แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน

แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน
SE-ED Bestseller Series หนังสือ "แกะรอยหยักสมองรวยหุ้นหมื่นล้าน" โดย ผมเอง (ที่ SE-ED ทุกสาขาทั่วประเทศ!!)

แนะนำ Facebook ของผมครับ

แนะนำ Facebook ของผมครับ
คลิ๊กเข้ามาเป็นเพื่อนกันใน Facebook ครับ!!

วันจันทร์ที่ 31 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทุกการเปลี่ยนแปลง จะมีคนที่ดีขึ้นและแย่ลง ขึ้นกับว่าเราจะเลือกเป็นกลุ่มไหน


เห็นสิ่งที่ Pentagon ทำนายอนาคตของชีวิตมนุษย์ ผ่าน World Economic Forum แล้วก็ทำให้ผมต้องมานั่งคิดว่า ตัวเราจะต้องปรับตัวอย่างไร ไม่ให้ 'ตกยุค' (นี่ยังไม่ได้คิดถึงรุ่นลูกเรานะ ยิ่งจะเจอการเปลี่ยนแปลงหนักกว่าเราอีก)

- 'งานส่วนใหญ่ เราจะถูกแทนด้วย เครื่องจักรและหุ่นยนต์' ..แต่ก่อนคิดว่าเรื่องนี้มันแค่เหมือนดูหนังเพ้อฝัน ..แต่วันนี้เห็น Self-Driving Car รถยนต์ไร้คนขับของ Google และบริษัทรถยนต์ใหญ่ๆ แล้วเริ่มเห็นว่า หุ่นยนต์แย่งงานคนนี่มันใกล้มากแล้ว 

...เครื่องบิน และ สนามบิน จะเริ่ม Auto-pilot มากขึ้น ควบคุมการจราจร และระบบการบินทั้งหมดโดย AI (Artificial Intelligence) ..ส่วนคน เป็นแค่ค่อย ช่วยดูให้ระบบทำงานเป็นปกติ หรือเป็นแค่ Back up ของระบบ - แค่ 2 เรื่อง นี้ อุตสาหกรรมการขนส่ง ทางบก ทางอากาศ ก็คงลดตำแหน่งงานไปเยอะมากๆ 

- 'ระบบ Back Office และงาน Operation ที่ใช้คนมหาศาลในปัจจุบัน ส่วนใหญ่ในอนาคตก็จะถูกแทนด้วยหุ่นยนต์ ..เราคงนึกภาพไม่ออก ถ้าเราไม่เคยเห็น Warehouse ของ Amazon ที่หุ่นยนต์ทำหน้าที่ เก็บของ คัดแยกของ และ จัดส่งของ แทบจะแทนแรงงานคนทั้งหมด'

สิ่งที่ผมพอจะคิดได้ตอนนี้คือ 'พัฒนา Skill ที่หุ่นยนต์ทำไม่ได้' เช่น

- 'Service Human Touch' ..เมื่อความแข็งกระด้างถูกแทนในระบบ - ความต้องความนุ่มนวล ความใส่ใจ และ การบริการ จะเปิดอุตสาหกรรมใหม่ด้านอาชีพบริการ ให้มนุษย์ 

...ทักษะที่เราต้องเรียนรู้ เพื่อให้เรารุ่งคือ 'ความรัก' (ความใส่ใจเพื่อนมนุษย์)

- 'Consuming Industry' ..อุตสาหกรรมการบริโภค เช่น กิน เที่ยว ดื่ม หาประสบการณ์ จะเปิดให้มนุษย์ได้มีงานใหม่ๆ ทางด้านนี้มากขึ้น 

...ทักษะที่เราต้องเรียนรู้ คือ 'การสำรวจ และ การตั้งคำถาม' - หุ่นยนต์เก่งการทำงานตามคำสั่ง แต่ขาดทักษะของ การตั้งคำถาม นี่คือ Leadership Skill คือ 'ทักษะของความเป็นผู้นำ'

- 'Negotiations' คือ ทักษะการต่อรอง ..งานที่ทำโดยไม่ต้องใช้การต่อรอง งานทำตาม งานซ้ำๆ เราจะให้หุ่นยนต์ทำ 

..ทักษะที่เราต้องเรียนรู้คือ 'การต่อรอง' 

ถ้าคุณจะขายกาแฟราคาถูก และเน้นการขายให้ราคาถูกลงไปเรื่อยๆ คุณใช้หุ่นยนต์

แต่ถ้าคุณจะขาย Starbucks ที่อัพราคากาแฟให้แพง ขึ้นไปเรื่อยๆ คุณใช้ 'ทักษะของมนุษย์'

จริงๆ แล้ว เมื่อเรานำหุ่นยนต์เข้ามาใช้มากขึ้น มันไม่ได้มาแย่งงานเราหรอก มันมาเพิ่มโอกาสให้เราต่างหาก ...ให้เราทำงานง่ายขึ้น ให้เรามีรายได้มากขึ้น และ ให้เราออกแบบชีวิตที่ตอบโจทย์เราเองมากขึ้น

หลังจากเรียนจบมหาวิทยาลัยในวันนี้ ผมว่า มันแค่จุดเริ่มต้นในโลกของการเรียนรู้ในโลกอนาคต 

ผมว่า เส้นแบ่ง ระหว่าง คนที่มองทุกอย่างเป็นวิกฤต กับ คนที่เห็นทุกอย่างเป็นโอกาส ก็คือ 'การพัฒนาตัวเอง และเรียนรู้อย่างต่อเนื่อง' 

เมื่อเราเพิ่มความรู้ และความเข้าใจในสิ่งที่เราทำมากขึ้น มันจะค่อยๆ เปลี่ยนทุกอุปสรรค และเปลี่ยนทุกวิกฤต ให้กลายเป็นโอกาส !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

https://www.facebook.com/worldeconomicforum/videos/10153863650681479/

วันพุธที่ 26 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ทำอย่างไรเมื่อรถยนต์ไม่ต้องการคนขับ


'อะไรจะเกิดขึ้นเมื่อรถยนต์ไม่ต้องการคนขับ'

ทุกวันนี้เราเห็นข่าวมากมาย พูดเกี่ยวกับ ทั้งบริษัทรถยนต์ และ บริษัทเทคโนโลยีรายใหญ่กระโดดเข้ามาในการสร้าง 'รถยนต์ไร้คนขับ' 

บริษัท UBER ที่เข้ามา Disrupt ให้แท๊กซี่และคนขับรถจำนวนมากตกงาน หรือเปลี่ยนงาน ..ก็ถูก Google ซื้อและดันให้ก้าวไปสู่ 'บริการเคลื่อนคนแบบไร้คนขับ' ในที่สุด

- อาชีพ 'ขับรถ และ การคนส่งทางถนน' กำลังถึงจุดท้าทาย ..ถ้าคุณอยู่ในอาชีพนี้ จะปรับตัวอย่างไร ?

1. ก็ทำต่อไป เรื่องรถยนต์ไร้คนขับคงไม่เกิดง่ายๆ 'ไม่น่าจะเร็ว'

2. กระโดดเข้าไปร่วมกับพวกบริษัทใหม่ๆ เช่น ไปขับรถให้ UBER 'เพราะ UBER คงยังไม่ไปสู่การไร้คนขับ ระหว่างนี้ก็เรียนรู้ ว่า UBER และบริษัทใหม่ๆ เหล่านี้เขาคิดและทำงานกันอย่างไร'

3. เปลี่ยนอาชีพ 'ไม่เป็นแล้ว อาชีพขับรถ' ไปหาอย่างอื่นทำแทน

ก็คงไม่มีทางเลือกที่ดีที่สุด แต่ตัวอย่างที่ยกมานี้เป็นสิ่งที่ทุกอาชีพกำลังจะต้องเจอคือ 'งานเราเจอ Disrupt / อาชีพเรา เจอท้าทาย'

ถ้าย้อนไปดู มันค่อยลามมาเรื่อยๆ ..ร้านโชว์ห่วย / ธุรกิจค้าส่ง / ธุรกิจค้าปลีก / ธุรกิจโรงแรม / สายการบิน / ธุรกิจเพลง / สื่อสิ่งพิมพ์ / นิตยสาร / ทีวี / โฆษณา ...สุดท้ายก็ทุกธุรกิจแหละครับ 'เตรียมตัวได้เลย ไม่ช้าก็เร็ว ก็ต้องถึงเรา'

