แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอาทิตย์ที่ 13 มิถุนายน พ.ศ. 2564

6 ข้อ เบื้องหลัง การขึ้นของราคาหุ้น


6 ข้อ ที่ทำให้ ราคาหุ้น พุ่งสูงขึ้นเรื่อยๆ 

ราคา ที่เราเห็น มันไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็ขึ้น …ถ้าเราเข้าใจ ปัจจัย ที่ทำให้หุ้นมันขึ้น …ค้นหา เฝ้าสังเกต สักวัน พอร์ตเราก็จะมีหุ้นขึ้นเหมือนคนอื่นบ้าง !!

มาดูกัน ว่ามีอะไร 

1. ‘ยอดขาย และ กำไรของธุรกิจ เติบโต’ …อันนี้คือ แกนกลางของราคาเลย …หลายคนถึงขนาดพูดว่า เจ้ามือที่แท้จริง ก็คือ ผลประกอบการ นั่นเองครับ

2. ‘เปอร์เซ็นต์การเติบโต กำหนด ค่า P/E’ …อย่างที่เรารู้กันอยู่แล้วว่า ค่า P/E ก็คือ ‘ตัวคูณความร่ำรวย’ หรือ อัตราเร่ง ให้นักลงทุนระยะยาวร่ำรวยแบบก้าวกระโดด …ยิ่งถ้ารักษา % การเติบโต ได้ต่อเนื่องระยะยาว ยิ่งทำให้หุ้นรักษา P/E ในโซนสูง และ ขึ้นหลายๆ เด้ง

3. ‘ธุรกิจอยู่ในกระแสโลก’ ..วันนี้ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า หุ้นที่สร้างเศรษฐีใหม่ทั่วโลก คือ หุ้นกระแส …ใช่ครับ ทั้ง Tesla , Amazon , Netflix …เอาว่า ‘พื้นฐานวิ่งตามราคาไม่เคยทัน …เพราะ ราคาวิ่งกระฉูดนำหน้าเสมอ สำหรับธุรกิจที่อยู่ในกระแส’ ….หุ้นประเภทนี้ ที่ทำให้ VI จำนวนมาก ตกรถ

 …บางครั้งเรามองว่า หุ้นแพง เราไม่ซื้อ แต่คนอื่นเขาซื้อ หุ้นแบบนี้ก็ไปได้ไกลโดยไม่มีเราก็เท่านั้นเอง

4. ‘หุ้นมันเบา’ …หุ้นทุกตัวมีช่วง หนัก และ เบา …ช่วงที่ หนัก ก็คือ ช่วงที่คนส่วนใหญ่แห่เข้าไปซื้อหุ้นนี้ ซึ่งมักจะเป็นช่วงใกล้ๆ ดอย (Upside น้อย แต่ Downside เยอะ) กับ ช่วงขาลง ระหว่างที่ราคาลง จาก 30% ไปจน 70% จะหนักสุดๆ

พอหุ้นลงสุด มันก็จะ ออกข้าง Sideway ก็ยังหนักอยู่ …แต่พอหุ้นเริ่ม Break Sideway ขึ้นมา 100% ขึ้นไปจากจุดต่ำสุด นั่นแหละ ภาวะหุ้นเบา จะเกิดขึ้น

‘ขึ้นรอบใหม่ วิ่งไกล โดยไม่มีเรา’ …กว่าที่คนส่วนใหญ่จะกล้าเข้าอีกครั้ง ก็จะเริ่มเข้าสู่ ภาวะ หุ้นหนัก อีกที 

(ตลกไหม? …มือใหม่ อยากซื้อหุ้นทีไร มันอยู่ในช่วง หุ้นหนักทุกที …’ฉันซื้อทีไร หุ้นไม่ขึ้น หรือ ขึ้นยาก ลงง่าย’ …ให้รู้ไว้เลยครับ คุณคือ ‘สายหุ้นหนัก’)

5. ‘รายใหญ่ เข้าสะสมหุ้น’ …อ้าว!! แล้วรายใหญ่สะสมหุ้นตรงไหน ? …แล้วรายใหญ่ สะสม ต่างกับ รายย่อย หรือครับ ? ….’มีคนถามผมว่า คนเล่นหุ้น มีใครมาบังคับไหมให้ซื้อ ขายตรงไหน ทำไมจังหวะมันผิดมหันต์ แบบตรงข้ามตลอดเลยล่ะ !!’

