แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 16 สิงหาคม พ.ศ. 2563

เราจะผ่านเศรษฐกิจแย่ๆ ไปได้ยังไง

 ‘ในอดีต เราเคยมีช่วงที่เศรษฐกิจแย่แบบนี้ไหม ..แล้วเราผ่านมาได้อย่างไร ?’


...เศรษฐกิจฝืด ...ดอกเบี้ยก็ต่ำ ฝากเงินแล้วไม่ได้อะไร จนลงด้วย ...คนตกงานเยอะ ...การท่องเที่ยวหยุดชะงัก ...หนี้เสียเริ่มพุ่ง ...รัฐบาลกู้ และกระตุ้นเศรษฐกิจ ...บางธุรกิจไปไม่รอด ...ส่งออกเหนื่อย ...ค่าเงินดันแข็ง ...อสังหาริมทรัพย์ขายไม่ออก ...ห้องว่าง ไม่มีคนเช่า 


ใช่!! เราเคยผ่านมาหมดแล้ว สรุปแล้วเป็นยังไง


1. ‘เงินสดลดมูลค่า’ ...ใครถือเงินสดในระยะยาว จนลงมากที่สุด


2. ‘คนเป็นหนี้มากขึ้น และ เป็นหนี้ยาวขึ้น’ ...ต่อไป คนก็จะเป็นหนี้จำนวนที่มากขึ้นไปอีก และผ่อนยาวขึ้นไปอีก เช่น ผ่อนรถ 10 ปี ..ผ่อนบ้าน 50 ปี 


3. ‘สินทรัพย์ที่ดีจะแพงขึ้น’ ..หุ้นดี , ที่ดินทำเลดี , ทอง , ... (สินทรัพย์ที่ดี มีมูลค่าในตัวเองเสมอ เพราะ มีคนจำนวนมากที่ต้องการมันเสมอ) 


4. ‘คนรุ่นใหม่ จะกล้าซื้อของที่แพงขึ้น’ ...ในอดีตกระเป๋าถือ , นาฬิกาข้อมือ ราคาเป็นล้าน เป็นสิ่งที่บ้าคลั่ง ..ทุกวันนี้มันคือเรื่องปกติ 


5. ‘คนรุ่นใหม่ จะจ่ายค่าประสบการณ์ที่แพงขึ้น’ ...ของจับต้องไม่ได้ คนรุ่นใหม่ก็กล้าจ่าย ..การขายประสบการณ์ จะเป็นหัวใจของการค้าปลีกในอนาคต


6. ‘เศรษฐกิจโดยรวมจะโตขึ้น’ ...เพราะออนไลน์ทำให้ การค้าและเศรษฐกิจหมุนเร็วขึ้น ...นั่นแปลว่า โอกาสหาเงินจะเพิ่มขึ้น (การที่เศรษฐกิจแย่ เงินฝืด เป็นเรื่องชั่วคราว) 


7. ‘เกษียณได้ แต่หยุดหาเงินไม่ได้’ ...การมีชีวิตจะมีค่าใช้จ่ายสูงขึ้นเรื่อยๆ ดังนั้น เราจะไม่สามารถหยุดหาเงินได้ ...ถ้าเลิกทำงาน ก็ต้องหาเงินต่ออยู่ดี เช่น หางานใหม่ หรือ ลงทุนให้เงินทำงานแทน


8. ‘Selfmade จะเพิ่มขึ้น’ ...ธุรกิจเล็กที่เข้าใจการเปลี่ยนแปลง จะเป็นธุรกิจใหญ่ ...ส่วนยักษ์ใหญ่ บางส่วนจะล้มไป ...การเกิดของธุรกิจเล็กรุ่นใหม่ เป็นโอกาสสร้างตัวของคน Selfmade 


9. ‘ธุรกิจใหม่ ต้องไม่เหมือนกับของเดิม’ ...คนรวยในอดีตคือเจ้าของโรงงาน ...แต่ธุรกิจใหม่ที่รุ่ง ต้องเป็นเจ้าของแบรนด์ แต่ไม่จำเป็นต้องเป็นเจ้าของโรงงาน ...แต่เจ้าของเงินลงทุน สบายสุด ‘เป็นนักลงทุนรุ่นใหม่นั่นเอง’


สรุป ‘ไม่ว่าจะมีวิกฤตเศรษฐกิจ และการเปลี่ยนแปลง ...สินทรัพย์ที่ดีย่อมมีราคาเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ ...ผู้ชนะคือ เจ้าของเงิน ...เพราะ ไม่ว่าเราจะหาเงินเก่งแค่ไหน แต่การหาเงินทุกวันนี้ ไม่มีความแน่นอน ...มาแรง ไปเร็ว เหมือนพายุ ...คนที่รวย และ สามารถรักษาความมั่งคั่งให้ยั่งยืน ต้องเป็นคนที่ลงทุนเก่งด้วย’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ทบทวน เรียน The Stock Master 9 สัปดาห์ที่ 1

 ทบทวน สิ่งที่เรียน สัปดาห์ที่หนึ่ง ของ The Stock Master 9 


‘ตอน : ไม่รวยรอบนี้ จะรอรอบ สิบปีไหน ?’


1. ‘รอบนี้ มือเก่าตกรถ ..มือใหม่ กำไรแบบ งงๆ’ ..หลายคนขายทำกำไรไปละ มานั่งลุ้นว่าเอาไงต่อ ...ไม่ยากครับ!! ทำการบ้านเพิ่ม ตอนนี้ตลาดปรับฐานให้เข้า ไม่ใช่ให้หนี ..เพราะ ‘ความไม่แน่นอน’ จะมาพร้อมกับการขึ้นครั้งใหญ่ ...ทยอยเข้าซื้อหุ้นได้เลย !! 


2. ‘ถ้าไม่กล้าเข้า ให้เข้าเลย ใช้ Trade Master ตั้ง Trailing Stop ตามที่สอน ยังไงก็จำกัดความเสี่ยงได้ ...แต่ถ้าหุ้นมา เราได้เต็มๆ’ ...เวลานี้จะลุ้น ต้องจำกัดความเสี่ยง แล้วลุยเข้าไปเลย !!


3. ‘ตลาดหุ้นไทย ..หุ้นใหญ่รอบนี้ ได้แค่ Turnaround กับ ปันผล ...แต่ถ้าอยากลุ้น Super Stock มันจะมาจากหุ้นเล็ก’ ...เศรษฐกิจติดขัดทั้งโลก ถ้าอยากได้หุ้น 5 เด้ง ขึ้นไป ต้องคัดหุ้นเล็กหน่อย แล้วกระจายความเสี่ยงโดยซื้อให้หลายตัวมากขึ้น 


4. ‘หุ้นที่คนเขาว่าดี ตอนนี้ไม่น่าเข้า เพราะ PE ก็สูง ปันผลก็ต่ำ ..ของดี แพงเกินไป ...คนกำไรเขาซื้อตั้งแต่ข้างล่าง’ ...หุ้นยอดฮิต จะพาเราดอยง่ายๆ รอบนี้ให้ระวัง ...อะไรที่คนชอบ เราควรระวัง และ หนีให้ห่าง


5. ‘การไม่ลงทุน แล้วถือแต่เงินสดรอบนี้เสี่ยงเกินไป’ ...หลีกเลี่ยง ตราสารหนี้ ที่ให้ดอกเบี้ยสูง เพราะ ไม่คุ้มเสี่ยง ....ถ้าจะเสี่ยงให้ลงหุ้นรายตัวเลย กระจายไปหุ้นไชค์กลาง และ เล็ก ที่ผ่านวิกฤตได้  ...ถ้าเอาความเสี่ยงกลาง ให้ลงกองทุนดัชนี เช่น พวก ETF ...ถ้าไม่เสี่ยง ก็กันไว้บางส่วนในเงินสดไปเลย 


6. ‘หุ้นต่างประเทศลงได้ แต่อยู่ในโซนปลายรอบ แพง แต่ไปได้ด้วยแรงเก็งกำไร’ ...เมื่อไหร่จบรอบ ก็ตัวใครตัวมัน ...การลงหุ้นต่างประเทศเวลานี้ไม่ใช่การลงทุนระยะยาวแล้ว (แพงไป)


7. ‘ทองคำ หมดความ Sexy แล้ว’ ..น่าจะไปต่อนะ แต่จะไม่ใช่สินทรัพย์ที่โดดเด่น เพราะ มันเข้ากระแส Mass เรียบร้อย ...เอาตรงๆ Bitcoin ทองคำดิจิตอล ยังน่าจะไปได้ไกลกว่า ...สถิติบอกเราว่า เมื่อไหร่ที่คนส่วนใหญ่ บอกว่าอะไรดี ...คนส่วนน้อยอย่างเรา ต้องระวังให้มาก 


8. ‘อสังหา ไม่ใช่ตลาดเก็งกำไร แต่เป็นตลาดของผู้ซื้ออยู่’ ....อสังหาริมทรัพย์ไทยจะฟื้นตัวช้า แต่จะค่อยๆ ดีขึ้นเรื่อยๆ ...คนที่ตายคือ บริษัทอสังหาขนาดเล็ก และ คนเก็งกำไร ...ตอนนี้ หาของดีราคาถูกได้ แต่ต้องยาวๆ กับมัน


9. ‘การหาหุ้นที่ Deep Value ในเวลานี้ ง่ายกว่าหา Super Stock’ ...ในอดีตเรามีอย่าง AOT , CPALL , KTC , SCC , ...เป็น Superstock แต่หลังจากนี้ หุ้นแบบนี้จะไม่เป็น SuperStock อีกต่อไป ...มันจะกลายเป็น Value Stock แทน คือ ค่อยๆ ไปเรื่อยๆ ถือกินปันผล ...แต่ถ้าอยากได้อะไร โดดเด่น หลายเด้ง อาจต้องไปหา Deep Value ....ประเมินจาก สินทรัพย์ เทียบ Market Cap. ..ประเมินการโตของ รายได้และกำไร ถ้าโต 3 เท่า ได้ใน 3 ปี พวกนี้ ได้ 5 เด้ง ...แปลว่า ความเสี่ยง 1 : 5 (เสี่ยง 1 เด้ง / ลุ้นได้ 5 เด้ง) ...กระจายซื้อเป็น พอร์ต มีโอกาส Win Big ในรอบนี้ครับ !!


