แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันพุธที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ?

 6 ข้อ โลกเปลี่ยน มันจะเปลี่ยนไปในทิศทางไหน ?


1. ‘ของแพงจะขายดีขึ้น ของถูกจะขายแย่ลง‘ …ของแพงคู่แข่งน้อย เพราะสร้างยาก ต้องสร้าง Brand …ส่วนของถูกคู่แข่งเยอะ เพราะ แข่งกันลดราคา


2. ‘รถน้ำมันรถยุโรปจะเป็น Luxury.. รถจีนรถไฟฟ้าจะมาเป็น Mass’ …รถญี่ปุ่น รถอเมริกา ติดกับดักอยู่ตรงกลาง บนทางที่เหนื่อย


3. ‘ค่ารักษาพยาบาล จะแพงขึ้นไปเรื่อยๆ‘ …โดยเฉพาะการรักษาที่แพง จะยิ่งแพงเข้าไปอีก


4. ’ค่าใช้จ่ายพลังงานจะสูงขึ้นในทุกๆ ด้าน’ …ไฟฟ้า น้ำมัน พลังงานสะอาด และ สกปรก ทุกอย่างจะมีแต่แพงเป็นขาขึ้น (ขึ้นไปก่ายหน้าผาก)


5. ’ค่าครองชีพจะสูงขึ้น ในอัตราเร่ง’ …งานประจำปกติจะไม่พอค่าครองชีพ …ต้องมีงานเสริม กลายเป็น Gig Economy อย่างเต็มรูปแบบ


6. ’ดอกเบี้ยจะสูงขึ้นเรื่อยๆ‘ …การสร้างหนี้จะเริ่มถึงจุดไม่คุ้ม เช่น กู้ซื้อบ้าน จะเริ่มกลายเป็นสิ่งที่ไม่ Make Sense , ต้นทุนเงินกู้ธุรกิจจะเป็นปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 17 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด

 6 ข้อ หลักคิดที่ทำให้เราไม่สามารถซื้อหุ้นในจุดที่ราคาถูกที่สุด และ ขายหุ้นในเวลาที่แพงที่สุด


1. ‘หุ้นไม่มีจุดต่ำสุด‘ …หลายคนคิดว่า ซื้อหุ้นที่ 0.01 สตางค์ แปลว่า ไม่เจ๊ง …แต่พอเขาประกาศ ’รวมพาร์‘ …แม่ง!!! เจ๊งหนัก หุ้นลงต่อไปอีก …หรือ บริษัทเจ๊ง อันนี้ก็เจ๊งอยู่ดี 


2. ‘หุ้นไม่มีจุดสูงสุด’ …อย่างหุ้นไทย เรามีหุ้น 100 เด้งมากมาย (แต่ต้องถือนานพอนะ) เช่น SCC , BH , KTC , CPN , MINT …ส่วนต่างประเทศมีหุ้น 1000 เด้ง …อย่าง Microsoft นี่ขึ้นมา 4,500 เด้ง หรือ อย่าง Amazon ก็เป็นพันเท่า …นั่นแหละ จะบอกว่า ’หุ้นดี ไม่มีจุดสูงสุด เช่นกัน‘ 


3. ’เวลาหุ้นถูก ทุกเหตุผล จะบอกเราว่า ไม่ควรซื้อ’ …เราจะเจอกับ ‘ตลาดอยู่ใน Trend ขาลง’ , เศรษฐกิจไม่ดี , ธุรกิจอยู่ในวิกฤติ …พื้นฐานแย่ ..กราฟเทคนิคก็แย่ …การกล้าซื้อในเวลาที่ไม่มีอะไรดีเลย ก็จะทำให้เราได้ซื้อหุ้นในเวลาหุ้นถูก (แต่ก็ไม่สามารถซื้อในจุดที่ต่ำสุดอยู่ดี)


4. ‘เวลาเราขายหุ้นในจุดที่เราเห็นว่าสูงที่สุด หุ้นมักจะขึ้นต่อ‘ …เพราะในจุดที่ราคาสูงที่สุด มันเป็นจุดที่คนส่วนใหญ่ในตลาดหุ้นแย่งกันซื้อ แห่เข้าไปซื้อ …หุ้นมันก็เลยขึ้นต่อไปอีกไกล


5. ’การขายในจุดที่ควรขาย จะทำให้เราเป็นนักลงทุนที่เก่งขึ้น‘ …จุดที่ควรขาย คือ ‘ทุกครั้ง’ ที่พื้นฐานมันแพง + สัญญาณเทคนิคแพง (Overbought) ให้เรา ‘แบ่งขาย‘ (ไม่ต้องขายหมด)


6. ’การซื้อในจุดที่ควรซื้อ ก็จะทำให้เราลงทุนเก่งขึ้น’ …จุดที่ควรซื้อ คือ ‘ทุกครั้ง‘ ที่พื้นฐานมันถูก + สัญญาณเทคนิคถูก (Oversold) ให้เรา ’ทยอยซื้อ‘ 


…ส่วนจุดสำคัญที่สุดในการลงทุน คือ การยืนระยะ ทักษะในการประคองตัวเองให้นานที่สุด


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง

 6 ข้อ ปฏิบัติของการเป็น ’นักลงทุนแบบทางสายกลาง’ 


หลังจากผมลงทุนมานานพอสมควรก็พบว่า ’ทางสายกลาง‘ คือ หลักปฏิบัติที่สำคัญที่ทำให้เราประสบความสำเร็จแบบยั่งยืนในตลาดหุ้นได้ 


1. ‘การใช้พื้นฐาน และ กราฟเทคนิค’ …พื้นฐานเป็นการกรองว่า หุ้น มีคุณภาพหรือไม่ …ซึ่งในทางปฏิบัติ หุ้นมีคุณภาพ ก็ไม่จำเป็นว่า มันจะทำให้เรารวยได้ ? …ในส่วนกราฟเทคนิค จึงถูกมาใช้ในการอุดช่องโหว่ เพื่อบอกเราว่า ควรซื้อ หรือขาย ในตอนไหน 


2. ‘การสมดุลย์ของการจัดสรรเงินลงทุน และการให้รางวัลตัวเอง’ …เรื่องนี้หลายคนคิดว่ามันเป็น Common Sense แต่ในความเป็นจริง มันโคตรยาก โคตร Uncommon!! …ดังนั้น เราควรมี ’หลักปฏิบัติในเรื่องนี้อย่างชัดเจน’ (เขียนออกมา)


3. ‘รู้ว่าช่วงไหนควรเสี่ยง ช่วงไหนควรหยุดเสี่ยง‘ …อันนี้ยากกว่าข้อ 1 และ 2 อีก เพราะ นักลงทุนมือใหม่ มักจะอยากเสี่ยงเวลาที่ไม่ควรเสี่ยง ..และมักจะหยุดเสี่ยง ในเวลาที่ควรจะเสี่ยง


4. ’การเรียนรู้ กับ การถ่ายทอดความรู้‘ …เราไม่จำเป็นต้องเป็นอาจารย์ถึงถ่ายทอดความรู้ แต่มันคือ การฝึกทบทวนควทมคิด ให้ตกผลึก สอนเพื่อน พี่ น้อง …ส่วนการเรียนรู้คือการเปิดรับความรู้ใหม่ …ทั้งสองเรื่องนี้ ต้องสมดุลย์เช่นกัน


5. ’ให้ความสำคัญกับ ภาพใหญ่ และ ภาพเล็ก’ …ภาพใหญ่คือ ภาพ Macros ‘เศรษฐกิจโลก / ประเทศ’ …ภาพเล็ก คือ การศึกษาธุรกิจของหุ้นที่เราลงทุน (ภาพใหญ่จะบอกว่า เราควรวางเงินในสินทรัพย์อะไร / ภาพเล็ก จะบอกเราว่า ให้ซื้อหุ้นตัวไหน?)