เอาสรุปง่ายๆ รายใหญ่ สะสม ตอนที่ ‘หุ้นเบา และ ถูก’ …ส่วนรายย่อย ซื้อ ตอนที่ ‘หุ้นหนัก และ แพง’ 

6. ‘ดอกเบี้ยต่ำกว่า ผลตอบแทนในการถือหุ้น’ …หลายคนสงสัยว่า ทำไมคนถึงเข้ามาเล่นหุ้นมากขึ้น …หลักๆ ก็มาจาก การที่ดอกเบี้ยเงินฝาก มันไม่คุ้มที่จะฝาก …คนจึงต้องหาผลตอบแทนที่สูงขึ้น …ทำให้ตลาดหุ้นเป็นทางเลือกในการวางเงินให้ทำงานนั่นเอง

หลายคนถามว่า ขาขึ้นของหุ้นในรอบนี้จะจบเมื่อไหร่ ? …ต้องตอบว่า ขาขึ้นจะจบ เมื่อหุ้นมันขึ้นไปจน ไม่คุ้มที่จะถือหุ้น หรือ จนกว่า ผลตอบแทน เงินฝากน่าสนใจกว่านั่นเอง 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


 

วันเสาร์ที่ 12 มิถุนายน พ.ศ. 2564

6 หลัก การลงทุนแบบแพ้ไม่ได้ในตลาดหุ้น


 6 หลัก การลงทุนแบบ แพ้ไม่ได้ในตลาดหุ้น

ที่ว่าแพ้ไม่ได้ ไม่ใช่ว่า ไม่ยอมเสียเงิน ..เสียได้บ้าง แต่ยังไงต้องไม่เจ๊ง ไม่พอร์ตระเบิด 

มาดูกันว่า ต้องทำยังไง 

1. ‘กำหนดจุดที่ยอมขาดทุน ทุกครั้งที่เข้า’ …อันนี้เบสิคใครๆ ก็พูด แต่เอาตรงๆ นะ …ทำจริงๆ ให้ได้ นี่สำคัญกว่า …ถ้าบอกว่า Stop Loss คือ 10% ถ้าหุ้นลง 10% หรือ ลึกกว่านั้น ก็ต้องเทขายทันที ไม่มีแบบว่า …ขอลุ้นอีกนิดนะ …เอาตรงๆ ส่วนใหญ่ที่ลุ้นอีกนิด มันยิ่งขาดทุนเพิ่มจน Cut ไม่ลง คราวนี้ลง 70% จบรอบกันไปเลย

2. ‘ไม่ใช้ Margin ในขาลง’ …ไม่กู้ในขาลงว่างั้นเถอะ ..ไม่ใช้ Margin …ไม่ Block ..เอาว่า ถ้าหุ้นอยู่ในขาลง ไม่ Leverage เลย 

ปัญหาอยู่ที่การรู้ว่า นี่คือ ขาลง หรือ ขาขึ้น …ข้อสังเกตง่ายๆ ว่าหุ้นอยู่ในขาลง คือ ยอดลง ก้นลง ..ยอดลง ก้นลง ไปเรื่อยๆ …ถ้าเมื่อไหร่ ยอดไม่ลง หรือ ก้นไม่ลง ก็เริ่ม Side Way …จากนั้น พอยอดเริ่มยก ก้นยก …ยอดยก ก้นยกต่อ ก็คือ ขาขึ้น 

(การใช้ กราฟ Time Frame ยิ่งใหญ่ ก็ยิ่ง identify Trend ฟันธงได้ชัดว่า นี่คือ ขาไหน ?)

3. ‘กระจายหุ้นเพียงพอ’ …มีประโยชน์มากในการช่วยทนรวย …เพราะ ยิ่งมีหุ้นน้อยตัว การจะทนถือให้หุ้นน้อยตัวกำไรขึ้นไปหลายๆ เด้ง มันแทบจะเป็นไปไม่ได้ …หลายคน ที่ยังไม่เคยมีประสบการณ์ กำไรหุ้นหลายๆ เด้ง คง งง ว่า ผมพูดอะไร ?

