แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันอังคารที่ 2 กันยายน พ.ศ. 2557

เขียนจากใจ ..."คิดรอบบ้าน"


โหด และ อบอุ่น ที่สุดเท่าที่เคยจับปากกา !!


หนังสือ คิดรอบบ้าน เล่มนี้ ถือเป็น Project ที่กระตุกต่อมความคิดของผมมาก เพราะ มันเป็นการโคจรมาเจอกันระหว่างคนที่คิดแตกต่างกันอย่างสุดขั้ว คือ ผม กับ ดร.ต้อง
ถ้าจะนิยามความแตกต่างอย่างสุดขั้ว ก็ขอสรุปสั้นๆได้ว่า ผมเป็นตัวแทนของ “คนล่าเงิน” Money Solution ซึ่งแน่นอน เงินกลายเป็นปัจจัย 5 ที่สำคัญกว่า ปัจจัย 4 ที่เคยมีมา
..ใครก็ตามที่ไม่เข้าใจกลไกหาเงิน ชีวิตลำบากตั้งแต่เริ่มเดินทาง อันนี้การันตีได้
ส่วน ดร.ต้อง เป็นตัวแทนของ “นักแกะปมคน” People Solution ซึ่งเป็นเรื่องที่ต่อยอดจากเงิน เพราะเงินซื้อได้แค่ความสะดวกสบาย แต่เงินไม่สามารถซื้อความสุข
…เรื่องของการเข้าใจหัวใจของตัวเองนี่แหละ ที่เป็นเส้นทางสู่ความสุขที่เป็นปลายทางที่แท้จริงของชีวิตคนเรา

Project ของ หนังสือ The Filter เป็นการรวบรวม ถกความคิด และ ตีความทั้ง 5 ด้าน คือ เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา
โดยในเนื้อหาของหนังสือ “คิดรอบบ้าน” จะเป็นการพาท่านผู้อ่าน เข้ามาเดินทางใน “Filter บ้าน”
...ถ้าถามว่า คุณรู้ไหมว่า จริงๆ บ้าน ที่แท้จริง มันคืออะไร
ทำไมคนส่วนใหญ่ จึงเหมือนไม่มีบ้านจริงๆ ด้วยซ้ำ
คนส่วนใหญ่จะนิยามคำว่า บ้าน เป็นสถานที่ เป็นที่ที่เราโชว์ความสำเร็จ และ เป็นรากฐานของอาณาจักร ที่ทุกคนหมายมั่นปั้นมือ ที่เป็นผลงานชิ้นโบว์แดงของชีวิต คือ “ครอบครัวแสนสุขของฉัน”
ถามจริงๆ เถอะ คุณเคยเห็น บ้านแสนสุข ที่สุขจริงๆ รอบด้าน ทั้งความสำเร็จ และ ความสัมพันธ์ในครอบครัวที่ดีไปพร้อมๆกันไหม ..หรือ คุณเห็นสองอย่างนี้ เดินไปคนละทาง
ถูกต้อง !! มันวิ่งไปคนละทาง ระหว่าง ความสำเร็จในชีวิตการทำงาน และ ความสำเร็จในชีวิตครอบครัว
ปัญหาของคนส่วนใหญ่ ถ้าพูดกันตรงๆ คือ คนส่วนใหญ่แทบจะไม่มีใครกล้าที่จะถามตัวเองจริงๆ ว่า ความสุขของตัวเราคืออะไร เพราะ ไม่กล้าจะคิด บางทีคิดไปก็ทำไม่ได้ จึงเลิกคิดเพื่อตัวเองไปนานแล้ว แต่หารู้ไม่ว่า การเลิกคิดถึงตัวเอง ก็เสมือนการเลิกคิดถึงคนอื่น เพราะอะไรน่ะหรือ
ก็เพราะคนเราจะรักคนอื่นได้เท่าที่เรารักตัวเองเท่านั้นแหละ !!
สิ่งที่ท้าทายผมมาก คือ การค้นหาตัวเอง ..ผมใช้เวลาพอสมควรในการร่วมเขียนหนังสือ คิดรอบบ้าน กับ ดร.ต้อง ..ซึ่งสิ่งที่ผมได้มาด้วย กับการเขียนหนังสือ คือ การได้ร่วมเข้ามาค้นหาชีวิต และ เป้าหมายที่แท้จริงของตัวผม
คุณรู้ไหมว่า สิ่งที่ผมพบมันเป็นอะไรที่น่าตื่นเต้น เพราะ ผมพบว่า แท้จริงแล้ว ผมกำลังเดินห่างจากเส้นทางที่มีความสุข ..ผมทุ่มเวลาทั้งหมดให้ความสำเร็จ
ใช่ครับ!! ความท้าทายของผมคือ การ Re-Define และ เข้าใจตัวเองใหม่อีกครั้ง
 ..จนวันนี้ผมสามารถพูดได้เต็มปากว่า ทุกอย่างที่ผมทำ มันเป็น Passion ที่ผมทำแล้วรู้สึกดีกับตัวเอง
นี่แหละ “การทำงาน ที่ยิ่งทำและยิ่งรู้สึกดีกับตัวเอง” มันคือ นิยามของการเดินทางที่สนุก และ เราไม่เบื่อที่จะก้าวต่อไป
ในหนังสือ คิดรอบบ้าน เล่มนี้ ผมได้รวบรวมเคล็ดวิชา ตลอดเส้นทางการแกะรอยหยักชีวิตรอบๆ บ้าน เพื่อให้ท่านผู้อ่าน สามารถเอาเครื่องมือ ที่ผม และ ดร.ต้อง ร่วมกัน บรรจงเขียน และ ถ่ายทอด มุมมอง เรื่องยากๆ อย่าง บ้าน ซึ่งแทบจะไม่มีหนังสือเล่มไหนเคยพูดมาก่อน
คุณเชื่อหรือไม่ว่า ใครก็ตามที่เข้าใจ Concept ของ “บ้านไร้รั้ว” เขาผู้นั้น จะเข้าใจการเชื่อมต่อกับคนอื่น ...ซึ่งผลลัพธ์ของการเข้าใจ “บ้าน” ก็คือ การเข้าใจ “ตัวตนที่แท้จริงของตัวเอง และ คนอื่น”
เกริ่นมาซะยาว ขอสรุปสั้นๆอีกทีว่า หนังสือเล่มนี้ จะพาท่านไปค้นหาความหมายของ คำว่า “บ้าน” ที่อยู่เบื้องหลังของคนที่ประสบความสำเร็จ ทั้งหน้าบ้าน และ หลังบ้าน ว่าเขาคิดและปฏิบัติอย่างไร
ใครก็ตามที่สามารถ Master คำว่า “บ้าน” แล้วเปลี่ยนมันให้เป็น “บ้านไร้รั้ว” ...มันจะทำให้ชีวิตของคนๆนั้น สำเร็จแบบติดจรวจ แถมมีความสุขตลอดทางที่ก้าวเดิน
การมีครอบครัวที่มั่นคง ก็เท่ากับว่า เรามีฐานทัพที่แข็งแกร่ง ...และ นั่นแหละ คือ ฐานอาณาจักรทั้งหมดของชีวิตเรา
คุณลองศึกษา ประวัติของอาณาจักรที่ยิ่งใหญ่ อย่างโรมัน หรือ ราชวงศ์จีน ก็ล้วนล่มสลายจากด้านในทั้งสิ้น ...และ สิ่งที่เป็นความลับสุดขอบฟ้า ของความยิ่งใหญ่ และ การล่มสลาย ก็คือ คำว่า “บ้าน” นี่แหละ
ผมอยากให้คุณอ่านหนังสือเล่มนี้ดู มันอาจจะแรง และ ตรงๆ แต่เชื่อผมเถอะว่า
ผมและ ดร.ต้อง พยายามกลั่นทุกตัวอักษรจากความจริงใจของพวกเรา ในการผ่าตัดครอบครัว ...แล้วครอบครัวของคุณจะมีความสุขมากขึ้น เข้าใจกันมากขึ้น และ คุณเองก็จะประสบความความสำเร็จ ไปพร้อมๆ กับ รอยยิ้ม
ขอให้ลองเปิดใจ
โชคดีกับการเดินทางครั้งนี้ กับ คิดรอบบ้าน ครับ
โชคดีครับ ..
ภาววิทย์ กลิ่นประทุม
www.facebook.com/pawawitstockcomment

เปิดรับสมัครแล้ว The Stock Master ปี 3 ..ด่วน!!


เปิดรับสมัครแล้วครับ The Stock Master : Season 3 !!!!! (ด่วนนะครับ โอกาสแบบนี้หนึ่งปีมีครั้งเดียว ..รับจำกัดนะ)

"เรียนจริง ใช้เงินจริงๆ สอนกันจริงๆ : เปลี่ยนเม่า เป็นเหาฉลาม จริงๆ" 

(อ่านรายละเอียดและสมัครในลิงค์ด้านล่าง) ...คุณมีเวลา 19 วัน (1-19 กันยา นี้เท่านั้น) สำหรับการสมัครเข้าร่วมโครงการ !!! จัดด่วน 

มี 2 Leagues คือ 
1. The Stock Master อันนี้รับเพียง 60 ท่าน ...เรียนสด กับ เหล่า กูรู และ แขกรับเชิญคับคั่งตัวเป็นๆ ตลอด 2 เดือนเต็ม แบบสดๆ ที่ Bualuang Investment Station 
2. The Stock aster Troop อันนี้รับ 300 ท่าน เรียน Online และ เรียนตามสาขา หลักทรัพย์บัวหลวง (ทั้งในกรุงเทพ และ ต่างจังหวัด) ที่เข้าร่วมโครงการ 

รายละเอียดอ่านในลิงค์นี้ครับ !!!!! ด่วนมาก !!!!

www.bualuang.co.th/thestockmaster/

กลับมาอีกครั้งกับโครงการเทรดดิ้งเรียลลิตี้ การแข่งขันด้านการลงทุนที่มีทีมที่ปรึกษาคอยแนะนำการลงทุน พร้อมให้แนวทางเพื่อพัฒนาให้ผู้เข้าแข่งขันและผู้ติดตามได้เรียนรู้เทคนิคในการลงทุนและความเสี่ยงอย่างมีหลักการตลอดระยะเวลา 8 สัปดาห์ของการแข่งขัน เพื่อให้เกิดกระบวนการเรียนรู้ และสร้างประสบการณ์ในสนามการลงทุนจริง ตลอดจนสนับสนุนการลงทุนที่มีคุณภาพอย่างยั่งยืน

ปีนี้ พิเศษ! ด้วย การนำระบบติดตามผลการลงทุน Bualuang iTracker เพื่อใช้เป็นเครื่องมือในการพัฒนาการลงทุนแบบใช้ได้จริง และเป็นตัวชี้ขาดผู้ชนะที่แท้จริง ◉ ทันสมัยด้วยรูปแบบการโค้ชชิ่งระหว่างสัปดาห์แบบออนไลน์โดยทีมงานกูรูหลักทรัพย์บัวหลวงและทีม Online Investment Coach ◉ ขยายวงกว้างการเข้าร่วมโครงการสู่ลูกค้าผู้มีบัญชีกับหลักทรัพย์บัวหลวงก่อนเริ่มโครงการ ที่สามารถสมัครเข้าร่วมลีค The Stock Master Troop เพื่อเรียนรู้ทางออนไลน์และสามารถเข้าร่วม "ห้องเรียนการลงทุน" ประจำสัปดาห์และกับอีก 10 สาขาของหลักทรัพย์บัวหลวง

มาร่วมเป็นนักลงทุนออนไลน์คุณภาพและชิงรางวัลทริปเปิดประสบการณ์โลกการลงทุนสุดพิเศษที่ประเทศสิงคโปร์*

สมัครได้แล้ว! ตั้งแต่วันนี้ ถึงวันที่ 19 ก.ย. 57 ที่ www.bualuang.co.th/thestockmaster



วันอาทิตย์ที่ 31 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คิดรอบบ้าน ..จุดเชื่อมระหว่างโอกาสกับตัวเรา


"ที่ดินมีราคาเพราะมีถนนเชื่อมต่อ" ..ความคิดก็เหมือนกัน ถ้าคิดเฉยๆ ไร้จุดเชื่อมต่อ ก็เป็นแค่วิมานในอากาศ เหมือนที่ดินสวยงาม แต่เข้าถึงไม่ได้ ไม่มีราคาอยู่ดี 

-- ดังนั้น "จุดเชื่อมต่อ" คือ แกนสำคัญในการหมุนความคิด หมุน Idea ให้ต่อยอดเป็นเงินได้ 

...ผมขอเสนอ "Filter ความคิด" จุดเชื่อมต่อความคิดสู่ เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา 

...ทางเลือกของ การใช้ชีวิต ผ่านการมองโอกาสที่เฉียบคม เพื่อตัวเราที่ดีกว่า สุขกว่า รวยกว่า

 -- บางครั้งเราเก็บเกี่ยวประสบการณ์ทั้งดีและแย่ เพื่อรอโอกาสเพียงแค่ครั้งเดียว แต่เรากลับไม่รู้ด้วยซ้ำว่าบางครั้งโอกาสที่ว่านั้น มันมาอยู่ตรงหน้าเราแล้ว จึงปล่อยผ่าน แล้วก็มาบ่นว่า เราโชคไม่ดี 

...ลองศึกษา Filter ชีวิตซิ 

: #คิดรอบบ้าน : หนังสือ คิดรอบบ้าน (Filter บ้าน) 

..งานเขียน แตกต่าง ที่หลายๆคน อาจจะรอสิ่งนี้มานาน แต่ไม่เคยมีใครพูดถึง 

"คนที่ประสบความสำเร็จยาวนาน ส่วนเล็กอาจจะเป็นโชค แต่ส่วนหลักๆ มันเกิดจากการวางแผน และเข้าใจโอกาสชีวิตที่เหมาะกับตัวเราเองต่างหากล่ะ"

 .."คิดรอบบ้าน" จัดไปท้าทายความเชื่อเดิมๆดู !!