ผมมี 5 ข้อคิด 'เปลี่ยนเรา ก่อนตกงาน' มาให้คิดกัน 

1. 'ลืมคำว่าอาชีพซะ มันกำลังเป็นคำล้าสมัย' ..ให้คิดให้ออกว่า งานที่เราทำอยู่ 'แก้ปัญหาหรือสร้างประโยชน์อะไรให้กับลูกค้า' ..ถ้ามันแค่ทำไปเรื่อยๆ งานนี้จะค่อยๆ หายไป 'ตกงานครับ' 

('ส่งรถขับพี่ ไม่รับคนไทย' สุดท้ายพอมันไม่ตอบโจทย์ลูกค้า ก็จะมีคนมา Disrupt คุณ)

2. 'เราเก่งอะไรที่คนอื่นไม่เก่ง' ถ้าตอบว่าไม่มี แปลว่า ใกล้ตกงานครับ ..ต้องรีบหา จุดเด่นของตัวเรา แล้วพัฒนาให้ยิ่งโดดเด่น ..อย่าเป็นคนธรรมดาๆ เพราะคนธรรมดาๆ น่ะ ต้องมาเครียดเรื่องถูกแย่งงาน

3. 'อย่ามีรายได้จากแหล่งเดียว เพราะชีวิตจะเสียวเกิน' ..สมัยก่อนการมีรายได้จากทางเดียว มีเงินเดือนก็พอรับได้ ..แต่ยุคนี้ ที่งานเราถูก Disrupt ได้ตลอดเวลา ต้องหารายได้จากหลายทาง ..จะขายของออนไลน์ จะเล่นหุ้น จะขายตรง จะทำอะไรเสริมก็รีบๆทำครับ 

4. 'อย่าหยุดพัฒนาตัวเอง' ..ไม่มีแล้วครับ บริษัทที่จะจ้างงานจนเกษียณ วันดีคืนดี บริษัทที่เราทำงานอยู่อาจจะประกาศเลิกกิจการ 'เจ็งได้ทุกเมื่อ โดยเฉพาะยุค Disrupt อย่างในปัจจุบัน' 

..บริษัท Hertz ผู้ให้บริการรถเช่ารายใหญ่ของโลก อยู่ดีๆ ก็กำลังจะปิดตัว เพราะขาดทุนมหาศาล ..ก็เดี๋ยวนี้จะเช่ารถทำไม เรียก UBER หรือ Grab แทน ง่ายกว่าไหม !! ...ดังนั้น ต้องเรียนรู้สิ่งใหม่ พัฒนาตัวเองตลอดเวลา - ยุคนี้ใบปริญญา เป็นแค่บัตรผ่านประตู พอเดินเข้าประตูชีวิตจริง เขาใช้ฝีมือคุณจริงๆ ไม่ใช้แล้วบัตรผ่านประตู 

5. 'หมั่นถามตัวเองบ่อยๆ ว่า ถ้าหัวหน้างานเดินมายื่นซองขาว ไล่คุณออก!! คุณจะทำอย่างไร ?' ...ถ้าคุณคิดว่า มันจะไม่เกิดขึ้น แปลว่า มันกำลังจะเกิดขึ้นในเร็วๆ นี้ ...ไม่มีใครเขาสนหรอกว่า คุณมีลูกเล็ก มีพ่อแม่ต้องดูแล มีครอบครัว มีหนี้สิน - นั่นคือปัญหาของคุณ !! ...ชีวิตเรา ถ้าเราไม่ดูแล คงไม่มีใครดูแลแทน

เตรียมตัวให้พร้อมกับ ยุค Disrupt ..มันไม่ใช่การพูดสนุกปาก ฟังดูเท่ห์ แต่มันเป็นยุคที่คุณและผม ต้องเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพัฒนาตัวเอง อย่างต่อเนื่อง

'คนที่พร้อมรับการเปลี่ยนแปลง ก็คือ คนที่เตรียมตัวเปลี่ยนแปลงตัวเอง และพัฒนาตัวเอง ..เพื่อรับการเปลี่ยนแปลงครับ' 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

http://www.bloomberg.com/news/articles/2016-10-25/bill-ford-to-silicon-valley-the-future-of-cars-is-in-detroit

วันจันทร์ที่ 24 ตุลาคม พ.ศ. 2559

โรงเรียนที่การันตีเงินเดือนแสนแก่ผู้เรียนจบ


"โรงเรียนที่การันตีเงินเดือนหลักแสนเมื่อเรียนจบ ตั้งอยู่ที่ไหน ?

..ทำไมล่ะ -- ก็ฉันจะส่งลูกไปเรียน

...ถ้าใครจำ Harry Potter ได้ จะจำได้ว่าชานชาลาที่จะพาไป Hogwarts โรงเรียนเวทมนต์ คือ ชานชาลา 9 เศษ 3/4

..นักเรียนต้องวิ่งทะลุกำแพงเข้าไปตรงนั้นถึงจะสามารถไปขึ้น Hogwarts Express ที่จะนำท่านไปสู่ Hogwarts ได้ -- โรงเรียนแนวนี้แหละที่สามารถการันตีเงินเดือนแสนแก่คนเรียน

..เฮ้ย!! มันเป็นนิยายไม่ใช่หรือ ? ...ใช่ไง คุณทราบไหมว่าคนเขียนเรื่อง Harry Potter นาง J.K.Rowing เขาคือคนนึงที่ผ่านโรงเรียน Hogwarts มาเหมือนกัน เพียงแต่มันเป็น Hogwarts ในโลกแห่งความเป็นจริง ที่มีตัวละครเป็นมนุษย์ธรรมดาอย่างคุณและผมนี่แหละ

..ครับ!! ในโลกแห่งความจริงผมเชื่อว่าใครๆก็อยากได้เงินเดือนสูงๆทั้งนั้นแหละ

..อย่างตัวผมเอง เมื่อวันแรกที่เริ่มเป็นลูกจ้าง ผมตั้งเป้าทันทีว่า ผมต้องได้เงินเดือนแสนให้เร็วที่สุด

..แต่ประเด็นคือ จะทำอย่างไร ในเมื่อวันนี้เงินเดือนคุณ 15,000 บาท และพอมองขึ้นไปในองค์ก็เห็นคนที่มีประสบการณ์มากมายที่ยืนกันอยู่อย่างแออัด

..เขาเปรียบเทียบองค์กรในยุคนี้ว่าเหมือนลิฟท์ที่แต่ละชั้นมีคนยืนเต็มอย่างแออัด ยิ่งชั้นสูงขึ้นก็เต็มไปด้วยคนอาวุโสที่ยังคงยึดตำแหน่งและเก้าอี้ของตัวเองอย่างเหนียวแน่น ..ใช่!! ไม่มีที่ว่างให้คุณโตหรอก

..ทำใจซะเถอะ คุณเข้าประตูมาตรงไหนก็ออกไปทางนั้นเสียเถิด ..อ้าว!! เฮ้ย!! แล้ว Hogwarts ที่ผมเกริ่นมาล่ะ มันคืออะไร ไม่เห็นมันเกี่ยวกับเงินเดือนแสนเลย

...พูดจริงๆนะครับพี่ ผมยังไม่เห็นแสงสว่างปลายอุโมงค์ของชีวิตผมเลย ...วันนี้เรียนจบมาก็ขยันทำงานสุดๆ ผลงานก็ดี

..วันนี้มีเมียมีลูก ก็กู้ซื้อบ้านหลังเล็กอยู่ชานเมือง แล้วก็มีรถ Eco car คันเล็กๆ ที่เพิ่งถอยออกมา ...ว่าไปแล้วผมก็ฉลาดนะ ผมใช้ Eco car ก็ประหยัดน้ำมัน

...หลังจากนั้นไม่นาน ชายผู้นี้ก็ได้รับซองขาวจากบริษัทที่เขาทำงาน เชิญให้ออก ...ออก!! คุณว่าไงนะ !! ผมโดนไล่ออก ..แล้วหนี้รถยนต์ หนี้บ้าน ค่าเรียนลูก กับ ภรรยาอ้วนๆของผม ใครจะเลี้ยงล่ะ

...ผมจะทำอย่างไร ผมเครียดจริงๆ -- ว่าแล้วชายผู้นี้ก็เหลือบไปเห็นหนังสือนิยาย Harry Potter เขาเริ่มพลิกอ่านด้วยความรวดเร็ว ความสนุกเริ่มครอบงำ เขาลืมความเจ็บปวดของการโดนไล่ออกจากงานไปชั่วขณะ

..ทันใดนั้นเอง เขาพลิกอ่านมาถึง ชานชาลาที่ 9 เศษ 3/4 ...ตรงที่ Harry Potter กำลังจะพุ่งเข้ากำแพงไป Hogwarts โรงเรียนในตำนาน