6. ‘จัดหุ้นที่้เราต้องดูแล กับ หุ้นที่ดูแลเรา‘ …หุ้นส่วนที่เราต้องดูแล คือ ในส่วนเทรดที่เราต้องจับจังหวะ ซื้อขายตามรอบ …ส่วนหุ้นที่ดูแลเราคือ หุ้นหรือการลงทุนที่ให้ปันผล และ สร้างกระแสเงินสดโดนที่เราไม่ต้องทำอะไร


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพฤหัสบดีที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2567

6 เรื่องที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ อย่างเรา

 6 เรื่องที่ AI ทำได้ดีกว่ามนุษย์ อย่างเรา


การปฏิวัติอุตสาหกรรมที่ผ่านมา …ทำให้อาชีพสังคมเกษตรกรรม หายไป และเกิดงานใหม่ใน โลกอุตสาหกรรม …งานที่ใช้แรงงาน งานที่ทำซ้ำ ถูกแทนด้วยเครื่องจักร 


แต่ครั้งนี้ เราเข้าสู่ การปฏิวัติข้อมูลข่าวสาร …งานเงินเดือนสูงจำนวนมาก จะหายไป และถูกแทนด้วย AI 


…การเปลี่ยนผ่านสู่ Industral Age ทำให้คนตกงานมหาศาล และนำไปสู่สงครามโลกครั้งที่ 1 และ 2 …ใช่!! การเปลี่ยนครั้งนี้ จะพาโลกเราไปสู่อะไร เป็นเรื่องที่น่าคิด ?

(มีการคาดการณ์จาก PWC ว่า ทั่วโลก AI จะเพิ่มมูลค่าทางเศรษฐกิจ 15.7 Trillion ภายในปี 2030 และ 70% ของมูลค่าที่เกิดขึ้นจะอยู่กับ อเมริกา กับ จีน ที่เป็น Superpowers ในเทคโนโลยี AI)

1. ‘AI เทรดได้ดีกว่ามนุษย์‘ …จนทำให้อุตสาหกรรมการเงิน ใช้ AI มาตัดสินใจซื้อขาย ค่าเงิน หุ้น แทนมนุษย์ (เพราะตัดสินใจได้เร็วกว่า แม่นยำกว่า) …แต่การเป็นนักลงทุนระยะยาว อันนี้ยังไม่ทดแทนคน …จนถึง วันที่มันแทน ?


2. ‘AI วิเคราะห์ข้อมูล‘ …อย่างวงการแพทย์ AI ในอนาคตอาจวิเคราะห์และวินิจฉัยโรคได้แม่นยำกว่าหมอ …แต่อาจจะยังทดแทนพยาบาลไม่ได้ 


3. ’AI สามารถใช้ควบคุมมนุษย์ได้ดีกว่า‘ …ถ้าเอา AI เราสามารถ ควบคุมคนขับรถได้ดีกว่า จราจร ครอบคลุมกว่า แม่นยำกว่า ….ซึ่งสุดท้ายอาจนำไปสู่ social score ที่ทำให้เรากระดุกกระดิกแทบไม่ได้ 


4. ‘AI เก็บข้อมูล แล้วประมวลผลได้เหนือมนุษย์‘ …ในปัจจุบัน AI ของ Facebook หรือ บริษัท Big Tech …เข้าใจความต้องการของเรา ได้โดยเราไม่ต้องบอกมัน …หรือ มันจะเข้าใจตัวเรามากกว่า เราเข้าใจตัวเอง


5. ’AI ในการทหาร เป็นทหารที่น่ากลัวมาก‘ …การใช้ AI ในการทหาร ทำให้การทำลายล้างคู้ต่อสู้ แม่นยำ และ สร้างความเสียหาย แบบที่เราไม่สามารถจะจินตนาการได้


6. ‘AI แทนงาน White Collar ได้อย่างดี’ …งานเอกสาร , การบัญชี , งานกฏหมาย ..งาน Office ส่วนใหญ่ สามารถใช้ AI เข้ามาทดแทนได้เป็นส่วนใหญ่


…คำถามสำคัญ คือ ‘แล้วงานอะไรที่มนุษย์ ทำได้ดีกว่า AI ?’


- AI เก่งในเรื่องความฉลาด การวิเคราะห์ ประมวลผลข้อมูล มหาศาลที่รวดเร็วและแม่นยำ ….แต่สิ่งที่ AI ไม่มีคือ สติ (Conscious)


แปลว่า ทักษะแห่ง ศตวรรษที่ 21 ที่ต้อง สอนและพัฒนา คนรุ่นใหม่ คือ ’สติ‘ …และ ตรรกะ ของความเป็นมนุษย์ 


…สอนยาก เพราะ ไม่ใช่การท่องจำ !!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย

 6 ข้อดี ของสงครามการค้าระหว่าง จีนกับอเมริกา ต่อเศรษฐกิจไทย


…เรารู้กันอยู่แล้วว่า สงครามอะไรก็ตาม มันไม่ดี …งั้นเราลองมา Explore ข้อดี เผื่อจะเห็นโอกาสในวิกฤตก็ได้ ?


1. ‘การลงทุนจากจีน ย้ายฐานมาเมืองไทย‘ …เหมือนที่เคยเกิดขึ้นกับญี่ปุ่นในอดีต ที่สงครามการค้าในเวลานั้น ทำให้ญี่ปุ่นย้ายฐานการผลิตมาที่ประเทศไทย


2. ‘ค่าเงินบาท มีเสถียรภาพมากขึ้น‘ …การย้ายฐานผลิต ก็ต้องย้ายทั้งทุนและคน เข้ามาย่อมมีความต้องการ ‘เงินบาท’ …จุดนี้ก็ช่วยให้เงินบาทมีบทบาทมากขึ้นในเวทีการค้าโลก


3. ’ไทยเป็นประเทศ ที่หลายๆ ประเทศอยากย้ายมาอยู่’ …ญี่ปุ่นชอบเมืองไทย ,  จีน ก็ชอบไทย เพราะ ยืดหยุ่นกว่า …คุย เจรจาง่าย …เราน่าเห็น ระลอกที่สองของชาวจีน …ระลอกแรก เขามาเป็นคนไทย เป็นเจ้าสัวในบ้านเรา …ระลอกที่สอง ก็ต้องรอดูกัน ….นอกจากนี้ แรงงานจากประเทศเพื่อนบ้าน เช่น พม่า ก็เข้ามาเพิ่มฐาน ขนาดเศรษฐกิจให้ไทยโตขึ้น


4. ‘อุตสาหกรรมต่อยอด ที่จะเกิดขึ้น’ …พอกิจกรรมการลงทุนหลักเข้ามา …ก็จะเกิดอุตสาหกรรมต่อยอด …อันนี้ก็ต้องดูว่า รัฐบาล และ เอกชน เราสามารถ Capitatise ในจุดนี้ได้มากแค่ไหน ?