ก็ประมาณนี้ เดี๋ยววันเสาร์ คลาสออนไลน์ ครั้งที่ 2 มาเรียนการแกะงบ ...ลองไปทำการบ้าน หาหุ้น คัดหุ้น มาดูกัน ว่า อะไรที่คุ้มเสี่ยง ให้ลุ้นรวยกันรอบนี้บ้าง !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 


The Stock Master 9 


วันอาทิตย์ที่ 9 สิงหาคม พ.ศ. 2563

6 คำถามแบบหุ้นๆ ที่ปรึกษาการลงทุนจะตอบยังไง

 6 คำถาม แบบหุ้นๆ ...ที่ปรึกษาการลงทุน จะตอบยังไง ?


1. ‘หุ้นขึ้น ถือต่อหรือขายดี ?’ ...พอหุ้นขึ้น เราก็อยากขายทำกำไร


ตอบ ‘ขายครึ่งนึง’ ...ทำไมล่ะ ?


ก็ถ้าถามแปลว่า อยากขาย ...กำไรแล้วจะไปขัดเขาทำไม แต่แนะนำให้ขายครึ่งนึง ...เพราะ ถ้าขายแล้วไปต่อ ก็ยังเหลือหุ้นอีกครึ่งให้ได้กำไรเพิ่ม (ก็ใช่ ส่วนใหญ่ ขายในขาขึ้น Price Move in Trend มันก็ไปต่ออยู่แล้ว) ...แต่ถ้ามันลง ก็จะได้มีเงินมาช้อนซื้อเพิ่ม 


2. ‘หุ้นลง แต่พื้นฐานดี ต้องขายไหม ?’


ตอบ ‘ขายครึ่งนึง อีกครึ่งถือไว้ก่อน’ ...ทำไมล่ะ ?


ก็ถ้ามาถาม แปลว่า หุ้นมันลงเริ่มลึกจนอึดอัด ...การขายไปครึ่งนึง จะช่วยให้เรากดดันน้อยลง ...หากขายไปครึ่งนึงแล้วหุ้นเด้ง เราก็ยังมีส่วนนึงที่ยังไม่ได้ขาย


แต่ถ้าขายแล้วหุ้นลงต่อไปอีก ..เราจะตัดใจขายครึ่งนึงที่เหลือได้ง่ายขึ้น


3. ‘ทองขึ้น ขายดีไหม ?’


ตอบ ...ใช่!! ‘ก็ตอบเหมือนเดิม’ ...จัดไป 


4. ‘หุ้นที่อยากซื้อขึ้นมาแล้ว ยังไม่ได้ซื้อเลย จะซื้อตามได้ไหม ?’


ตอบ ‘ซื้อเลย แต่ซื้อน้อยลง’


ก็ถ้าอยากซื้อ แปลว่า หุ้นมันลงมาถูกจนเราสนใจ ...แต่ก่อนหน้านี้เราดันไม่กล้าซื้อ ...พอมันเริ่มเด้งขึ้นมา จริงๆ มันอาจจะเป็น ต้นรอบ ของรอบใหม่ แต่เราก็คิดว่าตกรถ ...ง่ายๆ ก็คือ ‘ซื้อเลย’ แต่ซื้อจำนวนน้อยลงกว่าที่ตั้งใจจะซื้อเดิม ก็แค่นั้นเอง 


5. ‘ติดดอย แต่หุ้นพื้นฐานดี ซื้อถัวได้ไหม ?’


ตอบ ‘ได้ ...แต่ต้อง Limit ความเสี่ยง ...จำนวนที่จะซื้อเพิ่มชัดเจน ไม่ใช่ถัวไปเรื่อยๆ’


โดยปกติ เวลามีข่าวร้าย หุ้นทั้งพื้นฐานดีและไม่ดี ก็ลงทั้งนั้น ...การที่เราถือหุ้นอยู่ บางครั้งมันก็ลงจนเราขาดทุน ...การซื้อเพิ่มทำได้ เพราะ เรารู้พื้นฐานหุ้นตัวนี้อยู่แล้ว ...ก็ทำให้เราได้หุ้นในราคาที่ถูกลง ...แต่!!! แต่อย่ามั่นใจไร้สติ ต้องกำหนดจำนวนที่จะซื้อ ไม่ใช่ถัวไปเรื่อยๆ ...เพราะ บางครั้งถ้าหุ้นนั้นเปลี่ยนพื้นฐาน แย่จริง จะทำให้เสียหายเยอะสุดๆ ได้ (ระวังด้วย!!) 


6. ‘มีหุ้นอยู่แล้ว แต่วันนี้ มันขึ้นดีจริงๆ พื้นฐานก็ดีขึ้น จะซื้อเพิ่มได้ไหม ?’


ตอบ ‘ได้ จัดไป ...แต่ให้คำนวณต้นทุนใหม่ด้วย’


หุ้นพื้นฐานดี เวลามันขึ้นรอบใหม่ มันก็ขึ้นตั้งแต่ไม่แพง ..ไปแพงขึ้น ...จนไปแพงสุดๆ แล้วค่อย จบรอบ ...เริ่มใหม่ ไปเรื่อยๆ ....ถ้าเราซื้อได้ถูก แต่ซื้อน้อยไป การเติมของก็ทำได้ แต่เราต้องคำนวณต้นทุนใหม่ ...เพราะ หลังจากเติม ต้นทุนเราสูงขึ้น เราอาจต้องขาย หากหุ้นเปลี่ยนทิศทางเป็นขาลง


ครับ !! ...การลงทุน มี Logic ที่ชัดเจน ..ไม่ได้ซับซ้อน  แค่ทำความเข้าใจดีๆ เราก็สามารถเป็นนักลงทุนที่ดีได้


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันเสาร์ที่ 8 สิงหาคม พ.ศ. 2563

การปั้นพอร์ตให้ยั่งยืน ทำยังไง

 ‘ลงทุนให้รวยยั่งยืน มันเป็นยังไง ?’


มือใหม่ ถามผมเยอะมากว่า เขาอยากปั้นพอร์ตให้โตแบบยั่งยืนต้องทำไง


1. ‘ต้องซื้อหุ้นที่มันโตแบบไม้ยืนต้น’ ...ถ้าคุณเล่นหุ้นเก็งกำไร มันก็คล้ายๆ ปลูกถั่วงอก ...มันก็พอได้เงินนะ แต่เราจะหวังให้ถั่วงอกโต จนให้ร่มเงา ออกลูกจนเรากินไม่หมด มันทำไม่ได้ ...ขั้นแรก คือ ดูซิว่า หุ้นที่คุณเลือกมันเป็นต้นไม้แบบไหน ?


2. ‘หุ้นที่เราเลือก มันยิ่งโต ลูกยิ่งดกไหม’ ...หุ้นบางตัวขึ้นแต่ราคา แต่ไม่ออกดอกออกผล ...ก็เหมือน ต้นไฝ่ โตเร็ว แต่มันไม่ให้ผล เหมือนต้นมะม่วง ...ดังนั้น ขึ้นกับเราว่า ในพอร์ตเรา อาจมีต้นไฝ่บ้าง แต่ถ้าเรามองระยะยาว เราต้องมีต้นมะม่วงมากกว่า ...การจัดพอร์ตสำคัญครับ มันต้องเลือกหุ้นให้ตรงกับ เป้าหมายเราให้มากที่สุด 


3. ‘ต้นไม้เรา ผ่านพายุได้ไหม’ ...อย่างช่วงที่พายุแรงๆ แบบโควิด ...ต้นหญ้า บางทีได้เปรียบ ต้นไม้ใหญ่ ...นั่นไง!! ...ผมถึงชอบ หุ้นเล็ก เวลาเจอวิกฤตใหญ่ (แต่ถ้าวิกฤตไม่ใหญ่ ...ต้นไม้ใหญ่ มันจะต้านได้ดี แล้วกลับมาเร็วกว่า) ...ใช่!! ต้องมองให้ขาดว่า พายุที่เข้ามาเวลานี้ มันคือ พายุแบบไหน ?