...อ่า!! ถึง Climax ของเรื่องนี้พอดี ชายหนุ่ม คนขยัน รักครอบครัว มาถึงทางตันของชีวิต แล้วเขาน่าจะพบทางออกที่ซ่อนความลับไว้ในนิยาย Harry Potter

..แต่ไม่ใช่เลยครับ ในชีวิตจริงมันไม่ได้มี Happy Ending เหมือนอย่างละครน้ำเน่าที่เราชอบดูกัน ..จุดจบของเรื่องนี้คือ สุดท้ายสามีภรรยาทะเลาะกัน ลูกไปติดยา บ้านและรถโดนยึด สามีไปติดเหล้าและการพนัน ผันตัวไปทำงานรับจ้างทั่วไป

...ผมอยากจะบอกคุณว่า เรื่องที่เล่านี้เป็นเรื่องปกติของครอบครัวชั้นกลางที่ลืมวางแผนการเงินตั้งแต่เริ่ม ..จุดพลาดคือ จุดที่เริ่มต้นนั่นแหละครับ

-- หากคุณจะแก้ Plot เรื่องนี้ มันต้องแก้ตั้งแต่ตอนที่ชายคนนี้อยู่โรงเรียน เขาต้องหาตัวเองให้เจอก่อนว่าเขาเหมาะกับทำอะไร

...คุณว่าแปลกไหมที่คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไรหรืออยากเป็นอะไร

-- คุณลองคิดให้ดีซิครับว่าเคล็ดลับของรายได้เป็นแสนเป็นล้านมันเริ่มจากแค่เราตอบคำถามง่ายๆที่ว่า เขาเก่งอะไร เพราะถ้าเรารู้ว่าเราเก่งอะไร เราจะได้เลือกทำสิ่งนั้น ซึ่งเราก็จะทำได้ดี และสุดท้ายก็จะได้เงินดี

-- (ตัวอย่าง Steve Jobs / Bill Gates / Henry Ford / Mark Zuckerberg / Sam Walton / Richard Branson คนเหล่านี้ตอบชัดว่าตัวเองเก่งอะไร แล้วก็ทำในสิ่งนั้น

..มีคนพูดว่า คนเก่งในอเมริกามี 2 ทางให้เลือก คือ

หนึ่ง ถ้าเขารู้ว่าตัวเองต้องทำอะไร เขาจะไป Silicon Valley แล้วมุ่งทำไปตามฝัน

..และสอง ถ้าเขาไม่รู้ว่าต้องทำอะไร เขาจะไป Wall Street ไปหาเงิน

..คนทั้งสองประเภท ระดับความฉลาดไม่แตกต่าง แต่เป้าหมายต่างกันมาก

..ผลลัพธ์คือ ความแตกต่างระหว่างมนุษย์เงินเดือนกับ เศรษฐีผู้เปลี่ยนโลก)

...ใช่!! ก่อนที่จะเดินต่อไปแบบ งงๆ ชีวิต

..ลองตอบคำถามง่ายๆนี้ก่อนว่า คุณเก่งอะไร และเหมาะจะทำอะไร"

..ตอบได้ ก็เท่ากับว่าคุณเป็นส่วนน้อยในประเทศที่มีเป้าหมายชัดเจน และมีโอกาสรวยและประสบความสำเร็จได้มากกว่าคนทั่วไปครับ

-- ลองตอบดู !! (แปลกไหมล่ะ เด็กๆเรารู้ชัดเจนเลยว่าเราเก่งอะไร แล้วโตขึ้นเราอยากเป็นอะไร ...แต่ยิ่งเราโตขึ้น เรายิ่งไม่รู้ว่าเราเก่งอะไร แล้วจริงๆเราอยากทำอะไร

..หนักกว่านั้น วันนี้คนส่วนใหญ่ไม่รู้แล้วว่าจริงๆ เขาอยากที่จะทำอะไรด้วยซ้ำ!!

...คุณรู้ไหมว่าทำไม คนเรายิ่งโต ยิ่งไม่รู้จักตัวเอง -- ครับ!! ก็เพราะเราโดนหนี้ และภาระต่างๆ เข้าครอบงำ

..ทางแก้คือ หยุดคิดสักนิดแล้วลอง List ออกมาดูซิว่าวันนี้อะไรที่เราต้องทำ ..(เยอะเนอะ)

..ลองตอบซิว่าไอ้ที่ต้องทำ คุณทำไปเพื่ออะไร ..(ทำไมเราต้องทำงานหนักเพื่อซื้อสิ่งที่เราไม่ได้อยากได้จริงๆ)

...ถ้าเราค่อยๆตัดเป้าหมายที่ไม่จำเป็นออกไป ชีวิตและเป้าหมายคุณจะดีขึ้น ชัดเจนขึ้น และเหนื่อยน้อยลง)

...เราตอบสนองความอยากที่เกินความจำเป็น นั่นเอง ..ลดได้ ชีวิตจะฉลาดขึ้น และประสบความสำเร็จมากขึ้น

..เรื่องเงินเดือนแสนมันเป็นเป้าหมายหลอก เพราะเราไม่ได้ต้องการมันจริงๆ

..'ชีวิตเรามีฝัน มีเป้าหมายที่ยิ่งใหญ่กว่าแค่เงินและสิ่งของที่เราอยากได้คิดดีๆ!!'

..คนที่ตอบโจทย์ที่แท้จริงของตัวเองได้ เขารวยกว่านั้น เก่งกว่านั้น และมีความสุขมากกว่านั้น!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

ต้องมองอย่างไร ในระบบทุนนิยม


"อะไรคือ Asset ที่มีค่ามากที่สุดในโลก ? ..จริงๆ คือ มนุษย์ เพราะ Asset ทุกอย่างบนโลกนี้ที่มีราคาก็เพราะมนุษย์เป็นคนให้ค่ามัน เช่น ทองคำ มีค่าในสายตามนุษย์ แต่สัตว์อื่นๆ ไม่ให้ค่าทองคำแต่อย่างใด

 ..เอากล้วย กับ ทอง ยื่นให้ลิง คุณเชื่อไหมว่าลิงเอากล้วย ..555 -- ใช่!! หลายคนคงเริ่มคิดต่อไปว่า ในเมื่อมนุษย์มีค่ามากที่สุด แล้วอะไรมีค่ามากที่สุดต่อมนุษย์

 ...ครับ !! เวลา ไง ..เวลาคือ สิ่งที่มีค่าที่สุดต่อชีวิตทุกคน เพราะเรามีจำกัด -- คนสามารถหาเงินได้เป็นร้อยล้าน พันล้าน แต่ไม่สามารถอยู่นานกว่าร้อยปี 

...แต่แปลกไหมที่เรากลับเอาเวลาเรามาขายแลกเงินในราคาที่ถูกมากๆ

 ...เวลาของเด็กจบใหม่ คือ 15,000 บาทต่อเดือน ..เวลาของแรงงานไทย 300 บาทต่อวัน ..แรงงานพม่าก็ต่ำกว่านั้นอีก ...ตกลง คุณเข้าใจไหมว่า ทำไมเวลาของแต่ละคนถึงมีค่าต่างกันทั้งๆที่เวลาคือสิ่งที่มีค่ามากที่สุด ? 

-- ถ้าคุณเข้าใจ ความแตกต่างของราคาของเวลาของคนแต่ละคน คุณจะเข้าใจกลไกของทุนนิยม ที่สร้างระบบทาสขึ้นมาใหม่ ผ่าน 3 สิ่ง คือ 

หนึ่ง เงิน 

สอง Asset 

และ สาม หนี้

 ...ทาสในระบบทุนนิยมคือ คนที่เป็นหนี้ ทุ่มเวลาทั้งหมดของชีวิตทำงานที่ไม่อยากทำ เพียงเพื่อต้องการผ่อนหนี้ เพื่อให้ครอบครัวของตัวเองมีบ้าน และมีรถยนต์

 ...ใช่หรือ ? บ้าน และ รถยนต์ แลกกับ เวลา ทั้งชีวิตของเรา -- คุณลองตีค่าของเวลาใหม่ซิ คุณแปลกใจไหมว่า บางคนทำไมเขาสามารถขายเวลาของตัวเองได้แพงมากๆ แล้วบริษัทใหญ่ก็ยอมจ่าย ในขณะที่ทำไมแรงงานของฉันมันถูกจริงๆ 

...ยิ่งถ้าเราเป็นเจ้าของกิจการ ลองหารคำนวณดูซิว่า เวลาคุณยิ่งถูกกว่าค่าแรงขั้นต่ำเสียอีก

 ...กุญแจไขความลับของกลไกเรื่องค่าแรงที่แตกต่างกันนี้ต้องเข้าใจเรื่องของ Demand & Supply ในทุกๆอย่าง

 ...คือ แรงงานที่ราคาถูกเพราะความสามารถของเขาเอาใครทำก็ได้ ..แต่แรงงานราคาแพง คือ งานของเขามีคนทำแทนได้นัอย

 ..ครับ!! งานที่ค่าจ้างแพงทำแล้วรวยสบายในระบบทุนนิยม ต้อง Supply น้อยๆ และ Demand มากๆ นั่นเอง"

"เลือกเรียนรู้ เชี่ยวชาญ และ ทำสิ่งที่คนส่วนใหญ่ไม่ค่อยทำ นั่นแหละเคล็ดลับความสำเร็จในระบบทุนนิยม" 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันอาทิตย์ที่ 23 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วิธีก้าวหน้าจากงานที่ทำ


'ใช้วิธีอะไร ให้เราไปได้ไกลกว่าเดิม!!'

