แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันเสาร์ที่ 31 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

“คนมีความสามารถ” กับ “เวที” มันไม่สัมพันธ์กัน..คุณต้องสร้างมันเอง!!



ผมเคย “สนทนาธรรม” ทางความคิด กับผู้ที่ประสบความสำเร็จในชีวิตอย่างสูง(ท่านไม่ขอออกนาม) ซึ่งประเด็นที่กระตุ้นต่อมความคิดของผมมากๆ ก็คือ “ความสามารถ” กับ “เวทีให้แสดงออก” มันไม่สัมพันธ์กัน ..หลายๆคนมองว่า ต้องพยายาม หาเวทีให้เร็วที่สุด แต่ “ท่านที่มีประสบการณ์ผู้นี้ บอกว่าว่า (คุณคิดผิด)”

ประเด็นที่สำคัญที่สุดคือ การต้องพัฒนาความสามารถของตัวเองให้มาก (และพร้อมที่สุด) จากนั้น ก็รอจังหวะและโอกาส(เวที)ในการแสดงความสามารถ … ซึ่งการวิ่งหาแต่เวที อาจทำให้คุณหลุดจากเป้าหมายหลัก ก็คือ การสร้างความสามารถของตน …คนทุกคน มี “Timing”-- จังหวะและเวลาที่ต่างกัน

บางคนมีเวทีในการแสดงออกเร็วและใหญ่ เช่น ได้รับช่วงต่อกิจการจากพ่อแม่ (ซึ่งแท้จริงแล้ว นั้นเป็นโชค หรือ ความทุกข์กันแน่!!) เราเห็นกิจการที่ พอสืบทอดหลายๆช่วง Generation จะเห็นได้ว่า “มันเล็กลงเรื่อยๆ” ..จุดนี้ไม่ได้หมายความว่า “ทายาทเจ้าสัวไม่เก่ง”..ไม่ใช่เลย!! เพียงแต่ “เวที” ที่เขาได้รับสืบทอดมันอาจไม่ตรงกับความสามารถของเขา

ผมว่า ประเด็นนี้เป็นอะไรที่ลึกและน่าสนใจมากๆ เพราะท้ายสุดมันชี้ให้เห็นเลยว่า สิ่งที่สำคัญที่สุดในชีวิตมันไม่ใช่ “เวที” ในการแสดงออก แต่มันคือ “ความสามารถของเรา หรือ Product(ตัวเรา) ต่างหาก ที่กำหนดความสำเร็จในชีวิต”

เรื่องของการหา “เวที” จึงเป็นสิ่งที่ “ตัวคุณเอง + Timing” เป็นตัวกำหนด ---คนที่คิดว่าตัวเองพร้อมแล้ว ก็ควรลองหาเวทีเล็กๆเพื่อแสดงออก ก่อนที่จะขึ้นเวทีใหญ่จริงๆ เพราะการที่ คุณเลือกที่จะขี่หลังเสือในเวลาที่คุณยังไม่พร้อม ผมมองว่า “มันเป็นการฆ่าตัวตายชัดๆ”

“ขอบคุณท่านผู้รู้ ท่ีชี้แนะผม” มันช่วยให้ผม มองชีวิตอย่างฉลาดมากขึ้น ..ตัวผมเองจากที่เคย เร่งเร้า หาเวทีในการแสดงออกในวันก่อน ..วันนี้ผมสุขุมมากขึ้น “ค่อยๆพัฒนาความคิดและความสามารถ” รอเพียงเวทีที่ให้แสดงออกในวันข้างหน้า …ขอบคุณมาก!!

"Cut Cost Till U Dead!!"สิ่งที่เรากลัวมันกำลังจะเป็นจริง!!



ผมเคยนำเสนอเรื่องราวของ Netflix ที่เข้ามาปฏิวัติวงการ DVD "การส่ง DVD ถึงบ้านคุณ แล้วดูนานเท่าที่คุณต้องการ ไม่มีค่าปรับ" วันนี้มาอีก Challenger แล้ว "Red Box DVD" (DVD เหรียญเดียว) ที่มันถูกได้ถึงเพียงนี้เพราะมันเป็น Vendor Machine ไม่ต้องจ้างคน กด DVD ออกมาเหมือนกด "โค้ก"

ตอนนี้ Red Box มีเครื่องกระจายไปในอเมริกา 24,000 เครื่องแล้ว ตามที่หนึ่งในตลาดอย่าง Netflix มาอย่างติดๆ...ประเด็นที่น่าสนใจ ไม่ใช่แค่ตลาด DVD มันคือ Trend ใหม่ของสังคมที่ "มนุษย์ตาดำๆกำลังจะไม่มีงานทำ!!" ..คุณนึกดูซิครับ แต่เดิมร้าน DVD Blockbuster ต้องมี Outlet ต้องจ้างพนักงานหลายหมื่นคนทั่วประเทศ ในที่สุด Netflix เข้ามาตีตลาด โดยการให้เช่า DVD ผ่าน Internet ...วันนี้ Red Box เข้ามาตีอีกราย--"สรุปท้ายสุด อนาคตคุณคงต้องซื้อทุกอย่างผ่านเครื่อง Vendor machine..หุ หุ(บ้าจริงๆ)"

การแข่งขัน มัน lead ไปสู่การเป็น "Cut Cost King" คือ ใครต้นทุนต่ำสุดชนะ ..ช่วงเป็นยุคที่เหนื่อย แต่ทั้งหมดก็ล้วนเกิดจาก ลูกค้าเป็นผุ้ตัดสินชี้ขาด --ซึ่งในที่สุด "ลูกค้าก็ยังเลือก ทางเลือกที่ถูกที่สุดอยู่ดี" --ผมมองอนาคตของกิจการเหลือ 2 ทางคือ ถ้าไม่เป็น Mass เน้นต้นทุนต่ำ ..คุณก็ต้องฉีกเป็น Niche ไปเลย (พวกกลางๆตายหมดครับ ไม่รอดแน่นอน!!)

(เอาภาพ Red Box มาให้ดูกัน ...น่าคิดว่า ธุรกิจอะไรต่อไปที่กำลังจะตายต่อไป!!) ฝากนักคิด Innovation ถ้าคุณทำงานให้บริษัทใหญ่ คุณหนีไม่พ้น Cost leader Innovation ซึ่งไม่ง่ายแน่นอน...

เอา "ข้าว" จาก afet มาเล่าสู่กันฟัง


ตอนนี้หลายๆคนคงเริ่มจะคุ้นหูคุ้นตากับ ตลาดซื้อขายล่วงหน้าทางการเกษตร "afet" ..จริงๆแล้วผมมองว่า ตลาดล่วงหน้าทางการเกษตรของไทยควรเปิดมาตั้งนานแล้ว เพราะ Futures มันคือ "การป้องกันความเสี่ยง หรือ ที่เราเรียกว่าการ Hedging" แต่กลายเป็นว่า พอเมืองไทยเราเปิดตลาด afet ขึ้นมาจริง--กลับมีคนสนใจ Trade กันน้อยมาก(Volume น้อยจน นักลงทุนไม่อยากเล่น)..มัวแต่ไป Gold Futures กันหมด!!

อย่างในอเมริกาตลาด Futures ใหญ่ๆ ก็เช่น Merc (หรือ NYMEX ที่ซื้อขายน้ำมันกันอย่างเมามันส์), CBOT (ตลาดซื้อขายการเกษตรครอบจักรวาล) ...ถึงจุดนี้ผมว่าหลายๆคนคงสงสัยคล้ายๆกับผมว่า ทำไมต้องมีการซื้อขาย Futures "แปลกไหมทำไมต้องซื้อกระดาษ ทำไมไม่ซื้อกันสดๆล่ะ"

ในโลกของการเกษตร เราทุกคนรู้ว่า ผลผลิตขึ้นกับปัจจัยที่หลากหลาย ซึ่งรวมถึง ปัจจัยที่ไม่สามารถควบคุมได้ เช่น สภาพแวดล้อม อากาศ น้ำ.. สิ่งเหล่านี้ล้วนเข้ามามีบทบาทต่อผลผลิต ซึ่งท้ายสุดก็จะกระทบถึงจำนวนผลผลิตทั้งหมดของตลาด ที่เราเรียกว่า Supply ...การเกษตรเป็นธุรกิจที่แปลก เพราะแทนที่ Demand ของตลาดจะเป็นตัวกำหนดราคา --"แต่ไม่ใช่" การบริโภคของ Commodity หรือผลผลิตทางการเกษตร แต่ละชนิดจะไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรมากมาย(คือขึ้นกับปริมาณประชากรและการบริโภค ซึ่งจะเพิ่มขึ้นอย่างค่อยเป็นค่อยไป)

ในทางกลับกัน Supply หรือ ผลผลิตทางการเกษตรต่างหากที่แกว่งมหาศาล!! เพราะมันขึ้นอยู่กับธรรมชาติ (พระเจ้ากำหนด..หุ หุ)..ดังนั้น การใช้ Futures มาเป็นเครื่องมือป้องกันความเสี่ยง เช่น ชาวนาสามารถขายข้าวล่วงหน้า ทำให้รู้ รายได้ในอนาคตที่แน่นอน โดยไม่ต้องพึ่งดวง( โดยปกติชาวนาจะพึ่งดวง ซึ่ง"ซวย"เป็นส่วนใหญ่ เพราะเมื่อผลผลิตออกมาพร้อมกัน Supply มาก ราคามันก็ตกเป็นธรรมดา ..จึงไม่แปลกถ้าชาวนา ไม่รู้จักวิธีการใช้ Futures มาป้องกันความเสี่ยงก็ต้อง จำใจขายของ"ถูก"เสมอ นำมาซึ่ง "ความจนดักดาน")

แต่คุณรู้ไหม "อย่าว่าแต่ ชาวนาเลย คนไทยแทบไม่รู้จัก Futures และไม่เคยป้องกันความเสี่ยงของผลผลิตทางการเกษตร" (งง ไหม!! .. อย่างชาวนาปลูกข้าว พอข้าวออกมาพร้อมกัน ก็ภาวนาพร้อมกันให้ราคาข้าวแพง "คุณว่า Supply ออกมาพร้อมกัน และทุกคนอยากขาย ..คุณจะขายได้แพงไหมล่ะ"(ไม่มีทาง..ราคามันถูกแน่นอน!!))

ข้าวปี 2008 พุ่งขึ้นไปแตะเกือบ 1,000 เหรียญต่อตัน เป็นราคาที่สูงที่สุดเท่าที่เคยมีมา ตอนนี้เหลือ 400 กว่าๆ ..แต่คุณรู้ไหมว่าปีนี้นักวิเคราะห์ดังๆ ขนาด Jim Rogers ปีนี้ก็ ทำนายผิดเกี่ยวกับข้าว ..เนื่องจากปีนี้มีภาวะน้ำ "แห้งแล้ง" ทุกคนเลยฟันธงว่า ราคาข้าวจะต้องพุ่งอย่างแน่นอน ..ปรากฏว่าพอเอาเข้าจริง โลกเรามี Stock ข้าวและผลผลิตอย่างเหลือเฝือ ทำให้พ่อค้าขาดทุนกันระนาว และราคาข้าวก็ตกเอา ตกเอา จนเหลือ 400 กว่าๆ อย่างที่เห็น

แต่การที่ราคาข้าวถูก มันก็จะส่งผลให้ฤดูกาลต่อไปคนปลูกข้าวก็จะน้อยลง ทำให้ Supply ลด และก็นำมาซึ่งราคาข้าวพุ่งขึ้นได้ จะเห็นได้ว่า ชาวนาชาวไร่บ้านเรา วิ่งตาม Demand&Supply ไม่ทัน ..คือจริงๆถ้าเขาอยากรวยก็ไม่ยาก แค่ปลูกพืชสวนกับราคาก็แจ๋วแล้ว (อย่างตอนนี้ถ้าข้าวราคาถูก คุณก็คาดได้เลยว่า ฤดูกาลหน้าคนจะปลูกข้าวน้อยลง ดังนั้นราคามันจะต้องขึ้น ดังนั้น คุณก็เริ่มปลูกข้าวเลยจริงไหม) ..แต่จะให้ดีผมว่า เราต้องเริ่มเข้าศึกษา Futures อย่างจริงจังแล้วเอาเครื่องมือเหล่านี้ มาช่วยป้องกันความเสี่ยงให้กับกิจการ จะเป็นวิธีการที่ฉลาดมากครับ!!

(ผมว่าคนที่กำลังมันส์กับ Gold Futures ลองมาดู Commodity Futures กันบ้าง "นักบุกเบิกมีโอกาสรุ่งนะ!!..ตามเขาทีไร ตลาดมัน Clash ใส่หน้าเราทุกที เพราะกว่าเราจะเล่นตลาดมันก็วายหมดแล้ว")

คำเตือนจาก Ken Fisher เรื่องพลังงาน!!


Ken Fisher หนึ่งในกูรูด้านการลงทุน ที่ผมตามอ่านบทวิเคราะห์ของเขาอย่างใกล้ชิด ..ตั้งแต่หนังสือ Best Seller ของเขาที่มีชื่อว่า “The only three’s question that count” มันเป็นเสมือนตำราที่รวบรวมแนวคิดการมองตลาดแบบ Marco ให้กับผมก็ว่าได้

ความเจ๊งของ Ken Fisher คือ เขาเป็น Self-made “Billionaire” (สร้างตัวด้วยมือเปล่านี่แหละ!!) ซึ่งในอเมริกาสถิติที่รวบรวมจาก Forbes หากคุณต้องการเป็น Self-made “Billionaire” มันมีเปอร์เซ็นต์สูงมากที่คุณควรต้องอยู่ในอุตสาหกรรม finance

อย่างที่รู้กันน่ะครับ คนส่วนใหญ่หาเงินเก่ง แต่พอถึงเรื่องการบริหารให้เงินเติบโต กลับไม่รู้เรื่องเลย .. “นี่แหละครับช่องว่าง ที่สร้างให้เกิดอาชีพบริหารเงิน…กองทุนรวม , Hedge Fund , Private Equity ” …รวยจาก OPM (Other People Money!!)

สิ่งที่ Ken วิเคราะห์ในเรื่องของพลังงานคราวนี้น่าสนใจมาก เพราะเขาเชื่อว่าในอนาคต อเมริกาต้องพึ่งพึง “ก๊าซธรรมชาติมากขึ้น” เนื่องจากอเมริกาเอง ก็มีก๊าซธรรมชาติอยู่เป็นจำนวนมากใต้ดินที่ยังไม่ได้เอามาใช้ ซึ่งในปัจจุบันอเมริกาได้ค้นพบวิธีการนำก๊าซเหล่านั้นมาใช้ด้วยต้นทุนที่ต่ำ …ประเด็นที่น่าสนใจคือ เขากล่าวว่า พลังงานทดแทนอย่างพลังงานลม และ พลังงานแสงอาทิตย์ อาจต้องเป็นหมันไปอีกนาน --เพราะไม่ว่าอย่างไรก็ตาม พลังงานที่ต้นทุนต่ำกว่าย่อมชนะในตลาด Mass

ดังนั้น ถ้าอเมริกาสามารถผลิตก๊าซธรรมชาติ ได้ราคาต่ำมากๆ มันก็เป็นการ ฆ่า Green Energy หรืออย่างน้อยก็ทำให้พลังงานทดแทนเป็นเพียงตลาด Niche Market ดังเดิม ไม่สามารถขยายเป็น Commercialize scale ได้

จุดที่ Ken วิเคราะห์ผมมองว่าน่าสนใจมาก เพราะบ้านเราก็พึ่งพึง ก๊าซธรรมชาติมาช้านานแล้ว โดยเฉพาะการผลิตกระแสไฟฟ้า ซึ่งเราใช้ก๊าซธรรมชาติเป็น Source หลัก …หรือ อย่างรถยนต์ตอนนี้ NGV ก็เริ่มขยายตลาดในวงกว้างแล้ว …ถ้าเราดูในประเทศบราซิล ซึ่งเขาผลิตอ้อยได้มาก เขาก็แบ่งอ้อยครึ่งนึงมาผลิตเป็น Ethanol จนตอนนี้รถยนต์ส่วนใหญ่ของบราซิล ใช้ Flex Fuel ที่ใช้ Ethanol เป็นส่วนใหญ่แล้ว

ถ้าให้สรุปประเด็นที่ Ken Fisher พูด มันชี้ให้เห็นถึงอนาคตของพลังงานของแต่ละประเทศ พลังงานหลักก็คือ พลังงานที่มีต้นทุนต่ำที่สุดที่ประเทศนั้นๆจะหาได้ ส่วนพลังงานทดแทน หรือ Green Energy คงต้องเป็นพลังงานแบบ “ลูกเมียน้อยไปอีกนาน” …ประเทศไทยมองยังไงก็ไม่พ้น PTT มันหมายความว่าอะไร!! …หุ หุ (ผมชอบ..อีก 2 ปีมาดูราคาตัวนี้กัน)

วันศุกร์ที่ 30 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คิดบวกเกินไป..ระวังซวย!!(ไม่ ไม่)



การคิดบวก ผมมองว่าเป็นเรื่องที่ดีนะ โดยเฉพาะ "คุณคิดบวก" ในเวลาที่ควรจะคิดบวก ซึ่งก็คือ เวลาตลาดขาขึ้นนั่นเอง ..แต่พอเอาเข้าจริง เรามักจะคิดบวกในตลาดขาลง สาเหตุหลักมันมาจากอารมณ์ค้าง (คือ ตูยังมันส์อยู่!!)

สังเกตุไหมครับว่า ถ้าเราเล่นอยู่ในตลาดไหนนานๆ เราก็จะอารมณ์ค้างต่อ เช่น เรากำลังเมามันส์กับ Bull Market (ซึ่งตามปกติ ก็รู้ๆกันว่า กว่าเราจะเข้าไปแจมในตลาด Bull Market ก็เมื่อตลาดมันใกล้ๆจะ peak แล้ว..พอเราเข้ามันก็ "ตูม!!" peak พอดี ..แต่ด้วยอารมณ์ค้างเราก็รับช้อนซื้อหุ้นที่ตก (ด้วยความเมามันส์) จากนั้น ตลาดก็ตกไปเรื่อยๆ .."จนช้อนหัก!!" -- "ติด"

ข้อสังเกตุอีกอย่างคือ บ้านเราชอบสรุปจากข้อมูลสั้นๆ แล้วเหมาว่ามันคือ "ภาพสะท้อนทั้งหมดของตลาด" ..ถามจริงๆเถอะครับตลาดหุ้นบ้านเราเพิ่งเปิดมา 30 ปี ถ้าเป็นคนยังไม่พ้นวัยหนุ่มเลย ..เวลาเราดูเราเอาสถิติย้อนหลังไป 10 ปี ที่ผ่านมาว่า ตลาดเราสามารถมีหุ้นถูกตลอดกาลได้ (คือ หุ้นพื้นฐานดี ปันผลดี แต่ราคาไม่ไปไหน) .."เอาข้อมูลแค่นี้มาสรุป ผมว่ามันไม่ใช่นะ " เพราะแค่คุณถอยย้อนหลังไปอีกไม่กี่ปีก่อนหน้านั้น ยกตัวอย่างปี 1994 เวลานั้น "ถามหน่อยมีหุ้นถูกตลอดกาลไหม" --"ไม่มี ..เพราะตลาดมัน Boom หุ้นมันขึ้นทุกตัว (แตะเป็นพุ่ง)" --ดังนั้น ถ้าให้ดี ผมว่า มองให้กว้างขึ้น วิเคราะห์อย่างใจกว้างหน่อย เราจะเห็นภาพชัดขึ้น!! (อย่าง Wall Street เขาเปิดมาหลายร้อยปี ดังนั้น History เขายาวจนคุณสามารถ วิเคราะห์เป็นช่วงเวลาได้ ....แต่ SET 30 ปี ผมว่าคุณวิเคราะห์ตั้งแต่เริ่มบางทีข้อมูลยังไม่พอวิเคราะห์ Trend ใหญ่เลย ..ตรงนี้ต้องดูให้ดี!!)

ผมเป็นคน "คิดบวก" หลายคนบอก "คุณ Positive เกินไป" แต่ผมว่า มันอยู่ที่เหตุผลนะ ...อย่างคุณดูซิ นักวิเคราะห์ ปกติเขาเป็นมืออาชีพได้ หมายความว่า ปกติเขาต้องทำนายตลาดได้ถูกมากกว่าผิด ..แต่ตั้งแต่ปี 2008 เป็นต้นมาที่ "นักวิเคราะห์ปากกา หักหมด..คุณไม่คิดเหรอว่า มันเป็นสัญญาณที่บอกใบ้อะไรบางอย่าง"

"อาเพศ!!" (ผมว่า ไม่ต้องรอให้ อีกา มาบินว่อนเหนือหัวหลอกครับว่า "มันเป็นสัญญาณเตือนบางอย่างว่า เรากำลังถึงการเปลี่ยนแปลงที่สำคัญบางอย่าง") --แต่จริงๆหุ้นมันไม่ซับซ้อนมีแค่ "ขึ้นหรือลง" เท่านั้น แถมมีข้อมูล ทำให้เดาง่ายกว่า "ไฮโล"อีก..แต่แปลกไหมล่ะ "คนเล่นส่วนใหญ่ ดันขาดทุน" --(คุณว่าทำไมล่ะ)

กลับมาที่ประเด็น "คิดบวก" ผมไม่ได้หลับหูหลับตา "คิดบวกนะ" เพียงแต่ผมดูตลาด คือ นิสัยผมมีความเป็นชาวสวนเป็นทุนอยู่แล้ว ดังนั้น ผมมองเลยว่า ตอนนี้คนส่วนใหญ่คิดบวกหรือลบ ...เอาเป็นว่า ถ้าคุณขึ้น taxi แล้วเขาถามคุณว่า "พี่ๆวันนี้ Advanc
น่าเล่นไหม.." ผมว่าวันนั้น คุณต้องเริ่มคิดลบกับตลาดทันที!! ...ขอเตือน!!..วิ่งเลย!!

Advanc ยังไปต่อได้อีกไหม!!



