แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 27 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

เก็บตกสัมมนา S2M '54 (งานใหญ่ประจำปี)

งานนี้เปิดงานโดย "เราเอง" สามหนุ่มสามมุมสามแนวทาง...

เริ่มด้วยหลักธรรมชาติแห่ง "ความมั่งคั่ง" (เอ่ยขึ้น!! ปั๊บ --- หลับกันครึ่งงาน..อิ อิ)
ความมั่งคั่ง คือ Wealth "Way of Earth หรือ สัจธรรม แห่งการเข้าใจธรรมชาติ แห่งความรวยนั่นเองครับ พี่น้อง!!"

หลายคนพยายามใช้ปัญญาแสดงความหลุดพ้น แต่ผมกลับพยายามใช้ปัญญาหาความสมดุลย์ ระหว่าง ความรวย กับ ความสุข ..ที่ไม่เบียนเบียนใคร!! หรือจะแปลอีกความหมายก็คือ การรวยที่เราจะมีความสุขคือ รวยโคตรๆตลอดชาติ ดังนั้น การรวยตลอดชาติอย่างยั่งยืนได้ คุณต้องรวยจากการที่ไม่เบียดเบียนใคร

..การโกงการคอรับชั่นหรือทางรวยเร็ว อย่างที่คนสมัยนี้พยายามวิ่งหา จึงไม่น่าจะเป็นทางรวยที่ยั่งยืน -- "สิ่งที่ได้มาง่ายๆ ย่อมเสียไปง่ายๆ ไม่ต่างกัน"

สุดยอดของความมั่งคือ อะไร!!

มันคือ "ปัญญา + เวลา"...

"สัมมนาวันนี้เรามีความมุ่งหมายจะให้เกิด ความรู้ แต่ความรู้ จะยังไม่สามารถสร้างความมั่งคั่ง หากความรู้นั้นยังไม่ได้เปลี่ยนเป็น ..ปัญญา และใช้ระยะเวลาในการสร้าง !! --ถูกต้องผมหมายถึง ความรู้ที่เราเรียนๆกันมาจาก โรงเรียน จากมหาวิทยาลัย หากยังไม่ผ่านการปฏิบัติจริง!! ... มันก็ยังไม่สามารถเปลี่ยนเป็นปัญญาได้ ...ความรู้จึงต้องนำไปปฏิบัติ ผ่านความเจ็บปวด ล้มลุกคลุกคราน ในระยะเวลานึง ถึงจะเปลี่ยนเป็นปัญญาได้"

ดังนั้น สัมมนาที่บอกว่า "จะเปลี่ยนชีวิตคุณในทันที.. บอกได้เลยว่า มั่ว!!"..เป้าหมายที่แท้จริงคือ ให้ความรู้ในแนวทางการลงทุนที่เหมาะสม ซึ่งสุดท้ายการสร้างปัญญา มันต้องเป็นขบวนการของแต่ละคนที่ จะเอาความรู้ในการลงทุนแต่ละแนวทาง ไปลองดูว่า แนวไหนที่เหมาะกับตัวเอง จากนั้นเมื่อเราเลือกแนวทางที่เหมาะกับใจของเราได้ (VI หรือ Technical หรือ อื่นๆ)--- เราก็จะเริ่มลงทุนด้วย ปัญญาได้!!

แต่แน่นอน หากเรามีปัญญา ก็ใช่ว่า เราจะรวยในทันใด ..ไม่ใช่!! เพราะ ปัญญาต้องอาศัย ระยะเวลา(ที่ยาวนาน) จึงจะแปรเปลี่ยนเป็นความมั่งคั้ง --- ผมการันตีเลยว่า โลกนี้ไม่มี Overnight Success คนที่รวยในเวลาสั้นๆ ย่อมไม่สามารถรักษาความมั่งคั่ง ......เพราะความมั่งคั่งนั้นๆ ไม่ได้มาจากปัญญา "เรานิยาม สิ่งนั้นว่า รวยแบบ สามล้อถูกหวย!!"

Overnight Success แท้จริงแล้ว เกิดจากการบ่มเพาะทางปัญญาของแต่ละบุคคลเป็นเวลาที่ยาวนาน ก่อนจะมาเป็น Overnight Success ที่เราเห็นนั่นเอง

เช่นเดียวกับการเล่นหุ้น การที่หุ้นอย่าง CPF, CPALL , IVL , AJ , PTL มันสร้างความมั่งคั้งให้กับคนบางคน ซึ่งแน่นอน คนนั้นไม่ใช่คุณ!! เพราะหุ้นที่ขึ้นมาอย่างร้อนแรง มันไม่ใช่สาเหตุ แต่มันเป็นผลของความมั่งคั่ง
ของเจ้าของหุ้นหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ตัวนั้นๆ (ซึ่งบางคนที่มีปัญญา ก็อาจใช้ปัญญานั้นๆ สร้างความมั่งคั้ง ด้วยวิธีที่ดีหรือเลว มันก็เป็นทางเลือกของแต่ละคน ..แต่ท้ายสุดไม่มีใครหนีพ้น สิ่งไม่ดีที่เขาสร้าง --ใช้กรรม!!)

ดังนั้น การที่เราเห็นคนอื่นรวย แล้วกระโดดเข้าไปเล่นหุ้นร้อน คุณกระโดดเข้าไปด้วย "ความโลภ" เพราะมองว่า คุณอยาก Overnight Success บ้าง "แต่คุณไม่คิดหรือว่า หุ้นที่ได้ขึ้น มาอย่างร้อนแรงไม่รู้กี่เด้งแล้ว ..มันไม่ใช่โอกาสของคุณ ..มันเป็นเพียงกับดัก" --- ดังนั้น การที่จะรวยคือ คุณคิดต่าง !!

หมายความว่าอะไร ..... "ปี 1997 หุ้น CPN ราคาตกลงไปเหลือแค่ 25 สตางค์ หลังจากนั้น 10 ปี หุ้น CPN วิ่งขึ้นมา 37 บาท ..นั้นคือ 148 เท่า ..ถ้าคุณซื้อหุ้น 1 ล้าน คุณก็อาจรวย 148 ล้าน ... ดังนั้นคนที่รวยคือ ตระกูล จิราธิวัฒน์ เพราะเขามี ปัญญา + เวลา ..มันเป็นจังหวะของเขา ไม่ใช่ของคุณ -- แต่ผมก็เชื่อว่า ระหว่างที่
จิราธิวัฒน์รวย ก็ย่อมมีใครบางคนที่รวยไม่แตกต่าง เพียงแต่เขาไม่ได้มาโฆษณาบอกใคร ... อย่าง ดร.นิเวศน์ ที่รวยเป็นพันล้าน ก็เพราะเขามอง CPALL ในมุมเดียวกับเจ้าสัว CP ...ดังนั้น 7-11 คือ โอกาสของเจ้าสัวและดร.นิเวศน์ ที่ซื้อหุ้นนี้มาตั้งแต่ราคาถูกๆ ...แต่มันไม่ใช่โอกาสของคนที่ซื้อวันนี้ (คุณเข้าใจไหม)"

การที่หุ้นจะลงไปเน่า(ถูกๆ) ย่อมอยู่ในภาวะวิกฤตอย่างแรง ..การที่ CPN หรือ เซ็นทรัลจะลงไปแตะ 25 สตางค์ได้ แสดงว่าปี 1997 เซ็นทรัลเกือบเจ๊ง...ดังนั้น คนที่ซื้อ เซ็นทรัลได้ในเวลานั้น ย่อมเป็นคนที่ไม่กลัวเสียเงินทั้งหมดที่ลงทุน --- "คุณเห็นเหมือนผมหรือไม่ว่า ..เงินลงทุนที่สามารถจะสร้างความมั่งคั่งอย่างสุดโต่ง คือ เงินที่คุณตัดมันทิ้งไปจากคุณได้ต่างหาก"

... ณ เวลานี้ ในตลาดมีหุ้นที่ แย่และวิกฤตเหมือนเซ็นทรัลในปี 1997 กี่ตัว(มีเยอะ แต่คุณกล้าทิ้งเงินคุณใส่มันหรือเปล่า) ... คำถามคือ เงินเท่าไหร่ที่คุณกล้าทิ้งบ้าง ..คำถามคือ แล้วคุณจะทำอย่างไร หากเงินก้อนที่คุณลงทุน มันศูนย์ไปทั้งก้อน หากกิจการนั้นๆ ไม่ได้สร้างผลตอบแทนอย่างที่คุณคิด "เสียทั้งหมด!!...คุณกล้าไหม"

"ทุกอย่างอย่ามองด้านเดียว คนที่รวยมาก แสดงว่า เขากล้าที่จะรับความเสี่ยง กว่าคนธรรมดามาก... ไม่แปลกที่โลกนี้มีคนที่รวยสุดๆเพียงไม่กี่คน"

ดังนั้น คนที่รวยคือ "คนที่ตัดได้ ละได้" ...(หากคุณเอาธรรมะ มาใช้กับการลงทุน ...ผมเชื่อว่า ในอนาคต คุณคือ คนนึงที่จะรวยมากๆจากตลาดหุ้น!!)