ฮึม!! อันนี้ไม่เหมาะกับคนที่ชิวอยู่ตรงจุดที่ยืน สบายตรงนี้ ดีอยู่แล้ว 

...แต่เหมาะกับคนที่รู้สึกว่า 'ทำงานหนักเหนื่อย อยากก้าวหน้า แต่มันเหมือนย่ำอยู่ที่เดิม ตำแหน่งเดิม งานเหมือนเดิม ทำไปเดิมๆ เงินเดือนเท่าเดิม' 

มีวิธีการเริ่มต้น ดันตัวเองไปข้างหน้า ดังนี้

1. 'เรียนรู้สิ่งใหม่' ก็ความรู้ที่มีอยู่เดิม มันพาเรามาถึงจุดที่เรายืน การจะไปต่อที่จุดใหม่ มันต้องใส่เชื้อเพลิงเข้าไป ..เชื้อเพลิงของชีวิต ก็คือ 'ความรู้ใหม่' ที่เราใส่เพื่อพัฒนาตัวเรา

2. 'ขยายสิ่งที่ทำ' ..บางคนชอบทำงานเหมือนเดิม แต่อยากก้าวหน้า ก็ไม่ต้องเปลี่ยนสิ่งที่ทำก็ได้ เพียงแต่ขยายสิ่งที่ทำ ..การขยายสิ่งที่ทำคือ การขยายให้คนที่ได้ประโยชน์จากผลงานเรามากขึ้น เช่น สมมุติเราชอบสอนพิเศษเด็ก เราก็ขยายสอนหลายคนขึ้น สอนเป็นกลุ่ม หรือ สอนบนออนไลน์ก็ว่ากันไป 'ขยายประโยชน์จากผลงานของเราให้มีคนได้ประโยชน์มากขึ้น'

3. 'หาแนวร่วม' เชื่อหรือไม่ว่า ธุรกิจใหญ่โตแค่ไหน มันก็เริ่มจากสองคนนั่นแหละ ..เจ้าของ หาแนวร่วมแล้วขยายสิ่งที่ทำออกไป ..บางทีจุดเริ่มมันไม่ต้องใช้เงินมากมาย 'ใช้ใจ และ ช่วยกันไป ก็เริ่มได้เหมือนกันนะ'

4. 'ขี้เกียจให้มากขึ้น' ..แต่ขี้เกียจขึ้น แต่ผลงานต้องไม่ลดลง และควรเพิ่มขึ้นด้วย ...บางครั้งเราทำงานหนัก แต่ลืมนึกไปว่า แค่เปลี่ยนวิธีการทำเล็กน้อย เราอาจทำงานน้อยลง แต่ได้ผลงานเพิ่มขึ้น ..'ขี้เกียจทำ ต้องคิด ให้ออก - ทำไง ให้ทำงานเบาลง แต่ผลงานไม่ลดลง แถมเพิ่มขึ้นด้วย' ...มนุษย์เราเก่งคิดใช้เครื่องทุ่นแรงอยู่แล้ว นี่แหละโอกาสการเติบโต

5. 'ให้เงินทำงานให้เราบ้าง' ...ผมเชื่อเสมอว่า ทุกคนต้องทำงานหนัก แต่พอเราทำหนักถึงจุดนึง มันก็ต้องมาคิดว่า เมื่อไหร่สิ่งที่เราสร้าง จะเริ่มกลับมาเลี้ยงดูเรา ..ไม่งั้นก็กลายเป็นว่า ตัวเราขายแรงงานชั่วชีวิต ไม่มีทางหยุดได้ ....การเรียนรู้วิธีให้เงินทำงาน เช่น การออมในหุ้น การลงทุนในอสังหา จะช่วยปลดเวลาของเรา ให้เรามีเวลาไปก้าวหน้าเพิ่ม หรือ ริเริ่มสิ่งที่ฝันจะทำ

ลองดู 5 วิธีนี้ น่าจะเป็นจุดก้าวหน้าให้ตัวเราได้ครับ

จัดไป !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันศุกร์ที่ 21 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ฮัลโหล ..ตลาดหุ้นแบบนี้ยังออมในหุ้นได้หรือ


ฮัลโหล ๆ ...'มีคนถามผมว่า ออมในหุ้น ยังใช้ได้อยู่ไหม ..ผ่านตลาดผันผวน มีข่าวลือสงครามโลกเข้ามาอีก ..แถมตลาดก็ขึ้นมาเยอะ - มันยังจะออมในหุ้นได้ไหม ?'


ตอบ 'ได้ครับ' แต่ต้องเลือกหุ้นตามมูลค่า ไม่ใช่เล่นหุ้นตลาดที่เชียร์ๆกัน พวกนั้นหุ้นมันแพงแล้วครับ


การเลือกหุ้นจากมูลค่า มันสามารถซื้อได้ทุกเมื่อเมื่อราคาหุ้นมันถูก ซึ่งไม่ได้เกี่ยวกับการขึ้นลงของตลาดมากนัก


พูดง่ายๆ หุ้นมัน อินดี้ ..คนไม่สนใจมัน ส่วนใหญ่มันอาจเป็นธุรกิจที่ไม่เซ็กซี่ อาจมีข่าวร้าย หรือ คนพูดว่ามันไม่มีอนาคต ? ...แต่เราดูงบ ดูมูลค่าแล้ว 'มันไม่ได้แย่อย่างที่คนอื่นๆคิดนี่น่า ..แถมราคาถูก'


หุ้นถูก หมายความว่าอะไร - 'ก็หมายความว่า มันคุ้มตั้งแต่จุดที่เราซื้อเลย' เช่น หุ้นราคา 10 บาท มันปันผล 1 บาททุกปี และมีแนวโน้มเพิ่มขึ้น ..แปลว่า หุ้นแบบนี้ผมถือไม่เกิน 10 ปี ผมก็ได้เงินคืนแล้ว จากแค่เงินปันผล ...จากนั้น ถ้าถือออมในหุ้นต่อไป มันก็คือเครื่องผลิตเงินดีๆ นี่เอง


คนอื่นไม่ชอบ แต่ผมว่า คุ้ม !! ...


นี่แหละ 'ออมในหุ้น' ก็ลองพิจารณาเป็นทางเลือกในการลงทุนบางส่วนในชีวิตก็น่าสนใจไม่น้อย โดยเฉพาะในยุคที่ออมเงินในธนาคารแทบไม่มีผลตอบแทน - 'ลองพิจารณากันดู คิดให้ทำ ทำให้รู้ เพราะรู้แล้วรวย ..ไปด้วยกัน'


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันจันทร์ที่ 10 ตุลาคม พ.ศ. 2559

ข้อควรปฏิบัติในวันที่ตลาดหุ้นซัดเม่าจนมึน !!


วันนี้เดินเข้าห้องค้า ก็มีคนวิ่งเข้ามาถามเลย ...เขาบอกว่า เครียดจริงๆ หุ้นลงทำไงดี ?

ผมก็แนะนำไปว่า 'ถ้าเล่นหุ้นแล้วเครียด ถือหุ้นแล้วไม่มีความสุข แสดงว่า ..หนึ่ง แนวทางการลงทุนอันนั้นไม่เหมาะกับเรา หรือ..สอง เราอาจจะไม่เข้าใจว่าทำอะไรอยู่?'