5. ’Megaproject ในประเทศไทย‘ …พอสงครามการค้ารุนแรงขึ้น ทั้งจีน และ อเมริกา รวมทั้งมหาอำนาจอื่นๆ ก็ย่อมต้องให้ความสำคัญกับ ภูมิภาค Southeast Asia ซึ่งไทยก็ตั้งอยู่ในจุด ยุทธศาสตร์ที่สำคัญ ทั้งทาง ถนน อากาศ หรือ แม้กระทั่งทางทะเล (Land Bridge) 


6. ‘การสมดุลย์ ความสัมพันธ์ระหว่าง อเมริกา และจีน‘ …เรื่องนี้ล่อแหลมที่สุด …แต่ถ้ามองในอดีต เราเป็นประเทศเดียวที่ไม่ได้ตกเป็นเมืองขึ้นของมหาอำนาจ เพราะ เราสมดุลย์ความสัมพันธ์และอำนาจได้ดี …ก็ต้องลุ้นกันว่า ครั้งนี้เราจะทำได้ดีเหมือนที่ผ่านมาได้หรือไม่ 


…สรุป …ถ้าเราเป็น คนธรรมดา เราจะได้ประโยชน์จากการเติบโตของเศรษฐกิจไทยในอนาคตได้อย่างไร ?


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น

 5 ข้อควรรู้ ‘การคิดเผื่อคนอื่น‘ ทำไมทำให้เราเป็นนักลงทุนที่มีโอกาสสำเร็จมากขึ้น


1. ’คน Gen ก่อน โดยรวมรวยกว่าคน Gen ใหม่ เพราะ เขาคิดสร้างให้ลูกหลาน’ …ผมเคยได้ยินคนบอกว่า คนเราถ้ามีลูกแล้วเราจะรวยขึ้น …ผมนั่ง งง ว่า มีลูก ก็มีค่าใช้จ่ายเพิ่มแล้วจะรวยยังไงฟระ? …แต่พอมาคิดลึกๆ ก็พบว่า คนสมัยก่อน เวลาเขาจะทำอะไร เขาก็จะมองเพื่อลูก เพื่อหลาน …ทำอะไรก็เพื่อตระกูล ลูกหลาน ….ตัวเองก็ใช้เงินน้อย ที่เหลือก็ลงทุนเพื่อระยะยาว …นั่นไง !! เขาเลยรวย เพราะ ใช้ก็น้อย คิดแต่จะสร้าง ลงทุน สะสม ระยะยาว


2. ’การคิดเผื่อคนอื่น คือ ทักษะของผู้นำ‘ …ถ้าเราเป็นลูกน้อง ผู้ตาม ก็ไม่เห็นต้องคิดอะไรมาก คิดแค่ตัวเองก็พอแล้ว ….แต่หัวหน้า ผู้นำ ต้องคิด เผื่อลูกน้อง …เขาเลยมองกว้างกว่าเรา มันเป็นการฝึกวิธีคิด การเข้าใจและทักษะการบริหาร จัดการ และการต่อรอง ที่เอาใจเขามาใส่ใจเรา …นั่นแหละ ผู้นำ !!


3. ‘ธุรกิจที่คิดสั้นๆ มันไม่เติบโตเท่าธุรกิจคิดการไกล’ …ถ้าเราเลือกลงทุนกับธุรกิจที่คิดแต่จะหาประโยชน์จากลูกค้า …ทำเงินเร็วๆ ตีหัวเข้าบ้าน …ธุรกิจแบบนี้ โตไม่ได้ …ต้องลงทุนในธุรกิจที่คิดจะดูแลลูกค้าระยะยาว พวกนี้แหละ หุ้น Superstocks ….เบื้องหลังหุ้นดีๆ ก็ต้องวิเคราะห์วิธีคิดของ ‘เจ้า‘(ของ) ด้วย


4. ‘นักลงทุนที่คิดเผื่อคนอื่น จะไม่ได้หวังกำไรสูงสุด‘ …เฮ้ย!! ใครวะ ไม่หวังกำไรสูงสุด มีด้วยหรือ ? ….เอาตรงๆ นะ เราต้องเข้าใจ Logic สำคัญของตลาดหุ้นก่อนว่า ‘จุดที่กำไรสูงสุด มันไม่มี‘ …ถ้าใครคิดจะซื้อต่ำสุด ก็มักรอจนไม่ได้ซื้อ …ส่วนพวกที่อยากได้กำไรสูงสุด มักขายเร็ว แล้วตกรถ หรือไม่ก็ ถือจนไม่ได้ขาย - ’สรุป คนที่กำไร ก็คือ คนที่พอใจในจุดที่ตัวเองพอจะทำได้’ ….ใช่!! แบ่งคนอื่นกำไรบ้าง …ส่วนฉันก็เอากำไร พอหอมปาก หอมคอ ตามโจทย์ที่เราวางไว้ แค่นั้นพอ


5. ’นักเจรจาต่อรองที่ดี ต้องมองเผื่อคนอื่น’ …ก่อนจะเจรจาต่อรองกับใคร ควรศึกษาคนที่เราจะไปเจรจา ‘ต้องเข้าใจเขา’ …เหมือนกัน ’ตลาดหุ้น’ ทุกการซื้อขาย ก็คือการเจรจาต่อรอง …ดังนั้น ทุกครั้งที่จะซื้อหรือขายหุ้น ให้พิจารณานิดนึงก่อนว่า คนที่ซื้อหรือขาย ต่อจากเรา ทำไมเขาคิดตรงข้ามเราวะ ?


เออ!! ไม่ได้ให้เราเป็นพวกขี้ระแวง แต่แค่มีสติมากขึ้น …เราก็จะเป็นนักลงทุนที่ดีขึ้นนั่นเองจร้า!!


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

6 ข้อ ทำไม ‘นักธุรกิจที่เก่ง‘ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน

 6 ข้อ ทำไม ‘นักธุรกิจที่เก่ง‘ ไม่ค่อยประสบความสำเร็จในการเป็นนักลงทุน


…เราเห็นนักธุรกิจที่เก่ง พอมาเล่นหุ้น …เฮ้ย!! เสียตังค์หนักเลย …งั้นลองมาสำรวจซิว่า ปัจจัยอะไรที่เป็นอุปสรรคตรงนั้น ?


1. ‘นักธุรกิจเหมือนนักรบ แต่นักลงทุนเหมือนนักรับ‘ …ถ้าเทียบกับทหาร นักธุรกิจที่เก่งก็เหมือนสายบู๊ สายคุมกำลัง ออกรบ ลุย ….แต่นักลงทุนจะคล้ายสายเส ..คนชำนาญคนละ Skill ว่างั้น


2. ’การชนะในธุรกิจเน้นเร็ว แต่ลงทุนบางทีช้าอาจจะดีกว่า‘ ….แน่นอนนักธุรกิจที่เห็นโอกาสแล้วลงมือเร็ว มักได้เปรียบ …แต่การลงทุนการเทรดเร็วไม่ได้การันตีว่าจะชนะในระยะยาว …นักลงทุนจึงคล้ายการวิ่งมาราธอน มากกว่า


3. ’มุมของการบริหารเงิน’ …นักธุรกิจหาเงินเก่ง เวลาใช้ก็ใช้ง่าย จนบางครั้งไม่ได้เตรียมรับในวันที่พลาด …เวลาพลาดเลย จุกหนัก และลุกช้า …ส่วนนักลงทุนต้องเตรียมรับความผิดพลาดเสมอ เพราะ ตลาดหุ้นเต็มไปด้วยจุดที่เราผิดหวังตลอดเวลา 


4. ‘มุมของการใช้เงิน‘ ..นักลงทุนจะค่อนข้าง ใช้น้อยกว่า เพราะ นักลงทุนไม่ได้หาเงินได้ตลอดเวลา …โอกาสในการได้เงินของนักลงทุนขึ้นกับจังหวะของตลาด ’ตลาดกำหนด’ …ทำให้นักลงทุนต้องประหยัดกว่า …ระวังเรื่องการใช้เงินมากกว่า