เอาเถอะ พอคุณเจอจริง จะรู้เลยว่า ‘ทนรวย’ มันยากกว่า ‘Stop Loss’ อีก

ก็สรุปว่า ต้องมีหุ้นหลายตัว พอที่เราจะ ทนเห็นหุ้นในพอร์ตขึ้นหลายๆ เด้ง แล้วยังไม่ขายได้ 

4. ‘เตรียมแผนสองไว้ เวลาที่เรามั่นใจมากๆ เสมอ’ …พูดแบบนี้ คนส่วนใหญ่อาจจะไม่เข้าใจ เพราะ คนส่วนใหญ่มีแต่คำว่า ‘รู้งี้’ ไม่เคยมีคำว่า ‘แผนสอง’ 

คนที่ชนะแล้วอยู่รอดในตลาดหุ้น ต้องเป็นคนคิด 2 ชั้น …คือ คิดแผนซ้อนแผน …เอาง่ายๆ คิดชั้นเดียว ก็มักโดนตลาดซัด พอร์ตระเบิด ติดดอย แล้วแทบจะกลับมาเล่นไม่ไหวอีก

5. ‘ให้พยายามมองหาจุดที่เพิ่มผลตอบแทน โดยไม่เพิ่มความเสี่ยง’ …มีด้วยหรือ ? …มีครับ และเห็นได้เฉพาะคนที่ตั้งใจหา 

ยกตัวอย่าง หลังวิกฤตโควิด เป็น รอบหุ้นตัวเล็ก …ใครเล่นหุ้นตัวเล็ก จะเสี่ยงต่ำ และ กำไรสูงกว่า …แต่ไม่ใช่ว่า หุ้นเล็กจะดีตลอด …พอสถานการณ์เปลี่ยน โอกาสมันก็จะเปลี่ยนไป (นักลงทุนต้องฝึกการดมกลิ่นโอกาสให้ดีครับ)

6. ‘ถ้าเป็นไปได้ อย่ากู้เลย’ …เอาตรงๆ ตลาดหุ้น มันเสี่ยงอยู่แล้ว …ราคาแกว่ง 10% ทุกวันง่ายๆ …ในขาขึ้น แกว่ง 30% นี่ปกติ …ถ้าขาลง ลง 70% นี่ค่าเฉลี่ยปกติ 

ดังนั้น Margin แค่ 2 เท่า ก็อวกแล้ว …เดี๋ยวนี้ Block Trade สามารถเล่นได้ 10 เท่า …แปลว่า ถ้าหุ้นลงแค่ 10% ก็พอร์ตระเบิดแล้ว …หรือ อย่างคริปโต สามารถเล่นได้ 125 เท่า แปลว่า ราคาลงแค่ 1 % ก็พอร์ตระเบิดแล้ว

ตรงๆ คือ ไม่ได้ห้าม แต่ใช้ให้ระวัง เพราะ คนที่พอร์ตระเบิด ส่วนใหญ่ก็มาจากใช้ Leverage เกินตัวทั้งนั้น 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

แกะหุ้น จากยอดขาย และกำไร มีอะไรแฝงอยู่


‘แกะหุ้น จาก ยอดขาย และ กำไร มีอะไรแฝงอยู่’ 

การอ่านงบการเงินในการเล่นหุ้น เป็นเรื่องของ ‘การตีความ’ …ผมว่า เรื่อง ยอดขาย และ กำไร เป็นเรื่องเล็กๆ ที่น่าสนใจ มาดูกัน

1. ‘ยอดขายโต กำไรโต’ ..อันนี้ดี ตีความตรงๆ ว่า หุ้นอยู่ในเทรนด์ขาขึ้น …ยิ่งถ้าโตต่อเนื่อง 3 ปีขึ้นไป หุ้นนี้จะหลายเป็นหุ้นหลายเด้งละ …แต่ 3 ปีข้างหน้า มันไม่ได้บอกในงบการเงิน …ก็นั่นแหละ การตีความนอกจากงบการเงิน ถึงมีความสำคัญมากๆ เช่นกัน

2. ‘ยอดขายโต กำไรไม่โต’ …อันนี้ดีรองลงมา แปลว่า Market Share ขยาย ซึ่งอาจเป็นการขยายตลาด หรือ กินส่วนแบ่งจากคู่แข่ง ก็ดีทั้งคู่ …แต่กำไรไม่โต ก็อาจหมายถึง การมีต้นทุนเพิ่มในการเติบโต ซึ่งพอรับได้หากไม่นานเกินไป …แต่ถ้ากำไรไม่โตนานๆ อาจหมายถึง Price War (โตด้วยการลดราคา ซึ่งในระยะยาวไม่ดีครับ) 