วันเสาร์ที่ 30 สิงหาคม พ.ศ. 2557

หนังสือ คิดรอบบ้าน

    หนังสือ "คิดรอบบ้าน" เล่มนี้ เกิดขึ้นจากส่วนผสมที่ลงตัวระหว่าง นักคิดรอบด้านที่เจนจัดและตรงไปตรงมา อย่าง "คุณแพ้ท-ภาววิทย์ กลิ่นประทุม" ซึ่งเป็นคนรุ่นใหม่ไฟแรงที่น่าจับตามองในแวดวงธุรกิจและการลงทุน และ ผู้เชี่ยวชาญด้านศักยภาพมนุษย์ อย่าง "ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ" หรือที่รู้จักกันในนาม "ดร.ต้อง The Filter" ซึ่งทั้งสองท่านได้ร่วมกันกระเทาะเปลือกปัญหาของครอบครัวและสังคมไทยได้อย่างน่าสนใจ พร้อมทั้งได้ชี้แนะยุทธวิธีในการดำเนินชีวิตอย่างมี "ความสุขแบบรอบด้าน" ซึ่งทำได้จริงในชีวิตประจำวัน 

    ผู้เขียนทั้งสองท่านได้มุ่งเน้นแนะนำตั้งแต่การ "ตั้งธง" กำหนดเป้าหมายของชีวิตอย่างถูกจุด และชี้ให้เห็นว่าจุดเริ่มต้นของความสำเร็จ จริงๆ แล้วนั้นอยู่ที่สิ่งไหน ไม่เพียงเท่านั้น ยังชี้แจงแถลงไขให้เราตระหนักถึงความเข้าใจผิดๆ ที่กลายเป็นรูปแบบของสังคมไทยในยุคปัจจุบัน ซึ่งทั้งหมดนี้ก็เพื่อช่วยให้เราทุกคนได้สร้างรากฐานที่มั่นคงแข็งแกร่ง และสามารถปักธงชัยได้ถูกตำแหน่ง   ทำให้ทุกก้าวย่างที่เดินนั้นไม่หลงทาง และสามารถคว้าธงชัยมาครองได้อย่างไม่ยากเย็น

ตัวอย่าง 

- ความเดิม : เกริ่นจากหนังสือ "แกะรอยหยักชีวิต : Filter ความคิด"
- ฟิลเตอร์บ้าน
- หน้าบ้าน : "ประเทศไทย" บ้านหลังใหญ่ของเรา
- หลังบ้าน : ครอบครัวของเรา
- The Fabric of Thai Society
- 14 ความปวดกบาล เสริมความเข้าใจ พ่อ-แม่-ลูก ทั้ง People Solutions และ Money Solutions

...


วันพุธที่ 13 สิงหาคม พ.ศ. 2557

คิดแบบภาววิทย์

"คิดแบบภาววิทย์" ..คิดแต่เรื่องรวย ..เออ น่าคิด แล้วทำไมคนส่วนใหญ่ก็คิดจะรวย แต่ไม่รวย!!


-- เพราะไม่คิดมันก็ไม่รวยแน่นอน


 ..คุณคิดว่าคิดรวยคือความโลภนั่นผิดโคตรๆ 


..คนคิดโลภอยากรวยเร็ว ไม่เห็นรวยซักคน คิดโกงคนอื่นสุดท้ายติดคุก คิดถูกหวย ไม่เห็นเคยถูก หรือ ถูกรางวัลที่หนึ่ง สุดท้ายก็กลับมาจน


 ..เคยสังเกตไหมว่าคนที่คิดแล้วรวย ไม่ใช่การคิดเอาเปรียบคนอื่น แต่เป็นการคิดสร้างประโยชน์ให้คนอื่นต่างหาก 


...ใช่!! "คิดอยากรวย" ไม่มีทางรวย เพราะมันคิดแต่พึ่งโชคชะตา รอว่าเมื่อไหร่ฉันจะได้จะมีแบบคนรวยบ้าง 


...การ "คิดรวย" ที่ถูกต้องคือ "การให้ การสร้าง การทำประโยชน์" 


-- คนที่คิดที่จะทำให้คนอื่นสมหวังและได้ในสิ่งที่เขาต้องการ คนนั้นคือคนรวยแน่นอน เช่น เจ้าของร้านอาหารคิดทำให้คนอิ่มและมีความสุข ยิ่งทำได้มากยิ่งประสบความสำเร็จมาก , เจ้าของรถอยากให้คนถึงจุดหมายเร็วและปลอดภัยที่สุด , เจ้าของหนังสืออยากให้คนอ่านเปลี่ยนความคิดแล้วประสบความสำเร็จมากที่สุด , เจ้าของบริษัทละครอยากให้คนดูสนุกที่สุด , เจ้าของโรงแรมอยากให้คนพักได้ประสบการณ์ที่ดีที่สุด


-- คนทั่วไป อยากให้เจ้านายเขาคนเดียวพอใจกับงานที่รับมา การทำให้คนเดียวพอใจ มีความสุข มันน้อยไป มันสร้างประโยชน์น้อยไป มันเลยยากที่จะรวยไง 


...คิดให้กว้างกว่านั้น สร้างประโยชน์ให้คนมากกว่านั้น แล้วความรวยจะเข้ามาเอง ...ยิ่งให้ ยิ่งได้ นั่นแหละ เคล็ดลับ คิดแบบภาววิทย์ !!


 #คิดแบบภาววิทย์ (หนังสือ คิดแบบภาววิทย์ ตามร้านหนังสือชั้นนำวันนี้จ๊าา..555 คิดไป ขำไป รวยไป ก็สนุกท้าทายดี)


วันอังคารที่ 11 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เคล็ดลับเรื่องการมองเวลาของชาวยิว ที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะ !!


"เรื่องของการมองเวลาเป็นเรื่องที่น่าอัศจรรย์ ..คุณว่าประเทศอย่างอิสราเอล หรือคนยิว เขามีเคล็ดลับอย่างไรถึงเก่งและครองโลกเศรษฐกิจและความร่ำรวยเกือบทั้งหมด ของโลก อย่าแปลกใจนะถ้าผมจะบอกว่าอัจฉริยะคนล่าสุดของโลกธุรกิจ อย่าง Mark Zuckerberg เศรษฐีระดับโลกก่อนอายุ 30 ผู้ก่อตั้ง Facebook เขาก็คือ ชาวยิว !! ...หนึ่งในปัจจัยความสำเร็จของชาวยิวที่ทำให้เขาเป็นอัจฉริยะในทุกด้านของ โลก นอกจากสมองที่ฉลาดแล้ว ก็คือเรื่องของการมองเวลา ...คนทั่วไปจะมองเวลาเป็นสากล คือ มองตามเข็มนาฬิกา ในแนวคิดที่ว่า 'เวลาไม่เคยคอยใคร(จริงหรือ?)'..ยิ่งปัจจุบันชีวิตที่รีบเร่ง งานที่เน้นปริมาณ แต่ไม่เน้นคุณภาพ สร้างให้คนส่วนใหญ่กลายเป็นเครื่องจักรที่ทำงานแข่งกับเวลาที่ไม่เคยคอยใคร ..แม้แต่ช่วงพักเที่ยงเดี๋ยวนี้แทบไม่มีเวลานั่งกิน -- หลายคนทำงานไปเรื่อยๆ ก้าวหน้าขึ้น มีหน้าที่การงานที่สูงขึ้น แต่พบว่าเครียดขึ้นเรื่อยๆ ..เดี๋ยวนี้นิยามของหัวหน้าก็คือ ลูกน้องที่พร้อมจะแบกภาระมากกว่าลูกน้องหลายๆคนรวมกัน นั่นแหละนิยามใหม่ของหัวหน้า เงินเยอะขึ้น แต่เวลาน้อยลง เครียดเพิ่ม และรู้สึกชีวิตไร้ค่ามากขึ้นเรื่อยๆ -- คนเหล่านี้ Work = Pain มันทุกข์ มันเครียด ..ดังนั้นความฝันสูงสุดคือ เวลาที่จะพัก เวลาที่จะหยุด ...แต่ยิ่งเขาก้าวหน้าทางอาชีพมากขึ้นแค่ไหน เขาก็ยิ่งห่างไกลความฝันสูงสุดของเขาไปทุกที ซึ่งก็คือ เวลาให้ตัวเอง และเวลาให้คนที่เขารัก ...ว้าว!! ต้องให้ชื่อนิยายชีวิตเรื่องนี้ว่า ชายผู้เดินออกห่างความฝันวันละก้าว(บ้าจริง!!) ...การตั้งธงเรื่องเวลา การนิยามความหมายของเวลาจึงสำคัญต่อความสำเร็จ ยกตัวอย่าง การมองเวลาของคนยิว จะมองเป็น 'วาระ' เป็น Term ซึ่งการแบ่งเวลาเป็น 'วาระ' จะทำให้สมองเรา Focus การเรียนรู้เป็นเรื่องๆ เรียกว่า Streamline ในเป้าหมายในสิ่งที่ทำ ตัดสิ่งไร้สาระในช่วงนั้นๆออกไป ส่งผลให้การเรียนรู้แต่ละ 'วาระ' ของชีวิตได้เติบโตทางความคิดอย่างก้าวกระโดด ..ลองไปค้นหาคำตอบการตั้งธงของเวลา และอีก 4 ธง -- เงิน งาน บ้าน ความรัก ได้จาก หนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ที่ร้านหนังสือชั้นนำทั่วประเทศแล้ววันนี้ ..แล้วเราจะตั้งธงชีวิตรอบด้าน เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา ได้ถูกต้องสักที !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือก

วันศุกร์ที่ 7 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ปักธงชีวิตให้ถูกก่อนเดินทาง !!


"คนส่วนมากคิดว่า การคิดแทนคนอื่นเป็นการแสดงความมีน้ำใจ เอื้อเฟ้อเผื่อแผ่ และ รู้สึกว่าตัวเองนั้นเป็นคนดียิ่งนัก ..จริงหรือ ? -- ถ้ามีใครสักคนมาคิดแทนคุณว่า คุณน่าจะเป็นอย่างนั้น อย่างนี้ คุณมันน่าสงสารอย่างนั่นอย่างนี้ คุณมันช่างอ่อนแอ ยากจน คุณมันช่างหมดโอกาส อยากที่จะโยนเศษเงิน และ เศษโอกาสให้คุณจัง ..เอางี้ไหมคุณมาทำแบบนี้ซิ คุณจะได้มีความสุข -- ถ้ามีคนช่วยคิดให้คุณแล้วช่วยวางแผนให้คุณเรียบร้อยว่า อยากให้เป็นอย่างที่เขาคิดว่าคุณน่าจะเป็น ถามจริงๆเถอะ คุณจะรู้สึกอย่างไร ? ...บอกตรงๆ นะ ความสุขของคนแต่ละคนมันไม่เหมือนกัน ขึ้นกับว่าคนๆนั้นให้ค่ากับความสุขว่ามันคืออะไร บางคนอาจเป็นเงิน บางคนอาจเป็นงานที่ได้ทำ บางคนอาจเป็นประโยชน์ที่สร้างให้คนอื่น บางคนอาจเป็นการได้อยู่กับคนที่รัก ...ใช่ครับ!! การคิดแทนคนอื่นบางครั้งมันไม่ใช่การเอื้อเฟ้อ หรือเห็นแก่คนอื่น คุณแค่เอาตัวเองเป็นที่ตั้งแล้วมองคนอื่นต่างหาก ....ถ้าคุณอยากทำเพื่อคนอื่นอย่างจริงใจ อย่าคิดแทนคนอื่น แต่คิดช่วยคนอื่นให้เขาได้เดินไปสู่เส้นทางแห่งความสุขที่เขาตั้งไว้ต่างหาก" ...ความสุขของแต่ละคนอยู่ที่ใจ ช่วยให้เขาคิดและค่อยๆ เติบโตด้วยตัวของเขาเอง นั้นแหละดีที่สุด -- พบคำตอบการตั้งธงชีวิต นิยามความสุขใน 5 ด้านของชีวิต เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา ได้ในหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ได้แล้ววันนี้ที่ร้าน SE-ED และแผงหนังสือชั้นนำทั่วประเทศ ..ปักธงชีวิตให้ถูก แล้วเราจะรวยขึ้น สุขขึ้น และเข้าใจตัวเองมากขึ้น -- จัดไปครับ !! (อ่านจบแล้วก็ส่งต่อไป Pay it Forward..ยุคนี้ ยิ่งให้ เรายิ่งได้ครับ ..ฟันธง!!)
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือก

วันพฤหัสบดีที่ 6 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

ใครตั้งธงเรื่องเงินผิด จะเครียดแล้วหาเงินได้น้อย ..ตั้งธงถูก ชิว แล้ว รวยเร็ว ..555


"ในโลกนี้มนุษย์หาเงินมี 2 ประเภท หนึ่ง พวกเป็นทาสเงิน และ สอง พวกใช้เงินเป็นทาส ..รู้ไหมคนสองแบบนี้ต่างกันแค่เรื่องการตั้งเป้าหมาย หรือ การตั้งธงเรื่องเงิน ...ใครก็ตามเอาเงินเป็นเป้าหมาย เขาก็เหมือนเอาเงินใส่พานขึ้นหิ้ง แล้วก้มหน้าก้มตา ทำงานหนักไม่ยอมใช้ ตกเป็นทาสทำทุกอย่างเพื่อเงิน ไม่ว่าจะหาได้มากเท่าไหร่ ก็ไม่คิดว่าพอ ยิ่งหาได้ก็ยิ่งทุ่มเวลาแลกเงินไปเรื่อยๆ สุดท้ายไม่มีเวลา ครอบครัวแตกแยก !! ..ซึ่งคนกลุ่มเป็นทาสเงินอีกแบบคือ ใช้เงินสนองความไม่มี เข้าข่าย 'รสนิยมสูง รายได้ต่ำ' -- คนแบบนี้หาเงินได้มากเท่าไหร่ก็ใช้ไม่พอ เพราะขาดความมั่นใจในตัวเอง ..ความมั่นใจขึ้นอยู่กับวัตถุที่ครอบครอง คนเหล่านี้ยืม Brandname มาเป็นตัวตน เพราะคิดว่าคุณค่าของตัวเองขึ้นกับของหรูที่ตัวเองสวมใส่และใช้ -- คนทั้ง 2 แบบนี้บูชาเงินทั้งคู่แต่สุดโต่งคนละด้าน ..ใครอยู่ด้วยก็เครียด เพราะตั้งธงเงิน ให้มันเหนือเรา ..วิธีแก้คือ การตั้งธงเรื่องเงินใหม่ ให้มองเงินเป็น Tool เป็นแค่เครื่องมือที่จะพาเราสู่เป้าหมายจริงๆที่ไม่ใช่เงิน ..พบคำตอบของการตั้งธงเรื่องเงินให้ถูกต้อง จากหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ได้ที่ร้านหนังสือชั้นนำวันนี้ !! ...แล้วคุณจะเข้าใจการตั้งธงเรื่องเงินให้ถูกต้อง เพื่อชีวิตสูงกว่าเงิน แล้วเราจะหาเงินได้มากขึ้น แถมมีความสุขมากขึ้น -- "เงินน่ะมันเป็น ธง หลอก เพราะที่เราหาเงินก็เพื่อเอาเงินมาซื้อบางอย่างเท่านั้นแหละ ...ต้องเข้าใจตัวเองว่า เป้าหมายจริงๆของเราคืออะไร!!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

อย่าตั้ง "ธง" ชีวิตสร้างบ้านให้แต่คนใช้อยู่ ..มันเครียดและเหนื่อย !!