5. ‘การบริหารคน กับการบริหารเงิน แตกต่างกัน‘ …นักธุรกิจที่เก่งต้องเข้าใจคน และบริหารคนอื่น …แต่ความยากของนักลงทุน ไม่ใช่การบริหารคนอื่น แต่คือ การบริหารตัวเอง ….เวลาเราเสียหายหนัก เพราะ เราขาดการบริหารตัวเองที่ดี 


6. ‘การหาเงินแบบ Active กับ Passive ไม่เหมือนกัน‘ …การทำธุรกิจเก่ง คือ เก่ง Active คือ เอาแรงไปแลกเงิน …ส่วนการลงทุนมันคือ Passive คือ การวางเงินลงทุนในสินทรัพย์ แล้วให้สินทรัพย์ หาเงินมาใช้เรา


สรุป จริงๆ นักธุรกิจ ก็เป็นนักลงทุนที่เก่งได้แหละ …เพียงแค่เข้าใจ และฝึกฝนนั่นเอง


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

Nexus ตอน 2 …’พลังข้อมูล..ที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของมนุษยชาติ‘

 Nexus ตอน 2 …’พลังข้อมูล..ที่ขับเคลื่อนความมั่งคั่งของมนุษยชาติ‘


การพัฒนาความมั่งคั่งของโลกใบนี้มันเริ่มที่ ’การเพาะปลูก‘ ….ความร่ำรวยตกเป็นของเจ้าของที่ดิน หรือ Landlord …ที่ไหนเพาะปลูกได้ดี ก็มีมูลค่ามหาศาล …อาหารเป็นสิ่งที่สำคัญที่สุด ในยุคนั้น 

…ยุคต่อมา ’ปฎิวัติอุตสาหกรรม‘ …ความมั่งคั่งเปลี่ยนมาอยู่ที่ ปัจจัยการผลิต …ใครก็ตามเป็นเจ้าของเครื่องจักร , โรงงาน , ปัจจัยการผลิต …คนนั้นร่ำรวยที่สุด …อาชีพต่างๆ เกิดขึ้น รายล้อมรอบการผลิต

…จนในที่สุด ‘Supply มากกว่า Demand’ … มนุษย์ สามารถผลิต ได้เกินความต้องการ !!

…ทำให้เราสู่ยุค ’ข้อมูล‘ …ยุคนี้ใครๆ ก็ผลิตได้ …แต่สิ่งที่มีค่าที่สุดนี้ จึงเปลี่ยนมาเป็น ’ข้อมูล’ Information Age !! …ใช่!! คนที่มี ‘ข้อมูล‘ ..รู้ว่าต้องผลิตอะไร สำคัญกว่า 

…ธุรกิจต่างๆ แข่ง กันเป็น เจ้าของ ’ข้อมูล’ …Google รวบรวมข้อมูลมหาศาล …ใครต้องการอะไรแค่ search google ก็ได้ข้อมูล

…Facebook ก้าวไปอีกขั้น รวบรวมข้อมูล …คราวนี้ เราไม่ต้อง search …เพราะแค่การคิด Facebook ก็รู้แล้วว่าเราต้องการอะไร …ข้อมูล และ AI รู้ใจมนุษย์ยุคนี้ รู้ใจมนุษย์ เข้าใจเรามากกว่าเราเข้าใจตัวเอง 

…Microsoft ก้าวไปอีกขั้น ใช้ AI และ Chat GPT รวบรวมข้อมูล แล้วก้าวไปอีกขั้น !!

…ใช่!! ยุคนี้ ‘ข้อมูล คือ อำนาจ และ ความมั่งคั่ง‘ …มูลค่าของธุรกิจมหาศาล อยู่ที่คนที่สามารถรวบรวมข้อมูลและวิเคราะห์มนุษย์นั่นเอง 

1. ’ข้อมูล คือ ความมั่งคั่ง ใครรวบรวมข้อมูล แล้ววิเคราะห์ได้แม่น คนนั้น รวยที่สุด’ …เราเห็น Tech Company รุ่งเรือง และ ให้รางวัลเจ้าของและผู้ถือหุ้นแบบมหาศาล

2. ‘ใครไม่เปลี่ยนอาชีพ จะถูกทิ้งไว้ข้างหลัง‘ …ในยุคที่เกษตรกรรมรุ่งเรือง คนที่ทำเกษตรก็จะร่ำรวย …พอมายุคอุตสาหกรรม คนที่เปลี่ยนมาทำอุตสาหกรรมก็จะร่ำรวย ..พอมายุคข้อมูล คนที่เข้าใจการใช้ ’ข้อมูล‘ ก็จะร่ำรวย

…นักการเมืองใช้ ’ข้อมูล‘ ในการเข้าสู่อำนาจ Populist มอง ‘Information = Power’ 

3. ‘ยุคข้อมูล เร่งให้คนรวยยิ่งรวย’ …ระบบเศรษฐกิจของโลกหลักๆ มี 2 ขั้ว คือ หนึ่ง ประชาธิปไตย และสอง สังคมนิยม (เข้าใจง่ายๆ คือ เผด็จการ นั่นแหละ) 

จริงๆ ประชาธิปไตย …ทุนนิยมมันดี เพราะ มันทำให้มีการแข่งขัน และ จัดสรรทรัพยากรได้คุ้มค่า …แต่พอถึงจุดนึง …มันจะเข้าสู่ช่วงปลายของระบบทุนนิยม ที่บริษัทยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งได้เปรียบ จนแทบจะผูกขาด (คล้ายกับปัจจุบัน!!)

พอถึงจุดนั้น คนรวยจะยิ่งรวย แต่คนส่วนใหญ่จะไม่พอใจ จนสุดท้ายทนไม่ไหว …ซึ่งมักจะนำไปสู่ การต่อสู้ระหว่างชนชั้น …จุดนี้แหละที่มักจะทำให้ระบบอาจเปลี่ยนไปสู่ Populist ที่ปลุกระดมประชาชน ใช้ความนิยม แล้วสุดท้ายก็ผันตัวเป็นเผด็จการในที่สุด

…ฮิตเลอร์ ก็มาจากประชาธิปไตย …จากความนิยม และ ค่อยๆ ผันตัวไปเป็นเผด็จการในที่สุด

…ใช่ครับ!! …ทุกวันนี้เรากำลังเข้าสู่ช่วงปลาย ของระบบทุนนิยม …ถ้าจัดการไม่ดี …โลกเราอาจวนไปสู่เผด็จการ ? …รบกันเป็นอาชีพ ..เฮ้ย!!

…ประเด็นคือ เราจะระวังตัวยังไง ไม่ให้ เราเข้าไปสู่วงจรหายนะอีกครั้ง …น่าคิด !!

4. …ข้อมูลที่เขียนลงในประวัติศาสตร์ เขียนโดยผู้ชนะ …ใช่!! มันอาจจะจริง หรือ โกหก เราไม่รู้ …แต่นั่นคือสิ่งที่เรารับรู้ยอมรับ …ตกลงใครคือ ผู้ชนะ ?

ยุคแรก ‘ข้อมูล‘ ถูกบันทึกโดย กระดานชนวน …ต่อมา เราคิดค้น ’กระดาษ‘ นั่นคือ วิวัฒนาการครั้งยิ่งใหญ่ ที่เปลี่ยนโลก …มนุษย์สามารถสร้างอาณาจักรยิ่งใหญ่ จดบันทึกทุกอย่าง ที่ดินของใคร ซื้อขายยังไง ใครมีเท่าไหร่ …เราทุกคนสะสมความมั่งคั่งผ่านกระดาษ …นั่นแหละ ’ข้อมูล’ ที่ทำให้มนุษย์สร้างและสะสมความมั่งคั่ง แบบก้าวกระโดด

…อ้าว!! ถ้าไม่จดบันทึก …สมัยก่อนเราก็รวมตัวกันได้แค่หมู่บ้าน หรือเผ่าเล็กๆ ที่ทุกคนก็แค่จำได้ ว่า คนนี้เป็นเจ้าของที่ดินตรงนี้ อะไรก็ว่าไป ….นั่นแหละ ก่อนวิวัฒนาการข้อมูล Homo Sapiens เลยยังไม่สามารถรวบตัวและอยู่รวมกันแบบในปัจจุบันนั่นเอง 

…ยุคนี้ทุกอย่างอยู่ใน Computer !!