ตอนนี้ผมเริ่มมานั่งๆดู Advanc ว่า หลังจากที่ มีทั้งเจ้ามือ หลอก เจ้ามือจริง ปั่นข่าว มั่วไปมั่วมา ทั้ง 2G 3G ผมขอมองเป็นจุดๆดังนี้

1. มือถือเป็นอุตสาหกรรมที่เริ่มอิ่มตัวแล้ว เนื่องจาก SIM เลยจำนวนประชากรไปนานแล้ว (หนึ่งคนมักมีหลายมือถือ)..ผมไปอ่านบทความนึงเกี่ยวกับมือถือใน ฟิลิปินส์ ก็มีพฤติกรรมคล้ายๆกับบ้านเราคือ เขาจะเปลี่ยน SIM ไปมา เพื่อที่จะได้ค่าบริการที่ "คุ้มที่สุด" ดังนั้น ประเด็นเรื่อง Pricing มีผลต่อลูกค้ามาก .. เนื่องจากตลาดอิ่มตัว ทำให้ผู้ให้บริการพยายาม อัพเป็น 3G เพื่อ ชาร์ตลูกค้าได้แพงขึ้น .."แต่มีน้อยคนนักที่พร้อมจะจ่าย จุดที่น่าคิดคือ ลูกค้าต้องการ 3G เพื่อที่จะจ่ายค่าบริการแพงขึ้นจริงหรือ"------"ไม่จริง!!"

2. ในเมื่อเรารู้ว่าเป็นตลาดที่ขยายไปข้างหน้าได้น้อย ผู้ให้บริการที่ฉลาด จะต้อง cut cost ทันที ไม่ใช่ โหมโลม การตลาด --ถามว่าในตลาดมีใครทำอย่างนี้บ้าง "ใช่ครับ Advanc" (ดูจากงบการเงินก็รู้ว่า Cut cost อย่างโหด แต่ผู้ถือหุ้นชอบ..พนักงานอาจจะไม่ชอบ อันนี้ค่อยมาว่ากันทีหลังถึงผลกระทบ)

3. ปั่นข่าวกันเหลือเกิน อุตสาหกรรมนี้ ทั้ง สัมปทานได้ไม่ได้ (มึน) "ตั้งสมมุติฐานเลย ว่ามีเจ้ามือแฝงตัวอยู่ ผมไม่รู้ว่าใคร แต่มีแน่นอน!!" ถามว่าดีไหม ผมว่าดี แสดงว่า มีรายใหญ่หนุนหลัง --ขนาด "ไทคม" รายใหญ่เขายังดึงขึ้นมาได้เลย Miracle!!

4. หุ้นตัวนี้ฝรั่งไม่เล่น (ปีนี้ฝรั่งค่อนข้างซวย "ป๋า RV ฝากบอกว่า หาไอ้คนซวย แล้วสวนมัน" ผมเจอแล้วครับไอ้คนซวยปีนี้ "ฝรั่งไง" เทเงินไปไหนตลาดมันวายหมด อยากจะเข้าก็ดันเข้าแพง..หุ หุ (กรรม)..(เอ๋อ!! แต่ระยะยาวมันคงชนะ ..เอาว่าตอนนี้ผมขอก่อนล่ะ ฝรั่งกำลังพลาดพลั้ง)

5. เป็นหุ้นที่ จ่าย dividend อย่างบ้าคลั้ง ซึ่ง"ดี" ..เพราะเวลานี้เงินสดหายาก ดังนั้น การมี Advanc ไว้ใน port ทำให้มีปันผลที่ค่อนข้างสูงมาเป็น Buffer ทำให้มีเงินสดกลับมาเรื่อยๆ (ข้อเสียคือ การจ่ายปันผลที่สูง ทำให้ dilute การเติบโตของกิจการ อาจลด Capital Gain ได้ ..แต่คนไทยส่วนใหญ่เล่นหุ้นสั้น ดังนั้น "จุดนี้มันกลับเป็นข้อดี!!"

6. ผู้ถือหุ้นใหญ่ (นั่งอยู่ฝั่งเดียวกับนักลงทุน) จุดนี้สำคัญมาก เพราะไม่ว่ากิจการดีเพียงใด หากเจ้าของไม่ซื่อ อาจไม่แคร์ผู้ถือหุ้น แต่เอาเงินไปแปรธาตุ ไม่จ่ายปันผล ..แต่ในกรณีของ ทามาเส็ก (คุณคิดดู ทามาเส็ก ..โคตรจะเซ็ง กับการเข้ามาซื้อ SHIN ผมว่าวันนี้ถ้าเขาคืนทุนเมื่อไหร่ เขากลับไปแล้ว "ดังนั้น เขาต้องการ Return on Investment ให้เร็ว ซึ่งผมมองว่าดี(หัวอกเดียวกับเรา)"

สรุป อุตสาหกรรมนี้ ผมยังมองไม่เห็นอนาคตอันใกล้ เพราะไม่มีใครอยากจ่ายค่ามือถือแพงขึ้น (ยกเว้น GEN Y ..ซึ่งต้องรออีก 10 กว่าปีถึงจะเข้ามามีบทบาทจริงในธุรกิจเมืองไทย)ดังนั้น ทางเดียวของมือถือในวันนี้คือ cut cost ซึ่ง Advanc ทำได้ดี ประกอบกับการมีเจ้ามืออยู่ทำให้เราใจชื้น และ"ทามาเส็ก ที่หัวอกเดียวกับเรา" ทำให้มีปันผลอย่างงามให้เรื่อยๆ ..ก็คิดว่า ผมจะถือมันต่อไป
เรื่อยๆตราบเท่าที่ปัจจัยที่พูดมายังไม่เปลี่ยนแปลง (ถ้าเปลี่ยน ตัวใครตัวมันครับพี่!!)

วันพฤหัสบดีที่ 29 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

เส้นทางธุรกิจกาแฟ กำไรอยู่ตรงไหนกันแน่ ถามคุณ ธนินท์ ดู!!



ธุรกิจกาแฟเป็นธุรกิจที่ตลกมาก ทุกคนแข่งกันในส่วนของ Retail ถ้าคนในวงการดู เขาก็จะบอกว่า ส่วนที่แข่งกันจะเป็นจะตาย มันเป็นส่วนของ “กำไรปลายน้ำ”

หลายคนนึกว่า Starbucks กำไรจากการขาย “กาแฟ” จริงๆแล้วไม่ใช่ ..กำไรจริงๆอยู่ตรงการคั่ว --คุณรู้ไหมก่อนที่ Starbucks จะดัง สมัยก่อนเขาขายแต่ เมล็ดกาแฟคั่วเท่านั้น เป็นคล้าย Niche Market ร้านเล็กๆในเมือง ซีแอตเติล ..นาย Howard Schultz “CEO” คนดัง เดิมเป็นคนขายเครื่องกาแฟ แต่เผอิญมาติดใจ การกินกาแฟเข้มข้นสไตล์อิตาเลียนอย่าง คลั่งไคล้ ถึงขนาดบินไป ดื่มด่ำบรรยากาศที่อิตาลี ก่อนที่จะกลับมาสานฝันสร้าง ร้านกาแฟอย่างไม่ย่อท้อ

หนังสือ Pour your Heart into it ที่เขียนโดยนาย Howard Schultz ..เป็นหนังสือที่ดีมากเกี่ยวกับ Passion ที่สร้างธุรกิจระดับโลก ..จริงๆแล้ว การสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่ มันก็คือ การมุ่งมั่นอย่าง “สุดโต่ง” ในความคิด อย่างไม่ย่อท้อ และนี่ คือ Key Success Factor ที่ผมมองว่าสำคัญที่สุด

การสร้างกิจการใดๆก็ตาม คนส่วนใหญ่นึกว่า จะสร้างแล้ว Boom เลย “อันนี้ผมมองว่า ไฟไหม้ฟาง ..ธุรกิจใดที่เปิดแล้วดังเลย คุณรอดูให้ดี อีก 3 เดือนเจ๊ง” พวกธุรกิจไฟไหม้ฟางเห็นมากแถวๆสยาม เอา โรตี ขนมปัง ชา อะไรก็ไม่รู้สารพัด ..ที่สุดไม่พ้นการทำธุรกิจแบบ Fad คือมาเร็วไปเร็ว --ทุกกิจการมันมี Business Life Cycle ..หลายๆคนชอบให้ธุรกิจโตเร็วๆ ใหญ่เร็วๆ ในที่สุดมันเป็นการเร่ง Life Cycle ให้เร็วเช่นกัน “สรุป 3 เดือนเจ๊ง”

จริงๆถ้าให้วิเคราะห์กิจการที่โตเร็วตายเร็ว มันไม่ได้มีอะไรซับซ้อน เพราะการที่คุณขายดีสุดๆ ในเวลาที่ ศักยภาพของคุณยังไม่พร้อม ย่อมสะท้อนออกมาเป็น Customer Service ที่ห่วยแตก ในที่สุด ลูกค้าก็ไม่กลับมา เพราะทุกวันนี้ ลูกค้ามีทางเลือกเยอะ “จะให้แบบสมัยก่อน คือ ขายแบบลูกค้าต้องมาง้อ (เดี๋ยวนี้ตายไปเกือบหมดแล้ว!!)”

ประเด็นที่ผมพูดนี่ เฮียเจ้าของร้าน หลายๆคนตามไม่ทัน ยิ่งแถวเยาวราชรู้ดี คือ สมัยก่อนเคยสามารถ ผัดไปแคะขี้มูกไป หรือ ร่อนจาน (เวอร์ไปนิด!!) เดี๋ยวนี้ สถานการณ์มันเปลี่ยน --ยุคนี้ Supply มันมากกว่า Demand “แค่เด็กโบกรถ ทำกริยามารยาทแย่ๆ ออกมา เจ๊แกก็เลิกกิน แถมบอกญาติ เพื่อน ทุกคนที่รู้จักว่า ร้านนี้ห่วย!!”

word of mouth แบบด้านลบ เดี๋ยวนี้เร็ว “ใครไม่เคยอ่านเรื่องผึ้งหวานบ้าง …หุ หุ” เอาเป็นว่าอย่าประมาท .. ดูประเด็นธุรกิจให้ขาด แพ้ชนะ อยู่แค่เอื้อม

พูดตั้งยาว กลับมาที่ กาแฟ คุณคิดให้ดี กำไรมันอยู่ตรงไหน … “ซื้อเมล็ดที่คั่วแล้วมาขาย” นับวันเจ๊งได้เลย จริงๆแล้วธุรกิจของ Starbucks กำไรหรือ Margin หลักๆมันอยู่ตั้งแต่โรงงานคั่วกาแฟ ส่วนร้านหรือ Outlet ที่เรากินๆกัน กำไรกะจึ๋งเดี๋ยว!!…มองภาพให้ออก แล้วคุณจะรู้ว่า ทำไมคุณ ธนินท์ รวยเอา--รวยเอา…ทั้งๆที่ TRUE ขาดทุนเอา ขาดทุนเอา….กั๊ก กั๊ก

"เพราะ CPF ทำธุรกิจเริ่มตั้งแต่ต้นน้ำยันปลายน้ำ รวมทั้งมีเทคโนโลยีเป็นของตัวเองทั้งหมด มันเป็นการผูกขาดตลาดแบบเบ็ดเสร็จ ...ซึ่งต่างกับ TRUE ที่ซื้อเทคโนโลยีทั้งหมดจากฝรั่ง มันจึงเป็นการยากที่คุณเอาสิ่งที่เขา Mark up มาแล้ว ทำต่อให้ได้กำไรสูง (เจ้าของเทคโนโลยีเขาเก็บกำไรไปหมดแล้วครับ)"

บทเรียนร้านกาแฟ ทำไม Starbucks ไม่รุ่งใน Australia



เรื่องนี้เป็นประเด็นสอนใจ Brand ระดับโลกอย่าง Starbucks ที่เข้าไปบุกแดนจิงโจ้ ..ในที่สุด กระอัก “ไม่รุ่ง” ด้วยเหตุที่ Australia นับเป็นหนึ่งในตลาดปราบเซียน ..ถ้าใครไปเที่ยว Australia จะสังเกตุเห็นได้ว่า ที่นั่นมีรถเกือบทุกยี่ห้อขาย ..คือ ยี่ห้อไหนขายที่ไหนไม่ได้ คุณไปบุก Australia ขายได้ แต่แทบไม่มีค่ายรถไหนรุ่งเลย นอกจาก Holden --ใช่แล้วครับมันเป็น Brand ของชาว Aussie เอง

โบราณมีคำกล่าว “เข้าเมืองตาหลิ่ว ให้หลิ่วตาตาม” คุณรู้ไหมผมไปใช้ชีวิตอยู่ Australia รวมๆแล้วก็เกือบสิบปี ..ตอนแรกๆก็มอง รถ Holden เชยโคตร(ขอบอก) ..แต่พออยู่..อยู่ไป --มันเท่ห์ขึ้นมาเฉยๆเลย --“ผมว่าประเด็นนี้น่าสนใจมาก และมันเกิดกับตัวผมเอง คือ ท้ายสุด รสนิยมเราจะได้รับอิทธิพลจากคนรอบข้างเป็น เปอร์เซ็นต์ที่สูงทีเดียว” และนี่ก็คือ หลายๆปีที่ผ่านมา บริษัทต่างๆ ให้ความสนใจกับเครื่องมือของ Social Network--(คือ อยากเข้าไปเรียนรู้ท่าแท้ของคน ..สังเกตุใน FB จะเขียนแรง พูดตรงๆ นั่นแหละแหล่งหาข้อมูลของธุรกิจอย่างดีเชียว)

..วันก่อนผมอ่าน บทความจาก Businessweek เล่มล่าสุด (ตอนนี้ Businessweeek เจอ Bloomberg Take over ไปแล้ว ..ตอนนี้เขากำลังปั้นนิตยสารธุรกิจรายสัปดาห์ให้เป็นกระบอกเสียงสำหรับ ปัญญาชน คล้ายๆกับที่ The Economist เป็นอยู่..ในยุโรป -- ที่อาจารย์ทุกคนต้องอ่าน The Ecocomist “คุณคิดดู ถ้าคุณจับตลาด อาจารย์ได้ นั่นหมายถึงคุณ Control กระแสสมองหลักของสังคม …จุดนี้น่าสนใจจริงๆ)

กลับมาเรื่องเดิม คือ เรื่องของ รสนิยมแปลก “แต่จริง” คือ เมื่อคุณอาศัยอยู่ประเทศไหนนานๆ ..รสนิยมคุณก็จะแกว่ง ไปตามประเทศนั้นๆ “เรียกได้ว่า รสนิยมเอนไปหานั่นเอง”

ด้วยเหตุนี้ อเมริกา ซึ่งเป็นประเทศที่คนระดับสูงทั่วโลกส่งลูกๆไปร่ำเรียน .. “ในที่สุด” เขาเหล่านั้น ก็นิยม อเมริกา ไม่ว่าจะเป็นวัฒนธรรม Starbucks , Mcdonold , 7-11 (กิน24ชั่วโมง) --ผมว่านี่แหละเป็นรากเหง้าของการเผยแพร่วัฒนธรรมอเมริกัน ผ่านรูปแบบของ Fast food nation (ที่มันทำได้ ก็เพราะอเมริกา มีคนอย่างผม อย่างคุณ ที่ไปอยู่เมืองนอกเป็นกระบอกเสียง… “ดีหรือไม่ดีเนี่ย!! ..ผมเหมือนเป็นเครื่องมือยังไงไม่รู้!!”

ย้อนมาที่ Australia อีกครั้งที่ Starbucks ไม่รุ่ง ก็เพราะเจอ Gloria Jean’s “อัดเละ” (เกร่นก่อนว่า Gloria’s Jean คือใคร ..จริงๆก็คือ ร้านกาแฟอเมริกันนี่เอง แต่เผอิญได้นาย Nabi Saleh และ Peter Irvine คน Aussie นี่เอา Brand นี้เข้าไปลุย Australia

สรุป Gloria Jean’s ก็ตีโจทย์ Australia แตก..ทำให้สามารถจับตลาดกลายเป็นร้านกาแฟอันดับหนึ่งในออสเตรเลีย) กลยุทธ์ที่ Gloria Jean’s ใช้ก็คือ การตีแสกหน้า Starbucks โดยใช้วิธีของ Starbucks ฆ่า Starbucks เอง จากการเน้นคุณภาพของกาแฟ การส่ง Barista ของร้านไปส่งแข่ง Barista โลก (จนคว้ามาได้หลายรางวัล) , การออกแบบร้านแบบทึมๆหรูๆ , การยึด Location ในจุดที่ดีที่สุดในห้างต่างๆ --การเข้ายึดหัวหาดทั่วประเทศ Australia ก่อน เป็นหนึ่งในการยึด Channel ที่เกือบจะปิดประตูการเข้ามาของ Starbucks

มาดูประเทศไทยบ้างที่ Starbucks ครองตลาดบนอย่างเบ็ดเสร็จ ..คราวนี้ผู้ท้าชิงกลายเป็น Brand ต่างๆ รวมถึง Gloria Jean’s ด้วย … “คำถามคือ คุณคิดว่าใครจะ ตีแสก Starbucks ในเมืองไทยได้!!” TRUE หรือเปล่า !! เน้นการเข้ามาอยุ่ในร้าน TRUE วาง position ไม่ชัดเจนอย่างแรง “ตอนแรกผมนึกว่า ลูกค้า TRUE กินฟรีด้วยซ้ำ เลยไม่กล้าเข้าไปนั่ง ..กลัวหลงเข้าไปอยู่ในชีวิต Convergence…หุ หุ” เอาเป็นว่าถึงกาแฟคุณภาพค่อนข้างดี แต่ในแง่ image “ตีโจทย์ไม่แตก”

..มาดู Gloria Jean’s ผมขับรถผ่านไป ตีกอล์ฟ เห็นเปิดในปั๊ม (ผมมานั่งนึกๆว่า ตกลง เขาจะแข่งกับ Amazon หรือ Starbucks กันแน่ ..แต่ด้วยราคาก็แน่นอน เขาต้องการอัดกับ Starbucks อยู่แล้ว แต่กลับมาเปิดในปั๊ม ผมว่า Image มันขัดกับ Brand ยังไงก็ไม่รู้!!)

..ไม่ต้องพูดถึง Inthanin กับ Amazon ที่อยู่คนละตลาด ..แต่ผมมองว่าทั้งสองยี่ห้อนี้ position ตัวเองทั้งรสชาติ และราคา ชัดเจน “ยกนิ้วให้” โดยเฉพาะ Amazon ที่เขี่ย “บ้านไร่กาแฟ” ออกไปจากปั๊มแล้วเอามาทำเอง

วันนี้ Amazon ถือเป็น ที่หนึ่งในกาแฟริมทางที่ราคา ครึ่งหนึ่งของ Starbucks ..ถือว่า “แน่มาก” ผมยังอ่านบทความใน Strategy & Business เห็นบทความพูดถึงความห่วยของบริษัทน้ำมัน โดยเฉพาะในส่วนของปั๊ม (Retail) …คือในต่างประเทศ เขาไม่ได้มีแบบ Amazon , Inthanin หรือ บ้านไร่ เขามีแต่ร้าน C-store ถ้าปั๊มใหญ่หน่อยก็จะมี Mcdonold เข้าไปตั้ง ดังนั้น สวนป่า&ร้านกาแฟ ไม่มี “PTT เยี่ยมจริงๆ”

อย่าให้ฝรั่งลอยนวล!! (ลุยมันเลย)



ตั้งแต่ต้นปี2010มานี้ ดูยังไงฝรั่งก็เล่นตลก คือ "ขาดทุน" แต่เขามีบางส่วนเหลือจากปีที่แล้วที่ซื้อต้นทุนต่ำ ประมาณแค่ 3 หมื่นกว่าล้าน(แต่ปีนี้ดันขายเกินไปหมื่นกว่าล้าน..หุ หุ โดนการเมืองไทยหลอก!!) ตอนนี้ฝรั่งพยายามเริ่มเก็บ ราคาก็เลยขึ้นเอาขึ้นเอา รายย่อยก็เริ่มเทขายแหลก แต่ที่ไม่สัมพันธ์กันก็คือ รายย่อยซื้อตัวเล็ก แต่รายใหญ่เขาซื้อ Blue Chip มันจึงเป็นตลาดตลกๆอย่างที่เห็น

คือฝรั่งพยายามทุบ เพื่อจะได้เก็บของถูก แต่กลายเป็นว่าหุ้น Blue Chip มันถูกอยู่แล้ว(ทุบยังไงก็ไม่ลง) ในขณะที่รายย่อยหันกลับมาเล่นหุ้นเล็กพื้นฐานดี -- ที่สองปีมานี้ยังไม่วิ่งเลย คราวนี้ก็เลยวิ่งบ้าง

แต่อย่างที่ผมเคยวิเคราะห์ในบทความก่อนๆว่า หุ้นบ้านเราจะขึ้นอยู่กับ Fund Flow เป็นหลัก ดังนั้น การเล่นสวน Fund Flow ผมมองว่าปลอดภัยที่สุด(จริงๆมันต้องเล่นตาม Fund Flow แต่สองปีมานี้ Fund Flow เล่นค่อนข้างโง่ ดังนั้น เล่นสวน Fund Flow จะกำไรกว่า)

อย่างตอนนี้หุ้นเล็กๆที่ลากกัน มีเจ้ามือทั้งนั้น แต่ก็อย่างที่รู้ๆกันว่า บริษัทพื้นฐานดี ถึงลากราคาไม่ขึ้น ก็เก็บไว้เอง รับแค่ปันผลก็คุ้มแล้วครับ..อย่างไรก็ตามหุ้นเล็กที่วิ่งๆอยู่ตอนนี้ผม ก็ไม่แนะให้เข้าไปรับแล้ว เพราะถ้า Fund Flow ที่กำลังยึกยักอยู่ว่าจะเข้าไม่เข้า --ถ้าขีนตัดสินใจเข้า ผมมองว่า Blue chip จะวิ่งแรงๆได้อีกรอบแน่

ช่วงนี้ผมมองว่า เข้าใกล้ปันผลรอบครึ่งปีหลังแล้ว ดังนั้น เงินที่นอนอยู่เฉยๆนอกตลาด มีโอกาสเล็งกระโดดเข้ามารับปันผลก่อนจะออกไป(ผมมองภาพคล้ายๆกับปีที่แล้ว ที่ช่วงก่อนปันผล ตลาดน่าจะมาคึกคักอีกครั้ง จากนั้น พอปันผลเสร็จก็ ฟีบ!! ใหม่) ดังนั้น ถ้าตลาดจะ Correction แรงๆ ผมมองว่า น่าจะเลยปันผลรอบที่สองไปแล้ว

ภาพใหญ่ตลาด ถ้ามองจาก Bottom ปลายปี 2008 ก็ยังคงอยู่ในช่วงขาขึ้น (แต่จะขึ้นแบบ ยึกยัก แต่ มันก็ขึ้น!!) ซึ่งในมุมมองของผม ผมก็ยังเชื่อว่า ภาพขาขึ้น(แบบยึกยักแล้วก็ขึ้น)เช่นนี้ ยังจะเป็นต่อเนื่องไปอีก 1-2 ปี ขั้นต่ำ ..โอกาสที่ตลาดจะ Double Dip มีค่อนข้างน้อย (เพราะอย่างที่บอกว่า เวลามีวิกฤต ไม่เห็นมีครั้งไหนมาเตือนเลย "โอ๊ะๆ!! เราจะเกิด Sub prime" --"ตลก!! ไม่มีหรอกครับ ถ้ามันพังมันพังไปแล้ว --ดังนั้น ถ้ามันยื้อก็แปลว่ามันรอด ..แต่เรื่องของซึมยาวอันนี้ก็มีโอกาสอยู่" ..ยังไงก็ตาม ผมมองภาพตลาดเอเชียรวมทั้งไทยยังไปได้สวยอีก 1-2 ปี ขั้นต่ำครับ...ลุยเลย!!