3. ‘ยอดขายไม่โต กำไรโต’ …อันนี้ราคาหุ้นมักจะขึ้น เพราะ ตลาดให้ค่าที่กำไร …การที่ยอดขายไม่โต แต่กำไรโต หมายถึง ลดต้นทุน ทำให้แม้ตลาดไม่โต แต่ได้กำไรมากขึ้น …พูดง่ายๆ ว่า ธุรกิจมี Efficiency สูง (มักเกิดช่วงวิกฤต ธุรกิจพยายามลดต้นทุน พอผ่านวิกฤตไปเลยกำไรดีขึ้น) …ทำให้หลังวิกฤต เรื่องนี้ เป็นตัวดันให้เกิดขาขึ้นครั้งใหม่ 

…..แต่ปัญหาคือ สิ่งที่ต้องระวังถ้ายอดขายไม่โต แต่กำไรโต อาจหมายถึง ‘การแต่งงบ’ …หลบต้นทุนออกไป …พอกำไรสวยๆ ราคาหุ้นก็ไปต่อ 

4. ‘ยอดขายไม่โต กำไรติดลบ’ …อันนี้คือ ธุรกิจเจอวิกฤต …เป็นทั้งโอกาสและวิกฤต ขึ้นกับว่า การตีความว่า วิกฤตที่เกิดขึ้นเป็นเรื่อง ‘ชั่วคราว’ หรือ ‘ถาวร’ 

อย่าง ‘โควิด’ คือ เรื่องชั่วคราว …แต่ธุรกิจถูก Disrupt อันนี้ ถาวรละ 

ก็ลองเอา 4 ข้อนี้ ไปปรับใช้คัดหุ้นกันครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


 

วันศุกร์ที่ 11 มิถุนายน พ.ศ. 2564

5 องค์ประกอบของความโชคดีในตลาดหุ้น


 5 องค์ประกอบ ของความโชคดีในตลาดหุ้น

ในช่วง 1 ปี ที่ผ่านมา มีคนที่ได้กำไรจากหุ้นมหาศาล ..พูดง่ายๆ คือ แค่ปีเดียว มีหุ้นที่ขึ้นตั้งแต่ 3 เด้ง ไปจนถึง 10 เด้ง เกิน 50 ตัว เข้าไปแล้ว ….แต่คือ ‘อ้าว!! ทำไมไม่ใช่เรา หรือ เคยซื้อนะแต่ขายไปแล้ว!!’ 

ก็แปลว่า มันมีคนโชคดีที่ไม่ใช่ฉัน …เจ็บใจ!!

 …ผมเลยอยากจะบอกว่า จริงๆ แล้ว การโชคดี มันมีองค์ประกอบที่ทำให้โชคดี …เพราะ ตลาดหุ้นมันมีที่มาที่ไป ที่ชัดเจน 

มาดูกันดีกว่า ว่า เราอยากโชคดี แล้วเราน่ะ มีองค์ประกอบของความโชคดีกี่ข้อแล้ว 

1. ‘เราอยู่ในจุดที่เหรียญตกอยู่หรือเปล่า’ …คนที่เจอเหรียญก็เพราะ ‘เขากำลังมองหาเหรียญอยู่’ …อันนี้ชัดเจน ถ้าคุณไม่ได้มองหา โอกาสที่จะเจอมันแทบไม่มีเลย …แต่ถ้าคุณรู้ว่า มันมีเหรียญตกอยู่แถวนี้ แล้วคุณตั้งใจหาอยู่ ..เราก็จะเป็นคนที่มีโอกาสโชคดีเจอมากกว่า นี่ข้อที่หนึ่ง 

2. ‘เรามีความรู้ที่จะหาโอกาสเพียงพอไหม’ …คนนึงมองหาเหรียญแบบมั่วๆ กับ อีกคนมีเครื่องหาเหรียญ แค่นี่ก็ต่างละ …โอกาสเจอไม่เท่ากันละ นี่คือ ความได้เปรียบเพราะเรามีความรู้ มีเครื่องมือที่ดีกว่า