ต้องถามตัวเองก่อนว่า 'คุณเป็นปัญหาแบบ หนึ่ง หรือ สอง'

แบบหนึ่ง : 'แนวทางการลงทุนที่ลงไม่เหมาะกับคุณ' คือ ถ้าคุณลงทุนระยะยาว เวลาตลาดลงแรงๆ คือเวลาที่คุณทยอยซื้อหุ้นที่คุณ List เอาไว้ (ก็แบ่งไม้ ซื้อ ตามที่ผมเคยโพสแนะนำก่อนหน้านี้ เช่น แบ่งไม้ซื้อแบบปิรามิต ..ก็แปลว่า เวลาหุ้นลงแรงคือ โอกาสทยอยเก็บหุ้นระยะยาว ที่เราวางไว้ ไม่ต้อง Panic ไม่ต้องตื่นเต้น) 

แต่ถ้าคุณเล่นสั้น ถ้าหุ้นลงมาถึงจุด Stop Loss ก็ไม่ต้องลังเล Cut Loss เลย (ซึ่งผมก็เคยโพสแนะนำ วิธี Cut Loss ลงดอย ไว้ก่อนหน้านี้ ..ทำตามแผน ไม่ต้องมาลุ้นว่า เดี๋ยวก็ขึ้นน่า พวกลุ้นส่วนใหญ่ ยิ่งลึก ผมฟันธงให้เลยจากประสบการณ์ครับ)

แบบที่สอง : 'คุณไม่เข้าใจว่า คุณทำอะไรอยู่' - คนส่วนใหญ่จะเป็นแบบที่สองนี่แหละ คือ เข้าตลาดมา งงๆ มีคนชวนเข้ามา ตอนตลาดดี ก็ซื้อขายกำไรแบบ งงๆ ..คนที่เข้ามาแล้วไม่ศึกษา แล้วลงทุนให้มีความรู้ มีแบบแผน สุดท้ายก็จะขาดทุนแบบ งงๆ ...ตลาดขึ้นก็ดีใจ ตลาดลงก็ร้องไห้ เหมือนคนเสียสติ (ไม่ดีครับ !! ...ลงทุนให้ดี ต้องมีความรู้ ต้องวางแผน แล้วเข้าใจสิ่งที่ตัวเองทำครับ) 

โพสนี้ไม่มีอะไร แค่อยากจะแชร์มุมมองว่า 'การลงทุนในหุ้น ให้พยายามทำความเข้าใจ และศึกษาเอาจริง ...เงินในตลาดหุ้นหาง่ายก็จริง แต่เวลาเสียก็เสียเร็วเช่นกัน'

เอาใจช่วยครับ (อ๋อ!! ผมเอา เทคนิค ลงดอยมาฝาก ข้างล่าง เผื่อใครไม่เคยอ่านครับ)

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

--------------------------------

10 ข้อรู้ไว้ใช้ลงดอย (หุ้น)

1. เมื่อรู้ตัวว่า 'ติดดอย'(หุ้น) ให้ Cut Loss ออกครึ่งนึง ..เพราะโดยมากคนติดดอยตัวจะแข็งแล้วทนให้หุ้นลงลึก ลึก ลึก ลึกจนตัวแข็ง น้ำตาไหล และอยากจะเลิกเล่นหุ้น

2. ให้วางแนวรับแนวต้าน เพื่อมองหาจุดกลับตัว (ตรงนี้ถ้ามีความรู้ Technical ในการตี Trendline หา 'แนวรับ' และ 'แนวต้าน' จะช่วยได้เยอะเลย)

3. เมื่อหุ้นดิ่งเหวมาถึง 'แนวรับ' มันจะ นิ่งวิ่งออกข้างอยู่แถวๆ นั้น จุดนี้คือจุดรอตัดสินใจว่า 'จะ Cut Loss ทิ้งที่เหลือ ถ้าราคาหลุดจุดนี้ เพราะถ้าหลุดหุ้นจะลงอีกลึก ลึกจับใจ' ..ถ้าไม่หลุด ก็เก็บหุ้นติดดอยอีกครึ่งนึงไว้ไม่ต้องขาย ลุ้น!!

4. พอหุ้นติดดอยเริ่มเด้ง ให้เราตีแนวต้าน (ตีทำไม ? ..ตีเพราะโดยสถิติ เวลาหุ้นเด้งขึ้นมา มันแทบจะไม่มีทางวิ่งกลับไปทันที มันมักจะเด้งเพื่อลงกลับมาที่เดิม)

5. ถ้าผ่านแนวต้านให้ถือต่อ แต่ถ้าไม่ผ่านแนวต้านให้ขายหุ้นติดดอยที่เหลือซะ (เพราะถ้าถือไว้ คุณทำใจได้เลยว่า นาน ..อาจจะนานจนคุณไม่อยากรู้ว่ามันจะนานทรมานอีกแค่ไหน)

6. 'เฮ้ย!! กรูขาดทุน' - คุณขาดทุนตั้งแต่คุณดันถือหุ้นเก็งกำไรตั้งแต่ยอดดอยแล้ว (ที่แนะนำ 5 ข้อ แค่ช่วยให้คุณขาดทุนน้อยลง และอึดอัดน้อยลงเท่านั้นเอง)

7. 'บทเรียนที่ได้จากการติดดอยคือ อย่าติดดอย' ..หุ้นทุกตัวที่เล่นสั้น ต้องวาง Stop Loss ไม่ควรปล่อยให้ลงลึกเกิน 10% ถ้าซื้อแล้วมันลง 10% มันแปลว่า คุณเข้าผิดจังหวะ ..ให้ Cut Loss ทันที เลียแผล แล้วก็ค่อยรอเล่นรอบใหม่

8. 'ให้รู้ไว้ว่าทุกคนเคยติดดอย ไม่ต้องเสียใจ' ..เหมือนหัดว่ายน้ำ ใครไม่เคยสำลักน้ำแสดงว่ามันไม่เคยว่ายน้ำ ..พอผ่านได้เดี๋ยวคุณก็จะเก่งขึ้นและรวยขึ้น พร้อมจิตใจที่แข็งแกร่งขึ้นเอง

9. 'คำคมวันนี้ คือ ไม่มีวิธีลงดอยที่ไม่เจ็บตัว' ..เจ็บ แล้วจำ ..พอทำแล้วปรับปรุง ชีวิตนักลงทุนมันจะค่อยๆ ดีขึ้น

10. 'อย่าล้มเลิกความตั้งใจ' ..ล้มกี่ครั้งก็ได้ ขออย่าเลิก แล้วสุดท้ายมันก็จะสำเร็จ

- ไม่ได้พูดให้กำลังใจ แต่จะบอกว่า นักลงทุนรุ่นพี่ที่เขามาสอน เขาโดนมาหนักเหมือนเราแหละ 

..No Pain No Gain'

นี่ไม่ใช้สูตรสำเร็จแก้ติดดอย แต่ก็อาจจะช่วยให้เข้าใจอะไรมากขึ้นนะครับ ..สู้ต่อไป!!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันอาทิตย์ที่ 9 ตุลาคม พ.ศ. 2559

วิธีอยู่ในตลาดหุ้นตลอดไป เล่นหุ้นยาวให้เลย


10 หลักการลงทุน 'อยู่กับหุ้นไทยยาวๆ - แล้วได้เงินเรื่อยๆ'

1. 'ซื้อหุ้น ให้คิดเหมือนเราหาซื้อที่ดิน'

2. 'ศึกษาทำเลอย่างจริงจัง ไม่แห่ซื้อทำเลยอดฮิต ..ลองทบทวนดีๆ เราจะพบว่า ทำเลยอดฮิตคนซื้อตามเขามักจะซวย ไม่ได้กำไร'

3. 'ใช้เงินกรู อย่าเอาเงินกู้มาเล่น'

4. 'อย่าซื้อเก็งกำไร ให้ซื้อเก็งปันผล ...ราคาหุ้นขึ้นๆลงๆ ตามอารมณ์ แต่ปันผลมันขึ้นตามธุรกิจจริง'

5. 'อย่าขาย ถือไปเลย คิดจะว่าเก็บเป็นมรดกให้ลูกหลาน  ..ลองคิดซิว่า เราเอาหุ้นอะไรให้ลูกหลานแล้วเขาจะสรรเสริญเรา -- อย่าให้ลูกหลานด่า เราว่า โห!! ไรวะ ตระกูลเราเล่นแต่หุ้นปั่น มองแต่อะไรใกล้ๆ ไร้วิสัยทัศน์ ..เอ้า!! ติดหุ้นทั้งที ขอหุ้นดีมีปันผลนะ' 

6. 'หุ้นดี คือ ห่านทองคำ ในโลกความเป็นจริง ...เพราะหุ้นดีปันผลให้เราเลี้ยงเรา ..แถมปันผลโตไปเรื่อยๆ ดีกว่าเงินเดือน ดีกว่าถูกหวย เพราะไม่ต้องลุ้น มันจ่ายตลอด'