’Clay Tablet กระดานชนวน - bamboo strip คำภีร์ไฝ่ในหนังจีน - piece of paper กระดาษ - to Silicon Chip world !!!!’
 
…ผู้ชนะ คือ ผู้บันทึกประวัติศาสตร์ …นั่นเป็นเหตุผลที่ว่า …ถ้ามีการปฏิวัติ ..ผู้มีอำนาจคนใหม่ จะต้องทำลาย ‘ข้อมูล‘ เก่า …ลบหนี้ก่อนเลย (ปลดหนี้ สบายละ) …ลบความเป็นเจ้าของเก่า (ยึดรวบหมดทุกอย่าง ก่อนแบ่งใหม่ …แต่ฉันได้เยอะสุดนะ) …แล้วก็ สร้าง ’ข้อมูล’ ใหม่

5.‘แก้ข้อมูล …ลบหนี้ …แล้วก็เพิ่มตัวเลขในบัญชี‘ …แค่นี้ฉันก็รวยเละ !!

จริงๆ ก็ใช่นะ …ถ้าทำลายข้อมูล ‘การเป็นหนี้‘ ฉันก็ปลดหนี้ได้ละ ….สมัยก่อน เราก็ไปบ้านเจ้าหนี้ ทำลาย สัญญาการกู้ (แต่ต้องแน่ใจว่า ไม่มี copy นะ) …ทำลายทิ้ง เราก็ไม่เป็นหนี้แล้ว จบ

…แต่วันนี้ คนทำหน้าที่ ‘เก็บข้อมูลหนี้‘ คือ ธนาคาร …หรือ ตัวกลางที่น่าเชื่อถือ …องค์กรเหล่านี้จึง ร่ำรวย มหาศาล เพราะ เขากุม ‘ข้อมูล‘ ที่มีค้าของมนุษย์

…อยู่มาวันนึง มีใครก็ไม่รู้ ใช้ชื่อปลอมๆ ว่า Satoshi Nakamoto …แล้วคิดค้นวิธีการเก็บ‘ข้อมูล’ แบบล้ำที่สุด โดยไม่ต้องใช้คนกลางเลย …เรียกว่า Blockchain …แล้วก็สร้างเหรียญที่ชื่อว่า Bitcoins (ใช้เป็นตัวกลาง ในการทดสอบ นวัตกรรมที่ยิ่งใหญ่นี้)

…โอเค!! ใครๆ ก็รู้จัก Bitcoins …บางคนก็บอกว่า มันเป็นเงินของอนาคต …บางคนบอกว่า มันคือ ทองคำดิจิตอล อะไรก็ว่าไป

แต่จริงๆ Bitcoins เป็นตัวแทนของ นวัตกรรมความยิ่งใหญ่ของ การบันทึก ‘ข้อมูล‘ แห่งอนาคต ที่คุณ ไม่ต้องมีแล้ว ธนาคาร , คนกลางตัดออกไปเลย

….นั่นแหละ ความยิ่งใหญ่ของ Bitcoins…ซึ่งสุดท้ายมันจะมาแทนเงินทั้งโลกหรือเปล่า? อันนี้ไม่มีใครรู้ …แต่ที่รู้แน่ๆ คือ วันนี้ มีคนเชื่อ ’ข้อมูล‘ นี้เป็น Network ที่ใหญ่ระดับโลก …ดังนั้น Bitcoins ก็คือ Nexus ..ที่คล้ายศาสดา พระเจ้า ของทั้งเครือข่ายนั้นเลย ….พระเจ้าช่วยกล้วยทอด !!

(เป็นข้อมูลปี 2024 …Network ของคนในเครือข่าย Bitcoins คือ 81.7 ล้านคน หรือ ประมาณ 1% ของประชากรโลก)

…ถ้าเทียบเครือข่ายใหญ่ ถ้าในธุรกิจ ก็เช่น Facebook มี 3 พันล้านคน …Twitter มี 378 ล้านคน …Tiktok ก็ 1 พันล้าน

…แต่ Facebook กลัว Tiktok เพราะ Tiktok จับฐานลูกค้า คนรุ่นใหม่มากกว่า …อายุน้อยกว่าว่างั้น 

คิดง่ายๆ ‘ข้อมูล‘ หรือ Nexus ที่ Tiktok สื่อ ออกมา คือ ’โอกาสสำเร็จชั่วข้ามคืน รวยตะโกน รวยแบยไม่มีที่มาที่ไป‘ …ใครวะ? …โคตรตะโกน ….เฮ้ย!! วันนึงคนนั้น อาจเป็นฉันก็ได้ ในเครือข่ายนี้ …เจสโด้ !

6.สิ่งประดิษฐ์และอาวุธที่มนุษย์เคยสร้างมา ล้วนถูกควบคุมโดยมนุษย์ (ระเบิดนิวเคลียร์ ต้องมี คนกด) ….แต่ AI ไม่ต้องมีคนกด มันเป็น อัตโนมัติ แปลว่า AI คือ คนฉลาดที่ขาดสติ ใช่ป่าวอ่ะ ?

ข้อดีคือเราสบาย …เดี๋ยวนี้คนวงการเงินสบาย ก็ปล่อยให้ AI ระบบสั่งซื้อขาย โคตร Passive income…แต่ปัญหาที่เห็นก็คือ Flash Crash ตลาดลงแบบบ้าคลั่งในเวลาสั้นๆ เพราะ AI มันดันสั่งขายพร้อมกัน ในจุดที่ไม่มีใครซื้อ (มักจะเกิดตอนตลาดลงหนัก ไม่มีใครกล้ารับ Volume มันก็เลยหาย …AI มันดันสั่งขาย …ตลาดมันเลยเกิด Flash Crash !!! พัง!!!! เละ!!! หมดตัวใน เสี้ยววินาที !!)

….ทั้งหมดที่เล่ามา มันน่ากลัว เพราะ AI มีทุกอย่างเหมือนมนุษย์ …ฉลาดกว่าด้วย …คำนวณเร็วกว่า …ไม่มีเหนื่อย ไม่มีล้า ….แต่ขาดสิ่งเดียวที่ AI ไม่มี คือ ’ไม่มีสติ’ Conscious !!

….ลองคิดซิว่า …ถ้ามีคนนึง เขาฉลาดมากๆ เก่งโคตรๆ แต่ไม่สติ !!! ….มันจะน่ากลัวขนาดไหน ?

…มีคนพูดว่า งั้นเราก็ทำให้ การตัดสินใจต้อง กดปุ่ม โดยมนุษย์ ทุกอย่างก็ควบคุมได้แล้ว ไม่ใช่เหรอ ?