3. ‘คนที่เรียนรู้ จากข้อผิดพลาด จะมีโชคดีเพิ่มขึ้น’ …คนเรามี 2 แบบ แบบแรก คือ ผิดพลาดแล้วไม่เรียนรู้อะไรเลย กับ คนที่สอง ผิดพลาดแล้วเอาจุดนั้นมาเรียนรู้ ปรับปรุงวิธีการของเราให้ดีขึ้น ….คนแบบที่สอง ยิ่งติดดอย ยิ่งขายหมู ก็ยิ่งเพิ่มโอกาสมากขึ้นในครั้งต่อไป

4. ‘อ่านออกว่าคนส่วนใหญ่ อยากทำยังไง’ …อ่านเพื่อ? …ก็เพื่อให้เรารู้เลยว่า สิ่งที่คนส่วนใหญ่อยากทำ มันคือสิ่งที่ไม่ค่อยมีโชค …เพราะ คนส่วนใหญ่ไม่มีทางรวยพร้อมกัน …คนส่วนน้อยต่างหาก ที่ชนะ ….การที่อ่านออกว่าคนส่วนใหญ่อยากทำยังไง แล้วเราทำตรงข้าม เราก็ยิ่งมีโอกาสโชคดีเพิ่มขึ้นเท่านั้น

5. ‘รู้จักการบริหารความเสี่ยง’ …อย่างที่รู้แล้วว่า คนที่เก่ง หรือ โชคดี ก็คือ คนที่พลาดมาเยอะกว่า เจ็บหนักมามากกว่าคนอื่น …แต่เคล็ดลับของการ ‘พลาดแล้วไม่ตาย’ หรือ ล้มแล้วลุกขึ้นมาได้ ก็แปลว่า เขาบริหารความเสี่ยงเก่ง ….อย่างในตลาดหุ้น คนที่บริหารความเสี่ยงเก่ง ก็คือ ต้องแบ่งเงินให้ชัดเจน เผื่อไว้แล้วว่า หากผิดพลาด เรายังไม่เจ๊ง …เจ็บนะ แต่กรูไม่เจ๊ง เพราะ เตรียมเงินเผื่อไว้บางส่วนให้กลับมาเล่นใหม่ได้ 

ข้อ 5 ยากที่สุด …เพราะ คนส่วนใหญ่จะคิดว่า ต้องเงินเยอะถึงจะบริหารความเสี่ยงได้ดี แต่จริงๆ ไม่ใช่ เพราะ ถึงคุณมี 100 ล้าน แต่พอซื้อหุ้น ก็ลงมัน 100 ล้านในหุ้นตัวเดียว ขอรวยเร็วเลย …ใครคิดแบบนี้ ถึงมีพันล้าน ก็เจ๊งได้ 

ครับ!! อยากบอกว่า ‘โชคดี’ ในตลาดหุ้น มันเกิดจาก 5 ข้อนี้แหละ ทำความเข้าใจแล้วพัฒนาความโชคดีให้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆ 

พอวันนึง เราได้กำไรเยอะๆ จากหุ้น จะได้ พูดได้เต็มปากว่า ‘อ๋อ!! ที่ผมรวยหุ้น เพราะผมโชคดีครับ’

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 6 มิถุนายน พ.ศ. 2564

6 ข้อควรรู้ ในการคัดหุ้นขาขึ้นเข้าพอร์ต


 6 ข้อ ควรรู้ในการคัดหุ้นขาขึ้นเข้าพอร์ต

หลายคนอาจจะเจอปัญหาซื้อหุ้นดี แต่มันไม่ขึ้น ...ก็เลยเหมาว่า งั้นตลาดมันไม่สมเหตุสมผล ...จริงๆ มันไม่ใช่แบบนั้น 

ถ้าใครอยู่ในตลาดมานานถึงจุดนึงจะรู้เลยว่า ...ทุกหุ้นมันมี รอบ ของมัน คือ ทั้งหุ้นดี และ ไม่ดี มันก็มีทั้ง ขาขึ้น และ ขาลง ไม่ต่างกัน 

ผมขอสรุปเป็น ความเข้าใจดังนี้

1. ‘หุ้นทุกตัว ทั้งหุ้นพื้นฐานดี และ พื้นฐานไม่ดี ก็มีรอบของมัน’ ...แปลว่า หุ้นทุกตัว มันจะมีทั้งรอบขาขึ้น และ ขาลง ไม่ได้เกี่ยวว่ามันจะพื้นฐานดีหรือไม่ก็ตาม