4. ‘เราต้องศึกษา ทำความเข้าใจในต้นไม้ของเรา’ ...คนที่ควรเข้าใจ ต้นไม้ในพอร์ตเรามากที่สุด ก็คือ ตัวเรา ...ไม่ต้องไปถามคนอื่นหรอก เพราะ สวนของแต่ละคน มันไม่เหมือนกัน 


5. ‘ใครปลูกนานกว่า ได้เปรียบกว่า’ ...อันนี้มันสอนเราว่า คนเงินเยอะ ก็อาจไม่ได้เปรียบ ...ถ้าสวนคุณเป็นร้อยไร่ แต่ต้นไม้เพิ่งปลูกใหม่ มันก็เสี่ยงมากกว่า คนที่สวนไม่ใหญ่ แต่ปลูกมานานแล้ว ...การยืนระยะจึงสำคัญมาก เพราะ เป้าหมายเราคือ ต้นไม้ที่งดงามในสวนของเราตลอดไป


6. ‘การใส่ปุ๋ย ต้องเอาแค่พอดี’ ...การใส่ปุ๋ยก็คือ การเร่งให้ต้นไม้โต ..มากไปก็เสี่ยง ...น้อยไปก็ช้า ...กลางๆ ดีสุด ...แปลว่า ความเสี่ยง ต้องรักษาสมดุลย์ให้ดี 


ใช่ครับ!! การสร้างพอร์ตยั่งยืน ก็เหมือน การปลูกต้นไม้ ในสวนของเรา ...เริ่มจากหลังบ้านนี่แหละ ...จนเราเชี่ยวชาญ คุณถึงค่อยขยายออกไป 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทองขึ้นแรง แล้วมีอะไรที่น่าจะขึ้นเยอะๆ อีกบ้าง

 ‘หลังจากทองคำขึ้นแรง ก็มีคำถามว่า มีอะไรบ้าง ที่เราถือแล้วอาจรวยไม่รู้เรื่องบ้างอ่ะ ?’


...ครับ !! เป็นคำถามที่น่าสนใจ ...เพราะ ผมก็เขื่อว่า หลังจากนี้ จะมีอะไรหลายๆ อย่างที่หากเรามีครอบครอง ราคามันจะขึ้น จนรวยได้เลย


เอาปัจจัย 4 มาดูก่อน ...


1. ‘ของสิ่งนั้น ต้องมีมูลค่าในตัวเองโดยไม่ต้องซื้อขาย’ ...ยกตัวอย่าง ที่ดิน ถึงไม่ขาย ก็มูลค่า เพราะ เอามาสร้างรายได้ เช่า ทำเกษตร สร้างตึกขายอะไรก็ว่าไป , ทอง ยังไงก็มีมูลค่าในตัวมันเอง , หุ้น มันก็มีปันผล ไม่ขายก็ได้ 


2. ‘ต้องมี Demand มากกว่า Supply’ ..อันนี้เชิงเทคนิคนิดนึง ..ภาษาบ้านก็คือ ของสิ่งนั้น ต้องมีคนต้องการ มากกว่า จำนวนที่มันมี เสมอ ...ยิ่งถ้ามันผลิตเพิ่มไม่ได้ ราคายิ่งสูง ...เช่น ภาพเขียน ที่คนวาด ชื่อดัง ตายไปแล้ว , น้ำมัน ถ้าโลกนี้ยังคงใช้อยู่ อะไรก็ว่าไป


3. ‘ของสิ่งนั้น สามารถซื้อขายเก็งกำไร’ ...ข้อหนึ่งมันต้องมีค่า แม้ไม่ขาย แต่นั่นไม่พอให้ราคาขึ้น ...มันต้องมีคนเข้ามาเก็งกำไรด้วย ...ดังคำพูดที่ว่า เมื่อความเห็น (คนซื้อ-คนขาย) ไม่ตรงกัน การพนันจึงเกิดขึ้น


4. ‘เป็นสิ่งที่เก็บในระยะยาวได้’ ...หลายๆ อย่าง มีคุณค่า มีจำนวนจำกัด แต่อายุไม่ยาว เช่น อาหาร ก็ยากที่จะให้มันขึ้นหลายๆ เด้ง ...หรือ บางอย่างที่มันมีค่าบำรุงรักษาสูง เช่น รถยนต์ ก็ลงทุนให้รวยได้ยาก (มันก็มีที่ราคาขึ้น แต่มันเป็นเคสไม่ปกติ ...เราต้องมองหาของที่มันเอื้อให้ลงทุนง่าย เก็บได้ ราคาขึ้น)


โอเค หลักๆ ก็ 4 ข้อนี้ ...เราก็มาเลือกดูต่อไปว่า แล้วอะไรที่เหมาะกับเรา ก็ดูดังนี้


1. ‘เรารู้และเข้าใจ ในสินทรัพย์นั้นมากกว่าคนอื่น’ ...ถ้าพูดถึงหุ้น เราต้อง อ่านมูลค่า และ รู้จังหวะ 


2. ‘เงินเราต้องเย็นพอ’ ...กันเงินสด ไว้ลงทุนเพียงพอ (มากน้อย ไม่สำคัญ เท่า กับ เราจัดสรรเงิน ให้เหมาะสมกับสิ่งที่เราลงทุน) 


3. ‘บริหารอารมณ์ ให้สามารถทำตรงข้ามกับมวลชนได้’ ...ถ้าคนส่วนใหญ่กลัว เราต้องกล้าซื้อ ...แต่ถ้าคนส่วนใหญ่กล้า เราต้องระวัง 


4. ‘รู้จักอดเปรี้ยวไว้กินหวาน’ ..อันนี้สำคัญสุดของ นักลงทุนที่ร่ำรวย ...ผมไม่เคยเห็นนักลงทุนเก่งๆ ที่ใช้เงินซี้ซั้วเลย ...’เขี้ยวทุกคน !! ...จะว่า งก ก็ใช่!!’ 


ก็ประมาณนี้ ...ลองไปสำรวจว่า ตอนนี้คุณถือการลงทุนอะไรบ้างที่มีโอกาสขึ้นหลายเด้ง


ถ้ามีเยอะ ก็แปลว่า มีโอกาสรวยมาก ไม่ได้เกี่ยวกับทำงานหนักหรือโชคดี อะไรเลย ....ใครเข้าใจเรื่องนี้ได้เร็ว ก็มีโอกาสสร้างตัวได้ก่อน


‘ใช่!! คนเราต้องกล้า ต้องเสี่ยง แต่เสี่ยงในจุดที่เรารับได้ ถึงจะรวยครับ!!’ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

คนรุ่นใหม่ เงินเดือนหลักแสน แต่ทำไมไร้เงินเก็บ

 ‘คนรุ่นใหม่ได้เงินเดือนหลักแสน แต่ทำไมไม่มีเงินเก็บเลย’ 


มีรุ่นน้องหลายๆ คนมาปรึกษา ว่า เขารายได้เดือนเป็นแสน แต่ไม่มีเงินเก็บเลยทำไงดี ?


...ผมว่าไม่แปลกนะ ...ยุคนี้คนรุ่นใหม่หาเงินกันเก่ง แต่ปัญหาหลักๆ คือ เขาลงทุนไม่เป็น ...ชีวิตเขาดูดี ดูไฮโซ แต่ไม่เหลือเงินเก็บเลย แถมเป็นหนี้เยอะด้วย ...พอเจอวิกฤตอย่างโควิดนี่จบเลย ...เครียด!!


ขอแนะนำคร่าวๆ ดังนี้


1. ‘เงินได้เท่าไหร่ไม่สำคัญ เงินที่เหลือไปลงทุนได้สำคัญกว่า’ ...เอาตรงๆ นะ คนที่พอร์ตการลงทุนเป็นร้อยๆ ล้าน ที่ผมรู้จัก เขาไม่ใช่คนที่รายได้สูงเลย ...บางคนรายได้หลักหมื่นเท่านั้น แต่เขาเอาเงินมาลงทุนเป็นเวลานาน ..สุดท้ายมันก็โตเป็นร้อยล้านได้ ...การลงทุนมันคล้ายๆ น้ำซึมบ่อทราย ..แรกๆ เหมือนมันน้อย แต่พอเวลาผ่านไป มันยิ่งโต พอพอร์ตใหญ่ มันยิ่งโตทบต้นเข้าไปอีก


2. ‘ถ้าเราซื้อทุกอย่างที่อยากได้ ยังไงก็ไม่รวย’ ...คนจำนวนมากตั้งเป้าชีวิตเป็นสิ่งของ เช่น รถสปอร์ต , กระเป๋า Hermes , นาฬิกา Patek ...เอาตรงๆ นะ ถ้าอยากได้จริงๆ เงินไม่มีก็ไปกู้ซื้อได้ ...พอสร้างหนี้แล้วมันติดใจ มันตอบความฝันทันที ได้เงินง่ายๆ แต่พอทำแล้ว มันจะติด ยิ่งกว่ายาเสพติด ...ถ้าบริหารไม่ดี ส่วนใหญ่ หนี้สิน มันโตเกินสินทรัพย์ ...สุดท้ายก็เลยไม่มีเงินเก็บเลย ...พอจะขายของที่ตัวเองมี ก็ไม่ได้ราคา เพราะ ราคาตลาดที่เราเห็น มันไม่ใช่ราคาที่เราจะขายได้ ต้องระวังให้ดี ....คำแนะนำ คือ ถ้าอยากซื้ออะไร เก็บเงินสดให้ได้ทั้งก้อนก่อนแล้วค่อยซื้อ ...วิธีนี้จะช่วยให้เราบริหารความฝันและเงินได้ดีขึ้น


3. ‘เราไม่ใช่ธนาคาร อย่าให้ใครยืมเงินหรือ ค้ำประกันให้ใคร’ ...หลายคนบริหารเงินตัวเองดีมาก แต่มาตกม้าตาย ตอนค้ำประกันให้คนอื่น หรือ ให้เพื่อนยืมเงิน ...พ่อผมสอนว่า ‘ถ้าอยากเลิกคบเพื่อนคนไหน ก็ให้เขายืมเงินเลย’ ..เอาตรงๆ เรื่องนี้ ถ้าไม่เกิดกับตัวก็คงไม่รู้ซึ้ง ...การไม่ให้ยืม อาจเคืองชั่วคราว ...พอเวลาผ่านไป ก็เป็นเพื่อนกันได้ปกติ แต่ถ้าให้ยืมแล้วไม่คืน นี่เลิกคบกันตลอดไปนะ !!