วันอาทิตย์ที่ 25 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ตอนที่ 6 (จบมหากาพย์แกะสมอง ณ บัด Now !!)



ป๋ากึ้ง : โห!! นี่คุยกันมายาวจริงๆ เมื่อยพุงมาก คงจะต้องไปทานข้าวกันเสียที !!

ภาววิทย์ : โฮ!! ป๋ากึ้ง ..ผมยัง “เมามันส์น้ำลาย(ฟูมปากอยู่เลย) …หุ หุ หุ”

ป๋ากึ้ง : เอาน่า !! โอกาสหน้ามานั่ง “แจม” กันใหม่ … คุณ ภาววิทย์ “ปิดเลย..มีอะไรจะฝากไหม!!”

ภาววิทย์ : ครับ!! เอาเรื่อง Intrend อย่าง SEO ละกัน ….(อาจไม่เกี่ยวกับหุ้นเท่าไหร่ …แต่มันก็เกี่ยวนะ!!) ตลาดขึ้นลงบนพื้นฐานของ “ความเชื่อ” …ดังนั้น ถ้าคุณจับ “กระแสหลัก” ของสังคมได้ว่ากำลังมุ่งไปทางไหน ..คุณก็จะมี 2 Chioce คือ อย่างแรกคุณวิ่งสวนกระแส (ซึ่งผมชอบทำ) กับอีกอย่างคือ คุณวิ่งไปข้างหน้ากระแส…

ป๋ากึ้ง : ปาด !! ปาด !! ๆๆ … “วิ่งไปหน้ากระแส!!” ผมชอบ … “ผลแปลความหมายนี้ให้เลย การที่คุณจะสามารถวิ่งไปหน้ากระแส มันมีทางเดียว คือ คุณต้องเป็นคนที่สร้างกระแส..ถูกไหม!!

ภาววิทย์ : ถูกต้อง!! ซึ่งกระแสมันทำได้หลายอย่าง คือ ถ้าเป็นสมัยโบราณ คุณก็เอาเงิน “ทุ่ม” ซื้อสื่อ (จ่ายมันเข้าไป ..อัดมันใส่คนดู) แต่เดี๋ยวนี้ ยุค Hi-tech เรามีสื่ออยู่รอบตัว ดังนั้น Attention เราถูก Fragment อย่างมหาศาล …สังเกตุไหมเดี๋ยวนี้ ทำอะไรไม่เคยจบเลย ต้องมีอะไรมาขัดจังหวะเสมอ!! ..ดังนั้น ทางเดียวที่คุณจะเข้าถึง คนรุ่นใหม่ นั่นก็คือ “ให้เขาเข้ามาหาเราเอง”

ประเด็นนี้(เรื่องการใช้Pull Strategy เน้นในเรื่องของ Product is Everything รวมทั้งการใช้ประโยชน์จากเครื่องมือการสื่อสารแบบใหม่อย่าง Social Network รวมทั้งการทำ SEO) ผมเกริ่นอยู่ พอสมควร ในหนังสือ “แกะรอยหยักรวยหุ้นหมื่นล้านของผม” ซึ่งเป็นประเด็นที่ผมชี้ และตั้งให้ไปคิดต่อ …วันนี้ผมก็ใหม่อยู่ แต่ก็ลองทำจริง “ทั้งเล่นหุ้น ทั้งลองการเล่นเครื่องมือการตลาดสมัยใหม่อย่าง Facebook , Twitter , การ Blogging” ถือว่ามันได้ประโยชน์มาก

วันนี้ผมทำ SEO ให้กับ หนังสือ “แกะรอยหยักสมองของผม” คือ หากใครลองเข้า Google แล้วใช้ Key word พิมพ์
“แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน” “แกะรอยหยักสมอง” หรือ “รวยหุ้นหมื่นล้าน” เราจะครอง Page ต้นๆของ Google ทั้งหมด …ทั้งหมดนี้ไม่ได้เสียเงินค่าโฆษณาซักบาท ..และผมว่า มันเป็นสิ่งที่สนุก ที่สามารถต่อยอดได้อีกไกล…
วันนี้เทคโนโลยีเราก้าวไปเร็ว “ต้องตามให้ทัน..ไม่งั้นเราเสียประโยชน์” อย่างโฆษณาทีวี กับ หนังสือพิมพ์ ผมว่าช่วงหลัง แผ่วไปเยอะ … “คุณรอดูนะ อีกสัก 10 ปี รอให้กำลังซื้อหลักของโลก Shift จาก Boomer + Gen X มาสู่ Gen Y เมื่อไหร่ ผมบอกเลยเราได้เห็น นักการตลาดกระอักเลือดกันเป็นแถว หากตามเครื่องมือการสื่อสารแบบ Pull Strategy สมัยใหม่ไม่ทัน”

ป๋ากึ้ง : ฮึม!! น่าสนใจมาก …นี่แหละที่ผม เลือกที่จะตั้ง ชุมชน Stock2morrow ขึ้นมา ..เพราะจากที่เคยใช้ webboard ที่อื่นๆ “ผมติงๆในบางเรื่อง…ไม่ขอกล่าวละกัน” แต่เอาเป็นว่า S2M เราสร้างขึ้นมาแบบ มาร่วมใจในการถ่ายทอดสู่สังคมจริงๆ ..อย่างผมไม่ได้มีรายใหญ่ หรือ บริษัทอะไรสนับสนุน ดังนั้น การวิเคราะห์ หรือ แนะนำหุ้น ไม่ได้มีเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้อง …. “ก็ดีใจนะ ที่วันนี้ ภาววิทย์ได้ก้าวเข้ามาช่วยผมอีกแรง ในการสร้างสรรค์ และมอบสิ่งดีๆ อย่างแนวทางการเล่นหุ้นอีกแบบที่น่าสนใจสู่สังคม” …ผมว่าท้ายสุดนะ การเล่นหุ้น หรือ Style มันเป็นเรื่องของ ศิลปะ ที่แต่ละคนจะมีรูปแบบเฉพาะตัวเองที่ต่างกัน ..อย่างผมกับ ภาววิทย์ เล่นกันคนละแนว ผมเล่นหุ้นเล็ก ภาววิทย์เล่น Blue Chip แต่เราทั้งสองถึงต่าง แต่ก็กำไรเหมือนกัน ---เอาเป็นว่า เราก็ได้ความรู้กันอย่าง หอมปากหอมคอ เล็กๆน้อยๆ จากการที่เราทั้งสองคนมานั่งคุยกัน พูดไปพูดมาเพ้อเจ้อบ้าง ….อิ อิ อิ

ผมมีความสุขนะที่ ชุมชน S2M ของเราได้ก้าวไปอีกขั้น “ตอนนี้เราเริ่มผลิตหนังสือ ซึ่งผมเองเป็นนักอ่านคนนึง ที่ผมมองว่า ถึงแม้ Internet จะก้าวไปเพียงใด ผมก็ยังชอบการอ่านหนังสืออยู่ดี ..และนี่เองที่ผมตัดสินใจพิมพ์ผลงานของภาววิทย์ ออกมาเป็นหนังสือ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน…” ซึ่งผมมองว่า มันมีคุณค่ามาในเชิง การจุดประเด็นความคิด ที่จะสามารถต่อยอดไปได้.. “ก็ขอบคุณชาว S2M ผู้อ่าน และก็ภาววิทย์ ด้วย” --ยังไงก็อุดหนุน หนังสือดีๆของเรา นะ “ขอบคุณมาก!!”

ภาววิทย์ : ซึ้งครับพี่!! ..ขอบคุณป๋ากึ้ง …ขอบคุณทุกคน “คราวหน้าเราต้องมีโอกาส พูดคุยกันอีกครับ!!”

(จบสนทนา มหายาว ..ระหว่าง “ป๋ากึ้ง” กับ “ภาววิทย์”)

วันเสาร์ที่ 24 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ....ตอนที่ 5



ภาววิทย์ : “ใช่เลย” ผมเป็นคนนึงที่ค้นคว้าระบบทุนนิยมอย่างจริงจัง คือ ในเมื่อเราทุกคนอยู่ภายใต้ กฏของทุนนิยม แล้วจะมีสักกี่คนที่เข้าใจ หลักการของมันอย่างจริงจัง …คุณรู้ไหมหากคุณเข้าใจระบบอย่างถ่องแท้ มันก็ไม่ยากที่คุณจะสามารถทำกำไรในสิ่งที่คุณเห็น ในขณะที่คนอื่นมองไม่เห็น..จริงไหม

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์ กำลังจะพูดถึง “ทุนนิยมเหรอ” --เดี๋ยว!!พี่ขอไปแอบหลับได้ไหม…อิ อิ

ภาววิทย์ : “เดี๋ยวป๋ากึ้ง..ฟังก่อน!!” ระบบทุนนิยม ตั้งอยู่บนหลักของ Demand & Supply คือ ผมหมายความว่า ทุกอย่างขึ้นลงตาม Demand & Supply ไม่ว่าจะเป็น หุ้น บ้าน ที่ดิน ทอง ทุกอย่าง ขึ้นลงตามความต้องการของตลาด.. คุณรู้ไหมเคล็ดลับของทุนนิยมคือ การที่เงินมันลดมูลค่าลงเรื่อยๆ ในขณะที่ Asset บนโลกนี้ ไม่ได้เพิ่มขึ้น แถมลดลงด้วยซ้ำ เช่น นำ้มัน , เหล็ก คือ บางอย่างใช้แล้วหมดไป ….แต่ Supply ของเงิน คุณลองดู ตั้งแต่ Sub prime เป็นต้นมาแบงค์ชาติประเทศต่างๆ อัดฉีดเงินเข้ามามหาศาล

ในขณะที่ Supply ของเงินเพิ่มขึ้นเรื่อย แต่ Asset ไม่ได้เพิ่มขึ้น .. “คุณว่าอะไรจะเกิดขึ้น” แน่นอน สิ่งที่จะเกิดก็คือ เมื่อใดก็ตามที่เศรษฐกิจผ่านวิกฤต เงินก็จะไหลบ่าเข้ามาสู่ Asset อย่างมหาศาล --ดังนั้น ผมฟันธงเลยว่าถ้าวิกฤตเศรษฐกิจผ่านพ้นไป ราคา Asset ทุกอย่างรวมทั้งหุ้นต้องพุ่งอย่างมโหราฬ!!

ป๋ากึ้ง : แต่คุณ ภาววิทย์ ไม่คิดเหรอว่า อเมริกา กับ ยุโรปอาจเป็นแบบญี่ปุ่น คือ ผ่านไป 20 ปี แต่ตลาดหุ้นกลับไม่ไปไหนเลย

ภาววิทย์ : ผมว่าภาพนี้ต้อง มองแยกเป็นประเด็นๆ นะ อย่างที่ ถ้าบอกว่าเศรษฐกิจญี่ปุ่นและตลาดหุ้นไม่ไปไหน แต่มันไม่ได้หมายถึงทุก Sector จะแย่ เพราะอย่างการส่งออกของญี่ปุ่นก็ดีมาตลอด ดังนั้น ภาพนี้มันชัดว่า “ไม่ใช่ประเทศไม่ดี แล้วทุกคนจะต้องซวย ..มันมีบางคนที่ดี --ประเด็นมันอยู่ที่ว่าคุณจะเลือกเป็นคนไหน “ดีหรือซวย”..ใช่ไหม!!

ตอนนี้ผมเห็นนักวิเคราะห์หลายคน ยกตัวอย่าง Dr.Doom ที่ออกมา วิเคราะห์บอกว่า โลกเราเศรษฐกิจขึ้นมาถึงจุดยอดแล้ว ต่อไป Demand มีแต่จะลดลง ดังนั้น “เรากำลังจะเข้าสู่ยุคของ Asset ถูกตลอดไป!!” ..ผมถามหน่อย “คุณเชื่อไหม!!”
คุณลองมองให้ดีนะ ถ้าเศรษฐกิจดี มัน Win-win คือ ทุกฝ่ายได้ประโยชน์ แต่ในทางกลับกัน ถ้าเศรษฐกิจไม่ดี มัน Lose-Lose นะ คือต่างคนต่างซวย แต่คนไม่ซวยมีคนเดียว คือ “Dr.Doom” เพราะเขาขายหนังสือได้ เขาได้ค่าตัวเวลาออกทีวี ได้เงินจากการเป็นสื่อ แต่นอกนั้นทุกคนซวยหมด ---“ไร้สาระสิ้นดี!!”

เศรษฐกิจจริงๆแล้ว มันไม่ได้มีอะไรเลย ก็ Demand & Supply ดีๆนี่เอง ..ลองนึกภาพนะครับ ในโลกนี้มีเงินอยู่ก้อนหนึ่ง แต่ก่อนเงินอยู่ในมือรัฐบาล แต่ละประเทศก็ปิด ทำให้การเคลื่อนย้ายเงินทำได้ยาก ผลก็คือ เศรษฐกิจแต่ละ cycle ใช้เวลานาน (สังเกตุ Cycle สมัยก่อนบางที ขาขึ้น ขาลง กินเวลา 20 ปี) ---“แต่คุณลองสังเกตุเดี๋ยวนี้ จาก Globalize การเคลื่อนย้ายเงินทุนทำได้เพียงปลายนิ้ว …มาดูในส่วนของคน Control เงินส่วนใหญ่ของโลก ถามหน่อยเดี๋ยวนี้ใช่รัฐบาลไหม!! ..ไม่ใช่เลย!! “ยิว” เจ้าของ Hedge Fund /Private Equity ต่างๆ อยู่ในมือ “ยิว”

“ยิว” นี่แหละเจ้ามือตัวจริง รัฐบาลไอ้กันเป็นเพียงหมาก (ย้ำ!! เป็นเพียงหมาก!! ) ย้อนกลับช่วง Sub prime ตลาดหุ้นทั่วโลก รวมทั้ง Asset ราคาตกวูบไปไม่รู้กี่ Trillion (หลักล้านล้านบาท) ..คุณลองนึกดูนะ Asset ทั่วโลกราคาตกวูบ แต่ถามหน่อย Physical จริงๆ “สสาร” มันไม่ได้หายไปไหน --“ดังนั้น ประเด็นเดียวที่ทำให้ ราคา Asset รวมทั้งหุ้น ตกวูบขนาดนั้น ก็คือ (อารมณ์ของยิว !!)

ถึงจุดนี้ หลายคน งง ว่าอารมณ์ของยิว มันเกี่ยวกับราคา asset อย่างไร “มันเกี่ยวอย่างมาก!!” ก็คุณคิดดูซิ “ยิว” มัน Control เงินค่อนโลก “พอมันรู้สึกแย่..เท่าไหร่ก็ขาย หนีออกเพื่อถือเงินสด” ภาวะนี้คุณลองมองในมุมของ Demand & Supply นะ … “ช่วง Sub prime มันเกิดภาวะที่ Demand ใน Asset ลดลงกว่าความเป็นจริง “ผลก็คือ ราคา Asset ทั่วโลก อยู่ดีๆก็หายไปเฉยๆ” ---จากนั้นพอพวก “ยิว” ตั้งสติได้ มันก็รีบกลับเข้ามาช้อนซื้อ Asset ที่เพิ่งปล่อยหลุดมือไปอย่างหมูๆ ช่วงปลายปี 2008 ----ดังนั้น เมื่ออารมณ์ยิว โดดไปอีกด้าน ก็ส่งผลให้ ราคา Asset ที่มันซื้อขายได้ง่าย อย่าง Commodity และ หุ้น เหวี่ยงกลับมาอย่างรวดเร็ว “เกิดสภาวะ Bull Market ตลอดปี 2009”)

ทั้งหมดที่ผม พร่ามมานาน มีสองประเด็น คือ หนึ่ง “ Demand & Supply” สอง “อารมณ์ยิว!!”…ตลกไหมโลกเรา เข้าใจสองตัวนี้ “รวย!!”---ทีนี้คุณสงสัยไหมว่า ทำไม ฮิตเลอร์ มันไล่ฆ่ายิว …หุ หุ --“ก็เพราะฮิตเลอร์ คิดช้า ไม่ทันยิวไง …หุ หุ (ขำๆ)”

ป๋ากึ้ง : สรุปว่า คุณภาววิทย์ เปิดที่ Demand & Supply แล้วมาปิดที่ อารมณ์เปี่ยวนี่นะ!! (เฮ้ย!! ไม่ใช่… “อารมณ์ยิว”..หุ หุ) เอ๋อ..ว่าแต่ Buffet เกี่ยวกับภาพนี้ด้วยหรือเปล่า

ภาววิทย์ : เกี่ยวซิครับพี่ …ความมั่งคั้งของ Buffet ผูกติดกับระบบทุนนิยม (คือ ราคาเงินลดไปเรื่อยๆในขณะที่ราคา Asset เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ) สรุปง่ายๆคือ การลงทุนทุกอย่างมันตั้งอยู่บนฐานของ “ความเชื่อ” หากทุกคนเชื่อว่า ทองจะราคาขึ้น ..สุดท้ายราคามันก็เลยขึ้นจริงๆ เพราะมันเกิด Demand เพิ่มในขณะที่ Supply ของทอง มันมีจำกัด

กลับมาที่ประเด็นของเงิน ที่ผมพูดถึงว่า ตอนนี้ Supply ของเงินมันมหาศาล ประกอบกับการไหลของเงิน มันทำได้ง่ายเพียงปลายนิ้ว ..สิ่งที่จะเกิดขึ้นคือ ราคาของ Asset ต่างๆ มันก็จะผลัดกัน Bubble ไปเรื่อยๆ เช่น วันดีคืนดีกองทุนแห่ไปเล่นทอง ราคาทองก็พุ่ง ..เดี๋ยวกองทุนมัน หวือไปเล่น น้ำมัน --ราคาน้ำมันมันก็จะขึ้น …หรือวันดีคืนดี กองทุนมันหวือ มาเล่นหุ้น ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น

ด้วยเหตุนี้เอง หากคุณกระจายเงินคุณลงไปใน Asset ต่างๆ แล้วก็รอ ..คือ รอว่า ถ้า Asset ที่คุณถือมันหวือเมื่อไหร่ คุณก็ขายตัวนั้น แล้วเอาเงินที่ได้ ไปใส่ใน Asset ที่ยังไม่ขึ้น (เห็นไหมครับ การลงทุนให้กำไร มันก็คือ คุณเข้าใจ Basic พื้นๆของ Demand & Supply ใช่หรือไม่!!)

ป๋ากึ้ง : โอ้โห !! ชักมึน คือ คุณภาววิทย์ กำลังหมายความว่า ทุกอย่างในโลก มันมีความเชื่อมโยงกันหมด ..ประเด็นคือ ถ้าคุณเข้าใจภาพของการเชื่อมโยง แล้วคุณมองมันในเชิงของ Demand & Supply คุณก็จะเห็น “ช่องว่างของ Trend” จากนั้น “คุณก็สามารถทำกำไรได้จากมัน” –(เห็นในสิ่งที่คนอื่น มองข้าม คุณก็จะ “รวย” ..ถูกไหม!! )

ภาววิทย์ : “ใช่เลยพี่!!”------(อ่านต่อตอนที่ 6..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

วันศุกร์ที่ 23 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) .....ตอนที่ 4



แต่อีกประเด็นที่น่าคิดคือ คนส่วนใหญ่ “อยากเป็นนักลงทุนแต่ทำไม่ได้”--- อันนี้ ภาววิทย์ คิดยังไง

ภาววิทย์ : ประเด็นนี้โดนมากพี่ … “หลายคนไม่เข้าใจอย่างแรง ..การลงทุนแท้จริงแล้ว (คุณต้องอยู่กับมัน) บางครั้ง 30 ปี 40 ปี คือมัน โตครจะนาน” หากคุณเลือกแนวทางการลงทุนที่คุณไม่มีความสุข ผมถามหน่อยคุณจะอยู่ได้ไหม กับ 30 ปีบน ความทุกข์และนอนไม่หลับ (อย่าง Buffet ถ้าคุณมองให้ดี หุ้นขึ้นหรือลง เขาก็ไม่ได้ทุกข์ เพราะเขาไม่ได้ Focus ที่ราคาขึ้นลง ..การซื้อหุ้นของ Buffet เป็นการเข้าซื้อกิจการที่ดี และถือไปตราบเท่าที่ราคาหุ้นมันจะเกินมูลค่าที่แท้จริงไปมากๆ …จุดนี้ถ้าวิเคราะห์ให้ดีก็คือ การซื้อหุ้นถูก และขายตอนแพงนั่นเอง (คิดดีๆประเด็นนี้มันลึกมากๆนะครับ) .. “Buffet เขารวยเพราะเขาไม่ได้มองที่ราคา แต่เขาซื้อกิจการต่างหาก” ดังนั้น การลงทุนของ Buffet จึงไม่ใช่วิธีเชิงรุก แบบ “รวยเร็ว” อย่างที่ทุกคนเข้าใจ --- วิธีการที่ Buffet ใช้ สอนให้เรารู้ว่า ยิ่งคุณคิดอยากจะรวยเร็ว คุณกลับรวยช้า !!

โอเค !! จริงๆผมว่า มีน้อยคนที่จะทำอย่าง Buffet ได้ ทางแก้ผมว่า ทุกคนควรมี port “สอง Port…”

ป๋ากึ้ง : “แล้วทำไมต้องมี 2 port ล่ะ” Port หนึ่ง “ความสุข” อีกอัน “Port ความทุกข์” ใช่ไหม!!