"ค่านิยมเรื่องบ้านของคนสมัยนี้คือ ฉันจะสร้างบ้านในฝันต้องอยู่ดีกินดี มีเครื่องอำนวยความสะดวกครบ และเป็นบ้านที่บ่งบอกฐานะความเป็นผู้ดีของครอบครัวเรา ...ถามจริงๆ เถอะ เหนื่อยไหม กับการทำงานหาเงินมากมาย ซื้อบ้านหลังใหญ่ ที่ไม่มีใครอยู่นอกจากคนใช้ ..เหมือนสร้างคฤหาสน์ให้คนใช้พม่าอยู่ ..อาณาจักรที่ทำให้พ่อหาเงิน จนไม่มีเวลาให้ใคร -- 'ทำไมบ้านหลังนี้ ไม่มีใครเห็นใจพ่อเลย ..หาเงินให้ขนาดนี้ ประเคนให้ขนาดนี้ ยังไม่พอใจอีกเหรอ ? ..คงมีพริตตี้เท่านั้นแหละที่เห็นใจฉัน -- ว่าแล้วพ่อก็สร้างอาณาจักรคนรักนอกบ้าน ทิ้งเพียงเงินให้ภรรยา และ ลูก' ..ยิ่งเวลาผ่านไปบ้านหลังใหญ่ รถหรู และทรัพย์สมบัติที่พ่อหามา มันไม่ต่างอะไรกับสิ่งเย้ยหยันให้ลูกและภรรยา ..ไม่แปลกสำหรับลูกที่ถูกเลี้ยงด้วยเงิน จะใช้เงินอย่างไร้ค่า ใช้เพื่อให้พ่อรู้ว่า เงินที่พ่อหามามันไร้ค่าสำหรับผม (คุณคิดว่าลูกต้องการเงินมากขนาดนั้นจริงๆหรือ?.. หรือว่าจริงๆ ครอบครัวต้องการเวลาและความรักจากคุณด้วย ? ...ชีวิตคุณมันมีค่าแค่เครื่องผลิตเงินเท่านั้นเองหรือ ? ..คุณบอกทำเพื่อครอบครัว หาเงินเพื่อลูก แต่จริงๆ คุณกำลังสร้างบาดแผลอะไรบางอย่างให้ครอบครัวที่สุดท้ายมันกลับมาแทงใจคุณเองรึเปล่า ?) ..ทางแก้คือ ตั้งธงใหม่ !!! ..ใช่การตั้งโจทย์ตั้งแต่เป้าของคำว่า 'บ้าน' ให้ถูก ..ถ้าตั้งธงเรื่องบ้านผิด ก็พังทั้งครอบครัว -- พบคำตอบการตั้งธงเรื่องบ้าน ที่ส่งผลต่อการเงินให้คุณรวยขึ้นแบบก้าวกระโดดและครอบครัวสุขขึ้นอีกได้ใน หนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ที่ร้าน SE-ED ทุกสาขาแล้ววันนี้ !!..'เอาหนังสือเล่มนี้ไป เปลี่ยนมุมมองชีวิตรอบด้านของคุณ จาก เงิน งาน บ้าน ความรัก และ เวลา ..มันเชื่อมกัน ปักธงชีวิตให้ถูก' -- จัดไปครับ !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน



ผมเก่งสุด แต่ทำไมทำงานไม่รุ่งสักที ??

"วันนี้หลายคนบอกฉันเก่งสุดๆ เพราะตอบได้ทุกคำถาม ประดุจอับดุล ถามมา-ตอบไป ..แต่จริงๆ มันไม่ได้เป็นเช่นนั้น -- คนเก่งไม่ใช่มัวแต่ตอบคำถาม ..คนเก่งต้องหัดตั้งโจทย์ -- คิดดีๆนะ ลูกศิษย์กับอาจารย์ ..อาจารย์เก่งกว่าก็เลยเป็นคนตั้งโจทย์ ให้ลูกศิษย์เป็นคนตอบ ..เช่น สมมุติว่าคุณคือผู้บริหารแมคโดนัลด์ หากต้องการยอดขายให้สูงขึ้น คุณจะตั้งโจทย์ยังไง ? .. (ใช่!! คนที่ตั้งโจทย์ ก็คือ หัวหน้า เงินเดือนสูง ..คนตอบโจทย์ก็คือลูกน้อง ..ฮึม!! ถ้าลูกน้องอยากเป็นหัวหน้าอยากเป็นผู้บริหาร ก็ต้องฝึกสมองเป็นคนตั้งโจทย์บ้าง เพราะถ้ามัวแต่ตอบโจทย์อย่างเดียว ไม่ว่าคุณจะตอบโจทย์เก่งแค่ไหน คุณก็มี Skill ที่เป็นสุดยอดลูกน้องเท่านั้นเอง) ..กลับมาที่แมคโดนัลด์ ถ้าหัวหน้าตั้งโจทย์ให้ลูกน้องไปคิดว่า จะทำให้บิ๊กแมคอร่อยขึ้นอย่างไร ..ลูกน้องทุกคนก็จะวิ่งไปตอบโจทย์ว่า ทำอย่างไรให้บิ๊กแม๊คอร่อยขึ้น ..ทั้งที่จริงๆแล้ว การทำให้บิ๊กแม๊คอร่อยขึ้นอาจจะไม่ได้ทำให้เพิ่มยอดขาย เพราะลูกค้าเดิมทีอาจไม่ได้ซื้อบิ๊กแมคเพราะความอร่อย แต่ลูกค้าอาจซื้ออาหารจากแม๊คโดนัลด์เพราะความสะดวก และความเร็ว ดังนั้น การไปพยายามทำให้เบอร์เกอร์อร่อยอาจไม่ได้ตรงจุดที่ลูกค้าต้องการ ยอดขายเลยอาจจะไม่เพิ่ม ยิงปืนไม่ตรงเป้า !! ..ดังนั้น เหมือนตั้งโจทย์ผิด ..ใช่!! การตั้งโจทย์ หรือการตั้งธง สู่เป้าหมายเป็นเรื่องที่สำคัญมาก ..ใครก็ตามที่อยากเป็นหัวหน้าหรือผู้บริหารก็ต้องฝึกการตั้งธงสู่เป้าหมายให้เก่ง -- Skill การตั้งธง ตั้งโจทย์ ตั้งคำถาม ก็คือ Skill ของคนที่ต้องการเป็นผู้นำนั่นเองครับ" ...ส่วนการตั้งธงในชีวิต(คือ การเลือกที่จะเป็น'ผู้นำ'ในชีวิตของเราเอง) มี 5 เรื่อง ที่จะกำหนดชีวิตของเราว่าอนาคต เราจะรวยไหม ..ทำงานหนักแค่ไหน มีความสุขหรือไม่ ..ครอบครัวดีไหม ต้องฝึกตั้งธงชีวิต 5 เรื่องให้ถูกต้องคือ เงิน , งาน , บ้าน , ความรัก และ เวลา ...พบคำตอบการตั้งธงชีวิตได้ในหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ได้ตามร้านหนังสือชั้นนำแล้ววันนี้ -- จัดไป ตั้งธง !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน


วันพุธที่ 5 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

แรงบันดาลใจจากการทำหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ...มันเริ่มที่ปัญหาของผมนี่แหละ ?


หลายคนอาจจะสงสัยว่า ผมเขียนหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิดขึ้นมาทำไม ...มันเหมือนไม่ใช่แนวภาววิทย์เลย ...แนวภาววิทย์ต้อง Money Machine มนุษย์หน้าเงินที่มองเงินเป็นพระเจ้าแล้วทำทุกอย่างเพื่อเงินถึงจะตรงแนว ...ใช่!! สารภาพเลยว่า ผมเริ่มรู้สึกเครียดกับสิ่งที่ทำ งานที่ทำ หงุดหงิดคนรอบๆข้าง -- "ผมเป็นบ้าอะไรนี่ ..ทำงานหนักมาก แต่มันเครียดขึ้นเรื่อยๆ มีปัญหากับทุกๆคน ทะเลาะไปหมด ...ทำไมทุกคนมันแย่จังวะ ?"

จนในที่สุดพี่ที่สนิทคนนึง ก็แนะนำให้ผมไปพบกับ ดร.ต้อง (ดร.พงษ์รพี บูรณสมภพ) ซึ่งเป็นผู้เชี่ยวชาญ เรื่องของ Life Enrichment ..ตอนแรกผมก็บอกว่า "ไร้สาระน่า ..ผมไม่เห็นต้องไปคุยกับใครเลย ชีวิตผม ผมเข้าใจที่สุด" ...แต่ในที่สุดผมก็ไปเจอ ดร.ต้อง ...ผมท้าทาย ดร.ต้องว่า "พี่ต้อง ..ไหนพี่บอกผมซิว่า ผมต้องการอะไร ผมมีชีวิตไปเพื่ออะไร อะไรคือ แรงจูงใจที่ทำให้ชีวิตผมมีความสุข ...คือ ผมอยากจะรู้ว่า อะไร Drive ผมให้ทำงาน ...แล้วความเครียดผมเกิดจากอะไร ...อะไรที่จะเติมเต็มความสุขในชีวิตผม ...อะไรที่จะเปลี่ยนคนรอบข้างให้ได้ดั่งใจ ?????" ...ตูม!! ชัดเข้าไป ท้าทาย ดร.ต้อง ..."ไหนลองดิ มั่วอะเปล่า (ผมคิดในใจ)"

หลังจากนั้นเราก็เริ่มคุยกัน โดยดร.ต้องให้ผมเล่าชีวิตให้เขาฟัง ...ผ่านไป 1 ชั่วโมง ดร.ต้อง เริ่มเขียนชีวิตผมออกมาเป็นแผนภูมิ ...แล้วเริ่มค้นหาแรงจูงใจในเรื่องต่างๆ ของชีวิต ...(คอร์สนี้เราคุยกัน 10 วัน วันละ 2 ชั่วโมงรวมเป็น 20 ชั่วโมง) ...ดร.ต้องเริ่ม จุดประเด็นอย่างนึงออกมาในเรื่องของ Money Machine .."นิยามชีวิตคุณแพ้ท ก็คือ กระสวยที่พุ่งไปเรื่อยๆ แต่สุดท้ายกระสวยนี้จะไหม้ไปในที่สุด ...คุณแพ้ทต้องการแค่ประสบความสำเร็จ ติดอยู่กับ Law of Success ที่ต้องการจะสำเร็จมากขึ้นเรื่อยๆ คำถามที่อยู่ในหัวตลอดคือ What's Next ? ..วันนี้สำเร็จแล้วอะไรต่อ ...คนเหล่านี้ไม่แปลกที่ไม่ต้องดูหมอก็รู้ว่ารวยแน่ ... แต่!! โคตรเครียด และ สุดท้ายจะเครียดจนไม่มีใคร เหมือนกระสวยน่ะ ชีวิตพุ่ง แต่ทำลายตัวเองในที่สุด ...คุณจะตายคนเดียว เพราะไม่มีใครที่รักคุณจริงๆเลย เพราะคุณไม่เคยรักใคร แม้กระทั่งตัวเอง ...ใช่หรือเปล่าคุณแพ้ท?" ...เจสสสส แรงสัดๆ!!!

ผมอึ้งอยู่พอสมควร "ก็ใช่นะ ...วันนี้ก็เครียดนะ คนรอบข้างก็ไม่ค่อยเข้าใจว่า เราจะทำงานหนักไปขนาดนี้ทำไม ?" ...ดร.ต้อง ก็บอกว่า คุณแพ้ทเก่งมากในเรื่องของ Law Of Success และ ก็ Law of Attraction คือ การบริหารเสน่ห์ ...และสังเกตไหมว่า คนที่เก่งเรื่อง Law of Attraction มีเสน่ห์มีคนรักทั้งบ้านทั้งเมืองแบบดารา หรือ คนที่มีชื่อเสียงส่วนใหญ่ จะมีชีวิตครอบครัวที่พัง ..ตัวเองไปทางนึง ภรรยาไปอีกทาง ลูกก็ขาดความอบอุ่น แล้วไปอีกทาง ...ยิ่งสำเร็จ ยิ่งมีเสน่ห์ แต่ยิ่งเหงา และ อ้างว้างขึ้นเรื่อยๆ ...สุดท้าย เงินจะครอบงำคุณ เพราะ คุณคิดว่า ทุกสิ่งทุกอย่างมันไม่มีค่า แม้แต่หัวใจคุณเอง !!

