค่อ้าปาก คุณก็กำหนดทั้งชีวิตของคุณแล้วครับ !!

เพียงแค่อ้าปาก คุณก็กำหนดทั้งชีวิตของคุณแล้วครับ !!

'พูดอย่างไรให้เราก้าวหน้าอย่างไว ?'

การพูดมันสะท้อน ทัศนคติของคน ..ซึ่งมันมีแค่ 2 แบบหลักๆ คือ

1. 'คนใช้ยาก' ..คน 80% มักคิดลบ จะเห็นจากการสะท้อนในคำพูดและคำตอบของเขา ...สังเกตง่ายๆ คนคิดลบ มักมีข้ออ้างให้กับทุกอย่าง เช่น ถ้าอย่างนั้น .. , ถ้าอย่างนี้.. , อ้างนั้น อ้างนี่ ..มีข้ออ้างให้กับทุกอย่าง -- ข้ออ้างเหล่านี้ในมุมหัวหน้าจะเข้าใจว่า 'มันก็แค่หาข้ออ้างที่จะไม่ทำสิ่งที่ฉันสั่ง' 

..ไม่แปลกที่คนเหล่านี้มักไม่เจริญในหน้าที่การงาน --  ลองสำรวจตัวเราซิครับว่า เราเป็นคนที่มีข้ออ้างให้กับทุกสิ่งหรือเปล่า 

ถ้าใช้ต้องรีบเปลี่ยน เพราะ คนเหล่านี้คือ 'คนใช้ยาก' สุดท้ายหัวหน้าก็จะปล่อยคนเหล่านี้ให้ แป๊ก ไร้อนาคต ไม่ว่าจะอยู่ที่ไหนก็ตาม (น่ากลัวมาก)

2. 'คนใช้ง่าย' พวกนี้คือคน 20% ที่มักรุ่ง และสำเร็จในหน้าที่การงาน หรือ แม้แต่ธุรกิจส่วนตัว เพราะลูกค้าเกลียดคำว่า 'ทำไม่ได้' ...หัวหน้าก็เกลียด 'ข้ออ้าง' 

....ดังนั้น ถ้าเราเปลี่ยนคำพูดของเราว่า 'ทำได้ / จัดไป / เอาครับ / ลุยครับ' ..คุณจะเปลี่ยนตัวเองเป็น 'คนใช้ง่าย' -- แล้วโอกาสทุกอย่างจะวิ่งเข้าหาคนแบบนี้

คนสองแบบนี้ไม่ได้เก่งต่างกัน แต่ต่างกันแค่ ทัศนคติ หรือ Attitude ต่อการเรียนรู้ และ เปิดใจในสิ่งที่ตัวเองไม่รู้ หรือ ไม่ถนัด

ก็คนแรกปิดตัวเอง หยุดเรียนรู้ อาศัยแต่ข้ออ้างกำบังตัวเองให้อยู่ที่เดิม และ ไม่พัฒนาความรู้   

แต่คนที่สอง เปิดใจ เรียนรู้สิ่งใหม่ๆ ก็เลยเป็นคนมีอนาคต

'เพราะไม่หยุดเรียนรู้ และ กล้าที่จะออกจากกรอบเล็กๆ ของตัวเรา ..จึงมีอนาคตที่สดใสนั่นเองครับ'

ใช่!! ..แค่อ้าปาก คุณก็กำหนดทั้งชีวิตของคุณแล้วครับ !!

ลูกจ้างที่มีอนาคตต้องทำไงในยุคนี้


'ลูกจ้างที่มีอนาคตต้องทำไงในยุคนี้'

ต้องเข้าใจก่อนว่า ยุคนี้องค์กรต้องการคนแบบไหน ? ..ลองมองไปรอบๆตัวจะเห็นว่ายุคนี้ทุกธุรกิจต้องการเปลี่ยนแปลง ต้องการปรับตัวให้เข้ากับตลาดและลูกค้ายุคใหม่ -- แปลตรงๆว่า 'องค์ต้องการ ความเปลี่ยนแปลง'

ดังนั้นคนที่อยากก้าวหน้าในองค์กร ต้องเป็นคนที่ 'อยากเปลี่ยนแปลง' -- คิดง่ายๆ ในองค์กรจะมีคน 2 สายพันธ์ คือ