…ก็ถูก!! …แต่ประเด็นคือ หลายๆ อุตสาหกรรมเขาออกแบบ AI ให้มันตัดสินใจซื้อขายเอง แล้วใช้จริงอย่างกว้างขวางแบบทุกตลาดหุ้นทั่วโลกไปแล้วไง !! …แล้วถ้าคุณบอกว่า งั้นก็แก้ซิ ว่าก่อนจะซื้อขาย ต้องมีมนุษย์ กดอนุมัติ ….ฮึม!! พูดง่าย แต่นั่นก็จะทำให้เทรดช้าลง ไปเหมือนที่เราใช้ เทรดเดอร์ ที่เป็นคน …ใช่!! กลับไปจุดเดิม ก่อนหน้านี้ไง

…จริงๆ สิ่งที่เล่ามา ผมก็มองเห็นโอกาสนะ …เช่น สมมุติเรารู้ว่าตลาดหุ้นใช้ AI เทรดเยอะๆ เราเดาได้เลย มันจะมี Flash Crash …งั้นง่ายๆ เราก็รอ จังหวะ ซื้อสวนแม่ม รวยเร็วเลยกรู …อ้า!! ก็คิดกันไปเรื่อย …555

7.’ผู้นำที่ใช้ประโยชน์จากข้อมูล …จากฉินซี ฮ่องเต้ , อาณาจักรโรมัน …สู่ราชวงศ์ฮั่น‘ 

…ยุคแรกที่มีการเอา ’ข้อมูล’ การจดบันทึก มาสร้างระเบียบ ระบบ ความเป็นเจ้าของ และควบคุมคนในอาณาจักรก็คือ ฉินซี ….หลังจากสามารถรวมจีนเป็นหนึ่ง ฉินซี ใช้การควบคุมด้วย ‘ข้อมูล‘ และการจัดระเบียบ กฏเกณฑ์แบบเข้มงวด เชื่อมต่อทั้งประเทศด้วยลำดับชั้น แบ่งแยกปกครองอย่างเป็นระบบ เรียกได้ว่า เป็นการใช้ระบบข้อมูล ปกครองอาณาจักรแบบเต็มรูปแบบครั้งแรกๆ ของโลก (ซึ่งในช่วงเวลาต่อมา ก็มี อาณาจักรโรมัน ที่นำระบบ ข้อมูล และการปกครอง มาปรับใช้) …แต่!! ใช้เวลาเพียง 15 ปี อาณาจักรฉิน ก็ล่มสลาย

พูดง่ายๆ ว่า ฉินซี สร้างอาณาจักรให้ยิ่งใหญ่ ในเวลาอันรวดเร็ว แต่ด้วยการควบคุม แบบเข้มงวด กระดิกตัวแทบไม่ได้ ปกครองด้วยความกลัว ….จนสุดท้าย เกิดการกบฏลุกฮือ ทั่วทั้งแผ่นดิน จนอาณาจักรฉินส่มสลาย

…สุดท้ายอีกไม่กี่ปี หลังจากนั้น จีนก็ถูกรวบรวมเป็นหนึ่งอีกครั้งภายใต้ ราชวงศ์ฮั่น

…บทเรียนของ ฉิน …ทำให้สมัย ฮั่น ได้เรียนรู้ ….แล้วก็เอาระบบการความคุมด้วย ’ข้อมูล‘ มาใช้ แต่ใช้ในแบบที่ยืดหยุ่นมากกว่า ….และนั่นทำให้ อาณาจักรฮั่น สามารถดำรงค์อยู่ได้อย่างยาวนาน

ด้วยประการละฉะนี้ …แต่น แต้น !!

…หมายเหตุ ฮิตเลอร์ หลังจากได้เป็น Chancellor…  ‘Nazi’ ก็ออก Coordination Act ควบคุมทุกอย่าง ตั้งแต่ การเมือง สังคม สมาคม คลับ แม้กระทั่งทีมฟุตบอล …ทั้งหมดนี้เป็นไปไม่ได้หากปราศจาค การจัดการ ’ข้อมูล‘ ที่ละเอียดสุดยอด

มองไปถึงโซเวียต ..Stalin เข้มงวดยิ่งกว่า Nazi เพราะคุมไปจนถึงโบสถ์ และ ทุกธุรกิจ …พูดง่ายๆ ทุกกิจกรรมภายใต้อาณาจักร ที่มีการรวมตัวของคน จะต้องมีเจ้าหน้าที่รัฐ เข้าจดบันทึกข้อมูล !!

…มาถึงยุคปัจจุบัน …เราแทนที่ ‘คนเก็บข้อมูล’ (Agents) …ด้วย คอมพิวเตอร์ , กล้องทุกหนทุกแห่ง ผ่านการประมวลผมด้วย AI …ใช่!! จีน วันนี้ไปไกลจน มีการ ให้คะแนนทุกคน (Social Score) …ใครมีพฤติกรรมดี ทำตามกฏหมาย และ ทำดี ก็จะได้คะแนนดี ….ซึ่ง ‘คะแนน‘ หรือ ข้อมูลนี้ ส่งผลในทุกๆ ด้านในชีวิต ตั้งแต่ ทำมาหากิน , หางาน , ใช้จ่าย (คะแนนดี ชีวิตง่ายกว่า) 

…นี่คือ ยุคข้อมูล ที่แม้แต่ ฉินซี , ฮิตเลอร์ หรือ ผู้นำอาณาจักรใดๆ ในอดีต ได้แค่ฝัน 

(ในปี 2024 AI อย่าง ChatGPT สามารถอ่านประมวลผล ‘ข้อมูล‘ ได้ เป็นล้านคำต่อนาที …เทียบกับมนุษย์ที่เป็น Agents เก็บข้อมูล อ่านได้แค่ 250 คำ ต่อนาที)

8.‘ผู้ประกอบการ และ นักลงทุน ผู้หาช่องว่างและทำประโยชน์จากข้อมูล‘ …บทนี้คุยในมุมของ การเข้าใจช่องว่าง ซึ่งทุกข้อมูล ทุกระบบ มันมีช่องว่างอยู่ …ขึ้นกับว่า ใครที่เห็นและเข้าใจใช้ประโยชน์จากมัน 

ก็ลองช่วยกันคิดครับ ….ยุคข้อมูลข่าวสาร Information Age ที่มี AI เป็นเหมือน ระเบิดนิวเคลียร์ …ก็ขึ้นกับว่า มนุษย์ในยุคใหม่นี้ จะเอาตัวอย่าง ความผิดพลาดในอดีตมาเรียนรู้ และ ปรับให้การเปลี่ยนผ่านทำให้มนุษย์และโลก ดีขึ้นหรือไม่ ก็คงต้องรอดูกัน 

สิ่งที่ทำได้ สำหรับคนทั่วไป …คุณและผม ก็คือ การเปิดใจเรียนรู้ เกี่ยวกับยุคที่ข้อมูลข่าวสาร คือ สิ่งที่ทรงพลังสูงสุด …เราจะปรับใช้ให้มันเป็นประโยชน์มากที่สุด ต่อเรายังไง …นั่นแหละ จุดสำคัญ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม














วันเสาร์ที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2567

NEXUS อยากจะเล่า …ep1

Nexus อยากจะเล่า …ep 1 


วันก่อนไปเดินห้าง ผ่านร้านหนังสือ เห็นหนังสือเล่มใหม่ของ Yuval Harari ลดราคา 20% ….ป๊าบ !! รีบเข้าไปเปิดอ่าน


บอกตรงๆ ชอบตั้งแต่เล่มแรกละ Homo Sapien …เป็นหนังสือขายดีมาก ที่อ่านแล้วจับประเด็นยากมาก เพราะ ข้อมูลมันทะลัก …สรุปคือ มันอ่านยาก …ส่วนใหญ่ก็รอให้คนอื่นเอามารีวิว เล่าให้ฟัง ง่ายกว่า 


มาเล่มนี้ดีกว่า Nexus …ถ้าแปลตรงๆ คือ จุดเชื่อม หรือ แก่นของเรื่อง …เอาตรงๆ ถ้า นักเขียนโนเนม แล้วตั้งชื่อหนังสือแบบนี้ รับรอง ขายไม่ได้ …ไม่มีใครหยิบอ่านแน่ๆ 


ถ้ายุคนี้ ต้องตั้งชื่อหนังสือ ตามกลุ่มคนอ่านถึงจะขายดี เช่น ถ้าจะจับคนรุ่นใหม่ หนังสือ ก็ต้องแบบว่า ‘รวยตะโกน’ …รวยขี้แตก ขี้แตน รวยจนเพื่อนอิจฉา รวยแบบไม่ต้องรู้ที่มาที่ไป


…มาคุยประเด็นที่ผมชอบในหนังสือ Nexus มาคุยกันดีกว่า 


เข้าประเด็น!!