"((จะรวยต้องสามารถ--ตัดได้)) ... ((อยากมีอำนาจและชื่อเสียงต้องสามารถ--ให้ได้)) --- ยิ่งให้ ก็ยิ่งได้ ..หากตัด(เงิน)ได้ คุณก็ยิ่งรวย!!"

ทั้งหมดที่ผมพูด มันฟังดูบ้า แต่มันคือ ความจริง!! ... ลองไปคิดดูครับ แล้วเลือกทางเดินชีวิตของคุณด้วย ปัญญา!!

วันพฤหัสบดีที่ 24 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ปีนี้หุ้นถูกหรือแพง !!


"แวะไปดื่มกาแฟ ดูกราฟ แล้วคุยกับป๋ากิ้ง" -- ทางทีมหลักทรัพย์บัวหลวง เข้ามาคุยใน S2M กะจะทำอะไรแรงๆ ซะหน่อย แต่ต้องอุบไว้ก่อน..หุ หุ

ปีนี้มีนักลงทุนเกิดขึ้นมากมาย ..."รึว่าตลาดมัน Bubble แล้วใกล้จะแตกรึเปล่านี่ ...ใช่หรือเปล่า ๆ"

"ไม่รู้ซิ ....ถ้ารู้คงไม่มีสาวยาคูลย์ ไว้ให้เราถาม ..จริงมั๊ย..อิ อิ อิ"

จะว่าไปแล้วปีนี้ตลาด ผันผวนมากๆเลย ... แต่ถ้ามองว่าสองปีที่ผ่านมา 2009 - 2010 ตลาดมัน Bullish สุดๆ ....ก็ Make Sense นะถ้าปีนี้จะเป็นปีที่ตลาดปรับฐาน "ซึ่งแน่นอน ตอนนี้มันก็ปรับฐานอย่างต่อเนื่อง" แต่!! คำถามที่น่าคิดก็คืิอ ปรับเพื่ออะไร ..เพื่อขึ้นหรือปรับเพื่อลง ตรงนี้สำคัญกว่า!!

เพราะถ้ามันปรับเพื่อขึ้น นั่นก็หมายความว่า ปีนี้ควรเป็นปีที่ "น่าซื้อหุ้นเก็บ" เพราะจะได้รอตลาดขึ้นในปีต่อๆไป ...แต่ถ้ามันปรับเพื่อลง คุณก็ควรทยอยขายทุกครั้งที่ตลาดพุ่งขึ้นมา จริงไหม!!

"ป๋ากิ้ง ... ผมถามจริงๆ เถอะ ..ป๋ามองว่ายังไง !!"

"ง่ายโคตร ..มองยังไงก็ชิว จากประสบการณ์นับพันๆปี(เวอร์ไป!!) ...มันดูสถิติก็รู้ว่า ถ้าตลาดมัน Crash มันก็คงลงไปนานแล้ว ..ถ้าสังเกตดีๆ เวลาตลาดขึ้นมันใช้เวลานาน แต่เวลาลงมันลงพรวดเดียว เพราะขาลง ทุกคนทิ้งหุ้นแบบไม่ต้องคิด ดังนั้น คนที่อยากรวยเร็ว ไม่ใช่เล่นหุ้นขาขึ้น คุณต้องฝึก Short ตลาด ..อยากเป็นเซียนต้องไปดู Soros หรือไปถาม Paulson ว่าคุณ Timing Market ขั้นเทพ ได้อย่างไร ....ปีนี้พวกที่ Short ตลาดคุณว่าเขาสบายไหม ...แน่นอนเหงื่อแตก ++ อย่างรอบการขึ้นที่ผ่านมา ฝรั่งเข้ามาซื้อเพราะมัน Cover Short กลัวตลาดขึ้นแล้ว ไม่มีของเดี๋ยวจะซวยหลายเด้ง!! ---- พูดชัดๆก็คือ แพ้ท ... แพ้ทมองยังไงล่ะ!!"

"เอ่อ.. อ้าว!! ถามผมกลับแบบนี้ จะถามใครต่อเนี่ย..หุ หุ --- จะว่าไปแล้ว ผมมองตาม Fundamental คือ กิจการต่างๆ รายได้เริ่มกลับมาฟื้นตัวเข้าขาขึ้นนะ แต่นี่พอเกิดความวุ่นวายในตะวันออกกลาง กลายเป็นว่า น้ำมันทะลึ่ง พุ่งแรง ..คราวนี้ต้นทุนธุรกิจต่างๆ ก็เริ่มเหนื่อย "แต่ PTT Group ผม ฮ่า ฮ่า ฮ่า ..สบายจริงๆ" ..อย่างไรก็ตาม ธุรกิจเวลานี้ของไทย ผมยังมองว่าพื้นฐานยังคงดีขึ้นนะ แม้จะโดนสกัดขาเป็นระยะแบบนี้ ..เหมือนคนที่เจออุปสรรคเยอะๆ ก็จะเป็นผู้ที่ประสบการณ์โชกโชน และเติบโตอย่างมั่นคง ... ฮ่า ฮ่า หวังว่ามันจะเป็นเช่นนั้น"

เอาเป็นว่า ตลาด ณ เวลานี้เทียบกับพื้นฐานมันก็ไม่ถูก ไม่แพง เพราะมันขึ้นมาค่อนข้างมาก ...แต่หากมองไปข้างหน้า หลายๆกิจการผมดูแล้วว่า ผลประกอบการน่าจะดีขึ้นเรื่อยๆ ..การที่ผลประกอบการดี ย่อมหมายถึง Fundamental จะสามารถขึ้นไปได้อีก ..และนั่นก็จะเป็นโอกาสที่ตลาดจะกลับมา Bullish ได้อีกในอนาคต

ดังนั้น ตราบใดที่กิจการยังผลประกอบการดีขึ้น ..ผมมองว่า ตลาดก็ยังไปได้เรื่อยๆ เพียงแต่การลงทุนในปีที่ราคาหุ้นปรับฐาน เราก็ไม่ควรมอง Bullish เกินไป ..การเล่นที่ปลอดภัยในลักษณะอย่างนี้ ก็คือ ซื้อเมื่อตลาดตกเยอะๆ ซึ่งดูแล้วปีนี้ ก็มีโอกาสที่หุ้นจะร่วงได้อีก ... "ซื้อเมื่อตกแล้วกัน แต่มองยาวๆ จะได้ไม่หวั่นไหว"

..ในส่วนคนที่ใช้ Technical เล่นรอบ ต้องมองอีกแบบคือ "คุณต้องกินคำเล็กลง จะหวังกินคำใหญ่ๆอย่างสองปีที่ผ่านมา เห็นจะยากครับ"

ดูไป ศึกษาไป... การลงทุนอย่างนี้แหละครับ ถ้าเราศึกษามากๆ --- เราจะเริ่มจับทางได้ ...."ต้องทำการบ้านมากๆครับ"

วันพุธที่ 23 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำไมคนทั่วโลกชอบซื้อทองแพง ..ตอนถูกไม่เห็นมีใครอยากซื้อ!!


มีใครสงสัยเหมือนผมบ้างว่า "ทำไมเวลานี้ ทองแพง คนยิ่งซื้อ ..แต่ถ้าย้อนไปก่อนหน้านี้ที่ราคาทองประมาณบาท 4 พัน ตอนนั้นไม่เห็นมีใครอยากซื้อทอง --คุณว่ามันแปลกไหม!!"