1. คนไม่ชอบเปลี่ยนแปลง ..พวกนี้ชอบทำงานเดิมๆ ไม่อยากเปลี่ยน ไม่กล้าทำอะไรใหม่ๆเพราะกลัวความเสี่ยง -- คนแบบนี้ การันตีว่าอนาคตก็จะอยู่ที่เดิม 'แป๊กว่างั้น' ..ถ้าใครนิสัยแบบนี้ก็ไม่ต้องสงสัยหรอกว่าทำไมตัวเราไม่มีอนาคต ไม่มีโอกาสใหม่ๆ ก็เพราะเขาเลือกที่จะอยู่ที่เดิม ก็เท่านั้นเอง

2. คนที่ชอบเปลี่ยนแปลง ..คนเหล่านี้กล้าเสนอตัวทำสิ่งใหม่ๆ เช่น หัวหน้าอาจจะอยากตั้งหน่วยงานใหม่ คนเหล่านี้ก็มักเสนอตัวไปอยู่ในหน่วยงานใหม่ , โครงการใหม่ๆ ที่องค์กรไม่เคยทำ ...ใช่!! คนส่วนใหญ่มักกลัวว่าถ้าไปทำสิ่งใหม่ๆ อาจทำได้ไม่ดี กลัวไม่สำเร็จ -- แต่ถ้าคิดในอีกมุมจะพบว่า การทำสิ่งใหม่คือโอกาสชั้นยอดมากกว่า 

อย่างบริษัท Apple จะเห็นว่าเดิมทีทำ Computer แต่วันนี้กลายเป็นบริษัทมือถือไปแล้ว ..รายได้หลักของบริษัทกลายเป็นมาจากธุรกิจใหม่

ใช่!! ผมอยากบอกคุณว่า การกล้าเสนอตัวทำสิ่งใหม่ หรือ ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่อยากทำ ไม่กล้าทำ มันคือการเปิดโอกาสให้ตัวเราเรียนรู้สิ่งใหม่ๆ 

...เพราะในกรณีแย่ที่สุด หน่วยงานใหม่อาจไม่ work แต่เราก็ได้เห็นสิ่งใหม่ๆ ที่คนส่วนใหญ่ไม่เข้าใจด้วยซ้ำ -- ผลคือ หากไม่สำเร็จ เราก็ได้เห็นสิ่งใหม่ มีความรู้ที่คนส่วนใหญ่ไม่รู้ 'แค่นี้ก็โคตรแจ๋วแล้ว'

'คนที่อยากมีโอกาสก้าวหน้า ต้องกล้าเปิดใจ อาสาทำสิ่งใหม่ ..ยังไงบริษัทก็ไม่ทิ้งคนกล้า นักพัฒนาและนักเปลี่ยนแปลง -- คุณเลือกได้ครับว่า อยากเป็นคนสายพันธ์ไหน

 'เราเลือกอนาคตงาน ของเราเองจริงๆ ครับ!!'

วันอังคารที่ 16 มิถุนายน พ.ศ. 2558

หาตลาดสำคัญกว่าหาสินค้า


'อยากมีธุรกิจส่วนตัว เริ่มจากหาตลาด'

หาตลาดในยุคนี้สำคัญกว่าหาสินค้า ...เพราะเดิมที่เราทำๆกัน คือ ไปหาของมาขาย แล้วค่อยคิดวิธีขาย ..จากนั้นพอขายได้ ก็ผลิตเอง เข้าสู่ยุคโรงงานนรกของเมืองไทย ..เติบโตควบคู่กับการโฆษณา

ผลิตสินค้าให้จำนวนมากๆ เน้นต้นทุนต่ำๆ ตัดนุ่นนี่ออก ลดคุณภาพ ลดวัสดุ ลดนี่อีก ...แต่นแต้น!! ได้แล้วผลผลิตสินค้าที่เจ๊งก่อนใช้ ..หรือ ใช้ 3 วันเจ๊ง -- อันนี้คือโลกที่เราอยู่กันนี่แหละ เน้นถูกๆ (ซึ่งสิ่งที่มาพร้อมถูก คือ ความห่วย)