4. ‘การลงทุนไม่ใช่แค่ลงเงิน แต่คือ การลงทุนศึกษาเรื่องนั้นจริงจัง’ ...คนร้อยทั้งร้อย ที่บอกว่า เจ๊งหุ้น , เจ๊งอสังหา , เจ๊งทอง , เจ๊งบิทคอยส์ ...ส่วนมากคือ คนที่เข้ามาลงเงินโดยไม่ได้ศึกษา ...การลงทุนทุกอย่างต้องเริ่มจากลงเงินให้น้อยก่อน ลงทุนศึกษาให้เยอะ ...พอเข้าใจแล้วค่อยๆ เพิ่มน้ำหนัก จึงจะสำเร็จครับ


5. ‘สินทรัพย์ สามารถขึ้นได้มหาศาลเมื่อถือยาว’ ...เราเห็นหุ้นดีๆ สามารถขึ้นได้เป็นสิบๆ เด้ง ...เป็นสิบๆ เท่า ...แต่ถ้าให้คุณเอาหุ้นตัวนั้น มาเล่นสั้น พยายามซื้อให้ต่ำ ขายให้สูง หมุนรอบให้เยอะ ...สุดท้ายได้น้อยกว่าถือ ...แปลกไหม !! บางครั้งการอยู่เฉยๆ กลับรวยกว่า ....คำแนะนำ คือ เทรดได้นะ แต่ก็ต้องแบ่งเงินบางส่วนเพื่อถือยาว ...เงินส่วนนี้แหละ ที่จะเติบโตเปลี่ยนชีวิต


6. ‘จังหวะการลงทุนถือยาวที่ดีที่สุด มักอยู่ในวิกฤต’ ...คนจำนวนมาก หาเงินเก่ง แต่เอามาเจ๊งหุ้น เจ๊ง forex ..เจ๊ง มันทุกอย่างที่เอาไปลง ...เอาว่า ลงอะไรก็เจ๊ง !! ...หลักๆ คือ ผิดที่จังหวะ ....จุดที่ซื้อแล้วเจ๊งยาก มีโอกาสรวยมากกว่า ก็มักอยู่ในช่วงวิกฤต ...ลองทบทวนตัวเองดีๆ ว่า ที่ผ่านมา เราลงทุนผิดจังหวะไปขนาดไหน 


ผมว่า 6 ข้อ นี้หลักๆ เลย ...ถ้าเข้าใจ ปรับเปลี่ยน แล้วการเงินจะดีขึ้นอย่างน่าประหลาดใจ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


เส้นทางนักลงทุนในตลาดหุ้นไทย มันเป็นแบบนี้

 ‘เส้นทางนักลงทุน ในตลาดหุ้นไทย’ 


การลงทุน ก็เหมือน การเดินทาง ...เราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ที่เพิ่มขึ้น ..ส่วนการลงทุน ประสบการณ์จะนำมาซึ่งเงินในพอร์ตที่เติบโตขึ้นเรื่อยๆ 


มันเริ่มจาก


1. ‘การลงทุน สามารถเป็นอาชีพเสริมได้ทุกอาชีพ’ ...ไม่ว่า คุณจะมีอาชีพอะไรก็ตามในชีวิตจริง ...การลงทุนสามารถเป็นอาชีพเสริมของทุกคน เพียงแค่เริ่มเปิดบัญชีและเริ่มใส่เงินลงทุนทีละน้อย (ความมั่งคั่ง มันเริ่มจากลงทุนประมาณ 10% ของเงินเดือน)


2. ‘ความผิดพลาด จะทำให้ประสบการณ์เราเพิ่มขึ้น’ ..หลายคนคิดว่า การลงทุนจะต้องไม่ผิดพลาด แต่จริงๆ แล้ว ทุกคนที่ลงทุน ก็ล้วนเกิดจากค่อยๆ เรียนรู้จากความผิดพลาด เช่น ซื้อหุ้นแพง , ติดดอย , ขายหมู , ตัดขาดทุน ...แล้วค่อยๆ เก่งขึ้น รวยขึ้น ทุกครั้งที่ผิดพลาด


3. ‘คนที่เริ่มลงทุนเป็น จะเริ่มลงทุนเป็นพอร์ต’ ...มือใหม่จะเล่นหุ้นทีละตัว หรือ สองตัว เอาเน้นๆ ...แต่พอเสียหายหนัก โดนรับน้องจากตลาด ติดดอย จะค่อยๆ เรียนรู้ว่า การลงทุนเป็นแผง ลงเป็นพอร์ต ทีละ 5-10 ตัว ขึ้นไป มันควบคุมความเสี่ยงได้ดีกว่า


4. ‘มือใหม่จะซื้อหุ้นตอนข่าวดี แต่มือเก่าจะซื้อหุ้นในข่าวร้าย’ ...มือใหม่ทุกคนจะจัดหนักเวลาตลาดดี มีข่าวดี ...แต่พอเริ่มมีประสบการณ์จะทยอยซื้อหุ้นในข่าวร้าย เพราะ จะได้หุ้นราคาถูกกว่าโดยเฉลี่ย


5. ‘มือใหม่จะเล่นหุ้นเร็วๆ รีบทำกำไร แต่มือเก่าจะเล่นหุ้นช้าลง’ ...เฮ้ย!! แปลว่า แก่อะดิ เล่นช้า ...เดี๋ยวนะ ไม่ใช่อย่างนั้น ...คนที่เล่นหุ้นใหม่ๆ จะอยากเห็นกำไรเร็วๆ ก็เลยรีบขาย ...แต่พออยู่ในตลาดนานขึ้น เราจะเริ่มเรียนรู้ที่จะถือ ‘ทนรวย’ ...เพราะ การถือมันได้กำไรจำนวนมากกว่า และ เหนื่อยน้อยกว่าในระยะยาว (ก็เหมือนขับรถ ...มือใหม่จะขับรถเร็วแต่ไม่ค่อยมีจังหวะ ...พอมือเก่า ขับช้าลง แต่รู้จังหวะมากขึ้น)


6. ‘มือใหม่จะชอบเสี่ยง เล่นอะไรที่มีอัตราทดสูงๆ ...แต่มือเก่าจะลดอัตราทดลง’ ...ในตลาดอัตราทด ก็คือ Gearing ...มือใหม่จะชอบ อะไรที่มันมีอัตราทดเยอะๆ เช่น อนุพันธ์จะแกว่งกว่าหุ้นหลายเท่า ...เวลาถูกทางก็จะกำไรเยอะ แต่ถ้าผิดทางก็เสียหายหนัก 


7. ‘เมื่ออยู่ในตลาดนานขึ้น คุณจะให้ความสำคัญของกำไรลดลง แต่เน้นเงินปันผลมากขึ้น’ ...การทำกำไรหลักๆ ในตลาดหุ้น ก็คือ ทำกำไรจากส่วนต่างของราคา ...ก็คือเน้นกำไร ...แต่พอคุณอยู่ในตลาดนานขึ้น พอร์ตเริ่มโตขึ้น ...เงินปันผล หรือ Passive Income จากการถือหุ้น มันเป็นอะไรที่มั่นคงและยั่งยืนกว่า


8. ‘พอร์ตการเทรดอาจทำเงินได้เร็ว แต่โตช้า ..พอร์ตการถือยาว อาจทำเงินช้า แต่โตเร็วในระยะยาว’ ...คนที่เข้ามาในตลาดใหม่ๆ อาจคิดว่า ยิ่งเราเทรดเร็ว กำไรเร็ว จะทำให้เรารวยเร็วกว่า ...แต่ถ้าเทียบจริงๆ แล้ว คนที่พอร์ตใหญ่ และ รวยแบบก้าวกระโดด ล้วนเกิดจากการถือยาว ‘ทนรวยเป็น’ 


9. ‘มือใหม่ฟังน้อย ทำเยอะ ..มือเก่าฟังเยอะ ทำน้อย’ ...เสน่ห์ของการลงทุนที่ต่างจากอาชีพอื่นๆ ก็คือ มันเป็นอาชีพที่สามารถ ทำน้อยแต่ได้มาก ...บางคน รอแค่ตลาดมีวิกฤต แล้วค่อยซื้อถือยาว ...ซึ่งบางปีอาจซื้อได้แค่ 1-2 ครั้ง หรือ บางปีอาจไม่ได้ซื้อเลย ...แค่นี้ก็รวยได้ แปลกไหมล่ะ !!