"ไม่แปลกหรอก เพราะเราชอบซื้อของแพงไง ... ก็เพราะของแพง มันใกล้ดอยแล้วไง คือ สัญชาตญาณของมนุษย์ ได้สร้างให้เราชอบอยู่สูงไงล่ะ ... การอาศัยอยู่ยอดดอยเป็น สถานที่ใฝ่ฝันของคนส่วนใหญ่.. อิ อิ" ...ถ้าผมรวย ผมจะไปสร้างบ้านพักที่ยอดดอย"เย็นสบาย" แต่ก็อย่างที่เราเข้าใจกันว่า ทุกคนใจร้อนจึงอยากไปอยู่เร็วๆ เลยกระโจนไปครองยอดดอยก่อนใครๆ .. อิ อิ (ฮากลิ้ง)

ประเด็นคือ มันไม่ใช่แค่ทอง แต่มันเป็นทุก Asset คือ ถ้า Asset ไหนมันแพง คนก็ยิ่งเข้าไปซื้อ ...ยิ่งเข้าไปซื้อ มันก็ยิ่งแพง ยิ่งแพง ...ผมไม่รู้ว่าความหวังของแต่ละคนคืออะไร ตรงนี้สามารถย้อนมามองพฤติกรรมการเล่นหุ้นของคนส่วนใหญ่ได้เลย อย่างหุ้น CPF ตอนที่มันอยู่ 3 บาท ราคามันก็นิ่งอย่างนั้นเป็นสิบปี ไม่เห็นมีใครอยากซื้อ แต่พอมันพุ่งขึ้นมา 30 บาท ทุกคนก็แห่เข้ามาสนใจ "คุณว่าทำไมล่ะ" ... เออ ทำไมล่ะ หรือ คนส่วนใหญ่คิดว่า เวลานี้หุ้นมันถูกมาก แล้วมันจะขึ้นไปต่อ เป็นสัก 100 บาท รึเปล่า .. หรือ 200 หรือ 300 บาท "จริงหรือ"

"ผมถามจริงๆ คุณลองมองภาพตรงนี้ แล้วลองคิดว่า --- ถ้าคุณจะหาประโยชน์อะไรจาก พฤติกรรมของคนส่วนใหญ่ ...คุณจะทำยังไง"

ใช่!!ง่ายมาก ..คุณก็อย่าไปทำเหมือนคนส่วนใหญ่ซิครับ .... ถ้าพูดเรื่องทอง ถามว่าผมมองยังไง .. ส่วนตัวผมก็ชอบทองอ่ะนะ แต่ราคาอย่างนี้ ผมไม่ชอบ เพราะตอนนี้ทองมันขึ้นมาแพงจน อุตสาหกรรมอะไรต่างๆ เริ่มเลี่ยงการใช้ทอง โดยหาอย่างอื่นมาแทน ..ดังนั้น จะเหลือก็แต่เครื่องประดับ ซึ่งหากราคาทองขึ้นไปเรื่อยๆ ..เครื่องประดับทองก็ลดการใช้ลงเรื่อยๆ จนเหลือแต่ การใช้อย่างเดียว นั่นคือ "การลงทุน และ การเก็งกำไร"

หากวัตถุชิ้นหนึ่งๆ สร้างขึ้นมา เพื่อการเก็งกำไร ..คุณค่าของมันก็จบที่การ หยุดเก็งกำไร ...นี่แหละความสยองของ ศาสตร์แห่งฟองสบู่ หรือ Bubble !!

ตั้งแต่อดีตจนถึงปัจจุบัน ถ้าให้ผมฟันธง ผมบอกได้เลยว่า โลกเราจะต้องมี Bubble & Crash สลับไปมาเรื่อยๆ ...คุณค่าที่แท้จริงของสิ่งต่างๆ ไม่ใช่อยู่ที่การเก็งกำไร แต่อยู่ที่อัตถประโยชน์ที่แท้จริงจากมัน

วันนี้หลายคนบอกว่า ภาววิทย์คุณโลภซื้อหุ้น "ผมถามหน่อยว่า คุณเอาอะไรมาวัดว่าสิ่งที่ผมทำ มันคือสิ่งที่เสี่ยง" ..เสี่ยงไม่เสี่ยง อย่างที่บอกว่า ผมมองที่อัตถประโยชน์ของสิ่งนั้นๆ ที่มีต่อมนุษย์

"หุ้นปันผล" พื้นฐานดีที่ผมเลือกถือ ..ผมมองว่า สิ่งที่มันให้ประโยชน์ผมก็คือ "เงินปันผล" เพราะในเมื่อผมไม่ได้ซื้อๆขายๆ ดังนั้น ในระยะสั้น การขึ้นลงของราคาหุ้น มันไม่ได้เกี่ยวกับผม ..สิ่งที่เกี่ยวกับผมในฐานะนักลงทุนระยะยาว ณ เวลานี้ ก็คือ ความสามารถในการทำกำไร และ การปันผลแต่ละปี ที่ผมจะได้รับจากบริษัทที่ผมลงทุนต่างหาก

"แล้วในวันที่นักลงทุนระยะยาว หรือ VI อย่างผม จะขายหุ้น.... ก็เมื่อผมมองว่า กิจการเริ่มให้ประโยชน์ ในเรื่องผลตอบแทน ได้แย่กว่า Asset อื่นๆ" ..และเมื่อผลตอบแทนจริงๆ ผมลดลง ผมก็ควรที่จะขายหุ้นที่ผมถือ แล้วโยกเงินไปสู่สิ่งที่ให้ประโยชน์มากกว่า ..ซึ่งในอนาคตอาจจะเป็นเงินฝากหรือ พันธบัตร ก็เป็นได้ ..เพราะก่อน Bubble จะแตก เศรษฐกิจต้อง Peak ก่อน นั่นหมายถึงเศรษฐกิจจะต้อง Boom ก่อน และ ระหว่างที่บูม ดอกเบี้ย ย่อมสูง ...(ขนาบรับกับมุมมอง ดอกเบี้ยขาขึ้น ในเวลานี้จริงๆ)

..."ทำไมต้องแห่ซื้อเหมือนคนอื่นล่ะ!!" --- ใครสามารถ Overcome ความรู้สึกตรงนี้ได้ ยังไงคุณก็รวย !!
...
(ปล. บทความนี้ เขียนเตือนให้ลงทุนอย่างมีสติ ..แต่ทองตอนนี้ยังไม่ใช่ขาลง มันจะไปต่ออีกเยอะ ... เพียงแต่ต้องเข้าใจว่าเราทำอะไรอยู่ เราอยู่กับอะไร เท่านั้นเองครับ..เวลานี้ทุกอย่างรอบตัวผันผวน น่ากลัว จึงต้องเดินอย่างฉลาดและระมัดระวังครับ!!)

วันจันทร์ที่ 14 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ช่วงนี้แม้หุ้นตก แต่เราก็รับปันผล กัน ฮา ฮา ตามระเบียบ!!



"หุ้นตก คุณ ภาววิทย์ ซวยเลยซิคะ ..ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"ไม่ๆ ๆ ผมชิว ... มันเข้าฤดูของจริง!!"


"ฤดูอกหักเหรอ... ฮ่า ฮ่า ฮ่า"
"ไม่ช่าย!! ฤดูปันผลครับพี่น้อง!!"


"ไม่เข้าใจ คุณภาววิทย์ อะไร (ของจริง) ช่วยแถลงไขด่วนจี๋ ไปรณีย์จ๋า!!"
"ก็หุ้นที่ผมถืออยู่ตอนนี้น่ะ ราคาตก (แม้จิตจะตก ตามราคา..ฮาละ!!) แต่ผมไม่ได้ขาดทุนซะหน่อย ผมยังได้ปันผลเต็มเม็ด ซึ่งเทียบเงินฝากธนาคารเวลานี้ .. ฮึม!! แม่เจ้าสุดยอดมาก... ดังนั้น หุ้นตกอย่างนี้ ผมก็ต้องแสดงความยินดี กลับคนที่ซื้อหุ้นได้ ราคาถูก -- แต่ไม่เกี่ยวกับผมนี่ !!"


"งง.. ไม่เกี่ยวยังไง หุ้นตก!!"
" ก็เพราะผมไม่ได้ขายไง แต่ถ้าขายนี่เกี่ยวทันที!! .. ตอนนี้มันเกี่ยวกับคนอื่นน่ะครับ ..แต่บอกก็บอกเถอะเวลาหุ้นดีๆตก ไม่มีใครอยากซื้อหรอก -- จะแห่กันมาซื้ออีกทีก็รอหุ้นแพงนุ่น !!"

"จริงหรือ คุณ ภาววิทย์ คุณรู้ได้ไงว่า คนชอบขายหุ้นถูกๆ แล้วไปซื้อแพงๆ"
"ก็มันอย่างนี้จริงๆนี่ครับ.. ยิ่งนั่งสังเกตุพฤติกรรมคนที่เล่นหุ้น ยิ่งขำ .."