ภาววิทย์ : “แม่นแล้วป๋ากึ้ง!!” ตีประเด็นแตกจริงๆ ..การลงทุนผมมองว่า Value Investor มันเป็นแนวทางที่ “เซ็งเป็ดเอามากๆ” แต่มันโคตรจะกำไร …ส่วนแนวทาง Timing Market แบบที่คนส่วนใหญ่เล่นมันเป็นอะไรที่ “สนุก” ซึ่งระยะสั้นอาจให้ผลตอบแทนที่เหนือกว่าแบบแรก แต่ถ้ามองให้ลึกๆแล้ว มันก็คล้ายกับ “การพนัน” ดีๆนี่เอง

ด้วยความคิดนี้เอง ผมจึงมองว่า หากทุกคนมี 2 port และเลือกลงทุนสองแบบ “คุณจะได้เห็นกับสองตาของคุณเอง เลยว่า วิธีไหนมันกำไรกว่า” ..แต่จำนวนเงินผมแนะนำให้ใส่ส่วนมากไว้ใน port ระยะยาว และก็ใส่ส่วนน้อยใน port ระยะสั้น (แบบที่กะว่าเหลือศูนย์ได้) จากนั้น “ก็ลุยเลย!!” ….ซึ่งถ้าให้ผมเดา port สั้นของคุณมีโอกาสที่จะชนะ port ใหญ่ในระยะห้าปีข้างหน้า .แต่ถ้าเกิด Double dip “คุณว่าPort แบบไหนซวย!!” ---เห็นไหมล่ะครับว่า ช่วงนี้ใครๆก็ห่วงว่า ตลาดจะ Correction เมื่อไหร่ .. “คนที่สนใจคำถามนี้ ก็คือ คนที่เล่นสั้นทั้งนั้น”…แต่ไม่ใช่ไม่ดีนะครับ …หุ หุ

ป๋ากึ้ง : ผมยังสงสัยนิดนึง เรื่องของ กองทุน คุณว่าไม่ดียังไง !!

ภาววิทย์ : ไม่ใช่นะครับ!! ผมไม่ได้บอกกองทุนไม่ดี เพราะไม่ว่า กองอะไรก็ตาม ยังไงมันก็ดีกว่า “เงินฝาก” …หุ หุ --ปัญหาของกองทุนคือ เขาไม่ใช่ไม่เก่ง (ผู้จัดการกองทุนแต่ละคน ระดับหัวกะทิของประเทศทั้งนั้น) ปัญหาที่แท้จริงคือ เขาถูกวาง Position ให้เล่นในข้อจำกัด เช่น ห้ามถือหุ้นหมด port หรือ ห้ามขายหมด port แต่ละ quarter ต้องแสดงผลงาน … “ถึงให้ Buffet มาเล่นภายใต้ ข้อจำกัดนี้ เขาก็ซวยเหมือนกัน” ดังนั้น ประเด็นมันอยู่ที่ “เกมที่เขาเล่นต่างหาก ที่ทำให้ผลตอบแทนมันออกมาไม่ดี”…เหมือนที่ผมบอกว่า “คนเราไม่ว่าเก่งแค่ไหน ถ้าไม่มีเวที ให้แสดงออก หรือ ถูกจำกัดให้เล่นภายใต้ข้อจำกัด ..ต่อให้เป็น Tiger woods ก็เถอะ --“พัง!!””

ป๋ากึ้ง : แล้วภาววิทย์แนะนำอย่างไร เกี่ยวกับการลงทุนล่ะ

ภาววิทย์ : ผมมองว่า การลงทุนจริงๆแล้วมันเป็น “ศิลป์” มันไม่ใช่ “ศาสตร์” ดังนั้น มันไม่มีสูตรสำเร็จ …ในโลกของการลงทุน 1+1 อาจไม่เท่ากับ 2 ---เนื่องจากสภาวะแวดล้อมมันเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา …เหมือนคุณเล่นกอล์ฟน่ะ ตีกอล์ฟก็สนามเดิม แต่จุดที่คุณตี มันไม่เคยซ้ำที่เดิมเลย ดังนั้น ที่หลายคนมองว่า เอ๊ะ!! คุณตีกอล์ฟอยู่สนามเดียวซ้ำไปซ้ำมา..ไม่เบื่อหรือ !!-- จริงๆแล้วทุกครั้งสถานการณ์มันไม่เคยเหมือนเดิม “และนั่น คือ ความท้าทาย ของการลงทุน”

ป๋ากึ้ง : คุณตีกอล์ฟเหรอ !! แต่ผมเซียนจักรยานผาดโผนนะ ..อิ อิ ---ผมขอเสริมนะ “คนเราส่วนใหญ่ชอบมองว่า การลงทุนมันเรียนได้จากการอ่านตำรา แต่ผมบอกเลยว่า “คิดผิด!!” คุณคิดดูนะ ไม่ว่าจะเป็นกอล์ฟ หรือ ปั่นจักรยาน การที่คุณจะเป็นเซียนได้ มันไม่ได้อยู่ที่ว่า คุณรู้ทฤษฎีมากน้อยแค่ไหน …มันอยู่ที่ “การฝึกฝนต่างหาก” แต่แปลกมากนะ ที่คนส่วนใหญ่พอ ได้อ่านหนังสือหน่อย หรือ รู้ทฤษฎี อะไรนิดหน่อย ก็นึกว่า คุณเก่งเป็นเซียนแล้ว (จริงๆ มันไม่ใช่เลย)
วันแรกที่คุณ ขึ้นขี่จักรยานจริง ..นั่นแหละ “นับหนึ่ง” .. คุณเข้าใจที่ผมพูดไหม !!

ภาววิทย์ : ใช่ๆ เห็นด้วยๆ ..ว่าต่อเลย ป๋ากึ้ง!!

ป๋ากึ้ง : “จบแล้ว !!” ไปนอนดีกว่า..อิ อิ (พูดเล่น ๆ) สิ่งที่อยากจะพูดคือ มันถึงเวลาแล้วที่ คนทุกคนจะต้องเข้ามาศึกษาเรื่องการลงทุนอย่างจริงจัง .. “เห็นด้วยไหม ภาววิทย์!!”-------(อ่านต่อตอนที่ 5..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

วันพฤหัสบดีที่ 22 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!)......เข้าสู่ ตอนที่ 3



ป๋ากึ้ง : “ขำขำ” อย่าคิดมาก ..ประเด็นต่อไปเลย “มีคนพูดถึงในหนังสือ แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet” ว่ามีบทนึง พูดถึง การเล่น หุ้นปั่นที่เสี่ยงน้อย …ภาววิทย์ช่วยอธิบายหน่อย

ภาววิทย์ : จริงๆประเด็นมัน ไม่ได้ “ Insider หรือ วิชามาร อะไรหรอกครับ!!” คือ ปัจจุบันนี้เจ้ามือเขาฉลาดขึ้น ถ้าพวกเรารายย่อยตามไม่ทัน “ผมว่าซวยแน่!!” …วันนี้ “หุ้นปั่น” มันไม่ใช่หุ้นไม่มีพื้นฐานอีกต่อไป มันกลับเป็นหุ้นที่ พื้นฐานดี ราคาถูก ปันผลก็สูง (คุณคิดให้ดี.. แล้วอย่างนี้ คุณควรขอบใจคนปั่นหรือเปล่า --เพราะทำให้คนมองเห็นหุ้นดี ..จริงป๊ะ!!) วันนี้ตลาดบ้านเรามีหุ้นดีราคาถูก เยอะมาก แต่ราคาไม่เคยวิ่งไปไหน ...วันนี้นักปั่นเข้ามา “คุณต้องขอบคุณเขา!!” เพราะมัน Win-Win คือ พูดง่ายๆ ถ้าปั่นไม่ขึ้น ก็ไม่เดือดร้อน รับปันผลอย่างเดียว ยังดีกว่าเงินฝากไม่รู้กี่เท่า (วันนี้ถ้าใครเอาเงินฝากธนาคาร ผมว่าคุณใส่ตุ่มแล้วฝังไว้ใต้บ้าน .. “ค่าเท่ากัน” ดอกเบี้ยเกือบจะเป็นศูนย์ ผมถามหน่อย “ฝากทำไม”

วันนี้คุณถามผมว่า “หุ้นดี ไม่ผันผวน ความเสี่ยงต่ำ มีไหม” ผมบอกเลย กองอยู่เต็มตลาด .. อย่างหุ้นที่ P/BV ต่ำกว่าหนึ่ง และปันผลดี มันบอกโดยนัยแล้วว่า ไม่มีคนเล่น ดังนั้น ราคามันไม่วิ่งผันผวน ดังนั้น คุณถือนิ่งๆรับปันผลสบายๆ ..ที่ต้องดูอย่างเดียวคือ เจ้าของกิจการ(ผู้ถือหุ้นรายใหญ่) ดูนิสัย ถ้าเขานั่งอยู่ฝั่งเดียวกับ ผู้ถือหุ้น (เติบโต+ ปันผล) “คุณซื้อได้เลย”
อย่างผมบริหาร port ให้ทางบ้าน ผมไม่ชอบเสี่ยง ผมไม่เข้าไม่ออก คือ เข้าแล้วนิ่งรับปันผลอย่างเดียว ไอ้ราคาที่ขึ้น Capital Gain ผมมองว่าเป็นโชค

อย่างตัวผมเอง เงินเดือนทุกบาททุกสตางค์ ผมใส่เข้าตลาดหุ้น ผมไม่ซื้อ RMF/LTF ผมมองว่าถึงลดภาษี 30% ผมก็ยังมองว่าไม่คุ้ม ผมบริหารเองคุ้มกว่า “ดังนั้นผมไม่ซื้อ..ฮ่า ฮ่า” ทุกวันนี้ผมซื้อตลอดไม่มีการขาย ตลาดตั้งแต่ Bottom ปี 2008 เป็นต้นมา มันเป็นตลาดของผู้ซื้อ ขายไปก็ขายของถูก “จะขายหมูไปทำไม” …คุณดูให้ดีนะ ตั้งแต่ Bottom เป็นต้นมา คนที่กำไรที่สุดคือ คนที่ซื้อมาแล้วยังไม่ได้ขาย …พวกกองทุน พวกต่างชาติ ไม่รู้เล่นบ้าอะไรกัน (บอกเลย มั่ว!!) ทุกรอบที่ทั้งกองทุน ทั้งต่างชาติ ขาย เขาซื้อแพงขึ้นทุกรอบ แต่ก็โทษเขาไม่ได้ เพราะ พวกเขาวัด Performance เป็น Quarter ทำให้เขาต้องโชว์กำไร ..แต่ผมไม่ต้อง ผมวัดท้ายสุดเลย เอาแบบ Buffet คือ ที่เขาเหนือกว่า กองทุนทั่วไป เพราะเขาไม่ได้บริหาร Port แบบกองทุน ..เขาเล่นแบบ “คนมีเงินนอนต่างหาก”

ให้ผมฟันธงนะ ว่าบริหารอย่างไร จึงจะกำไรที่สุด “ก็คือ ซื้อตอนตลาดถูกๆ และขายตอนตลาดแพงๆ” (สังเกตุไหมครับว่า ผมไม่ได้พูดว่าซื้อถูกที่สุด แล้วขายแพงที่สุด ..ไม่ใช่!! เพราะมันเป็นไปไม่ได้) คนทั่วไปบางทีดีใจ ซื้อของมาถูก แต่พอขายดันขายถูกว่าที่ซื้อ (อันนี้จริงๆแล้ว มันหมายความว่าคุณซื้อแพงรึเปล่า!!)

วันนี้หลายคนถามผม “ตลาดแพงหรือยัง” ผมมองเทียบเงินฝาก ปัจจุบันเงินฝากให้ดอกเบี้ย “ถูกเป็นขี้” ไม่ต้องคิดก็รู้ว่า ตอนนี้ซื้อหุ้น รับแค่ Dividend อย่างเดียว ได้มากกว่า ไม่รู้กี่เท่า (มนุษย์ เราไม่ได้โง่นะครับ ---วันนี้ผมมองเห็นโอกาสตรงนี้ แต่อีกหน่อยคนส่วนใหญ่ก็ต้องเห็น (คำถามคือ ถ้าคนส่วนใหญ่เห็น แล้วโยกเงินมาทำอย่างผม --ราคาหุ้นมันก็จะขึ้น ) และเมื่อถึงเวลานั้น ถ้าหุ้นมันขึ้น พอราคามันแพง มันก็คงเข้าช่วงเศรษฐกิจดีแล้ว (ถ้าเศรษฐกิจดี ดอกเบี้ยเงินฝากก็สูง ) ถ้าดอกเบี้ยเงินฝากสูง ผมก็ขายหุ้นที่ราคา “ยอดดอย” มาวางที่เงินฝาก ..จากนั้นก็รอให้ Bubble มันแตก ผมก็ค่อยถอนจากเงินฝาก เอาไปใส่หุ้นเหมือนเดิม

เห็นไหมล่ะครับว่า จริงๆ การเล่นหุ้นให้กำไรมันไม่ได้ยาก มันเป็นอะไรที่น่าเบื่อ เพราะคุณจะต้องรอ Cycle ขาขึ้นขาลง ซึ่งสมัยก่อนหนึ่ง Cycle อาจกินเวลา 20 ปี เดี๋ยวนี้ 10 ปี Cycle ก็เปลี่ยนแล้ว …ลองคิดซิครับ ยิ่งระบบทุนนิยม มีการเคลื่อนย้ายเงินได้อย่างง่ายดาย ย่อมทำให้ Cycle ในอนาคตสั้นลงเรื่อยๆ …อีกหน่อย 5 ปี หรือน้อยกว่านั้น ก็เปลี่ยน Cycle แล้ว
คุณคิดดูนะ นักธุรกิจพอเข้า Cycle ขาลง ทีไร “เหงื่อแตก!!”

(ข้อจำกัดของเจ้าของ คือ คุณจะมาซื้อๆขายๆหุ้นตัวเอง มีหวังโดนข้อหา Insider ได้ไปนอนในคุก!!) …แต่อย่างผม ในฐานะนักลงทุน ผมไม่มีข้อจำกัดตรงนั้น ดังนั้น ผมสามารถซื้อและขายแบบเทหมด Port สวน Cycle …ลองนึกซิครับว่า กลายเป็นว่าทุกๆ Down Cycle นักลงทุนจะรวยขึ้น ขณะที่เจ้าของกลับจนลง …ดังนั้น ถ้าผมจะตั้งกองทุนมาสักกอง แล้วอาศัย Cycle (ที่อนาคตจะถี่ขึ้นเรื่อยๆ) ผมอาจสามารถ Take over กิจการต่างๆได้ ในเวลาเพียงไม่กี่ปี (ระวังไว้ บริษัทยักษ์ ใหญ่ที่ชอบ เอาเปรียบรายย่อย ..ระวังรายย่อยจะรวมตัวซื้อคุณไปเลย..หุ หุ)

ต่อไปโลก มันไม่ได้ขึ้นกับว่า คุณใหญ่แล้วคุณจะได้เปรียบ มันอยู่ที่ใคร “คิดเป็น คนนั้นก็ชนะ” ..(ทุน) มันจะวิ่งเข้าหา จุดที่ได้เปรียบเสมอ ..ทุกคนอยากลงทุนกับผู้ชนะ “วันนี้ประเด็นของ The winner take all มันชัดเจนขึ้นเรื่อยๆ” ..เกมการแข่งขันในโลกธุรกิจ มันกำลังเปลี่ยนจากหน้ามือเป็นหลังมือ ถามว่า ถ้าคุณไม่ปรับตัว “คุณจะรอดไหม!!”

เดี๋ยวนี้ บริษัท จากโรงรถ เอาชนะยักษ์ใหญ่อย่างสบาย “ที่ Bill Gates เคยกลัวว่า วันนึง จะมีบริษัทจากโรงรถ เข้ามาแข่งกับ Microsoft” วันนี้มันเกิดขึ้นจริงแล้ว ทุกวันนี้ Google ใช้เวลาไม่กี่ปี ก้าวขึ้นมาเป็นยักษ์ใหญ่ของโลกท้าทาย Microsoft (เห็นไหมล่ะครับ สิ่งที่ Bill Gates กลัวมันได้เกิดขึ้นจริงๆแล้ว)

คู่แข่งของคุณ มันไม่ใช่ เพื่อนบ้าน หรือ เพื่อนร่วมชั้นเรียนของคุณอีกต่อไป มันรวมถึง เด็กตาดำๆในจีน และ อินเดีย ที่ก้าวขึ้นมาแย่งงาน จากคุณไป!! --วันนี้คนอเมริกาขำไม่ออกแล้ว เพราะงาน วิศวะ และ IT ถูกคนอินเดียแย่งทำ ..งานการผลิต ก็โดนคนจีนแย่งไปทำ …วันนี้อเมริกาเองผู้สร้าง Internet และ Technology การ Outsource --“กำลังเมาตด ที่ตัวเองสร้าง” “อบอวนอยู่ในห้องแคบๆ…เหม็น!!”

หลายคนบอกกลัวอเมริกา!! อเมริกาน่ากลัว ..ผมว่า “มันหมูมากกว่า” วันนี้ คนที่คุณต้องกลัวคือ นักลงทุนต่างหาก เพราะนักลงทุน นั่งอยู่เหนือ Cycle และทำกำไร จากทุกวิกฤต “นี่ซิ..น่ากลัวจริง”

ป๋ากึ้ง : และนี่ก็คือ เหตุผลที่ว่า คุณควรจะเป็นนักลงทุน ไม่ว่าคุณจะมีอาชีพใดก็ตาม ..การเล่นหุ้นที่กำไร ไม่จำเป็นต้อง วิ่งซื้อขาย ตามคนอื่นให้เหนื่อย เพราะถ้าคุณเข้าใจภาพใหญ่ คุณแทบจะไม่ต้องทำอะไรมากมาย กับความผันผวนของตลาดเลย (สุดยอดจริงๆ!!)-------(อ่านต่อตอนที่ 4..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

วันพุธที่ 21 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

คุยกับ “ภาววิทย์” โดย “ป๋ากึ้ง” (แกะรอยหยักสมอง!!) ....ตอนที่ 2



ป๋ากึ้ง : ตอนนี้มองตลาดหุ้นแล้วมึนตึ๊บ ทะลุ 800 จุดไปชิวๆ ทั้งที่ Fund Flow ยังนอนตีพุงอยู่นอกตลาด .. ช่วงนี้ขาใหญ่บ้านเราก็ลากเอา ลากเอา “สงสัยอยู่ว่า เขาจะลากรายย่อยไปเชือดชะมั้ง!!” ..—ภาววิทย์ -คิดว่ายังไง

ภาววิทย์ : ผมมองเป็นสองประเด็นนะ “ไม่ขึ้นก็ตก..หุ หุ” (ตอบแบบกำปั้นทุบดิน โคตร…!!) --คือส่วนตัวผมมองว่า วันนี้ตลาดถูกมากๆ (ผมไม่ได้หมายความว่า จะไม่มี Double Dip นะ เพราะถ้าดูทาง Technical ตอนนี้ ยังไงระยะสั้น ใครๆก็มองว่าต้องมี Correction แน่นอน) ---จริงหรือ!! (ไม่ได้ท้าทาย ..เพราะจริงๆ ผมมองว่า ที่บอกๆกันว่าจะ Correction แล้วถ้าเกิด Fund Flow มันเปลี่ยนใจ “รวมใจไหลเข้ามาล่ะ!!” นักวิเคราะห์จะไม่ปากกาหักอีกกี่แท่ง ….ประเด็นมันไม่ได้อยู่ที่ตลาดจะ Correction หรือไม่ ที่สำคัญผมต้อง ถามกลับว่า “คุณเล่นหุ้นแบบไหนต่างหาก”

ป๋ากึ้ง : ทำไมล่ะ!! ช่วยแถลงไข ด่วน!!

ภาววิทย์ : โอเค! ยกตัวอย่างผม บริหาร Port ให้ครอบครัว ผมต้องตีโจทย์ตรงนี้ของคุณแม่ว่า (หนึ่ง) ไม่ต้องการเสี่ยง (สอง) ต้องให้ผลตอบแทนที่ดีกว่าเงินฝาก … “เมื่อผมรู้ว่าก้อนนี้ผมคือเงินนอน ดังนั้นภารกิจ การจะทำกำไรเหนือกว่าเงินฝาก “ร้อยเท่า” ของผมจึงเกิดขึ้น” --- หุ้นที่สามารถเล่นได้ ต้องเป็น Blue chip ที่ “เจ๊งไม่ได้”

..ต้องดูว่า กิจการมีการเติบโตอย่างต่อเนื่อง ---จุดนี้หมายความว่า Book Value จะเติบโตตาม GDP ….จากนั้นผมก็ดูว่า P/BV ต่ำกว่า 1 (เพราะมันหมายความว่า ผมซื้อหุ้นถูกกว่าที่เจ้าของลงทุน แสดงว่า “มันถูก” ) แต่ก็ไม่ได้หมายความว่าทุกตัวต้องต่ำกว่า 1 เท่า อาจสูงกว่านิดหน่อยแต่ต้องไม่มาก ….จากนั้น ผมก็มอง Dividend ต้องสูงกว่าเงินฝาก (เมื่อเลือกได้ ก็เสร็จภารกิจ ซื้อแล้วเก็บ Port ไปเลย ..ทำให้ผมไม่ต้องมาลุ้นว่า มันจะ Double Dip หรือ Correction หรือไม่ ..เพราะมันไม่เกี่ยวกับผมเลย)

ป๋ากึ้ง : อ้าว!! แล้วถ้าตลาดมัน Dip ลงไป “ราคาหุ้นที่ซื้อมาตกลงไปเยอะ” ภาววิทย์จะทำอย่างไร

ภาววิทย์ : “ก็ไม่เห็นต้องทำอะไร” แต่ถ้ามันตก แล้วผมพอจะมีเงิน ผมอาจช้อนเพิ่ม ..เพราะผมแน่ใจว่า “หุ้นที่ผมซื้อมันราคาถูกอยู่แล้ว ..คือยิ่ง ถ้าถูกกว่านี้ มันก็ยิ่งน่าซื้อ” ---ผมว่านะ “คนส่วนใหญ่เข้าใจผิด” นึกว่าตัวเอง สามารถซื้อหุ้นได้ถูกที่สุด หรือสามารถขายได้แพงที่สุด ----ทฤษฎีนี้เขาเรียก Timing Market ในระยะยาว “คุณนับคนได้ ว่าทั้งโลกมีคนที่ทำวิธีนี้แล้วชนะตลาด ผมจะไปกราบขอเป็นศิษย์…หุ หุ” (ย้อเย่น!! แต่ในความเป็นจริง ในระยะสั้นคุณอาจโชคดี แต่ในระยะยาว ไม่มีใครโชคดีทุกครั้ง --ผมถามกลับหน่อย ถ้าหากคุณโชคดีทุกครั้ง แต่ครั้งสุดท้าย คุณโชคร้าย “เสียทั้งหมดที่เคยกำไรมา”(แนวคิดของ Black Swan) –“อย่างนี้จะเรียกว่าคุณ สำเร็จ หรือ ล้มเหลว ล่ะ!!”