"เฮ้ย!! แรงว่ะ ..ดร.ต้องหมายความว่า คนที่เก่งเรื่องของการบริหารความสำเร็จ และ บริหารเสน่ห์ จะมีปัญหาเรื่องความสัมพันธ์ แล้วอะไรล่ะที่ต้องแก้ไข"

ดร.ต้องเล่าให้ฟังอีกว่า สังคมไทย ขาด Law of Affection คือ คนเอเชีย เวลาเลี้ยงลูก จะเลี้ยงแบบโหดน่ะ โดยเฉพาะคนจีน ...เรื่องของการกอดลูก แทบจะไม่เคยมี ..มีแต่ไม้เรียว ผิดตี , ลงโทษ ...ซึ่งผลก็คือ เด็กเสพย์ติดการลงโทษ เราจะเรียนรู้ว่า พ่อแม่รักจะต้องตี ...ดังนั้น พฤติกรรมบางอย่างจะส่งผลให้คนเหล่านี้ ชอบการลงโทษ ..เออ เดี๋ยวนะ "ไม่ใช่แนว ฟาดแซ่ เอาเทียนลนนะ ..ฮ่า ฮ่า"

เรื่องเสพย์ติดการลงโทษ มันเป็นผลถึง การเลือกคนที่คบ เลือกงานที่ทำ เลือกคู่ชีวิต ..พูดง่ายๆ ว่า Mindset ของเราจะเลือกสิ่งที่เข้ามากระตุ้นตัวเรา ให้มองแต่เพียงเรื่องของ ความสำเร็จและเงิน ..ซึ่งไม่ได้ผิดนะ เพราะคนเหล่านี้ประสบความสำเร็จสูง เนื่องจากแรง Drive เหมือนกระสวยอวกาศ ..แต่ปัญหาคือ กลับมาที่ What' Next ? คำถามนี้ยาก เพราะคิดดีๆ ใครจะสร้างผลงานได้ดีขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีลด ..มันเครียดนะ ถ้าเราตั้งว่า เราต้องทำให้ดีขึ้น พอดีขึ้นแล้ว ก็ดีขึ้นไปอีก ...ถ้ามองอีกมุม คือ ความสุขมันกลายเป็นการไต่เต้าความสำเร็จเพียงอย่างเดียว กลายเป็นสังคมทุนนิยมที่ทุกคนเหยียบหัวกันขึ้น จนลืมไปว่า แล้วขึ้นไปเพื่ออะไร ?

จุดนี้มันย้อนกลับมาที่ความหมายชีวิต ว่า ตกลงน่ะ อะไรคือ ความสุขในชีวิตคุณ ? ...เงิน รึเปล่า ? ...แน่นอนคนส่วนใหญ่จะบอกว่าเงิน แต่ปัญหาคือ เงินจริงๆ ไม่ได้มีความหมายในตัวของมัน ..คนเราทุกคนหาเงินเพื่อเอาเงินมาซื้อบางอย่าง ...เช่น บางคนหาเงินมาซื้อความไม่มีในอดีต , บางคนมาซื้อความรักจากคนรอบๆข้าง , บางคนหาเงินมาเพื่อลงโทษตัวเอง , บางคนหาเงินมาเป็นเกราะระหว่างตัวเองและพ่อแม่ ...คือ จริงๆ มันต้อง นิยามคุณค่าของตัวเราเองก่อนที่จะออกไปหาเงินมาให้ได้ก่อนว่า

เป้าหมาย หรือ ธง ของชีวิต คืออะไร ? ..อะไรคือ ความสุขของเรา ...คุณรู้ไหมว่า วันนี้ธงเดียวของระบบทุนนิยมคือ เงิน ซึ่งไม่ผิดนะ ทุกคนต้องหาเงินให้พอใช้ แต่ที่ผิดคือ การตั้ง ธง และ การอธิบายความหมายของ ธงที่เราตั้ง เพราะ สิ่งนี้แหละ จะเป็นตัวกำหนดเลยว่า ชีวิตเราจะมีความสุขได้ไหม ..คนรอบข้างกับเราไปกันได้ไหม ...เพื่อน คนรัก ลูก ทุกอย่างไปกันได้ไหม

เรื่องของการตั้งธงชีวิต มันคือ การกำหนด Mindset ของเรา ซึ่งมีผลต่อทุกอย่าง มีผลต่อนิสัยของเรา มีผลต่อวิธีการทำเงิน มีผลต่อวิธีการทำงาน และ มีผลต่อความสัมพันธ์ การเลือกคู่ครอง การสอนลูก

ทั้งหมด ผมคุยกับ ดร.ต้อง ไป 20 ชั่วโมง ...มันผ่านไปไวมาก ...ผมรู้เลยว่า จริงๆ แล้ว ที่ผมเคยเข้าใจตัวเอง ..."ผมไม่เคยเข้าใจตัวเองเลย" ...หลังจากวันนั้น ผมเริ่มตั้งธงชีวิตของผมใหม่หมดเลยใน 5 เรื่อง ก็คือ เงิน ในความหมายของผมคืออะไร , งานในความหมายของผมคืออะไร , บ้านในความหมายของผม , ความรักในความหมายของผม และ เวลา ในความหมายของผม ...ใช่ครับ !! อันนี้แหละ คือ ที่มาของ "Filter ชีวิต" ที่ผมชวน ดร.ต้อง ให้มาเขียนหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด ร่วมกับผม เพราะ ผมต้องการถ่ายทอด สิ่งที่ผมเรียนรู้มา แล้วคิดว่ามีประโยชน์

...ลองเอา Filter ความคิด ทั้ง 5 ด้าน "เงิน/งาน/บ้าน/ความรัก/เวลา" ไปลองตั้ง ธง กับชีวิตคุณเองบ้าง ...ความยากคือ แต่ละคน นิยามความสุขไม่เหมือนกัน ...ดังนั้น การตั้งธง ต้องตั้งด้วยตัวเอง โดยอาศัยตัวอย่าง และ Guideline ของแต่ละ Filter เป็นตัวช่วยในการตั้ง Filter ชีวิตของคุณเอง

"ก็ไม่รู้ซินะ !!" (คำยอดฮิต) ...นั่นแหละที่มาของหนังสือ ฉีกแนวของผมเลย ...มันเป็นการถ่ายทอดจุดเปลี่ยนทางความคิดในห้าเรื่อง ที่เปลี่ยนแล้วจะหาเงินได้มีความสุขมากขึ้น ดังนั้น ไม่ใช่เข้าใจตัวเราแล้วจะจนลง ..ไม่ใช่ !! แต่ยิ่งเข้าใจตัวเอง เข้าใจว่า งานอะไรที่เรารักจริงๆ ที่ขยายคุณค่าในตัวเรา เราจะยิ่งทำอย่างมีความสุขขึ้น ส่งผลให้ผลงานออกมาดี ..เราก็ทำงานเก่งขึ้น และ ได้เงินมากขึ้น ...การแบ่งเวลาที่เราเข้าใจวาระของเวลา จะช่วยให้เรา Focus ในสิ่งจำเป็นในแต่ละช่วงของชีวิต แล้วตัด Noise ต่างๆ ...และ สุดท้ายการเข้าใจความต้องการเรื่องความรัก คุณจะพบว่า จริงๆ คุณต้องการจะได้อะไรจากความสัมพันธ์จริงๆ ซึ่งไม่ใช่การคาดหวังอย่างที่เราเป็นกันอยู่

...ลองดูครับ ลองไปอ่านดู ผมว่ามันเปลี่ยนชีวิตผม และ ผมก็หวังว่า หนังสือเล่มนี้มันจะช่วยเปลี่ยนชีวิตคุณ ไม่ทางใดก็ท่างนึงครับ ...จัดไป !!

วันอังคารที่ 4 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

สมัยนี้เล่นหุ้นต้องรู้สามสิ่ง ..จึงจะไม่เสียเปรียบ !!


บันได 3 ด่านที่คุณต้องเรียนรู้ เพื่อรวยจากตลาดหุ้น คือ 
ด่านที่หนึ่ง : Fundamental มันบอกได้ว่า หุ้นถูกหรือแพง
ด่านที่สอง : Technical มันบอกว่า หุ้นอยู่ใน Trend ขาขึ้น หรือ ขาลง รวมทั้งบอกได้ว่า เวลานี้หุ้นอยู่ในจุดไหนของรอบ (ตรงไหนของ Cycle)
ด่านที่ 3 : Mindset คือ จิตวิทยาการลงทุนที่ผ่านยากที่สุด (ด่านนี้ต้องเอาชนะใจตัวเอง โดยเอาความรู้ในด่านที่ 1 และ 2 มาประกอบการวิเคราะห์และตัดสินใจ)
-- จะรวยจากตลาดหุ้น ไม่มีฟลุ๊ค เกี่ยวกับโชคน้อยมาก เพราะคนที่ไม่รู้จริง ไม่ว่าได้มามากและเร็วแค่ไหน จะหมดในที่สุด ไม่มีข้อยกเว้น ทางเดียวที่จะรวยอย่างยั่งยืนในตลาดหุ้น คือ เข้าใจกลไกทั้ง 3 ด่าน ซึ่งมันหมายถึง การเข้าใจและชนะใจตัวเองได้

ชีวิตเรา คือ ภาพที่ฉายจาก Projector ที่เรียกว่า 'ความคิด' ..เปลี่ยนซิ แล้วชีวิตจะเปลี่ยน !!


"ชีวิตไม่ใช่อยู่ดีๆ ก็เปลี่ยน" ..คนถูกหวยชีวิตอาจเปลี่ยน แต่มักเปลี่ยนแบบไม่ยั่งยืน เพราะเขารวยจากโชค คือ รวยจากความหวัง ..ใครที่ใช้เงินเป็น แต่หาเงินไม่เป็น วันนึงเงินก็ต้องหมด ..ดังนั้น รวยจากโชค แบบฟลุ๊คๆ ไม่ได้เปลี่ยนชีวิตคน -- "การเปลี่ยนชีวิตคนอย่างแท้จริง ต้องเปลี่ยนที่ความคิด เพราะความคิด จะกำหนดพฤติกรรม และ กำหนดผลลัพธ์ของชีวิตทั้งหมดของคนๆนั้น" ...ใช่!! "ความคิด" ก็คือ "เส้นชีวิตที่บอกอนาคตอย่างแม่นยำ" ของแต่ละคน 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอาทิตย์ที่ 2 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

เศรษฐีรุ่นใหม่ มันหน้าตาแบบนี้ คิดเยี่ยงนี้เหรอ ..กรูเอาบ้างดิ !!


"เศรษฐีพันล้าน หมื่นล้าน แสนล้าน" ...อย่าไปหลงกับตัวเลขมันนะ ..คิดดีๆนะ คนรวยที่บอกเดี๋ยวนี้รวยเป็นหมื่นล้าน เขาไม่ได้รวยไปกว่าเศรษฐีเงินล้านในอดีต ..เพียงแต่ Asset ที่เขาครอบครองมันราคากระโดด เป็นร้อย เป็นพันเท่า เช่น ที่ดินซื้อไร่ละพันบาทสมัยก่อน วันนี้ไร่ละพันล้านบาท ...ที่ขึ้นมันคือ "เงินเฟ้อมหาศาล" ...และยิ่งอนาคตเงินก็ยิ่งเฟ้อ แปลง่ายๆ ว่า Asset มันก็ต้องขึ้น ..ก็เท่านั้นเอง -- อนาคตเราจะเห็นเศรษฐีล้านล้าน Trillion!! ..."ถ้าหาเงินอย่างเดียวไปไม่ถึงหรอก ต้องรู้จักลงทุนและเก็งกำไรจากราคา Asset ที่กำลังขึ้นบ้าคลั่ง ถึงจะตามกระแสได้" (รอบนี้ Buffett ไม่ได้เกิดในอเมริกา หรือ ยุโรปแน่ เพราะ Asset ประเทศเขามันจะเฉาไปอีกนานในภาพใหญ่ ..รอบนี้ Emerging Market และเอเชียเรานี่มาแน่) -- เข้าใจ มองออก ก็รวยสุดท่ามกลางเงินเฟ้อ!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันเสาร์ที่ 1 กุมภาพันธ์ พ.ศ. 2557

Trust = Wealth ..คนที่คนอื่นไว้ใจจึงรวย -- ให้ก่อนรับดิ เป็นคนดีดิมีสัจจะ ..ยุคนี้น่ะคนดีน่ะ รวย !!


Trust  คือ "ประตูแห่งทรัพย์ ที่ผู้แสวงหาเงินทอง และอํานาจพึงมี". ... ประตูแห่งทรัพย์ คุณหมายถึงโอกาสน่ะหรือ!! (ผมนึกว่า โอกาสคือ การหาช่วงว่าง หรือการเอาเปรียบ และรังแกผู้ที่อ่อนแอกว่า) ...ตลกไหม คนส่วนใหญ่คิดแบบนั้น ...ในโลกจริงๆ ลองไปสังเกตดูจะพบว่า "ชายที่รวยที่สุดในหมู่บ้าน เขาคือ คนที่ทุกคน Trust". .. หากผมเป็นคนที่น่าเชื่อถือสุดในโลกการเงิน ผมจะเป็นนักบริหารเงินที่ยิ่งใหญ่ ...ถ้าผมเป็นคนสร้างบ้านที่ทุกคน Trust ผมจะมีบริษัทสร้างบ้านที่ใหญ่โต ... หากผมเป็นนักการเมืองที่คนส่วนใหญ่ Trust ผมจะเป็นนักการเมืองที่ยิ่งใหญ่
:: Now you Know ... It's all about Trust !!!! 
นั่นแหละ ที่ผมบอกว่า "Trust" มันคือประตูสู่โอกาสไง ... เริ่มจากวันนี้ สร้างความน่าเชื่อถือของคุณในที่ทํางาน ในชีวิต ... คุณธรรมและความซื่อสัตย่์ คือ Wealth Machine นั่นเอง ...คิดดีๆ มันจริง
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันศุกร์ที่ 31 มกราคม พ.ศ. 2557

คอมเมนต์คมๆ จากป๋ากิ้ง ..ถึงแกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด

" แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด "

ทุกคนย่อมมี ปมชีวิต !!
เมื่อมีปม ก็มีทางเลือกสองทาง คือปล่อยให้เป็นปมต่อไป หรือจะ " แกะ "

ความสำเร็จ หรือ ความล้มเหลว ก็ล้วนมาจากเหตุผลใด เหตุผลหนึ่ง
ความรู้สึกขาดอิสระภาพ ก็เกิดจากปม

การลงทุนก็เช่นกัน …
ผมมีโอกาสได้เห็นหลายๆคนที่เก่งแสนเก่งในด้านความรู้
ไม่ว่าจะแม่นยำในการวิเคราะห์ปัจจัยพื้นฐานแบบปึ๊กๆ
หรือจะเป๊ะในการดูเทคนิคฯ ดูกราฟ
แต่ก็เห็นบ่อยที่คนเหล่านั้นดูเหมือนจะไม่ประสบความสำเร็จซักที และนับวันดูยิ่งไกลเป้าหมาย

เหตุผลมันคืออะไร ?
หรือนั่นคือเกิดจากปม ??