"งั้นคุณภาววิทย์ สรุปหน่อยว่า ถ้าหุ้นที่คุณถืออยู่ (พื้นฐานดี) ปันผลสูง ราคาตกลงไป .. คุณควรทำอย่างไร"
"ก็ถ้าคุณเก่ง Technical ระดับเทพ อ่าน indicator แม่นๆ แล้วมีความโชคดีสูง คือ ไม้ที่เข้าซื้อ ไม่มี Default ทางระบบ ...คุณก็อาจขายได้แพง แล้วไปซื้อที่ต่ำลง ... แต่พูดก็พูดเถอะครับ ไอ้เวลาที่คนส่วนใหญ่ขาย มันเกือบ Bottom แล้ว พอขายก็เลยไม่ได้ซื้ออีก "เข้าตำราขายหมู แล้วตกรถ..หุ หุ"--แบบว่าทุกครั้งที่เราขายมันจะขึ้น ..คนส่วนใหญ่มองว่า --สวรรค์กลั่นแกล้ง ..ผมว่าไม่ใช่นะ --คุณแกล้งตัวเองหรือเปล่า!!"

"แล้วยังไง"
"การทีี่คนอื่นสามารถซื้อหุ้นในราคาที่ถูกกว่าเรา มันไม่ได้หมายความว่า เขาจะได้กำไรมากกว่าเรา เช่น คุณซื้อที่ 100 บาท เพื่อนคุณซื้อที่ 70 บาท ..เขาก็โทรมาหาคุณ --ไงสมชาย!! ผมซื้อหุ้นที่ 70 บาท ฮ่า ฮ่า ...จากนั้น 3 วันต่อมา หุ้นวิ่งไป 80 บาท ..โห!! เพื่อนคุณมันรีบขายทันที จากนั้นหุ้นก็ขึ้นไปเรื่อย ๆ ๆ ๆ ...ไปปิดที่ 300 บาท ปลายปี"

"ประเด็น"
"ฮึม!! ประเด็น ก็คือ ซื้อหุ้นได้ถูก ไม่ได้หมายความว่าจะกำไรมากกว่า ... การถือหุ้นในขาขึ้น ผมบอกจริงๆ นะยากกว่าการกอดหุ้นขาลงอีก"

"ทำไมล่ะ"
"ไม่รู้ซิ ..สงสัยคนส่วนใหญ่กลัวรวยมั้ง... อิ อิ อิ (ย้อเย่ยน๊า!!)... ก็เพราะกอดหุ้นในขาลง มันกอดจนตาย เพราะขาลงของตลาดจริงๆ มันไม่มี Correction กลับไปมาเหมือนอย่างตอนนี้นะ ..จำปี 2008 ได้ไหม นั่นแหละ ที่ผมบอกว่า กอดหุ้นขาลง มันลงไม่มีหยุด ลงกระจาย ลงขาเดียว !!-- แต่ตอนนี้มันคนละ Story!!"

"ดังนั้นคุณภาววิทย์ มองว่า คนจะรวยได้ ต้อง กล้าที่จะรวย!!"

"ใช่!! ...ผมเองเลยประสบการณ์ตรง ก่อนที่จะมาเล่นแนว VI .. BANPU ผมซื้อมา 240 บาท มันวิ่งขึ้นมา 245 บาท..Broker โทรมา "หุ้นเหมือนจะลงนะครับ ทำกำไรก่อนดีไหม" ...ตอนนั้น ก็เล่นแนวเข้าๆออกๆ ก็เลย "เอ้า!! ตั้งขายเลย 247 บาท" ..ขายได้ทันได้ ได้กำไรตั้ง 7 บาท จากนั้นหุ้นก็วิ่งขึ้นเรื่อยๆ ปิดที่ปลายอาทิตย์ที่ 300 บาท (สรุปว่า Broker ทำพิษเข้าให้!!) ..วันนี้มันวิ่งมา 800 บาท ผมก็ไม่เคยเล่นอีกเลย ..แค้นทำใจไม่ได้ -- จากนั้นเป็นต้นมา ผมก็เปลี่ยนแนวตัวเองกลายเป็น VI (เอชา เอชา ...หน่อยแม่เอย) ..จบข่าว"

"ฮ่า ฮ่า ตลกดี"

"เรื่องจริงนะเนี่ย ตลกยังไง" (งง)

อยากเก่งหุ้น ต้องทำ Trading Journal

Trader เก่งๆที่ผมรู้จัก ผมสังเกตุว่านอกจากที่เขามีวินัยในการ Trade ที่เคร่งครัด "นั่นก็คือ ถ้าผิดทาง ไม่ว่ายังไง ต้อง Cut Loss ที่จุด Cut Loss เสมอ" ... และด้วยวิธีง่ายๆแค่นี้ มันก็ทำให้เขาเป็นเซียน!! มองแล้วก็เหมือนเซียน หรือ มืออาชีพในทุกสาขาอาชีพ คือ เขารู้ว่าเมื่อตรงนี้คืออาชีพ เขาต้องทำอย่างนี้ตลอดเวลา จึงไม่มีไม้ใด หรือ การ Trade ครั้งใดที่เรียกว่า "ครั้งนี้รวยแน่ เหมือนกับมือสมัครเล่นอย่างเราๆ"

ตลกมาก!! ที่จะพูดได้ ว่า "ไอ้ครั้งนี้รวยแน่ เกิดขึ้นกับความคิดเราทีไร ..ครั้งนั้นๆจะเจ็บหนักจริง (เข้าขั้นน้ำตาไหล ..บางคนเลิกเล่น ล้มหายไปจากตลาด) และนี่แหละครับ "การมีวินัยนี่เอง ที่แบ่งระหว่าง มืออาชีพ กับ มือสมัครเล่น"

มีอีกเรื่องที่น่าสนใจสำหรับคนที่ต้องการ Trade หุ้นเก่ง คือ ต้องรู้จัก Keep Record "ใช่แล้วครับ ผมหมายถึงการทำ Trading Journal นั่นก็คือ ทุกครั้งที่เราตัดสินใจ Trade แต่ละไม้ ต้องบันทึกเอาไว้ เพื่อที่ภายหลังจะได้มาศึกษาว่า แต่ละไม้ที่เข้า Trade มีความถูกต้องหรือพลาดในจุดไหนนั่นเอง"... ข้อดีคือ มันจะช่วยให้ Logic ในการ Trade ของเราชัดเจนและแม่นขึ้นเรื่อยๆ

วิธีการทำก็คือ Capture หน้าจอ Trade ..ตรงส่วน Chart ที่ทำให้เราตัดสอนใจ ซื้อ หรือ ขาย ทุกครั้ง.. จากนั้น Print ออกมาลงกระดาษ แล้วก็เขียน Shot Note ลงไปว่า "ทำไมเห็น Chart นี้แล้ว ทำให้เราตัดสินใจซื้อหรือขาย... ด้วย Indicator อะไร หรือ มีข่าวอะไร ที่ทำให้เราตัดสินใจอย่างนั้น" .. ถ้าคุณ Keep ทำไปเรื่อยๆ คุณจะได้ ตำราการ Trade ชั้นดีเลย ... "เพิ่มความยุ่งยากให้ชีวิต แต่มันคุ้มครับ!!"

สำหรับคนที่ไม่มี Printer ผมแนะนำอีกวิธีนึง คือ Capture หน้าจอ Trade โดยการ Print Screen แล้วก็ save ไว้ จากนั้นก็ Upload ภาพนั้นๆ ขึ้นไปบน Blog ส่วนตัว และก็เขียนบรรยายใต้ภาพนั้นๆ ถึงสาเหตุในการซื้อขายในครั้งนั้น... ทำเรื่อยๆ หรือจะเอามาแชร์ใน Facebook แลกเปลี่ยนความรู้กับเพื่อนๆคนอื่น "ตรงนี้จะทำให้คุณเก่งขึ้นแน่นอน ตาม Concept ยิ่งให้ ยิ่งได้" ... ลองทำดูนะครับ ผมเชื่อว่าเป็นประโยชน์อย่างมหาศาล!!

การ Set Blog ไม่ยากครับ กรอกข้อมูลเล็กน้อย ..เข้าไปที่ www.blogger.com แล้วเริ่มซะวันนี้เลย!! ..ลุยเลยครับ!!