10. ‘นักลงทุน ยิ่งแก่ ยิ่งรวย’ ...จริงๆ แล้ว มันเกิดในทุกสินทรัพย์แหละ ใครก็ตามที่ลงทุนในสินทรัพย์ ไม่ว่าจะเป็น ที่ดิน บ้าน หุ้น ทอง ...ยิ่งแก่ มูลค่าของสิ่งที่เราถือ มันยิ่งโตแบบก้าวกระโดด ...เราเลยเห็นนักลงทุน ยิ่งแก่ กลับยิ่งรวยนั่นเอง 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม 







วันอาทิตย์ที่ 2 สิงหาคม พ.ศ. 2563

หุ้น Deep Value จะค้นหาได้อย่างไร

‘หุ้น Deep Value จะค้นหาได้อย่างไร’

ทุกครั้งที่ตลาดจบรอบ หรือเกิดวิกฤต ...ทั้งหุ้นใหญ่และหุ้นเล็กจะราคาลงแรง จนบางครั้ง มันลงจนต่ำกว่ามูลค่าพื้นฐานมากๆ ...ทำให้คนที่ชอบความเสี่ยงต่ำสามารถหาหุ้นแบบนี้ไม่ยาก

ใช่!! หุ้น Deep Value อาจจะไม่ได้โตแบบบ้าคลั่ง แต่มันก็จะขึ้นมากพอจนทำให้เรารวยได้เลยทีเดียว  

อย่างตลาดหุ้นไทย เวลานี้ เราจะเห็นหุ้น Deep Value ค่อนข้างเยอะ ...ยังไงมาดูกัน

1. ‘หุ้น Deep Value คือ หุ้นที่ราคาลงมาใกล้ๆ Book หรือ ต่ำกว่า Book’ ..ตัว Book Value คือ ต้นทุนของเจ้าของ ...การที่หุ้นสามารถลงมาใกล้ๆ หรือ ต่ำกว่า Book ได้นั้น แปลว่า ตลาดต้องมีวิกฤต ...ซึ่งโควิดทำให้หาหุ้นแบบนี้ในตลาดหุ้นไทยได้เยอะพอสมควรเลยทีเดียว

2. ‘ธุรกิจต้องสามารถ ผ่านวิกฤต ไม่เจ๊ง’ ...อันนี้หลักๆ ดูที่หนี้ และ โอกาสในการเติบโตหลังจากนี้ ...ตัวที่หนี้เยอะ อาจจะเหนื่อยกว่าหุ้นที่หนี้น้อย ...แต่ที่สำคัญกว่า คือ ต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่า หลังจากนี้ สินค้าที่บริษัทนั้นๆ ทำ ต้องค่อยๆ ขายและทำกำไรดีขึ้นเรื่อยๆ 

3. ‘เจ้าของและรายใหญ่ ต้องเก็บหุ้นเพิ่ม’ ...ดูแบบเบื้องต้น ก็คือ ราคาเริ่มหยุดลง ออกข้าง และ Volume ไม่เยอะ ...เพราะเราไม่ควรรับหุ้นที่ลงแรงพร้อม Volume เยอะ ...จุดนั้นแปลว่า แรงขายยังหนัก ก็อย่าเพิ่งรับมีด

4. ‘ธุรกิจลดต้นทุน กระชับงบ’ ...แน่นอน เวลาเกิดวิกฤตก็มักเป็นข้ออ้างที่ดีที่ธุรกิจจะสามารถลดต้นทุน เช่น ให้คนออก , ปิดสาขาที่ไม่ทำกำไร ...ใครทำได้ดีกว่า ก็มีโอกาสรอดสูงกว่า ...พอวิกฤตผ่านไป การลดต้นทุนและกระชับงบ จะทำให้กำไรโตก้าวกระโดดได้

5. ‘ใช้วิกฤต เป็นโอกาสในการขยายธุรกิจ’ ...ถ้าจะซื้อคู่แข่ง ขยายธุรกิจ ก็ควรทำในเวลาที่ทุกอย่างยังดูเลวร้าย เพราะ ข้อแรก มันโชว์ว่า จริงๆ ธุรกิจนี้แข็งแกร่ง และ สอง ในวิกฤตสามารถซื้อของได้ราคาถูก

6. ‘ธุรกิจมี Business Model ที่ดี’ ...อันนี้ดูแบบคร่าวๆ จากอัตราการทำกำไรสุทธิ ...ถ้า Net Profit Margin สูงขึ้น หรือ สูงกว่าคู่แข่ง ก็แปลว่า เรามี Business Model ที่ดีกว่า เช่น บริษัทที่ขยายด้วยออนไลน์ ย่อมขยายง่ายกว่าบริษัทที่ขยายด้วยการเปิดสาขาในเวลานี้ 

7. ‘ธุรกิจต้องปรับตัวได้เร็ว’ ...สมัยก่อนธุรกิจใหญ่ ที่ผลิตเยอะ ต้นทุนจะต่ำกว่า แล้วไปขายราคาถูก ตัดราคาคู่แข่ง ...แต่กลยุทธ์แบบ Mass มันได้ตายไปแล้ว ...ทุกวันนี้ ของแพง แต่ดี มีตลาดชัด กลับดีกว่า ...ไม่ต้องใหญ่ แต่จับลูกค้าชัดเจน เป็นผู้นำในตลาดตัวเอง แจ๋วกว่าครับ ...ยิ่งถ้าเป็นเจ้าของแบรนด์เองยิ่งดี เพราะ เจ้าของแบรนด์คือคนที่เข้าใจลูกค้ามากสุดและกำไรดีสุดในห่วงโซ่ธุรกิจ

8. ‘เป็นธุรกิจที่เข้ากับกระแสคนรุ่นใหม่’ ...ทุกวันนี้ตลาดที่โตเร็ว และ มีกำลังซื้อเพิ่มขึ้นเรื่อยๆ กลายเป็น ตลาดคนรุ่นใหม่ ...เพราะ เป็นตลาดที่คนกล้าใช้เงินมากที่สุด ...ธุรกิจที่ดีต้องวิเคราะห์ให้ขาดว่า พฤติกรรมของคนรุ่นใหม่ที่เปลี่ยนไปคืออะไร ? ...แต่ที่แน่ๆ เขาจะไม่ใช้ชีวิตแบบคนรุ่นก่อนแน่ๆ 

บางทีตรงข้ามไปเลย ...นี่แหละ คือ จุดที่ชี้ขาด วิสัยทัศน์เจ้าของธุรกิจครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ทำไมหุ้น Super Stock จึงไม่เคยเป็นหุ้นตัวเดิม

‘ทำไมหุ้น Super Stock จึงไม่ใช่หุ้นตัวเดิม’

หุ้น Super Stock ในตลาดหุ้นไทย คือ หุ้นที่สามารถขึ้นได้เกิน 10 เด้ง หรือ 1,000% ขึ้นไป ...พูดง่ายๆ ใครก็ตามที่ได้ซื้อแล้วทนถือหุ้นแบบนี้ในพอร์ต ต้องบอกว่า ชีวิตเปลี่ยน ...รวย !!

แต่โดยปกติ หุ้นจะขึ้นลง เป็น ‘รอบ’ ..แต่ละรอบ จะใช้เวลาประมาณ 10 ปี ขาขึ้นอาจจะ 7 -8 ปี ขาลงสัก 2 ปี ....จากจุดต่ำสุด ไปถึงจุดสูงสุด โดยเฉลี่ย ถ้าเป็นหุ้นใหญ่ ก็จะขึ้นได้สัก 3 เด้ง ..ถ้าเป็น หุ้นเล็ก จะขึ้นได้สัก 5 เด้ง 

จากนั้นพอจบรอบ อย่างเช่นต้นปี 2020 หุ้นทุกตัวพอเจอวิกฤตใหญ่ ก็จะลงจากยอด ประมาณ 70% (ตัวเล็ก ก็มักจะลงลึกกว่านั้น) 

ในส่วนหุ้น Super Stock มันจะขึ้นมากกว่า ‘รอบปกติ’ และ ก็ลงจบรอบ น้อยกว่าปกติ ...แต่หลังจากที่จบรอบ แล้วขึ้นมาใหม่ หุ้นตัวนั้นจะไม่กลายเป็น Super Stock แล้ว !!

ใช่!! พอตลาดเริ่มดีขึ้น หุ้นก็จะค่อยๆ กลับไปที่จุดสูงสุดเดิม ...แต่เราจะหวังให้หุ้นตัวเดิมนี้ ขึ้นไปแรงๆ แบบที่ผ่านมา มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ 

มาดูกันว่า ทำไม

1. ‘หุ้นที่ทำให้คนอื่นรวยมหาศาลไปแล้ว จะไม่ทำให้เรารวย’ ...อันนี้เป็นความพลาดของนักลงทุนมือใหม่ ที่พยายามไปหาว่า เซียนหุ้นเขาเล่นหุ้นอะไร จะได้ซื้อตาม ...แต่ลืมไปว่า หุ้นที่ทำให้คนๆ นึงเป็นเซียนหุ้น ก็แปลว่า มันขึ้นแบบรุนแรงมาก่อนแล้ว ...พอเราซื้อมันก็อาจจะเป็นหุ้นที่ดีนะ แต่มันจะไม่ดีแบบเปลี่ยนชีวิตเรา

2. ‘หุ้นที่ขึ้นแบบ Super Stock แสดงว่า มันอยู่ในจุดที่ธุรกิจและผลกำไรก็เป็น Super Cycle เช่นกัน’ ...ยกตัวอย่าง ในอดีตหุ้นเดินเรือ ก็เคยเป็น Super Stock เพราะ ในช่วงเวลานั้น โลกเข้าสู่เศรษฐกิจขาขึ้นในรอบใหญ่ ประกอบกับ จำนวนเรือมันมีไม่พอกับความต้องการ ...ก็ทำให้หุ้นขึ้นแบบบ้าคลั่ง แต่หลังจากที่มันจบรอบ หุ้นนี้ก็ยากที่จะกลับมาเป็น Super Stock ได้อีก

