แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันศุกร์ที่ 4 มิถุนายน พ.ศ. 2564

Unicorn แบบไทยๆ มันเป็นยังไงกัน


 Unicorn แบบไทยๆ เป็นยังไง 

เราเพิ่งได้ข่าว Unicorn ตัวแรก ก็คือ FLASH ...หลายคนอาจจะสงสัยว่า แล้วจะเป็น Unicorn มันเป็นยังไง ..เอ้า!! มาดูกัน

ก่อนหน้านี้ คนในวงการ Startup ก็มักบ่นกันว่า ‘ทำไมประเทศไทย ไม่มี Unicorn สักที ?’ ...ก็เอาตรงๆ นะ การเป็น Unicorn ก็คือ คุณต้องมี Market cap 1 พันล้านเหรียญ มันเท่า 3 หมื่นล้านบาท 

อย่าว่าแต่ Startup เลยครับ ...เอาบริษัทที่จดทะเบียนในตลาดหุ้นไทย ยังไม่ง่ายเลย เพราะ ขนาดของธุรกิจที่จะมี Market Cap ระดับ 3 หมื่นล้าน ต้องเป็นธุรกิจขนาดใหญ่พอสมควร 

มาดู กันว่า การจะรวยระดับนั้น เขาทำกันยังไง ?

1. สมมุติคุณอยากสร้างธุรกิจมูลค่า 1,000 ล้านบาท ...ต้องสร้างธุรกิจที่มียอดขายและกำไรเท่าไหร่ ? 

เริ่มจากมุมของ SME การจะมีพันล้าน คุณก็ต้องทำธุรกิจแล้วเหลือกำไร พันล้าน ตรงๆ ไม่มีแต้มต่อ ...สมมุติธุรกิจคุณกำไรปีละ 10 ล้าน ก็ต้องทำ 100 ปี ก็จะ พันล้าน (ใช่!! มันแทบจะ ไม่มีทางรวย พันล้าน ถ้าทำธุรกิจในโลกสมัยก่อน)

มายุคตลาดหุ้น ...มูลค่าธุรกิจ ขึ้นกับ ‘กำไร’ เท่านั้น ถ้ากำไรเติบโตเร็ว ‘ตัวคูณความรวย หรือ PE ก็จะยิ่งสูง’ (นี่แหละ เคล็ดลับ ความรวยจากตลาดหุ้น) 

สมมุติกำไรปีแรก 10 ล้าน แล้วธุรกิจโตเร็ว ปีที่สอง กำไร 20 ล้าน ...นักลงทุนจะให้ค่า PE สูง สมมุติให้ 30 เท่า ...นั่นแปลว่า กำไร 20 ล้าน คูณ PE 30 เท่า ...ก็เท่ากับว่า มูลค่าบริษัทเท่ากับ 20*30 = 600 ล้าน 

สมมุติปีที่ 3 กำไรโตขึ้นเป็น 50 ล้าน ...คราวนี้ Market Cap ก็จะเป็น 50*30 = 1,500 ล้านละ 

สมมุติปีที่ 4 กำไรโตขึ้นเป็น 100 ล้าน ...คราวนี้นักลงทุนอาจเห็นว่า ธุรกิจนี้โตเร็วจริงๆ ก็อาจยอมซื้อที่ PE สูงขึ้น สมมุติเป็น 60 เท่า ...ก็เท่ากับว่า ตอนนี้ Market Cap ก็จะกลายเป็น 100*60 = 6,000 ล้านบาท 

...ชักเหนื่อยละ !! ...นี่ขนาดธุรกิจกำไรโตโคตรเร็ว ผ่านมา 4 ปี มูลค่ามาถึง 6,000 ล้าน ...อยากไปต่อ ก็ขึ้นกับว่า ‘กำไร’ ยังเติบโตต่อหรือไม่ 