(สมมุติ ตัวอย่าง) Capture หน้าจออันนี้ขึ้นมา ..เราก็ต้อง Short Note เช่น "ผมซื้อไม้นี้เพราะ EMA ตัดกลับมา Bullish" และในกลุ่มพลังงานก็ สลับกันขึ้นสวนตลาด SET ที่ลงต่อเนื่องมาหลายอาทิตย์แล้ว ... นอกจากนี้จากข่าวเรื่อง มอนทารา ผ่านแล้ว ทำให้ปัจจัยลบมากๆ หมดไป ... มีรายใหญ่เข้ามาซื้อหุ้นนี้(ก่อนข่าวออก ในจำนวนที่มาก)ในอาทิตย์ที่ผ่านมา คิดว่าเป็น inside ที่น่าสนใจ ..วันศุกร์มีการปิดกระโดด ผมจึงมองว่า ก่อนหน้านี้ ทุบเพื่อเก็บเพิ่ม..บลา บลา บลา ก็บรรยายไป ทุกอย่างที่ทำให้เราคิดว่า ทำไมเราถึงเข้าซื้อไม้นั้นๆ อะไรประมาณนั้น (พอในอนาคตเรามาอ่านดู ก็จะทำให้เราเห็นภาพต่างๆว่า ที่เขียนอันนี้มี Bias หรืออะไร!!)...ลองดูครับ ตรงนี้จะช่วยให้คุณ เป็นนักเล่นหุ้นที่เก่งขึ้น "เชื่อผม!!"

วันพุธที่ 9 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

ทำไม "ปันผล" จึงเป็นคำตอบของความมั่งคั่งในเวลานี้


มีคำถามจากเพื่อนนักเล่นหุ้นมือใหม่มากมาย ..ถามผมว่า "อะไรสำคัญที่สุด ในการเล่นหุ้น"
ผมก็ตอบไปว่า "ใจ" และ การเข้าใจ "ความเสี่ยง" ในเงินก้อนนั้นๆที่เอามาลงทุน

พอผมตอบเสร็จ ก็หันไปมองหน้าน้องเขา (เขานั่งอึ้งๆ) .."ในใจคงคิดว่า พี่แพ้ทมันตอบบ้าอะไรของมันฟะ ไม่เห็นเข้าใจเลย ..อะไรใจ อะไรความเสี่ยง"

ผมตัดบทความสงสัย ทันทีว่า "อย่าเพิ่งไปทำความเข้าใจอะไรที่ซับซ้อน เรามานึกภาพตลาดหุ้นกันก่อนว่า ..คนที่จะเข้ามาเล่นหุ้นได้ อย่างน้อยต้องมีสองอย่าง คือ หนึ่งมีเงิน (ถูกไหม) และสองต้องมีความรู้ (อยู่พอสมควร).. คือ คนส่วนใหญ่ที่เข้ามาเล่นหุ้น มีทั้งเงินและความรู้ แต่แปลกไหมที่ สถิติที่เขารวบรวมมาให้ดู คือ คนส่วนใหญ่ขาดทุน ..พี่ถามหน่อยว่าทำไมล่ะ"

"เออ.. ทำไมล่ะพี่"

"ไอ้บ้าเอ๋ย!! ก็พี่ถามเอ็งไง ยังย้อน ๆ" ... แหะ ๆ ๆ หัวเราะแห้งๆจากน้องชายผู้นั้น พร้อมกับหน้า งง ๆ

"เอาละ พี่จะบอกให้เลยว่า คนส่วนใหญ่ที่เล่นหุ้นฉลาดและมีเงิน แต่เขาเข้าใจตลาดหุ้นผิดๆ และนั่นเป็นสาเหตุหลักที่เขาเสียเงิน(ขาดทุน) ... คนส่วนใหญ่คิดว่า ราคาหุ้นขึ้นลงตามพื้นฐานของบริษัท แต่ถ้าใครเล่นหุ้นมานานๆ จะเห็นเลยว่า มันไม่ใช่เลย ..จริงอยู่ ณ จุดนึงของเวลา ราคาต้องวิ่งมาสะท้อนมูลค่าความเป็นจริงของกิจการ และนี่คือ หลักที่ VI หรือ Value Investor ยึดถือ ซึ่งในมุมนี้ ก็ Make Sense แต่ประเด็นที่คนส่วนใหญ่ทำไม่ได้ก็เพราะ "ใจ"(มันทำไม่ได้ ฮื้อ ฮือ ทำใจไม่ได้!!)"

..หลักการของ VI เป็นหลักที่ง่ายๆ คือ ซื้อหุ้นเมื่อถูกขายเมื่อแพง ..พูดแบบนี้ใครๆก็เข้าใจ ..แต่พอเล่นจริง กลับทำตรงข้าม "นี่เป็นเรื่องปกติเลย ..เพราะเวลาหุ้นถูกๆ คือ มีแต่คนขาย มีแต่ข่าวร้าย ...ถามว่าคุณกล้าซื้อไหม --"ใช่ไม่กล้า แต่พวก VI เขากล้า ..นั่นเพราะเขาวิเคราะห์และเข้าใจพื้นฐานและความเสี่ยงของกิจการ นั้นๆ เป็นอย่างดี"

"เอ้า ไม่ต้องอื่นไกล ยกตัวอย่างพี่นี่แหละ ... ซื้อหุ้น PTT ตอนช่วง มีข่าว มาบตาพุต ..ตอนนั้นมีแต่ข่าวร้าย ญี่ปุ่นก็ออกมากดดันรัฐบาลว่าจะย้ายฐานการผลิต ..ใครที่มีหุ้น PTT เวลานั้น มีแต่เทขาย .."แต่ตูซื้อ ว่ะ..ตอนนี้ยังถืออยู่เลย ..อิ อิ" (อย่างแรกนี่ คนรอบข้าง ก็จะมองแล้ว "ไอ้นี่มันบ้า!!" ..แต่ประเด็นคือ ผมเข้าใจว่าสิ่งที่ผมทำคือ การซื้อกิจการที่มีความเสี่ยงต่ำ ในเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง "ผมจึงซื้อหุ้นได้ราคาถูก เพราะเวลาอย่างนั้น มีแต่คนอยากจะขาย")

"สรุป!! .. เข้าใจหรือยัง ว่า ราคาหุ้นขึ้นลงตามอะไร"

"ตามอะไรอ่ะพี่แพ้ท"

"อะไรวะเนี่ย!! ... โอเค ๆ เฉลยเลย -- หุ้นก็ขึ้นลงตาม Demand & Supply ของหุ้นนั้นๆ นั่นเอง ..ราคามันเป็นภาพลวง แต่จำนวนหุ้นดีที่คุณถือ มันคือ ภาพจริง"

ผมมองไปที่น้องคนนั้นอีกครั้ง เริ่มเห็นสีหน้าที่ งง หนักเข้าไปอีก ก็เลยกะว่าจะหยุดการสนทนา ตรงนี้ก่อนที่จะมีอะไร เลวร้ายไปกว่านี้ ผมจึงตัดบทขึ้นว่า

"อย่าคิดมาก ... ไปศึกษาหุ้นที่เราอยากจะลงทุนให้เยอะๆ ไปดูว่ากิจการเขามีรายได้ และกำไร แน่นอนไหม..มีความเสี่ยงตรงไหน ... ณ ตลาดแบบนี้ สิ่งที่ชี้ว่าหุ้นถูกหรือแพง คือ ปันผล ..ปันผลมันคือ ของจริง อ่ะ ..มันคือ เงินที่เราได้จริงๆ ตราบใดที่เรายังคงถือหุ้นนั้นๆ ... ราคามันแกว่งขึ้นลง ก็ช่างหัวมัน ..แต่สุดท้ายเรารู้ว่ามูลค่ากิจการที่ควรจะเป็นมันเท่าไหร่ ...จากนั้น ณ เวลานึงในอนาคต มูลค่าหุ้นก็จะขึ้นไปสะท้อน มูลค่ากิจการ ณ เวลาใดเวลาหนึ่ง ..ระหว่างนั้น ก็กินปันผลไปเรื่อยๆ"

"อ้าว!! พี่ แล้วจะรู้ได้ไง ว่าปีหน้ากิจการจะปันผลเท่าเดิม"

"ไม่มีใครรู้หรอก แต่มันตั้งอยู่บนสมมุติฐานที่มีเหตุผล ..อย่างปัจจุบัน ภาพใหญ่เศรษฐกิจเอเชีย อยู่ในขาขึ้น ในขณะที่ชาติตะวันตกอยู่ในขาลง ..ดังนั้น ถ้าภาพใหญ่มันดี แล้วกิจการที่เราวิเคราะห์มันดี มันก็ควรจะโตตามเศรษฐกิจ นั่นหมายถึง ปันผลและกำไรของกิจการที่เราถือจะเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ..คือ ได้สองเด้ง คือ ได้ปันผลที่เพิ่มขึ้น พร้อมๆกับ Capital Gain ที่เราจะไปขาย ในอนาคต ณ จุดนึงของเวลา"... โอเคไหม!!