ดังนั้น ประเด็นที่ป๋ากึ้งถามว่า ถ้าหุ้นที่ซื้อตก จะทำอย่างไร ผมว่ามันตอบตั้งแต่ต้นแล้ว “เพราะที่จริง ถ้าผิด มันก็ผิดตั้งแต่ต้นแล้ว” คือ คุณต้องเชื่อมั่นในการตัดสินใจ คุณถึงจะสามารถกินปลาใหญ่ได้ แต่ถ้าหวังตอดแบบเล็กๆ นั่นมันก็อีกแนวทางในการเล่นหุ้น เพราะมันคนละสไตล์เลย--- การซื้อหุ้นมันถึงกำหนดความสำเร็จตั้งแต่คุณซื้อแล้ว!!

ป๋ากึ้ง : แต่ถ้าซื้อได้ “ถูก” แต่คุณกลับ “ขายหมู” ล่ะ

ภาววิทย์ : หุ…หุ.. ประเด็นนี้น่าสนใจ “แต่ขายหมู มันหมายถึงคุณกำไรนะ (ดีกว่าติดดอย) …แต่ผมกลับชอบซื้อหมูมากกว่า…หุ หุ” ผมว่า “มนุษย์เรามั่นใจตัวเองมากเกินไป..จึงทำให้พลาดง่าย” เมื่อใดที่คุณมองว่าตัวเองเก่ง เมื่อนั้น ความหายนะมันกำลังนั่งอยู่ข้างๆคุณนะ (เหมือนหนังผี!! น่ะ สยองงงง…) ดังนั้น วันใดที่คุณมั่นใจสุดขีด ผมว่าวันนั้นคุณจำคำพูดผมไว้ ..จากนั้น แบ่ง Port และทำสวนกับความ มั่นใจสุดขีดนั้น --“ผมว่าผลลัพธ์ มันจะทำให้คุณคาดไม่ถึง”

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์ !! ผมว่ามันชักจะนอกเรื่องแล้วนะ …กั๊ก กั๊ก เอาคำตอบที่ตรงประเด็น “สรุปว่า ภาววิทย์ มองว่าวันนี้ตลาดถูก ใช่ไหม”

ภาววิทย์ : ครับ..แต่!! มันไม่ใช่ทุกตัวถูก “ต้องเลือก” อย่างตลาดบ้านเราตั้งแต่ปี 1994 มายังอยู่ใน Trend ขาลงอยู่เลย แต่คุณ ดูซิ ทำไม ดร.นิเวศน์ ทำเงิน จาก port ไม่กี่สิบล้านในปี 1998 วันนี้ port แก “พันล้านแล้ว!!” ถ้าคุณมองแต่ SET คุณจะเห็นสิ่งที่คนอื่นไม่เห็นไหมล่ะ!!

ป๋ากึ้ง : โอโห!! เจ๋งจริงๆ

ภาววิทย์ : หุ ..หุ ..ขอบคุณมาก

ป๋ากึ้ง : ผมหมายถึง ดร.นิเวศน์ เก่ง ไม่ใช่คุณ …ฮ่า ฮ่า ฮ่า

ภาววิทย์ : ……..(จุ้งเลย!!) -------(อ่านต่อตอนที่ 3..ฉบับหน้า..ฮ่า ฮ่า)

วันอังคารที่ 20 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

แฉบรรยากาศสัมมนา S2M (พัทยา)..กับ “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน..(ตอนที่ 1)”



Theme สัมมนาคราวนี้เรียกได้ว่า “เยี่ยม!!” มันคือบรรยากาศของ “ทะเลหุ้น” นั่งสัมมนากันท่ามกลางทะเลติดปราสาทสัจธรรม (แต่ทุกคน Focus ในเนื้อหาที่เข้มข้น จนไม่มีเวลาไปดูปราสาทสัจธรรม..หุ หุ(กลบหมด!!)..งานวันนี้ S2M แอบเปิดตัวหนังสือเล่มแรกของทั้ง S2M และ ภาววิทย์ เรียกได้ว่า “ต่างคนต่างดิบ..พี่ Looking แกอยากเป็นสุกี้ ..ภาววิทย์ เลยต้องเป็น สมเกียรติ มอง Trend ..กำลังหา บอย อยู่ ใครรู้ตัวว่าเป็น บอย--ช่วยแสดงตัวด่วน!! ..”

งานนี้เรียกได้ว่า ป๋ากิ้ง แกยืนยิ้มตลอดงาน (เมาน่ะ!! ) ม่ายใช่!!..ล้อเล่น ..จริงๆคือ ป๋ากึ้งแกภูมิใจ ที่สังคม Online ที่ร่วมแบ่งปันเล็กๆแห่งนี้ กำลังก้าวขึ้นมาอีกขั้น …จาก Web Board เล็กๆ (ที่จำนวนคนดูไม่เล็ก) วันนี้เราได้ก้าวเข้ามาสู่การผลิต หนังสือ ที่จะเน้นในเรื่องคุณภาพเนื้อหา (คือเล่มแรกที่ต้องออกตัวเล็กน้อย เพราะใหม่ทั้ง S2M ใหม่ทั้งคนเขียน จึงอาจมีการผิดพลาดในเรื่องตัวสะกดบ้าง..กราบขออภัยมากๆครับ --“ขอให้คิดเสียว่า มันเป็น Original ดิบๆ คล้ายๆกับ Modern Dog ชุดแรกละกันครับ..หุ หุ”

ก็ขอแย้มเลยว่า จากนี้ไป S2M จะเริ่มผลิตงานคุณภาพออกมาเรื่อยๆ ทั้งจาก ป๋ากึ้งเอง(ทุกคนอดใจรอนิด..มาแน่!!) ผลงานจากคุณหมอ(ทุกๆท่านที่ สร้างความรู้แบบไม่หวังผลตอบแทน) …อย่างผมเอง ผมไม่ได้มองว่า การเขียนหนังสือมันคือการเป็นนักเขียนเท่านั้น หากแต่มันเป็นความภูมิใจ ของคนถ่ายทอด รวมถึงความสุขของผู้ได้รับ “ผมว่ามันเป็นอะไรที่อมตะนะ”

วันนี้เราได้เห็นเด็กรุ่นใหม่ (โดยเฉพาะ Gen Y) ที่เริ่มศึกษาหุ้นกันอย่างจริงจัง …ด้วยความสามารถ และการเป็นทายาทตัวจริงของ Baby Boomer --ผมไม่สงสัยเลยว่า จากนี้ไปตำนานของตลาดหุ้นกำลังจะถูกจารึกหน้าใหม่ (เอาเป็นว่า S2M กับ ป๋ากึ้ง มองเห็น Trend นี้เช่นกัน จึงอยากรับสมัครผู้ให้ และผู้มีความรู้ทั้งหลายให้เข้ามาร่วมแบ่งบัน ทั้งใน Web board หรือ กระทั่งการสร้างหนังสือ หรือ สื่ออื่นๆตามถนัดและจินตนาการ)

กลับมาที่บรรยากาศสัมมนา เริ่มด้วยภาพกว้าง (กว้างจริงๆ) จาก ป๋ากึ้ง และ ภาววิทย์
เราเริ่มด้วยการเอา Buffet “มาชำแหละ!!” คือเราถามกันไปกันมาว่า แท้จริงแล้ว Warren Buffet (นักลงทุนที่รวยที่สุดในโลก) เขามีจุดแข็งที่อะไร

ป๋ากึ้ง : ภาววิทย์!! ไหนๆ ก็จะ แกะรอยหยักสมอง Buffet แล้ว …บอกหน่อยว่า Buffet แจ๋วที่ตรงไหน?

ภาววิทย์ : “ความอึด!!”กั๊บ

ป๋ากึ้ง : “อะไร(ของมึงวะ) ความอึด” ไหนอธิบายซิ

ภาววิทย์ : “จุดเด่นของ Buffet คือเขาไม่ได้เก่งอะไรมากมาย” เพียงแต่เขามองภาพใหญ่กว่าคนทั่วไป อย่างในเฉพาะห้องสัมมนาถ้าพูดว่าลงทุน 1 ปี ก็เรียกว่ายาวแล้ว ..แต่นี่ Buffet มองที 30 ปี !!--พอลากเอากราฟความผันผวนของคนทั่วไป จะเห็นได้กว่า ผันผวนแกว่งยิ่งกว่าเข้าบ่อน ..แต่พอลาก กราฟของ Buffet ดู มันกลับเป็น กราฟที่ขึ้นอย่างเรียบๆ ---แต่จริงๆก็อย่างที่บอก เพราะเขามองภาพใหญ่มาก เวลาเล่นหุ้นก็เหมือนผู้ใหญ่แข่งกับเด็ก “คุณว่าใครจะชนะล่ะ!!”

ป๋ากึ้ง : “กั๊ก ..กั๊ก เหมือน “เล่นโก๊ะล่ะซิ” ท่าน ก่อศักดิ์ กล่าวว่า “ชนะเพราะไม่คิดเอาชนะ” การมุ่งจะเผด็จศึกอย่างรีบเร่ง ย่อมแพ้ในสมรภูมิโก๊ะอย่างง่ายดาย (ฮึม!! เหนือชั้นจริงๆ ) …แต่ !!

ภาววิทย์ : อย่างหุ้น Washington post ของ Buffet พอซื้อปั๊บ ปีต่อมาหุ้นตกไป ครึ่งนึง (ถ้าเป็นมนุษย์ปกติ ผมว่า ตกใจขายทิ้งไปแล้ว..แต่ Buffet ไม่ขาย) จากนั้น 30 ปี หุ้นวิ่งขึ้นจากที่เขาซื้อ 100 เท่า (คุณลองนึกดูว่า ไม่เรียก “อึด” จะเรียกอะไร อย่าง เราๆ ขึ้นไม่ต้องถึงเท่า ก็ขายกันไปหมดแล้ว..จริงไหม!!)…ดังนั้น ประเด็นจริงๆ คือ Buffet เขาไม่ได้ดูราคาแต่เขาซื้อกิจการ -----เพราะถ้ามองราคา “ถามหน่อยขึ้นไปสัก 1 เท่า …ก็จะทนไม่ไหวแล้ว!!”

ป๋ากึ้ง : อย่างเรื่องทองมองยังไง (เห็นในหนังสือ “แกะรอยหยัก”ก็แตะเรื่องทองด้วยนี่)

ภาววิทย์ : “ทอง” จริงๆมันคือ Commodity อย่างนึงที่วิ่งตาม Demand / Supply ตอนนี้ค่าเงินไม่ว่าจะอเมริกาหรือยุโรป ดูยังไงระยะยาวมีแต่ลง “นักลงทุนก็เลยวิ่งหาทอง” Demand มันมาก ราคามันเลยขึ้น --ถ้าถามว่ามันจะขึ้นต่อไหม ผมว่า มันต้องขึ้นต่อ แต่ประเด็นคือ ตอนนี้มัน Bubble อยู่ (ถ้าถามว่ามัน Bubble ไปถึงไหน --คุณดู Down jone คือช่วงทอง Bubble จริงๆ มันเท่า Dow “ตอนนี้ Dow หมื่นกว่าจุด แต่ทองพันกว่า ..เหลือ Roomอีกเยอะ --“แต่!!”)ผมไม่ได้บอกว่า Bubble มันจะดันราคาทองไปถึงไหน ..ถ้ารู้ก็รวยกันหมดแล้ว!! แต่เราไม่รู้ดังนั้นต้องช่างน้ำหนักดูเอง (วันนี้ถ้าถามว่าผมแนะให้ซื้อทอง ผมไม่แนะนำ แต่คนที่ซื้ออยู่แล้ว ผมก็แนะให้ถือต่อ และไปขายตอนที่ เศรษฐกิจดี)

ป๋ากึ้ง : แล้ว Commodity ตอนนี้ที่มันพุ่งๆ นี่ตั้งแต่ราคาน้ำมัน, น้ำตาล, Wheats ยันเหล็ก มันเกี่ยวอย่างไรกับหุ้น

ภาววิทย์ : Commodity จริงๆมันคือ Cost ของกิจการ คือ ถ้า Commodity แพง เช่น น้ำตาลแพง คนผลิตขนม ผลิตน้ำหวาน ก็เหนื่อย ---ดังนั้น ถ้า Commodity ขึ้น หุ้นก็มักจะแย่ (แต่รอบนี้มันแปลก เนื่องจาก หุ้นมันแย่ แต่เงินสดมันกลับแย่กว่า ) คือ ถ้าไอ้กัน มันขีนปล่อยให้เงินมันแข็ง มีหวังคน Default บ้านหมด “ตายทั้งประเทศ” ดังนั้น หลับตาฝันธง ยังไง ค่าเงินดอลล่าห์ก็ต้องอ่อน (อ่อนในที่นี้คือ อ่อนเมื่อเทียบกับ Asset นะ) เพราะมูลค่า Us เทียบ Asset มันหายไปเกือบ 90% ในช่วง 30 ปีที่ผ่านมา(คิดดูละกัน!!)

ป๋ากึ้ง : และ Pat มองอะไรตอนนี้ ว่าเป็นปัจจัยที่สำคัญ

ภาววิทย์ : ผมมองประชากรนะ ..ตั้งแต่ทำงานร่วมกับ Consult ที่เข้ามารื้อ ธนาคารกรุงเทพปีที่ผ่านมา มันเริ่มจากประชากรทั้งสิ้น คือ อย่าง Baby Boomer เคย Dominate ตลาดเนื่องจากกลุ่มนี้ คนเยอะ ..ดังนั้นไม่ว่า Boomer จะอยู่ในจังหวะใดของชีวิต ตลาดมันก็โป่ง Bubble!!..อย่างตอน Boomer เริ่มทำงาน ราคาบ้านที่ดินก็พุ่ง เพราะBoomer ทุกคนอยากซื้อบ้าน ซื้อหุ้น -- Demand มันมาราคามันก็เลยวิ่งตลอดปี 1990s --มาตอนนี้ Boomer จะเกษียณก็เลยขาย Asset กิน….เตรียมเกษียณ ..พอขายพร้อมกันทั้งบ้านทั้งหุ้น ก็กลายเป็นที่มาของ Sub prime
วันนี้หลายคนมองว่า “เราซวยแน่” เพราะไม่มีกลุ่ม Gen ไหนที่ใหญ่เท่า Boomer ดังนั้น “ Demand อาจไม่กลับมาอีก” แต่ทุกคนลืมนึกไปว่า Gen Y “แดกเก่งขนาดไหน” นอกจาก Gen Y จะเป็นทายาทตัวจริง ผู้สืบทอดกิจการต่อจากเจ้าสัวยุค Boomer …Gen Y เป็นกลุ่มที่บริโภคนิยมสุดขีด คุณดูอย่าง Major โรงหนังรวยก็เพราะ ช่วงนั้น Gen Y กำลังอยู่มหาวิทยาลัยก็โดดเรียนมาดูหนัง “Demand มากมันก็ Boom”
วันนี้ Gen Y เริ่มทำงาน ก็อยากซื้อบ้าน “คุณดูซิ Major ก็เปิด MJD มาจับ Gen Y” รวยอีกรวย เอามันทุกรอบ…
ผมมองไปข้างหน้าอีก พอ Gen Y เริ่มมีบ้านมีงานดี แล้วพอเงินเดือนสูงขึ้น ..เมื่อนั้นเขาก็จะเริ่มลงทุน “ Cycle มันก็จะเหมือน Boomer สมัยก่อน” ดังนั้น ถ้าคุณมองออก คุณก็ซื้อของได้ถูก --อย่างผมมองว่าในไม่เกิน 5 ปี คุณอาจเห็น Asian Miracle 2 ด้วยซ้ำ (เอาว่า ลึกๆ คุณไปอ่านในหนังสือ “แกะรอยหยักของผมต่อ”…หุ หุ)

ป๋ากึ้ง : แล้วภาววิทย์ไม่สนใจซื้ีอบ้านเหมือนคนอื่นเหรอ

ภาววิทย์ : อันนี้ต้องทำความเข้าใจก่อนว่า ที่ว่า “ซื้อบ้าน” คุณซื้ออะไรกันแน่ ..วันนี้บ้าน 20 ล้าน เนื้อที่เท่าแมวดิ้น 50 ตร.ว. คุณลองนึกดู บ้านอีก 30 ปี คุณอาจทุบสร้างใหม่ ..กลายเป็นว่า คุณซื้อที่ 50 ตร.ว. 20 ล้าน--“คุ้มไหม!!” ..จริงๆผมไม่ได้ Anti “การลงทุนมันดีทั้งนั้น” เพียงแต่คุณต้องมองให้ออกว่า คุณลงทุนในอะไรกันแน่!!”
วันนี้ผมว่า คนเราชอบเดินตามกัน แต่ลืมไปว่า เวลาคุณเดินตามคนอื่น “คุณจะมองไม่เห็นทางเดินข้างหน้า” ถ้าเขาเดินพาคุณไปลงเหว ก็ตายหมู่ ..แต่อย่างผม ผมเดินอีกด้าน (หลายคนบอก..มึงบ้า!!) แต่คุณรู้ไหม ถึงแม้บ้า แต่ผมมองเห็นทางเดินข้างหน้า “ยังไงผมก็ไม่เดินลงเหวแน่” จริงไหม!!

เอาเป็นว่า ช่วงที่คุยกัน ระหว่าง ป๋ากึ้ง กับ ภาววิทย์ ก็ประมาณว่า ภาพใหญ่ๆ มองต่าง สร้างอีกมุมมอง แล้วหมุนมันให้คุณดู “มันก็ไม่ต่างกับ Buffet ที่นั่งมองอยู่ด้านนอกเหมือน Coach ฟุตบอล” คือ คุณไม่ได้ไปตะลุมบอลเหมือนนักเตะคนอื่น คุณก็เลยมองเห็น Trend และ “คุณก็เลยสามารถทำเงินจากมันได้”
เอาเป็นว่า ไปอ่านต่อใน “แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet ” กันได้แล้วครับ… คุ้มมาก(รึเปล่า).. ฮ่า ฮ่า..

วันอาทิตย์ที่ 18 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet"หนังสือเล่มแรกของผมคลอดแล้วคร้าบ!! (เหนื่อย..แต่เห็น Feed back ของผู้อ่านแล้ว ก็หายเหนื่อยครับ!!)



วันเสาร์ที่ผ่านมา ผมไปร่วมแบ่งปัน(เป็นหนึ่งในวิทยากรร่วม)ในงานสัมมนา stock2morrow--(ชุมนุมนักเล่นหุ้นตัวจริงทั้งขาใหญ่ขากลางขาเล็กไปกันเต็มเอียด!!)-- ที่ "Garden Cliff Beach Resort and spa (พัทยา)" ก็ได้ทั้งปันและรับความรู้เรื่องการลงทุนอย่างเต็มอิ่ม เริ่มด้วยภาพใหญ่ๆของ Trend ตลาดจากผมและคุณ Looking ตามด้วย เซียน Technical(ทั้งวิทยากรคุณหมอหลายๆท่าน) มาล้วงตับหุ้นลึกๆ ชนิดรายตัว(ซึ่งแน่นอนลึกและลับ!!) ..เอาเป็นว่าผมจะมาแชร์ "เท่าที่เปิดเผยได้.. ไม่งั้นเดี่ยว กลต.จะเชิญผมไปคุยในห้องขัง..หุ หุ(ล้อเล่น ..ไม่ถึงขนาดนั้น!!)"

งานนี้ขอบอกว่า "ภูมิใจมาก และขอบคุณทุกท่านที่ติดตามผลงานเขียนของผม" เพราะผมและคุณ Looking(เจ้าของ Web)ได้ถือโอกาสเปิดตัวหนังสือเล่มแรกของผม ที่ชื่อว่า "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" (หนังสือไม่ได้เกี่ยวกับประวัติ Buffet มากนัก(แค่ผิวๆเท่านั้น) แต่ยกชื่อ Buffet แกมาเพื่อเป็นเกียรติเพราะผมถือว่าแกเป็นครูใหญ่ และเป็นแบบอย่างที่ดีสำหรับนักลงทุนรุ่นใหม่ "ที่สามารถเดินตามแล้วไม่เจ็บตัว..หุ หุ")

หนังสือเล่มนี้เป็นการรวบรวมสังคยานา บทความที่ผมเขียน เพิ่มเติม เรียงร้อย และ เคี่ยวจนข้น Style ดิบๆในแบบการเขียนของผม วิเคราะห์ตั้งแต่มุมมองการลงทุน ในรูปแบบต่าง เศรษฐกิจอเมริกา วิ่งไปยุโรป ไปจีน อินเดีย ญี่ปุ่น มาจนถึง Thailand

สาระหลักคือ การนำเรื่องของประชากรตั้งแต่ Baby Boomer , Gen x, Y ซึ่งแน่นอน แต่ละ Gen มีผลกระทบต่อ เศรษฐกิจ เริ่มตั้งแต่ Boomer ที่เกิดหลังสงครามคือ พ่อแม่นิยมมีลูกมาก ยุคนั้นคนเยอะ Demand ก็มาก ผลิตยังไงก็ขายได้ .. พอกลุ่ม Boomer เริ่มทำงาน บ้านก็ขายดี จากนั้น หุ้นก็ขายดีตาม ..ตอนนี้ Boomer เริ่มแก่ก็เริ่มขาย Asset ที่ตัวเองลงทุนออกมาพร้อมกัน ทั้งบ้าน และหุ้น --ก็เป็น Tipping Point ของ Sub Prime นี่แหละ

ตอนนี้มาเจอ Gen X ก็เป็นรุ่นขัดตาทัพ เพราะ Boomer ก็จะส่งต่อกิจการให้ทายาท(ลูกจริงๆ) ก็ Gen Y ดังนั้นอนาคตกลุ่ม Gen Y ที่เป็นนักบริโภคแบบสุดโต่ง (จำ Major ช่วงก่อนหน้านี้ได้ไหม คุณวิชา แกรวยเพราะ Gen Y อยู่มหาวิทยาลัย..ก็โดดเรียนมาดูหนัง) ตอนนี้ Gen Y เริ่มทำงาน แกก็ตั้ง MJD มาขายคอนโด (รวยโคตร!! เพราะเข้าใจประชากร)

ตอนนี้ Gen Y เพิ่งเริ่มทำงาน และเงินส่วนมากก็ไปซื้อคอนโด "กู้มา" ดังนั้น ตลาดหุ้น ต้องรอ "แป๊ปนึง" ..เอาเป็นว่าผมจะ ทาบรัศมี คุณวิชา ไปเลือกซื้อหุ้นก่อนที่ Gen Y จะมาลง --และดักรอ Asian Miracle 2

คือพูดคร่าวๆเนื้อหาในหนังสือ ก็รวมไปถึงการวิเคราะห์ ที่ดิน ทอง รวมไปถึง มูลค่าเงิน ระบบทุนนิยม ..เอาแบบปั่นรวมให้อ่านกันง่ายๆภาษาตรงๆบ้านๆ แบบผมนี่แหละ!!