ดังนั้น ไม่ต้องแปลกใจว่า ทำไมซื้อหุ้นดีแล้ว มันลง ...ก็แปลว่า เราไปซื้อตอนขาลง ของมัน ....ทางแก้ คือ ต้องอ่านรอบมันให้ขาดว่า มันอยู่ในรอบไหน

2. ‘หุ้นพื้นฐานดี เวลาลงอาจจะไม่ได้ลงลึกมาก แต่มันลงนาน’ ...นี่คือ สิ่งที่หลายคนไม่เข้าใจ ...พอหุ้นดี ราคาลงก็รีบซื้อ แล้วหวังว่า มันจะขึ้น แต่กลายเป็นว่า ...หุ้นพื้นฐานไม่ดี มันขึ้นก่อน ขึ้นแรงกว่า ...สุดท้ายก็ถอดใจ มันคงไม่ขึ้นแล้ว ....ขาย!! ...นั่นแหละ ก็ถึงเวลาการขึ้นครั้งใหม่ ที่รอมานาน (แต่ขายไปแล้ว ฮ่า ฮ่า)

สาเหตุก็เพราะหุ้นดี ในขาลง มันจะหนัก ‘หุ้นหนัก’ เพราะ รายย่อยจะเข้าไปรับเยอะ ..คนที่ขาดทุนก็ไม่ค่อยขาย ...แบบนี้ การจะขึ้นครั้งใหม่ มันมาแน่ แต่มันจะรอโคตรๆ ๆ นาน นั่นเอง

3. ‘หุ้นพื้นฐานไม่ดี เวลาลงมันลงลึกสุดใจ แต่พอรอบใหม่ มันเด้งขึ้นแรงเป็นเด้งๆ’ ...คนส่วนใหญ่ มัก Cut Loss ช้า ...ประมาณว่า รายใหญ่ กับ เจ้า เขาขายทิ้งไปตั้งแต่ด้านบนละ ...เราก็หวังว่า เดี๋ยวคงขึ้นน่า ...แต่มันกลับลงลึกขึ้น ลึกขึ้น ลงไปจน บางที ลง 80-90% ค่อยตั้งสติได้ว่า ...เฮ้ย!! เงินกรูหายไป 90% ...ไม่ไหวแล้วเว้ย!! ก็ขาย ....’ขายปั๊บ!! ...หุ้นก็เด้งขึ้นอย่างแรงงง ..1 เด้ง ...2 เด้ง ...3 เด้ง ....อะไรของมรึง !!!’ 

สาเหตุเพราะ พอรายย่อยขายหมดแล้ว มันก็กลายเป็น ‘หุ้นเบา’ ...หุ้นเบา มันก็จะไหลขึ้นไปเรื่อยๆ ....ขึ้นไปจนรายย่อย เข้ามาเยอะๆ จนมันหนักในที่สุด ...ก็จะเปลี่ยนจากขาขึ้น เป็นขาลง เมื่อมันหนัก เป็นวัฏจักรที่เป็นปกติของตลาดหุ้นนั่นเอง

4. ‘ขาขึ้น จะกินเวลานานกว่าขาลง’ ...ขึ้นบันไดเลื่อน ค่อยๆ เลื่อนขึ้นไปอย่างช้าๆ ใช้เวลาหลายปี นี่คือ ขาขึ้น ...ส่วนขาลง คือ ลิฟต์สลิงขาด ...ตู้ม!! ลงเร็ว 

ก็คือ กว่าจะรวย ใช้เวลาหลายปี แต่พอจะจน ไม่ถึงปี ...จนถึงก้นเหวเลย

5. ‘หุ้นเบา สามารถเป็นทั้งหุ้นเล็ก และ หุ้นใหญ่’ ...หลายคนคิดว่า หุ้นเบา ขึ้นเป็นเด้งๆ ต้องเป็นหุ้นเล็ก แต่จริงๆ ไม่ใช่ ..หุ้นใหญ่ก็เบาได้ 

หลักการดูว่าหุ้นเบา คือ 

หนึ่ง จุดนี้รายย่อยน่าจะขายไปแล้ว (คือ ลงเละ จนขาย กับ ขึ้นหนัก จนขายไปแล้ว)

สอง คนที่เหลือ(ในหุ้นเวลานี้) ไม่มีใครอยากขายแล้ว

สาม ราคายังไม่สูงพอที่รายใหญ่จะกำไรเพียงพอ (ไม่คุ้มว่างั้น ...กรูลงทุน ลากทั้งที ไม่เอาหลอก 5 บาท 10 บาท จริงไหม ?)