มึนครับพี่ "เดี๋ยวผมไป..ซื้อหุ้นเลยดีกว่า จะได้เข้าใจจากการปฏิบัติเลย ฮ่า ฮ่า"

เออๆ ..โชคดีนะ!!

วันพฤหัสบดีที่ 3 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ แต่ชีวิตยากขึ้น!!

ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมา หากใครศึกษา และดูงบ การฟื้นตัวของผลประกอบการของบริษัทต่างๆ จะเห็นได้ว่า "ดีขึ้น" ..แต่หากศึกษาเจาะลงไปลึกกว่างบการเงินจะเห็นได้ว่า การฟื้นตัวของเศรษฐกิจ มันเกิดจากการ "ประหยัด ลดต้นทุน และ บีบเค้นเอาทรัพยากรที่จำกัด ให้ได้ผลผลิตให้มากที่สุด"

สิ่งที่เกิดขึ้นคือ บริษัทจะพยายามไม่เพิ่มคนงาน แต่พยายามลดต้นทุน และ พยายามใช้คนที่มีอยู่ให้คุ้มที่สุด ..จุดนี้ส่งผลในภาพรวม คือ อัตราการจ้างงานของประเทศจะไม่ดีขึ้น ..จะว่าไปแล้วนี่ถือเป็น กับดักการฟื้นตัวของเศรษฐกิจโลกในครั้งนี้เลย และประเทศที่เจอหนักสุดคือ อเมริกา !!

ตอนนี้ตัวเลขการว่างงานของอเมริกา ประมาณ 10% (ถือว่าสูงมาก หากเทียบกับค่าเฉลี่ย) ...บริษัทต่างๆ กำไรดีขึ้น แต่การจ้างงานไม่ดีขึ้น ...รัฐบาลอเมริกัน พยายามทำทุกทางให้บริษัท จ้างงานเพิ่มขึ้น "แต่มันไม่ได้ผล" ...ปัญหา Subprime อเมริกาได้แก้ด้วยการพิมพ์เงินเพิ่ม แต่เงินไม่ได้ไหลเข้าสู่ระบบ (เพราะธนาคาร แม้ได้เงินมากมายจากรัฐบาล แต่ก็ไม่กล้าปล่อยกู้อยู่ดี) แต่กลับทะลักไปทั้วโลก และส่งผลโดยตรงที่ทำให้ราคา Commodity วิ่งขึ้นเป็นพลุแตก!!

ราคา Commodity ที่ขึ้น ส่งผลกระทบโดยตรงต่อบริษัทส่วนใหญ่ เพราะ Commodity ถือเป็น ต้นทุนการผลิต ดังนั้น ต้นทุนเพิ่มก็เป็นการกดดันให้บริษัทต้องขึ้นราคาสินค้า ..ท้ายสุดก็กลับมากดดันในเรื่องของเงินเฟ้อ ...พร้อมกับการกดดัน ให้บริษัทไม่กล้าจ้างคนเพ่ิม เพราะต้องการลดต้นทุน ...ทั้งหมดนี้ กดดันให้คนที่ตกงาน ยิ่งเจอปัญหาหนักมากๆ "คือ ทั้งหางานไม่ได้ รวมทั้งราคาสินค้าอุปโภคบริโภคเพิ่มขึ้น ประกอบกับอัตราดอกเบี้ยก็ต่ำ (ถ้าดอกเบี้ยขึ้นเร็ว ปัญหาเรื่องหนี้บ้าน ต้นเหตุของ Subprime จะกลับมาหลอกหลอนใหม่)" ... คุณเห็นภาพงูกินหางไหม!!

"ปัญหาเหล่านี้ ประเทศไทยก็เคยเจอมาตอนปี 1997 แต่เราโดน IMF บังคับให้แก้ปัญหาแบบหักดิบ ...คือ ปล่อยให้พังแล้วเริ่มใหม่ ..แต่อเมริกาแก้ปัญหาอีกทาง คือ เพิ่มหนี้ ...มันก็เลยเป็นอย่างที่เห็นอยู่ "งูกินหาง"

การแก้ปัญหาของอเมริกาแบบนี้ แน่นอน จะส่งผลให้เกิด "เงินเฟ้อ ..ค่าเงินดอลลาห์ลดลง และ Commodity ราคาพุ่งขึ้นเรื่อยๆ" ... ความแตกต่างเรื่องรายได้ของคนจะห่างขึ้นเรื่อยๆ มันเป็นการทำลายกลุ่มชนชั้นกลางในอเมริกา ซึ่งจริงๆเป็นรากฐานสำคัญที่สุดของอเมริกา .... สิ่งที่จะเกิดตามมาคือ การขยายตัวของชนชั้นกลางในกลุ่ม BRIC ซึ่งแน่นอน ยิ่งจะกดดันให้ราคา Commodity (โดยเฉพาะพลังงานและอาหาร) ราคาเพิ่มขึ้น เพราะคนชั้นกลางคือ กลุ่มที่บริโภค Commodity โดยตรงมากที่สุด

ทางออกของคนที่จะ รอด คือ "พัฒนาความสามารถของตัวเอง ให้ตรงกับงานในสมัยใหม่" ...งานที่ต้องอาศัยความคิด แน่นอนมันต่างกับสิ่งที่เราเรียนในมหาวิทยาลัยอย่างสิ้นเชิง ..การตลาดแบบเก่าๆ ที่ใช้สื่อเก่า มันจะเริ่มหมดความสำคัญ ... คนแต่ละคนจะมีความสามารถสูงขึ้น คือ ไม่ได้จบปริญญามา ถ่ายเอกสาร อย่างปัจจุบัน ...ประสิทธิภาพและผลผลิตต่อหัวจะโตในอัตราเร่ง แต่ต้องอาศัยกรอบขององค์กรรูปแบบใหม่ ...ลองนึกถึงบริษัทที่ใช้คนน้อยๆ แต่ทำเงินมากๆ เช่น Google , Facebook ... บริษัทที่ใช้คนมากๆ ก็จะย้ายฐานการผลิตไปที่แรงงานต่ำๆ ทั่วโลก อย่างที่ Nike และ Apple ทำ ... คนที่สำคัญของ Nike และ Apple จึงมีเพียงนักออกแบบ นักวิจัย นักขาย และแรงงานราคาถูก

...คนเก่งที่ Skill เป็นที่ต้องการของตลาดจะรวยมากๆ ในขณะที่คนจบปริญญาตรีโท ทั่วๆไป จะตกงานเกลื่อน ในที่สุดต้องไปแย่งงานราคาถูก กับแรงงานถูกๆ

....ชีวิต ในยุค New Economy ที่กำลังจะมาถึง พร้อมๆกับการเกิด Asian Miracle 2 เป็นสิ่งที่ ไม่ง่ายแน่นอน ..หลายคนที่หวังจะเรียนสูงๆ ทำงานหนักๆ แล้วจะรวยเหมือนคนยุคก่อน ผมว่าคิดใหม่นะ!! มันไม่ง่ายเช่นนั้นแน่ .... เมื่อทุกคนเก่งขึ้น การที่เราจะเอาเงิน จากกระเป๋าตังค์คนอื่นมาเข้ากระเป๋าเรา มันจะมี Process ที่ซับซ้อนขึ้น .... สิ่งสำคัญสำหรับอนาคตคือการสร้างการเป็นปัจเจกบุคคล "ต้อง Unique"

ให้คุณมองวงการดารา Hollywood ให้ดี นั่นแหละ คือ ตัวแทนของโลกอนาคต ... Brad Pitt ทำเงินมหาศาล ..หนังแต่ละเรื่องทำเงินได้ยากขึ้น เพราะใครๆก็โหลดดูฟรี ..ผู้กำกับ ไม่ใช่ใครจะเป็นก็ได้ บางคนต้องเด่นตั้งแต่อยู่ในโรงเรียนด้วยซ้ำ ... ค่ายหนังเดี๋ยวนี้เริ่มซวย ... การแข่งขันสูง ..หนังแต่ละเรื่องทำรายได้น้อยลงเรื่อยๆ ... "ลองนึกว่า นั่นคือ ภาพสมมุติของกิจการในอนาคตซิครับ ..คุณควรจะอยู่จุดไหน" ..ใช่ Brad Pitt สบายสุด หากคุณเป็นสิ่งที่ลูกค้าต้องการ คุณเป็นคนที่มีอำนาจต่อรองเหนือระบบ .. "แค่รู้จักใช้เงินก็รวยเละ"

...ชีวิตข้างหน้า ไม่ง่ายเลยครับ!!