 1. ‘ข้อมูล คือ จุดเชื่อมต่อ ที่ทำให้เผ่าพันธุ์มนุษย์ทรงพลังที่สุดในโลก‘ 


…ต้องยอมรับว่า มนุษย์ไม่ใช่สิ่งมีชีวิตที่แข็งแรงที่สุดในโลก แต่เป็นสิ่งมีชีวิตเดียว ที่สามารถรวมตัวกัน ที่เขาเรียกว่า Network ได้ จำนวนมากที่สุด 


ถ้าคุณเอาลิง สักพันตัว มารวมกันในสนามฟุตบอล มันคงสู้กันเละ …ยังไม่ต้องพูดว่า ให้ลิงรวมตัวกัน ทำสิ่งที่ยิ่งใหญ่ร่วมกัน …ใช่!! สัตว์อื่นรวมพลังกันทำอะไรที่ยิ่งใหญ่ไม่ได้ เท่ากับที่มนุษย์ทำ 


เราสามารถสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่อย่าง ปิรามิด กำแพงเมืองจีน รถยนต์ เครื่องบิน โบสถ์ ปราสาท เครือข่ายศาสนา บริษัทข้ามชาติ ประเทศ อาณาจักร 


ทั้งหมดที่ทำให้เรา สามารถมารวมตัวสร้างสิ่งที่พูดมา ก็คือ Nexus !!! …’แก่นสาร หรือ ข้อมูล ที่ทำให้เรามารวมตัวกัน‘


2. ’จุดเชื่อม จะทรงพลัง ถ้าเป็นคน‘ 


…จุดเชื่อมของ Apple ก็คือ Steve Jobs , จุดเชื่อมของศาสนา ก็คือ ศาสดา (เรื่องเล่าของศาสนา ซึ่งเราต่างก็รู้สึกว่า มันเหลือเชื่อ เกินจริง) …แต่ก็นั่นแหละ ‘เรื่องราว‘ ที่เชื่อมต่อ มันก็ไม่จำเป็นต้องเป็นจริงก็ได้ …เช่น Steve Jobs เราจะมองว่า เป็นอัจฉริยะ สุดยอด …แต่คนใกล้ชิดลูกน้อง อาจมองอีกแบบ …ซึ่งไม่สำคัญเลยว่า ตัวจริงของ Steve Jobs จริงๆ จะเป็นยังไง เพราะ ในชีวิตจริงก็คงมีไม่กี่คนหรอก ที่จะได้สนิทใกล้ชิด แล้วรู้จัก Steve Jobs จริงๆ ดังนั้น สิ่งสำคัญกว่าคือ ความเป็น ‘Nexus’ ที่เชื่อมต่อความอัจฉริยะ การคิดนอกกรอบ ความยิ่งใหญ่ ….นั่นแหละ Nexus คือ ศาสดาของ Startup คนรุ่นใหม่ ที่ฝันอยากจะเปลี่ยนโลก 


3. ’Network ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่งร่ำรวยและทรงพลัง’ 


…ใช่!! ยิ่งใครสามารถสร้าง Network ที่รวมตัวคนได้ใหญ่เท่าไหร่ ก็ยิ่งร่ำรวยมหาศาล …ในโลกเรา Network ที่ใหญ่มากๆ ก็เช่น ศาสนาคริสต์ มีคน 1.4 พันล้านคน …Nexus ก็คือ เรื่องราวใน Bible ที่เชื่อมโยงคนพันล้านเข้าด้วยกัน …เชื่อในเรื่องเดียวกัน …และ ทำให้คนแปลกหน้าพันล้านคน รู้สึกเหมือนเป็นพี่เป็นน้องกัน ทำกิจกรรมร่วมกันได้ เพียงแค่อยู่ใน Network เดียวกัน 


…นี่แหละพลัง ที่ Homo Sapien หรือเผ่าพันธุ์มนุษย์มี …คือ เราเชื่อในเรื่องราว ที่สัตว์อื่นไม่สามารถเชื่อได้ 


…ถ้าคุณไปบอกลิงว่า ให้มันแบ่งกล้วยของมัน ให้กับลิงตัวอื่น แล้วพอมันตาย มันจะขึ้นสวรรค์ลิง แล้วบนสวรรค์ลิง จะมีกล้วยไม่จำกัดให้กินเลย …ถามว่า ถ้าคุณบอกลิงแบบนี้ มันจะแบ่งกล้วยให้ลิงตัวอื่นไหม ?


…ฮึม!! แน่นอน ….ถ้าลิงมันพูดได้ มันคงด่าเราว่า ’ไอ้บ้า!!‘ ไอ้มนุษย์ มรึงเพี้ยนไปหรือเปล่า 


แต่คนทำ …คนเชื่อ !! …นี่แหละ พลัง !!! เพราะ มัน ทำให้มนุษย์สามารถรวบตัวกันเพราะ เรื่องราวเหล่านี้ แล้วร่วมกันสร้างสิ่งที่ยิ่งใหญ่นั่นเอง


….จะพูดว่า ’ความไร้สาระ …เป็นจุดเริ่มของสาระที่ยิ่งใหญ่‘ ก็น่าจะได้ 


…อ้อ!! เวลานี้เครือข่าย ที่ใหญ่ที่สุด แล้วทำให้คนมารวมตัวกัน ทำสิ่งเดียวกัน ยิ่งใหญ่ที่สุดตอนนี้ก็คือ Global Trade (การค้าโลก) ส่วน ’เรื่องราว(ไร้สาระ ?) ’ - สิ่งไร้สาระ 3 จุดเชื่อม ที่ทำให้การค้าเป็นไปได้ คือ 


1. เงิน (วันนี้ใหญ่สุดก็ US Dollar ที่หลายๆ คน พูดว่า มันจะไร้ค่า …แต่เอาตรงๆ นะ มันยังเป็น เรื่องราวของเงินที่ทรงพลังมากที่สุด ในโลก ณ เวลานี้นะ …มันเป็นกระดาษ(ตัวเลขเฉยๆ) ที่ไม่มีสินทรัพย์อะไรหนุนหลังเลยนอกจากหนี้) 


เรื่องราวที่ทรงพลังของเงิน รองลงมาจากดอลลาร์ น่าจะเป็น ‘ทองคำ‘ …และ ถ้าสำหรับคนรุ่นใหม่ ’เรื่องราว‘ นั้น น่าจะเป็น Bitcoin 


เอาเถอะ กลับมาที่ดอลลาร์ …โอเควันนี้เป็น สกุลหลัก หรือเป็น เส้นเลือดไหลเวียนหลักที่ทำให้การค้าโลก เป็นไปได้


2. บริษัท …ก็คือ ผู้ค้า ผู้ขาย …บริษัทต่างๆ ตั้งแต่ Apple , Wal-mart , CP , 7-11 , เซ็นทรัล ….ทุกๆ องค์กร ก็คือ ’เรื่องราว’ แต่ละองค์กร ที่มีจุดเริ่ม เป้าหมาย จุดหมาย ที่มัน Unique แตกต่างกันไป


3. Brand …ก็ Brand ต่างๆ ที่เรารัก รู้จัก คุ้นเคย ก็คือ ’เรื่องเล่า‘ ที่เราเชื่อ ….Ferrari เป็น brand ที่ทรงพลัง ทั้งที่เอาตรงๆ เราส่วนใหญ่เห็นแค่ในรูป ไม่ได้มีโอกาสสัมผัสจริงๆ …ซึ่งมันไม่ได้ขับสุดยอดหรือแรงไปกว่ารถไฟฟ้า แต่!!!! ….แต่มันเท่ห์ ….นั่นแหละ ’เรื่องเล่า’ ที่ทรงพลัง


3 จุดที่เล่ามา ทำให้ เกิด Global Trade (โลกค้าขายกัน) …แล้วมันยิ่งใหญ่ ตรงไหน ?