สรุปในงานสัมมนา "ก็ต้องขอขอบคุณ นักเล่นหุ้นชาว stock2morrow ที่อุดหนุน --ผมกับพี่ looking เลยแบบยิ้มแก้ม ปลิ!! ---ซื้อกันไปคนละ สองสามเล่ม ..มีพี่คนนึงเอาไปสิบเล่มจะเอาไปแจกอ่านกันทั้งบ้าน "ขอบคุณมากๆครับ" --เรียกได้ว่าหนังสือ แกะรอยหยัก ที่ขนมาขายเกี็้ยง รวมทั้งแจกลายเซ็นต์กันสนุกสนาน...ทั้งนี้ผมขอขอบคุณทุกๆท่านนะครับ ที่ซื้อไปแล้ว..และที่กำลังจะซื้อ(รึเปล่า..หุ หุ)

หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้านแบบ Buffet" เล่มนี้ของผม ขายเฉพาะใน www.stock2morrow.com เท่านั้น(จะเริ่มขายกันจริง อาทิตย์หน้านี้แล้ว)-- คือซื้อผ่าน Website หรือจะโทรสั่ง(ที่เบอร์โทรศัพท์ของ website ของ stock2morrow)ก็ได้นะครับ.. ทั้งนี้ เพราะเราพิมพ์และขายกันเอง แบบอินดี้ ราคาย่อมเยาว์ 175 บาท แต่เนื้อหารับรองว่าคุ้ม!! ...ก็ช่วยอุดหนุนกันหน่อยนะครับ ถือเป็นการขอกำลังใจ เพื่อจะได้ผลิตงานคุณภาพ ให้ออกมาเรื่อยๆ "ขอบคุณครับ"

((link ไปที่ S2M)) http://www.stock2morrow.com

ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
Facebook ที่ (pawawit stock comment)


วันพุธที่ 14 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

อาหารจานด่วนของสมองสำหรับผมทุกเช้าของนายภาววิทย์ !!..หุ หุ


ข่าวเด่นทุกวันโดยพี่ Looking (ทุกเช้าพี่แก จะไปอ่านข่าวจากหลายๆ source
แล้วก็กลั่นกรอง เอาข่าวที่น่าสนใจมาให้อ่านกัน) ..ทุกๆเช้าผมคนนึงล่ะ
จะต้องเข้าไปอ่าน (เป็นอาหารจานด่วนสมองของ web (stock2morrow)
ที่เยี่ยมจริง..(ลองคลิ๊กไปดูกันครับ)
ที่ http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=14186

ในส่วนของข่าว หุ้น ทุกๆเช้า คุณมะเหมี่ยว ก็จะทำการรวบรวมข่าวที่เกี่ยวกับหุ้น จากหนังสือพิมพ์และ Broker ต่างๆเอามารวมให้อ่านกันที่ stock2morrow (ก็น่าสนใจไม่แพ้ข่าวของพี่ looking) สรุปทุกๆเช้า ผมก็อาศัย stock2morrow นี่แหละครับช่วยให้ผมประหยัดเวลาในการหาข่าว..(ก็เข้าไปดูกันครับ)
ที่ http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=14187

คือสรุปว่าทุกๆเช้าผมก็จะคลิ้กเข้าไปที่ www.stock2morrow.com นี่แหละครับ เป็น One stop สำหรับนักเล่นหุ้นอย่างผมจริงๆ(เดี๋ยวนี้ ข่าวสารมากมาย หากไม่มี คนมานั่งกรองให้ ก็อ่านกันหัวบาน ..อ่านถึงเย็นยังอ่านไม่หมดเลย..หุ หุ หุ)

(แต่ในส่วนข้อมูลหรือ Tool ที่ เจาะลึกหุ้นรายตัวของ S2M อยู่ในกระทู้วงใน (วิเคราะห์รายหุ้น) ก็จะมีบรรดาพวกที่เล่นหุ้นจริงๆ(เน้นว่าคนที่เล่นหุ้นจริงๆ)อันนี้ที่รู้เพราะ คนที่จะเข้ากระทู้วงในต้องสมัครสมาชิก ดังนั้น ก็จะ Scan เอาคนที่ไม่ได้เล่นหุ้นจริงๆออกไป (แต่จริงๆค่าสมาชิกรายปีของ S2M ก็ไม่แพงนะครับปีละแค่ 1,000 บาท) แลกกับประโชยน์ที่ได้ผมว่า "คุ้ม" ....แต่ก่อนผมคิดว่าการนั่งคิดอยู่คนเดียวจะสุดยอด!! แต่ที่ไหนได้ พอเราเข้ามาพบปะกับชุนชนคนเล่นหุ้นจริงๆอย่าง S2M ผมว่ามันทำให้เราได้แลกเปลี่ยนมุมมอง และความคิด (ผมได้รู้ว่าจริงๆ ยอดฝีมือหุ้น ไม่ใช่มีแค่พวก Broker ..แต่แท้จริงแล้ว คุณหมอ และ วิศวะ กลับเป็น"เซียนหุ้นแฝงตัว"อยู่มากมาย!!)

...ช่วงนี้ผมกำลัง"ก่อสร้าง"หนังสือเล่มแรกของผม เลยอาจจะเข้ามา Update Blog น้อยหน่อยครับ แต่ใน(คลังบทความ)ของผม ก็มีข้อมูลอัดแน่นมากมายเกือบ 300 บทความ (ใครว่างๆก็เชิญอ่านกันนะครับ(http://pawawit.blogspot.com) ..น่าจะเป็นประโยชน์ไม่มากก็ต้องมีบ้าง!!.. เอาเป็นว่า ถ้าคุณอ่าน Blog ผมแล้วชอบก็ ช่วยแนะนำ คนที่สนใจการลงทุน ให้เข้ามาเรียนรู้และร่วมแบ่งปันกัน .."ขอบคุณครับ!!"

วันอาทิตย์ที่ 11 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

โอกาสของความว่าง อีกหนึ่งความรวยที่สร้างได้ในชนบท


ผมเคยได้ยินเรื่องเล่า เกี่ยวกับ Sales Man ขายรองเท้า 2 คนที่ถูกส่งไปสำรวจตลาดบนเกาะแห่งหนึ่งอันไกลโพ้น ..คนแรก ไปดูที่เกาะแห่งนั้น เห็นไม่มีใครใส่รองเท้าเลยก็กลับมาบอกว่า "แย่ๆ ..ไม่มีตลาดเลย ขายไม่ได้เพราะที่นั่นไม่มีใครเขาใส่รองเท้า" ...ส่วน Sales Man อีกคนไปเห็นแล้วก็กลับมาบอกว่า "โอ้โห!! โอกาสสุดๆ (ยังไม่มีใครใส่รองเท้า) ดังนั้น โอกาสขายมีเยอะมากๆ"

คุณรู้ไหม ทุกคนที่ได้ฟังเรื่องนี้ "ก็มักจะคิดว่าตัวเอง เป็นคนคิดแบบ Sales Man คนที่สอง" --"แต่!! ไม่ใช่เลย" คนไทยเกือบทุกคนคิดแบบ "คนแรก" (แต่หลงตัวเองนึกว่า คิดแบบคนที่สอง!!) --คุณลองคิดดูนะ วันนี้ถ้าใครขับรถออกไปต่างจังหวัด พอมองสองข้างทางที่ ชนบทสุดๆ ไม่มีอะไรเลย (ผมถามหน่อยให้คุณไปเปิดกิจการตรงนั้น ..คุณจะว่ายังไง!!) "ชัวร์คุณไม่เอา ..เพราะคุณคิดว่า โอกาสในกรุงเทพ มีมากกว่า"

สิ่งที่ผมกำลังบอกคือ "คนไทยไม่เคยหาโอกาสจากความว่าง แต่กลับหาโอกาสจากความเต็ม .." คือ ชอบมาแย่งกันหากินในที่ที่มันเต็มแล้วอย่างกรุงเทพ --ต่างกันกับฝรั่ง!! ซึ่งเป็นแบบ Sales Man คนที่สอง คือ เขาจะออกไปประเทศที่ยังไม่เจริญและก็สร้างให้มันเจริญ ดังนั้น ไอ้ที่เรามองว่าฝรั่งเก่ง "มันไม่ใช่เลย!!" --เขาแค่เห็นมาก่อน จากนั้นเขาก็มาดูประเทศเมืองล้าหลังอย่างกรุงเทพ จากนั้น เขาก็ค่อยๆ "ขายรองเท้า ให้กับเกาะเชยๆ ที่ยังไม่รู้จักรองเท้า ซึ่งแน่นอนมันไม่ได้ง่าย แต่เขารู้ดีว่า ยังไงในที่สุด คนก็ต้องใส่รองเท้าอยู่ดี จากนั้นเขาก็ค่อยๆเริ่มตั้งบริษัท เริ่มสร้างทีมขาย ให้ความรู้ จนวันนึง ทุกคนใส่รองเท้า "เขาก็รวย!!" --(เราก็ไปบ้าเหื่อ บอกฝรั่งเก่งอย่างนั้นอย่างนี้ โถ!! ก็มันเห็นมาก่อน )

ประเด็นคือ ผมอยากจะชี้ว่า ถ้าคุณอยากเจ๋งเหมือนฝรั่ง ก็ไม่เห็นยาก "คุณก็ไปเปิดกิจการในประเทศที่มันด้อยกว่าเราไปอีก หรือ ง่ายๆก็เริ่มมันจากต่างจังหวัดนี่แหละ" (ถึงจุดนี้ ผมว่าหลายคนฟังแล้วท้อ เพราะนึกถึงความยากที่จะไปเปิดกิจการในต่างจังหวัด ..ไหนจะรอให้คนค่อยๆมีความรู้ขึ้น ค่อยๆพัฒนาตลาด ค่อยๆขาย--ดังนั้น เห็นไหมครับว่า ความสำเร็จของคนมันไม่ได้มาจากความฉลาดเพียงอย่างเดียว มันต้อง "อดทน(อึด!!)" ซึ่งคนไทยมีน้อยมาก (แต่คนจีนมี ..คนจีนเลยครองเศรษฐกิจเมืองไทยไง!!)

จะเห็นได้ว่า "ความว่าง" ก็คือ โอกาสเพราะมันมีคู่แข่งน้อย (จริงๆมันก็ไอ้ Blue Ocean Strategy ที่ฝรั่งเอาทฤษฎี มาแหกตาขาย ..เราก็ตื่นเต้น ..โห!! เป็น Business Strategy ที่สุดยอดจริงๆ)"ตลก!!"

จริงๆปัญหาของ Blue Ocean มันไม่ใช่การหาช่องว่างหรือโอกาส (เพราะช่องว่างมันมีอยู่เต็มไปหมด ..แค่คุณขับรถเลยกรุงเทพก็เจอแล้ว!!) อุปสรรคจริงๆมันคือ "ความอึดต่างหาก ที่มันเบรกไม่ให้เกิดธุรกิจ Blue Ocean"

ถ้าจะให้ยกตัวอย่างความอึด ก็ไอ้แขกเลี้ยงวัว ที่ไปซื้อที่ดินแถบชานเมืองเพื่อเลี้ยงวัว พอเวลาผ่านไป 20 ปี ที่ดินชานเมือง ที่ซื้อมันก็แพง!! "จากนั้น เขาก็ขายที่--แล้วก็รวย!!" แต่ประเด็นที่คนส่วนใหญ่มองข้ามไม่ใช่ที่ดิน แต่มันเป็น "ความอึด" ในการเลี้ยงวัว 20 ปี ต่างหากที่ เป็นตัวขับเคลื่อนความสำเร็จ ..เพราะแน่นอน ไอ้แขกนั้นเมื่อ 20 ปีก่อนไม่ได้รวยขนาดที่จะมีเงินมาจม 20 ปีบนที่ดิน..โดยนั่งอยู่เฉยๆ ดังนั้น การเลี้ยงวัว ก็คือ การต่อสายป่านธุรกิจให้ไอ้แขกมันรวย "ซึ่งจุดนี้ผมว่า คนส่วนใหญ่มองข้าม"

(พอไอ้แขกมันรวย ทุกคนบอก มันโชคดี) ตลก!!"ไอ้แขก"นี่แหละ Sales Man คนที่สอง เขาเห็นโอกาส แต่มันต้องอาศัย "ความอึด" จึงจะสามารถหาประโยชน์จากโอกาสนั้น ..แต่คนไทย กลับไม่คิดอย่างนั้น ทุกคนมุ่งหน้าเข้าเมือง ไปแย่งกันเปิดร้านกาแฟ เปิดคาร์แคร์ เปิดอพาร์ทเม้นท์ "คงจะรวยแหละนะ!!" ..ไอ้ที่ไม่รวยอย่าโทษฟ้า --โทษตัวเอง และโทษความ"ไม่อึด"ต่างหาก!!..หุ หุ

วันเสาร์ที่ 10 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

Tesla รถหรูบริษัทเดียวใน Silicon Valley



บริษัท Tesla ได้เป็นข่าวฮือฮามาหลายปีแล้ว เพราะเนื่องจากได้ทั้ง ผู้ว่ารัฐนักกล้ามอาโน และก็ จอร์ส คูนี่ ต่างก็เข้าคิวจองรถสปอร์ตหรู ที่ขับเคลื่อนด้วยไฟฟ้า ที่ล้ำสมัยที่สุดของโลก ...รถ Tesla ใช้เทคโนของ แบตคอมพิวเตอร์ แต่ที่เด็ดคือ ความเร็วและอัตราเร่งของรถ Tesla ไม่ได้ด้อยไปกว่า Ferrari แต่อย่างใด ผนวกกับรูปลักษณ์ และการออกแบบที่ "เท่ห์มาก" ทำให้"เซเลบ"ต่างเข้าคิวจอง

ย้อนดู Tesla เป็นบริษัทรถ แห่งเดียวที่ตั้งอยู่ใน Silicon Valley ซึ่งข้อดีก็เนื่องจากที่นี่เป็นศูนย์รวม Talent ของคนที่ไม่ธรรมดาของโลกมารวมตัวกัน ก่อให้เกิดนวัตกรรมใหม่ๆ ที่พลิกโลก...วันนี้ Tesla กำลังประสบปัญหา เนื่องจากเจ้าของ Elon Musk กำลัง"ถังแตก" (จาก Entrepreneur of the Year ปี 2007 เริ่มจากก่อตั้ง Paypal(บริษัทการโอนเงินชื่อก้องโลก)กลายมาเป็น Serial Entrepreneur โดยใช้เงินของตัวเอง Funding ธุรกิจ Innovation ใหม่ๆมากมาย ตั้งแต่ บริษัทผลิตยานอวกาศ ไปยัน รถไฟฟ้า Tesla)

ปีนี้ Tesla กำลังจะทำ IPO ขายหุ้น 178 ล้านเหรียญ (ซึ่งมี Toyota เป็นนักลงทุนหลักในการ IPO ครั้งนี้ ที่จะลงทุนประมาณ 50 ล้านเหรียญ) --ประเด็นที่น่าสนใจก็คือ การที่ Tesla สามารถดึงเอา Toyota เข้ามาสนใจ ถือเป็น Key Success Factor ของบริษัท Innovation เลยก็ว่าได้

ถ้าเรากระโดดไปที่จีน บริษัท BYD ก็เดินในแนวทางที่ไม่ต่างจาก Tesla แต่ที่เด็ดกว่า คือ BYD สามารถดึง Warren Buffet ให้เข้ามาซื้อหุ้นของ BYD ได้ถึง 20% (ซึ่งการดึง Buffet เข้ามาทำให้ บริษัท No nameอย่าง BYD กลายเป็นที่สนใจของนักลงทุนทั่วโลก) ผลลัพธ์ก็คือ ปี 2008 เจ้าของ BYD (นาย Wang Chuanfu)ถูกจัดอันดับให้เป็นเศรษฐีที่รวยที่สุดในจีนเลยทีเดียว!!(น่าทึ่ง)

จะเห็นได้ว่า ผมยกประเด็นของสองบริษัท ที่อยู่ในอุตสาหกรรมที่เหมือนกัน คือ "รถไฟฟ้า" ...สิ่งที่ทั้งสองบริษัทสอนเราคือ ให้รู้จักดึง "Big Name"ให้เข้ามาร่วมหัวจมท้ายกับเรา ...ก็เรียกได้ว่า เกือบจะ การันตี ความสำเร็จได้เลยทีเดียว

วันนี้ผู้ประกอบการรุ่นใหม่ โดยเฉพาะ ธุรกิจ Innovation ต้องไม่มองข้ามเรื่องเงินทุน และผู้ร่วมทุน เพราะหากคุณมองข้ามโอกาสความสำเร็จอาจแทบไม่มีก็ได้ --ทุกกิจการล้วนเกินจาก "คน + ทุน" ทั้งสิ้น.."ยิ่งคนดัง(เจ้าของ)อย่าง Elon Musk ผนวกกับทุนดังอย่าง Toyota"ย่อมไม่แปลกที่ Tesla จะผ่านวิกฤตอย่างสบายและสำเร็จในที่สุด --ดังนั้น ผู้ที่คุมสองปัจจัยนี้ได้ ผู้นั้นย่อมชนะ!!

เรื่องเล่านักกอล์ฟไทยจากนักกอล์ฟจีน



"กอล์ฟ" กีฬาที่แปลก เพราะมันสะท้อนชีวิต (ผมไม่เคยเห็นใครที่ อ่อนซ้อม แล้วตีดี) ดังนั้น "ถ้าสามีคุณตีห่วย แสดงว่าเวลาเขาบอกว่า(ไปซ้อม) เขาอาจไปซ้อมอย่างอื่น..หุ หุ" ซึ่งถ้าดูให้ดีแล้วมันสอน บทเรียนชีวิตได้เป็นอย่างดี ..คนเรามักบอกว่า เราจะไม่ยอมพลาดอะไรซ้ำๆ (แต่กอล์ฟสอนเราว่า คุณสามารถพลาดซ้ำๆได้ ถึงแม้ว่าคุณจะรู้ว่า แก้ไขยังไง แต่คุณก็ทำไม่ได้ และผิดซ้าแล้วซ้ำเล่า หากคุณไม่ซ้อม!!)

ในประเทศญี่ปุ่น ผมเห็นคนประเทศนี้แล้วเหนื่อยแทน "ไม่ว่าเขาจะทำอะไร ..เขาก็จะจริงจัง จนผู้ที่พบเห็น งง" อย่างสนามซ้อมในประเทศญี่ปุ่น แต่ละแห่งมักแน่นขนัดอยู่ตลอดเวลา ..เวลาจะซ้อมก็ต้องไปกดลูก ตามจำนวน แล้วก็เข้าคิวรอ "ช่องซ้อมที่ว่าง" ..พอลูกหมดก็หมดเลย (แต่เมืองไทย มักมีเด็กเชียร์เบียร์ ..มายืนบิดไปบิดมา "ผมว่ามันน่าจะซ้อมอย่างอื่นมากกว่านะ...หุ หุ"

"เครื่องตัดหญ้า" เป็นเรื่องที่ผมไม่เข้าใจ ..ถ้ามองโดยรวม การบำรุงรักษาสนามของไทย อยู่ในเกณฑ์ที่ "ห่วย" ทั้งๆที่ถ้ามองให้ดี คุณจะเห็นกองทัพคนสวนนับร้อยๆคน ทำงานอย่างแข็งขัน ---"แต่คุณรู้ไหมอย่าง Australia ทั้งสนามเขาใช้คนสวนแค่ไม่กี่คน" ..ใช่แล้ว!! สิ่งที่ต่างกันก็คือ "เครื่องมือ"

ถ้าเทียบราคาเครื่องมือเป็น "เงินไทย" จะเห็นได้ว่าแพงมาก ดังนั้น การจ้างกองทัพคนสวนนั้นประหยัดกว่ามาก (คุณจะเห็นคนนับสิบๆ นั่งถอนหญ้า แบบไร้สาระมากๆ ..) --แต่ทุกกระบวนการในการ ดูแลสนาม ที่ Australia ใช้เครื่องมือแทนแรงงานคนเกือบทั้งหมด

จุดนี้ถ้ามองให้ดี มันแสดงถึง Productivity ของคนในประเทศนั้นๆ (สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ เพราะหากเราเทียบค่าแรงงาน กับอุปกรณ์ ในแต่ละประเทศที่ไม่เท่ากัน ..ใน Australia ค่าแรงแพง ดังนั้น การเอาเครื่องจักรมาแทนแรงงานจึงเป็นสิ่งที่คุ้ม ในขณะที่ไทยมีแรงงานราคาถูก ดังนั้น การนำเครื่องมือมาใช้จึงไม่คุ้ม) ..แต่ท้ายสุด ผลเสียจึงเกิดกับ คุณภาพของคน

ด้วยเหตุนี้ แรงงานไทยจึงจมอยู่กับการใช้แรงงาน ส่งผลให้ค่าแรงถูกตลอดกาล แต่อย่าง Australia การที่แรงงานได้เรียนรู้การใช้เครื่องมือ ส่งผลให้แรงงานแต่ละคน สามารถทำงานได้อย่างมีประสิทธิภาพ ส่งผลให้ค่าแรงของเขาสูงขึ้นเรื่อยๆ --(แต่คุณรู้ไหม ..คนจีนเขาไม่คิดเช่นนั้น)

ประเทศจีนสร้างเครื่องมือเองในประเทศ ส่งผลให้ "เครื่องมือต่างๆราคาไม่แพง" จุดนี้ถ้ามองให้ดี แม้เครื่องมือของจีนจะมีคุณภาพไม่เท่าของฝรั่ง แต่มันก็ก่อให้เกิดประโยชน์ ทั้งในฝั่งของแรงงานที่ได้ฝึกปรือการใช้เครื่องมือส่งผลให้ Skill สูงขึ้นเรื่อยๆพร้อมกับค่าแรง ส่วนในฝั่งของผู้ผลิตเครื่องมือ ก็ค่อยๆพัฒนาคุณภาพของเครื่องมือ (อย่างที่ญี่ปุ่นเคยเป็น คือแต่ก่อนผลิตของห่วย แต่พอพัฒนาเรื่อยๆ จนวันนี้ กลายเป็นล้ำหน้าฝรั่งไปแล้ว)

หลังจากผม ตีกอล์ฟเสร็จ ก็เห็นไส้ ระบบอุตสาหกรรมไทย..หากผู้ประกอบการไทยยังมองภาพเพียงด้านเดียว เช่น สร้างสนามกอล์ฟโดยไม่มองเรื่องการดูแลรักษา , การสร้างตึกโดยไม่มองค่าดูแลตึก ---เราก็ยังไม่สามารถก้าวผ่านประเทศกำลังพัฒนาสู่ประเทศพัฒนาได้ !!