"อย่าหวังจะดีจากตำแหน่ง แต่ต้องสร้างที่ตัว ... คนที่ดีจากตำแหน่ง พอลงจากตำแหน่งก็หมดความสำคัญ ... การสร้างความมั่งคั่งที่ยั่งยืนต้อง สร้างจากตัวเราเอง" ...ถ้า งง ไปถาม Brad Pitt ว่าเขาสร้างจากตัวอย่างไร..หุ หุ !!

วันพุธที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2554

อย่าโดน Greed & Fear หลอกคุณ !! (เล่นหุ้นปี 2554 ..ยังไงถึงกำไร)



สำหรับผู้สนใจการลงทุนแบบ VI ต้องเข้าใจภาพนี้

คนส่วนใหญ่ ชอบซื้อแพง แล้วก็ขายถูก .."ฟังดูบ้า แต่นักลงทุนส่วนใหญ่ในตลาดทำเช่นนั้น"


เพราะ เวลาหุ้นแพง ข่าวดีเยอะ ทุกคนเลยอยากซื้อ

ส่วน เวลาหุ้นถูก ข่าวร้ายเยอะ ทุกคนเลยอยากขาย

(แต่!!) กลายเป็นว่า ทุกคนคิดและทำเหมือนกัน


"ทุกคนคิดว่า ตัวเองเล่นหุ้นเก่งกว่าคนอื่น"

ถ้าทุกคนเก่งแล้วใครขาดทุน ..คุณ!! (ตกลงใคร โง่!!)



จากนี้ไป ใครอยากซื้อหุ้น แบ่งเงินออกเป็นก้อนๆ

ถ้าคิดว่าตลาดผันผวน อาจแบ่ง เยอะก้อน ..จากนั้น เวลาหุ้นตก โยนเข้าไปหนึ่งก้อน

ซื้อทุกครั้งที่มีข่าวร้าย .... ข่าวร้ายห้าครั้ง ซื้อห้าครั้ง ...

"ข่าวร้ายซื้อ ..ข่าวยิ่งร้ายยิ่งน่าซื้อ"

เอาทุกก้อนมารวม ดูปลายปี "แม่เจ้า!! คุณซื้อหุ้นนั้นๆ ถูกที่สุดในตลาด โดยเฉลี่ย"

เพราะคุณซื้อทุกครั้งที่หุ้นถูก และ ภาพใหญ่มันขึ้น "คุณจึงซื้อได้ถูกที่สุดในปีนี้" ตลกไหม!!



"หุ้นแพง เมื่อปันผลมันแย่กว่าเงินฝาก และ พันธบัตร".. ตอนนี้ดอกเบี้ย โคตรห่วย เมื่อเทียบกับ "เงินปันผล"

แสดงว่า "หุ้นถูก"



"หากเอาเงินสดมา ใส่เป็นกราฟเหมือนหุ้น คุณจะเห็นมันวิ่งทางเดียว คือ ขาลง ..เพราะโลกเรามีเงินเฟ้อ"



"เงินฝากก็เสี่ยง" "หุ้นปันผลก็เสี่ยง" ไม่มีอะไรไม่เสี่ยง แต่ถ้าคุณเข้าใจความเสี่ยง

คุณลดความเสี่ยงในการใช้ชีวิต และ สามารถสร้างให้เงินทำงานอย่างฉลาด



...สรุปแล้ว ไปอ่านต่อที่ หนังสือ แกะรอยหยักสมอง รวยหุ้นหมื่นล้าน ภาค 1

(วิธีเล่นหุ้นง่ายๆ ที่กำไรไม่น้อย และ ไม่ non sense).. เจาะเข้าไปในสมอง แล้วเข้าใจตัวเอง

"ยุคนี้ ไม่ใช่เร็วแล้วจะชนะ แต่คิดเยอะๆ แล้วลงทุนอย่างฉลาด นี่แหละชนะของจริง!!"


(อิ อิ แอบโฆษณาหนังสือ แต่อ่านแล้วมีประโยชน์นะครับ จึงบอกต่อ.. อยากให้เยาวชนไทยได้อ่านมากๆ แล้วฝรั่งหรือสิงคโปร์ก็หลอกเราไม่ได้... )

(คลิ๊ก!! เข้าไปดูที่ SE-ED ครับ..อิ อิ)

หลักคิดในเรื่องของแนว VI เป็นเรื่องที่ยาก...ยังไง!!



"สาเหตุหลักๆที่ผมเชียร์ให้เล่นแนว VI ในขาลง มันได้สองเด้ง"

ทั้งหมดตั้งบนสมมุติฐานของการซื้อหุ้น พื้นฐานแน่น ปันผลดี ในเวลาที่มีความไม่แน่นอนสูง (อย่างปัจจุบัน)

"โบราณว่า วิกฤตสร้างโอกาส .. สงครามสร้างวีรบุรุษ ..แม้เราจะไม่ได้เป็นทั้งสองอย่าง แต่เราก็ควรเรียนรู้อะไรบ้าง จริงไหม!!"

มาดูกัน ว่าเรา จะเรียนรู้อะไรจากวิกฤต ทางจิตใจในครั้งนี้

เด้ง แรกคือ ฝึกจิต เพราะการที่ซื้อหุ้นในขาลง ไม่ว่า หุ้นพื้นฐานดีแค่ไหน ก็ย่อมลงพร้อมตลาด ดังนั้น โอกาสที่ซื้อแล้ว หุ้นจะลงต่อมีสูง แต่ไม่ได้แปลว่าเราซื้อหุ้นแพง (การซื้อหุ้นแพง คือ คุณซื้อเท่าไหร่ผมไม่สน แต่ถ้าคุณดันไปขายต่ำกว่าราคาที่ซื้อมา นั่นหมายความว่า "คุณซื้อหุ้นแพง".. ดังนั้น การอยู่ในตลาดหุ้น คุณต้องเคย ซื้อถูกและแพงตลอดเวลาอยู่แล้ว "เรียนรู้จากมัน")

เด้ง สอง คือ โอกาสขาดทุนน้อย เพราะในยามนี้ ผลตอบแทนทางเลือก ผมไม่เห็นมีอะไรน่าสนใจ ไม่ว่าจะเป็นดอกเบี้ยจากแหล่งต่างๆ หรือ จะทำธุรกิจในเวลานี้ ก็สุดแสนจะยากเย็น เสี่ยงทุกอย่างว่างั้น !! ..ครั้นจะฝากเงินกับธนาคาร ด้วยปันผลก็ ต่ำกว่า1% ผมว่าใส่ตุ่มฝังดิน ยัง work กว่า ..ดังนั้น หลังจากคิดสาระตะ ก็มองว่า หุ้นพื้นฐานแน่นๆ ที่ปันผลดี ตอนนี้ในตลาดมีมากมาย 5% ขึ้นไป ..การซื้อ ณ ราคานี้ หมายถึงได้ผลตอบแทนที่เหนือเงินฝาก 5 เท่าขึ้นไป

หากหุ้นลง ต่อ "ไม่ต้องขาย" ... ได้ฝึกจิต (ให้คิดว่าเราโชคดีมาก ได้ฝึกจิตก่อนใคร ..จิตแกร่ง) เพราะ ถ้าขายจะขาดทุน หุ หุ ..จากนั้น ถ้าถือไปเรื่อยๆ .."คุณจะเข้าใจเหมือนที่ผม และ ดร.นิเวศน์ และ Buffett เข้าใจ ..ที่เขาพูดว่า การเล่นหุ้นคุณต้องกล้ามองหุ้นของตัวเอง ขาดทุนได้ ไม่งั้น เล่นยังไงก็ไม่มีทางกำไร ... แต่ก่อนผมอ่าน VI พวกนี้ อ่านยังไง ก็ไม่เข้าใจ ..มาเข้าใจก็ตอนที่ผม ถือหุ้นตอนปี 2008 แล้ว มองเห็น Port ทั้งหมดจมน้ำขาดทุน ก่อน ที่จะมากำไรสุดๆ สองปีที่ผ่านมา ... มาตอนนี้ตลาดปรับฐาน กลายเป็นจุดเล็กๆ ในกำไรที่ลดลงของ Port ผมไปแล้ว ..."

ก็คือ กว่าจะเข้าใจมันต้อง "ปฏิบัติ"

เวลานี้มันดีสุด เพราะกำลังอยู่ในช่วง วิกฤตที่พูดถึงพอดี ... เอาล่ะครับ ใครอยู่ในภาวะ "ปฏิบัติ" ก็ลองดู

ถ้าคุณผ่าน ภาวะ ความยากทางจิตใจ ขั้นนี้ไปได้ ... ต่อไป คุณก็จะไปเจอขั้นต่อไป ..อ้่าว!! นึกว่าจะเป็นเทพทันที

หุ หุ .. ไม่ใช่ ..ไม่มีเทพ ฝึกต่อไปครับ...สู้ สู้

(ยิ่ง ศึกษาหุ้น ผมยิ่งเข้าใจว่า หลักการทำกำไรมันไม่ยาก เพียงแต่มันขัดกับความรู้สึกของคนส่วนใหญ่ จึงมีคนไม่มากที่กำไรสุดๆ จากตลาดหุ้นนั่นเอง!!)