3. ‘หุ้นที่เป็นแบบ Super Stock ต้องมีทั้งเจ้าของที่ไม่ขาย และ นักลงทุนรายใหญ่ที่กล้าถือ’ ...อย่างที่เรารู้ว่า หุ้นขึ้นลงตาม Demand/Supply หรือ แรงซื้อ แรงขาย ....หุ้นใดก็ตามที่หุ้นจะขึ้นแบบไม่ลืมหูลืมตา ต้องเป็นหุ้นที่ทั้งเจ้าของและรายใหญ่เชื่อมั่นแบบไม่ลืมหูลืมตาเช่นกัน ....อย่างในต่างประเทศเวลานี้ เราเห็นชัดๆ อย่าง หุ้น Amazon , Tesla , apple ก็กำลังอยู่ในภาวะแบบนี้ (แต่น่าจะอยู่ในช่วงปลายของรอบ Super Cycle แล้ว) ....วันใดก็ตาม ที่เจ้าของ และ รายใหญ่ เริ่มทำกำไร ขายจริงจัง ...หุ้นก็จะจบรอบ ลงแรงนั่นเอง

4. ‘ตลาดต้องมีสภาพคล่องที่สูง จึงจะมี Super Stock ได้’ ...อย่างที่เรารู้กันว่า หุ้นแบบ Super Stock จะมี P/E ที่สูงตลอดเวลา ปันผลก็ต่ำ ...ดังนั้น นักลงทุนแบบ VI มักจะไม่ค่อยชอบหุ้นแบบนี้ ...การที่จะมีเม็ดเงินมหาศาล เข้ามาซื้อหุ้นใหไปแพงสุดๆได้ ตลาดหุ้นต้องมีสภาพคล่องที่ล้น ...อย่างเช่น ช่วงปี 2008 ที่มีการทำ QE หรือ อย่างหลัง โควิด ที่ทุกประเทศพร้อมใจกันอัดสภาพคล่อง 

5. ‘ต้องมีรายย่อยจำนวนมาก ที่เข้ามาซื้อหุ้นตัวนี้’ ...นอกจากเจ้าของ รายใหญ่ และ กองทุนแล้ว ...รายย่อย ก็มีส่วนสำคัญที่ทำให้หุ้นตัวนึงกลายเป็น Super Stock ได้ ...เพราะรายใหญ่ มักซื้อตอนแพงให้ไปแพงอีก ...แต่รายย่อยจะมารับตอนที่ย่อ ...พอหุ้นหยุดปรับฐาน ...รายใหญ่ก็มารับไม้ต่อ ...พูดง่ายๆ ตบมือข้างเดียวไม่เคยดัง ....ต้องมีการสอดประสาน ทั้ง 2 ด้าน ...แพงก็ลาก ด้วยรายใหญ่  ..ถูกก็รับไม่ลง ด้วยรายย่อย ...ทำให้แม้ราคาหุ้นจะปรับฐานระหว่างทาง แต่ก็ทำ New High ขึ้นไปได้เรื่อยๆ

6. ‘รอบนี้ ต้องมองหุ้นตัวเล็ก’ ...แต่ละรอบ มันไม่เหมือนกัน ...ตลาดหุ้นแต่ละประเทศ ก็ต่างกัน ...ถ้ามามองในประเทศไทยหลังโควิด จะพบว่า เราไม่ได้มีหุ้นที่ไม่ได้รับผลกระทบอย่างหุ้น Tech Stock ในอเมริกา ...ธุรกิจส่วนใหญ่ในบ้านเรา ขึ้นลง ตามเศรษฐกิจโลก ...ก็อย่างที่เราต่างรู้ว่า รอบนี้เศรษฐกิจจริงๆ ยังไม่กลับมา ...ทำให้หุ้นตัวใหญ่ยากที่จะทำให้ยอดขายและกำไร เติบโตหลายๆ เท่าตัว อย่างต่อเนื่องเป็นเวลาหลายๆ ปีได้ ....เวลานี้หุ้นตัวเล็ก จึงมีเสน่ห์มากกว่า ต้องค้นหาธุรกิจเล็ก ที่จะสามารถสร้างทั้งยอดขาย และกำไร เติบโตต่อเนื่องหลายๆ ปีนั่นเอง

ใช่!! ไม่ง่ายเลย ...เพราะ หุ้นตัวเล็กผันผวนกว่า ตัวใหญ่ ....ดังนั้น การกระจายความเสี่ยง และ คุมความเสี่ยงของเราให้ดี จึงเป็นหัวใจในการเติบโตกับ Super Stock ในรอบนี้ครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ใครสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมในการลงทุนในหุ้น ...แนะนำ ให้เข้ามาเรียนในโครงการ The Stock Master 9 ...สอนมือใหม่ ตั้งแต่ อ่านงบ เลือกหุ้น ..สอนกราฟ ดูจังหวะ ..สอนเครื่องมือ Trade Master ช่วยให้การซื้อขายหุ้นง่ายขึ้น

ค่าเรียน 999 บาท ตลอดโครงการ 

เรียนออนไลน์ทั้งหมด พร้อมฝึกปฏิบัติ เป็นเวลา 1 เดือน (สามารถดูย้อนหลังได้ตลอด) 

สนใจสมัครหรืออ่านรายละเอียดหลักสูตรนี้เพิ่มเติม คลิกที่ www.bualuang.co.th/thestockmaster

รับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึง 12 สิงหาคมนี้เท่านั้น

มาเรียนรู้ด้วยกันนะครับ ..จัดไป !!

4 วิธีเจ็บหนักหุ้นยังไง ให้จำจนตาย

4 วิธี เจ็บหนักหุ้นอย่างไร ให้จำจนตาย

‘สมัยที่ผมเริ่มเข้ามาตลาดหุ้นใหม่ๆ ...มีคนบอกผมว่า ถ้ายังไม่เคยติดหุ้น แปลว่า ยังไม่รู้จักตลาดหุ้น!!’

1. ‘ซื้อหุ้นเด็ด ตามเพื่อนบอก’ ...ส่วนใหญ่เพื่อนจะบอก ตอนที่มันเข้ามานานแล้ว ราคาขึ้นไปมากแล้ว ...เอาง่ายๆ จุดที่เพื่อนเข้ากับจุดที่บอกเรามันคนละราคา ...พอหุ้นเปลี่ยนทิศทางจากขึ้นเป็นลง ก็นั่นแหละ ‘ซวยละกรู !!’ 

2. ‘ซื้อหุ้นตาม inside’ ...มันดูดีจัง ที่เราสามารถรู้จักเจ้าของ เจ้ามือ รายใหญ่ ...แต่เกมนี้ไม่เคยจบสวยสำหรับเรา เพราะ สุดท้ายเราคือคนที่รู้ช้าที่สุด ...’รู้จักอ่ะเรื่องนึง แต่เรารู้ช้าสุดนั่นแหละ หนักสุดครับ!!’ 

3. ‘ซื้อหุ้นตามบทวิเคราะห์’ ...ทุกโบรคมีบทวิเคราะห์ครับ ...ทุกโบรคก็มีแนะนำหุ้นเด็ด ..แนะนำแม้กระทั่ง จุดที่ซื้อและ จุดที่ขาย ....มีนักลงทุนมือใหม่ ถามผมว่า ถ้าเขาซื้อขายเป๊ะๆ ตามที่บทวิเคราะห์แนะนำจะรวยไหม ? ...ผมก็บอกว่า ‘อาจจะ’ ...เพราะ ถ้ามันรวยชัวร์ๆ แบบ 100% เขาไม่มานั่งบอกเราหรอก ‘ซื้อเอง จัดเต็มดิครับ’ ...ดังนั้น สิ่งเหล่านี้ คือ ‘ข้อมูล+สถิติ’ ที่เหลือเราต้องบริหารความเสี่ยงเอง ...เชื่อ 100% ติดดอยมาไม่รู้กี่เม่าละ

4. ‘ซื้อหุ้นร้อน แต่ดันไปพักร้อน’ ...ถ้าเราเล่นตามหุ้นเด็ดที่ขึ้นร้อนแรง ต้องเฝ้าครับ ...มือใหม่จะชิว เห็นขึ้นแรง บางทีไปพักร้อน ปิดจอ ...พอเปิดจอมาอีกที ติดดอยลึกสุดใจ ซวยละ !! ...แต่ข้อนี้เดี๋ยวนี้ใช้เครื่องมือช่วยได้ อย่าง TradeMaster ของบัวหลวง สาทารถตั้งจุด Stop Loss และ Let Profit Run ในหุ้นแบบอัตโนมัติเลย ไม่ต้องเฝ้า 

(ใครสนใจเรียนรู้ สามารถเข้ามาเรียนในโครงการ The Stock Master 9 ได้ครับ 

...เรียนออนไลน์ทั้งหมด ฝึกเทรดโปรแกรมจริงตลอด 1 เดือน พร้อมการเรียนรู้ พื้นฐานและกราฟ พร้อมคำแนะนำ 

...ค่าใช้จ่ายในการร่วมโครงการนี้เพียง 999 บาท 

...สมัครได้ตั้งแต่วันนี้ ถึง 12 สิงหาคมนี้เท่านั้น ...ดูรายละเอียดเพิ่มเติมและสมัครคลิก www.bualuang.co.th/thestockmaster)

ก็อยากให้มาเรียนรู้ด้วยกัน สร้างภูมิคุ้มกัน ไม่ติดดอยหุ้น นะครับ !!

วันเสาร์ที่ 1 สิงหาคม พ.ศ. 2563

8 สิ่งที่ต้องเข้าใจ ในการถือหุ้น

8 สิ่งที่ต้องเข้าใจในการถือหุ้น

‘ถือหุ้น’ ...ก็แค่ซื้อหุ้นแล้วถือไป มันยากตรงไหน ?