การย้อนรอย Starbucks แบบสมศักดิ์ ชลาชล


Starbucks เป็นเรื่องของ Global Brand ที่เข้ามาเผยแพร่อาณานิคมในไทย ไม่ต่างจาก Brand ระดับโลกอื่นๆ อย่าง โค้ก , แป๊ปซี่ , Gucci , Armani ยัน Louis Vuitton ทุก Brand มาแบบ เซ็งๆ คือ "แพง..ไม่ใช่แค่แพงธรรมดา แต่โคตรจะแพง!!" ซึ่ง Brand ระดับโลกเหล่านี้ ไม่ได้ทำให้ผมรู้สึกว่ามัน เจ๋ง แต่อย่างใด เพราะโดยธรรมชาติก็รู้นิสัยคนไทยอยู่แล้ว ว่าบ้าของแพงและยี่ห้อระดับโลก

แต่คนที่กลับทำให้ผมทึ่งคือ "สมศักดิ์ ชลาชล" สร้าง Brand คนไทย จากชื่อตัวเอง และสามารถหลอก Hi-so ให้มาเป็น "สาวก"ได้ (วันก่อนไปเดิน Crystal Park คุณลองเดาซิว่า ใครมาตัดผมกับ คุณ สมศักดิ์ ...หุ หุ "ป๋าหนั่น" ..คิดดูป๋าหนั่นยังต้องถ่อมาตัด ..เก่งไม่เก่งคุณคิดดู!!)

หากเรามา Reverse Engineer ลอกคราบการสร้าง Brand "ชลาชล" ซิว่า Brand ที่เร่ิมจาก ศูนย์ ในเมืองไทย ..ทำไมสามารถหลอก Hi-so เมืองไทยได้

คุณ สมศักดิ์ เริ่มจากการไปแข่งตัดผม จนได้ "แชมป์ผมโลก" จากนั้นก็กลับมาเมืองไทย เปิดร้านตัดผมที่โคตรแพง ที่ชื่อว่า "ชลาชล" ด้วยความพิถีพิถัน ในการบริการแบบที่เรียกว่า Perfect ที่เราเรียกว่า Pursuit Of Perfection นี่แหละที่ทำให้ลูกค้า Hi-so ต่างติดใจสุดๆ (อย่างรู้ๆกัน ว่า Hi-so ไทย ลองชอบอะไร ต่อให้แพงแค่ไหน ก็จ่าย ..กระเป๋าใบละล้านยังซื้อได้..หุ หุ)

เมื่อคิดค่าตัดผมแพง ก็สามารถจ้าง ช่างได้แพง ..เมื่อจ้างแพง ช่างก็บริการดี ลูกค้าก็ชอบ (มันเหมือน Reverse Engineer "Starbucks" ยังไงไม่รู้)

ผมว่าวันนี้ คนไทยต้องคิดให้มากขึ้น .."ชลาชล" เป็นการสร้าง Brand ที่ไม่เหมือนใคร การเปลี่ยนภาพไทยๆโดยการไปคว้ารางวัลระดับโลก จากนั้นก็ วางมาตรฐานที่สูง ช่างเป็นกรณีศึกษาที่ "น่าชื่นชมจริงๆ"

"CHALACHOL"

เรื่องเหล้า "เหล้าๆของคนจีน"



ที่(ที่ดีที่สุด)ในการทำสัญญาธุรกิจคือ "ร้านเหล้า" ..ผมฟังแล้ว งง แต่พอมาคิดๆ --"มันก็ใช่!!" (ตอนช่วงที่ผมไปทำธุรกิจในเมืองจีน เพื่อนฝรั่งบอกว่า "ผมต้องดื่ม"(จริงๆเวลาทำงาน ผมจะไม่ดื่ม)..ผมเลยถามเพื่อนฝรั่งว่า "ทำไมกูต้องดื่มวะ!!" มันบอกว่า "ถ้าไม่ดื่ม เขาถือว่าไม่จริงใจ!!" (เพราะเวลาคนเมา มันจะปล่อยทุกอย่างออกมาจากปาก รวมทั้งอวกและหมา..หุ หุ--"คือจริงใจ ว่างั้น!!")

ดังนั้น ก่อนจะทำธุรกิจกับคนจีน จะต้องเมาด้วยกันก่อน (ใครไม่เมาแสดงว่า มันมีอะไรปิดบังอยู่..ตรงนี้ไม่ได้พูดเล่นนะ!! ของจริง) ...แต่ถ้าจริงใจขนาดคน Australia ก็..ม่ายหวาย!! มากไป --อย่างเพื่อนผม มันดื่มทีเป็นลัง!! ดื่มกันจนพุงออก ที่เขาเรียกกันว่า Beer Gut "พุงเบียร์..นั่นแหละ!!"

เรื่องสั้น "ของปัญญา ปัญญา"



"ปัญญา"(WISDOM) หลายๆคนนึกว่ามันเกิดจากการ "ท่องจำ"..แต่ผิด!! เพราะนั่นมันเรียก "Hard Disk"
ปัญญาที่แท้จริงเกิดจาก "การคิด"
การอ่านหนังสือ คือ การหาเรื่องราวต่างๆ เพื่อมา"คิดต่อ" ..ไม่ใช่การหาเรี่องราวสำเร็จรูป แล้วเอามาเก็บในสมอง
เพราะนั่นมันคือ "ขยะ"

วันนี้ระบบการศึกษาไทย สอนให้ "เก็บขยะ"
--จึงไม่แปลกที่เมืองไทยเป็นผู้ใช้คอมพิวเตอร์ แต่ฝรั่งเป็นผู้ประดิษฐ์มันขึ้นมา...หุ หุ หุ

เรื่องสั้น "หมอดูแม่นๆ"



คนที่เรียนทางด้านจิตวิทยาในเมืองนอกเขาเรียก "Phychologist" คนที่เข้ามาปรึกษาก็คือคนที่มีปัญหา
ส่วนคนที่เรียนจิตวิทยาในเมืองไทยเขาเรียก "หมอดู" ทั้งสองอาชีพ คล้ายกันอยู่เรื่องนึงคือ
"คนที่มีความสุข จะไม่มาหา ..ดังนั้น คนที่มาหาแสดงว่า มีความทุกข์ มีปัญหาชีวิต"
ไม่แปลก ถ้าใครอยากเป็น "หมอดูแม่นๆ"

--พอใครจะมาให้ดูดวง คุณพูดออกไปก่อนเลย!! "พักนี้..คุณมีเคราะห์นี่!!"
----(โห!! รู้ได้ไงฟะ ..แม่นโคตร!!)... หุ หุ หุ

เรื่องสั้น "หมอๆ"



หมอที่เรียนผ่านโรงพยาบาล เขาเรียกว่า"คุณหมอ" ..ส่วนหมอที่เรียนผ่านประสบการณ์เขาเรียกว่า "หมอตี๋"
แต่พอหมอตี๋ โกนหัว แล้วไปรักษาในสำนัก เขาเรียก"พระอาจารย์หมอ!!" (มีลูกศิษย์ ลูกหามากมี รักษาโรคทุกอย่าง ที่การแพทย์ในปัจจุบัน "ไม่สามารถรักษาได้") --คนไม่หายก็ตายไป ส่วนคนที่หายก็ไปบอกต่อ บอกต่อ ๆ ๆ ๆ....หุ หุ

เรื่องราวของกาแฟแพงกับขี้ชะมดและความสุดยอดของร้านกาแฟในไทย!!


เฮอะๆ!! โชคดีที่ผมยังไม่ ไฮโซพอ ..มิเช่นนั้นคงต้องไปซื้อกาแฟ กิโลละ 4 หมื่นกว่าบาท(ของอินโด) มาลิ้มลองเป็นแน่แท้ --จริงๆ ผมเคยดูหนังเรื่องนึงที่มัน ล้อเลียนคนกินกาแฟแพง มันบอก "แร๊คคูณ Shit!!" แต่ตอนนี้มารู้ข้อเท็จจริงว่า กาแฟที่แพงที่สุดในโลก มันคือ "ขี้ชะมด...แหวะ!! จะอวกครับพี่" ..(ไม่ใช่แค่รวยอย่างเดียวนะ จึงจะสามารถกินได้ (ต้องโง่ด้วย ..หุ หุ)!!)

มาย้อนดู ประวัติความเป็นมาของกาแฟ ถือกำเนิดในศตวรรษที่ 6 ในดินแดนเอทิโอเปีย ถือเป็นเครื่องดื่มที่ทำให้ "เราใกล้ชิดพระเจ้ามากขึ้น" เพราะสมัยนั้น นักบวชกิน ทำให้สามารถสวดมนต์ได้ทนนาน...หุ หุ (สมัยนั้นวัดความสำเร็จที่ปริมาณ ไม่ใช่คุณภาพ ..หุ หุ งง เลย)

ย้อนใกล้เข้ามาก่อนที่จะมี Starbucks Revolution (มีด้วยรึฟะ Starbucks Revolution เอาเป็นว่ามีละกัน!!)..ก่อนหน้านั้น อเมริกามองกาแฟเป็นของถูก หากินได้จาก ขวด Nescafe เท่านั้น "เครื่องดื่มที่คนขับรถสิบล้อ กินแก้ง่วง ราคาต่ำ" ..สมัยนั้นตาม Diner ต่างๆจะใช้กาแฟเป็น Lost Leader คือ"ถูกแก้วละไม่กี่ เซ็นต์ เพื่อให้ลูกค้าเข้ามาซื้ออย่างอื่นด้วย" --ในที่สุด Starbucks Revolution ก็ถือกำเนิดขึ้น

โดยนาย Howard Schultz พนักงานร้าน Starbucks(เดิมเป็นร้านขายแค่เมล็ดกาแฟคุณภาพ เป็น Niche Market ไม่ได้ขายเครื่องดื่มเหมือนอย่างตอนนี้) คือนาย Schultz เดินทางไป Italy แล้วไปเห็นวัฒนธรรมการกิน Espresso คือเป็น Shotๆ แรงๆ คือ เป็นกาแฟคุณภาพ ไม่ใช่อย่างน้ำล้างเท้า ที่ชาวอเมริกากินกันอยู่ในเวลานั้น --"และแล้ว!! ร้านกาแฟที่เลียนแบบอิตาลีก็เกิดขึ้นในชื่อ เอลจินเจอเนล!!(บ้าบอ..คือชื่อมัน Italy มาก) แต่แปลก .."มันสำเร็จอย่างน่าทึ่ง"

จากนั้นไม่นาน นาย Howard Schultz ก็ระดมทุน ผ่านด่านอุปสรรคต่างๆ จนสามารถซื้อกิจการร้านเมล็ดกาแฟที่ชื่อ Starbucks แล้วก็เปลี่ยนจาก "ร้านขายเมล็ดกาแฟ" มาเป็น "ร้านขายเครื่องดื่ม" ที่ฮิตติดตลาด อย่างในปัจจุบัน

หลายคนถามว่า Starbucks เป็น Innovation Product รึเปล่า!! ..เปล่าเลย!! มันคือ Me too Product ที่ผันตัวมาเป็น Value Added โดยการ "ใส่ราคาเข้าไป 100 เท่า!!ของกาแฟสิบล้อ" ---ถึงจุดนี้หลายคน งง ต่อว่า แล้ว Value โดดเด่นอะไรที่สร้างให้ Starbucks กลายเป็นร้านกาแฟที่โด่งดังอย่างทุกวันนี้

"ราคาแพง" ...อย่างเดียวเลย!!-- บางคนนึกว่า Starbucks โด่งดังเพราะคุณภาพ แต่มันไม่ใช่เลย (ช่วงผมอยู่ Australia ผมถามคน Aussie ว่าทำไมที่นี่ Starbucks ไม่รุ่งเลย --เขาบอก"Duck Shit!!" ..คือ "ห่วยชิบหาย" หลังจากนั้นไม่นานผมก็เริ่มรู้จักกับ Gloria Jean's Coffee ซึ่งเป็น Brand ร้านกาแฟอันดับหนึ่งใน Australia "ร้านกาแฟที่จ้าง Barista ระดับโลกไว้มากจริงๆ")

ความบ้าในคุณภาพ กาแฟของคน Australia ทำให้ทุกๆ หนึ่งตารางกิโลเมตรใน Sydney ต้องมีไม่ต่ำกว่า 5 ร้านกาแฟ (คุณลองไปนับดู ว่าร้านกาแฟใน Sydney มันเยอะขนาดไหน "เอาเป็นว่า 7-11 บ้านเราอาย คุณคิดดูละกัน!!") ..ดังนั้น ถ้าคุณสามารถเปิดร้านกาแฟแล้วอยู่รอดได้ใน Australia คุณจะต้อง เจ๋ง จริงๆ

ช่วงนึงผมบ้ากาแฟ จนไปเรียนเป็น Barista และก็รับเอา Brand "LAVAZZA" เข้่ามาขายในร้านอาหารของผม (โอเค..กลับมาที่เมืองไทย) พอผมมาเมืองไทย ผมสั่ง Espresso มันใส่นม น้ำตาล นมข้น เสร็จ "Espresso บ้านป้า คุณหรือใส่นม !!!" แต่มันก็เกิดจริงๆแล้วที่เมืองไทย ..ฮ่า ฮ่า (คิดในแง่ดีคือเรา Think Globally,Act Locally น่ะ เท่ห์โคตร!!)

"คอกาแฟจริงเขาไม่กินกาแฟเย็น" แต่อยู่เมืองไทย ผมแทบไม่กินกาแฟร้อนเลย "คุณรู้ไหมทำไม" -- กาแฟนี่ต้องตีฟองโดยใช้ Stream --เขาให้ต้องมี เทอร์โมมิเตอร์มาวัด คือความร้อนห้ามเกิน 60 องศา (แต่ขนาด Starbucks บ้านเรามันตีฟองที 100 กว่าองศา "มันจะเอาไปต้มมาม่าหรือ !!" ) สรุปทางเลือกของคอกาแฟ ในบ้านเราจึงต้องปิดประตูแล้วแล้วสั่งไปว่า "เอากาแฟเย็นแก้วนึง!!" เพราะคุณไม่สามารถรู้ได้เลยว่า ไอ้ Espresso , Latte , Americano ที่คุณสั่งในเมืองไทย "มันจะมีหน้าเป็นอย่างที่ ทั่วโลกเขาเข้าใจหรือเปล่า"

(ทุกวันนี้ผมก็ยังคงกิน Starbucks เพราะยังคงเป็นทางเลือกที่ดีสุด ตอนนี้ในไทย..จำยอมละกัน!!) --- ("แต่!!")

คราวหน้าอย่าลืมนะครับ สั่งว่า "กาแฟเย็นแก้วนึง" ....ฮ่า ฮ่า

วันศุกร์ที่ 9 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

"ลาริสซา ริเกลเม" นางแบบสุดเซ็กซี่ชาวปารากวัย แก้ผ้าแล้วดัง!! (อันนี้ 18+ เท่านั้นนะครับ)



(("ลาริสซา ริเกลเม" นางแบบสุดเซ็กซี่ชาวปารากวัย ทำตามสัญญาที่เคยลั่นไว้ว่าจะแก้ผ้าให้กำลังใจนักเตะทีมชาติของตัวเองที่ทุ่มเทจนสามารถฝ่าฟันเข้าถึงรอบ 8 ทีมสุดท้าย ด้วยการถ่ายรูปเปลือยลงนิตยสาร "Diario Popular" เล่นเอาเว็บไซต์ของนิตยสารดังกล่าวถึงกับล่มเลยทีเดียว...
หลังสร้างกระแสไปทั่วโลกสำหรับนางแบบสาว "ลาริสซา ริเกลเม" วัย 25 ปีชาวปารากวัย ที่เคยลั่นวาจาว่าพร้อมจะวิ่งแก้ผ้าไปตามท้องถนนในกรุงอซุนซิโอน เมืองหลวง หากทีมชาติของเธอสามารถคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกมาเชยชมได้สำเร็จ
))


ผมว่าทั้งหมดนี้เป็นการใช้วิธี Marketing แบบประสิทธิภาพสูง แต่ใช้งบต่ำ ของนิตยสาร "Diario Popular" ถ้าดูเผินๆ การแก้ผ้าโชว์ของนางแบบไร้ชื่อ ไม่น่าจะเป็นที่ ฮือฮา ..แต่นี่เป็นการ ผูกประเด็นบอลโลก ให้เกิด Buzz และสร้าง Word of Mouth ผูกกับเงื่อนไข "ถ้าชนะจะแก้ผ้า" --ก๊าก..ๆๆๆ จริงๆชนะไม่ชนะ ก็จะแก้ผ้าอยู่แล้ว !! (ไม่รู้แต่ ตูก็อยากดูอยู่ดี)

สรุปว่า ต้องขอชม คนคิด campaign "มันสุดยอดยอดจริงๆ" ถึงแม้จะดังไม่เท่า "ซูซาน บอยส์" ก็ตาม ..เพราะถ้า ซูซาน บอยส์ ประกาศจะแก้ผ้า ถ้าทีม สเปนชนะบอลโลกล่ะก็ ...หุ หุ หุ (ผมว่า You Tube ล่มแน่!!!) คลิ๊กหนี นะ ไม่ใช่เข้าไปดู!! (ล้อเล่นๆ ..แต่จริง คุณอาจจะอยากดูของแปลกนะ ..หุ หุ)

เอ้า!! ไปคลิ๊กดูกันเองละกันที่ http://www.stock2morrow.com/forums/showthread.php?t=14041
หรือที่นิตยสารคือ www.diariopopular.com.py (แต่มันคงยังล่มอยู่ เพราะคนเข้าไปดูเยอะมาก ..So success จริงๆ นับถือๆๆ)

+++++++(อ๋อ!! ลืมบอกไป บทความนี้ 18+ นะครับ ..ใครอายุต่ำกว่า ห้ามคลิ๊กดู)++++++++++++++++

มุมมองในเรื่องของงานโดยผู้ก่อตั้ง Intel (Andy Grove)


Hon Hai Precision ผู้ผลิต Outsource IT รายใหญ่ที่สุดของโลก (มีพนักงาน 800,000 คน) ..ภายใต้ชื่อบริษัท Foxconn (ที่ไม่นานมานี้ มีข่าวพนักงานเครียดจนฆ่าตัวตายไปหลายคน) --ที่ Foxconn มีหน้าที่รับจ้างผลิตสินค้าให้ HP, Microsoft, Dell, Intel , Sony , Apple

แค่ Apple อย่างเดียว Foxconn มีพนักงานที่ผลิต ipod , iphone , Imac รวมกันถึง 250,000 คน ในขณะที่คนงานของบริษัท Apple ในอเมริกามีเพียง 25,000 คน (งานจำนวน 10 เท่า ที่เคยอยู่ในอเมริกาถูก ส่งไปทำที่จีน)
..นี่แหละปัญหาที่ Andy Grove มอง (คือ เขามองว่า การที่อเมริกา outsource การผลิตออกไปประเทศที่มีแรงงานต่ำ กำลังเป็นดาบสองคมที่กลับมาฆ่าอเมริกาเอง

ใน Silicon Valley (ดินแดนสวรรค์ของผู้ประกอบการ IT) กำลังจะตาย ...Andy Grove เล่าว่า สมัยที่เขาก่อตั้ง Intel ใหม่ๆ ค่าจ้างคนงานอยู่หลักพันในปี 1968 แต่ปัจจุบัน ค่าจ้างของคนงานอยู่ใน หลักแสน ..(หลายคนอาจจะ งง ว่า ค่าจ้างเพิ่มจากพันเป็นแสน แต่ราคาสินค้ากลับไม่ได้เพิ่ม กลับถูกลงเรื่อยๆ เช่น สินค้า Hi-tech เป็นต้น)

สาเหตุที่เป็นเช่นนี้ ก็เพราะ Silicon Valley ได้ย้ายฐานการผลิตเดิมจากที่นั่น ออกไปยังประเทศที่ค่าแรงถูกอย่าง จีน , อินเดีย ..ทำให้ที่ อเมริกา สามารถจ้างพนักงานได้น้อยลง คือ เหลือเฉพาะ Knowledge Worker จึงสามารถให้ค่าจ้างแพงได้ --ผลข้างเคียงก็คือ "ในอเมริกา คนส่วนน้อยได้เงินเดือนสูงอย่างสุดโต่ง ในขณะที่คนส่วนใหญ่ตกงาน เพราะตำแหน่งงานถูก Shift ไปที่จีน"

Andy Grove กล่าวว่า การทำเช่นนี้ถือเป็นความพิดพลาดอย่างยิ่งของอเมริกา เพราะเป็นการทำให้เกิดการว่างงานอย่างมหาศาล รวมทั้งสร้างความแตกต่างของรายได้ เนื่องจากคนส่วนใหญ่ ไม่สามารถปรับตัวกลายเป็น Knowledge Worker ได้...ถ้ามองย้อนไปดู สมัยก่อนที่จีน จะมาเป็นฐานการผลิตของโลก ..ญี่ปุ่นก็เคยเป็นแบบจีนมาก่อน --ซึ่งจุดนี้ทำให้ จีน มีการจ้างงานที่มหาศาล และเป็นการสร้างความชำนาญและประสบการณ์ในการทำงาน อย่างมหาศาลในจีน

"ตำแหน่งงานต่างหากที่สำคัญ ต่อภาพรวมเศรษฐกิจ" ดังนั้นในมุมมองของ Andy Grove การหลงว่าตัวเองเป็นประเทศที่อยู่บนเศรษฐกิจฐานความรู้ และเน้นที่ Knowledge Worker นั่นเป็นเรื่อง "ไร้สาระ" (เพราะแน่นอน ทุกคนไม่สามารถเป็น Knowledge Worker ที่มีรายได้สูงอย่าง ผู้บริหาร, นักกฏหมาย, หมอ หรือ วิศวะ ได้ ..และโดยส่วนใหญ่ คนก็จะใช้แรงงานเป็นหลัก)

ดังนั้น ทุกวันนี้ แนวทางการสร้างงานในอเมริกา จึงเดินสวนทางกับ ความเป็นจริง (น่ากลัวมาก!!) --กลับมาดูเมืองไทย จะเห็นได้ว่า เรายังโชคดี ที่เรายังคงเป็นฐานผลิตอุตสาหกรรมที่ใหญ่ในหลายๆด้าน ดังนั้น เศรษฐกิจในอุดมคติ กับ ความเป็นจริง เป็นเรื่องที่
คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยเข้าใจ จึงถูกโน้มน้าวความคิด ไปได้ง่าย โดยนักวิเคราะห์ และนักวิชาการ

...จะเห็นได้ว่าการเดินอย่างสุดโต่ง ในด้านใดด้านหนึ่งมากเกินไป อาจนำมาซึ่งความหายนะ เช่น อเมริกา พยายามลดต้นทุน และ ย้ายงานที่สร้างมลพิษออกไปจีน ในมุมนึงทำให้อเมริกาสะอาดขึ้น --แต่มันจะไม่มีประโยชน์อะไรเลย หากประเทศคุณสะอาด แต่คนส่วนใหญ่"จน"

(แต่จีนมองอีกมุม เขาคิดว่า การสร้างงานเป็นสิ่งสำคัญกว่าการสร้างให้ทุกคนมีรายได้สูง "เพราะมันเป็นไปไม่ได้" แต่จีนชอบที่จะสร้างงานมากกว่า ถึงขนาดที่ว่า จ้างคนมาสร้างถนน แม้จะไม่มีรถมาวิ่ง หรือ จ้างคนมาทำความสะอาด ก็ยังดีกว่าให้เขาอยู่บ้าน กินเงินช่วยเหลือรัฐบาลแบบอเมริกา)
..น่าคิดจริงๆ

การทำงานต้องใช้สมองจริงหรือ(..สู่งานที่ใช้สมองและสร้างความมั่งคั่งอย่างแท้จริง!!)