"ตลาดหุ้นไม่ได้อาศัย ความเก่ง หรือ ความเร็ว หรือ เทคนิค อะไรซับซ้อน ... เพียงเข้าใจและชนะใจตัวเอง ก็เท่ากับว่า ชนะคนส่วนใหญ่ในตลาด!!"

IVL เหรียญอีกด้าน ของอาการ "เจ้าเข้า เจ้าออก"

IVL เป็นอะไรที่น่าศึกษามาก ผมว่าทั้งหมด มันเริ่มจาก BANPU "เกี่ยวไหมเนี่ย!!"

BANPU ข้อดีคือ เจ้าของมองตัวเองเป็น Fund Manager แทนที่จะเป็นเจ้าของธุรกิจ อาศัยจังหวะของหุ้นขาขึ้น

เข้า Take-Over กิจการเพิ่ม Value ...ดังนั้น ทั้งไล่ราคาและสร้าง Value ไปด้วยกัน

ถ้าใครสังเกตุ จะเห็นได้ว่า BANPU ราคาหุ้นจาก 150 ดันมา 800 บาท (ในเวลาอันสั้น)...ใช้วิธีการ M&A คือ ขยายกิจการแบบก้าวกระโดดทั้งยอดขายและกำไร รวมทั้ง Asset โดยการเข้าไปซื้อกิจการในธุรกิจที่ตัวเองมีความชำนาญ ... "ดู Book Value กระโดด มากๆ.. ทำให้แม้ราคาแพง แต่หุ้นก็ดูไม่แพง"

ว่าแล้ว IVL ก็จะทำบ้าง... IVL เข้าตลาดมา ที่ Market Cap. แค่ 40,000 ล้านบาท (เอาจำนวนหุ้น 4,000 ล้านหุ้น * IPO ที่ 10.3 บาท).. หลายคนบอกว่าเขา IPO ถูก "ไม่จริงอ่ะ" ผมว่าจังหวะดีมากกว่า เพราะพอ IPO ออกมา 400 ล้านหุ้น ได้เงินไป 4,000 ล้านบาท ก็เริ่ม Strategy M&A "ซื้อแหลก" ... ดูแล้วเหมือนเดินตามพี่ใหญ่อย่าง BANPU มาแบบถอดแบบ

สรุป "Work ครับ" เพราะตลาดขาขึ้นพอดี ก็เลยมีแต่ข่าวดี ..อัดข่าว อัดราคา จาก 10 บาท วิ่งไป 60 บาท (ถ้าตอนนั้นใครคำนวณพื้นฐานเป็น จะรู้ว่า โคตรแพง P/BV 8 เท่า ...ลองคิดง่ายๆ ถ้า PTT มี P/BV 8 เท่าเหมือน IVL ราคา PTT ทะลุ 1,300 บาทไปแล้ว)

ช่วงที่ประกาศ IPO ใหม่ๆ ยังไม่ได้แจ้ง Book Value "มันเลยง่ายมาก ที่จะปั่นราคาหุ้นให้เกินพื้นฐาน ..แต่พอประกาศ Book Value ออกมาจริงๆ ณ ราคาหุ้นที่ 60 บาท นั่นหมายความว่า P/BV มัน 8 เท่า(บ้าหรือ!!) ...ตอนนั้น ในมุมเจ้าของ แน่นอนเขารู้ว่ามัน แพงเกินไป ..ทางเลือกก็คือ ทำยังไงให้ไม่แพงล่ะ "ถูกต้อง!! M&A หรือ ซื้อกิจการเพิ่มเข้าไปอีก "... คำถามคือ จะเอาเงินจากไหนล่ะ!!

นี่เลย ขายหุ้นบางส่วนที่ราคา Peak ที่ 60 บาท "ได้กำไรมาเนื้อๆ ส่วนนึง" ..จากนั้น ออก IVL-t1 (9:1) เจ้าของถือหุ้นส่วนใหญ่ ดังนั้น 9:1 เจ้าของรับ Warrant ฟรีเยอะสุดๆ... จากนั้นการตั้งราคาที่ 36 บาท ...ก็ตั้งมาเพื่อทุบ หุ้นใหญ่นั่นแหละ ..ไม่แปลก พอ Warrant ออกมา หุ้นใหญ่ก็ร่วงลงมาที่ราคาแปลงสิทธิ ...เจ้าของขายทำกำไรทั้งตัว Warrant และ เทขายทั้งหุ้นจริง ..."กำไรอวก!!"

จากนั้น ก็ประกาศว่า เจ้าของจะแปลงสิทธิ "ก็แน่ล่ะ โกยกำไรมาซะเยอะ ตลอดทางที่ รายย่อยเลือดลาด ก็เอากำไรนั้นแหละมาซื้อหุ้นคืน"... เทพโคตร ..."เทพมาก" ...ทุกอย่างถูกกฏหมาย !!

หลังจากเพิ่มทุนใหม่ ก็มีเงินพอมาซื้อกิจการ ..เมื่อซื้อกิจการเข้ามาก็จะเป็นแบบ BANPU คือ รายได้ กำไร และ Book Value จะโตในอัตราเร่ง ... หลังจากประกาศงบคราวหน้า รอดู "หุ้น IVL หลังการ M&A จะดูถูกกว่านี้มาก.." ... เมื่อ หุ้นถูก ก็สรุปว่า ราคาที่พุ่งขึ้นมา ในที่สุดก็ดูสมเหตุสมผล .. ซึ่งหุ้นหลังจากที่รายย่อย ชอบติดตลาดขนาดนี้ ก็จะเป็นแบบ BANPU คือ แพงไปได้เรื่อยๆ ก็เป็นสวนสนุกของรายย่อย

ทั้งหมดนี้ ถามว่าทำเพื่ออะไร "ก็เพื่อให้ Market Cap. เพิ่มอย่างก้าวกระโดด ..เพราะเมื่อ Market Cap. เพิ่ม เจ้าของในฐานะผู้ถือหุ้นใหญ่ก็รวยขึ้น มากที่สุดอย่างไม่ต้องสงสัย ... "การจะทำเช่นนี้ได้ สังเกตุให้ดีว่า Free Float ต้องน้อย หมายถึงหุ้นส่วนใหญ่อยู่ในมือเจ้าของ" ... ดู PTL , AJ ทั้งนั้นแหละครับ

IVL สามารถทำให้กิจการ จากมูลค่า 40,000 ล้านตอนต้นปี ให้มาเป็น 250,000 ล้านตอนปลายปี (คิดจากราคา 60 บาท) จากนั้นก็ใช้วิชา "เลือดสาด" ดึงให้มูลค่ากิจการมาอยู่ที่ประมาณ 150,000 ล้านบาทในปัจจุบัน

คำถามคือ IVL ตอนนี้ซื้อได้ไหม ... อิ อิ

ตอบง่ายๆ เลยนะครับว่า ถ้ากิจการที่ IVL ไป Take มา ทั้งหมดถ้ามันรวมกันแล้วดี ... ก็หมายความว่าระยะยาวไปได้ ...ดังนั้น ถ้าหุ้นอยู่แถวๆราคา แปลงสิทธิที่ 36 บาท ก็เริ่มน่าสนใจ ..ยิ่งต่ำอีก ก็ยิ่งน่าสนใจ ..."แต่อย่าลืมต้นทุนเจ้ามือ ก่อน แสดงความเทพ คือ 10.3 บาท .."

"วิชา M&A นี้ถือกำเนิดมาจากอเมริกา ..รับมาเมืองไทยโดย PTT จากนั้น โชว์แจ๋วโดย BANPU และล่าสุดก็ตามกันมาทั้งแผง ตั้งแต่ IVL , PTL , AJ " ... มันก็เป็นวิถีทุนนิยมอ่ะนะ ก็ดูต่อไปครับ สนุกดี!! (แต่ตอนนี้ PTT ยังดูดี และถูกกว่า IVL เลย แบบไม่ต้องลุ้นระทึก...หุ หุ)

..ว่าแล้ว ก็ชวนกันมาแลกเปลี่ยนความรู้ สำหรับรายย่อย ที่ชุมนุม S2M กันดีกว่า ..หุ หุ หุ

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