7. 'อยากซื้อหุ้นถูก ซื้อข่าวร้ายดิ ..ข่าวร้ายมันทำให้เราตาสว่าง และมองเห็นสิ่งที่เป็นจริง ...ข่าวตลาด คนบ่นติดหุ้น ..โอ้ย!! ติดดอย ..โอ้ย!! ขาดทุนหนัก -- นั่นแหละเวลาซื้อหุ้นถูก'

8. 'ไม่มีใครเขา อยากให้คุณรวย อย่าเชื่อคนง่าย อย่าหูเบา ...ถ้าเขาชัวร์เขาไม่บอกคุณหรอก ..ท่องไว้ครับ อย่าหูเบา!!' ..เพราะค่าความไม่รู้ในตลาดหุ้นมันราคาแพงมาก

9. 'กระจายความเสี่ยง ...อยากให้บริษัทไหนเลี้ยงเรา ก็ซื้อหุ้นเขาในข่าวร้าย แล้วถือชั่วชีวิต' ...แค่รับปันผล ถือสัก 10 ปี ก็ได้เงินต้นคืนแล้ว ...อย่าคิดแต่อะไรสั้นๆ คนรวยเขาต้องหัดคิดยาว ...10 ปี ทนไม่ได้ อย่าริอาจคิดจะเป็นคนรวย (โห!! แรง แต่จริงไง)

10. 'เริ่มเลย ..เงินหลักร้อย หลักพันบาท ซื้อๆไปซิ มันเหมือนที่ดิน แต่มันทยอยซื้อได้ แบ่งซื้อได้ แล้วยิ่งถือยาวมันยิ่งรวย เงินหลักร้อย หลักพัน ถือทนรวยให้มันขึ้น 10 เด้ง 100 เด้ง แบบหุ้นมันก็เยอะนะ 

...คนออมในหุ้นเป็น จะรวยกว่าคนที่ออมในธนาคาร อย่างน้อย 10 เท่า - ลองไปคำนวณซิครับ'

เริ่มเรียนรู้ ลงทุนเถิด ...รู้ช้า เริ่มช้า ชีวิตมันแพงไปเรื่อยๆ 


#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


วันศุกร์ที่ 7 ตุลาคม พ.ศ. 2559

8 ข้อควรระวัง ไม่ให้ชีวิตพังเพราะติดหุ้น


8 สิ่งควรระวัง หลีกหนีให้ไกล ของมือใหม่ ที่อยากไกลดอยหุ้น !!

ในตลาดหุ้นเหมือนจะทำเงินไม่ยาก แต่ในอีกด้านก็พาแมลงเม่า ขึ้นดอยมาแบบนับศพไม่ถ้วน ...เรามาดู 8 เหตุผลหลักๆ ของ สิ่งที่พาขึ้นดอย มีดังนี้

1. 'ซื้อหุ้นตามเพื่อน' ..กว่าเพื่อนจะบอกคุณ มันใกล้ยอดดอยแล้วครับ ..ถ้าจะซื้อหุ้นที่ตีนดอย คุณต้องซื้อก่อนเพื่อนซิ !! ..ซื้อตามทำไม ซื้อนำเลย

2. 'ซื้อหุ้นตามเซียน' ..ถ้าคุณได้ยินชื่อหุ้นจากเซียนในสื่อที่ใครๆ ก็เข้าถึง ..แปลว่า มันปลายดอยแล้ว ..เชื่อเถอะมีคนซื้อก่อนคุณ 

3. 'ชอบซื้อหุ้นพื้นฐานดี ในข่าวดี และใครๆ ก็พูดถึงหุ้นตัวนี้กัน' ...หุ้นพื้นฐานดี ก็วิ่งขึ้นลงเป็นรอบ ..กว่าครึ่งของคนที่ซื้อหุ้นติดยอดดอย แล้วสุดท้ายขาดทุนเกิน 50% ก็คือคนซื้อหุ้นพื้นฐานดี ตอนที่มีแต่ข่าวดี ..ถ้าคุณมีนิสัยชอบซื้อหุ้นดีในข่าวดี ให้ระวังตัวให้มากครับ

4. 'ชอบซื้อหุ้นปั่น ในข่าวดี' ..อันนี้แย่กว่าข้อ 3 อีก เพราะนอกจากจะซื้อหุ้นเน่าแล้ว ยังซื้อในข่าวดี ซึ่งเป็นเวลาที่มันแพงที่สุด ..คนซื้อขยะ ในเวลาที่แพงที่สุดแบบนี้ จะเสียหายมากกว่า 70% ...อันตรายอย่างมาก ใครเป็นแบบนี้ต้องลดความโลภ และเพิ่มความรู้อย่างด่วน

5. 'คนที่ชอบเล่นสั้น แต่ดัน Cut Loss ไม่เป็น' ...คนกว่า 80% ที่ติดดอย เขาก็คิดว่าตัวเองจะออกทันทั้งนั้นแหละ หรือ คิดว่าหุ้นพื้นฐานดี คงลงไม่เยอะ (ไม่มีหรอกครับ ที่พูดว่าไม่ขายไม่ขาดทุน) ...จำไว้เลยครับ หุ้นเวลาจบรอบ จะลง 50-70% นั่นแหละจุดนัดพบของคนไม่ Cut Loss 

6. 'หุ้นยอดฮิต' ทุกๆ รอบที่ตลาดร้อนแรง จะมีหุ้นเด็ดประจำตลาดทุกๆ ครั้ง ...หุ้นเหล่านี้แหละที่คนส่วนใหญ่ถูกล่อให้เข้าไปติด ...ถ้าเราอยู่ในตลาดจนเข้าใจ จะรู้เลยว่า ข่าวดีมีไว้ล่อเม่า แต่ข่าวร้ายเอาไว้ค้นหาเซียนคนต่อไป !!

7. 'ถ้าคุณยังไม่เคยผ่านตลาดหุ้นช่วงเล่นยาก อย่าคิดจะเทรดหุ้นเป็นรายได้หลัก' ..ในตลาดหุ้นมันมีช่วงหาเงินง่าย กับช่วงหาเงินยาก ..ถ้าคุณยังไม่ผ่านทั้ง 2 ช่วง อย่าคิดจะหารายได้หลักจากหุ้น ..เพราะช่วงหาเงินยากมันยากจริงๆ และมันเป็นฤดูหนาวเหน็บที่ยาวนาน 

8. 'การทำกำไรจากตลาดหุ้น ยิ่งต้องการเงินเร็วยิ่งยาก ..แต่ถ้าต้องการทำเงินช้า มันแทบไม่มีความเสี่ยงเลย' ...ศึกษาให้เข้าใจทั้งสั้นและยาว จะช่วยให้คุณอยู่รอดและรวยจากตลาดหุ้นครับ

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันพฤหัสบดีที่ 6 ตุลาคม พ.ศ. 2559

5 หลักการลงทุนแบบคนไม่มีเวลา


5 หลักการลงทุนแบบคนไม่มีเวลา

คนส่วนใหญ่มักคิดว่า คนเล่นหุ้นต้องมีเวลา ต้องเล่นเร็ว ต้องมีความรู้มาก และต้องมีข้อมูลวงใน ..แต่จริงๆ แล้ว หุ้นสามารถลงทุนแบบคนไม่มีเวลาก็ได้ 

การลงทุนแบบคนไม่มีเวลาจะเหมาะกับ นักธุรกิจที่ต้องให้ความสำคัญต่อธุรกิจของตัวเอง หรือ พนักงานประจำที่ไม่เวลามานั่งเฝ้าดูหุ้น ...ซึ่งสามารถทำได้ดังนี้

1. การซื้อหุ้นแบบลงทุนในที่ดิน ..คือ ค้นหาหุ้นตามพื้นฐานของธุรกิจเป็นหลัก ..เหมือนการค้นหาที่ดินที่ทำเลดี - 'หลักการนี้คือให้ความสำคัญกับมูลค่า มากกว่าราคา'

2. คาดหวังผลตอบแทนจากหุ้น โดยมองที่ปันผลเป็นหลัก ...แล้วค่อยๆ รวยจากปันผลที่ค่อยๆ เติบโต - หลักการนี้ คือ การซื้อหุ้นที่กิจการเติบโตขึ้นเรื่อยๆ ตามการเติบโตของประเทศ ...คล้ายๆ กับการซื้อที่ดินแล้วปล่อยเช่า เก็บค่าเช่ากินเรื่อยๆ