สี่ Volume ยังไม่มากพอที่รายใหญ่จะออก 

6. ‘ขาขึ้น มันขึ้นนานกว่าที่คนส่วนใหญ่คาดคิด ...ส่วนขาลง ก็ลึกเกินกว่าที่คนคาดคิดเสมอ’ ....ให้จำไว้ว่า ‘มันจะเกินกว่าคนส่วนใหญ่คาดคิดเสมอ’ 

คิด ชั้นเดียวเลยพลาด มันเลยต้องคิด 2 ชั้น !! (การเตะสับขาหลอก คือ ท่าหากินในตลาดหุ้น)

เราถึงเห็นคนซื้อที่คิดว่าถูกแล้ว แต่มันก็จะมีถูกกว่านี้

เราถึงเห็นคนที่ขายแพงแล้ว มันก็ยังขึ้นไปต่ออีก

ก็ลองเอา 6 ข้อนี้ไปศึกษา น่าจะช่วยให้การลงทุนคุณดีขึ้นครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Unicorn แบบไทยๆ มันเป็นยังไงกัน


 Unicorn แบบไทยๆ เป็นยังไง 

เราเพิ่งได้ข่าว Unicorn ตัวแรก ก็คือ FLASH ...หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะเป็น Unicorn มันเป็นยังไง ..เอ้า!! มาดูกัน

ก่อนหน้านี้ คนในวงการ Startup ก็มักบ่นกันว่า ‘ทำไมประเทศไทย ไม่มี Unicorn สักที ?’ ...ก็เอาตรงๆ นะ การเป็น Unicorn ก็คือ คุณต้องมี Market cap 1 พันล้านเหรียญ มันเท่า 3 หมื่นล้านบาท 

อย่าว่าแต่ Startup เลยครับ ...เอาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ยังไม่ง่ายเลย เพราะ ขนาดของธุรกิจที่จะมี Market Cap ระดับ 3 หมื่นล้าน ต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่พอสมควร 

มาดู กันว่า การจะรวยระดับนั้น เขาทำกันยังไง ?

1. สมมุติคุณอยากสร้างธุรกิจมูลค่า 1,000 ล้านบาท ...ต้องสร้างธุรกิจที่มียอดขายและกำไรเท่าไหร่ ? 

เริ่มจากมุมของ SME การจะมีพันล้าน คุณก็ต้องทำธุรกิจแล้วเหลือกำไร พันล้าน ตรงๆ ไม่มีแต้มต่อ ...สมมุติธุรกิจคุณกำไรปีละ 10 ล้าน ก็ต้องทำ 100 ปี ก็จะ พันล้าน (ใช่!! มันแทบจะ ไม่มีทางรวย พันล้าน ถ้าทำธุรกิจในโลกสมัยก่อน)

มายุคตลาดหุ้น ...มูลค่าธุรกิจ ขึ้นกับ ‘กำไร’ เท่านั้น ถ้ากำไรเติบโตเร็ว ‘ตัวคูณความรวย หรือ PE ก็จะยิ่งสูง’ (นี่แหละ เคล็ดลับ ความรวยจากตลาดหุ้น) 

สมมุติกำไรปีแรก 10 ล้าน แล้วธุรกิจโตเร็ว ปีที่สอง กำไร 20 ล้าน ...นักลงทุนจะให้ค่า PE สูง สมมุติให้ 30 เท่า ...นั่นแปลว่า กำไร 20 ล้าน คูณ PE 30 เท่า ...ก็เท่ากับว่า มูลค่าบริษัทเท่ากับ 20*30 = 600 ล้าน 

สมมุติปีที่ 3 กำไรโตขึ้นเป็น 50 ล้าน ...คราวนี้ Market Cap ก็จะเป็น 50*30 = 1,500 ล้านละ 

สมมุติปีที่ 4 กำไรโตขึ้นเป็น 100 ล้าน ...คราวนี้นักลงทุนอาจเห็นว่า ธุรกิจนี้โตเร็วจริงๆ ก็อาจยอมซื้อที่ PE สูงขึ้น สมมุติเป็น 60 เท่า ...ก็เท่ากับว่า ตอนนี้ Market Cap ก็จะกลายเป็น 100*60 = 6,000 ล้านบาท 