…ถามหน่อย สมัยที่โลก แยกกันอยู่ ดินแดนใคร ดินแดนมัน …สมัยนั้น เขาทำอะไรกัน ….ใช่!!! แม่งรบกัน ฆ่ากันครับ 


ดังนั้น การค้าจึงเปลี่ยน สนามรบ เป็น สนามการค้า ….เราถึงเรียนหนังสือ เพื่อค้าขาย …ไม่งั้นคุณกับผม ต้องเรียน การฆ่า การรบ 


4. ’เรื่องราว’ ทุกวันนี้สร้างง่ายขึ้น ด้วย Social Network


….ครับ!! สมัยก่อนน่ะ …ถ้าคุณจะเล่าอะไรสักอย่าง มันต้องผ่าน หนังสือพิมพ์ , ทีวี , วิทยุ …นั่นแหละ จุดเชื่อมต่อสมัยนั้น 


จำได้ไหม เวลาทหารเขาปฏิวัติ เขาก็จะไปยึด ทีวี แล้วก็ประกาศ อะไรก็ว่าไป ….ถามหน่อยเดี๋ยวนี้ จะยึดอะไร …ยึด YouTube?  …ปิด Facebook ? …เออ ปิดไม่ได้ ไม่ใช่ของเรา


โอเค เข้าประเด็นคือ ทุกวันนี้ มันมี Social Network ที่เปิดให้ทุกคน ’เล่าเรื่อง’ สร้างจุดเชื่อมต่อได้ง่ายขึ้น …ใช่!! เราเป็น Nexus ได้ 


….นั่นแหละ ความแจ๋ว …เพราะยุคนี้ ’ความดัง’ คือ ความสามารถในการหาเงิน


5. ’สิ่งที่เปลี่ยน กับ สิ่งที่ไม่เปลี่ยน …ถ้าเราเรียนรู้จากประวัติศาสตร์แล้วลงทุนในสิ่งที่ไม่เปลี่ยน เราจะเป็นเศรษฐี‘ 


…เวลาอ่านประวัติศาสตร์เยอะๆ เราจะพบว่า สิ่งที่กำลังเกิดในปัจจุบัน จริงๆ มันเคยเกิดในอดีตมาแล้ว ….เพียงแต่มันไม่ได้เหมือนเป๊ะ !!


…ถ้าใครปรับใช้ได้ดี จะได้ประโยชน์มาก ….เช่น ทุกวันนี้เรากำลังกลัวว่า AI สุดท้ายจะมาทำลายมนุษย์ …คิดง่ายๆ ถ้ารถทุกคันใช้ AI ควบคุม เราจะรู้สึกอย่างไร 


…สมมุติเราทำผิด เราอยากให้ คนตัดสิน ผู้พิพากษาเป็นมนุษย์ หรือเป็น AI ล่ะ ? 


…ตอนแรกผม ก็มองว่าเรื่องนี้ไกลตัว แต่ทุกวันนี้ หลายๆ ธนาคาร เอา AI มาอนุมัติสินเชื่อแล้วนะ ….แล้วตลาดหุ้นน่ะ เอาแค่บ้านเรา ระบบเทรด AI ที่ต่างชาติ เอามาใช้ซื้อขาย คือ ให้คอมพิวเตอร์ซื้อขายอัตโนมัติ นี่บ้านเราน่าจะเกือบ 50% ของ Volume การซื้อขาย 


อันนี้ไม่รวม Forex การซื้อขายค่าเงินระหว่างประเทศ วันนึงเป็น Trillions ล้านล้าน …นั่นแหละ ใช้ AI แทบทั้งหมด


อย่าง Facebook , Tiktok ข้างหลังก็คือ AI ในการเลือกว่า โพสใดจะดัง …ใครจะเกิด !!!


…โหนกระแส ..พี่หนุ่ม เป็นคนเลือกว่าใครจะดัง !! ….แต่ Facebook …ผู้ที่เลือกไม่ใช่คน ไม่ใช่พี่ Mark แต่เป็น Code เป็น AI


…ใช่!! AI จริงๆ มันใกล้ตัวเรามากๆ 


เล่าไปยาว จะบอกว่า ’สิ่งที่เปลี่ยน กับ สิ่งที่ไม่เปลี่ยน‘ ของมนุษย์คืออะไร ?


…สิ่งที่ไม่เปลี่ยนคือ มนุษย์ เก่งและจะพัฒนาไปจนมันทำลายตัวเอง ….เฮ้ย!!


..ยุคโบราณ ก่อนการค้า เรารบกัน ฆ่าเป็นอาชีพ …ทหารรวยสุด …เพราะ ’เรื่องราว’ ที่คนยุคนั้นต้องการคือ ‘อำนาจ‘ ….ต่างกับยุคนี้ เราต้องการ ‘ความมั่งคั่ง‘ 


’เรื่องราว เปลี่ยนนิดเดียว …ชีวิตเปลี่ยนมหาศาล‘ 


…ตอนที่เราฆ่ากัน …ใครพัฒนาอาวุธได้ทำลายล้างมากที่สุด คนนั้นดีที่สุด ….เราพัฒนาจาก ดาบ ไปเป็นธนู ไปปืน ไปรถถัง เครื่องบิน …แล้วสุดเลย ที่ระเบิดปรมาณู !!!


ใช่!! ครับ …ถ้าวันนั้น สมมุติมีผู้นำ ที่แพ้สงคราม แต่กรูไม่แพ้ แล้วตัดสินใจ ยิงปรมาณูขึ้นมา …นึกภาพไม่ออกเลยว่า ถ้าสุดท้ายเขาลุยกันด้วยระเบิดปรมาณูแบบเต็มรูปแบบ …วันนี้โลกคงพังทั้งโลกไปแล้ว 


งั้นแปลว่า ที่เรากลัว AI จะมาทำลายมนุษยชาติ ..แน่ก่อนเราผ่าน วิกฤตที่เลวร้าย กว่ามาแล้ว คือ ระเบิดปรมาณู ….แล้วเราก็ผ่านมาได้ 


….





….ค้างไว้ก่อน …ใครอ่านถึงตรงนี้ แปลว่า เฮ้ย!! คุณอ่านมาถึงตรงนี้ได้ไง โคตรยาว ยุคนี้ไม่มีใครอ่านหนังสือแล้ว จริงๆ หรือ ไม่ใช่ ?


Ok ..ใครอ่านถึงตรงนี้ช่วย Comment หน่อยนะครับว่า ‘เออ!! กรูอ่าน‘ …555



(โอเค …เดี๋ยวผมว่าง แล้วจะมาเขียนเล่าต่อนะ) 


บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