3. ซื้อหุ้นดีในเวลาที่มีวิกฤต หรือมีข่าวร้าย ...สิ่งที่เราต้องเข้าใจคือ เข้าใจธุรกิจ และอ่านงบการเงินแบบง่ายๆ เข้าใจว่า ..เพราะคนที่จะกล้าซื้อหุ้นในเวลาที่มีข่าวร้าย เราต้องศึกษาและเข้าใจธุรกิจจริงๆ มากกว่าคนที่ซื้อในข่าวดี - การลงทุนตามข่าวร้ายจะซื้อหุ้นได้ราคาถูกกว่าเสมอ

4. ซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย ..ถ้าเราตั้งโจทย์ว่า เราจะซื้อหุ้นแล้วไม่ขาย จะช่วยให้เราแทบจะหลีกเลี่ยงหุ้นปั่นโดยอัตโนมัติ ..เรียกได้ว่า สามารถช่วยให้เราไม่ตกเป็นเม่าในตลาดหุ้นนั่นเอง

5. ทยอยซื้อหุ้นเรื่อยๆ ตลอดไป ...จุดเด่นของหุ้นที่เหนือกว่าที่ดิน ก็คือ คนเงินน้อยสามารถทยอยซื้อหุ้นได้ ..พูดง่ายๆ ว่าไม่ต้องรอให้มีเงินเยอะๆ แล้วจึงเริ่ม แต่สามารถเริ่มและเพิ่มพูนประสบการณ์ตั้งแต่วันที่เรายังมีเงินน้อย ..สุดท้ายเราจะเข้าใจตลาดและค่อยๆ รวยอย่างมั่นคง

ทั้ง 5 วิธีที่กล่าว คือ แนวทางสร้างพอร์ตให้ สุดท้ายการลงทุนจะเลี้ยงเรา แบบออมในหุ้นนั่นเอง

การที่เราจะมีชีวิตที่ไม่ต้องเครียดเรื่องเงิน ก็คือ การปั้นพอร์ตที่จะเลี้ยงเราจากเงินปันผล และให้มันโตไปเรื่อยๆ 

แนวทางนี้ เหมาะกับการสร้างพอร์ตให้เงินทำงานแทนเรา ในยุคนี้การออมเงินปกติ หรือ ฝากเงินธนาคารดอกเบี้ยเกือบ 0% ไม่สามารถตอบโจทย์ชีวิตอีกต่อไป

'ถ้าเราจะลงทุน แต่ไม่มีเวลา ให้เพิ่มความรู้ ..นี่คือ การเอาชนะและเป็นนายของเงินที่แจ๋วที่สุดในโลกปัจจุบัน!!'

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม

วันพุธที่ 5 ตุลาคม พ.ศ. 2559

'คอร์สมือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น' ..เอาใจคนมือใหม่สุดๆ เริ่มง่ายๆ ราคาประหยัด


มาตามคำเรียกร้อง 'คอร์สมือใหม่มาก อยากเล่นหุ้น' : Stock Super Basic (คอร์สที่จัดพิเศษสำหรับ คนที่ไม่ใช่แค่มือใหม่ธรรมดา ..แต่สำหรับมือใหม่มากๆ ที่อยากเล่นหุ้น แต่ไม่รู้จะเริ่มตรงไหน ยังไง? ..ก็คอร์สนี้เลยคือคำตอบ)

อันนี้เหมาะสำหรับ

- ไม่รู้อะไรเกี่ยวกับหุ้นเลย ไม่มีพื้นฐานเลย แต่อยากเล่นหุ้น 

- เริ่มสอนตั้งแต่ เบสิคสุดๆ คือ แกะตั้งแต่วิธีคิด 'ไม่มีความรู้ / ไม่ได้มีเงินมาก / ไม่มีเวลา' - แต่อยากเริ่มอยากเรียน !!

: คอร์สนี้เริ่มตั้งแต่ตอบโจทย์ให้ความรู้แบบง่ายๆ และให้คนที่มีเวลาจำกัด โดยคอร์สนี้ ออกแบบการเรียนการสอน ผ่าน Facebook Close Group (กลุ่มปิด) ..โดยผมและหยงจะโพส VDO สอนใน FB กลุ่มปิดทุกวัน เป็นเวลาประมาณ 1 เดือน ...ใช้เวลาเรียนออนไลน์วันละไม่เกิน ครึ่งชั่วโมง 

- ในเวลา 1 เดือน ผู้เรียนสามารถดูออนไลน์เวลาไหนก็ได้ ..จะดูตอนที่ผมกับหยง โพสวีดีโอให้ทุกเช้า แล้วดูตาม ถามสด หรือ กลับมาดูหลังเลิกงาน แล้วค่อยทิ้งคำถามไว้ก็ได้ (หลังจากเรียนจบ 30 วัน ถ้าใครมีคำถาม ผมกับหยง ก็เปิดให้ถามต่ออีก 1 เดือน หลังจากที่จบคอร์ส) ..ส่วนหลังจากนั้น วีดีโอ ก็จะยังอยู่ใน Facebook Close Group เรียนซ้ำได้ตลอด

- ดูผ่านออนไลน์วันละนิด 'ดูตอนไหนก็ได้ ถ้าวันนั้นไม่ว่าง ก็ดูวันถัดไปได้' ..ถ้ามีคำถามก็ยิงถามใน Facebook Close Group ได้เลย 

- สอนตั้งแต่วิธีคิด และวิธีทำ แบบเป็นขั้นตอนง่ายๆ : เริ่มจากการคลิ๊กซื้อขายหุ้นหลักพันบาท ..แค๊ปหน้าจอสอนตั้งแต่การใช้ Streaming กดซื้อขายหุ้น ..โชว์ตัวอย่างตั้งแต่ การคัดเลือกหุ้นแบบง่ายๆ ด้วยตัวเอง ..การใช้กราฟเบื้องต้นแบบง่ายๆ และสั่งคำสั่งซื้อและขายหุ้น ใช้เงินจริงซื้อกันสดๆ 

- เป็นคอร์สราคาประหยัดแบบสุดคุ้ม จากราคาเต็ม 4,500 บาท (เรียนเกือบ 1 เดือน / ตอบคำถามเกือบ 2 เดือน / แล้วดูซ้ำย้อนหลังได้ตลอด) ..พิเศษ !! ใครสมัครและโอนชำระเงินก่อน 17 ตุลาคมนี้ ลดพิเศษ เหลือเพียง 3,500 บาทเท่านั้น

- สรุป คอร์สมือใหม่มากอยากเล่นหุ้น จะเริ่มเรียนวันที่ 17 ตุลาคมนี้ ผ่าน Facebook Close Group เหมาะสำหรับคนที่มือใหม่มาก ที่อยากเริ่มจากเบสิคสุดๆ เรียนออนไลน์ทั้งหมด ถามได้ และดูย้อนหลังได้ตลอด

 ..ราคาพิเศษมากคือ 3,500 บาท (ราคาพิเศษนี้ ต้องชำระเงินก่อน 17 ตุลาคมนี้เท่านั้นนะครับ)

สอบถามเพิ่มเติม 063 191 0816
สอบถามทาง line@ : @basicblueprint   
หรือแค่คลิก https://line.me/R/ti/p/%40basicblueprint

วันอาทิตย์ที่ 2 ตุลาคม พ.ศ. 2559

7 นิสัยของคนที่กำลังจะรวยจากหุ้น


7 นิสัยของคนกำลังจะรวยจากหุ้น 

1. 'ชอบมองการณ์ไกล ไม่คิดสั้น' ..คนลงทุนยาวมีโอกาสรวยจากหุ้นมากกว่า คนที่คิดจะเข้ามารวยเร็วๆ 

2. 'คนที่อดทน อึด ถึก ไม่ยอมเลิก' ..สถิติจากงานวิจัยตลาดพบว่าใครอยู่รอดเกิน 3 ปีได้ มักจะรอดแล้วรวย !!

3. 'คนเล่นหุ้นพื้นฐาน มักรวยกว่าพวกหุ้นปั่น'  ..อันนี้เหมือนใครๆ ก็รู้นะ แต่ลองไปถามคนส่วนใหญ่ที่เจ๊งซิว่า ทำไมเจ๊ง - เขาจะตอบว่า เล่นหุ้นปั่น !! (รู้แล้วก็ยังทำอีก ..เข้าใจไหม !!')