" แพ้ท " ภาววิทย์ กลิ่นประทุม ในฐานะนักเขียนนักลงทุนชื่อดัง มาพร้อมกับ " ดร. ต้อง " ดร. พงษ์รพี บูรณสมภพ ในฐานะผู้เชี่ยวชาญด้านการแกะปมชีวิตผู้คน นั่นเป็นความน่าสนใจ

เมื่อนักลงทุนที่ผ่านทั้งความล้มเหลวและความสำเร็จ มาคุยกับผู้ที่สามารถอธิบายที่มาที่ไปของแต่ละสิ่งที่เป็นต้นเหตุแบบที่เรา อาจจะคิดไม่ถึงในบางครั้ง

ความรวย อาจจะไม่ใช่มาจากเงิน
ความสำเร็จ อาจจะไม่ได้มาจากการดิ้นรนสุดชีวิต

เงิน , บ้าน , งาน และความรัก มันมีอะไรลึกๆซ่อนอยู่แบบที่เราไม่เคยนึกถึง

ก่อนหน้านี้มีเพียงคนจำนวนน้อยเท่านั้น ที่เข้าใจในประเด็นเหล่านี้
แต่หลังจากนี้ไป คนส่วนใหญ่ที่ได้อ่านหนังสือเล่มนี้ น่าจะมองเห็นความเป็นจริงที่เมื่อก่อนดูลึกลับเหล่านี้ออก

ด้วยเจตนาที่ดีของ ดร. ต้อง ที่ต้องการถ่ายทอดความรู้อันเป็นประโยชน์แก่คนส่วนใหญ่ จึงเป็นการกำเนิดโปรเจคต์หนังสือเล่มนี้
โดยการร่วมดำเนินเรื่องด้วยภาษาที่สนุกน่าอ่าน ของแพ้ท นักแกะรอยหยักสมอง ที่พลิกบทบาท 180 องศา มาเป็นแกะรอยหยักชีวิต

สมอง กับ ชีวิต
แนวคิด กับ ความสำเร็จ

หนังสือเล่มนี้จะสร้างความเข้าใจที่ยิ่งใหญ่ต่อหลายๆคนที่เคยสับสนในชีวิต
ลองอ่าน แล้วมาตั้งโจทย์ชีวิตกันใหม่ … แล้วผมเชื่อว่า ความสำเร็จที่ไม่เคยเห็น จะมาปรากฏครับ

ปิยพันธ์ วงศ์ยะรา
สำนักพิมพ์สต็อคทูมอร์โรว์

อย่าแห่ตามกัน ..คนส่วนใหญ่มองไปตลาดไหน เรามาอีกทางดีกว่า !!


เอาตลาดยุโรป DAX เยอรมันมาให้ดูว่า ..."ภาพนี้จะชี้ให้เห็นว่า สิ่งที่นักลงทุนส่วนใหญ่คิด มันผิด !! .. ตอนที่คนส่วนใหญ่ขาย จริงๆ คือ เวลาที่น่าซื้อ ..และ ตลาดจะผ่านจุดต่ำสุดของแต่ละรอบก็ตอนข่าวร้ายที่สุด ดูแล้วเลวที่สุดนั่นแหละที่คนส่วนใหญ่ไม่กล้าซื้อ (จริงๆ เวลาแบบนั้นแหละที่ควรซื้อ ไม่ใช่ขาย..แปลกไหม?) ..ซึ่งกว่าคนส่วนใหญ่จะคิดว่า ตลาดน่าซื้อ ก็จะเข้ามาจุดที่ใกล้ๆดอยของรอบใหม่อีกครั้ง ...บ้าไหมครับ!! -- ลองดูตลาด DAX จุดที่น่าซื้อคือ ช่วงวิกฤตยุโรป จำได้ไหมครับปลายปี 2011 (ช่วงน้ำท่วมใหญ่บ้านเรา) เวลานั้น นักวิเคราะห์และนักเศรษฐศาสตร์ทุกคน ออกมาฟันธงว่ายุโรปจะต้องพัง เริ่มจาก Greece ไปเรื่อยๆ ตอนนั้น ทุกคนแห่ขายหุ้นยุโรป หนีตาย แต่จริงๆ แล้วจุดนั้นแหละที่น่าซื้อ เพราะมันคือ Low ที่สุดของรอบ !!!! ...จากนั้นก็ไม่มีใครมองว่ายุโรปจะฟื้นได้จริง ข่าวร้ายก็มีมาตลาด แต่ตลาดหุ้นก็ขึ้นเรื่อยๆ ไม่มีใครกล้าซื้อ (มีแต่นักลงทุนรายใหญ่เท่านั้นแหละที่ซื้อ) ..จากนั้นก็มาถึงจุดปัจจุบัน วันนี้รายย่อยเริ่มอยากออกไปซื้อตลาดยุโรป อยากออกไปซื้อตลาดอเมริกา ...บ้าป่ะ !! ผิดมันทุกรอบ เจ็บก็ไม่เคยจำ ..ซื้อในเวลาที่น่าขาย แล้วก็ขายในเวลาที่น่าซื้อ ..ซวยมันทุกครั้งเพราะรายย่อยไม่เคยศึกษา "รอบ" ของตลาดไงครับ -- ประเด็นที่ผมอยากจะชี้คือ ปีนี้ผมให้ Theme การลงทุนที่ผมพยายาม Educate ให้ความรู้รายย่อยผ่านงานที่ปรึกษาการลงทุนของหลักทรัพย์บัวหลวง ..คือ ผมมองว่า ปีนี้คือ Theme ออมในหุ้น ในตลาด SET ของเรา ...แปลว่า ปีนี้น่าลงทุนระยะยาว สำหรับรายย่อย ..คุณต้องเข้าใจตลาดจริงๆ เข้าใจ Demand & Supply และ เข้าใจว่าคนส่วนใหญ่ผิดเสมอ ...ก็ฝากเอาไว้ครับเพื่อนๆ ลองเข้าไปศึกษาว่า ทำไมปีนี้ผมถึงคุยเรื่องการออมในหุ้น ไม่ใช่อยู่ดีๆก็โดดมามั่วๆ ..ผมทำการบ้านครับ / ผมศึกษา Fundamental ดูมูลค่าจริงๆ ของหุ้น / ผมศึกษา Technical อ่านรอบตลาดครับ ถึงเกิดเป็นคำแนะนำและ Theme ต่างๆ ที่พยายามให้ความรู้กับนักลงทุนรายย่อย ...อยากให้เพื่อนๆ นักลงทุน ศึกษาให้มากครับ "ปีนี้ขอบอกว่า ในวิกฤต คือ โอกาสที่ยิ่งยวด" ..เข้าไปศึกษาเรื่องออมในหุ้น ได้ที่ www.facebook.com/savestock (เชื่อเถิดว่า ปีนี้ใครทำการบ้านดีๆ เปิดใจเรียนรู้ และ มีความกล้าทำในสิ่งที่เชื่อ และ มีความอดทนเพียงพอ ..รวยแน่นอนครับ ..สู้ สู้ !!)

วันพฤหัสบดีที่ 30 มกราคม พ.ศ. 2557

ถ้าคิดได้ก่อนจะสร้างหนี้ ก็คงไม่มีใครจน ..แล้วทำไมไม่คิดและทำให้ได้ล่ะ


-- ในระบบทุนนิยมเราหาเงินมาแลกเปลี่ยนของ 3 อย่าง 1.จำเป็น 2.ไม่จำเป็น(แต่เราจ่ายเยอะ) 3.เป็นกับดัก (อันนี้คนเรา งง สุด เพราะมันคือกับดัก ไม่ใช่ว่าดีหรือไม่ดี แต่มันเป็นสิ่งที่คนเราสับสน เพราะของเหล่านี้ผูกกับ EGO และความรู้สึกทั้งหมดของเขา)
-- มาดูกัน อันแรก คือ ปัจจัย 4 แบบไม่ปรุงแต่ง อาหารธรรมดา , ค่ายาปกติ , เสื้อผ้าธรรมดา , บ้านพ่อแม่หรือหอพักธรรมดา ..เดี๋ยวนี้เพิ่มค่าโทรศัพท์ และค่าเดินทาง อันนี้ถ้าใช้แค่นี้แบบพื้นๆ ส่วนมากเงินเดือนขั้นต่ำข องคนชั้นกลางครอบคลุม
อันที่สอง ก็คือ เอาข้อแรกมาใส่ความไฮโซลงไป เช่น อาหารดีๆ , เสื้อผ้ามียี่ห้อ , กาแฟ Starbuck ,โทรศัพท์รุ่นฮึต , กระเป๋า รองเท้า ยี่ห้อ ..ของเหล่านี้ถ้าใช้มากๆจะเกินเงินเดือน เริ่มสร้างหนี้บัตรเครคิต (เริ่มเป็นทาสในเรือนเบี้ย)
ส่วนที่สามเป็นกับดัก คือ บ้าน กับ รถยนต์ อันนี้เป็น Major Expense คือ รายจ่ายหนี้ระยะยาว ซึ่งถ้าเกิดขึ้นแล้วชีวิตจะเปลี่ยน  ..ถ้าเป็นคนจีนจะซื้อบ้านหลังจากรถยนต์ เพราะบ้านไม่เกี่ยวกับงาน ..ค่าใช้จ่ายตรงนี้จะมาพร้อม หนี้บ้าน และ หนี้รถยนต์ อย่างในต่างประเทศเขาขมวดรวมให้คุณผ่อนชั่วชีวิต (อันนี้เป็นทาสจริงๆเลย)
-- คนเราจะรวยจนอยู่ที่การบริหารการใช้จ่ายในข้อ 2 และ 3 ...วิธีการคิดง่ายๆ ต้องรู้ก่อนว่า โลกทั้งใบเล็กกว่าความอยากของมนุษย์ ดังนั้น เงินที่เราหามา ไม่มีทางมากกว่าความอยาก -- คนที่ต้องการวางแผนรวยต้องเริ่มจากการวางแผนและบริหารความอยากตามเหตุผล โดยเงินเดียวที่จะซื้อข้อ 2 และ 3 ห้ามมาจากเงินเดือนโดยตรง แต่ควรเป็นเงินที่มาจากการลงทุน ที่เขาเรียกว่า Passive Income นั่นเอง ...การสร้าง Passive Income ที่ง่ายสุด ได้จากการออมเงินใน Asset ที่มีรายได้ หรือ ปันผล ....เงินที่เราเอามาใช้ได้ก็เฉพาะปันผล แล้วเหลือเท่าไหร่ ก็เก็บไปออมใน Asset เพิ่ม ...ทำแบบนี้ 10 ปีจะเห็นผลเป็นรูปธรรม ...เมื่อ Passive Income โตจนผ่อนรถได้สบายๆ ก็ค่อยซื้อรถ ..และเมื่อมันโตจนผ่อนบ้านได้ก็ค่อยซื้อบ้าน
-- เรื่องนี้เหมือน common sense แต่จริงๆ มันไม่ง่าย ถ้าใครทำได้ ไม่มีจน ..หัวใจมันอยู่ที่การลงทุนสร้าง Passive Income และ การบริหารจัดการความอยากแบบเป็นระบบ ...ก็ลองไปคิดวางแผนกันดูครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 29 มกราคม พ.ศ. 2557

เปิดผนึกหนังสือเล่มใหม่ของภาววิทย์ ..แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด



"หนังสือเล่มใหม่ของภาววิทย์ ...'แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด' -- เป็นหนังสือแนวทางใหม่ของการจับคนสองขั้วความคิดมาเจอกัน ระหว่าง หนึ่ง ภาววิทย์ ในขั้วของ Money Machine 'ตัวละครแทนคนรุ่นใหม่ที่อยากมีอิสระในชีวิตด้วยแนวทาง Self-made การดึงตัวเองจากความผิดพลาดของชีวิตแล้วกลับมายืนใหม่ สร้างความมั่งคั่งจากสมองและสองมือ' ปะทะ ดร.ต้อง ชายลึกลับ อดีตนักเรียนทุนภูมิพล เกรดเฉลี่ย 4.00 ตั้งแต่ปริญญาตรี จนถึงปริญญาเอกถึง 3 ใบ สามสถาบัน ผู้เดินในสายของการให้ !! ทำงานด้านพัฒนาเยาวชนร่วมกับ ดร.โจเซพ มาร์แชล (Nobel Prize Candidate) และ ตำแหน่งอดีตเลขา ประธานผู้ตรวจการแผ่นดิน -- ศึกษาแรงจูงใจของมนุษย์ที่จะประสบความสำเร็จ ซึ่งพบว่า 'ความสำเร็จของคนอยู่ที่การตั้งธง และสร้างทัศนคติที่ถูกต้องเท่านั้นเอง ซึ่งงานวิจัยบวกประสบการณ์ ของทั้ง ดร.ต้อง ในสาย Human Potential & Personal Growth ผนวกกับ ประสบการณ์พัฒนา นักลงทุนและมนุษย์สายการเงินของภาววิทย์ ในงานที่ปรึกษาของหลักทรัพย์บัวหลวง พบว่า คนเรามีธง ความสำเร็จ 5 ด้านด้วยกันคือ 'เงิน/งาน/บ้าน/ความรัก/เวลา' -- คุณตั้งธงชีวิตอย่างไร?
หนึ่ง เงิน (คนส่วนใหญ่ที่ตั้งเป้าหาเงิน จะไปไม่ถึง เพราะตั้งธงผิด!! ..คิดง่ายๆ ธง ของใครตั้งเป้าความสำเร็จคือเงิน จะไม่รวย ..แต่จะจบด้วยครอบครัวแตกแยก) 
สอง งาน (คนส่วนใหญ่ตั้งเป้าเรื่องงานว่าเป็นคุณค่าของคน ซึ่งผิด!! ..ใครที่ตั้งธงงานว่าเป็นคุณค่า จะหลุดจากการเป็นลูกจ้างไม่ได้ , พอเกษียณจะจิตตกเจียนตาย และ มองข้ามคุณค่าของตัวเอง ..ใช่!! ต้องเปลี่ยนมุมมองและตั้งธง ใหม่)
สาม บ้าน (คนส่วนใหญ่มีภาพบ้านในฝัน ..ซวยแล้วครับ !! ..เพราะคุณจะติดกับดักผ่อนบ้านเป็นหนี้ชั่วชีวิต จิตตก เป็นทาสของทุนนิยม ..ลูกๆไม่กลับบ้าน และตัวเองติดอ่าง(อบ นวด และ บ้านน้อยในที่สุด) เพราะตั้ง ธง เรื่องบ้านผิด!!)
สี่ ความรัก (คนส่วนใหญ่ตั้งสเป๊กชายในฝัน หญิงในฝัน ..ใครตั้งธงแบบนี้ ถ้าไม่ขึ้นคาน ก็แต่งงานแล้วก็ต้องเลิก ..ไม่แปลกที่สถิติหย่าร้างสูง และการขึ้นคานสูงทะลุเพดาน -- ใช่ตั้ง ธง ผิด !!)
ห้า เรื่องเวลา ..การฆ่าเวลาในช่วงเวลาที่ดีที่สุด เป็น Norm ของคนรุ่นใหม่ ทั้งๆที่เวลาคือ สิ่งเดียวที่มนุษย์มีจำกัดไม่ว่าจะจนหรือรวยแค่ไหนก็ตาม ..การตั้ง ธง เรื่องเวลาผิด ก็คือ หายนะของชีวิต!!)
...ครับ หนังสือเล่มนี้เป็นการมุ่งปรับ Mindset ของคุณให้มีอิสรภาพทางการเงิน และเข้าใจการตั้งธง ชีวิตให้ถูกต้อง ..ซึ่งผมและดร.ต้อง เชื่อว่า การรวมตัวของประสบการณ์ของเราทั้งสอง เพื่อถ่ายทอดลงหนังสือ แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด จะเป็นประโยชน์ต่อผู้ที่สนใจในการปรับทัศนคติ เข้าใจโลกยุคใหม่ และตั้ง ธง ชีวิตให้เหมาะกับเป้าหมายของตัวเองได้ :: "ถ้าอ่านแล้วชอบ ขอให้คุณแบ่งหนังสือเล่มนี้ให้คนที่คุณรักอ่านต่อไปนะครับ ..เชื่อผมเถอะว่า ยิ่งคุณคิดให้ คุณจะยิ่งได้ จริงๆครับ" (อ๋อ !! เนื้อหาหนังสือ เราวาง Layout แนวใหม่ คือ ในส่วนของผม จะเปิดจากปกหน้าไปหลังปกติ ..แต่เนื้อหาในส่วน ดร.ต้อง เรื่อง Filter กรองมุมมองชีวิต และการตั้งธง จะเปิดจากปกหลังมาหน้าแบบญี่ปุ่น แล้วเนื้อหาทั้งสองขั้วจะมาจบ บรรจบที่หน้ากลาง ..ครับ อ่านหน้าไปหลัง ..แล้วก็ค่อยอ่านหลังมาหน้า ..มาจบลงที่ตรงกลาง ..ก็ลองอ่านกันดูครับ)..จัดหนัก!!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ระบบเชื่อมต่อและการเปลี่ยนโลก !!