มาดูกัน

1. ‘หุ้นสามารถราคาขึ้นลงได้เกิน 50%’ ...อันนี้รวมถึงหุ้นพื้นฐานดี หุ้นปันผล ...ราคาก็สามารถแกว่งขึ้นลงได้เกิน 50% ...แปลว่า ถ้าเราคิดจะถือหุ้นแล้วกินปันผลสบายๆ ต้องเข้าใจด้วยว่า ในเวลาที่ตลาดมีข่าวร้าย มีวิกฤต พอร์ตเราอาจติดลบ 50% เลยก็ได้ ...แต่ถ้าเราอยากได้ปันผลแบบสบายๆ ก็ต้องทำความเข้าใจประเด็นนี้ให้ดี 

2. ‘การถือหุ้นยาวๆ มักได้ผลตอบแทนหลายเท่าตัว’ ...ถ้าเรามองแค่ข้อ 1 เราคงคิดว่า ‘งั้นฉันจะถือหุ้นทำไม ..ก็ขายตอนมันขึ้น แล้วมาช้อนซื้อตอนมันลง ไม่ดีกว่าหรือ?’ ...แต่ก็อย่างที่บอกว่า ถ้าเราต้องมานั่งเฝ้าจับจังหวะ ขึ้น หรือ ลง ...มันก็ไม่ใช่ Passive Income แบบสบายๆ ไงล่ะ 

...ใช่!! เราไม่สามารถสบายและทำกำไรสูงสุดในเวลาเดียวกัน แต่สุดท้ายการถือหุ้นดี ก็ยังคงให้ผลตอบแทนระยะยาวสูงมากๆ อยู่ดี

3. ‘การทยอยซื้ออย่างเดียว ง่ายกว่าพยายามซื้อให้ต่ำ และขายให้สูง’ ...มีหลายคนถามผมว่า ในเมื่อพี่แพ้ทรู้ว่า ตรงนี้หุ้นแพง ทำไมไม่ขายไปก่อน แล้วมารับตอนหุ้นถูก ? ...ก็นั่นแหละครับ เราอาจจะรู้ว่า ตอนไหนหุ้นแพง แต่หลายๆ ครั้งที่หุ้นแพง ราคามันก็ยังวิ่งไปต่ออีกหลายเด้งเลยก็ได้ ...นั่นเป็นคำตอบที่ว่า การที่เราดีใจที่ได้ขายแพง จริงๆ อาจเป็นการขายหมูครั้งใหญ่เลยก็ได้

4. ‘ผมจึงเลือกวิธีออมในหุ้น’ ก็คือ ทยอยซื้อเมื่อหุ้นถูก แล้วพยายามไม่ขายเลย (ถึงขายก็เป็นสัดส่วนที่น้อย) ...เพราะ สุดท้ายหุ้นที่ขึ้น มันจะชดเชยหุ้นที่ลงอยู่แล้วในระยะยาว ...คิดง่ายๆ สมมุติซื้อหุ้น 100,000 บาท ถ้ามันขึ้น มันอาจกลายเป็น 1 ล้านก็ได้ ...แต่ถ้ามันลง เราเสียหายสูงสุดก็คือ 1 แสน ...การออมหุ้นจึง ปิดประตูความเสี่ยง แต่เปิดโอกาสกำไรให้สูงที่สุดนั่นเอง

5. ‘ทำไมถึงต้องกล้าซื้อหุ้นดีในเวลาวิกฤต’ ...เอาตรงๆ นะ ถ้าเรามัวแต่รอว่า อยากซื้อหุ้นในราคาต่ำที่สุด ...สุดท้ายเราอาจจะไม่ได้ซื้อหุ้นเลย ...เพราะ การทยอยซื้อในจุดที่ราคาหุ้นต่ำ มันง่ายกว่า การพยายามหาจุดต่ำที่สุด ...’ขอให้เลือกหุ้นดี มีข่าวร้ายก็ทยอยรับไป ในความเสี่ยงที่เราจำกัดไว้ ...หลังจากนั้น ก็แค่ ถือทนๆ รอรวย แค่นั้นเอง’

6. ‘ถ้าเป้าหมายคือ เอากำไรเร็วๆ ให้เทรด แต่ถ้าเป้าหมายคือ อิสรภาพทางการเงินให้ถือ’ ...เรื่องนี้ เถียงกันไม่เคยจบ ระหว่าง คนเทรดหุ้น กับ คนถือออมหุ้น ...สรุป ง่ายๆ คือ เอาเป้าหมายเราเป็นหลัก แล้วค่อยๆ ทำไป ...เดี๋ยววันนึงมันก็จะไปถึงเป้าที่ตั้งไว้

7. ‘เราต้องเลือกหุ้น ที่สอดคล้องกับเป้าหมายของเราด้วย’ ...ถ้าเราจะถือยาว ก็ต้องซื้อหุ้นที่ราคาถูก มีเงินปันผลสม่ำเสมอ หรือไม่ก็เลือกหุ้นที่ Deep Value เยอะๆ เพราะ หุ้นเหล่านี้เหมาะกับการถือยาว ...แต่ถ้าเราไปซื้อหุ้นเติบโต ที่ P/E ปันผลต่ำ บางครั้งมันก็ไม่เหมาะที่เราจะถือยาวๆ 

8. ‘การถือหุ้นยาว ต้องกระจายความเสี่ยง’ ...หลายคนถามว่า เขาอยากเลือกหุ้นที่ดีที่สุด ตัวเดียวแล้วถือแบบเน้นๆ จะดีไหม ? ...เอาตรงๆ นะ ถ้าเรามีหุ้นน้อยตัวเกินไป พอร์ตเราจะแกว่งเยอะไป จนเราทนไม่ไหว ...การมีหุ้นที่มากพอ ทำให้เราถือหุ้นได้ง่ายกว่า ‘ทนรวยได้เยอะกว่านั่นเอง’

ก็ลองไปปรับใช้ในการถือหุ้นระยะยาวกันดูนะครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ใครสนใจเรียนรู้เพิ่มเติมในการลงทุนในหุ้น ...แนะนำ ให้เข้ามาเรียนในโครงการ The Stock Master 9 ...สอนมือใหม่ ตั้งแต่ อ่านงบ เลือกหุ้น ..สอนกราฟ ดูจังหวะ ..สอนเครื่องมือ Trade Master ช่วยให้การซื้อขายหุ้นง่ายขึ้น

ค่าเรียน 999 บาท ตลอดโครงการ 

เรียนออนไลน์ทั้งหมด พร้อมฝึกปฏิบัติ เป็นเวลา 1 เดือน (สามารถดูย้อนหลังได้ตลอด) 

สนใจสมัครหรืออ่านรายละเอียดหลักสูตรนี้เพิ่มเติม คลิกที่ www.bualuang.co.th/thestockmaster

รับสมัครตั้งแต่วันนี้ จนถึง 12 สิงหาคมนี้เท่านั้น

มาเรียนรู้ด้วยกันนะครับ ..จัดไป !!

8 ข้อคิด การเงินที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากอ่าน

8 ข้อคิด การเงินที่คนรุ่นใหม่ไม่อยากอ่าน

เดี๋ยวนี้เวลาพูดคุยมุมมองทางการเงินกับคนรุ่นใหม่ ผมแปลกใจมาก ..เขาคิดแทบจะตรงข้ามกับคนรุ่นก่อนเลย 

บางอย่างก็ดีนะ ..โตเร็ว ดูดี ..แต่บางอย่าง ก็ต้องระวัง !!

1. ‘ยอดขาย สำคัญกว่ากำไร จริงหรือ’ ...ทุกวันนี้ธุรกิจรุ่นใหม่ คุยแต่ ยอดขายโต ...ไม่สนกำไร ...บางทีใช้ฟรีเลย ...ก็ได้นะ ถ้าคุณเป็นบริษัทระดับโลก ที่เงินทุนไม่จำกัด ...แต่ถ้าคุณทำธุรกิจในประเทศไทย ผมว่า กำไร สำคัญกว่าการโตเร็วๆ 

2. ‘เงินจากนักลงทุน มีราคาถูก’ ...เอาตรงๆ นะ เงินทุนที่แพงที่สุดในระยะยาว คือ เงินจากนักลงทุน ...ลูกค้าซื้อของเรา ถ้าพอใจก็จบ ...ธนาคารเราคืนเงินกู้ก็จบ ...แต่นักลงทุน เขาต้องการให้เราทำกำไรให้เงินที่เขาลงทุน ซึ่งมันไม่เคยจบนะ ...เจ้าของธุรกิจต้องคิดว่า เงินนักลงทุนก็เสมือนเงินของตัวเอง ..ต้องรับผิดชอบ ต้องทำให้มันโต ถึงจะจบสวยจริง

3. ‘ถ้าเราอยากรวย ต้องทำให้เราดูรวยก่อน’ ...เฮ้ย!! อันนี้โคตรอันตราย ...ภาษิตโบราณที่ยังใช้ได้ตลอดคือ ‘ถ้าวันนี้ยังไม่รวย แต่ใช้ชีวิตแบบคนรวย จะไม่มีวันรวย ...แต่ถ้าวันนี้ยังไม่จน แต่ใช้ชีวิตแบบคนจน จะไม่มีทางจน’ 

4. ‘คนรุ่นใหม่ ต้อง Multitasks เก่งรอบด้าน’ ...แต่จริงๆแล้ว ...’งานที่ทำไม่เสร็จ มันก็เหมือนไม่ได้ทำ’ ...คนรุ่นใหม่ มักจับหลายๆ อย่างพร้อมกัน จนทำไม่เสร็จสักอย่าง ...จริงๆ ทำให้เสร็จทีละอย่าง แล้วค่อยๆ ปรับปรุงพัฒนา อาจไปได้เร็วและไกลกว่า