สมมุติปีที่ 5 กำไรโต กลายเป็น 200 ล้าน ...แต่นักลงทุนเริ่มรู้สึกว่า เริ่มกลัว เขาอาจจะไม่ยอมซื้อที่ PE 60 ...เขาอาจจะยอมซื้อที่ PE แค่ 30 เท่าพอ ...ดังนั้นปีนี้ Market Cap. ก็จะเป็น 200*30 = 6,000 ล้าน

อ้าวเฮ้ย!! ...ปีนี้กำไรโตขึ้นเท่าตัว แต่ทำไมมูลค่าหุ้นไม่โตขึ้น มัน 6,000 ล้าน เท่ากับปีก่อนเลย

‘นี่แหละ ตลาดหุ้น!!’ ...ทุกอย่างมันขึ้นกับว่า ‘คนซื้อ’ กับ ‘คนขาย’ เขามาเจอกันที่ราคาไหน นั่นเอง

ดังนั้น พื้นฐาน หรือกำไร สำคัญก็จริง แต่มันแค่เป็น ‘จุดอ้างอิง’ ...ก็ไม่ได้มีอะไรการันตีว่า หุ้นดี คนต้องซื้อแพง 

2. เราจะเห็นว่า สิ่งที่เดายากสุด คือ ‘ความพอใจของนักลงทุน’ ...เขาอาจจะอยากซื้อแพง หรือ ถูก ...ทำให้ราคาหุ้นผันผวนในแบบที่เราเห็นนี่แหละ 

3. ในกรณีของ FLASH ...ธุรกิจยังไม่ได้เข้าตลาดหุ้น ดังนั้น คนกำหนดค่า PE ก็คือ กลุ่มนักลงทุนที่อยากซื้อนั่นเอง ...ก็แปลว่า กลุ่มผู้ซื้อทั้ง OR , SCB และ คนอื่นๆ ต้องมาตกลงว่า จะซื้อที่ถูกหรือแพงแค่ไหน ?

4. ความซับซ้อนของ Startup ที่ต่างจากตลาดหุ้นคือ ...หลายๆ Startup ที่มูลค่าสูง ยังไม่มีกำไรเลย ...แปลว่า ถ้าในมุมตลาดหุ้น นักลงทุนในตลาดหุ้นจะไม่ให้ราคาเลย ...ดังนั้น Startup ส่วนใหญ่ ที่ยังไม่มีกำไร ก็เลยระดมทุนจากกลุ่มคนที่เข้าใจ Startup แทน

5. ‘ไม่มีกำไร แล้วเมื่อไหร่ จะได้ทุนคืน?’ ...เป็นคำถามที่ดี ...เราเชื่อว่า นักลงทุน ทุกคนหวังกำไร การที่เขากล้าลงทุนในธุรกิจที่ไม่มีกำไรในวันนี้ เพราะ เขาต้องเชื่อว่า ในอนาคตธุรกิจนี้จะกำไรมหาศาลนั่นเอง 

ช่วงว่างของการตีมูลค่า ตรงนี้เอง ที่ให้ การลงทุนใน Startup ถึงเป็นแบบ ถ้าไม่เจ๊ง ก็รวยมหาศาลไปเลย

ก็เอาวิธีการมอง และ ตีราคา ธุรกิจ มาให้เรียนรู้กันแบบเบื้องต้น 

เรื่องนี้ ผมบอกเลยว่า ใครไปศึกษาต่อยอด มันคือ โอกาสของการเข้าใจ วิธีสร้างตัวแบบก้าวกระโดด ...เพราะ โลกยุคนี้ มันช้าเกินไป ถ้าคุณจะแค่ทำธุรกิจแล้วหวังแค่กำไร

คนที่รวยเร็ว แบบก้าวกระโดด เพราะ เขาเข้าใจ ‘ตัวคูณความรวย’ ...เอามาติดจรวดในการสร้างธุรกิจและลงทุนนั่นเองครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ไม่มีความคิดเห็น:

แสดงความคิดเห็น

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