"คุณทราบไหมว่า จำนวนคนใช้มือถือทั่วโลกประมาณ 5 พันกว่าล้านคน จากประชากรโลก 6 พันล้านคน ..เอาเฉพาะเมืองไทยจำนวนมือถือมากกว่าจำนวนประชากรแล้ว ..สิ่งที่น่าสนใจคือวันนี้คนใช้ Smartphone ก็เริ่มมีจำนวน 1 พันกว่าล้านคนแล้ว ซึ่งเดี๋ยวนี้ด้วย Appication ต่างๆ มันทำให้มือถือกลายเป็นคอมพิวเตอร์บนมือ ซึ่งดีกว่าคอมพิวเตอร์ในการเข้าถึงคนรายตัว หรือ การชี้ตัวเช่นการใช้ลายนิ้วมือ ..อีกไม่ช้าการซื้อของกับลายนิ้วมือ การจ่ายเงินค่าน้ำค่าไฟ ค่าบริการต่าง การใช้ธนาคารออนไลน์แบบเป็นธรรมดา -- และถ้าการเลือกตั้งสามารถทำผ่านมือถือ เราจะประหยัดภาษี 3 พันกว่าล้านต่อการเลือกตั้ง ..น่าคิดจริงๆ ..มันน่าคิดว่ามือถือกำลังสำคัญขึ้นเรื่อยๆ" (Microsoft Window ส่วนแบ่งตลาดลดเหลือ 30% ในปัจจุบัน มาแทนด้วย iOS และ Android เข้ามาแบ่งหน้าจอไป ..เกมยังไม่จบ แต่เราแค่เห็นการขับเขี้ยว ระหว่าง Microsoft , Apple และ Google ในการชิงความเป็นเจ้า Software ..ในตลาด Smart Phone ตัว Andriod เป็นเหมือน Window คือ ใครๆ ก็ใช้ Platform แต่ ของ iOS และ Microsoft ก็เล่นเกมของ Apple ในอดีตคือ ทำเองทุกอย่าง ..น่าสนใจว่าด้วยการผลิตแบบ Super Mass Production ได้ในปัจจุบัน ระบบปิด กับ ระบบเปิดใครจะชนะ ?) ..ก็ดูกันต่อไปครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 28 มกราคม พ.ศ. 2557

ทางที่ไม่เสี่ยง จริงๆแล้วอาจเป็นทางที่เสี่ยงสุดก็ว่าได้ !!


โจทย์ที่หนึ่ง เงินที่ตัดได้ มีเท่าไหร่ ..อันนี้คือเงินที่เหมาะจะมาใช้ในการออมในหุ้นมากที่สุด เพราะ Port การออมในหุ้นในช่วง 5 ปีแรกของการสร้าง Port สามารถขึ้นลงได้เกิน 50% นั่นหมายความว่า มูลค่าของ Port ที่ออมในหุ้นในช่วง 5 ปีแรกอาจขาดทุนได้สูงกว่า 50% ..แต่ในระยะยาว มูลค่า และ ปันผล จะค่อยๆ โตขึ้นเรื่อยๆ เสมือน การปลูกต้นไม้ยืนต้นนั่นเอง 
โจทย์ที่สอง เงินที่ออมในหุ้น ควรเป็นเงินที่เป็น Cash Flow หรือ เงินที่เข้ามาแบบสม่ำเสมอ เช่น แบ่งบางส่วนจากเงินเดือนทุกเดือนมาออมในหุ้น 
โจทย์ที่สาม ยากสุด มันคือ ความอดทน (ซึ่งคนรุ่นใหม่ไม่มี หรือ มีน้อยมาก) และ ความศรัทธา ผมใช้คำว่า Believe เพราะมันคือ การกล้าที่จะเสี่ยงความมั่นคงในชีวิตกับสิ่งที่เชื่อ
-- แต่เชื่อหรือใหม่ว่า คนส่วนใหญ่เลือกทางเดินชีวิตรวมทั้งการลงทุนในแบบที่เขาคิดว่าไม่เสี่ยง เช่น วางเงินทั้งหมดในเงินฝาก หรือ ตราสารหนี้ ...แต่สุดท้ายทางเลือกที่ไม่เสี่ยงมันเป็นทางที่คนส่วนใหญ่เลือก ก็เลยได้ผลลัพธ์เหมือนคนส่วนใหญ่ คือ เสี่ยงสุด และก็ไม่รวย (ใครๆก็ทราบว่า คนส่วนใหญ่ ไม่รวย) -- ใช่!! การไม่เสี่ยง จริงๆ คือ เสี่ยงที่สุด เพราะคุณหมดโอกาสที่จะก้าวขึ้นมาข้างหน้าน่ะซิ 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันจันทร์ที่ 27 มกราคม พ.ศ. 2557

เป็นลูกจ้าง ..เป็นนายจ้าง ..ให้ดีที่สุดกับตัวเรา !!


"ลูกจ้าง กับ นายจ้างคุณว่าต่างกันตรงไหน ..ผมว่าต่างกันที่ความกล้า(เสี่ยง) เพราะความฉลาด คนเรามันไม่ได้ฉลาดไปกว่ากันเท่าไหร่หรอก ...แต่ที่ต่างกันมากๆ อีกอย่างคือผลลัพธ์ของชีวิต -- ลูกจ้างพอเกษียณเขาก็เลิกจ้าง ส่งคุณไปเลี้ยงหลานแม้ว่าคุณจะไม่ได้อยากอยู่บ้านเลี้ยงหลานก็ตาม ..แต่นายจ้างหรือเจ้าของ เขาเลือกได้ว่าจะทำงานต่อหรือไม่ก็ได้ ถ้าเลือกไม่ทำก็แค่หยุดรับเงินเดือน หรือ จะตั้งตำแหน่งประธานพิเศษรับเงินเดือนต่อหลังเกษียณก็ทำได้ หรือไม่ก็แค่รับปันผลจากธุรกิจทุกปีไปเรื่อยๆจนตาย ('นายจ้างทุ่มชีวิตให้ธุรกิจ ธุรกิจก็เลยเลี้ยงเขาไปจนตาย' -- 'ลูกจ้างบางคนก็ทุ่มชีวิตให้ธุรกิจ แต่หลังเกษียณก็ได้เงินก้อนเล็กๆ ก้อนนึงไปทำขวัญ จากนั้นช่างหัวคุณ' ..เฮ้ย!! ไม่แฟร์ ..แฟร์ดิ นายจ้างเขาเสี่ยง แต่ลูกจ้างไม่เสี่ยงไง ..ก้มรับชะตาไป!!) -- ดังนั้น ผมอยากจะเตือนลูกจ้างทั้งหลายให้คิดถึงตัวเองบ้าง ..ถ้าไม่อยากเปิดธุรกิจตัวเอง ก็ต้องเอาเงินเดือนแบ่งไปลงทุนซื้อหุ้นเป็นเจ้าของกิจการที่จะเลี้ยงเราหลังเกษียณ คือ หุ้นที่เราควรลงทุนซื้อถือเป็นเจ้าของคือกิจการที่มั่นคง มีปันผลสม่ำเสมอ และ เราเข้าใจธุรกิจนั้นๆ ...ครับ!! โลกทุกวันนี้ ถ้าคุณไม่ดูแลตัวเอง หลังเกษียณก็ไม่มีใครดูแลคุณหรอกครับ -- แบ่งเงิน ไปลงทุนยาวๆบ้าง ให้การลงทุนมันดูแลคุณตลอดไป 'ต่อไปถึงยุคที่เราต้อง ออมเงินใน Asset แล้วครับ อย่าประมาท' ...เราเท่านั้น ที่ต้องดูแลตัวเราเองให้ได้" ..ลูกจ้างดีเด่นกินไม่ได้ครับ แต่นักลงทุนดีเด่น รวยครับ ชิว !!! ..ถึงเป็นลูกจ้างก็น้องฝึกเป็นนักลงทุน 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

หนังสือเล่มใหม่ ภาววิทย์ ปี 2014 -- "แกะรอยหยักชีวิต Filter ความคิด"


ตรุษจีนนี้เจอกัน !! ...หนังสือ เล่มใหม่ของผม "แกะรอยหยักชีวิต : Filter ความคิด" วางแผงทุกสาขา SE-ED ภายในวันศุกร์ที่ 31 มกราคมนี้ครับ ...พบกับรูปแบบหนังสือแนวใหม่ กระชากมุมมอง 2 ด้านทั้งชีวิตและการมองเงินในรูปแบบใหม่ !! -- การ Design เปิดจากหน้าไปหลัง แล้วจากหลังมาหน้า มาจบหน้ากลาง (ใช่!!) ...มันแปลก!! ..ผมต้องการสื่อสารมุมนี้กับคนรุ่นใหม่มานานแล้ว ...ผมเชื่อว่าความคิดทั้งหมดที่ถ่ายทอดมันเปลี่ยนชีวิตผม ซึ่งผมหวังว่ามันจะเป็นประโยชน์ต่อเพื่อนๆนักลงทุน และคนรุ่นใหม่ทุกคน ..จัดหนักครับ !! :: ("แกะรอยหยักชีวิต :: Filter ความคิด" โดย ภาววิทย์ กลิ่นประทุม) ..อ่านรายละเอียดเพิ่มเติมคลิ๊กที่นี่ http://www.pawawit.com/2014/01/filter.html

วันอาทิตย์ที่ 26 มกราคม พ.ศ. 2557

ปู่ผมเคยขับแท๊กซี่ ไม่ได้จบปริญญา ยังสร้างตัวเป็นเศรษฐีได้เลย แล้วผมล่ะเรียนรู้อะไรบ้าง ?