5. ‘คนที่เก่ง มันเจ๊งมาแล้วทุกคน’ ...อันนี้การันตีว่าจริง !! ....ทุกความสำเร็จ มันต้องผ่านความผิดพลาด บาดแผล ...ถ้าเร่ไม่เคยเจ๊ง ต้องทำความเข้าใจข้อนี้ให้ดี ...เพราะ มันต้องมี วันที่ฉันพลาด ...ผ่านแล้วทุกข์ เจ็บโคตรๆ ...แต่หลังจากนั้นจะดี

6. ‘เพื่อนเยอะๆ ดีต่อธุรกิจ จริงหรือ’ ...คนรุ่นใหม่จะชอบสร้างคอนเน็คชั่น ไปเรียนหลักสูตรอะไรมากมาย ...มันก็ดีนะ แต่ถ้ามากเกินไป มันเริ่มไม่มีประโยชน์ ...คนอยากคบเรา เพราะ เราทำตัวให้เป็นประโยชน์ต่อเขา ...เพื่อนไม่เยอะมาก แต่มีคุณภาพ มันต่อยอดได้ดีกว่า

7. ‘ธุรกิจเราต้องโตระดับโลก’ ...คนรุ่นใหม่มักจะพูดว่า ฉันจะเปลี่ยนโลก ...แต่เอาตรงๆ นะ คนที่คิดเปลี่ยนโลก ส่วนใหญ่ยังไม่เข้าใจตัวเอง ...ใช่!! ถ้าทำธุรกิจเปลี่ยนโลกได้จริง มันรวยมหาศาล ...แต่ก่อนจะถึงจุดนั้น เราต้องเริ่มจากเข้าใจตัวเองก่อน ...เพราะ ความสุขมันเริ่มจากสิ่งเล็กๆ รอบตัว ...การเข้าใจในจุดแข็งของตัวเอง จากนั้น ก็ใช้จุดนั้นต่อยอด สร้างมูลค่า ...ครับ ใช่!! เปลี่ยนตัวเองก่อน พอเข้าใจตัวเอง เดี๋ยวโลกของเรา มันจะเปลี่ยนตามเอง

8. ‘ลงทุนไปก่อน เดี๋ยวมันดีเอง’ ...เราได้ยินคำว่า Burn rate คือ ลงทุนไปก่อน เดี๋ยวค่อยทำกำไรทีหลัง ...คิดแบบนี้ เจ๊งมาเยอะแล้ว เพราะ 

หนึ่ง ลูกค้าคนละกลุ่ม เช่น คนที่เล่นฟรี กับคนที่เสียเงินซื้อ มันคนละกลุ่มเลยนะ 

สอง ตลาดคุณขยายได้จริงหรือ ...ธุรกิจที่ทำในอเมริกา หรือ จีน มันโตได้ระดับโลก และ ส่วนมากเขาไปทำกำไร เมื่อคุมตลาดโลกได้แล้ว ...แต่ธุรกิจในบ้านเรา เอาแค่ตลาดไทยยังยากเลย ...กรุงเทพแบบนึง ...ต่างจังหวัดนี่อีกแบบเลย ..ประเทศอื่นนี่ครละตำราเลย

ใช่!! เราเห็นคนระดับโลก เราเรียนรู้จากเขาได้ ...แต่เราต้อง Localized ให้เป็น ..คิดระดับโลกได้ แต่มันต้องเริ่มระดับชุมชนให้เป็น

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

10 ข้อคิด นักธุรกิจรุ่นใหม่ ในยุคตอกฝาโลง

10 ข้อคิด นักธุรกิจรุ่นใหม่ ในยุคตอกฝาโลง

การทำธุรกิจยุคนี้ เปลี่ยนไปจริงๆ ..ตั้งแต่มี Online Disruption สั่นสะท้านทุกอุตสาหกรรม มาจน โควิด ก็ได้ ‘ตอกฝาโลง’ วิธีทำธุรกิจในรูปแบบเดิมเรียบร้อย 

นี่คือ สิ่งที่ต้อง เตรียมรับมือ สำหรับการก้าวไปข้างหน้า ของคนรุ่นใหม่

1. ‘พนักงานเยอะ สู่พนักงานเก่ง’ ...ธุรกิจสมัยก่อนเน้นจำนวน ใครพนักงานเยอะ แปลว่า ยิ่งใหญ่ ...แต่ปัญหาคือ พนักงานเยอะ ยิ่งจ่ายเงินพนักงานได้ต่ำ ซึ่งไม่ดึงดูดคนเก่ง ...ยุคนี้ ต้อง ‘คนน้อย แต่จ่ายเยอะ’ ถึงจะดึงดูดคนเก่งให้มาร่วมงานได้

2. ‘ออฟฟิศเล็ก แบบมีคุณภาพ’ ...แต่ก่อนใครออฟฟิศใหญ่ มันเท่ห์ ...แต่เดี๋ยวนี้ มันต้อง เล็กแต่ชิ๊ค ...สถานที่ทำงานต้องตอบโจทย์ ประสิทธิภาพของการทำงาน ...นักธุรกิจรุ่นใหม่ ต้องออกแบบ ตั้งแต่วันแรก ...งานไหนทำที่บ้านได้ ต้องออกแบบให้ทำที่บ้าน ...อย่ามาเสียค่าเช่า ค่าไฟ ค่าต่างๆ ...การดูแลลูกค้าดี ไม่จำเป็นที่ออฟฟิศต้องหรู ...บางธุรกิจอาจมีแต่ Call Center ที่บริการถึงใจ ก็ตอบโจทย์แล้ว 

3. ‘เปลี่ยนหนี้เป็นทุน’ ..ธุรกิจสมัยก่อนมีแต่ธนาคารที่เป็นแหล่งเงินกู้หลัก ...แต่ธุรกิจเดี๋ยวนี้ สามารถหาเงินทุนในรูปแบบที่หลากหลาย ...ระดมทุนก็ได้ , ออกหุ้นกู้ก็ได้ ...ต้องหาเงินทุนให้เหมาะกับธุรกิจ ...เช่น ธุรกิจรายได้สม่ำเสมอ อาจกู้เยอะได้ ...แต่ถ้ารายได้ผันผวน ใช้ระดมทุนอาจดีกว่า

4. ‘อยู่ใกล้ลูกค้าให้มากที่สุด’ ...ทุกวันนี้เราอาจไม่จำเป็นต้องมีโรงงานก็ได้ สิ่งที่สำคัญกว่า คือ เราต้องอยู่ใกล้ลูกค้า ...เช่น เป็นเจ้าของแบรนด์ ...เน้นการเข้าใจลูกค้า และ สื่อสารกับลูกค้าต่อเนื่อง แบบใกล้ชิด 

5. ‘เมื่อพร้อมต้องเสี่ยง’ ...ทุกวันนี้ไม่มีโอกาสที่ไม่มีความเสี่ยง ...วันไหนที่เราการเงินพร้อม เราต้องลุย ต้องกล้าเสี่ยง ...แต่ถ้าไม่รู้จะขยายอะไร ให้ปันผลเยอะๆ หรือ ซื้อหุ้นคืน ...เพราะ สุดท้ายผลตอบแทนผู้ถือหุ้นที่ดี จะสะท้อนอนาคตที่ดีในที่สุด

6. ‘เป็นที่หนึ่ง ในจุดของเรา’ ...ไม่ว่าอยู่ในธุรกิจใด ก็ควรเป็นที่หนึ่งในจุดเล็กๆ ของเรา ...ถ้าเงินทุนพร้อม เราก็สามารถควบรวมกิจการเพื่อโตได้ 

7. ‘ดันคนเก่ง ให้ไกลตัว’ ...ถ้าเรามีลูกน้องเก่ง ต้องดันให้เขาโต ...ให้เสนอความคิด ให้ทดลองสิ่งใหม่ ...แตกธุรกิจออกไป ...เราคุมแค่ ‘เงินทุน’ ก็คุมความเสี่ยงเพียงพอแล้ว

8. ‘ควบคุมสินค้าคงคลัง’ ...ยุคนี้ investory ยิ่งมาก ยิ่งเสี่ยง ...เพราะ หากธุรกิจเปลี่ยน เราจะปรับตัวไม่ทัน 

9. ‘ใช้ออนไลน์ให้มากที่สุด’ ...เรื่องนี้ทุกคนรู้ แต่เวลาปฏิบัติจริง ไม่ค่อยทำ ...ออนไลน์เป็นเรื่องของการ ‘ทำไปเรียนไป’ ไม่มีผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงในธุรกิจออนไลน์ ...ถ้าอยากรู้ว่า เราทำตรงนี้ได้ดี แปลว่า ธุรกิจเราต้องกำไรสูง 

10. ‘นวัตกรรมคือ การนำสิ่งที่ไม่เกี่ยวกัน ให้มาใช้ร่วมกัน’ ...เอาคอมมาผสมกับกล้องถ่ายรูป มาผสมกับวิทยุ มาผสมกับทีวี มันก็กลายเป็น Smart Phone ...ดังนั้น การสร้างนวัตกรรม ต้องเกิดจากการรวมตัวของสิ่งที่ไม่เกี่ยวข้องกัน เพื่อสร้างประโยชน์ให้ลูกค้า

เวลาผมเลือกหุ้น หรือ ลงทุนในธุรกิจไหน ก็ต้องเอา check list เหล่านี้มาดู จะได้รู้ว่า ‘ธุรกิจนี้ มัน In หรือ มัน Out !!’ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