คนรุ่นใหม่ๆหลายๆคน(เรียกว่าส่วนใหญ่ก็ได้) ที่ได้เริ่มชีวิตการทำงาน "พ้นสภาพการเป็นนักศึกษาสู่ชีวิตการทำงานจริง" มักพบว่า "ตัวเองกำลังสงสัยว่า การทำงานจริงๆ ต้องใช้สมองด้วยหรือ" .."และตรงไหนล่ะ!!"

จากทฤษฎีที่เรียนมาอย่างล้ำลึกในมหาวิทยาลัย ไม่ได้สอนว่า "ต้องชงกาแฟให้อร่อยอย่างไร" .."หลายคนเรียนรู้ Skill ใหม่ในการตรวจอักษร , ถ่ายเอกสาร ..แล้วเรียนรู้ว่า การโดนเบรคแรงๆ สำหรับการเสนอความคิดมันเซ็งเพียงใด" --หลายคนถึงกับวิ่งออกไปบนดาดฟ้าแล้วตะโกนว่า "เบื่อเว้ย!!"

ประเด็นนี่จะบอกว่า ปัญหามันไม่ได้อยู่ที่องค์กร เพราะองค์กรมันเป็นอย่างนี้ตั้งแต่ก่อนคุณจะเข้ามา ..แต่การศึกษาต่างหาก ที่สอน Skill ที่มันใช้ไม่ได้จริง ถ้าเขาสอนวิธีชงกาแฟอร่อย ,Service Mind, การปรับตัวและความ Friendly และการตรวจอักษร อาจทำให้เขาเหล่านั้น พร้อมต่อการทำงานมากกว่าที่เป็นอยู่ก็ได้

ปริญญาโท ในสาขา "ชาวสวน" อาจทำให้คุณประสบความสำเร็จในการเล่นหุ้น มากกว่า ปริญญาโททาง Finance เสียด้วยซ้ำ ...ปริญญาโทสาขา "Know Who" อาจทำให้คุณไต่เต้าในองค์กรในเมืองไทยได้มากกว่า "Know How" ...ปริญญาโทสาขา "สมบัติผลัดกันชม + ไม่มีมิตรแท้และศัตรูที่ถาวร" อาจทำให้ท่านรุ่งเรืองในการเมืองมากกว่า สาขาสื่อสารการเมือง หรือ รัฐศาสตร์ ก็เป็นได้

บางคนหลีกหนีงานเหล่านี้ไปสร้างกิจการของตัวเอง กลับพบว่า งานที่ทำยิ่งใช้แรงงาน หนักยิ่งกว่าเดิมอีก --"คุณสงสัยไหมว่า แล้วงานอะไรที่จะทำให้คุณใช้สมอง"

ประเด็นมันมีอยู่นิดเดียว ที่หลายคนตีไม่แตก เพราะแท้จริง การทำงานโดยใช้สมองมัน "มี" แต่เมื่อคุณผมขาวแล้ว!!(รอไปก่อน) --- แต่การที่คุณจะได้ใช้สมอง(ตอนนี้!!เลย)... มันได้เปิดแล้วที่ ตลาดการลงทุน ตั้งแต่ หุ้น, ทอง, กองทุน ไปจนถึง Real estate

ผมเป็นคนนึงที่เจอปัญหาเดียวกับทุกคน ..ผมพบว่า "ยิ่งผมทำงาน ผมยิ่งโง่" นับแต่นั้นมา ผมได้ซื้อหนังสือต่างๆมาอ่านมากมาย(เดือนนึงผมเสียเงินหมื่นกว่าบาท ซื้อหนังสือ-- บ้าไม่บ้า คุณคิดดู!!) จากนั้นผมก็เริ่มลงทุน อย่างจริงจัง-- เริ่มจาก port ตัวเอง จากนั้นก็ไปบริหารให้ พ่อแม่ น้อง (เดี๋ยว!! คุณต้องทำให้เขาเชื่อในความสามารถ ..ขั้นแรกถ้าพ่อแม่หรือ พี่น้อง ไว้ใจให้คุณบริหารเงินเขา --"ผมว่าคุณผ่านขั้นแรกของความเจ๋งแล้ว...หุ หุ" ..เพราะมันไม่ง่ายแน่นอน--นี่คือขั้นแรกของ OPM (Other People Money) "ลองดูซิ!!")--- จากลงทุนจริง ก็เลยเขียน Blog ระบายความรู้และข้อมูลที่อัดในสมอง (กลายเป็นยิ่งให้ ก็ยิ่งได้รับ)จริงๆ!!...

โอกาสใหม่ๆ ได้เข้ามาหลังจากที่ผม(เริ่มให้).. วันนี้ผมได้ Feed back และรู้จักคนมากมายในวงการหุ้น .. Web board ที่ผมเข้าไป Share ความรู้ (stock2morrow) ก็เปิดเวทีให้ผมให้ไปในสังคมนั้น ..ซึ่งเร็วๆนี้ผมก็จะมีหนังสือของตัวเอง (โอกาสใหม่ๆ สำหรับหน้าที่การงานก็กว้างขึ้น ) Limit ของการทำงาน มันเริ่มไกลกว่า การตลาด และ ธนาคาร ..ตอนนี้ผมได้ก้าวขาเข้าสู่ โลกของ "การใช้สมองอย่างแท้จริง" --ใช่แล้วครับ ผมกำลังพูดถึง "การลงทุน"

นี่แหละครับ อาชีพที่ ไม่มี limit ในการเรียนรู้ และ รายได้ รวมทั้งโอกาสที่จะเข้าสู่งานอุตสาหกรรมใหม่ๆ เพราะการลงทุนสอนให้คุณกว้าง สอนให้รู้จักการปรับตัว และนี่แหละครับ "งานที่เริ่มจากสมองอย่างแท้จริง!!"...

(ใครอึดอัดในหน้าที่การงาน ผมก็ขอแนะนำให้ คุณเริ่มศึกษาหาความรู้อย่างจริงจัง และร่วมกันเผยแพร่ถ่ายทอด เช่น เขียน Blog หรือ เข้ามา post ในกระทู้ต่างๆ ..
..."ถ้าใครสนใจ วิธีเรียนรู้และ แบ่งปัน .." ผมขอเรียนเชิญมาที่ www.stock2morrow.com ---" เริ่มจากการอ่าน จากนั้น ก็คือ การให้กลับ ..ส่วนใครต้องการคำแนะนำ ก็ Facebook หรือ email มาหาผมได้นะครับ.." เพราะตอนนี้ทางเจ้าของ Web(พี่ looking) และผมก็กำลังมองหา นักลงทุน และนักเขียน นักถ่ายทอดรุ่นใหม่อยู่ครับ) ---"สังคมและโอกาสในการสร้างรายได้เปิดกว้างเสมอ สำหรับคนที่ไม่ท้อต่อความเฉี่อยของสังคม")

จากที่ผมเคยนำเสนอ การทำงาน กับ การทำเงิน มันคนละประเด็น --เมืองไทยคนรวยส่วนใหญ่(99.99%) ไม่ได้เกิดจากที่เขา เก็บเงินเดือน แต่เป็นการที่เขารวยจาก การลงทุนและ Asset ที่เขาถือครองต่างหาก (ถึงเงินเดือนเป็นแสนๆ แต่ถ้าคุณเอาแต่ฝากธนาคาร ไม่รู้จักบริหาร ชาตินี้ คุณก็ไม่มีทางรวยได้!!) เอ้า..สู้ สู้

วันพฤหัสบดีที่ 8 กรกฎาคม พ.ศ. 2553

มุมมองของสองสุดยอดเกี่ยวกับทิศทางเศรษฐกิจ(Paulson & Krugman)


ผมว่าหลายๆคนน่าจะรู้จัก Paul Krugman พ่อมดเศรษฐกิจที่ทำนาย​"วิกฤตต้มยำกุ้ง" ได้อย่างแม่นยำ ...จนทั่วโลกยกย่องเขาว่า เป็นสุดยอดนักเศรษฐศาสตร์คนสำคัญของโลก

อีกคนคือ Paulson (คนไทยน้อยคนนักที่จะรู้จักเขา) แต่เขาคือ Hedge fund manager ที่รวยที่สุดจากวิกฤต Sub-prime เพราะเขา Bet Against "Sub-prime" ..ปัจจุบันเขารวยระดับ Billionaire ของโลก (ซึ่งจะว่าไปแล้วก่อน วิกฤตแฮมเบอร์เกอร์ เขาเป็นคนที่ no name ไม่มีใครรู้จัก

จุดที่น่าสนใจคือ ทั้งสองคนนี้ออกมา "โต้ความคิดกัน" โดย Krugman บอกว่า โลกจะเข้าสู่ Double Dip ส่วน Paulson บอกว่า โลกกำลังฟื้นตัว และ Inflation อย่างแรงกำลังก่อตัว ...(ผมถามหน่อย คุณจะเชื่อใครดี!!)

ทั้งสองคนล้วนมี Success Trail ในการ Predict Trend ที่น่าสนใจทั้งคู่ ...โดยที่ Paulson จะต่างอยู่นิดนึงตรงที่เขาไม่ใช่แค่ทำนาย แต่เขาเอากองทุน(เงิน)ทั้งหมดที่เขาบริหาร ---Bet ในความเชื่อของเขาจริงๆ (คือ ถ้าเขาทายผิด เขาก็จะจน ว่างั้นเถอะ) --"ตอนนี้ผมถามอีกครั้งว่า คุณเชื่อใคร!!" (แน่นอน ทุกคนยังลังเล เพราะ ตราบใดที่ยังเป็นอนาคต ทุกสิ่งที่คนวิเคราะห์ก็เป็นการเดาทั้งสิ้น)

แต่การเดาจะน่าเชื่อถือ มากน้อยขึ้นกับว่า "คนเดา" กล้าเสี่ยงกับ ความคิดของตัวเองมากน้อยเพียงใด อย่างกรณีของผม ผม Bet ทั้ง Port ผมแบบ Paulson เพราะผมมองว่า ไม่ว่าจะอ่าน Comment อะไรจาก "คนอเมริกาทั่วๆไป ..คนเหล่านี้มองภาพเศรษฐกิจในแง่ลบมาก" หลายคนสงสัยว่า ว่าผมเอาอะไรมาวัดว่า คนส่วนใหญ่คิดอย่างไร (ง่ายๆครับ คุณไปดู Comment จาก Web ที่เกี่ยวกับการลงทุน แค่นี้ก็เป็นการทำ Servey แบบย่อยๆ ที่ดีทีเดียว)

ดังนั้น ผมมองในแง่ว่า "ถ้าคนส่วนใหญ่คิดลบ" --- เงินส่วนใหญ่ ก็จะอยู่ในที่ปลอดภัย นั่นหมายความว่า Investment Product ที่เสี่ยง ตอนนี้ยังมีราคาถูก เพราะไม่มีใครอยากถือนั่นเอง

ประเด็นนี้ทำให้ผมสรุปได้ว่า การที่ Paulson ลงเงินไปใน Asset ที่เสี่ยงอย่างหุ้น Bank ของอเมริกา รวมทั้ง Citybank เป็นการซื้อที่ราคาถูก ...ดังนั้น ไม่จำเป็นเลยว่า มันจะ Double dip หรือไม่(ก็ไม่สำคัญ) เพราะถ้าคุณ(ซื้อถูก)..ถึงในอนาคตมันจะถูกกว่านี้ --"คุณก็ไม่จำเป็นต้องขาย" (เพราะยังไงราคาที่ซื้อมันก็ไม่ได้แพง..จริงไหม!!) ดังนั้น การถือต่อไปจน "ฟ้าใส" เศรษฐกิจดี -- Paulson ก็ค่อยไปขาย Asset ที่เขาถือในราคาแพง !!

ผมว่า Paulson ฉลาดโคตร --"และเขามอง คนละประเด็นกับนักวิเคราะห์ทั่วไปที่มองว่า "ฟื้นไม่ฟื้น" แต่เขากลับมองว่า "ถูกหรือไม่ถูก" และทำกำไรจากประเด็นนี้ต่างหาก!! ..ไม่แปลกที่เขาจะรวยระดับ Billionaire จริงไหมครับ!!"

ทำไมเศรษฐีต้องพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ


คุณเห็นไหมว่าเดี๋ยวนี้ เศรษฐีมักพาลูกไปเรียนว่ายน้ำ “ก็เพราะเขาอยากให้ลูกว่ายน้ำเป็นน่ะซิ…หุ หุ” ..สมัยก่อนเมื่อสัก 60 ปีก่อน เมืองไทยยังล้าหลังอยู่มาก ตอนนั้นแต่ละคน ปากกัดตีนถีบ แต่เผอิญสมัยนั้นมันวัดกันที่ความอึด พอดีคนจีนเขาลำบากกว่า ส่วนคนไทยเกิดมาก็ในน้ำมีปลาในนามีข้าว ..คนจีนก็เลยอึดกว่า --- ในที่สุด คนจีนก็ก้าวเข้ามาเป็น นักธุรกิจ เจ้าสัวใหญ่ และครอบครองตลาดบ้านเราตราบจนทุกวันนี้

ถึงเวลานี้ ก็เข้าช่วงที่ เศรษฐีเหล่านี้เริ่มวางมือ และพยายามส่งต่อกิจการที่ตนเองสร้างมา เรียกว่า Pass on the Legacy อย่างที่ฝรั่งเขาเรียกนี่แหละ ..แต่ประเด็นปัญหามันก็เกิดขึ้นแล้ว คือ ลูกเศรษฐีนี่เกิดมาบนกองเงินกองทอง ไม่ต้องปากกัดตีนถีบเหมือนอย่างเศรษฐี ดังนั้น “ความอึด” มันคนละชั้นกัน

ในอีกด้านนึง ลูกคนไทย ที่ไม่รวย กลับต้องดิ้นรนสู้ชีวิต พยายามกดความขมขื่น คือ สมัยก่อนปู่เป็นถึง “เจ้าพระยามีที่นาหลายร้อยไร่” มารุ่นพ่อหายหมด เพราะเผอิญลูกๆปู่ไม่ได้แข่งกันทำมาหากินเหมือน คนจีน แต่กลับแย่งสมบัติกัน เหมือนในละครน้ำเน่าที่เราชอบดูกันนี่แหละ ..สรุปปู่เป็นถึงพระยา แต่หลานต้องมาปากกัดตีนถีบ (แต่โชคดีหน่อยที่หลาน ยังมีการศึกษาที่ดี เพราะทุกคนยังไงก็พยายาม ส่งเสียให้จบนอกให้ได้ อย่างน้อยก็ปริญญาโทวะ)

แล้วไงต่อ .. “เรื่องราวของ หนุ่มการศึกษาดีผู้ดีเก่า กับ ลูกเจ้าสัวผู้รับช่วงกิจการหลายพันล้าน --คุณว่ามันจะจบอย่างไร”
มาดูตัวละครแรก “หนุ่มการศึกษาดีผู้ดีเก่า” ตอนนี้ถ้าดูๆ กำลัง Struck อยู่ในการเป็น White Collar อยู่ ซึ่งกำลังสงสัยว่า “กูไปเรียนนอก ผลาญค่าเรียนไปเป็นล้าน ตอนนี้มาทำงาน ถ้าดูจากเงินเดือน คงประมาณว่าทำจนเกษียณยังไม่ได้ค่าเรียนเลย (จะทำยังไงดีวะ)” ..เผอิญมีคนมาขอซื้อที่ดินเก่าของ หม่อมแม่ “คุณว่าเรื่องมันจะเป็นอย่างไรต่อ เขาจะขายหรือไม่”

มาดูอีกตัวละคร คือ ลูกเจ้าสัว ซึ่งส่งไปเรียน การศึกษาดีเช่นกัน (ส่วนมากจบ U ดังในเมืองนอกซะด้วย “พ่อฝากน่ะ..หุ หุ”) เอาเป็นว่า ชีวิตมันช่างง่ายเหมือนปูพรม (ในที่สุด ความเป็นจริงก็เริ่มปรากฏ เมื่อชีวิตประดุจเจ้าชายบนทางสายไหม ต้องเข้ามารับช่วงกิจการจาก เศรษฐี) “คุณว่ากิจการ จะรุ่งไหม (ทำไมล่ะ)”

เผอิญวันก่อนผมไปเจอท่านเศรษฐีคนนึง (ไม่ขอออกนาม) ท่านบอกผมว่า “เฮ้อ!!ไอ้ภาววิทย์ เอ๋ย!! อั๋วว่า อั๋วลืมคิดไปอย่าง ..อั๋วลืม พา อาตี๋ มันไปเรียนว่ายน้ำตอนเด็กๆ ไม่งั้นมัน คงไม่เหนื่อยถึงเพียงนี้…” ผมก็ฉุกคิดขึ้นมาว่า สิ่งที่เศรษฐีกล่าวมันซ่อนด้วยความหมายที่ ลึกซึ้งนัก

คุณเคยเห็นคนว่ายน้ำไหม ถ้าคุณสังเกตุคนที่ว่ายน้ำเป็น (มันตวัดสองชึ๊บ)-- แป๊บเดี๋ยวมันก็ไปถึงอีกฝั่งแล้ว ..แต่ไอ้พวกที่ว่ายน้ำไม่เป็น มันตีน้ำ แทบตาย แต่ไม่ไปไหนเลย (นี่แหละ ที่มันเหมือนกับการทำธุรกิจ ถ้าคนที่มีประสบการณ์เขา ว่ายนิ่มๆ ..ก็ถึงอีกฝั่ง…. ส่วนพวกไม่มีประสบการณ์ ทำงานหนักแทบตาย แต่ธุรกิจกลับแย่ลง แย่ลง)

เรื่องนี้ผมคงไม่ต้องบอกถึงตอนจบ เพราะเรื่องราวมันยังดำเนินอยู่ ทั้งสองตัวละครเป็นสิ่งที่เกิดขึ้น มันเป็นเส้นแบ่ง และข้อจำกัดของแต่ละคนที่ต่างกัน ซึ่งในสมัยเศรษฐี ข้อจำกัด ก็คือ ตำแหน่ง กับ ปากกัดตีนถีบ ดังนั้น 60 ปีให้หลัง ผลก็คือ ปากกัดตีนทีบ ได้ผันตัวเป็น เจ้าสัว

มาในยุคนี้ กลายเป็นว่า ทั้ง ลูกเจ้าสัว และ ลูกผู้ดีเก่า ต่างก็มีใจที่สู้เช่นกัน ที่ต่างมันก็คือ ประสบการณ์ , ทุน และความคิด (จริงๆ ความคิด อาจสามารถโน้มน้าวทุน หากมันเป็นความคิดที่มีพลัง ในอเมริกา New Rich ใช้ความคิดโน้มน้าวทุนจาก Angels และ Venture capital)…ผมถึงเห็น เศรษฐีตัดพ้อในเรื่องของ การเรียนว่ายน้ำ (เพราะไม่ว่า ทฤษฎีและเทคนิคการว่ายน้ำจะดีเพียงใด มันก็เป็นแค่เพียงจุดเริ่มต้น เพราะท้ายสุด ชีวิตจริง มันเริ่มเมื่อคุณ ว่ายจริงๆต่างหาก)

ความเร็วของการว่ายในยุคนี้ ผมว่าสำคัญกว่าขนาดของนักว่ายน้ำ ..แม้ว่า เศรษฐีจะมีโอกาสในการที่จะสอน วิธีว่ายน้ำให้ลูกได้ดีกว่า แต่ก็ใช่ว่า เศรษฐีผู้เป็นนักเล่นที่ดี จะกลายเป็นอาจารย์ที่เก่งกาจ ..ผมว่าเวลาเท่านั้น จึงจะเป็นเรื่องที่รอการพิสูจน์ ส่วนตัวผมเชื่อว่า ยุคนี้แต้มต่อ มันไม่ได้สำคัญเท่ากับ ตัวเราเอง --วันนี้ข้อแตกต่างกันทางโอกาสและฐานะ มันสามารถลดช่องว่างได้ด้วยปัญญา “คุณจะชนะ ถ้าคุณคิดอย่างผู้ชนะ นั่นเอง”

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