"เรื่องของชายหนุ่มคนขับแท๊กซี่น่ะ ก็คือปู่ผม 'คุณ ทวิช กลิ่นประทุม' ตอนหนุ่มๆ ท่านขับแท๊กซี่ แล้วก็ทำงานทุกอย่าง คือ ไม่ได้เรียนสูง ไม่มีการศึกษา แต่อาศัยโรงเรียนชีวิตนี่แหละ ทำทุกอย่างไม่เกี่ยงเงินน้อยหรืองานต่ำ เพื่อเรียนรู้นั่นแหละ ..จุดเปลี่ยนชีวิตของคนสู้ชีวิตคนนี้ก็คือการได้ไปทำงานชิปปิ้ง เขาก็เรียนทุกอย่าง ทำงานแบบไม่เกี่ยงเงิน จนวันนึง เขาก็สามารถเปิดบริษัทขนส่งเล็กๆ เริ่มรับงานจากชิปปิ้งที่ท่าเรือ ..จากคนจน ไม่ได้มีปริญญา อาศัยโรงเรียนชีวิตและการทำงานหนักสร้างอาณาจักรขนส่งท่ีใหญ่ที่สุดแห่งนึงในยุคนั้น จากนั้นก็เข้ามามีบทบาทในการเมือง จนกลายเป็นหนึ่งในตำนานนักธุรกิจ นักการเมือง ฉายาเจ้าบุญทุ่ม จากดินสู่ดาวในยุคของท่าน ..นั่นแหละครับ Legacy ของท่านที่ผมเอามาเป็นแบบอย่าง การใช้โรงเรียนชีวิตเป็นโอกาสในการศึกษาไม่รู้จบ / การเรียนรู้จากข้อผิดพลาดของตัวเองโดยการไม่โทษคนอื่น รับผิดแก้ไขเรียนรู้แล้วโตขึ้น / การให้ก่อนรับ / การทำงานหนัก / การตั้งเป้าหมายที่สูงกว่าแค่เงิน / และการให้อภัย อยู่ร่วมกันได้แม้คิดต่างของนักการเมืองยุคนั้น ....สิ่งต่างๆและหลักความสำเร็จในยุคปู่ผม ก็ยังคงเหมือนเดิม เพียงแต่วิธีการมันเปลี่ยน ..วันนี้ถ้าคุณไม่มีการศึกษา แล้วเริ่มจากใช้แรงงานในโรงงานนรก คุณก็จบชีวิตที่โรงงานนรกนั้นแหละ หรือ วันนี้เริ่มขับแท๊กซี่ แล้วรับแต่ฝรั่ง คงต้องขับแท๊กซี่จนตาย -- ประเด็นมันคือ ด้วยเทคโนโลยีในยุคปัจจุบัน คุณเรียนรู้อะไรบ้าง จากงานที่คุณทำในชีวิตประจำวัน คุณยอมทำงานหนักเพื่อเรียนรู้ทุกหน้าที่ในงานของคุณโดยไม่เกี่ยงเงินรึเปล่า เพื่อที่ว่าวันนึงคุณจะสามารถคิดหาวิธีปรับปรุงอาชีพของคุณ หรือแม้กระทั่งปรับปรุงทั้งอุตสาหกรรมที่คุณทำงานอยู่ ให้ดีขึ้น ตอบสนองความต้องการของลูกค้าได้ดีมากขึ้น ...ที่เราเป็นลูกจ้าง เพราะมันเปิดโอกาสให้เรียนรู้ธุรกิจ รู้อุตสาหกรรม และรู้ว่าสิ่งเดิมๆที่เขาทำๆกันอยู่มันคืออะไรไง จากนั้นคือ เราต้องตอบโจทย์ให้ได้ว่า เราจะทำให้ธุรกิจ หรือทั้งอุตสาหกรรมดีขึ้นอย่างไร ? ...นั่นแหละครับโอกาส คือเราใหญ่ได้มากกว่าที่เราเป็น แค่เราตอบโจทย์สิ่งที่ใหญ่กว่าตัวเรา โดยการตอบโจทย์สังคม ตอบโจทย์ชีวิตที่ดีขึ้นของคนอื่น ให้มีความสุขมากขึ้น ตอบโจทย์ให้กับคนที่ใช้สินค้าและบริการของเรา" ...เมื่อคุณคิดให้ คุณก็ย่อมได้รับความมั่งคั่ง และความสำเร็จ 'คิดยิ่งให้ เลยยิ่งได้' -- กฎความสำเร็จนี้มีมาตั้งแต่ยุคปู่ผมจนถึงผม ไม่เปลี่ยนแปลง ..ถ้าคุณอยากรวย ตอบให้ได้ซิว่า คุณจะสร้างอะไร ทำอะไรให้ชีวิตคนอื่นดีขึ้นบ้างล่ะ ? ...จัดไป ตอบดู ตอบโดน ทำได้ สำเร็จชัวร์ครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันเสาร์ที่ 25 มกราคม พ.ศ. 2557

ตาบอดคลำช้างกับคนขับแท๊กซี่ !!


"มีชายคนนึงไปสัมภาษณ์คนพิการคนนึงที่ตาบอด ..ชายคนนี้ถามคนพิการที่ตาบอดคนนั้นว่า "คุณมีชีวิตต่อไปเพื่ออะไร ผมดูชีวิตคุณมันน่าเจ็บปวดมากนะ?" ...คุณรู้ไหมว่าคนพิการตาบอดตอบว่าอะไร -- เขาถามชายคนนั้นกลับว่า แล้วตัวคุณล่ะ ชีวิตคุณน่ะอยู่ต่อไปเพื่ออะไร ? ...ชายคนนั้นยืนนิ่งไปชั่วขณะ แล้วก็ครุ่นคิดถึงคำถามที่คนตาบอดถามอย่างหนัก !! เพื่ออะไร ? -- (ชายคนนี้มีอาชีพขับแท๊กซี่ ..ส่วนคนพิการตาบอดคนนี้เป็นนักพูดและให้แรงบันดาลใจ) ...คนตาบอดคนนี้บอกว่า เขาใช้เวลานานพอสมควรเพื่อที่จะพบว่า ที่เขาเกิดมาพิการและตาบอดมันคือของขวัญจากฟ้าที่ส่งเขามาเกิดไม่เหมือนใคร เขาเกิดมาเพื่อให้กำลังใจคนอื่นๆ และช่วยให้คนอื่นๆมีพลังและมีชีวิตที่ดีขึ้น ...คนตาบอดยังสอนชายคนนี้อีกว่า ในโลกนี้มีจุดที่ดีที่สุดในจุดที่ยืนให้กับคนทุกคน ...ขอให้คนๆนั้นไม่ย่อท้อที่จะค้นหาว่าเขาทำอะไรได้ดีที่สุด -- มีแต่พวกขี้แพ้เท่านั้นแหละที่เอาแต่บ่น กล่าวโทษคนอื่น โทษดวง โทษโชคชะตา ...ถ้าคนพิการและตาบอดอย่างผมยังมีจุดดีที่สุดได้ คนตาดีอย่างคุณก็มีได้เช่นกัน ใช่ไหมล่ะ? -- หลังจากนั้น 3 ปีคนขับแท๊กซี่คนนี้ ไปทำงานชิ๊ปปิ้งทั้งที่ตัวเองไม่ได้เรียนด้านนี้มาเลย อาศัยการไม่เกี่ยงงานหนัก แล้วค่อยๆเรียนทุกอย่างของเรื่องชิ๊ปปิ้ง "ท่องอย่างเดียวว่าเขาต้องรู้ทุกอย่างและจะทำโดยไม่เกี่ยงค่าจ้าง" หลังจากนั่นเขาเปิดบริษัทขนส่งส่วนตัว แล้วทำจนกลายมาเป็นบริษัทยักษ์ใหญ่ท่าเรือ และกลายเป็นเศรษฐีใหญ่ของเมืองไทยในที่สุด ...เรื่องนี้มีประเด็นที่น่าคิดจริงๆ"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ผู้ได้เปรียบสูงสุดในระบบทุนนิยมปัจจุบันคือ New Landlord ซึ่งมันสร้างได้ !!


"ใครได้เปรียบที่สุดในระบบทุนนิยม ? ...บริษัทไงได้เปรียบ เพราะอย่างที่บอกแล้วว่า Asset มีค่ากว่าเงินในระบบทุนนิยม แล้ว Asset ที่มีค่ามากที่สุดคือ คน ...ลองนึกดูซิว่า บริษัทก็คือ องค์กรที่รวบรวมทั้งคน ทั้ง Asset คือ แรงงาน , ที่ดิน , โรงงาน , สินค้าและบริการ ...และถ้าจะได้เปรียบกว่านั่นต้องเอาบริษัทเข้าตลาด เพราะบริษัทเข้าตลาดต้องสร้างระบบ ก็เทียบง่ายๆ ว่า บริษัทที่อยู่นอกตลาด ต่างกับ บริษัทในตลาดหุ้นตรง ระบบ System นี่แหละ ..ดังนั่น เรามองง่ายๆ เราว่า บริษัทในตลาดหุ้นก็คือ เครื่องผลิตเงินในระบบทุนนิยม ที่ใช้สมองเจ้าของ และแรงงานลูกจ้าง ใช้เงินของมหาชน และ สามารถสร้างหนี้ได้ถูกที่สุด ..ยิ่งเงินเฟ้อ บริษัทสร้างหนี้ยิ่งได้เปรียบ เพราะต้นทุนเงินต่ำ ความเสี่ยงก็ต่ำ"..กลไกของการใช้บริษัทเป็นตัวแทนเราในการลงทุนและทำธุรกิจเป็นเรื่องที่ต้องศึกษาให้ดี !! สุดยอดได้เปรียบครับ
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพฤหัสบดีที่ 23 มกราคม พ.ศ. 2557

นักล่าอาณานิคมยุคใหม่กล่าวว่า ปัญญามีค่ามากกว่าเงิน !!


"ประเทศจะรวยหรือจน ในระบบทุนนิยม หลายๆคนคิดว่า ขึ้นกับว่าประเทศนั้นรวยทรัพยากร มีน้ำมัน มีทองมากกว่าก็รวยกว่า แต่จริงๆ ไม่ใช่เลย !! ...ประเทศยิ่งมีทรัพยากรมากยิ่งซวย เช่น แอฟริกา ..เพราะทุนนิยมก็จะติดสินบนผู้นำทหาร ให้อาวุธ ด้วยเงินที่จริงๆแล้วดอลลาร์พิมพ์จากลม แล้วก็ให้ผู้นำทหารคนนั้น ขนทรัพยากรประเทศมาแลก กดขี่คนในชาติ ..ผลก็คือ ผู้นำเผด็จการทหารกับพรรคพวกของตนที่จะรวยล้นฟ้า ในขณะที่คนส่วนใหญ่เป็นแรงงานที่จน ปืนใช้คุมประเทศ ..ประเทศที่โชคดีคือ ไม่มีทรัพยากร เช่น สิงคโปร์ เพราะอเมริกาไม่รู้จะไปขโมยอะไรเพราะมันไม่มีทรัพยากร ..ผลก็คือ ลีกวนยู พัฒนาความรู้ของคนสิงคโปร์ ให้เข้าใจกลไกของทุนนิยม ที่มีความรู้ในการสร้างสินค้าและบริการสนองตอบความต้องการของมนุษย์สามารถสร้างมูลค่ามากที่สุด จากนั้นสิงคโปร์ก็เดินตามรอยอเมริกา โดยการออกล่าอาณานิคม ด้วยการหาทรัพยากรจากประเทศต่างๆ มาผลิตสินค้าและบริการ สร้างผลกำไร เก็บเป็นความมั่งคั่ง แล้วเป็นสิงคโปร์อย่างที่เราเห็นในปัจจุบันนี่เอง" ..ตัวเราก็เรียนรู้จากตรงนี้ได้ ประเทศมีทรัพยากรเป็นคำสาบ ครอบครัวต่างๆ ก็มี มรดกเป็นสาบเช่นกัน -- ใช่!! ต้อง Focus ที่การพัฒนาความรู้และปัญญา จึงจะเป็นคนที่พัฒนาอย่างรู้เท่าทันระบบทุนนิยมปัจจุบัน
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

ตัวคุณมีค่าเพราะคุณเข้าใจการกำหนดราคาของเวลา และคุณขายคนที่อยากซื้อจริงๆ !!


"อะไรคือ Asset ที่มีค่ามากที่สุดในโลก ? ..จริงๆ คือ มนุษย์ เพราะ Asset ทุกอย่างบนโลกนี้ที่มีราคาก็เพราะมนุษย์เป็นคนให้ค่ามัน เช่น ทองคำ มีค่าในสายตามนุษย์ แต่สัตว์อื่นๆ ไม่ให้ค่าทองคำแต่อย่างใด ..เอากล้วย กับ ทอง ยื่นให้ลิง คุณเชื่อไหมว่าลิงเอากล้วย ..555 -- ใช่!! หลายคนคงเริ่มคิดต่อไปว่า ในเมื่อมนุษย์มีค่ามากที่สุด แล้วอะไรมีค่ามากที่สุดต่อมนุษย์ ...ครับ !! เวลา ไง ..เวลาคือ สิ่งที่มีค่าที่สุดต่อชีวิตทุกคน เพราะเรามีจำกัด -- คนสามารถหาเงินได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่ไม่สามารถอยู่นานกว่าร้อยปี ...แต่แปลกไหมที่เรากลับเอาเวลาเรามาขายแลกเงินในราคาที่ถูกมากๆ ...เวลาของเด็กจบใหม่ คือ 15,000 บาทต่อเดือน ..เวลาของแรงงานไทย 300 บาทต่อวัน ..แรงงานพม่าก็ต่ำกว่านั้นอีก ...ตกลง คุณเข้าใจไหมว่า ทำไมเวลาของแต่ละคนถึงมีค่าต่างกันทั้งๆที่เวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ? -- ถ้าคุณเข้าใจ ความแตกต่างของราคาของเวลาของคนแต่ละคน คุณจะเข้าใจกลไกของทุนนิยม ที่สร้างระบบทาสขึ้นมาใหม่ ผ่าน 3 สิ่ง คือ หนึ่ง เงิน สอง Asset และ สาม หนี้ ...ทาสในระบบทุนนิยมคือ คนที่เป็นหนี้ ทุ่มเวลาทั้งหมดของชีวิตทำงานที่ไม่อยากทำ เพียงเพื่อต้องการผ่อนหนี้ เพื่อให้ครอบครัวของตัวเองมีบ้าน และมีรถยนต์ ...ใช่หรือ ? บ้าน และ รถยนต์ แลกกับ เวลา ทั้งชีวิตของเรา -- คุณลองตีค่าของเวลาใหม่ซิ คุณแปลกใจไหมว่า บางคนทำไมเขาสามารถขายเวลาของตัวเองได้แพงมากๆ แล้วบริษัทใหญ่ก็ยอมจ่าย ในขณะที่ทำไมแรงงานคุณมันถูกจริงๆ ...ยิ่งคุณเป็นเจ้าของกิจการ ลองหารคำนวณดูซิว่า เวลาคุณยิ่งถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียอีก ...กุญแจไขความลับของกลไกเรื่องค่าแรงที่แตกต่างกันนี้ต้องเข้าใจเรื่องของ Demand & Supply ในทุกๆอย่าง ...คือ แรงงานที่ราคาถูกเพราะความสามารถของเขาเอาใครทำก็ได้ ..แต่แรงงานราคาแพง คือ งานของเขามีคนทำแทนได้นัอย ..ครับ!! งานที่ค่าจ้างแพงทำแล้วรวยสบายในระบบทุนนิยม ต้อง Supply น้อยๆ และ Demand มากๆ นั่นเอง"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันพุธที่ 22 มกราคม พ.ศ. 2557

ก่อนจะทำธุรกิจส่วนตัว ซ้อมให้มือเชื่องซะก่อนครับ !!