ซึ่ง 30 ปีที่ผ่านมา สินค้าเกรด A เราส่งออกทั้งหมด ของที่กินในประเทศคือของห่วย

ข้อแนะนำผมก็คือ ใครอยากทำธุรกิจมองหาตลาดด่วน ..พยายามมองหาตลาดจากความสนใจและงานอดิเรกของคน นั่นแหละเงิน

เสียงเรียกวันนี้ต้องการ ..สุขภาพ , คุณภาพ , แพงได้แต่ต้องของดี , ของ Original , ใช้สินค้าบ่งบอกตัวตน ไม่ใช่ใช้แล้วทิ้ง , เรื่องราว และที่มาของสินค้า , การช่วยเหลือสังคม , การแก้ปัญหาของเรา 

....ลองพยายามตั้งใจฟังผู้บริโภค ก็คือ ฟังเสียงจากตัวเราจริงๆ ...ตกลงฉันต้องการสินค้าและบริการอะไร -- นั่นแหละวิธีคิดเริ่มหาโอกาสธุรกิจ 

เริ่มจาก ความต้องการข้างใน !!

อย่าทำธุรกิจตามกระแส ไม่สวน ก็สร้างกระแสเลย


'อยากมีธุรกิจใช่ไหม ? ...ต้องสวนกระแส หรือ สร้างกระแส อย่าแค่ตาม !!'

วันนี้เด็กรุ่นใหม่มักตาม Trend เร็ว รู้ว่าอะไรอินเอ้าท์เร็วมาก ..บอกตรงๆ ในการทำธุรกิจใครทำธุรกิจอินเทรนต์นี่คือ เอ้าท์สุดๆ เพราะ คนที่รวยจากกระแสต่างๆ คือ ผู้นำกระแส ไม่ใช่คนตาม !!

เมืองไทยสร้างกระแสไม่ยาก ทำอะไรให้มัน Drama เดี๋ยวคนก็แชร์กันสะบัด แต่คำถามคือ  คุณจะควบคุมการ Viral กระแสอย่างไรให้เป็นประโยชน์ต่อธุรกิจ ...เพราะถ้าสังเกตให้ดี อะไรที่เกิด Talk of the Town จะไม่ซ้ำกัน ..แปลว่าคุณจะมาทำแบบเดิมแล้วหวังว่าครั้งนี้ คนจะแชร์เป็นล้าน มันไม่ใช่แน่นอน 

คำถามคือ แล้วคนอยากเริ่มธุรกิจ จะสร้างกระแสอย่างไร ให้เราแจ้งเกิดในสิ่งที่เราทำ?

'อยากเกิด ทำไงดี ?'

ตอบง่ายๆ 

หนึ่ง โคตรแตกต่าง 

สอง สร้างกระแส

วันนี้โลกเราเบื่อคนเก่ง ใครก็เก่ง เบื่อคนหล่อ เบื่อคนสวย ...ชักแปลก แต่ผมจะบอกว่า วันนี้เราแค่เบื่อสิ่งที่มันเหมือนเดิม -- การทำอะไรจึงต้องใส่ความสดใหม่เข้าไป และที่สำคัญ ยุคนี้ต้องการ'ผู้นำ' ดังนั้น ความแปลกสดใหม่ ต้องเป็นคุณคนแรกที่ทำ ไม่งั้นไม่ work 'ยิ่งเราทำเป็นคนแรกของโลกยิ่งแจ๋ว'

ส่วนการสร้างกระแส คือ การจับกระแสจากพฤติกรรมของคนแล้วเอามาขยายความว่า 'คุณต้องการแบบนี้ใช่ไหม?'

อย่างเวลาผมเขียนหนังสือ ผมจะจับกระแสก่อนว่า วันนี้คนต้องการอะไร อยากรู้อะไร จากนั้น ผมก็จะไปค้นคว้าเขียนสิ่งที่คนอยากรู้ โดยไม่ต้องรอให้เขามาถาม -- สุดท้ายคุณก็จะเห็น Product ที่มัน 'โดน' ...นี่ไง สิ่งที่อยากได้มานานแล้ว

ลองไปปรับใช้กับการมองธุรกิจของคุณดูครับ ..ถ้าไม่แตกต่าง คุณก็สร้างกระแสซะเองเลย นี่มันยุค Social Media แล้ว 'ผู้บริโภค is King'

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