4. 'คนที่ซื้อหุ้นในข่าวร้าย มักจะกำไรกว่าคนที่ซื้อหุ้นตามข่าวดี' ...อันนี้ใครๆ ก็รู้ แต่ข่าวดีทีไรซื้อตามกันขึ้นดอยทุกที 

5. 'คนที่ชอบใช้เงินเย็น จะรวยกว่าคนเล่นมาร์จิ้น' ...เงินเย็น ปลอดภัยกว่า และในระยะยาวดีกว่าเสมอครับ

6. 'คนที่เลือกหุ้นด้วยตัวเอง มักมีพอร์ตที่ใหญ่กว่า โตไวกว่า คนเล่นหุ้นตามคนอื่นแนะนำ' ...เรื่องแรกที่ควรเรียนก่อนเริ่มเล่นหุ้น คือ วิธีหาปลาด้วยตัวเอง - ก็วิธีเลือกหุ้นด้วยตัวเองนั่นแหละ 

7. 'คนที่ลงทุนเป็นพอร์ต มักรวยกว่าพวกชอบจัดหนักตัวเดียว' ...อย่าใส่ไข่ไว้ในตะกร้าใบเดียว รู้แล้ว ก็ต้องทำ เพราะเศรษฐีทุกคน คือ นักลงทุนที่รู้จักการกระจายความเสี่ยงที่ดี

ใช่!! สิ่งที่แบ่งแยก ระหว่าง 'นักพนัน' กับ 'นักลงทุน' ก็คือ 'การกระจายความเสี่ยง'

อย่างตลาดหุ้น ราคาแกว่งผันผวน ขึ้นลงทีนี่ 50% ง่ายๆ ..แต่ถ้ารู้จัก 'กระจายความเสี่ยง' ก็สามารถลงทุนในหุ้นแบบไม่เสี่ยง อย่างออมในหุ้นได้ครับ 

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม


ใช้เงินเก่งไม่พอ ต้องหาเงินเก่งด้วยดิ


'เคยสงสัยไหมว่า ทำไมเราใช้เงินโคตรเก่งแทบไม่ต้องฝึก แต่หาเงินนี่ไม่เก่ง ?'

ก็ตั้งแต่เด็ก เราฝึกฝนเรื่องการใช้เงิน ซื้อของเล่น จ่ายเงินเที่ยวสวนสนุก ไปกิน ไปชิว ..จ่ายแบบไม่ต้องคิดตั้งแต่เด็ก แล้วโตขึ้นจะให้คิดหรือ ? (ตลกร้าย)

เด็กยุคใหม่ ถึงใช้เงินเก่ง เพราะฝึกใช้ตั้งแต่ยังหาเงินไม่เป็น ..แถมตามใจกันสุดฤทธิ์ !!

แต่พอจะให้ลูกฝึกหาเงิน (ทำงาน Part-time ให้เขารู้จักค่าของเงิน ว่าเงินมันหายาก และให้เขารู้ว่า ด้วยตัวของเขาเอง เขามีปัญญาหาเงินได้เท่าไหร่จริงๆ)  

..โอ๊ย!! ไม่ได้ลูกอิฉัน เดี๋ยวมัวแต่ไปฝึกงานกระจอก เดี๋ยวกระทบเกรด เดี๋ยวเรียนไม่ดี ...แล้วพอเรียนจบ ก็เรียนมาหาเงินไม่ใช่หรือ ?

ถ้าสงสัยว่าทำไม เด็กฝรั่ง โตเร็วกว่า รับผิดชอบมากกว่า พึ่งตัวเองมากกว่า และรวมๆ รวยกว่า ..ก็เพราะเขาฝึกให้เด็กรู้จักทำงานหาเงิน ทำงาน Part-time ตั้งแต่เด็ก

คนที่รวยกว่า ไม่ใช่เพราะ โชคดี ...แต่เพราะคนๆ นั้น เขาหาเงินเก่ง แต่ใช้เงินไม่เก่ง ก็เท่านั้นเอง 

รณรงค์ให้พ่อแม่ยุคใหม่ ฝึกและสอนให้ลูก หาเงินเป็น ..อย่าฝึกแต่ให้เขาใช้เงินโดยไม่คิด เขาจะได้เป็นผู้ใหญ่ที่เข้าใจเรื่องเงินและดูแลด้วยเองได้เรื่องเงิน !!

#ภาววิทย์กลิ่นประทุม



วันเสาร์ที่ 1 ตุลาคม พ.ศ. 2559

7 เหตุผลที่คนยุคนี้ควรลงทุนในหุ้น

อะไรคือ 7 เหตุผลที่คนยุคนี้ควรลงทุนในหุ้น รู้ไว้เพื่อเตรียมตัว ไม่ช้าก็เร็ว เราทุกคนต้องข้องเกี่ยวกับตลาดหุ้นอย่างแน่นอน ถ้าคิดว่าดี อย่าลืมแชร์ออกบอกต่อด้วยครับ



เมื่อ 20 ปีกว่าที่แล้ว แค่ฝากเงินไว้กับธนาคารกินดอกเบี้ย 
ก็อาจนับเป็นการลงทุนที่ให้ผลตอบแทนที่ดี
ปัจจุบัน โลกเปลี่ยนไปหมดแล้ว เงินเฟ้อ ดอกเบี้ยเงินฝากเกือบ 0%
แต่คนจำนวนมากยังคงฝากเงินไว้กับธนาคาร เพื่อให้เงินเฟ้อกัดกินไปเรื่อย ๆ
วันนี้การลงทุนในหุ้นไม่ใช่เรื่องไกลตัวอีกต่อไป เงินกำลังย้ายที่มายังตลาดทุน
และต่อไปนี้คือ 7 เหตุผลที่คนยุคนี้ควรลงทุนในหุ้น


ดอกเบี้ยฝากออมทรัพย์วันนี้แทบเป็น 0%
หรือแม้แต่ฝากประจำก็ให้ผลตอบแทนไม่มาก
การฝากธนาคารหวังรอกินดอกเบี้ย จึงใช้ไม่ได้กับยุคนี้แล้ว


หลายคนเข้าใจว่าเล่นหุ้นจะต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน
แต่ความจริงแล้วถ้าคุณเลือกหุ้นดี มีปันผล 
เงินปันผลนั้นจะกลายเป็น Passive Income 
เป็นรายได้ที่คุณไม่ต้องนั่งเฝ้าหน้าจอทั้งวัน


รายได้หลังเกษียณคือปัญหาของคนยุคนี้ เพราะเรามีอายุยืนยาวขึ้น 
ค่าใช้จ่ายเรื่องสุขภาพกลับมากขึ้น แต่ตอนนั้นเราไม่ได้ทำงานแล้ว
เงินปันผลจากหุ้นคือคำตอบ เพราะเราไม่ต้องเอาแรงไปแลกรายได้


ยุคนี้การทำธุรกิจไม่ใช่เรื่องง่าย มีบริษัทยักษ์ใหญ่เต็มไปหมด
แต่การลงทุนในหุ้นคือการที่เรามาอยู่ฝั่งเดียวกับยักษ์ใหญ่ ไม่ต้องแข่ง
แต่เป็นเจ้าของกิจการร่วมกันกับสินค้า-บริการที่เรากินใช้อยู่ทุกวัน


การลงทุนในหุ้นใช้เงินเท่าที่เรามี ไม่จำเป็นต้องกู้หนี้ยืมสิน
มีเท่าไหร่ ก็ลงทุนเท่านั้น สะสมไปเรื่อย ๆ 
ไม่มีภาระให้ต้องผ่อน หรือต้องหาลูกค้าทุกเดือน


หลายคนเข้าใจว่าเล่นหุ้น จะทำกำไรได้ ก็ต้องซื้อ ๆ ขาย ๆ เท่านั้น
แต่ความจริงแล้ว มีหุ้นหลายตัวที่ให้เงินปันผลระหว่างทาง
และเมื่อเวลาผ่านไป ราคาของหุ้นก็ปรับตามมูลค่ากิจการที่เพิ่มขึ้นด้วย
ผู้ลงทุนในหุ้นจึงได้รายได้ 2 ต่อ คือ เงินปันผล และส่วนต่างราคาที่เพิ่มขึ้


คนยุคนี้น้อยคนที่จะมีกิจการของตัวเองส่งต่อให้ลูกหลาน
หรือต่อให้มี ลูกหลานก็ไม่อยากสืบทอดกิจการ
บางคนมีที่ดินให้ลูก แต่ขายไปแล้วก็หมดเท่านั้น
ต่างกับหุ้น หากไม่ขาย ปล่อยให้เติบโต กินปันผลไปเรื่อย ๆ
หุ้นจะกลายเป็นมรดกประจำตระกูลไปตลอดกาล












บทความที่ได้รับความนิยมสัปดาห์ที่ผ่านมา

"จัดให้" บทความที่ได้รับความนิยมใน Blog แห่งนี้ครับ