"อยากเป็นผู้ประกอบการ (Entrepreneur) แต่ยังไม่กล้าลาออกจากงานประจำ ทำไงดี ? ...ก็เป็น Intrepreneur ก่อนซิ ..ก็คือฝึกตัวเองเป็นผู้ประกอบการโดยยังไม่ต้องลาออก ..ให้เรามองโอกาสขององค์กร ว่าสามารถทำให้ดีขึ้น แตกต่าง โดยลองคิดนอกกรอบดู จากนั้นก็ลองคุยกับหัวหน้า ถึงโอกาสในการทำ ..เรื่องนี้เมืองไทยอาจไม่คุ้นเคย แต่องค์กรสมัยใหม่อย่าง Google ส่งเสริมให้พนักงานใช้เวลา 20% ในสิ่งที่ไม่เกี่ยวกับงานประจำเลย ..ผลก็คือ Google สามารถสร้างสินค้าและบริการใหม่ๆ อย่างต่อเนื่อง ...กลับมาดูบ้านเรา อาจไม่เปิดโอกาสให้คิดนอกกรอบ แต่เราก็สามารถคิดแล้วลองทำนอกเวลางานได้ -- จริงๆ คุณรู้รึเปล่าว่า ประสบการณ์ของคุณมีค่ามาก เพราะก่อนที่เราจะคิดต่อยอดและเห็นโอกาสใหม่ๆ มันต้องเริ่มจากการเข้าใจข้อจำกัดของสิ่งเก่าๆ ที่ทำๆกันอยู่ก่อน ...เมื่อคุณลองฝึกคิดในมุมของผู้ประกอบการระหว่างที่ยังอยู่ในองค์กร มันสามารถลดความเสี่ยง ลอง Idea ใหม่ และหัดริเริ่มสิ่งใหม่ๆ ในความเสี่ยงที่จำกัด จากนั้นวันใดที่คุณพร้อม ก็ออกไปลุย ..แต่เชื่อหรือไม่ว่าการคิดสิ่งแปลกใหม่ให้องค์กร มันก็เป็น Fast Track หรือ Shortcut ของคุณสู่ตำแหน่งผู้บริหารในเวลาอันรวดเร็วอีกด้วย ...เดี๋ยวนี้ใครๆก็เก่ง แต่ไม่ใช่ว่าทุกคนจะกล้าติดต่าง คิดนอกกรอบ -- ก็ลองใช้มุมนี้สร้างจุดเด่นให้ตัวคุณดูครับ" ...Intrepreneur จัดไปครับ !!
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

เรากำลังโดนหลอกให้ทำและตั้งเป้าให้ทำ ในสิ่งที่มันไม่ได้มีจริงๆหรือเปล่า


"โรงเรียนที่การันตีเงินเดือนหลักแสนเมื่อเรียนจบ ตั้งอยู่ที่ไหน ? ..ทำไมล่ะ -- ก็ฉันจะส่งลูกไปเรียน ...ถ้าใครจำ Harry Potter ได้ จะจำได้ว่าชานชาลาที่จะพาไป Hogwarts โรงเรียนเวทมนต์ คือ ชานชาลา 9 เศษ 3/4 ..นักเรียนต้องวิ่งทะลุกำแพงเข้าไปตรงนั้นถึงจะสามารถไปขึ้น Hogwarts Express ที่จะนำท่านไปสู่ Hogwarts ได้ -- โรงเรียนแนวนี้แหละที่สามารถการันตีเงินเดือนแสนแก่คนเรียน ..เฮ้ย!! มันเป็นนิยายไม่ใช่หรือ ? ...ใช่ไง คุณทราบไหมว่าคนเขียนเรื่อง Harry Potter นาง J.K.Rowing เขาคือคนนึงที่ผ่านโรงเรียน Hogwarts มาเหมือนกัน เพียงแต่มันเป็น Hogwarts ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีตัวละครเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างคุณและผมนี่แหละ ..ครับ!! ในโลกแห่งความจริงผมเชื่อว่าใครๆก็อยากได้เงินเดือนสูงๆทั้งนั้นแหละ ..อย่างตัวผมเอง เมื่อวันแรกที่เริ่มเป็นลูกจ้าง ผมตั้งเป้าทันทีว่า ผมต้องได้เงินเดือนแสนให้เร็วที่สุด ..แต่ประเด็นคือ จะทำอย่างไร ในเมื่อวันนี้เงินเดือนคุณ 15,000 บาท และพอมองขึ้นไปในองค์ก็เห็นคนที่มีประสบการณ์มากมายที่ยืนกันอยู่อย่างแออัด ..เขาเปรียบเทียบองค์กรในยุคนี้ว่าเหมือนลิฟท์ที่แต่ละชั้นมีคนยืนเต็มอย่างแออัด ยิ่งชั้นสูงขึ้นก็เต็มไปด้วยคนอาวุโสที่ยังคงยึดตำแหน่งและเก้าอี้ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น ..ใช่!! ไม่มีที่ว่างให้คุณโตหรอก ..ทำใจซะเถอะ คุณเข้าประตูมาตรงไหนก็ออกไปทางนั้นเสียเถิด ..อ้าว!! เฮ้ย!! แล้ว Hogwarts ที่ผมเกริ่นมาล่ะ มันคืออะไร ไม่เห็นมันเกี่ยวกับเงินเดือนแสนเลย ...พูดจริงๆนะครับพี่ ผมยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของชีวิตผมเลย ...วันนี้เรียนจบมาก็ขยันทำงานสุดๆ ผลงานก็ดี ..วันนี้มีเมียมีลูก ก็กู้ซื้อบ้านหลังเล็กอยู่ชานเมือง แล้วก็มีรถ Eco car คันเล็กๆ ที่เพิ่งถอยออกมา ...ว่าไปแล้วผมก็ฉลาดนะ ผมใช้ Eco car ก็ประหยัดน้ำมัน ...หลังจากนั้นไม่นาน ชายผู้นี้ก็ได้รับซองขาวจากบริษัทที่เขาทำงาน เชิญให้ออก ...ออก!! คุณว่าไงนะ !! ผมโดนไล่ออก ..แล้วหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน ค่าเรียนลูก กับ ภรรยาอ้วนๆของผม ใครจะเลี้ยงล่ะ ...ผมจะทำอย่างไร ผมเครียดจริงๆ -- ว่าแล้วชายผู้นี้ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยาย Harry Potter เขาเริ่มพลิกอ่านด้วยความรวดเร็ว ความสนุกเริ่มครอบงำ เขาลืมความเจ็บปวดของการโดนไล่ออกจากงานไปชั่วขณะ ..ทันใดนั้นเอง เขาพลิกอ่านมาถึง ชานชาลาที่ 9 เศษ 3/4 ...ตรงที่ Harry Potter กำลังจะพุ่งเข้ากำแพงไป Hogwarts โรงเรียนในตำนาน ...อ่า!! ถึง Climax ของเรื่องนี้พอดี ชายหนุ่ม คนขยัน รักครอบครัว มาถึงทางตันของชีวิต แล้วเขาน่าจะพบทางออกที่ซ่อนความลับไว้ในนิยาย Harry Potter ..แต่ไม่ใช่เลยครับ ในชีวิตจริงมันไม่ได้มี Happy Ending เหมือนอย่างละครน้ำเน่าที่เราชอบดูกัน ..จุดจบของเรื่องนี้คือ สุดท้ายสามีภรรยาทะเลาะกัน ลูกไปติดยา บ้านและรถโดนยึด สามีไปติดเหล้าและการพนัน ผันตัวไปทำงานรับจ้างทั่วไป ...ผมอยากจะบอกคุณว่า เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องปกติของครอบครัวชั้นกลางที่ลืมวางแผนการเงินตั้งแต่เริ่ม ..จุดพลาดคือ จุดที่เริ่มต้นนั่นแหละครับ -- หากคุณจะแก้ Plot เรื่องนี้ มันต้องแก้ตั้งแต่ตอนที่ชายคนนี้อยู่โรงเรียน เขาต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าเขาเหมาะกับทำอะไร ...คุณว่าแปลกไหมที่คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไรหรืออยากเป็นอะไร -- คุณลองคิดให้ดีซิครับว่าเคล็ดลับของรายได้เป็นแสนเป็นล้านมันเริ่มจากแค่เราตอบคำถามง่ายๆที่ว่า เขาเก่งอะไร เพราะถ้าเรารู้ว่าเราเก่งอะไร เราจะได้เลือกทำสิ่งนั้น ซึ่งเราก็จะทำได้ดี และสุดท้ายก็จะได้เงินดี -- (ตัวอย่าง Steve Jobs / Bill Gates / Henry Ford / Mark Zuckerberg / Sam Walton / Richard Branson คนเหล่านี้ตอบชัดว่าตัวเองเก่งอะไร แล้วก็ทำในสิ่งนั้น ..มีคนพูดว่า คนเก่งในอเมริกามี 2 ทางให้เลือก คือ หนึ่ง ถ้าเขารู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เขาจะไป Silicon Valley แล้วมุ่งทำไปตามฝัน ..และสอง ถ้าเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เขาจะไป Wall Street ไปหาเงิน ..คนทั้งสองประเภท ระดับความฉลาดไม่แตกต่าง แต่เป้าหมายต่างกันมาก ..ผลลัพธ์คือ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์เงินเดือนกับ เศรษฐีผู้เปลี่ยนโลก) ...ใช่!! ก่อนที่จะเดินต่อไปแบบ งงๆ ชีวิต ..ลองตอบคำถามง่ายๆนี้ก่อนว่า คุณเก่งอะไร และเหมาะจะทำอะไร" ..ตอบได้ ก็เท่ากับว่าคุณเป็นส่วนน้อยในประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจน และมีโอกาสรวยและประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนทั่วไปครับ -- ลองตอบดู !! (แปลกไหมล่ะ เด็กๆเรารู้ชัดเจนเลยว่าเราเก่งอะไร แล้วโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร ...แต่ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไร แล้วจริงๆเราอยากทำอะไร ..หนักกว่านั้น วันนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้แล้วว่าจริงๆ เขาอยากที่จะทำอะไรด้วยซ้ำ!!  ...คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้จักตัวเอง -- ครับ!! ก็เพราะเราโดนหนี้ และภาระต่างๆ เข้าครอบงำ ..ทางแก้คือ หยุดคิดสักนิดแล้วลอง List ออกมาดูซิว่าวันนี้อะไรที่เราต้องทำ ..(เยอะเนอะ) ..ลองตอบซิว่าไอ้ที่ต้องทำ คุณทำไปเพื่ออะไร ..(ทำไมเราต้องทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่เราไม่ได้อยากได้จริงๆ) ...ถ้าเราค่อยๆตัดเป้าหมายที่ไม่จำเป็นออกไป ชีวิตและเป้าหมายคุณจะดีขึ้น ชัดเจนขึ้น และเหนื่อยน้อยลง) ...เราตอบสนองความอยากที่เกินความจำเป็น นั่นเอง ..ลดได้ ชีวิตจะฉลาดขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้น ..เรื่องเงินเดือนแสนมันเป็นเป้าหมายหลอก เพราะเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ ..'ชีวิตเรามีฝัน มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่เงินและสิ่งของที่เราอยากได้คิดดีๆ!!' ..คนที่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของตัวเองได้ เขารวยกว่านั้น เก่งกว่านั้น และมีความสุขมากกว่านั้น!! 
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

วันอังคารที่ 21 มกราคม พ.ศ. 2557

เราจะเริ่มตั้งสติกับชีวิตเมื่อไหร่กันดี ? ..เมื่อมีลูก เมื่อพร้อม ?


"คนเราจะทำงานหนักไปทำไม ..สงสัยไหมครับ ? -- เพื่อลูกไง อ้าว!! แล้วถ้าไม่มีลูก ..ก็เพื่อพ่อแม่ ..แล้วถ้าพ่อแม่เขาดูแลตัวเองได้ แต่เรายังเอาตัวไม่รอด และก็เป็นภาระ ? ...ก็ไม่รู้ซิครับ ..อ้าว!! แล้วตกลงเราทำงานหนักเพื่อใครกัน ...โอเค ผมว่า หนึ่ง เอาตัวเองให้รอด คือ สมดุลย์กิเลส โดยวางแผนจาก รายรับต้องมากกว่ารายจ่าย ถ้าทำไม่ได้ก็ลดกิเลสลงไป ..รายได้มากเท่าไหร่ก็ไม่พอความอยากของมนุษย์ ดังนั้น อย่างแรกลดที่ความอยาก ...เงินน้อยก็ใช้น้อย ตอนเด็กขอเงินพ่อแม่ยังใช้น้อยเลย แต่ทำไมมีเงินเดือนแล้วใช้ไม่พอ -- 'หยุดเลย การเปรียบเทียบ ก็ชอบเทียบคนอื่นว่าเราไม่มี ลองเทียบคนที่เขามีน้อยกว่า เราจะรู้ว่าเราน่ะโอเคแล้ว' -- ทั้งหมดที่กล่าวมาคือ ให้รู้จักตัวเอง รู้จักอดทน รู้จักรอ รู้จักลดความอยาก ทั้งหมดนี้คือ หลักเบื้องต้นของคนที่จะมีเงินเก็บ ....และพอมีเงินเก็บ ก็ค่อยเอาไปลงทุน -- ที่เล่ามาผมเชื่อว่าขัดความรู้สึกคนส่วนใหญ่ ที่เริ่มทำงานจะต้องมีรถ มีกระเป๋าหรู มี iPhone รุ่นล่าสุด มีหนี้บัตรเครคิต มีหนี้ผ่อนคอนโดที่โคตรไกล รวมค่าเดินทางไปที่ทำงาน ..ฮึม !! ออกเถอะ รายจ่ายมันสูงกว่า ก็เพราะเราเลือกเอง จริงๆ ลองคิดดีๆ มันมีทางออก เช่น อยู่กับพ่อแม่ไปก่อน (ฝึกขันติ และฝึกความกตัญญู ..555)  , เช่าที่พักไม่แพงใกล้ที่ทำงาน , ซื้อของไม่จำเป็นให้น้อย ...นี่แหละเบื้องต้นเลย เพราะบางคนบ่นว่าโลกนี้กดดัน จริงๆ มันคือเราที่เลือกจะกดดันตัวเอง -- ลองถอยหลังมองชีวิตสักนิดจะเห็นเลยว่า ปัญหาทั้งหมด เกิดจากที่เราเลือกผิดๆ ซื้อของในเวลาที่ไม่พร้อม ...ทำเบื้องต้นนี่ได้จะเริ่มมีเงินเก็บมาลงทุน -- ใช่!! บางคนโชคดีมีเงินลงทุนเลย แต่ก็ใช่ว่าเขาจะลงทุนอย่างฉลาด ส่วนมากโง่(ตามสถิติ มือใหม่ลงหนักแค่ไหน เจ๊งเท่านั้น++) ..แต่คุณถ้าเริ่มจากไม่มี แล้วสร้างให้มีด้วยปัญญาและความอดทน -- คุณน่ะของจริง ถ้ารวยได้ จะรวยยั่งยืน !!"
: ภาววิทย์ กลิ่นประทุม # ไม่ต้องเก่งที่สุด แต่ขอดีที่สุดในจุดที่เลือกยืน

บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