...ชักเหนื่อยละ !! ...นี่ขนาดธุรกิจกำไรโตโคตรเร็ว ผ่านมา 4 ปี มูลค่ามาถึง 6,000 ล้าน ...อยากไปต่อ ก็ขึ้นกับว่า ‘กำไร’ ยังเติบโตต่อหรือไม่ 

สมมุติปีที่ 5 กำไรโต กลายเป็น 200 ล้าน ...แต่นักลงทุนเริ่มรู้สึกว่า เริ่มกลัว เขาอาจจะไม่ยอมซื้อที่ PE 60 ...เขาอาจจะยอมซื้อที่ PE แค่ 30 เท่าพอ ...ดังนั้นปีนี้ Market Cap. ก็จะเป็น 200*30 = 6,000 ล้าน

อ้าวเฮ้ย!! ...ปีนี้กำไรโตขึ้นเท่าตัว แต่ทำไมมูลค่าหุ้นไม่โตขึ้น มัน 6,000 ล้าน เท่ากับปีก่อนเลย

‘นี่แหละ ตลาดหุ้น!!’ ...ทุกอย่างมันขึ้นกับว่า ‘คนซื้อ’ กับ ‘คนขาย’ เขามาเจอกันที่ราคาไหน นั่นเอง

ดังนั้น พื้นฐาน หรือกำไร สำคัญก็จริง แต่มันแค่เป็น ‘จุดอ้างอิง’ ...ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่า หุ้นดี คนต้องซื้อแพง 

2. เราจะเห็นว่า สิ่งที่เดายากสุด คือ ‘ความพอใจของนักลงทุน’ ...เขาอาจจะอยากซื้อแพง หรือ ถูก ...ทำให้ราคาหุ้นผันผวนในแบบที่เราเห็นนี่แหละ 

3. ในกรณีของ FLASH ...ธุรกิจยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้น ดังนั้น คนกำหนดค่า PE ก็คือ กลุ่มนักลงทุนที่อยากซื้อนั่นเอง ...ก็แปลว่า กลุ่มผู้ซื้อทั้ง OR , SCB และ คนอื่นๆ ต้องมาตกลงว่า จะซื้อที่ถูกหรือแพงแค่ไหน ?

4. ความซับซ้อนของ Startup ที่ต่างจากตลาดหุ้นคือ ...หลายๆ Startup ที่มูลค่าสูง ยังไม่มีกำไรเลย ...แปลว่า ถ้าในมุมตลาดหุ้น นักลงทุนในตลาดหุ้นจะไม่ให้ราคาเลย ...ดังนั้น Startup ส่วนใหญ่ ที่ยังไม่มีกำไร ก็เลยระดมทุนจากกลุ่มคนที่เข้าใจ Startup แทน

5. ‘ไม่มีกำไร แล้วเมื่อไหร่ จะได้ทุนคืน?’ ...เป็นคำถามที่ดี ...เราเชื่อว่า นักลงทุน ทุกคนหวังกำไร การที่เขากล้าลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีกำไรในวันนี้ เพราะ เขาต้องเชื่อว่า ในอนาคตธุรกิจนี้จะกำไรมหาศาลนั่นเอง 

ช่วงว่างของการตีมูลค่า ตรงนี้เอง ที่ให้ การลงทุนใน Startup ถึงเป็นแบบ ถ้าไม่เจ๊ง ก็รวยมหาศาลไปเลย

ก็เอาวิธีการมอง และ ตีราคา ธุรกิจ มาให้เรียนรู้กันแบบเบื้องต้น 

เรื่องนี้ ผมบอกเลยว่า ใครไปศึกษาต่อยอด มันคือ โอกาสของการเข้าใจ วิธีสร้างตัวแบบก้าวกระโดด ...เพราะ โลกยุคนี้ มันช้าเกินไป ถ้าคุณจะแค่ทำธุรกิจแล้วหวังแค่กำไร

คนที่รวยเร็ว แบบก้าวกระโดด เพราะ เขาเข้าใจ ‘ตัวคูณความรวย’ ...เอามาติดจรวดในการสร้างธุรกิจและลงทุนนั่นเองครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