ช่วงนี้ ข่าวที่รัฐบาล Obama ปิดกันให้แซด!! ก็คือ "ข่าวน้ำมันรั่วลงในอ่าว Mexico ของบริษัท BP" ปริมาณคร่าวๆของน้ำมันที่รั่วก็ ประมาณ 200,000 แกนลอนต่อวัน ..แน่นอนความเสียหายที่เกิดขึ้น ต้องมีมูลค่ามหาศาล เป็นความเสียหายทางตรง แต่ปัญหาที่สำคัญกว่าก็คือ "ปัญหาทางอ้อมต่ออุตสาหกรรมน้ำมัน"??
ประเทศที่ร้อนตูดเอามากๆ ตอนนี้ก็คือ Brazil เพราะเป็นประเทศที่ พึ่งพาน้ำมัน ในน้ำลึกเป็นหลัก ..ประเด็นร้อนในอเมริกาตอนนี้คือ การหยุดใบอนุญาตในการขุดเจาะน้ำมันในน้ำลึก โดยเฉพาะอ่าว Mexico ซึ่งจุดนี้ แน่นอนส่งผลกระทบต่อราคาในอนาคตของน้ำมันอย่างแน่นอน
ที่เรารู้ๆกันดี ว่าอเมริกา พึ่งพาน้ำมันจาก Mexico และ แคนาดา เป็นหลัก ดังนั้น ปัญหาที่เกิดขึ้นใน อ่าว Mexico ย่อมส่งผลในด้าน Supply น้ำมันของอเมริกาอย่างแน่นอน ..ถ้าย้อนดูรอบปีที่ผ่านมาที่ราคาน้ำมันพุ่งไปแตะ 140 เหรียญต่อบาร์เรล มีจุดเริ่มต้นมาจาก Supply ที่เริ่มตึงตัว ผนวกกับการเข้าเก็งกำไรของ Hedge Fund
ซึ่งถ้าให้มองในรอบนี้ การรั่วของ น้ำมันในอ่าว Mexico อาจเป็น Tipping point ของราคาน้ำมันที่พุ่งขึ้นอีกรอบก็เป็นได้ เพราะถ้ามองให้ดี ไม่ว่าจะเป็นปัจจัยในเรื่องของ Supply ที่คาดว่าจะเริ่มตึงตัว ผนวกกับ Hedge Fund --ที่แค่หลับตา ก็เดาถูก ว่ายังไง!!... เขาต้องเข้าเก็งกำไรทุกที ทุกโอกาส "ฉี่เรียราด" ว่างั้น)..ถ้ายังจำกันได้ ช่วงปี 2008 ราคา Asset ทั่วโลก หายไปเลย(ทุกคนสงสัยว่า อยู่ดี "เงิน"หายไปไหน!!) แต่อยู่ดีๆ พอปี 2009 พอราคา Asset (รวมทั้งหุ้น) ปรับตัวขึ้น "คุณลองไปดู Port ของพวก Hedge Fund รับเละ โดยเฉพาะขาใหญ่ทั้งหลาย"
จะว่า การลงทุนระดับโลก เป็น "มวยล้มต้มคนดู ก็น่าจะเป็นเช่นนั้นจริงๆ" (เสริมความรู้อีกนิด คือ ตอนนี้อเมริกาเริ่มมีปัญหา การต่อต้านการขุดเจาะน้ำมันแบบ Deepwater ส่งผลให้ บริษัทอเมริกัน ที่กลัว ต้องขายเครื่องมือแบบ Deepwater ไปให้ Brazil ซึ่งตอนนี้เก็บเครื่องมือราคาถูกอย่างเดียว (เพราะ Brazil ยังคงตั้งหน้าตั้งตา ขุดน้ำมันแบบ Deepwater ต่อไป ที่ว่า Brazil ร้อนตูด คือเก็บค่าโง่จากอเมริกา กันแทบไม่ทัน จริงๆนะเนี่ย!!)
จากนี้ไปลองมา ทายกันสนุกๆ ว่า Hedge Fund จะทำอย่างไร ต่อราคาน้ำมัน ..เอาเป็นว่าเดี๋ยวผมไปเก็บ กลุ่มน้ำมันของผมเพิ่ม แล้วปลายปีมาดูราคากัน คงเป็นอะไรที่น่าสนุกไม่น้อยครับ!!
ตรงใจผมเลย ขอบคุณครับ
ตอบลบเข้ามาอ่านแล้วรู้อะไรเยอะดี..ขอบคุณมาก
ตอบลบ